Professional Documents
Culture Documents
การเขียนเพื่อการสื่ อสาร
• ความคิด หรื อสารไม่สามารถถ่ายทอดได้ ถ้า
ไม่มีภาษา
• มนุษย์สามารถสื่ อสารความคิดผ่านทักษะการ
พูด และทักษะการเขียน
• การสื่ อสารความคิ ดจะประสบผลสาเร็ จได้
ต้องมี “ภาษา” เป็ นองค์ประกอบ ภาษาจึงเป็ น
ตัวนาสารไปสู่ ผรู ้ ับ
• การเขียนเพื่อการสื่ อสาร คือ การที่ผูส้ ่ งสารมี
เจตนาถ่ายทอดความคิดไปยังผูร้ ับสาร แล้ว
ต้องการให้ผูร้ ับสารเกิ ดปฏิ กิริยาตอบสนอง
หรื อเกิ ดความเข้าใจใกล้เคียง สอดคล้องกับ
เจตนาของตน
• ทัก ษะการเขี ยนเป็ นส่ ว นส าคัญที่ ท าให้การ
สื่ อสารของมนุษย์มีหลักฐาน
๑ การสร้ างสรรค์ งานเขียน
ดังได้กล่าวไปแล้วว่า การสื่ อสารให้ประสบผลสาเร็ จ มี “ภาษา” เป็ นองค์ประกอบ
การสื่ อสาร ผูส้ ่ งมีเจตนาให้ผรู ้ ับมีปฏิกิริยาตอบกลับ หรื อเข้าใจสารตรงตามเจตนาของตน ซึ่ ง
ความต้องการนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยปั จจัยหลายประการ เช่น
• เนื้อหาของสาร
• วิธีการส่ งสาร
• ภาษาที่เลือกใช้
ภาษาทีเ่ หมาะสมกับผู้รับสาร
รู้ข้อมูลพืน้ ฐานของกลุ่มเป้ าหมาย การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผูร้ ับสาร ผูส้ ่ งสารจะต้อง
รู ้ขอ้ มูลพื้นฐานของกลุ่มเป้ าหมาย เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชี พ เชื้ อชาติ ทัศนคติ เป็ นต้น
ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ จะเป็ นตัวกาหนดภาษาที่จะเลือกใช่ เช่น ถ้าต้องการสื่ อสารกับกลุ่มวัยรุ่ น ก็
ควรใช้ภ าษาที่ ง่าย อธิ บายชัดเจน ไม่ ย าก ไม่ วิชาการ เพราะหากผูส้ ่ งสารจะใช้ภ าษาตามความ
ต้องการของตน สื่ อสารด้วยภาษาของตนแล้วให้ผูอ้ ื่นพยายามเข้าใจ ภาษาก็อาจเป็ นอุปสรรคของ
การสื่ อสารได้
๑ การสร้ างสรรค์ งานเขียน (ต่ อ)
การสื่ อ สารไม่ ว่า ด้ว ยการพู ด หรื อ
การเขี ย น ผู ้ ส่ งต้ อ งใช้ ภ าษาสื่ อความตาม
วัตถุประสงค์ที่ต้งั ไว้ วัตถุประสงค์จึงเป็ นเสมือน
เข็ม ทิ ศ หรื อ กรอบของการสื่ อ สารแต่ ล ะครั้ ง
และยังส่ งผลไปสู่ การเลื อ กใช้ภ าษา การเลื อ ก “ไม่ ว่าผู้เขียนจะมี
รู ปแบบของงานเขียน การรวบรวมข้อมูล วัตถุประสงค์ อย่ างไร จาเป็ นต้ องมีการ
กลัน่ กรองเนื้อหาสาระ โดยอาศัยความรู้
วัตถุประสงค์ หลักของการสื่ อสาร ความเข้ าใจ ประสบการณ์ ”
• เพื่อให้ขอ้ มูล ข่าวสาร คือ การถ่ายทอดเรื่ องราว เหตุการณ์ต่างๆ ไปยังผูร้ ับสาร
มุ่งชี้แจงข้อเท็จจริ ง สร้างความรู ้ ความเข้าใจ
• เพื่อโน้มน้าวจิตใจ คือ การส่ งสารที่มุ่งให้ผรู ้ ับคล้อยตาม เปลี่ยนความคิด พฤติกรรม
ตามที่ผสู ้ ่ งสารเสนอ
• เพื่อความบันเทิง คือ การส่ งสารที่มุ่งให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และสร้าง
จินตนาการแก่ผรู ้ ับสาร
๑ การสร้ างสรรค์ งานเขียน (ต่ อ)
เมื่อจะสร้างสรรค์งานเขียนรู ปแบบใดก็ตาม ต้องมีความรู ้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ
เขียน เพื่อให้งานเขียนเป็ นงานที่มีคุณค่า ก่อประโยชน์แก่ผอู ้ ่าน
หลักการสร้ างสรรค์ งานเขียน
มีความชั ดเจน ผูเ้ ขียนต้องใช้คาที่มีความหมายชัดเจน ประโยคไม่คลุมเครื อ กากวม
ต้องคิดเสมอว่า ความเข้าใจที่ถูกต้องของผูอ้ ่าน เกิดจากการใช้คา ประโยค สานวนของผูเ้ ขียน
มีความถูกต้ อง ผูเ้ ขียนต้องคานึงถึงไวยากรณ์ หรื อระเบียบการใช้ภาษา เขี ยนคา เรี ยบ
เรี ยงประโยคให้ถูกต้อง และเหมาะสมกาลเทศะ
มี ค วามกระชั บ ผูเ้ ขี ย นต้อ งรู ้ จ ัก เลื อ กใช้ถ้อ ยค า มาเรี ย บเรี ย งประโยคให้ ชัด เจน
สมเหตุสมผล
มีความรับผิดชอบในเนื้อหา หลักการเขียนในหัวข้อนี้ มีความเกี่ยวข้องกับมารยาทการ
เขียน ผูเ้ ขียนต้องเขียนความจริ ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสรรค์งานเขียนเชิ งวิชาการ ต้องมี
เหตุผลรองรับ หรื อมีขอ้ มูลที่น่าเชื่ อถืออ้างอิ งได้ ส่ วนการสร้างสรรค์งานบันเทิงคดี แม้จะเป็ น
เรื่ องแต่ง เรื่ องจากจินตนาการ ผูเ้ ขียนก็ตอ้ งรับผิดชอบในเนื้อหาเช่นเดียวกัน
๑ การสร้ างสรรค์ งานเขียน (ต่ อ)
หลักการสร้ างสรรค์ งานเขียน (ต่ อ)
มีความไพเราะในการในการใช้ ภาษา “อ่ านแล้ วอิน” “ฟังแล้ วอิน” “ดูแล้ ว
งานเขียนบางรู ปแบบ เช่น เรื่ องสั้น นวนิยาย กวี- อิน” นักเรียนคิดว่ า อะไรคือ สาเหตุทที่ าให้
นิพนธ์ ร้อยกรอง ผูเ้ ขียนต้องเลือกสรรถ้อยคา ผู้รับสาร พูดประโยคข้ างต้ น
มาใช้เพื่อให้เกิดความไพเราะทั้งด้านเสี ยง และ
ความหมาย สร้างภาพในจินตนาการของผูอ้ ่าน
ทาให้เกิดความซาบซึ้งประทับใจ
มีความเรียบง่ ายในการใช้ ภาษา
อย่างไรก็ตามในงานเขียนเชิงวิชาการ ก็มีลกั ษณะ
การใช้ถอ้ ยคาที่แตกต่างออกไป สาหรับการสร้างสรรค์งานเขียนเชิงวิชาการ ผูเ้ ขียนควรใช้ภาษาที่
เรี ยบง่าย ไม่ฟุ่มเฟื อย เน้นการอธิบายอย่างตรงไปมา สมเหตุสมผล
สิ่ งที่ทาให้ ผู้รับสาร ซึ่งอาจจะเป็ นผู้อ่าน ผู้ฟัง หรื อผู้ดู เกิดอารมณ์ ความรู้ สึกคล้ อยตาม
ไปกับเนื้อหาสาระ หรื อเรี ยกว่ า “อิน” นอกจากความคิด หรื อเนื้อหาแล้ ว ยังรวมถึงกลวิธีการใช้
ภาษาของผู้เขียน
๑ การสร้ างสรรค์ งานเขียน (ต่ อ)
การสร้ างสรรค์งานเขี ยน ผูเ้ ขี ยนจาเป็ นต้อ งมี ความรู ้ ความเข้า ใจเกี่ ยวกับการเลื อกสรร
ถ้อยคามาใช้เพื่อการเรี ยบเรี ยง หรื อเรี ยกว่า มีความสามารถในการใช้โวหารเพื่อผลิตงานเขียนของตน
ธรรมชาติของโวหาร
• โวหาร คือ ถ้อยคาที่ผเู ้ ขียนคัดสรรมาแล้วเป็ นอย่างดี สละสลวย เหมาะสม
“มะพร้ าวเป็ นพืชทีส่ ามารถนาส่ วนต่ างๆ มาใช้ ประโยชน์ ได้ เกือบจะทัง้ หมด”
ส่ วนข้อความอื่นๆ เป็ นข้อความที่ให้รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของมะพร้าว
ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนประโยคใจความสาคัญของย่อหน้า
๒ ย่อหน้ ากับการสร้ างสรรค์ งานเขียน (ต่ อ)
ลักษณะของย่อหน้ าที่ดี (ต่ อ)
มีสัมพันธภาพ หรื อความสัมพันธ์ของแต่ละประโยคในย่อหน้า ต้องต่อเนื่ อง สัมพันธ์
กัน โดยอาจจะใช้คาเชื่อม หรื อกลุ่มคาเชื่อม เพื่อช่วยแสดงความสัมพันธ์
แนวทางการเขียนย่ อหน้ า
การฝึ กเขียนย่อหน้าให้เกิดความชานาญ สามารถนาไปใช้สร้างสรรค์งานเขียนประเภท
อื่นๆ ได้ โดยผูเ้ ขียนอาจยึดแนวทาง ดังนี้
ผู้เขียนต้ องกาหนดแนวคิด หรื อประเด็นความคิดที่ตอ้ งการนาเสนอ โดยพิ จารณาว่าย่อ
หน้าที่จะเขียนนั้นจะเขียนเกี่ยวกับเรื่ องใด ในแง่ใด เช่น ถ้าจะเขียนเกี่ยวกับพืชของไทยชนิดหนึ่ ง ก็
ต้องพิจารณาว่าพืชที่จะเขียนถึงนั้นคืออะไร และจะเขียนในแง่ไหน เมื่อพิจารณาได้แล้ว จึงสร้าง
ประโยคใจความสาคัญ
สร้ างประโยคใจความสาคัญ คือ สร้างประโยคที่มีเนื้ อหาครอบคลุมเรื่ องทั้งหมดในย่อ
หน้านั้น หรื อเป็ นประโยคที่กล่าวถึงความคิดที่สาคัญที่สุดของย่อหน้านั้น เช่น
๒ ย่อหน้ ากับการสร้ างสรรค์ งานเขียน (ต่ อ)
แนวทางการเขียนย่ อหน้ า (ต่ อ)
ถ้าจะเขียนถึง “กล้วย” ซึ่งเป็ นพืชชนิดหนึ่งของไทย ในแง่ของประโยชน์ ก็อาจจะสร้าง
ประโยคใจความสาคัญว่า “กล้วยเป็ นพืช ที่ สามารถนาส่ ว นต่า งๆ มาใช้ประโยชน์ ไ ด้เกื อบจะ
ทั้งหมด” ซึ่งประโยคนี้เป็ นประโยคที่กล่าวถึงความคิดที่สาคัญที่สุดของย่อหน้า
หาข้ อความสนับสนุน หรื อขยายความประโยคใจความสาคัญ เมื่อผูเ้ ขียนได้ประโยค
ใจความสาคัญแล้ว ต้องหาข้อความอื่นๆ มาสนับสนุ นประโยคใจความสาคัญ เพื่อขยายความให้
ชัดเจน โดยประโยคที่นามาขยายความนั้น จะต้องมีเนื้อหาสาระที่ดีดว้ ย เช่น
ถ้าประโยคใจความสาคัญ คือ“กล้วยเป็ นพืชที่สามารถนาส่ วนต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้
เกือบจะทั้งหมด” ผูเ้ ขียนก็จะต้องหาข้อความต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุ นให้เห็นจริ ง โดยอาจจะให้
รายละเอียดว่า ส่ วนต่างๆ ของกล้วยที่นามาใช้ประโยชน์น้ นั มีอะไรบ้าง และนามาใช้ทาอะไร
ขัดเกลาถ้ อยคา ในย่อหน้าให้สละสลวย ไพเราะ สื่ อความหมายได้ชดั เจน
๓ การเขียนเรียงความ
เรี ยงความ เป็ นงานเขียนร้อยแก้วประเภทหนึ่ ง ที่ผูเ้ ขียนต้องลาดับความคิดอย่าง
เป็ นระบบ มีจุดประสงค์ในการเขียนชัดเจน
ธรรมชาติของเรียงความ
• เรี ยงความ เมื่อเป็ นคากริ ยา หมายถึง นาข้อความมาเรี ยบเรี ยงให้เป็ นเรื่ องราวที่
ชัดเจน สละสลวย อ่านเข้าใจแจ่มแจ้ง
• เรี ยงความ เมื่อเป็ นคานาม หมายถึง เรื่ องราวที่ผเู ้ ขียนเรี ยบเรี ยงขึ้น เพื่อให้ผอู ้ ่าน
เข้าใจ ด้วยภาษาที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และมีความสละสลวย
• เรี ย งความแตกต่ างจากความเรี ย ง ตรงที่ มุ่งเสนอแง่ คิ ด ความรู ้ ผ่านรู ปแบบที่
ชัดเจน ใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ หรื อทางการ ส่ วนความเรี ยงเป็ นงานเขียนร้อย
แก้วประเภทหนึ่ ง ที่มุ่งเสนอแง่คิด อารมณ์ ความรู ้สึกของผูเ้ ขียน ไม่มีรูปแบบที่
ตายตัว ใช้ภาษาหลายระดับ
๓ การเขียนเรียงความ (ต่ อ)
การเขียนเรี ยงความเรื่ องหนึ่งๆ ผูเ้ ขียนจะแบ่งเนื้อหาออกเป็ น ๓ ส่ วน ทั้งนี้ เพื่อให้ง่ายต่อ
การลาดับเรื่ อง และความเข้าใจของผูอ้ ่าน สามารถแบ่งองค์ประกอบของเรี ยงความโดยยึดจากการ
ลาดับเนื้อหา
องค์ ประกอบของเรียงความ
ส่ วนนา เป็ นเนื้อหาส่ วนแรกของเรี ยงความเรื่ องหนึ่งๆ ซึ่ งมีลกั ษณะเฉพาะ ดังนี้
• หากคิ ด จากเนื้ อ หาของเรี ย งความทั้ง เรื่ อ ง ส่ ว นน าควรมี ค วามยาว ๑๐-๑๕
เปอร์เซ็นต์ หรื อประมาณ ๑ ย่อหน้า
• เนื้อหาส่ วนนี้จะทาให้ผอู ้ ่านทราบว่าเรี ยงความจะกล่าวถึงอะไร เป็ นส่ วนแรกที่จะ
เร้าความสนใจ และพฤติกรรมของผูอ้ ่านให้ติดตามเรื่ องต่อไปจนจบ
• การใช้ โวหารประกอบการเขียน
• การเขียนย่ อหน้ า
• การสร้ างสรรค์ องค์ ประกอบส่ วนต่ างๆ ของเรียงความ
• ความคิด หรื อเรื่ องทีจ่ ะเขียน
๓ การเขียนเรียงความ (ต่ อ)
ทาอย่างไร ? เมื่อต้ องเขียนเรียงความ
เมื่อแน่ใจเช่นนั้น ก็ให้เริ่ มต้นลงมือฝึ กฝนได้ เบื้องต้น ผูเ้ ขียนควรนาเรื่ องใกล้ตวั มาเขียน
เช่น ครอบครัวของฉัน พระคุณแม่ ความสามัคคี ความฝันของฉัน เป็ นต้น โดยยึดแนวทาง ดังนี้
เขี ย นแนวคิ ด ให้ ก ระจ่ า ง ไม่ ว่ า จะเขี ย นเรื่ อ งใดก็ ต าม รวมถึ ง การเขี ย นเรี ย งความ
“ความคิด” เป็ นสิ่ งสาคัญ การคิดที่ประสบผลสาเร็จ ควรมีลกั ษณะ ดังนี้
• คิดตรงจุด ไม่เพ้อฝัน หรื อฟุ้งซ่ าน คิดถึงจุดประสงค์ที่สาคัญเพียงจุดเดียว เพราะจะ
ช่วยจากัดขอบเขตของเนื้อหาเมื่อต้องเขียนเรี ยงความ
• คิดในสิ่ งที่รู้ ซึ่ งความรู ้น้ นั อาจได้มาจากการอ่าน การฟั ง การดู การซักถาม การลงมือ
ปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง (ประสบการณ์ตรง)
• คิดในสิ่ งที่เป็ นไปได้ ความคิ ดที่ดี และเป็ นประโยชน์ตอ้ งอยู่บนข้อเท็จจริ ง และจะ
เชื่อมโยงกับสิ่ งอื่นได้
๓ การเขียนเรียงความ (ต่ อ)
ทาอย่างไร ? เมื่อต้ องเขียนเรียงความ (ต่ อ)
เขียนแนวคิดให้ กระจ่ าง (ต่อ)
• คิดในสิ่ งที่เป็ นประโยชน์ ความคิดอยูใ่ นงานเขียน ซึ่งงานเขียนจะนาพาสารไปสู่ ผอู ้ ่าน
สารที่เป็ นประโยชน์ยอ่ ส่ งผลดีต่อสังคมโดยรวม
วางโครงเรื่ องไว้ เป็ นกรอบ โครงเรื่ อง คือ เค้าโครงของเรี ยงความ งานเขียนทุกรู ปแบบ
จาเป็ นต้องมีโครงเรื่ องขึ้นมา เพื่อจัดลาดับความคิด ขอบเขตของเนื้อหา ตรวจสอบความครบถ้วน
ของประเด็นที่ตอ้ งการนาเสนอ วิธีการวางโครงเรื่ อง มีดงั นี้
• รวบรวมประเด็นความคิด ตั้งประเด็นความคิ ดหลักไว้ตรงกลาง แล้วแตกประเด็น
ความคิดรองให้ได้มากที่สุด
• เลือกและจัดหมวดหมู่ความคิด ต่างๆ ที่ได้รวบรวมไว้ในช่วงแรก บางประเด็นอาจไม่
มีความเกี่ยวข้อง หรื อเกี่ ยวข้องน้อย ผูเ้ ขียนจะต้องตัดประเด็นที่ไม่มีความเกี่ ยวข้อง
ออกไป เลื อกเฉพาะประเด็นที่ เ กี่ ย วข้อ ง นามาจัดหมวดหมู่ มี หลักว่า “ความคิ ดที่
ใกล้เคียงกันอยูใ่ นหมวดเดียวกัน” โดยใช้ลาดับหัวข้อย่อยเพื่อจัดหมวด
๓ การเขียนเรียงความ (ต่ อ)
ทาอย่างไร ? เมื่อต้ องเขียนเรียงความ (ต่ อ)
วางโครงเรื่องไว้ เป็ นกรอบ/ วิธีการวางโครงเรื่ องของงานเขียน (ต่ อ)
• จัดลาดับความคิด เมื่อได้หมวดหมู่ความคิดที่มีประเด็นหลัก ประเด็นรองแล้ว ผูเ้ ขียน
ต้องนาหมวดหมู่ความคิดมาลาดับว่าจะนาเสนออะไรก่อน-หลัง โดยสามารถทาได้
หลายวิธี ดังนี้
- การจัดลาดับตามเหตุผล เป็ นการเขียนโดยใช้หลักเหตุผล เขียนบรรยายเพื่ อให้
ผูอ้ ่านเข้าใจว่า เพราะสิ่ งนี้มีสิ่งนั้นจึงเกิด
- การจัดลาดับตามความสาคัญ เป็ นการเขียนโดยผูเ้ ขียนชัง่ น้ าหนักว่า ประเด็น
ความคิ ด ใด ส าคั ญ ที่ สุ ด ประเด็ น ใดควรมาก่ อ น โดยการจัด ล าดั บ ตาม
ความสาคัญ ควรคานึงถึงการสร้างความเข้าใจให้แก่ผอู ้ ่าน
- การจัดลาดับตามเหตุการณ์ เป็ นการเขียนบรรยายเพื่อให้ผอู ้ ่านเข้าใจได้ง่าย ได้
ความชัดเจนว่าเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น ตามลาดับก่อน หลัง ไม่ยอ้ นกลับไปกลับมา
๓ การเขียนเรียงความ (ต่ อ)
ทาอย่างไร ? เมื่อต้ องเขียนเรียงความ (ต่ อ)
วางโครงเรื่องไว้ เป็ นกรอบ /วิธีการวางโครงเรื่ องงานเขียน (ต่อ)
• ขยายความคิด เมื่อผูเ้ ขียนจัดลาดับความคิดได้แล้วว่า จะลาดับเนื้ อหาอย่างไร ผูเ้ ขียน
ควรเขียนขยายความคิดในแต่ละประเด็นให้ชดั เจนขึ้นพอสังเขป ทั้งนี้ เพื่อให้ตนเอง
มองเห็นขอบข่ายของเนื้อหา สะดวกต่อการค้นคว้าข้อมูล และการเขียนเรี ยบเรี ยง
รอบคอบในข้ อมูล การเขี ยนเรี ยงความในเรื่ อง หรื อหัวข้อที่ ตนเองไม่มีความรู ้ ความ
เชี่ยวชาญ ผูเ้ ขียนต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลอย่างหลากหลาย และจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
ต้องไม่ตดั สิ นใจเชื่อมูลจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเพียงแหล่งเดียว
เพิ่มพู นเนื้ อ หา หรื อ การลงมื อ เขี ย นเนื้ อ หา เป็ นขั้น ตอนที่ ต้อ งท าอย่างสมาธิ โดยมี ข ้อ ควร
คานึงถึง ดังนี้
• ผูเ้ ขียนต้องเริ่ มเขียนเนื้อหาตามโครงเรื่ องที่วางไว้ พร้อมด้วยรายละเอียดขยายความ
• ใช้ถอ้ ยคาที่เหมาะสม เว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง
๓ การเขียนเรียงความ (ต่ อ)
ทาอย่างไร ? เมื่อต้ องเขียนเรียงความ (ต่ อ)
วางโครงเรื่องไว้ เป็ นกรอบ /วิธีการวางโครงเรื่ องงานเขียน/เพิ่มพูนเนื้อหา (ต่อ)
• ถ้ามีวตั ถุประสงค์ในการเขียนเพื่อให้ความรู ้ ผูเ้ ขียนควรเขียนในลักษณะอธิบาย
• ถ้าเป็ นเรื่ องเกี่ยวกับนามธรรม ควรเขียนในลักษณะอธิบาย ยกตัวอย่างประกอบ
• ถ้าเป็ นเรี ยงความเล่าเรื่ อง เหตุ การณ์ ต่างๆ ควรเขี ยนในลักษณะบรรยาย พรรณนา
ขยายความสิ่ งต่างๆ ให้ละเอียดชัดเจน
• ในการเรี ยบเรี ยงเนื้อหาต้องใช้ความรู ้ ความเข้าใจเกี่ยวกับย่อหน้า มาช่วยลาดับความ
• การเขียนประโยคควรเป็ นประโยคสั้นๆ สื่ อความหมายชัดเจน เข้าใจง่าย
• ผูเ้ ขียนไม่ควรใช้คาศัพท์ยาก การฝึ กเขียนเรี ยงความในระยะเริ่ มต้น ควรใช้คาศัพท์ที่
เรี ยบง่าย แต่เหมาะสมทั้งเสี ยงและความหมาย และไม่ใช้คาซ้ าๆ ในที่ใกล้ๆ กัน ควร
เปลี่ยนใช้คาอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้ซ้ าซาก
๓ การเขียนเรียงความ (ต่ อ)
ทาอย่างไร ? เมื่อต้ องเขียนเรียงความ (ต่ อ)
ตรวจตราความเรี ยบร้ อย เพื่อหาข้อบกพร่ องของเรี ยงความ เมื่อเขียนเสร็ จ ผูเ้ ขียนควร
อ่านทบทวนอีกครั้ง ประเด็นที่ตอ้ งพิจารณา ได้แก่
รู ปแบบ ความคิด กลวิธีการนาเสนอ ภาษา
จุดใดบกพร่ องให้ทาเครื่ องหมายไว้ แล้วแก้ไขให้ถูกต้อง หรื ออาจเขี ยนทิ้งไว้ระยะหนึ่ ง แล้ว
กลับมาเพื่อแก้ไข ถ้ามีโอกาสควรให้ผอู ้ ื่นอ่านแล้ววิจารณ์ เพื่อนาคาแนะนาทีไ่ ด้รับไปปรับปรุ งแก้ไข
การเขียนเรี ยงความ ก็เป็ นเช่นเดียวกับการเขียนรู ปแบบอื่น ที่ผเู ้ ขียนจะต้องมีความรู ้ ความเข้าใจ
เกี่ยวกับ ลักษณะเฉพาะ กลวิธีการเขียนเรี ยบเรี ยง และฝึ กฝนอย่างสม่าเสมอ โดยมีข้ นั ตอนเหล่านี้
เป็ นแนวทาง
เขียนแนวคิดให้ กระจ่ าง วางโครงเรื่ องไว้ เป็ นกรอบ
รอบคอบในข้ อมูล เพิม่ พูนเนื้อหา
ตรวจตราความเรียบร้ อย
๔ การเขียนรู ปแบบต่ างๆ
การเขียนที่ประสบผลสาเร็ จ ทาให้ผอู ้ ่านเข้าถึงอรรถรส รับรู ้ เข้าใจวัตถุประสงค์ของ
ผูเ้ ขียนได้น้ นั จาเป็ นต้องศึกษาวิธีการเขียน เพราะการเขียนแต่ละรู ปแบบ มีวิธีการแตกต่างกัน
ขึ้ นอยู่กบั เจตนาของผูเ้ ขี ย นว่า จะเสนอเรื่ อ งใด อย่า งไร ค านึ งถึ ง การใช้ภ าษาสื่ อ ความให้
ถูกต้อง เหมาะสม ซึ่ งความรู ้ ความเข้าใจอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ต้องฝึ กฝนอย่างสม่าเสมอ
เพื่อให้เกิดความชานาญ
การเขียนแนะนาตนเอง
ธรรมชาติของการเขียนแนะนาตนเอง คือ การเขียนที่ผเู ้ ขียนมีวตั ถุประสงค์เพื่ออธิบาย
ชี้แจง หรื อสร้างความกระจ่างในสิ่ งใดสิ่ งหนึ่งให้แก่ผอู ้ ่าน หรื อผูร้ ับสาร โดยสิ่ งที่ผเู ้ ขียนจะแนะนา
นั้นเป็ นได้ท้งั
• สิ่ งที่เป็ นรู ปธรรม เช่น การแนะนาบุคคล สิ่ งมีชีวิต อาคารสถานที่ สิ่ งของ เป็ นต้นว่า
การเขียนแนะนารายชื่อ หรื อชีวประวัติของแพทย์ผเู ้ ชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ การเขียน
แนะนาพัน ธุ์ป ลาสวยงาม การเขี ย นแนะนาพระที่ นั่ง วิม านเมฆ การเขี ย นแนะน า
หนังสื อน่าอ่าน เป็ นต้น
๔ การเขียนรู ปแบบต่ างๆ (ต่ อ)
การเขียนแนะนาตนเอง (ต่ อ)
• สิ่ งที่เป็ นนามธรรม เช่น การแนะนาวิธีการ เทคนิ ค หรื อแนวความคิดต่างๆ เป็ นต้นว่า
การเขียนแนะนาวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายประจาวัน การเขียนแนะนาวิธีการชาระจิตใจให้
บริ สุทธิ์ดว้ ยพระธรรม เป็ นต้น
โอกาสของการแนะนาตนเอง เกิดขึ้นเมื่อต้องเข้าไปเป็ นสมาชิ กใหม่ในกลุ่มสังคมต่างๆ
เช่น เข้าเรี ยนที่โรงเรี ยนใหม่ เข้าทางานเป็ นวันแรก ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแนะนาตนเองให้
เป็ นที่รู้จกั แก่กลุ่มสังคมนั้น ซึ่ งอาจเป็ นการแนะนาเฉพาะตัว หรื อเป็ นหมู่คณะ เกิ ดขึ้นได้ท้ งั ใน
โอกาสที่เป็ นทางการ และไม่เป็ นทางการ
“การเขียนแนะนาตนเอง มีความเกีย่ วข้ องกับการพูดแนะนา
ตนเอง ในมิติทวี่ ่ า การเขียนจะถูกใช้ เป็ นร่ างเนื้อหาของการพูดแนะนา
ตนเอง ”
๔ การเขียนรู ปแบบต่ างๆ (ต่ อ)
การเขียนแนะนาตนเอง (ต่ อ)
ข้ อมูลเพือ่ การแนะนาตนเอง การเขียนและพูดแนะนาตนเอง หากเนื้อหาสั้นเกินไป การ
สื่ อสารก็จะขาดความน่ าสนใจ แต่ถา้ แนะนาตนเองยาวเกินไป หรื อด้วยรายละเอียดที่ไม่จาเป็ น ก็
อาจทาให้ผูร้ ับสารเกิ ดความเบื่ อหน่ าย ดังนั้น ข้อมู ลที่ ตอ้ งบอกเมื่ อแนะนาตนเอง คื อ ชื่ อและ
นามสกุล ส่ วนข้อมูลอื่นๆ อาจเลือกแนะนาตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กบั ผูฟ้ ั ง สถานการณ์ และ
โอกาส
• ชื่อเล่น/สมญานาม • ความถนัด/ความสนใจ
• ครอบครัว • งานอดิเรก
• ภูมิลาเนาเดิม/ที่อยูป่ ัจจุบนั • อุปนิสยั ส่ วนตัว
• การศึกษา • ความสามารถเฉพาะตัว
• หน้าที่การงาน
๔ การเขียนรู ปแบบต่ างๆ (ต่ อ)
การเขียนแนะนาตนเอง (ต่ อ)
แนวทางเพื่อการแนะนาตนเอง การเขี ยนหรื อพูดแนะนาตนเอง เป็ นสิ่ งสาคัญในการ
สร้างความประทับใจให้แก่กลุ่มบุคคลที่รู้จกั ผูส้ ื่ อสารเป็ นครั้งแรก ขั้นตอนการแนะนาตนเอง สรุ ป
ได้ ดังนี้
• กล่าวคาทักทายอย่างสุ ภาพ เหมาะสมกับผูฟ้ ัง
• กล่าวแสดงความยินดีที่มีโอกาสได้แนะนาตน
• นาเรื่ องราวเกี่ยวกับตนเองที่น่าสนใจมาสื่ อสาร โดยคานึ งถึงภาพลักษณ์ของตนเอง
ในสายตาของผูฟ้ ัง
• แนะนาชื่อ-นามสกุล และเลือกข้อมูลอื่นๆ มาแนะนาตามความเหมาะสม
• แสดงความรู ้สึกในเชิ งสร้างสรรค์ที่มีต่อการแนะนาตนเอง รวมถึ งความคาดหวัง
มิตรภาพที่ยงั่ ยืน
• กล่าวคา “ขอบคุณ” หรื อ “สวัสดี”
๔ การเขียนรู ปแบบต่ างๆ (ต่ อ)
ย่ อพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระ
เจ้ า อ ยู่ หั ว พ ร ะรา ช ทา น แก่ ................
เรื่ อ ง……………ในโอกาส.......................ณ ย่ อนิทานเรื่ อง......................ของ..........................
...............วันที.่ ...........ความว่ า จาก.......................................ความว่ า
ส่ ว นเนื้ อ เรื่ อ ง มี ๓ ย่อ หน้า โดยย่อ หน้า แรก เป็ นที่ ม าของเรื่ อ ง ย่อ หน้า ที่ ส อง เป็ น
วัตถุประสงค์ของผูเ้ ขียนจดหมายและรายละเอียด ส่ วนย่อหน้าที่สาม เป็ นย่อหน้าสรุ ป ซึ่ งผูเ้ ขียน
อาจรวมย่อหน้าที่ ๑ และ ๒ เป็ นย่อหน้าเดียวกันได้
ส่ วนท้ าย ประกอบด้วย คาลงท้าย ลายมือชื่อผูเ้ ขียนจดหมาย ชื่อผูเ้ ขียนและตาแหน่ง (ถ้ามี)
หน่วยงานและหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อให้ผรู ้ ับติดต่อกลับได้สะดวก
๖ การเขียนจดหมาย (ต่ อ)
การเขี ย นจดหมาย เป็ นการใช้
ภาษาเพื่อการสื่ อสาร โดยผูเ้ ขียนมี เจตนา
ให้ ผูร้ ั บ สนองตอบความต้อ งการ หรื อ
วัต ถุ ป ระสงค์ ข องตน ดั ง นั้ น เพื่ อ ให้
ประสบผลดัง กล่ า ว ผู ้เ ขี ย นควรมี ห ลัก
หรื อขั้นตอนปฏิบตั ิ
ทาอย่างไรเมื่อต้ องเขียน
จดหมาย
มีวัตถุประสงค์ ชัดเจน ผูเ้ ขียนต้องทราบแน่ชดั ว่าตนเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่ออะไร จะ
ได้เขียนให้ตรงความต้องการ หรื อหาข้อมูลแล้วนาไปเขียนให้ตรงวัตถุประสงค์
มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับ ผูเ้ ขียนต้องทราบแน่ ชดั ว่าผูร้ ับจดหมายเป็ นใคร มีสถานภาพและ
บทบาทอย่างไรในสังคม เพื่อจะได้เลือกใช้ถอ้ ยคา ภาษาให้เหมาะสม
๖ การเขียนจดหมาย (ต่ อ)
ทาอย่างไรเมื่อต้ องเขียนจดหมาย (ต่ อ)
จัดระเบียบความคิดให้ เป็ นระบบ หรื อวางโครงเรื่ อง สาหรับการเขียนจดหมาย ผู ้เขียน
อาจใช้โครงสร้างส่ วนเนื้ อหาที่แบ่งออกเป็ นย่อหน้า ช่วยจัดระเบียบความคิด เช่น ถ้านักเรี ยนต้อง
เขียนจดหมายในฐานะประธานนักเรี ยน ถึ งนักเขี ยนท่านหนึ่ ง เพื่อเชิ ญเป็ นวิทยากรบรรยายใน
หัวข้อ “พลังของการอ่าน” เป็ นเวลา ๑ ชัว่ โมง (ตั้งแต่เวลา ๙.๐๐-๑๐.๐๐ น) เนื่ องในวันภาษาไทย
แห่ งชาติ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ที่ทางโรงเรี ยนจะจัดขึ้น ณ หอประชุมของโรงเรี ยน ตั้งแต่เวลา
8.30-๑๕.๐๐ น. อาจจัดระบบความคิดได้ ดังนี้
ย่ อหน้ าที่ ๑ บอกทีม่ า หรื อสาเหตุของการเขียนจดหมายอะไรคือสาเหตุของการเขียน
พร้ อมระบุรายละเอียด
ย่ อหน้ าที่ ๒ บอกวัตถุประสงค์ หรื อเจตนาของผู้เขียนทีต่ ้ องการให้ ผ้ รู ับสนองตอบ
จะให้ ผ้ รู ับทาอะไรให้ ตอนไหน อย่ างไร เมื่อไร ทีไ่ หน ทาไม
ย่ อหน้ าที่ ๓ สรุปเจตนา และแสดงมารยาทที่เหมาะสมด้ วยกล่ าวขอบคุณล่ วงหน้ าแก่
ผู้รับจดหมาย
๖ การเขียนจดหมาย (ต่ อ)
ทาอย่างไรเมื่อต้ องเขียนจดหมาย (ต่ อ)
เขียนข้ อความให้ แจ่ มแจ้ ง ตามโครงเรื่ องที่ วางไว้ โดยเลื อกใช้ถอ้ ยคาที่ สุ ภาพ ระดับ
ภาษาเหมาะสมกับสถานภาพของผูร้ ับ ข้อความชัดเจน สละสลวย เข้าใจง่าย ใช้คาที่มีความหมาย
ชัดเจน ตรงไปตรงมา สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ต้องคานึ งเสมอว่า ผูร้ ับอาจไม่มีโอกาสซักถาม
ผูเ้ ขียน แต่จะเข้าใจและตีความไปตามข้อความที่ปรากฏ
ย่ อหน้ าที่ ๑ บอกที่มา หรื อสาเหตุของการเขียนจดหมาย “ด้ วยโรงเรี ยนบูรณะศึกษา
ได้ จัด นิ ท รรศการเนื่ อ งในวั นภาษาไทยแห่ ง ชาติ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตั้ ง แต่ เ วลา ๘.๓๐-
๑๕.๐๐น. ณ หอประชุมใหญ่ ของโรงเรี ยน เพื่อส่ งเสริ มให้ นักเรี ยนเห็นความสาคัญ ตระหนักใน
คุณค่ าของภาษาไทย และมีโอกาสได้ ทากิจกรรมร่ วมกัน”
ย่ อหน้ าที่ ๒ บอกวัตถุประสงค์ หรื อเจตนาของผู้เขียนทีต่ ้ องการให้ ผ้ รู ับสนองตอบ
“ในนิทรรศการดังกล่ าวนอกจากจะมีกจิ กรรมต่ างๆ ดังกาหนดการทีแ่ นบ ยังได้ มีการจัดบรรยายใน
หัวข้ อ พลังของการอ่ าน ให้ แก่ นักเรี ยนผู้สนใจ จานวน ๑๕๐ คน ฟัง ระหว่ างเวลา ๙.๐๐-๑๐.๐๐ น.
๖ การเขียนจดหมาย (ต่ อ)
ทาอย่างไรเมื่อต้ องเขียนจดหมาย/เขียนข้อความให้แจ่มแจ้ง (ต่อ)
ทางโรงเรียนพิจารณาแล้ วเห็นว่ าท่ านเป็ นผู้มีความรู้ ความเข้ าใจเกี่ยวกับการอ่ าน เป็ น
ทั้งนักเขียนและนักพูดผู้สร้ างแรงบันดาลใจด้ วยการอ่ านให้ แก่ คนหลากหลายสาขาอาชี พ ทาง
โรงเรี ยนจึงใคร่ ขอเรี ยนเชิญท่ านเป็ นวิทยากรบรรยายในหัวข้ อข้ างต้ น ตามวัน เวลา และสถานที่
ดังกล่ าว เพือ่ ให้ กจิ กรรมของทางโรงเรียนสาเร็ จลุล่วงไปได้ ด้วยดี และเกิดประโยชน์ ต่อนักเรี ยนผู้
เป็ นอนาคตของชาติ”
ย่ อหน้ าที่ ๓ สรุปเจตนา และแสดงมารยาทที่เหมาะสมด้ วยกล่ าวขอบคุณล่ วงหน้ าแก่
ผู้รับจดหมาย “จึงเรียนมาเพือ่ โปรดพิจารณาอนุเคราะห์ และขอบคุณล่ วงหน้ ามา ณ โอกาสนี้”
แสดงมารยาทที่เหมาะสม ผ่านการใช้รูปแบบจดหมายที่ถูกต้อง เขียนด้วยความประณี ต
สะอาด เรี ยบร้อย ใช้กระดาษสี ขาว
ตรวจทานความเรี ยบร้ อย อ่าน และพิจารณาข้อความในจดหมายให้ละเอียดอีกครั้ง เพื่อ
จะได้แก้ไขหากพบว่ามีขอ้ ผิดพลาด
๗ การเขียนรายงาน
• บทนา ต้อ งเขี ย นชี้ แจงเหตุ ผล วัตถุ ประสงค์การศึ กษา ขอบเขตของรายงาน วิธี
การศึ กษาค้น คว้า เนื้ อ หาของรายงานโดยสัง เขป เพื่ อ ให้ผูอ้ ่ านเข้า ใจเนื้ อ หาใน
เบื้องต้น
• เนื้ อ หา เป็ นส่ ว นส าคัญ ที่ น าเสนอผลการศึ ก ษาค้น คว้า วิ เ คราะห์ วิ จ ารณ์ ต าม
วัตถุประสงค์ ขอบเขตของรายงาน โดยผูเ้ ขียนจะต้องเรี ยบเรี ยงเนื้ อหาด้วยสานวน
ภาษาของตนเอง อาจใช้ตาราง แผนภูมิ หรื อภาพประกอบคาอธิบาย
เมื่อต้ องทาโครงงาน
คิดและเลือกหัวข้ อ ประเด็น ที่ตอ้ งการศึกษา ค้นคว้า หาคาตอบ โดยคานึงถึงปั จจัยต่างๆ
• หัวข้อของโครงงานเริ่ มต้นที่ความสนใจ หรื อกระหายใคร่ รู้ของผูศ้ ึกษา หรื อกลุ่มผู ้
ศึกษา การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน
• หัวข้อโครงงานต้องชัดเจน เมื่อผูอ้ ่าน อ่านแล้วสามารถเข้าใจ และรู ้เรื่ องว่าทาอะไร
• หัวข้อโครงงานต้องไม่เป็ นหัวข้อที่มีคาตอบอยูแ่ ล้ว หรื อสามารถหาคาตอบได้อย่าง
ง่ายดาย
• การเลือกหัวข้อโครงงานควรคานึงถึงปั จจัยด้านอื่นๆ ประกอบ เช่น เหมาะสมกับกับ
ระดับ ความรู ้ ความสามารถของตนเอง งบประมาณ เวลา ความปลอดภัย
แหล่งข้อมูล
๘ การเขียนโครงงาน (ต่ อ)
เมื่อต้ องทาโครงงาน
ตั้งสมมติฐาน (ถ้ ามี) คือ การคาด
คะเนคาตอบของเรื่ องที่เป็ นปัญหา หรื อเลือก
ศึกษาล่วงหน้าเพื่อเป็ นแนวทางในการศึกษา
ช่ วยให้ขอบเขตของโครงงานรัดกุม ซึ่ งการ
ตั้งสมมติฐานควรมีเหตุผล เป็ นไปได้ และมี
ทฤษฎี หรื อหลักการมารองรับ
เมื่อต้ องทาโครงงาน
วางแผนสื บค้ น รวบรวมข้ อมูล หลังจากกาหนดประเด็นที่ อ ยากรู ้ ได้แล้ว ผูศ้ ึ กษาจะ
ทราบทันทีว่าตนเองต้องใช้ขอ้ มูลอะไรบ้าง แล้วข้อมูลนั้นจะหาได้จากแหล่งใด ด้วยวิธีการใด ซึ่ ง
ผูท้ าโครงงาน อาจใช้กรอบนี้ช่วยในการวางแผน
• วิธีการในการสื บค้น เช่น สัมภาษณ์ สารวจ ค้นคว้าจากตารา
• เครื่ อ งมื อ ในการสื บ ค้น ข้อ มู ล เช่ น แบบ
สัมภาษณ์ แบบสารวจ เป็ นต้น
• แหล่ ง ข้ อ มู ล เช่ น บุ ค คลที่ มี ค วามรู ้ ใ น
ประเด็นนั้นๆ ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต
• เวลาในการสื บค้น คือ การกาหนดช่วงเวลา
ที่จะไปสื บค้นข้อมูล
๘ การเขียนโครงงาน (ต่ อ)
เมื่อต้ องทาโครงงาน
เสนอโครงร่ า งของโครงงาน เป็ นการวางแผนการท าโครงงานต่ อ อาจารย์ที่ ป รึ กษา
โครงงานเพื่อให้ช่วยตรวจสอบว่า ประเด็นที่กลุ่มเลือกศึกษานั้นเป็ นไปได้หรื อไม่ แผนการที่วาง
มารัดกุม รอบคอบเพียงพอหรื อไม่ ซึ่งองค์ประกอบของโครงร่ างรายงาน มีดงั นี้
• ชื่อโครงงาน
• รายชื่อผูจ้ ดั ทาโครงงาน
• ชื่อที่ปรึ กษาโครงงาน
• หลักการและเหตุของโครงงาน ต้องอธิบายให้เข้าใจว่า ทาไมต้องทา ทาแล้วได้อะไร
หากไม่ทาจะเกิดผลเสี ยอย่างไร
• จุดมุ่งหมายหรื อวัตถุประสงค์ของการทาโครงงาน
๘ การเขียนโครงงาน (ต่ อ)
บทสรุ ป
การเขี ย นเพื่ อ สื่ อ สารในชี วิ ต ประจ าวัน ไม่ ว่ า รู ป แบบใดก็ ต าม ต้อ งอาศัย ภาษาเป็ น
เครื่ องมือในการนาพาสารไปสู่ ผรู ้ ับสาร ตามวัตถุประสงค์ที่ผสู ้ ่ งสารกาหนดไว้ แต่อย่างไรก็ตาม
การมีความรู ้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้ถอ้ ยคา สานวน โวหาร อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ผูส้ ่ ง
สารจ าเป็ นต้องมี ค วามรู ้ ความเข้า ใจเกี่ ย วกับหลักเกณฑ์ หรื อ แนวทางการเขี ยนสื่ อ สารแต่ ล ะ
รู ปแบบ เช่น เรี ยงความ จดหมาย การเขี ยนรายงานเชิ งวิชาการ เพราะรู ปแบบของการงานเขียน
ส่ งผลต่อการใช้ถอ้ ยคา