Professional Documents
Culture Documents
ชุดที่ 1 วิชาทหารราบ
ชุดที่ 1 วิชาทหารราบ
ภาคที่ ๑
ภารกิจ การจัด ขีดความสามารถ และข้อจากัด
ทาความเข้าใจ : ในภาคที่ ๑ ของสรุปหลักพื้นฐานทางวิชาการชุดที่ ๑ เรื่องทหารราบนี้จะกล่าวถึง
ภารกิจ การจัด ขีดความสามารถ และข้อจากัดของกองพลทหารราบชนิดต่างๆ ใน ทบ.ไทย
ทั้งที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และแนวความคิดในการปรับปรุงกองพลทหารราบของกองทัพบก ซึ่ง
จะปรับปรุงโครงสร้างการจัด พล.ร.ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการรบ โดยจะปรับปรุง
โครงสร้างการจัดออกเป็นสาม รูปแบบ คือ พล.ร.ยานเกราะ พล.ร.ยานยนต์ และ พล.ร.เบา
และเพื่อมิให้เกิดการสับสนในการศึกษาทาความเข้าใจ จึงแบ่งภาคที่ ๑ นี้ออกเป็น ๕ ตอน คือ
ตอนที่ ๑ : กล่าวทั่วไป
ตอนที่ ๒ : กองพลทหารราบ
ในตอนนี้จะกล่าวถึงกองพลทหารราบมาตรฐานทั่ว ๆ ไปซึ่งมีรูปแบบการจัดตามที่มีใช้อยู่ใน
ปัจจุบัน เช่น กองพลที่ ๑ รักษาพระองค์, กองพลทหารราบที่ ๓, ๔, ๕, ๖,๑๑ เป็นต้น คาย่อ
ที่ใช้ในเอกสารเล่มนี้จะใช้คาว่า "พล.ร."
ตอนที่ ๓ : กองพลทหารราบยานเกราะ
เป็นรูปแบบการจัดกองพลทหารราบ เพื่อให้มีความทันสมัยพร้อมที่จะรับสถานการณ์ได้ทุก
รูปแบบ สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติการรุกได้อย่างทันที สอดคล้องกับรูปแบบ
ของสงครามในอนาคต รวมทั้งสงครามนิวเคลียร์ ชีวะ เคมีด้วย ปัจจุบันหน่วยที่มีรูปแบบการ
จัดคือ พล.ร.๒ รอ. คาย่อที่ใช้ในเอกสารเล่มนี้จะใช้คาว่า "พล.ร.ยก."
ตอนที่ ๔ : กองพลทหารราบยานยนต์
เป็นรูปแบบการจัดกองพลทหารราบในอนาคต มุ่งหมายที่จะจัดให้เป็น พล.ร.มาตรฐาน ที่มีขีด
ความสามารถในการ เข้าตี ตั้งรับ และร่นถอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาย่อที่ใช้ในเอกสาร
เล่มนี้จะใช้คาว่า "พล.ร.ยย."
ตอนที่ ๕ : กองพลทหารราบเบา
เป็นรูปแบบการจัดกองพลทหารราบ โดยมีความมุ่งหมายที่จะใช้ตอบสนอง ในการรักษา
ผลประโยชน์ของชาติในด้านการรักษาความมั่นคงภายใน การป้องกันประเทศ และภารกิจ
อืน่ ๆ ตามความเหมาะสม ปัจจุบันหน่วยที่มีการจัดรูปแบบนี้ ได้แก่ พล.ร.๗,๙และ ๑๕ คาย่อ
ที่ใช้ในเอกสารเล่มนี้ จะใช้คาว่า "พล.ร.เบา"
๑-๒
ตอนที่ ๑
กล่าวทั่วไป
ตอนที่ ๒
กองพลทหารราบ
การจัด พล.ร.(อจย.๗-๒ ลง๕ ม.ค.๓๓) ประกอบด้วย
- กองบัญชาการ และกองร้อยกองบัญชาการกองพล (บก.และ ร้อย บก.พล.)
- ๑ กองพันทหารสื่อสารกองพล (พัน.ส.พล.)
๑-๓
- ๑ กองพันทหารช่างสนามกองพล (พัน.ช.พล.)
- ๑ กองร้อยทหารสารวัตรกองพล (ร้อย.สห.พล.) (ปัจจุบันปรับโครงสร้างหน่วยจัดพัน.สห.ทภ.)
- ๑ กองทหารพลาธิการกองพล ( กอง พธ.พล.)
- ๑ กองสรรพาวุธเบากองพล (กอง สพบ.พล.)
- ๑ กองพันเสนารักษ์กองพล (พัน.สร.พล.)
- ๑ กองร้อยบินกองพล (ร้อย.บ.พล.) (ปัจจุบันปรับโครงสร้างหน่วยจัดตั้งพัน.บ.)
- ๑ กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล (ร้อย.ลว.ไกล)
- ๑ กองร้อยทหารม้าลาดตระเวน (ร้อย.ม.ลว.) (พล.๑ รอ., พล.ร.๓, พล.ร.๔, พล.ร.๕
- และ พล.ร.๖) หรือ ๑ กองพันทหารม้าลาดตระเวน (พัน.ม.ลว.) (พล.ร.๒ รอ. พล.ร.๙ และ
พล.ร.๑๕)
- ๑ กองพันรถถัง (พัน.ถ.)
- ๑ กรมทหารปืนใหญ่ (กรม ป.)
- ๓ กรมทหารราบ (กรม ร.)
หน่วยที่เป็นส่วนกาลังรบของกองพล ได้แก่
- ๓ กรม ร.
- พัน.ถ.
- ร้อย.ม.ลว. หรือ พัน.ม.ลว.
- ร้อย.ลว.ไกล. (ใช้ในการลาดตระเวนหาข่าวเป็นหลัก)
หน่วยที่เป็นส่วนสนับสนุนการรบของกองพล ได้แก่
- กรม ป.
- พัน.ช.พล.
- พัน.ส.พล.
- ร้อย.บ.พล.
หน่วยที่เป็นส่วนสนับสนุนการช่วยรบของกองพล ได้แก่
- กอง พธ.พล.
- กอง สพบ.พล.
- พัน.สร.พล.
- ร้อย.สห.พล.
- ร้อย.บ.พล.
- พัน.ช.พล.
- พัน.ส.พล.
หน่วยในอัตราการจัดของ พล.ร. ที่เป็นทั้งส่วนสนับสนุนการรบ และสนับสนุนทางการช่วยรบ ได้แก่
- พัน.ช.
- พัน.ส.
- ร้อย.บ.
ภารกิจของกองพลทหารราบ คือ ทาลายกาลังข้าศึก ควบคุมพื้นที่ทางบก รวมทั้งประชาชน และ
ทรัพยากร
๑-๔
กองร้อยกองบัญชาการกองพล มีภารกิจในการสนับสนุนทางธุรการและการบริการแก่กองบัญชาการ
กองพล หน่วยขึ้นตรงของกองร้อยกองบัญชาการกองพล จะประกอบด้วย
- กองบังคับการกองร้อย
- มว.สูทกรรม
- มว.ขนส่ง
- มว.ป้องกัน
- มว.เสนารักษ์
- ๓ มว.รสพ. แต่ละ มว. จะมี รสพ. จานวน ๕ คัน รสพ. ๑ คัน สามารถบรรทุก
ทหารราบได้ ๑ หมู่ ปล. ดังนั้น ๑ มว.รสพ. จะบรรทุกทหารราบได้ ๑ มว.ปล.
ยุทโธปกรณ์ที่สาคัญ ในร้อย รสพ.กรม ร. จะมี รสพ.จานวน ๑๖ คัน เท่ากับจานวนรถถัง ใน ๑
กองร้อยรถถัง เพื่อให้สามารถปฏิบัติการรบร่วมกันได้ รสพ.แต่ละคันจะติดตั้ง ปก.๙๓ (ขนาด .๕๐ นิ้ว) จานวน
๑ กระบอก และ ปก.เอ็ม.๖๐ จานวน ๒ กระบอก ในแต่ละมว. รสพ.จะติดตั้งชุดเปลพยาบาล ๑ ชุด
หมวดต่อสู้รถถัง (มว.ตถ.) มีภารกิจ คือ ทาการต่อสู้และป้องกันรถถังให้กับหน่วยในระดับกรมทหาร
ราบ มว.ตถ. มีขีดความสามารถ ดังนี้
ก. สามารถทาลายรถถังข้าศึก
ข. ป้องกันรถถังของข้าศึกด้วยการใช้ทุ่นระเบิดดักรถถัง
ค. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ได้ ๑๐๐ %
การจัด มว.ตถ. ประกอบด้วย
- บก.มว.
- ๑ ตอนต่อสู้รถถัง (ตอน ตถ.) ซึ่งประกอบด้วย บก.ตอน และ ๓ หมู่ ตถ.
- ๑ ตอนวางระเบิดดักรถถัง ประกอบด้วย บก.ตอน และ๓ หมู่วางระเบิดดักรถถัง
อาวุธหลักของ หมู่ ตถ. คือ ปรส. ขนาด ๑๐๖ มม. ติดตั้งบน รยบ.๑/๔ ตัน สาหรับหมู่วางระเบิดดัก
รถถัง นอกจากจะมีขีดความสามารถวางระเบิดดักรถถังแล้ว ยังมีขีดความสามารถในการตรวจค้นทุ่นระเบิดได้
อีกด้วย เพราะแต่ละหมู่มีเครื่องตรวจค้นทุ่นระเบิดทั้งชนิดโลหะและ อโลหะ อย่างละ ๑ เครื่อง
ก. สามารถเคลื่อนย้ายบนเส้นทางถนนได้รวดเร็ว แต่มีความคล่องแคล่วจากัด ใน
ขณะเคลื่อนที่นอกเส้นทาง
ข. สามารถเข้าที่ตั้งยิงและเปลี่ยนที่ตั้งยิงได้อย่างรวดเร็ว
ค. การระวังป้องกันที่ตั้งตนเอง ทาได้อย่างจากัด
ง. สามารถยิงสนับสนุนอย่างรุนแรงได้ในระยะเวลาสั้นเนื่องจากจากัดในเรื่องการ
ลาเลียง กระสุน
การจัด ร้อย.ค.หนัก กรม ร. (ตาม อจย.๗ - ๑๔) ประกอบด้วย
- บก.ร้อย แบ่งออกเป็น ๓ ตอน คือ ตอน บก.ร้อย มี ผบ.ร้อย, รอง ผบ.ร้อย
และเจ้าหน้าที่
- ธุรการต่าง ๆ โดยที่ รอง ผบ.ร้อย จะทาหน้าที่นายทหารลาดตระเวนด้วย, ตอน
ยุทธการและอานวยการยิง มีนายทหารอานวยการยิงรับผิดชอบในการจัดตั้งศูนย์อานวยการยิง, ตอนสื่อสาร
- ๓ มว.ค.หนัก แต่ละมว.จะมี ผบ.มว., ผู้ตรวจการณ์หน้า และนายสิบติดต่อ ซึ่ง
จะไปประจาตาม พัน.ร.ต่าง ๆ ในการทาแผนการยิงสนับสนุน นอกจากนี้ แต่ละมว.จะมี ๔ หมู่ ค.หนัก (การ
จัดกาลังในยามปกติจะจัดเพียง มว.ละ ๓ หมู)่ แต่ละหมู่ ค.หนัก จะมีกาลังพล ดังนี้ คือ ผบ.หมู,่ พลยิง, พล
ยิงผู้ช่วย, พลขับ และพลกระสุน ๔ นาย
เครื่องยิงลูกระเบิดที่ใช้ในร้อย ค.หนัก คือ เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๔.๒ นิ้ว หรือ ค.
ขนาด ๑๒๐ มม. จานวน ๑๒ กระบอก ใช้ลาเลียงบน รยบ. ๑ ๑/๔ ตัน พร้อมรถพ่วง
สาหรับ ค. ๑๒๐ มม. สามารถใช้การลากจูงได้
กองร้อยยานเกราะ (ร้อย.ยก.) มีภารกิจ คือ ปฏิบัติการในภารกิจรบ และเตรียมการในด้านการลาเลียง
พล ร้อย.รสพ. มีขีดความสามารถ ดังนี้
ก. สามารถทาการรบเป็นส่วนหนึ่งของชุดทหารราบยานเกราะ
ข. สามารถทาการลาเลียงพลหนึ่งกองร้อยอาวุธเบาได้
การจัด ร้อย.ยก. ตาม อจย.๗ - ๑๙ ประกอบด้วย
- บก.ร้อย
- ตอนซ่อมบารุง
- ๓ มว.ยก แต่ละ มว. จะมี รสพ. จานวน ๕ คัน รสพ. ๑ คัน สามารถบรรทุก
ทหารราบได้ ๑ หมู่ ปล. ดังนั้น ๑ มว.รสพ. จะบรรทุกทหารราบได้ ๑ มว.ปล.
ยุทโธปกรณ์ที่สาคัญ ในร้อย รสพ.กรม ร. จะมี รสพ.จานวน ๑๖ คัน เท่ากับจานวนรถถัง ใน ๑
กองร้อยรถถัง เพื่อให้สามารถปฏิบัติการรบร่วมกันได้ รสพ.แต่ละคันจะติดตั้ง ปก.๙๓ (ขนาด .๕๐ นิ้ว) จานวน
๑ กระบอก และ ปก.เอ็ม.๖๐ จานวน ๒ กระบอก ในแต่ละมว. รสพ.จะติดตั้งชุดเปลพยาบาล ๑ ชุด
- ๑ มว.ลว.ทางอากาศ
- ๑ มว.ตถ.
- มว.ปืนโจมตีประกอบด้วย
- บก.มว.
- ๓ หมู่ ปรส. มียุทโธปกรณ์ที่สาคัญ คือ ปรส.ขนาด ๗๕ มม. (หมู่ละ ๑ กระบอก )
- มว.ช่างโจมตี ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ช่างโยธา มียุทโธปกรณ์ที่สาคัญ คือ
- เครื่องมือชุดทาลาย จุดระเบิดด้วยไฟฟ้าและฝักแค จานวน ๓ ชุด อยู่ที่ บก.มว.
- เครื่องมือชุดทาลาย จุดระเบิดด้วยฝักแค จานวน ๙ ชุด (หมู่ละ ๓ ชุด)
- เครื่องฉีดไฟ เอ็ม.๒ เอ.๑-๗ จานวน ๖ เครื่องอยู่ที่ บก.มว.
- จรวด ๗๓ มม. จานวน ๓ เครื่อง อยู่ที่หมู่ช่างฯ(หมู่ละ ๑ เครื่อง)
๑ - ๑๒
ตอนที่ ๓
กองพลทหารราบยานเกราะ
การจัด พล.ร.ยานเกราะ มีความมุ่งหมายที่จะให้มีความทันสมัย พร้อมที่จะรับสถานการณ์
ได้ทุกรูปแบบ สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะปฏิบัติการรุกได้ทันที สอดคล้องกับสภาวะสงคราม
ในอนาคต รวมทั้งรูปแบบของสงครามเคมี ชีวะ นิวเคลียร์ ด้วยภารกิจของพล.ร. ยานเกราะ คงเช่นเดียวกับกอง
พลทหารราบทั่ว ๆ ไป คือ การทาลายกาลังข้าศึก และควบคุมพื้นที่ รวมทั้งประชาชนและทรัพยากร โดยที่
พล.ร.ยานเกราะ มีขีดความสามารถ ดังนี้
ก. สามารถปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับ, วิธีรุก และการร่นถอย
ข. สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความรวดเร็วในการเคลื่อนที่เข้าปะทะ, การเข้าตีเร่งด่วน
และประณีต, การขยายผลและการไล่ติดตาม
ค. สามารถกระจายกาลังได้เป็นบริเวณกว้าง และรวมกาลังได้อย่างรวดเร็ว
ง. สามารถต่อสู้รถถังได้
จ. สามารถปฏิบัติการรบเป็นหน่วยกาบัง ในการรุก รับ และร่นถอย
ฉ. ดาเนินการต่อสู้ป้องกันภัยทางอากาศต่ออากาศยานร่อนต่าได้
ช. ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยดาเนินกลยุทธ์ได้ ๑๕ กองพัน
- พัน.สบร.
- พัน.ซบร.
- พัน.สร.
- กรม ป.
- บก.และ ร้อย.บก.
- ๑ พัน.ปตอ.
- ๔ พัน.ป.๑๕๕ มม.(อจ.)
- ๓ กรม ร.ยก.
- บก.และ ร้อย.บก.
- ๓ พัน.ร.ยก.
ง. ยึดและรักษาภูมิประเทศได้
จ. ดาเนินกลยุทธ์ได้ทุกภูมิประเทศและทุกสภาพภูมิอากาศ
ฉ. ป้องกันต่อสู้รถถังได้อย่างจากัด
ช. มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะในอัตรา ๑๐๐ %
ร้อย.ร.ยก. มีการจัดตาม อจย.๗ - ๔๗ ดังนี้
- บก.ร้อย.
- ๑ ตอนซ่อมบารุง
- ๑ มว.อาวุธ ประกอบด้วย
- บก.มว.
- ตอน ค.๘๑ ประกอบด้วย ๓ หมู่ ค.๘๑
- ตอน ตถ.
- ๓ มว.ปล. แต่ละ มว. ประกอบด้วย บก.มว. และ ๓ หมู่ ปล. โดยที่ มว.ปล. มี ปก.เอ็ม.๖๐
จานวน ๒ กระบอก พร้อมเจ้าหน้าที่ประจาอยู่ที่ บก.มว.
๑ - ๑๗
ตอนที่ ๔
กองพลทหารราบยานยนต์
การจัด กองพลทหารราบยานยนต์ (พล.ร.ยย.) ในรูปแบบนี้ มีความมุ่งหมายที่จะจัดให้เป็นแบบ
พล.ร.มาตรฐาน ที่มีขีดความสามารถในการ เข้าตี ตั้งรับ และร่นถอย อย่างมี ประสิทธิภาพ ภารกิจ
ของกองพลทหารราบยานยนต์ คงเป็นเช่นเดียวกับ พล.ร.ยก.ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว คือ การทาลายกาลัง
ข้าศึกและการยึดครองพื้นที่ โดยที่ พล.ร.ยย. มีขีดความสามารถ ดังนี้
ก. ทาการรบเป็นอิสระ
ข. สามารถปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับและวิธีรุก
ค. ปฏิบัติการรบในภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศที่ยากลาบาก
ง. สามารถต่อสู้รถถังได้
จ. สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยยานพาหนะในอัตรา ๑๐๐ %
ฉ. ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยดาเนินกลยุทธ์ได้ ๑๕ กองพัน
พล.ร.ยย. มีโครงสร้างการจัดดังนี้ คือ
- บก.และ ร้อย.บก.
- พัน.ลว.
- ร้อย.ลว.ไกล
- ร้อย.ตถ.
- ร้อย.บ.
- ร้อย.สห.
- พัน.ช.
- พัน.ส.
- พัน.ถ.
- กรม สน. ประกอบด้วย
- บก.และ ร้อย.บก.
- สานักงานส่งกาลัง
- พัน.ขส.
- พัน.ซบร.
- พัน.สร.
- กรม ป. ประกอบด้วย
- บก.และ ร้อย.บก./บร.
- ๑ พัน.ปตอ.
- ๑ พัน.ปกค.๑๕๕ มม. (ลจ.)
- ๓ พัน.ป.๑๐๕ มม.(ลจ.)
- ๓ กรม ร.ยย. ประกอบด้วย
- บก.และ ร้อย.บก.
- ๓ พัน.ร.ยย.
ตอนที่ ๕
กองพลทหารราบเบา
การจัดกองพลทหารราบเบาของ ทบ.ไทย จัดตามความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของ ทบ.โดยเฉพาะ
สาหรับใช้ในภารกิจสนองตอบผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริงในด้านการรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่งหมาย
รวมถึงการ ปปส. และภารกิจอื่น ๆ ปัจจุบันมี พล.ร.๗ , ๙ , ๑๕ มีการจัดหน่วยตาม อจย. ๗-๒ ประสิทธิภาพ
ภารกิจของกองพลทหารราบเบา คงเป็นเช่นเดียวกับ พล.ร.ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว คือ การทาลายกาลัง
ข้าศึกและการยึดครองพื้นที่ โดยที่ พล.ร.เบา. มีขีดความสามารถ ดังนี้
ก. ทาการรบเป็นอิสระ
ข. สามารถปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับและวิธีรุก
ค. ปฏิบัติการรบในภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศที่ยากลาบาก
ง. สามารถต่อสู้รถถังได้
จ. สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยยานพาหนะในอัตรา ๑๐๐ %
ฉ. ควบคุมบังคับบัญชาหน่วยดาเนินกลยุทธ์ได้ ๑๕ กองพัน
พล.ร.เบา. มีโครงสร้างการจัดดังนี้ คือ
- บก.และ ร้อย.บก.
- พัน.ม.ลว.
- ร้อย.ลว.ไกล
- ร้อย.บ.
- ร้อย.สห.
- พัน.ช.
- พัน.ส.
- กรม สน. ประกอบด้วย
- บก.และ ร้อย.บก.
- สานักงานส่งกาลัง
- พัน.ขส.
- พัน.ซบร.
- พัน.สร.
๑ - ๒๑
- กรม ป. ประกอบด้วย
- บก.และ ร้อย.บก./บร.
- ๑ พัน.ปตอ.
- ๑ พัน.ปกค.๑๕๕ มม. (ลจ.)
- ๓ พัน.ป.๑๐๕ มม.(ลจ.)
- ๓ กรม ร. ประกอบด้วย
- บก.และ ร้อย.บก.
- ๓ พัน.ร.
๓-๑
ภาคที่ ๓
การปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับ
วัตถุประสงค์หลัก
วัตถุประสงค์ของการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับ เพื่อให้ได้มาซึ่งการบรรลุภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ
หลายอย่างดังต่อไปนี้
- ทาลายการเข้าตีของข้าศึก หรือทาให้การเข้าตีของข้าศึกไม่ประสบผลสาเร็จ
- ทาให้ข้าศึกอ่อนกาลัง เพื่อที่จะเปลี่ยนไปสู่การรุก
- ให้ได้เวลา
- รวมกาลัง ณ ตาบลอื่น
- ควบคุมภูมิประเทศสาคัญ หรือภูมิประเทศสาคัญยิ่ง
- ยึดรักษาที่หมาย
คุณลักษณะของการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับ
คุณลักษณะของการรบด้วยวิธีรับมี ๕ ประการ คือ การเตรียมการ การแบ่งแยกและ ทาลาย การรวม
กาลัง ความอ่อนตัว และการระวังป้องกัน (รายละเอียด ดู สรุปหลักพื้นฐาน ชุดที่ ๘)
กรมจะทาการตั้งรับโดย ผสมผสานการยิง, การใช้เครื่องกีดขวาง และการดาเนินกลยุทธ์ เพื่อก่อให้เกิด
ปีกเปิด หรือช่องว่างทางด้านหลังของข้าศึก และทาการขยายผล
การยิงเล็งจาลอง จะหน่วงเหนี่ยวและตัดรอนกาลังข้าศึก ทาให้ข้าศึกต้องปิดป้อมหรือเปลี่ยนแนวทาง
เคลื่อนที่ และจากัดขีดความสามารถในการส่งกาลัง และเพิ่มเติมกาลัง
กรมจะใช้เครื่องกีดขวาง ทั้งที่มีอยู่และที่สร้างขึ้น เพื่อรบกวน ชักจูง และกาหนดรูป ขบวนการเข้าตีของ
ข้าศึกโดยการบีบบังคับข้าศึกให้เข้าไปในพื้นที่ที่ไม่เกื้อกูล ที่ซึ่งกาลังเฉพาะกิจ ผสมเหล่าจะสามารถรวมการยิง
ตรงหน้าและทางปีกได้จากที่มั่นรบที่มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในขณะที่กาลังเฉพาะกิจอื่นๆ ทาการโจมตี
ข้าศึกในทางลึก
ในบางภารกิจหรือบางสถานการณ์ กรมอาจได้รับการสนับสนุน หน่วยหรืออาวุธยุทโธปกรณ์พิเศษ
ดังต่อไปนี้
- ฮ.โจมตี จะใช้ทาการคุ้มกัน กาลังขณะตีโต้ตอบหรือกาลังที่ปฏิบัติการ รบหน่วงเวลา โจมตีต่อกาลัง
ข้าศึกในระลอกที่ตามมาในทางลึก
- สงครามอิเล็ก ทรอนิ กส์ จะใช้ในการท าลายขีดความสามารถของข้ าศึ กในการบัง คับ บัญ ชาและ
ควบคุมหน่วย รวมทั้งทาลายความประสานสอดคล้องของ ป.สนาม และการสนับสนุนทางอากาศของข้าศึก
- ควัน จะใช้ในการกาบังที่ตั้งของฝ่ายเรา ตัดแยกกาลังระลอกต่างๆของข้าศึก ลดขีดความสามารถใน
การค้นหาเป้าหมายของข้าศึกและหน่วงเหนี่ยวการดาเนินกลยุทธ์ของข้าศึก
เมื่อแรงหนุนเนื่องในการรุกของข้าศึกเริ่มช้าลง ฝ่ายตั้งรับจะฉวยโอกาสในการเข้าตีด้วยกาลังจานวน
น้อย หรือกาลังที่ยังไม่ได้ใช้ (โดยจะต้องอยู่ในเจตนารมณ์ของหน่วยเหนือ) ฝ่าย ตั้งรับจะได้มาซึ่งความริเริ่มใน
การปฏิ บัติ การทางยุท ธวิธี ด้วยการผสมผสานการทาลายอ านาจก าลั งรบของข้ าศึ กร่วมกั บการปฏิบั ติก าร
จิตวิทยา เพื่อทาลายกาลังใจในการสู้รบของข้าศึก ความมีเสรีในการปฏิบัติการรุกในขณะตั้งรับ จะขึ้นอยู่กับ
เจตนารมณ์ของ ผบ.หน่วยเหนือ ซึ่งบางครั้งกรมอาจได้รับคาสั่งให้ควบคุมภูมิประเทศสาคัญถ้าภูมิประเทศนั้น
เกื้ อ กู ล หรือ ก่ อ ให้ เกิ ด โอกาสส าหรับ หน่ วยเหนื อ ที่ จ ะเปลี่ ย นไปสู่ ก ารรุก การตั้ ง รั บ ของกรมจะต้ อ งด ารง
จุดมุ่งหมายในการให้ได้มาซึ่งความริเริ่ม หรือก่อให้เกิดโอกาสสาหรับหน่วยเหนือที่จะเปลี่ยนไปสู่ การรุก
๓-๒
หลักพื้นฐานการตั้งรับ
การปฏิบัติการตั้งรับที่เหมาะสมจะใช้โอกาสทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อครองความริเริ่ม เมื่อข้าศึกที่เข้าตีได้เริ่ม
ปฏิบัติการและเคลื่อนที่เข้าสู่พื้ นที่ตั้งรับ ผบ.กรมจะทาการโจมตีข้าศึกด้วยการยิงและการตีโต้ตอบที่ รุนแรง
ภายในพื้นที่ที่ได้เตรียมไว้ โดยขึ้นอยู่กับการประมาณสถานการณ์ ของ ผบ.กรมเอง และแนวทางในการปฏิบัติ
ของ ผบ.หน่วยเหนือ, ผบ.กรมจะตกลงใจว่าจะรวมกาลังตั้งรับหลัก ณ ที่ใด และจะออมกาลัง ณ ที่ใด จากนั้นก็
จะกาหนดภารกิจ จัดวางกาลัง การยิง และการสนับสนุนอื่นๆ และจัดลาดับความเร่งด่วนของหน่วยต่าง ๆ ใน
การรบ
ผบ.กรมอาจเลือกที่จะทาการตั้งรับหน้าแนวหรือในทางลึกโดยขึ้นอยู่กับปัจจัย METT-TC
สาหรับการตั้งรับด้านหน้าเขตรับผิดชอบ สามารถทาได้ ทั้งโดยการใช้กาลังในแนวหน้าในขั้นต้น หรือ
โดยการวางแผนตีโต้ตอบค่อนไปข้างหน้าของพื้นที่ตั้งรับหลัก หรือข้างหน้าพื้นที่ตั้งรับหลักก็ตาม การตั้งรับ
ในทางลึก อาจใช้เมื่อภารกิจมีข้อจากัดน้อย, เขตการตั้งรับมีความลึก และมีภูมิประเทศสาคัญกระจายอยู่ในทาง
ลึกของเขตปฏิบัติการ การตั้งรับในทางลึกจะขึ้นอยู่กับกาลังส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ระวังป้องกัน และกาลังส่วน
หน้าในพื้นที่ตั้งรับหลักที่จะค้นหา ที่ตั้งของส่วนปฏิบัติการหลักของข้าศึก ปีกของส่วนปฏิบัติการหลักของข้าศึก
จะถูกตีโต้ตอบ เพื่อให้โดดเดี่ยวและถูกทาลายใน พื้นที่ตั้งรับหลัก
แบบหลักของการตั้งรับ
แบบหลักของการตั้งรับ มี ๒ แบบ คือ การตั้งรับแบบคล่องตัว และ การตั้งรับแบบยึดพื้นที่ เมื่อกรม
เป็น หน่ วยในการตั้งรับแบบคล่ องตัว กรมอาจถูกใช้ในบทบาทรั้ง หน่ วงและ/หรือเป็ นกองหนุ นของกองพล
สาหรับการตั้งรับแบบยึดพื้นที่ กรมอาจจะวางกาลังในพื้นที่ตั้งรับหน้า หรือเป็นกองหนุน
การตั้งรับแบบคล่องตัว จะใช้กองหนุนขนาดใหญ่เพื่อตีโต้ตอบ และทาลายกาลังของข้าศึก
การตั้งรับแบบยึดพื้นที่ จะมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การยึดภูมิประเทศ และทาลายกาลังข้าศึกด้วยการยิงจาก
ที่มั่น ซึ่งมีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน
การตั้งรับทั้ง ๒ แบบ จะใช้ทั้งกาลังที่อยู่กับที่ และกาลังที่เคลื่อนที่ เพื่อกาหนดรูปแบบของสนามรบ
ข้อได้เปรียบหลักของฝ่ายตั้งรับ ก็คือ เวลาในการเตรียมการและความคุ้น เคยกับภูมิประเทศ ฝ่ายตั้งรับจะตี
โต้ตอบเพื่อทาลายกาลังข้าศึกที่หยุดชะงักและเสียระเบียบ โดยได้รับการป้องกันจากที่มั่นตั้งรับต่าง ๆ ของตน
ผบ.กรม จัดพื้นที่การรบในการตั้งรับโดยอาจกาหนด เขตรับผิดชอบ, ที่มั่นรบ, จุดต้านทานแข็งแรง หรือทั้ง ๓
แบบผสมกันให้แก่กองพันที่เป็นหน่วยรอง
เขตรับผิดชอบ จะเป็นมาตรการควบคุมที่จากัดน้อยที่สุดซึ่งจะทาให้กองพันมีเสรีในการวางแผนการ
ดาเนินกลยุทธ์และการยิงแบบแยกการ ผบ.พัน . ต่าง ๆ จะมีเสรีอย่างเต็มที่ในการกาหนดที่มั่นหรือดาเนินกล
ยุทธ์ภายในเขตของตน แต่จะต้องป้องกันการเจาะในเขตหลังของตนไว้ด้วย
ที่มั่นรบ จะใช้เมื่อ ผบ.กรม ต้องการระดับการควบคุมที่สูงขึ้นในการดาเนินกลยุทธ์และการกาหนด
ที่ตั้งกองพันต่าง ๆ
จุดต้านทานแข็งแรง เป็นที่มั่นตั้งรับที่มีการดัดแปลงเป็นป้อมค่าย จุดต้านทานเป็นที่มั่นต่อสู้รถถังที่
สาคัญยิ่ง ซึ่งรถถังจะไม่สามารถบดขยี้ หรืออ้อมผ่านได้อย่างง่ายดายและจุดต้านทานที่แข็งแรง สามารถทาลาย
ได้ก็ด้วยทหารราบเท่านั้น รวมทั้งต้องใช้เวลา และกาลัง ที่เหนือกว่าอย่างมาก จุดต้านทานแข็งแรงจะตั้งอยู่
บริเวณภูมิประเทศที่สาคัญต่อการตั้งรับ หรือที่ตั้งซึ่งจะขัดขวางต่อ ข้าศึก จุดต้านทานแข็งแรงสามารถใช้เพื่อ
บังคับ, ยับยั้ง หรือตรึงฝ่ายเข้าตี และจาเป็นต้องใช้การสนับสนุนจากหน่วยทหารช่างเป็นอย่างมาก เพื่อจัดตั้งจุด
ต้านทานแข็งแรงที่สามารถบรรลุภารกิจได้อย่างแท้จริง
๓-๓
โครงร่างของการตั้งรับ
การปฏิบัติการตั้งรับจะถูกจัดออกเป็น ๕ ส่วน ซึ่งมีความประสานสอดคล้องกัน คือ
- การปฏิบัติการทางลึกในพื้นที่ข้างหน้าแนวหน้าการวางกาลังฝ่ายเดียวกัน (FLOT)
- การปฏิบัติการของส่วนระวังป้องกันออกไปข้างหน้าและทางปีกของกาลังตั้งรับ
- การปฏิบัติการตั้งรับในพื้นที่ตั้งรับหลัก
- การปฏิบัติการของกองหนุนเพื่อสนับสนุนกาลังในพื้นที่ตั้งรับหลัก
- การปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง
กรมอาจปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ กันภายในโครงร่างของการตั้งรับทั้ง ๕ ส่วนนี้
การปฏิบัติการทางลึก ที่กรมควบคุมส่วนใหญ่จะได้แก่ การขัดขวางทางอากาศในสนามรบ การใช้ ป.
สนาม และสงครามอิเล็กทรอนิกส์ หรือกรมอาจทาการเข้าตีผ่านแนวหน้าการวางกาลังฝ่ายเดียวกันในการปฏิบัติ
ตามแผนการปฏิบัติการทางลึกของหน่วยเหนือ สาหรับการปฏิบัติการทางลึกของกองพัน นั้น สามารถใช้เครื่องยิง
ลูกระเบิดที่มีอยู่ในอัตรา ทาการยิงต่อกาลังระลอกสอง (ระดับกองร้อย) ของฝ่ายตรงข้ามได้
ส่วนระวังป้องกัน ให้กับหน่วยเหนือ โดยเป็นส่วนหนึ่งของส่วนระวัง ป้องกัน หรืออาจทาการระวัง
ป้องกันตนเอง (แม้ว่าจะไม่เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ ) โดยปกติกรมจะตั้งรับภายในพื้นที่ตั้งรับหลัก หรือปฏิบัติเป็น
กองหนุนให้กับหน่วยเหนือ
การปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง ของกรมจะรวมถึงการป้องกันตนเองของหน่วยต่าง ๆ รวมทั้งการป้องกัน
และรักษาเส้นทางการคมนาคม กรมมักจะกาหนดกาลังทางยุทธวิธี (ระดับกองร้อย) ขึ้น เพื่อตอบโต้การคุกคาม
ของข้าศึก หรือกรมอาจถูกกาหนดให้เป็นกาลังทางยุทธวิธี เพื่อสนับสนุนแผนปฏิบัติการของหน่วยเหนือ
โดยไม่คานึงถึงว่ากรมกาลังปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับอยู่ ณ ที่ใด กรมจะทาการตั้งรับ รั้งหน่วง เข้าตี หรือ
เป็นฉากกาบัง โดยเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งรับของหน่วยเหนือ แผนการตั้งรับของกรมจะต้องมีความประสาน
สอดคล้องต่อระบบปฏิบั ติการในสนามรบโดยตลอดพื้ นที่ป ฏิบัติก ารตั้ ง รับ ซึ่ง ระบบปฏิบั ติการในสนามรบ
ประกอบด้วย การข่าวกรอง การดาเนินกลยุทธ์ การสนับสนุนทางอากาศ การสนับสนุนจาก ป.สนาม การ
ป้องกันภัยทางอากาศ การสนับสนุนทางการช่าง การสนับสนุนการรบ/การสนับสนุนการช่วยรบ และการบังคับ
บัญชาและการควบคุม
การแบ่งพื้นที่ในการตั้งรับ
พื้นที่ในการตั้งรับ แบ่งออกเป็น ๔ พื้นที่ คือ
๑. พื้นที่ทางลึก
๒. พื้นที่ส่วนระวังป้องกัน
๓. พื้นที่ตั้งรับหลัก
๔. พื้นที่ส่วนหลัง
การวางแผนการตั้งรับ
ผบ.กรม ต้ องเข้าใจอย่า งถ่อ งแท้ ในเจตนารมณ์ ของผบ.พล.และแม่ ทั พ น้ อย และกาหนดแผนการ
ปฏิบัติการของกรมให้สอดคล้องกับแผนโดยส่วนรวม เจตนารมณ์ของ ผบ.พล จะแจ้งอย่างละเอียดทั้งด้วยวาจา
และ/หรือ ลายลักษณ์ อั กษร ซึ่ งจะก าหนดบทบาทของกรมไว้ในการปฏิ บัติการรบภายในกรอบของกองพล
๓-๔
การเข้ าใจในเจตนารมณ์ ของ ผบ.พล. กิ จเฉพาะและกิ จแฝงต่ า งๆ จะก่ อ ให้ เกิ ด ความริ เริ่ ม และประกั น ถึ ง
ความสาเร็จของภารกิจ และในทานองเดียวกัน ผบ.กรม ก็จะแจ้งเจตนารมณ์ของตนต่อหน่วยรองต่อไป
ผบ.กรม ควรวางแผนในส่วนที่สาคัญของแนวตั้งรับร่วมกับ ผบ.พัน ทุกคนของตน ซึ่งถ้าไม่สามารถทา
ได้อย่างน้อยที่สุดควรให้หน่วยรองต่างๆ บรรยายสรุปกลับให้ตนทราบถึงแผนเหล่านั้น ซึ่งจะเป็นการประกันว่า
หน่วยรองต่างๆ เข้าใจในเจตนารมณ์ของตน และจะช่วยเสริมแผนต่างๆ ให้สอดคล้องกับแนวทางในการตั้งรับ
ส่วนรวมทั้งหมด และอย่างน้อยที่สุด ผบ.กรม จะต้องพิจารณาถึง:
- การจัดเตรียมสนามรบด้านการข่าว
- อานาจกาลังรบของหน่วยดาเนินกลยุทธ์ของฝ่ายเรา
- ที่ตั้งกองหนุนและแผนการดาเนินกลยุทธ์ของฝ่ายเรา
- ความล่อแหลมต่ออาวุธนิวเคลียร์และเคมีของข้าศึก
- ผลกระทบของการปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลังและในทางลึก
- การใช้อานาจกาลังรบเพิ่มเติม - การยิง, เครื่องกีดขวาง, สงครามอิเล็กทรอนิกส์, บ.ทบ.
- ความสามารถในการสนับสนุนทางการส่งกาลังในแต่ละหนทางปฏิบัติ
- ปัจจัยด้านบุคคล - การฝึก, ขวัญ, ประสบการณ์ของหน่วยรอง
การปฏิบัติการตั้งรับของกรม
การต่อต้านการลาดตระเวน
ลาดับแรกที่กรมจะต้องเอาชนะในการปฏิบัติการรบในการตั้งรับ ก็คือ การต่อต้า นการลาดตระเวนซึ่ง
จะเป็นส่วนหนึ่งที่รวมอยู่ในภารกิจระวังป้องกันของกรม จุดมุ่งหมายในการลาดตระเวนของข้าศึก ก็เพื่อยืนยัน
หรือปฏิเสธความตั้งใจและการวางกาลังของหน่วยที่ข้าศึกจะเข้าตี การต่อต้านการลว.ประกอบด้วยมาตรการ
เชิงรุกที่กาหนดขึ้น เพื่อค้นหา, ตรึง และทาลายพร้อมกับมาตรการเชิงรับที่กาหนดขึ้นเพื่อ ปกปิด, ลวง และ ทา
ให้หน่วยลาดตระเวนของข้าศึกสับสน กรมจะต้องรวมมาตรการเหล่านี้เข้ากับแผนการ ลว. และ การเฝ้าตรวจที่
กาหนดขึ้น เพื่อป้องกันข้าศึกจากการตรวจการณ์และรายงานกาลัง การประกอบกาลังและที่ตั้งของกรมรวมทั้ง
เครื่องกีดขวางต่าง ๆ ข้อเพ่งเล็งหลักของกรมในการต่อต้านการลาดตระเวนก็คือ การให้และการประสานด้าน
ข่าวกรอง และการยิงสนับสนุน เพื่อช่วยกองพันต่าง ๆ ในการพิสูจน์ทราบ, ตรึง และทาลายกาลังลาดตระเวน
ของข้าศึก
การปฏิบัติการในทางลึก
ในการตั้งรับการปฏิบัติการในทางลึกจะป้องกันมิให้ข้าศึกรวมอานาจกาลังรบในการเข้าบดขยี้กาลังฝ่าย
เรา โดยการรบกวนแรงหนุนเนื่องของข้าศึก และทาลายความเป็นปึกแผ่นในการเข้าตีของข้าศึก การใช้การยิง
สนับสนุนและสงครามอิเล็กทรอนิกส์เข้าโจมตีทางลึกอย่างได้ผลจะขึ้นอยู่กับ การจัดเตรียมสนามรบด้านการ
ข่าวและการวางแผนอย่างละเอียด และต่อเนื่อง เพื่อให้การปฏิบัติการในทางลึกได้ผล นยส., ฝอ.๓ และ ฝอ.
๒ ต้องประสานการปฏิบัติกันอย่างเต็มที่และกาหนดการปฏิบัติการในทางลึกต่าง ๆ ในทุกขั้นของการตั้งรับ
การปฏิบัติการระวังป้องกัน
กรม สามารถปฏิบัติการเป็นส่วนระวังป้องกัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการตั้งรับ ของกองพลหรือ
กองทัพน้อย การปฏิบัติการของส่วนระวังป้องกัน ประกอบด้วยส่วนกาบัง (COVER) การคุ้มกัน (GUARD) และ
ฉากกาบัง (SCREEN) แต่ภารกิจที่จะปฏิบัติไ ด้ดีที่สุด ก็คือ การเป็นส่วนกาบัง จุ ดประสงค์พื้น ฐานของส่วน
กาบังในการตั้งรับก็เพื่อ
- เอาชนะและทาลายส่วนลาดตระเวนของข้าศึกที่พยายามเจาะผ่านพื้นที่ของส่วน ระวังป้องกัน
๓-๕
- บังคับให้ข้าศึกต้องกระจายกาลังรวมทั้งบีบบังคับทิศทางเข้าตีของข้าศึกให้เข้าสู่พื้นที่การวางกาลังส่วน
ใหญ่ของฝ่ายเรา
- ให้เวลาแก่ส่วนใหญ่ในการปรับกาลังไปข้างหน้าและในเวลาต่อไป
- ทาลายกาลังข้าศึกในพื้นที่ระวังป้องกันตามภารกิจและขีดความสามารถของส่วนกาบัง
เพื่อปฏิบัติเช่นนี้ กรมจะตั้งรับ หรือรั้งหน่วงเพื่อตัดแยกส่วนลาดตระเวนต่างๆของข้าศึก ทาลายกอง
ระวังหน้า บังคับให้ข้าศึกต้องกระจายกาลังส่วนใหญ่ และทาให้ข้าศึกต้องใช้ ป. และกาลังระลอกที่๒เข้าร่วมใน
การเข้าตีต่อกาลังที่ตั้งรับ เมื่อข้าศึกได้เคลื่อนย้ายกาลังได้ใช้ ป.สนามและรวมกาลังต่าง ๆ สาหรับการเข้าตีหลัก
ก็จะเป็นการเปิดเผยถึงส่วนเข้าตีหลักต่อฝ่ายเรา ส่วนระวังป้องกันของกรมควรพยายามไม่ ให้ข้าศึกทราบถึง
ตาแหน่งที่แท้จริงของพื้นที่ตั้งรับหลัก ในการปฏิบัติเช่นนี้กรมจะทาการรบข้างหน้าพื้นที่ตั้งรับหลักให้ไกลออกไป
ให้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ เพื่อให้สามารถเตรียมพื้นที่ตั้งรับหลักได้อย่างสมบูรณ์ หน่วยเหนือจะเป็นผู้กาหนด
พื้นที่ระวังป้องกันโดยเริ่มจากแนวที่คาดว่าจะเริ่มปะทะกับข้าศึก และเลยมาข้างหลังถึงแนวโอนการรบ (BHOL)
กรมเมื่อทาการรบในฐานะเป็นส่วนระวังป้องกัน จะทาการรบตามลาดับจากเขตหรือที่มั่นรบต่าง ๆ ที่มี
การประสานกันเป็นอย่างดี และมีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน เมื่อได้รับคาสั่งกรมจะส่งมอบการรบให้แก่กาลัง
ในพื้นที่ตั้งรับหลัก จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ที่กาหนดและเตรียมที่จะปฏิบัติการอื่น ๆ ต่อไป โดยปกติที่
รวมพลของกรมมักจะอยู่ค่อนไปข้างหลังแต่ยังคงอยู่ในพื้นที่ตั้งรับหลัก ณ ที่รวมพลนี้ กรมจะเพิ่มเติมอาวุธ
น้ามันเชื้อเพลิง จัดกาลังใหม่และเตรียมกลับเข้าปฏิบัติการรบต่อไป
การควบคุมส่วนระวังป้องกัน
ระดับของการบังคับบัญชาที่ใช้ควบคุมส่วนระวังป้องกัน มักจะขึ้นอยู่กับความกว้าง และความลึกของ
พื้นที่ระวังป้องกัน , ขีดความสามารถของ ผบ.หน่วย ในการติดต่อสื่อสารกับหน่วยรอง บก.ควบคุมที่มีอยู่ และ
จานวนของหน่วยระดับกองพันที่ปฏิบัติการในพื้นที่ระวังป้องกัน โดยปกติกองพลหรือกองทั พน้อยจะเป็น ผู้
ควบคุมส่วนระวังป้องกัน
การปฏิบัติการของส่วนระวังป้องกัน
ขนาดและการประกอบกาลังของส่วนระวังป้องกัน จะขึ้นอยู่กับการประมาณสถานการณ์ ของผบ.หน่วย
ซึ่งมีผลมาจากปัจจัย METT-T โดยปกติส่วนระวังป้องกันมักจะจัดรถถังเป็นหลัก กรมซึ่งเป็นส่วนระวังป้องกัน
ของกองพลอาจประกอบด้วย พัน.ฉก. ที่มี ถ. เป็นหลักถึง ๔ กองพัน สมทบด้วยหน่วยลาดตระเวน, ฮ.โจมตี, ป.
สนาม, ปตอ., หน่วยข่าวกรอง และ ช. รวมทั้งอาจ เพิ่มเติมการสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิดให้ เพื่อเพิ่มเติม
อานาจกาลังรบของหน่วยดาเนิน กลยุทธ์ในพื้นที่ระวังป้องกัน หน่วย ป.สนาม ในพื้นที่ตั้งรับหลักจะตั้งล้าไป
ข้างหน้า เพื่อสนับสนุนให้แก่หน่วยในพื้นที่ระวังป้องกัน เมื่อกรมได้รับภารกิจให้เป็นส่วนระวังป้องกัน หน่วย
รองต่าง ๆ จะปฏิบัติภารกิจตามที่ ผบ.กรม กาหนด เนื่องจากการระวังป้องกันจะได้มาก็โดยการให้หน่วย ใน
พื้นที่ตั้งรับหลักมีเวลาที่จะตอบโต้ และมีพื้นที่ในการดาเนินกลยุทธ์ ดังนั้นความลึกของพื้นที่ระวังป้องกันก็จะมี
ผลต่อการแบ่งมอบกาลังและภารกิจ เมื่อเปรียบเทียบเวลา กับระยะทางที่ ต้องการ กรมสามารถแบ่งมอบกาลัง
แก่ส่วนระวังป้องกันให้มากขึ้น หรืออาจมอบระยะทางให้มากขึ้นในพื้นที่ระวังป้องกันก็ได้ โดยถือเป็นหลักข้อ
หนึ่งซึ่งอย่างน้อยที่สุดพื้นที่ระวังป้องกันในการตั้งรับควรมีความลึก ๒๐ กม. เพื่อบังคับให้ข้าศึกต้องใช้กาลัง
สนับสนุน การรบก่อนการเข้าตีต่อพื้นที่ตั้งรับหลัก การเคลื่อนย้ายที่ตั้งของ ป. และ ปตอ. ข้าศึกจะเป็นสิ่งที่
แสดงให้เห็นถึงส่วนปฏิบัติการหลัก เมื่อพื้นที่ระวังป้องกันค่อนข้างตื้น ส่วนระวังป้องกันอาจจะทาได้ก็แต่เพียง
แจ้งเตือนล่วงหน้าถึงการเข้าตีหลัก และขับไล่ส่วนลาดตระเวนของข้าศึกเท่านั้น ส่วนระวังป้องกันไม่จาเป็นต้อง
ถอนตัวออกมาทั้ งหมดโดยทันที เมื่ อกาลังข้าศึกส่วนแรกเคลื่อนที่ ถึงพื้ นที่ตั้ งรับหลัก การถอนตัวแบบทยอย
๓-๖
จะช่วยให้โอกาสแห่งความสาเร็จของส่วนรวมดีขึ้น แม้ว่ากาลังบางส่วนของส่วนระวังป้องกันได้ถอนตัวตาม
แนวทางเคลื่อนที่ต่าง ๆ เข้ามาแล้ว กาลังส่วนระวังป้องกันที่เหลือก็จะทาการรบต่อไป และดารงการเฝ้าตรวจ
ต่อไปข้างหน้าพื้นที่ตั้งรับหลัก ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการรบกวนการประสานงานและการลาดตระเวนของข้าศึก การ
ถอนตัวแบบทยอยของส่วนระวังป้องกัน จะสามารถเกื้อกูลต่อการตีโต้ตอบหน้าพื้ นที่ตั้งรับหลักได้โดยรายงาน
การตรวจการณ์ และแจ้งถึงปี กเปิดของข้าศึกที่ เจาะเข้ามา ในบางครั้ง ส่วนระวัง ป้องกันสามารถใช้โจมตีต่ อ
ด้านหลังของกาลังระลอกแรกก็ได้หรือ อาจใช้ระหว่างกาลังระลอกต่าง ๆ เพื่อตัดแยกหน่วยนาของข้าศึกก็ได้
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ฮ.โจมตีจะเป็นกองหนุนในการ ตีโต้ตอบในเวลากลางวันที่ดียิ่งของส่วนระวังป้องกัน
การโอนการรบ
กรมในพื้นที่ตั้งรับหลักเข้ารับผิดชอบการรบ เมื่อส่วนระวังป้องกันต่าง ๆ เริ่มถอนกาลัง รบผ่านแนวโอน
การรบ ซึ่ง ผบ.หน่วยเหนือจะเป็นผู้กาหนดแนวโอนการรบ ส่วน ผบ.หน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลัก และ ผบ.หน่วย
ระวังป้องกัน จะประสานแนวโอนการรบที่แน่นอน และเสนอแนะการเปลี่ยนแปลงต่อ ผบ.หน่วยเหนือ แนวโอน
การรบเป็นแนวที่กาหนดขึ้นบนภูมิประเทศในลักษณะของแนวขั้น และจะกาหนดไว้ในแผน/คาสั่งยุทธการ หรือ
คาสั่งเป็นส่วน ๆ ตามความเหมาะสม รวมทั้งจะต้องกาหนดมาตรการควบคุมบนภูมิประเทศในการผ่านแนวมาข้าง
หลังขึ้นด้วย แนวโอนการรบจะเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างพื้นที่ของส่วนระวังป้องกัน และพื้นที่ของหน่วยในพื้น
ที่ตั้งรับหลัก กาลังส่วนใหญ่ของหน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลักมักจะวางกาลังอยู่ระหว่าง ขนพร.และเส้นเขตหลังของ
กรม แต่อย่างไรก็ตาม ผบ.หน่วยในพื้นที่ ตั้งรับหลักจะควบคุมพื้ นที่หน้าแนว ขนพร.ไปจนถึงแนวโอนการรบ
ผบ.พื้นที่ตั้งรับหลักสามารถจัดส่วนระวังป้องกัน , เครื่องกีดขวาง และการยิงในพื้นที่นี้ เพื่อหันเหข้าศึกหรือเพื่อ
ช่วยในการถอนตัวของส่วนระวังป้องกั น แนวโอนการรบจะแสดงถึงตาบลที่ส่วนระวังป้องกันจะส่งมอบการ
ควบคุมการรบให้กับกาลังใน พื้นที่ตั้งรับหลัก แนวโอนการรบมักจะอยู่ในระยะ ๒-๔ กม.หน้าแนว ขนพร. ซึ่ง
กาลังในพื้นที่ ตั้งรับหลักจะสามารถใช้การยิงเล็งตรง และการยิงเล็งจาลองที่มีการตรวจการณ์ต่อข้าศึก เพื่ อ
ช่วยเหลือการปฏิบัติต่างๆ ของส่วนระวังป้องกันตามความเหมาะสม (เช่น การผละจากการรบ, การถอนตัว ,
หรือการผ่านแนว) และหน่วยในพื้นที่ตั้งรับหลักจะประสานช่องทางผ่านแนว และรายละเอียดอื่น ๆ ถ้าทาได้
ควรกาหนดเส้นแบ่งเขตทางข้างของหน่วยที่เป็นส่วนระวังป้องกันให้สอดคล้องกันกับเส้นแบ่งเขตของกรมต่างๆ
ในพื้นที่ตั้งรับหลัก กรมจะใช้ข้อพิจารณาเดียวกันนี้ในการจัด และควบคุมส่วนระวังป้องกันของตน ส่วนระวัง
ป้องกันจะยังคงดารงเสรีในการดาเนินกลยุทธ์ไว้ จนกว่าจะได้ผ่านแนวโอนการรบ ส่วนระวังป้องกันควรถอนตัว
ผ่ า นหน่ ว ยในพื้ น ที่ ตั้ ง รั บ หลั ก ให้ เร็ ว ที่ สุ ด เท่ า ที่ ท าได้ โดยการใช้ จุ ด ผ่ า นหลายๆ จุ ด หน่ ว ย ป.ชร. และ
ป.ชร.- พย. ในพื้นที่ระวังป้องกันจะผ่านจุดผ่านต่างๆ ก่อนหน่วย ป.ชต., ป.พย. และที่ขึ้นสมทบในพื้นที่ระวัง
ป้องกัน เมื่อหน่วย ป.ชร.และป.ชร.- พย. อยู่ในที่ตั้งพร้อมที่จะสนับสนุนแล้ว หน่วย ป. ที่ยังเหลืออยู่ก็จะผ่าน
จุดผ่านต่าง ๆ ก่อนกาลังส่วนดาเนินกลยุทธ์ และเมื่อหลังจากส่งมอบการรบ การจัด ป. เข้าทาการรบและความ
รับผิดชอบในการยิงสนับสนุนก็จะเปลี่ยนไปเท่าที่จาเป็น เพื่อสนับสนุนพื้นที่ตั้งรับหลัก
๓-๗
พื้นที่ตั้งรับหลัก
ส่วนมากผลของการรบมักจะตัดสินกันในพื้นที่ตั้งรับหลัก กรมต่างๆ จะต้องปรับการปฏิบัติของส่วนตั้ง
รับหลัก เพื่อทาลายการเข้าตีโดยขึ้นอยู่กับข่าวสารที่ได้รับในระหว่างการ ปฏิบัติการของส่วนระวังป้องกัน กรมที่
ปฏิบัติการตั้งรับจะรวบรวมกาลังที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่ทาได้ เพื่อการปฏิบัติการแตกหักต่อส่วนเข้าตีหลักของข้าศึก
และใช้หน่วยเหล่านี้ปฏิบัติด้วยความรุน แรงที่สุดเท่าที่จะทาได้ เมื่อข้าศึกเข้าปฏิบัติการในพื้นที่ตั้งรับหลัก กรม
ต่าง ๆ จะอานวยการและควบคุมการรบโดยใช้การยิงเล็งตรง, การยิงเล็ง จาลอง และการดาเนินกลยุทธ์ต่ อ
ข้าศึกที่เข้าโจมตี การสนับสนุนทางอากาศ, สงครามอิเล็กทรอนิกส์, ฮ.โจมตี, ช.สนาม, อาวุธต่อสู้อากาศยาน,
การยิงสนับสนุนจากกาลังทางเรือ, ป.ชร. และ ป.ชต. จะช่วยกองพันดาเนินกลยุทธ์ในการทาลายกรมของข้าศึก
ที่ทาการเข้าตี กองพลจะสนับสนุนการสู้รบของกรมได้โดยการเพิ่มเติมกาลัง, การสนับสนุนการรบ และการ
สนับสนุนการช่วยรบ, อานวยการปฏิบัติการของกรมในแนวหน้า และใช้กองหนุนของกองพลเมื่อจาเป็น พร้อม
กันนี้กองพลจะปฏิบัติการรบต่อกาลังระลอกหลังของข้าศึก, อานวยการในเรื่องฉากขัดขวางของ ช.พล และการ
ยิงต่อต้าน ป. การปฏิบัติการของกรมจะเน้นในการปฏิบัติการตามแผนของกองพันต่างๆ ซึ่งอยู่ในแนวทางการ
ปฏิบัติเป็นส่วนรวมของกรม และใช้ความริเริ่มของแต่ละกองพันให้สอดคล้องกับภารกิจต่างๆ ตามคาสั่ง กรม
จะกาหนดส่วนปฏิบัติการหลักขึ้นหนึ่งส่วน โดยที่แผนของกองพันต่างๆ และการปฏิบัติของหน่วยสนับสนุนการ
รบ จะต้องสอดคล้องกันเพื่อสนับสนุนส่วนปฏิ บัติการหลักนี้ ผบ.กรม และ ผบ.พัน. จะวางแผนและลาดตระเวน
เขตรับผิดชอบ, ที่หมายตีโต้ตอบ, เส้นทางตีโต้ตอบและที่มั่นรบต่างๆ ในทางลึกโดยตลอดพื้นที่ปฏิบัติการของตน
ผบ.หน่วยจะอานวยการรบได้โดยการกาหนดเขตหรือที่มั่นที่จะให้หน่วยต่างๆ เข้ายึดครอง, กาหนดสิ่งที่หน่วย
ต่าง ๆ จะต้องปฏิบัติ ณ ที่มั่น เหล่านั้น (ตั้งรับ, รบหน่วงเวลา, เข้าตี หรือระวังป้องกัน) และกรรมวิธีในการยิง
สนับสนุน ซึ่งจะสนธิรวมเข้ากับการรบในแต่ละพื้นที่ กรมจะทาการตั้งรับ โดยทาให้ข้าศึกต้องเผชิญกับกองพัน
ที่เข้มแข็งซึ่งตั้งอยู่ในเขตของกรม เมื่อหน่วยเข้าตีของข้าศึกเคลื่อนที่เข้าสู่พื้นที่ตั้งรับหลัก กรมก็จะทาการหน่วง
เหนี่ยว, ยับยั้ง, แยก, หรือโจมตีต่อข้าศึกโดยกรมจะใช้การยิงตรงหน้าและทางปีกจาก พัน.ฉก.ที่อยู่ในที่ตั้ง และ ฮ.
โจมตี การซุ่มโจมตีและการใช้กองหนุนต่อปีกและหลังของข้าศึก และการรวมการยิงสนับสนุ นที่เป็นกลุ่มก้อน
เครื่องกีดขวางต่าง ๆ จะถูกใช้เพื่อหน่วงเหนี่ยว, ชักจูง และรบกวนการปฏิบัติของข้าศึก เครื่องกีดขวางและการ
ยิงจะเป็นส่วนสาคัญยิ่งในการ ตัดแยกการรวมกาลังของข้าศึก, ลดขีดความสามารถในการเคลื่อนย้าย และทาให้
การบังคับบัญชาและการควบคุมของข้าศึกสับสนโดยบังคับให้ข้าศึกต้องทาการรบหลายทิศทาง แผนของ ผบ.กรม
มักจะรวมการตั้งรับในพื้นที่โล่งแจ้งและตาบลบังคับต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การตีโต้ตอบจะถูกใช้เพื่อขยายผลต่อ
กาลังข้าศึกที่แยกจากกัน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเสมอ ผบ.กรม และผู้วางแผนจะต้องตระหนักถึงความเป็นไปได้ของ
การเจาะในพื้นที่ตั้งรับหลัก เมื่อกรมสู้รบกับหน่วยเคลื่อนที่เร็วขนาดใหญ่ ผบ.กรมอาจอนุญาตให้มีการเจาะใน
บางส่วนตามแนวความคิดในการปฏิบัติ ถ้าการเจาะในพื้นที่ตั้งรับหลักหรือการแยกจากกันของหน่วยข้างเคียง
เกิดขึ้น กาลังในพื้นที่ตั้งรับหลัก ก็จะต้องทาการสู้รบต่อไปภายในเจตนารมณ์ของผบ.หน่วย ซึ่งแต่ละหน่วยจะ
ทาการป้ องกั น ปี ก ของตนเอง ผบ.กรม จะย้ ายการยิ งสนั บสนุนเพื่ อลดขี ดความสามารถของข้าศึกในการใช้
ประโยชน์จากการเจาะนั้น การเตรียมแผนการตีโต้ตอบจะถูกรวมเข้าไว้กับการต่อสู้ในพื้นที่การรบหลัก
การปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง
พื้นที่ส่วนหลังของกรม จะเริ่มจากเส้นเขตหลังของกองพันในแนวหน้าไปยังเส้นเขตหลังของกรม หน่วย
ต่าง ๆ ในพื้นที่ส่วนหลังของกรมจะรับผิดชอบในการวางแผนป้องกันต่อการคุกคามของข้าศึก การปฏิบัติต่าง ๆ
ต่อการคุกคามในพื้นที่ส่วนหลังจะมีผลทาให้ภารกิจของกรมต้องเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก การยิงสนับสนุนซึ่ง
มีขีดความสามารถในการย้ายการยิงในพื้นที่การรบได้เร็วกว่าอานาจกาลังรบแบบอื่น ๆ จะเป็นหัวใจสาคัญใน
การปฏิบัติการในพื้นที่ส่วนหลัง
๔-๑
ภาคที่ ๔
การปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย
การถอนตัวภายใต้การกดดันของข้าศึก
ถ้าสามารถทาได้ควรหลีกเลี่ยงการถอนตัวภายใต้ความกดดันของข้าศึก หากจาเป็นต้องปฏิบัติ กอง
พันในแนว ขนพร. จะต้องจัดให้มีส่วนกาบังเพื่อให้การป้องกันแก่ส่วนที่ทาการถอนตัว กาลังของหน่วยต่าง ๆ
ในแนวหน้าทุกหน่วยคงทาการถอนตัวออกมาพร้อมกันทั้งหมด โดยไม่ต้องเหลือ กาลังไว้เป็นส่วนที่เหลือไว้ปะทะ
ความสาเร็จของการถอนตัวภายใต้ความกดดันของข้าศึกส่วนใหญ่ย่อมขึ้นอยู่กับการครองอากาศเฉพาะบริเวณ
เป็นการชั่วคราว และการใช้ส่วนกาบังต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ตามปกติส่วนกาบังของกองพัน ก็คือ กองหนุนของกองพันที่ได้รับการเพิ่มเติมกาลังด้วยหน่วยดาเนินกล
ยุทธ์ และอาวุธยิงสนับสนุนต่างๆ ภารกิจหลัก คือ การจัดการระวังป้องกันให้กับการถอนตัวของกองร้อยต่างๆ
ในแนวหน้า แต่ถ้ามีความจาเป็นอาจจะต้องใช้ส่วนกาบังเพื่อช่วยเหลือหน่วยต่าง ๆ ในการผละออกจากข้าศึก
และปฏิบัติการเชิงรุกต่อที่หมายจากัดด้วยก็ได้
ในการถอนตัวภายใต้ความกดดันของข้าศึก ผบ.พัน.ร. จะเป็นผู้กาหนดลาดับความเร่งด่วนในการถอนตัว
ให้กับกองร้อยในแนวหน้า แต่ถ้าสถานการณ์ข้าศึกและภูมิประเทศอานวยแล้ว หน่วยต่าง ๆ ในแนวหน้าทุก
หน่วยควรจะทาการถอนตัวพร้อมกัน ซึ่งหากไม่สามารถทาได้ จะต้องให้หน่วยที่มีการรบติดพันน้อยที่สุด หรือ
ถูกข้าศึกกดดันน้อยที่สุด ทาการถอนตัวก่อนเป็นอันดับแรก
พัน .ร.อาจได้รับภารกิจให้ปฏิบัติการเป็น ส่วนกาบังของ กรม ร.ในการถอนตัวภายใต้การกดดันของ
ข้าศึก พัน.ร.จะปฏิบัติภารกิจนี้ให้สาเร็จได้โดย
๑) หน่วงเหนี่ยวข้าศึกด้วยการใช้ระเบิดทาลายและเครื่องกีดขวาง
๔-๒
๒) ใช้การยิงระยะไกล
๓) ทาการตีโต้ตอบเมื่อสถานการณ์อานวย
๔) คุ้มครองการถอนตัวของตนเอง
การรบหน่วงเวลา เป็นการรบที่จะต้องพยายามทาความสูญเสียและหน่วงเหนี่ยวให้ข้าศึกเสียเวลาให้
มากที่สุด โดยไม่ทาการรบติดพันแตกหัก พัน.ร.อาจจะปฏิบัติการรบหน่วงเวลาเป็นอิสระ หรืออาจจะปฏิบัติการ
เป็นส่วนหนึ่งของกาลังส่วนใหญ่ก็ได้
ในการรบหน่วงเวลา พัน.ร.มักจะได้รับมอบกว้างด้านหน้ามากกว่าการตั้งรับแบบยึดพื้นที่ กองพันจึงจัด
ระเบียบที่มั่น โดยวางกาลังหมวดต่าง ๆ ไว้บนแนว ขนพร.ให้มากขึ้น ร้อย.อวบ. วางกาลัง ๓ มว.ปล.เคียงกัน
หรือโดยยอมให้เกิดช่องว่างระหว่างหมวดและกองร้อยให้มากขึ้น ก็ได้ แต่ต้องคุ้มครองช่องว่างด้วยการใช้การ
ลาดตระเวน, ที่ตรวจการณ์, ที่ฟังการณ์, การยิง หรือวิธีอื่น ๆ
ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอยนั้น จะนาเอาหลักการของการรบด้วยวิธีรุก , รับ และรบหน่วงเวลา
มาใช้อย่างเหมาะสม และจะต้องขยายผลต่อข้าศึกที่ได้รับความเสียหายทันทีเมื่อมีโอกาส
การปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย แบ่งออกเป็น ๓ แบบ คือ การรบหน่วงเวลา, การถอนตัว และการถอย
ซึ่งการปฏิบัติการทั้ง ๓ แบบ สามารถที่จะปฏิบัติการไปพร้อม ๆ กันได้ ด้วยกาลังส่วนต่าง ๆ ของ กรม ร.
ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่น ถอย เมื่อข้าศึกทาการรุกคืบหน้าเร็วเกินไป และขยายแนวกว้างมาก
ทาให้เกิดช่องว่างในการวางกาลัง ในสถานการณ์เช่นนี้ ผบ.กรม ร.จะต้องเข้าตีและทาลายกาลังข้าศึกด้วยส่วน
ดาเนินกลยุทธ์
ในการพิจารณาเลือกภูมิประเทศที่จะใช้ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอยในแง่ของการยิงและการ
ตรวจการณ์นั้น ฝ่ายเราจะต้องพิจารณาเลือกภูมิประเทศที่ สามารถอานวยให้ทาการตรวจการณ์และทาการยิง
ได้ในระยะไกล ซึ่งจะทาให้ฝ่ายเราสามารถที่จะปะทะกับข้าศึกได้ตั้งแต่ข้าศึกยังอยู่ห่างไกล
ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย จะต้องพยายามใช้เครื่องกีดขวางทั้งตามธรรมชาติและที่สร้างขึ้นให้
เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายเราให้มากที่สุด เพื่อช่วยให้การรั้งหน่วงข้าศึก , ป้องกันปีก, คุ้มครองช่องว่างและช่วยใน
การผละจากการรบ การควบคุมภูมิประเทศสาคัญและแนวทางเคลื่อนที่ จะทาให้ลดความสามารถของข้าศึกใน
การที่จะโอบล้อม หรือทาการสู้รบแตกหักกับฝ่ายเราได้
แผนการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอยจะต้องกระทาแบบรวมการ แต่ปฏิบัติแบบแยกการ เนื่องจากมักจะ
เป็นการปฏิบัติในพื้นที่กว้างขวางและมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งจะก่อให้เกิดความยุ่ง ยากในเรื่องการติดต่อสื่อสารและ
การควบคุมบังคับบัญ ชา ดังนั้น แผนจึงต้องมีรายละเอียดเพียงพอ และมีความอ่อนตัว เพื่อให้หน่วยรอง
สามารถปฏิบัติภารกิจได้ แม้ว่าจะขาดการติดต่อกับหน่วยเหนือก็ตาม
ในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีร่นถอย ไม่ว่าจะเป็นแบบใด และในสถานการณ์ใดก็ตามก่อนการปฏิบัติการ
จะต้องได้รับอนุมัติจาก ผบ.หน่วยเหนือ ก่อนเสมอ และในการปฏิบัติอาจจะเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติการแบบใด
แบบหนึ่งก่อน หรืออาจจะปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันก็ได้ แต่ถ้าเป็นหน่วยในพื้นที่ตั้งรับหน้า จะต้องเริ่มด้วยการรบ
หน่วงเวลาหรือถอนตัวก่อนเสมอ
ในการจัดกาลังเข้าทาการรบในการรบด้วยวิธีร่นถอย จะต้องประกันว่าได้ก่อให้เกิด ความอ่อนตัวอย่าง
สูงสุด และสามารถใช้ประโยชน์จากกาลังต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยสอดคล้องกับแบบของการปฏิบัติการและ
ภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ ผบ.หน่วย ควรสมทบหน่วยสนับสนุนทางการช่วยรบให้กับหน่วยดาเนินกลยุทธ์ เพราะ
การร่นถอยมักจะต้องปฏิบัติด้วยความรวดเร็ว
ภาคที่ ๒
การปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก
๕. การไล่ติดตาม
การเคลื่อนที่เข้าปะทะ มีความมุ่งหมายเพื่อให้มีการปะทะกับข้าศึก หรือเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
กระทาในลักษณะที่สามารถดารงเสรีในการปฏิบัติของผู้บังคับหน่วยเอาไว้ได้ เมื่อการปะทะเกิดขึ้นความอ่อนตัว
จาเป็นต่อการดารงความริเริ่มและมีรากฐานมาจากหลักการดังต่อไปนี้
๑. การจัดรูปขบวนที่นาด้วยส่วนกาบัง ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความคล่องแคล่วในการรบ และสนับสนุน
ตนเองได้ เพื่อกาหนดที่ตั้ง และตรึงข้าศึก
๒. กาลังที่เข้าปฏิบัติการ จัดแบบผสมเหล่า พร้อมที่จะแปรกาลังเข้าตีอย่างรวดเร็ว โดยที่กาลังส่วน
ใหญ่นี้ต้องห่างส่วนกาบังเพียงพอที่จะดาเนินกลยุทธ์ได้โดยปราศจากการรบติดพันโดยไม่ได้ตั้งใจ
๓. รูปขบวนมีการระวังป้องกันรอบตัว และการป้องกันภัยทางอากาศ
๔. เคลื่อนที่อย่างห้าวหาญ ด้วยความเร็วสูงสุด
๕. มอบอานาจให้ผู้บังคับหน่วยที่อยู่ข้างหน้า และทางปีก โดยให้ปฏิบัติการแบบแยกการ
เมื่อรูปขบวนเคลื่อนที่เข้าปะทะจัดให้มีการระวังป้องกันรอบตัว เหตุที่ต้องเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว
แทนที่จะเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง เพราะการเคลื่อนที่ช้า ๆ ด้วยความระมัดระวังจนเกินไป
จะก่อให้เกิดอันตรายจากการถูกโอบปีก หรือตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีได้ง่ายการจัดกาลังในการเคลื่อนที่
เข้าปะทะ จะประกอบด้วย ส่วนกาบัง กองระวังหน้า ส่วนใหญ่ กองกระหนาบ กองระวังหลัง
ส่วนกาบัง อาจมีอิทธิพลต่อการรบทั้งหมดได้ การจัดและการประกอบกาลังจึงต้องมีกาลังรบ, ส่วน
สนับสนุนการรบ และส่วนสนับสนุนทางการช่วยรบ พอเพียงที่จะทาการรบเป็นอิสระได้ ส่วนกาบังต้องมีความ
คล่องแคล่วและสมดุลย์เป็นอย่างดี อยู่ข้างหน้าส่วนใหญ่ให้ไกลเพียงพอ เพื่อให้ผู้บังคับหน่วยกาลังส่วนใหญ่มี
เวลาและระยะทางในการตอบโต้เมื่อปะทะกับข้าศึก
ภารกิจที่มอบให้แก่ส่วนกาบังได้แก่
๑. ลาดตระเวนตรวจภูมิประเทศในเขต ข้างหน้าของส่วนใหญ่
๒. คลี่คลายสถานการณ์ข้าศึก
๓. ให้การระวังป้องกันแก่ส่วนใหญ่
๔. เข้าตีเพื่อทาลายการต้านทานของข้าศึก
๕. ระวังป้องกันหรือควบคุมภูมิประเทศสาคัญ
๖. ตรึงหน่วยใหญ่ของข้าศึก
กองระวังหน้า เป็นส่วนระวังป้องกันที่จัดมาจากกาลังส่วนใหญ่ ปฏิบัติการอยู่หน้าส่วนใหญ่เพื่อให้
แน่ใจว่าการเคลื่อนที่ของส่วนใหญ่จะไม่ถูกขัดขวางจากฝ่ายตรงข้าม ป้องกันส่วนใหญ่จากการถูกโจมตีอย่างจู่
โจมและช่วยเหลือการรุกคืบหน้าของส่วนใหญ่ ระยะห่างของกองระวังหน้ากับส่วนใหญ่ต้องไกลเพียงพอที่ ผู้
บังคับหน่วยกองระวังหน้ามีเสรีในการปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตามต้องไม่ไกลเกินไปจนทาให้ถูกทาลายก่อนความ
ช่วยเหลือจะมาถึง ปกติแล้วกองระวังหน้าจะเคลื่อนที่ด้วยรูปขบวนแถวตอนอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นห้วง ๆ
จนกว่าจะเกิดการปะทะ
๒-๕
- ข่าวกรองทันเวลา - การสงครามนอกแบบ
- เตรียมการอย่างดี - การปฏิบัติการจิตวิทยา
- แผนการลวงวางไว้อย่างดี
ฝ่ายเข้าตี ต้องจัดรูปขบวนในทางลึกเพื่อให้ได้มาซึ่งความอ่อนตัวในการเข้าตี ควรใช้แนวทางเคลื่อนที่
อ้อมไปหาข้าศึก เพื่อให้บังเกิดผลจู่โจม และเลี่ยงการรวมการยิงของข้าศึก กองหนุนต้องปกปิดเอาไว้หรืออยู่ใน
ที่มั่นซ่อนพราง ผู้บังคับหน่วยกองหนุนควรกาหนดเส้นทางเคลื่อนที่ที่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดและปกปิด
มากที่สุดซึ่งจะอานวยให้สามารถเคลื่อนที่ไป ที่ใดก็ได้ ถ้าเป็นไปได้ก่อนเข้าตีควรมีการซักซ้อม
ในการตัง้ รับอาจมีการเข้าตีโต้ตอบ หรือการเข้าตีทาลายการเข้าตี แผนการดาเนินกลยุทธ์และการ
สนับสนุนที่จาเป็นต้องวางไว้ล่วงหน้าให้แน่ใจว่าสามารถปฏิบัติได้ทันเวลา และมีผลมากที่สุด
ในทางปฏิบัติมักไม่เห็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนนักระหว่างการเข้าตีเร่งด่วนและการเข้าตีประณีต ความแตกต่างที่
พอจะเห็นชัดได้แก่
๑. ปริมาณงานในการวางแผน
๒. การประสานงาน
๓. การเตรียมการ
การขยายผลและการไล่ติ ดตาม มั กกระท าต่ อจากการเข้ าตี โดยปฏิ บั ติอย่ างห้ าวหาญ หลังประสบ
ผลสาเร็จในการเข้าตีขั้นต้น แล้วไล่ติดตามทาลายข้าศึกอย่างไม่ลดละหรือไล่จับข้าศึ ก ที่กาลังหลบหนี (เนื่องจาก
หมดความสามารถในการต้านทานไปแล้ว) กาลังขยายผลจะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปยังที่หมายที่อยู่ลึกไปข้าง
หลัง ยึดที่บังคับการ, ตัดเส้นทางหลบหนีและโจมตีต่อกองหนุน, ปืนใหญ่ และหน่วยสนับสนุนการรบอื่น ๆ
ในการเข้าตีจะต้องมีการวางแผนเพื่อการขยายผลไว้ด้วยเสมอ วางแผนคร่าว ๆ ไว้ก่อนด้วยการกาหนด
กาลัง, ที่หมาย และขอบเขตของการขยายผล ก่อนการเข้าตีจะเริ่มขึ้น หน่วยรองจะต้องสอดส่องและสังเกตสิ่ง
บอกเหตุในการถอนตัวของข้าศึก เพื่อหาโอกาสที่จะขยายผล กาลังที่ใช้ขยายผลควรมีขนาดใหญ่ และค่อนข้าง
สมบูรณ์ในตัวเอง โดยแบ่งกาลังออกเป็น ๒ ส่วนสาคัญคือ
๑. ส่วนขยายผล
๒. ส่วนเคลื่อนที่ติดตามและสนับสนุน
การปฏิบัติการขยายผล เป็นการปฏิบัติแบบแยกการ ผู้บังคับหน่วยขยายผลต้องได้รับเสรีในการปฏิบัติอย่าง
มากที่สุด ส่วนขยายผลจะรุกคืบหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยกว้างด้านหน้าที่มาก ไปยังที่หมายต่าง ๆ และจะมีการ
เก็บกองหนุนของตนไว้ส่วนหนึง่ เพื่อให้เกิดความอ่อนตัวในการปฏิบัติ, การรักษาแรงหนุนเนื่อง รวมทั้งการระวัง
ป้องกันที่จาเป็น กองพันยานเกราะ และ กองพันทหารราบยานเกราะเฉพาะกิจ เป็นหน่วยที่เหมาะที่สุดใน
ภารกิจขยายผลทางพื้นดิน
ส่วน (กาลัง) เคลื่อนที่ติดตามและสนับสนุน เป็นกาลังส่วนหนึ่งของกาลังขยายผล แต่ไม่ใช่กองหนุน
ของส่วนขยายผล ส่วนเคลื่อนที่ติดตามและสนับสนุนจะถูกนามาใช้ขยายผลในการ
- ขยายหรือยึดรักษาบ่าการเจาะ
๒-๗
- ทาลายกาลังข้าศึกที่ถูกอ้อมผ่าน
- ทดแทนหน่วยรับการสนับสนุนซึ่งหยุดตรึงกาลังของข้าศึก
- สกัดกั้นการเคลื่อนที่ในการเพิ่มเติมกาลังของข้าศึก
- เปิด และระวังป้องกันเส้นทางคมนาคม
- ควบคุมเชลยศึก พื้นที่สาคัญ และที่ตั้งต่างๆ
- ควบคุมผู้อพยพ
หน่วยทหารราบ หน่วยทหารราบยานเกราะ มักจัดเป็นส่วนเคลื่อนที่ติดตามและสนับสนุน และต้อง
จัดให้มีการสนับสนุนด้วย ปืนใหญ่, ทหารช่าง และ ปตอ. อย่างเหมาะสม
แม้การขยายผลจะปฏิบัติแบบแยกการ แต่ผู้บังคับหน่วยโดยส่วนรวมต้องดารงความควบคุมไว้อย่าง
เพียงพอ
วัตถุประสงค์ของการขยายผล เพื่อป้องกันข้าศึกไม่ให้จัดระเบียบการตั้งรับที่มีประสิทธิ-ภาพขึ้นใหม่
สิ่งบอกเหตุของข้าศึก ที่จะบ่งบอกถึงโอกาสขยายผลได้ มีดังนี้
๑. จับเชลยได้มากขึ้น
๒. ข้าศึกละทิ้งยุทโธปกรณ์มากขึ้น
๓. ยึดที่ตั้งทางการบังคับบัญชา, ที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุน, คลังสิ่งอุปกรณ์ ฯลฯ ของข้าศึกได้
เหตุที่ผู้บังคับหน่วยโดยส่วนรวมต้องดารงความควบคุมไว้อย่างเพียงพอ (ทั้งที่การขยายผลเป็นการปฏิบัติแบบ
แยกการ) เพราะ
๑. สามารถเปลี่ยนทิศทางขยายผลได้
๒. ป้องกันไม่ให้ขยายผลลึกจนเกินไป
๓. ไม่ให้เกินขีดความสามารถของการส่งกาลังบารุงที่สนับสนุนกาลังขยายผลอยู่
การไล่ติดตาม เป็นการทาลายกาลังข้าศึกที่กาลังหลบหนี ความสาเร็จของการไล่ติดตามขึ้นอยู่กับการ
กดดันต่อข้าศึกอย่างไม่ลดละเพื่อไม่ให้ข้าศึกหลบหนี หรือปรับกาลังได้ การไล่ ติดตามเป็นการปฏิบัติที่ยอมรับ
เกณฑ์การเสี่ยงมากกว่าการปฏิบัติแบบอื่นของการรบวิธีรุก เนื่องจากปฏิบัติแบบแยกการในลักษณะการรุกราน
ต้องใช้กาลังทหารและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มขีดความสามารถ จนถึงขีดจากัดสูงสุดตลอดเวลาทั้งกลางวันและ
กลางคืน
การปฏิบัติการไล่ติดตามจะกดดันโดยตรงต่อกาลังข้าศึกที่กาลังถอยหนีอย่างระส่าระสายอย่างไม่ลดละ
และจะโอบล้อมข้าศึกเพื่อไม่ให้ถอยหนีได้ในเวลาเดียวกันจนกว่ากาลังของข้าศึกถูกทาลายหมดสิ้นหรือจนกว่า
ข้าศึกจะผละหนีออกไปและสถาปนาการตั้งรับที่แข็งแรงได้
การไล่ติดตามจัดกาลังเป็น ๒ ส่วนคือ ๑. กาลังกดดันโดยตรง และ ๒. กาลังโอบล้อม แต่ละส่วนมี
หน้าที่ดังนี้
กาลังกดดันโดยตรง ทาให้ข้าศึกต้องถอยหนีตลอดเวลา ไม่มีโอกาสพักผ่อน รวมกาลัง หรือส่งกาลัง
บารุงเพิ่มเติม และทาลายข้าศึก
๒-๘