Professional Documents
Culture Documents
พันธะเคมี
พันธะเคมี
การเกิดพันธะเคมี
ธาตุในธรรมชาติจะไม่พบในรูปอะตอมเดี่ยว (ยกเว้น ธาตุในหมู่ 8A จะพบในรูป อะตอมเดี่ยว เพราะมีความ
เสถียรมาก) อะตอมหรือไอออนของธาตุจะมารวมตัวกันเกิดเป็นสารประกอบ เพื่อ เกิดความเสถียร ดังนั้น การที่
อะตอมหรือไอออนจะมารวมกันได้ต้องมี แรงยึดเหนี่ยว
แรงยึดเหนี่ยว
แรงยึดเหนี่ยว
แรงยึดเหนี่ยวภายนอก
แรงยึดเหนี่ยวภายใน
(แรงระหว่างโมเลกุล)
Dipole-dipole forces
แรงดึงดูดระกว่างขั้ว
Dipole-induced dipole
Ion-dipole forces
ความหมายพันธะเคมี
พันธะเคมี หมายถึง แรงยึดเหนี่ยว ระหว่าง 1. อะตอม กับ อะตอม ในโมเลกุล
2. ไอออนบวก กับ ไอออนลบ ในสารประกอบ
3. ไอออนบวก กับ กลุ่มอิเล็กตรอน ในก้อนโลหะ
ตัวอย่าง 1
1. ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่ พันธะเคมี
ก. พันธะไอออนิก ข. พันธะโคเวเลนต์
ค. พันธะโลหะ ง. พันธะไฮโดรเจน
ประเภทของพันธะเคมี
ผลต่างของค่า EN (∆EN) มีผลต่อประเภทของพันธะ
H
Be B C N O F
Si P S Cl
Ge As Se Br *Kr
Te I *Xe
Po At
I2 : ∆EN = 2.5 - 2.5 = 0 CO : ∆EN = 3.5 - 2.5 = 1.0
HF : ∆EN = 4.0 - 2.1 = 1.9 BCl3 : ∆EN = 2.0 - 1.5 = 0.5
BeCl2 : ∆EN = 3.0 - 1.5 = 1.5 PCl3 : ∆EN = 3.0 – 2.1 = 0.9
ไอออนบวกโลหะ ไอออนลบอโลหะ
ไอออนบวกโลหะ กลุ่มอิเล็กตรอน
ไอออนิกแท้ ? ไอออนิกผสมโคเวเลนต์ ?
สารประกอบไอออนิกแท้ สารประกอบไอออนิกผสมโคเวเลนต์
เกิดจากไอออนบวกของโลหะกับไอออนลบของอโลหะ เกิดจากไอออนบวกของโลหะกับกลุ่มไอออนลบ
ที่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์
NaCl , MgO , KCl , CaCl2 NaOH , MgSO4 , KCN , NH4Cl
สมบัติของสารประกอบต่างๆ
พันธะโคเวเลนต์ พันธะไอออนิก พันธะโลหะ
จุดเดือด จุดหลอมเหลวต่้า จุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง จุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง
ส่วนใหญ่ไม่น้าไฟฟ้า แต่จะน้า น้าไฟฟ้าเมื่อหลอมเหลว หรือ น้าไฟฟ้าได้ดีมาก
ได้ถ้ามีขั้วและโมเลกุลนั้น ละลายน้้า โลหะตีให้เป็นแผ่นบางๆ ได้
สามารถแตกตัวเป็นไอออนได้ หน่วยที่เล็กที่สุดเรียกว่า โลหะสะท้อนแสงได้
หน่วยที่เล็กที่สุด เรียกว่า “ไอออน” หน่วยที่เล็กที่สุดเรียกว่า
“โมเลกุล” “อะตอม”
ตัวอย่าง 2
1. สาร 3 ชนิดมีสมบัติดังตาราง จงระบุชนิดพันธะเคมีของสารทั้ง 3 ชนิด
ชนิด การน้าไฟฟ้า การน้าไฟฟ้าเมื่อหลอมเหลว จุดหลอมเหลว จุดเดือด ชนิดพันธะ
P ไม่น้า น้า 890 900
Q ไม่น้า ไม่น้า 89 210
R น้า (ไม่ได้ทดสอบ) 1,400 2,850
ความหมายของพันธะโคเวเลนต์
พันธะโคเวเลนต์ หมายถึง พันธะที่เกิดจากคู่อะตอมของธาตุที่ไม่ใช่โลหะ น้าเวเลนซ์อเล็กตรอนของแต่ละ
อะตอมมาใช้ร่วมกันเป็นคู่ๆ โดยที่
1. อาจจะเป็นอะตอมชนิดเดียวกัน เช่น ............................หรืออะตอมต่างชนิดกัน เช่น .........................
2. ต้องมีค่า IE..................... (ไม่ชอบจ่าย e-) , EA..................... (ชอบรับ e-) , EN..........................
3. และต้องมีค่า EN............................. (ผลต่างค่า EN น้อย)
4. การเกิดพันธะโคเวเลนต์จะเกิดเฉพาะ...............................................................
หมู่ 1A 2A 3A 4A 5A 6A 7A 8A
เวเลนต์อิเล็กตรอน 1 2 3 4 5 6 7 8
5. การใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันต้องเป็นไปตาม .....................................................................
การใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน :
งั้นเรามา
แชร์กัน F
H
คนละ 1e-
แล้วใช้ด้วยกัน
1H 1 9F 27
ค่า IE1 สูง (จ่าย e- ยาก) ค่า IE1 สูง (จ่าย e- ยาก)
ค่า EA สูง (รับ 1e- จะเสถียร) ค่า EA สูง (รับ 1e- จะเสถียร)
ค่า EN = 2.1 ค่า EN = 4.0
ครบออกเตต 1H 2 9F 2 8 ครบออกเตต
วาดการ์ตูนพันธะโคเวเลนต์
ทาไมต้องอโลหะ ? ทาไมต้องแชร์
ธาตุอโลหะมีค่า IE สูง (จ่ายอิเล็กตรอนไม่ดี ไม่เกิดไอออนบวก) เมื่อมาสร้างพันธะกับ ธาตุอโลหะที่มีค่า IE สูงเหมือนกัน ทาให้
ไม่มีธาตุใดเกิดเป็นไอออนบวกหรือไอออนลบ
ประกอบกับ ค่า EN ใกล้เคียงกัน (ความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอนเท่ากัน/ใกล้เคียงกัน) จึงเกิดการแชร์อิเล็กตรอนและใช้
อิเล็กตรอนร่วมกัน เกิดเป็น “พันธะโคเวเลนต์”
การเกิดพันธะโควาเลนต์
1 1
1H 1H
แรงดึงดูด
แรงผลัก
แรงผลัก
แรงดึงดูด
...............................................................................................................
..............................................................................................................
.............................................................................................................
กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานและความยาวพันธะในการเกิดโมเลกุลแก๊สไฮโดรเจน
ตัวอย่างที่ 3 กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานในการเกิดโมเลกุลของไฮโดรเจน
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ความยาวพันธะ H-H เท่ากับ a pm
ข. พลังงานพันธะ H-H เท่ากับ b kJ/mol
ค. ที่จุด e ไม่มีแรงดึงดูด มีแต่แรงผลักอย่างเดียว
ง. พลังงานศักย์ที่จุด c และ d เท่ากัน เนื่องจากมีแรงดึงดูดและแรงผลักเท่ากัน
ข้อใดถูกต้อง
1. ก และ ข 2. ค และ ข 3. ก,ค และ ง 4. ข,ค และ ง 5.ไม่มีค้าตอบ
สัญลักษณ์แบบจุดลิวอิส
เนื่องจากการเกิดพันธะโคเวเลนต์เกี่ยวกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนหรืออิเล็กตรอนวงนอกสุด
ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลิวอิส นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้เสนอการเขียนสัญลักษณ์
ที่แสดงจ้านวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนด้วยจุด เรียกว่า สัญลักษณ์แบบจุดของลิวอิส
หลักการ : เขียนจุดล้อมรอบอะตอมของธาตุ 1 จุด แทน 1 เวเลนซ์อิเล็กตรอน
Lewis
1A 2A 3A 4A 5A 6A 7A 8A
1 2 ← เวเลนซ์อิเล็กตรอน → 3 4 5 6 7 8
H He
Li Be B C N O F Ne
Na Mg Al Si P S Cl Ar
K Ca Ga Ge As Se Br Kr
Rb Sr In Sn Sb Te I Xe
Transition
Cs Ba Tl Pb Bi Po At Rn
Fr Ra
ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
พันธะเดี่ยว (single bond) ⟹ อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 1 คู่ (แชร์อะตอมละ 1 e-)
⟹ สัญลักษณ์พันธะ −
H2 Cl2
จ้านวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ จ้านวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ
จ้านวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว จ้านวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
จ้านวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ จ้านวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะอะตอมกลาง
จ้านวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว จ้านวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวอะตอมกลาง
จ้านวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ จ้านวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะอะตอมกลาง
จ้านวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว จ้านวนอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวอะตอมกลาง
วาดการ์ตูนพันธะโคออร์ดเิ นตโคเวเลนต์
ตัวอย่าง 6 SO2
ตัวอย่าง 7 NH4+
NH3 + H+ → NH4+
แอมโมเนีย ไฮโดรเจนไอออน แอมโมเนียมไอออน
ตัวอย่าง 8 H3O+
H 2O + H+ → H 3O +
น้้า ไฮโดรเจนไอออน ไฮโดรเนียมไอออน
การเขียนสูตรของสารประกอบโคเวเลนต์
การเขียนสูตรโมเลกุล
นิยมเรียงล้าดับจากธาตที่มี EN ต่า้ ไปหา EN สูง เช่น B C N O F แล้วเขียนเลข
บอกจ้านวนอะตอมของธาตุทุกชนิดใน 1 โมเลกุล ห้อยไว้ใต้สัญลักษณ์ของธาตุนั้น
เช่น B และ Cl BCl3
B และ S B2S3
การหาเขียนสูตรโมเลกุลแบบใช้วิธี ค.ร.น.
โดยการน้าเวเลนซ์อิเล็กตรอนมาหา ค.ร.น. และน้าค.ร.น. ทีไ่ ด้มาหาร เวเลนซ์
อิเล็กตรอนที่ต้องการให้ครบ 8 หรือมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเหมือนหมู่ 8 ของแต่ละธาตุ ก็จะได้ตัว
เลขที่แสดงจ้านวนอะตอมของธาตุนั้น
หมูท่ ี่ธาตุ จานวนเวเลนซ์ จานวนเวเลนซ์ อัตตราส่วนที่
ค.ร.น. ตัวอย่าง
รวมตัวกัน อิเล็กตรอน อิเล็กตรอนที่ต้องการ รวมตัวกัน
IV + VII
IV + VI
V + VII
V +VI
VI + VII
ตัวอย่างที่ 9
1. Cl + O
2. Be + Cl
3. Si + O
4. C + F
5. S + Br
6. Br + Cl
7. P + O
8. C + O
กรณีนี้นักเรียนจะต้องทราบว่าธาตุแต่ละชนิดมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนจ้านวนเท่าใด และต้องการอีก
เท่าใดจึงจะครบ Octet และสูตรที่ได้ทั้ง 2 วิธี เป็นสูตรที่เป็นสูตรที่เป็นไปตามกฎ Octet เท่านั้น
แต่การเขียนสูตรแบบนี้ไม่สามารถใช้ได้กับ SO2 SO3 SF4
การเขียนสูตรโครงสร้าง
การเขียนสูตรโครงสร้างของสารโควาเลนต์ สามารถเขียนได้ 2 แบบ คือ
1. สูตรแบบจุด (Electron dot formular)
การเขียนสูตรแบบจุดของลิวอิส จะใช้จุดแทนจ้านวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนซึ่งเป็น
อิเล็กตรอนที่อยู่วงนอกสุด โดยให้ 1 จุดแทน 1 เวเลนซ์อิเล็กตรอน เขียนไว้ระหว่าสัญลักษณ์
ของธาตุแทนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ
การเขียนโครงสร้างลิวอิสสารประกอบที่เป็นไปตามกฎออกเตต
หาอะตอมกลาง
อะตอมกลางมีเพียงอะตอมเดียวเป็นอะตอมที่มี EN ต่า สุด
เช่น H2O อะตอมกลางคือ.....................................
COCl2 อะตอมกลางคือ.....................................
SOCl2 อะตอมกลางคือ.....................................
การวางตาแหน่งของธาตุทั้งหมด
โดยให้อะตอมกลางอยู่ตรงกลางอะตอมที่เหลืออยู่ล้อมรอบ
เช่น CHCl3
COCl2
เขียนสูตรแบบเส้นและแบบจุดตามล้าดับ
หมู่ ตัวอย่างธาตุ เวเลนซ์ e- จานวน e- ที่ต้องการ จานวนพันธะที่เกิด
1 พันธะ
H 1 e- 1 e-
H−
1 พันธะ
7A F Cl Br I At 7 e- 1 e-
2 พันธะ
6A O S Se Te Po 6 e- 2 e-
3 พันธะ
5A N P As 5 e- 3 e-
4 พันธะ
4A C Si Ge 4 e- 4 e-
H 2O
COCl2
H 2O 2
N 2H 4
CH3OH
C2 H 6
C2 H 4
C2 H 2
C5H12
HClO
HClO2
HClO3
HClO4
H2SO3
H2SO4
HNO2
HNO3
H2CO3
การเขียนโครงสร้างลิวอิสสารประกอบทีไ่ ม่เป็นไปตามกฎออกเตต
น้อยกว่ากฎออกเตต
หลักการ : 1. ส่วนใหญ่จะเป็น B กับ Be
BF3
BeCl2
NO2
NO
เกินกฎออกเตต
หลักการ : 1. ส่วนใหญ่จะเป็น P S I และธาตุหมู่ 8A
PCl5
SF6
IF7
XeF4