You are on page 1of 162

บทที่ 2

ทฤษฎีเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

รายงานเรื่องการพูด จากข้อมูลทัง้ หมดที่ทางคณะกลุ่มได้รวบรวม


หามาสามารถจัดเรียงเนื้อหาตามลำดับหัวข้อได้ดังต่อไปนี ้
1. ความหมายของการพูด

2. ความสำคัญของการพูด

3. ประเภทของการพูด

4. องค์ประกอบของการพูด

5. การเตรียมตัวการพูด

6. ลักษณะผู้พูดที่ดี

7. มารยาในการพูด

8. การปฏิบัติตนในการพูด

9. หลักเบื้องต้นของการพูด

10. จุดมุ่งหมายในการพูด
11. หลักเกณฑ์ในการพูด
12. ข้อบกพร่องในการพูด
13. ชนิดของการพูด

4
ความหมายการพูด
ฉัต รวรุณ ตัน นะรัต น์ กล่า วว่า การพูด คือ พฤติก รรมในการสื่อ
ความหมายของมนุษ ย์โ ดยการใช้ส ัญ ลัก ษณ์ต ่า งๆ เช่น เสีย ง ภาษา
อากัปกิริยาท่าทางเพื่อถ่ายทอดความรุ้ ความคิดเห็น และความรู้สึกจากผู้
พูดไปสู่ผฟ
ู้ ั ง
สิทธา พินิจภูวดล กล่าวว่า การพูด คือ การสื่อสารซึ่งผูพ
้ ูด คำพูด
และผู้ฟังอยู่ในเวลาและสถานที่เดียวกัน เป็ นการบอกกล่าวให้ผฟ
ู้ ั งได้ล่วงรู้
ถึงความคิดเห็น และการปฎิบัติต่างๆ ซึ่งพึงมีต่อกัน
ผอบ โปษะกฤษณะ กล่าวว่า การพูด คือการสื่อความหมาย ให้ผ ู้อ่ น

ทราบความประสงค์ข องตน จนสามารถได้ร ับ ความสำเร็จ สมความมุ่ง
หมายของผูพ
้ ูด
จากความหมายดัง กล่าวมาแล้วอาจสรุป ได้ว ่า การพูด เป็ นการสื่อ
ความหมายโดยการใช้เสียง ภาษา และอากัปกิริยาท่าทางเป็ นสื่อไปยังผู้
ฟั ง เพื่อให้ผู้ฟังได้รับความรู้ความคิดและการปฎิบัติต่างๆ
อ้างอิง : (สบาย ไสยรินทร์ และคณะ. 2525 : 195-196)
สรุป : การพูดคือการสื่อสารคำพูด โดยกาใช้สญ
ั ลักษณ์ต ่างๆ เช่น
เสียง ภาษา หรืออากัปกิริยาต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่ น
ื ทราบความประสงค์ของตน

ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ (2543,น.13) ให้ความหมายของการพูดไว้ว ่า


การพูดคือ กระบวนการสื่อสารความคิดจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึง่ หรือ
กลุ่ม หนึง่ โดยมีภ าษาน้ำเสีย งและอากัป กิร ิย าเป็ นสื่อ นอกจากนีย
้ ัง ให้
5
ความหมายต่อไปอีกว่า การพูดคือ การแสดงออกถึงอารมณ์ และความ
รู้สึก โดยใช้ภาษาและเสียงสื่อความหมาย
สมิต สัชฌุกร (2547,น.11) กล่าวว่า การพูดคือ พฤติก รรมในการ
สื่อสารความรู้สึกนึกคิดถ่ายทอดซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้พูดฝ่ ายหนึ่งกับผู้
ฟั งฝ่ ายหนึ่งด้วยการใช้สัญลักษณ์หลายระบบพร้อมกัน ได้แก่ เสียงภาษา
และอากัปกิริยา การพูด เป็ นการสื่อสาร 2 ฝ่ ายในระบบทางคู่ หรือทุติย
วิถี ซึ่งมีผู้ให้การสื่อสารฝ่ ายหนึง่ กับผู้รับการสื่อสารอีกฝ่ ายหนึ่ง
สวนิต ยมาภัย และถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ (2548,น.13) ได้กล่าวถึง
การพูดว่า การพูดเป็ นหนทางหนึ่งที่จะทำให้บุคคลได้แสดงออกซึ่งความ
คิดเห็นได้อย่างถูกต้อง และมีหลักเกณฑ์ ซึ่งหากเรามีความบริส ุทธิใ์ จต่อ
สิ่งที่เราคิดต่อผู้อ่ น
ื ก็จะเกิดความสำเร็จในการพูด
สุขุม นวลสกุล (2540,น.12) ได้ให้คำจำกัดความของการพูดไว้อย่าง
น่าสนใจว่าการพูดเป็ นเครื่องมือสื่อสาร ที่มีอานุภาพมากที่สุดในโลก การ
พูดเป็ นสัญลักษณ์แห่งความเข้าใจระหว่างมนุษย์กับมนุษย์
ส รุป ไ ด ้ว ่า ก า ร พ ูด ค ือ ก า ร ส ่ อ
ื ส า ร ค ว า ม ห ม า ย โ ด ย ใ ช ้เ ส ีย ง
อากัปกิริยา ท่าทาง เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ ความคิดเห็น
ความต้องการ เพื่อให้เกิดผลตามที่ผู้พูดมีเจตนา
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการงานและกิจธุระต่างๆ เวลาเข้าสังคม
คบหากับผู้อ่ น
ื รวมทัง้ การทำประโยชน์ให้แก่สังคมส่วนรวม มักเป็ นผู้ที่เก่ง
พูดดีมีประสิทธิภาพในการพูดแทบทัง้ สิน

การพูดเป็ น “ศาสตร์” มีหลักการและมีกฎเกณฑ์ สอนและฝึ กกันได้
สำหรับคนธรรมดา และอีกส่วนหนึ่งเป็ นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของ

6
แต่ละคน ที่จะทำให้ผู้ฟังนัง่ ฟั งได้ตลอด แต่ถ้าได้ฝึกฝนทักษะการพูดมาก
พอ ก็สามารถทำได้เช่นกัน
อ้างอิง : (สายใจ ทองเนียม. 2560 : 55 – 56)
สรุป : การพูด คือ การสื่อ สารความหมายโดยใช้เ สีย ง อากัป กิร ิย า
ท่าทาง เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ ความคิดเห็น ความต้องการ
เพื่อให้เกิดผลตามที่ผู้พูดมีเจตนา

การพูด คือ การถ่า ยทอดความรู้ ความคิด ความรู้ส ึก หรือ ความ


ต้อ งการของผูพ
้ ูด เพื่อ สื่อความหมายไปยัง ผูฟ
้ ั ง โดยใช้ถ ้อ ยคำ น้ำเสีย ง
และอากัปกิริยาท่าทางจนเป็ นที่เข้าใจกันได้
การพูดเป็ นทัง้ ศาสตร์และศิลป์ ที่ว่าเป็ น "ศาสตร์"เพราะเป็ นการพูด
จะต้องมีหลักเกณฑ์ และวิธีก ารต่า งๆที่ใช้ส อน ถ่า ยทอด ปฏิบ ัต ิ ฝึ กฝน
เช่นเดียวกับหลักวิชาแขนงอื่นๆ ในส่วนที่เป็ น "ศิลป์ "นัน
้ ก็เพราะการพูด
เป็ นเรื่องของความสามารถพิเศษเฉพาะบุคคล ดังนัน
้ ผู้ที่ต้องการจะเป็ น
นักพูดที่ดีจึงต้องศึกษาหลักและวิธีการพูด แล้วหมั่นฝึ กฝนตนเองอยู่เสมอ
อ้างอิง : (กันทิมา วัฒนะประเสริฐ และคณะ. 2540 : 1233)
สรุป : การพูดคือการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกจนเป็ นที่
เข้าใจกันได้

ฉัตรวรุณ ตันนะรัตน์(2526:6) ให้ความหมายการพูดว่า การพูดคือ


พฤติกรรมในการสื่อสารความหมายของมนุษย์โดยการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ

7
เช่น เสียง ภาษา อากัปกิริยา ท่าทาง เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิดเห็น
และความรู้สึกจากผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง
เอกฉัท จารุเมธีชน(2541:37) กล่าวว่า การพูดคือ การใช้ถ้อยคำ น้ำ
เสียงรวมทัง้ กิริยาอาการถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความรู้สึก และความ
ต้องการของผูพ
้ ูดให้ผู้ฟังรับรู้และเกิดการตอบสนอง
สมปราชญ์ อัมมะพันธ์(มปป:6-7) อธิบายเรื่องเกี่ยวกับการพูดว่า การพูด
เป็ นศิล ปะในการเลือ กใช้ถ ้อ ยคำภาษา ท่า ทาง ศิล ปะในการนำเสนอ
ความรู้ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการศิลปะในการต่อรองและศิลปะ
ในการเลือ กจัง หวะหรือ โอกาสที่จ ะนำเสนอเรื่อ งใดกับ ใครในเวลาใน
เหมาะสม พูดให้ถูกจังหวะเวลาควรไม่ควร
จากความหมายดัง กล่าวสามารถสรุปได้ว ่า การพูด หมายถึง การ
ถ่า ยทอดความคิด ความรู้ ความรู้ส ึก ตลอดจนความต้อ งการของผู้พ ูด
ออกมาโดยอาศัยถ้อยคำ น้ำเสียง อากัปกิริยาต่างๆ ที่ทำให้ผู้ฟังได้ยินรับรู้
และเข้าใจเรื่องรวมของผู้พูด และเกิดการตอบสนองได้
อ้า งอิง : (สบาย ไสยริน ทร์, ชวน เพชรแก้ว และ ศุภ วรรณ สอนสัง ข์.
2533 : 201)
สรุป : การพูด หมายถึง การถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความรู้สึก ตลอด
จนความต้องการของผู้พูดออกมาโดยอาศัยถ้อยคำ น้ำเสียง อากัปกิริยา
ต่า งๆ ที่ท ำให้ผ ู้ฟั งได้ยิน รับ รู้แ ละเข้า ใจเรื่อ งรวมของผู้พ ูด และเกิด การ
ตอบสนองได้

8
ฉลวย สุรสิทธิ(์ 2520:2) ได้ให้ความหมายของการพูดไว้และสรุปได้
ว่าการพูดเป็ นทัง้ ศาสตร์แ ละศิล ป์ ที่เ ป็ นศาสตร์เ พราะมีระเบียบวิธีก าร
ศึก ษา มีร ะเบีย บแบบแผนกำหนดเป็ นทฤษฎี ให้ศ ึก ษาและปฏิบ ัต ิจ น
สามารถพิส ูจ น์ไ ด้ ส่ว นที่เ ป็ นศิล ป์ เ พราะเป็ นการพูด ต้อ งใช้ศ ิบ ปะทาง
ภาษาในการนำเสนอความรู้ ความคิดต่างๆ ให้ผ ฟ
ู้ ั งเข้าใจ ผูพ
้ ูดจึงต้อง
อาศัยศิลปะการสร้างสรรค์ด้วยภาษาที่ดีที่ส ุด เพื่อให้ผู้ฟังประทับใจและ
เข้าใจสารตัง้ แต่ตงั ้ แต่ต้นจนจบ
สนุก รัฐถาวร (มปป.:9) ได้ให้ความหมายของการพูดว่า การพูดคือ
การใช้ศาสตร์และศิลป์ เพื่อชนะใจผูฟ
้ ั งด้วยเหตุผ ล และเรียกร้อ งความ
สนใจจากผู้ฟัง เพื่อให้ผฟ
ู้ ั งคล้อยตามความประสงค์ของผู้พูด นับว่าบรรลุ
ตามเป้ าหมายของผูพ
้ ูด
วารุณ พลบูรณ์(2542:39) ได้ให้ความหมายของการพูดไว้ในการใช้
ภาษาไทยว่า คือพฤติกรรมเพื่อสื่อความหมายของมนุษย์ เป็ นแบบหนึ่งใน
หลายๆแบบและเป็ นแบบที่เรียกว่า "สื่อความด้วยปาก"ซึ่งไม่ได้หมายความ
เพียงการสื่อความหมายโดยใช้ป ากเท่านัน
้ แต่เ ป็ นการสื่อสารด้วยเสียง
ด้วยภาษา ด้วยอากัปกิริยาท่าทาง ด้วยสีหน้าและหน้าตา เพื่อถ่ายทอด
ความรู้ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ตลอดจนอารมณ์ต ่างๆ ไปยัง
กลุ่มผูฟ
้ ั งให้ได้ผลตามความมุ่งหมายของผู้พูด
ผะอบ โปษะกฤษณะ (2506:119) ได้ให้ค วามหมายทางการพูดไว้
อย่างกะทัดรัดว่าหมายถึงการพูดให้ผู้อ่ น
ื ทราบความประสงค์ของผู้พูดจน
ได้รับความสำเร็จสมความมุ่งหมายของผู้พูด

9
จากคำจำกัดความดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า การพูดหมายถึงการสื่อสาร
โดยการใช้ว ัจ นภาษาและอวัจ นภาษาในการถ่า ยทอดความรู้ ความคิด
ความต้องการ อารมณ์ ของผู้พูดให้ผู้อ่ น
ื รับทราบได้ตรงตามเจตนา
อ้างอิง : (วิเศษ ชาญประโคน. 2550 : 157 – 158)
สรุป : พฤติก รรมเพื่อ สื่อ ความหมายของมนุษ ย์ ให้ผ ู้อ่ น
ื ทราบความ
ประสงค์ของผูพ
้ ูดจนได้รับความสำเร็จสมความมุ่งหมายของผู้พูด

การพูดเป็ นพฤติกรรมการสื่อสารด้วยการใช้ภาษาที่ควบคู่ไปกับการ
ฟั งกล่าวคือ เมื่อมีผพ
ู้ ูดก็ต้องมีผู้ฟัง จึงจะเกิดความสมบูรณ์ จะขาดฝ่ ายใด
ฝ่ ายหนึ่งไม่ได้
สวนิต ยมาภัย (2525) ได้ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า "การพูด
คือการใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และอากัปกิริยา ท่าทาง เพื่อถ่ายทอดความคิด
ความรู้ ความรู้สึก และความต้องการของผู้พูด ให้ผู้ฟังรับรู้ และเกิดการ
ตอบสนอง"
จากความหมายดังกล่าวนี ้ จะเห็นได้ว่า การพูดเป็ นการถ่ายทอด
ความรู้ส ึก นึก คิดของตนเองให้ผ ู้อ่ น
ื ได้ร ับ รู้ เข้า ใจ โดยอาศัย การฝึ กฝน
มิใช่เกิดขึน
้ เองโดยธรรมชาติ ธรรมชาติเป็ นเพียงผู้ให้อวัยวะที่ใช้ส ำหรับ
ออกเสียงมาเท่านัน
้ คนเราถ้าอวัยวะที่ใช้ส ำหรับออกเสียงไม่บกพร่อง ก็
สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ซึ่งเป็ นเรื่องของธรรมชาติ แต่ที่จะเปล่งเสียง
ออกมาให้เป็ นภาษาที่ส่ อ
ื สารกันเข้าใจในหมู่ชนด้วยกันนัน
้ ต้องอาศัยการ
เรียนรู้ คือเรียนรู้ถึงภาษาที่ใช้พูดจากันในหมู่เหล่า และอาศัยการฝึ กฝน

10
เพื่อให้พูดได้ดี บรรลุจุดมุ่งหมายของการพูดและใช้การพูดเป็ นประโยชน์
ในการดำรงชีวิตได้
อ้างอิง : (สบาย ไสยรินทร์ และคณะ. 2525 : 195-196)
สรุป : การพูด ก็ค ือ พฤติก รรมการสื่อ สารของมนุษ ย์ โดยอาศัย ภาษา
ถ้อยคำ น้ำเสียง ตลอดจนกิริยาท่าทาง และอื่น ๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึก
นึกคิดของตนแก่ผู้อ่ น
ื ให้เกิดผลตอบสนองตามที่ต้องการ

การพูด เป็ นพฤติก รรมทางภาษาที่ค วบคู่ไ ปกับ การฟั งเพื่อ การสื่อ


ความหมายระหว่า งมนุษ ย์ เป็ นการเปล่ง เสีย งออกมาเป็ นภาษาเพื่อ
ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการของผู้
พูดไปยังผู้ฟัง โดยใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และอากัปกิริยา จนเป็ นที่เข้าใจ
กันได้
การพูดที่ดี คือ การใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง รวมทัง้ กิริยาอาการต่างๆ
อย่างมีประสิทธิภาพและถูก ต้อ งตามจรรยามารยาท ประเพณีน ิยมของ
สัง คม เพื่อ ถ่า ยทอดความคิด ความรู้ ความรู้ส ึก ความต้อ งการ
ทัศนคติ และ ประสบการณ์ที่เป็ นประโยชน์ให้ผฟ
ู้ ั งได้รับรู้และก่อให้เกิด
การตอบสนองตรงตามที่ผู้พูดต้องการ
การพูดจึงเป็ นการสื่อสารสองทาง คือ มีทงั ้ ผู้พูดและผู้ฟัง การพูด
เป็ นทัง้ ศาสตร์และศิลป์ “ศาสตร์” หมายถึง การพูดจะต้องมีหลักเกณฑ์
และวิธีการต่างๆ ที่ใช้สอน ถ่ายทอด ปฏิบัติ ฝึ กฝน เช่นเดียวกับหลัก
วิช าแขนงอื่น ๆ ส่ว น “ศิล ป์ ” หมายถึง การพูด เป็ นเรื่อ งของความ

11
สามารถพิเ ศษเฉพาะบุค คล นอกจากนีก
้ ารพูด ยัง จัด เป็ นทัก ษะและ
วิชาชีพอีกประการหนึ่ง ซึ่งสามารถขยายความได้ดังนี ้
- ที่ว่าเป็ นศาสตร์ เพราะเป็ นวิชาที่มีหลักเกณฑ์ มีทฤษฎีให้เรียนรู้
และถ่า ยทอดกัน ได้ เช่น หลัก เกณฑ์ก ารออกเสีย งจัด เป็ นสัท ศาสตร์
การแสดงกิริยาอาการจัดเป็ นจริยศาสตร์ และการติด ต่อ สื่อ สารจัด เป็ น
สังคมศาสตร์ เป็ นต้น
- ที่ว่าเป็ นศิล ป์ เพราะ ต้องนำหลัก เกณฑ์ไ ปปฏิบ ัต ิให้เ กิด ความ
ไพเราะสวยงาม เป็ นที่ประทับใจแก่ผู้ฟัง การศึกษาแต่หลักเกณฑ์หรือ
ทฤษฎีเพียงอย่างเดียวจึงไม่ สามารถที่จะช่วยให้ผู้ศึกษาวิชาการพูดได้รับ
ประโยชน์จากการพูดมากเท่าที่ควร จึงจำเป็ นต้องนำไปปฏิบัติ โดยเพิ่ม
เทคนิคและกลวิธีต่างๆ ที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความพอใจ
- ที่ว่าเป็ นทักษะ เพราะ การพูดต้องอาศัยการฝึ กฝนให้เกิดความ
ชำนาญจึงจะใช้ประโยชน์ได้ดี ยิ่งชำนาญมากเท่าใดก็ยิ่งพูดดีขน
ึ ้ เท่านัน

ถึง แม้ว ่า จะเรียนรู้ทฤษฎีแ ละมีศ ิล ปะในการพูด เป็ นทุน เดิมอยู่ก ่อ นแล้ว
แต่ถ้าขาดการฝึ กฝนก็จะเอาดีไม่ได้ ตรงกับสุภาษิตที่กล่าวว่า “สิบปาก
ว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่k มือคลำ และสิบมือคลำไม่เท่าทำเอง”
- ที่ว่าเป็ นวิชาชีพ เพราะ ทุกๆ อาชีพใช้ภาษาพูดเป็ นสื่อในการ
ติดต่อสื่อสาร ถ้าพูดดีเป็ นศรีสง่าตนเอง ประกอบอาชีพใดๆ ก็มีแต่ความ
เจริญ ก้า วหน้า แต่ถ ้า พูด ไม่ด ีจ ะมีแ ต่ค วามเสื่อ มและเกิด อัน ตรายแก่
ตนเองเช่นกัน ดังสุภาษิตที่กล่าวว่า “พูดดีเป็ นศรีแก่ปาก”
อ้างอิง : ( ความหมายการพูด. (ม.ป.ป.). 2-4 )

12
สรุป : การพูดเป็ นพฤติกรรมทางภาษาที่ควบคู่ไปกับการฟั งเพื่อการ
สื่อความหมายระหว่างมนุษย์ การพูดจึงเป็ นการสื่อสารสองทาง คือ มี
ทัง้ ผู้พูดและผู้ฟัง การพูดเป็ นทัง้ ศาสตร์และศิลป์

ความสำคัญของการพูด
การพูดมีความสำคัญ แก่บค
ุ คลมาก เพราะมีส ่วนเข้า ไปเสริมสร้า ง
ความเจริญก้าวหน้าในวงงานทัง้ ภาครัฐและภาคเอกชนเป็ นเวลานานกว่า
บุคคลนัน
้ จะเป็ นหัวหน้างานเล็กหรือใหญ่ เป็ นครู อาจารย์ นักการเมือง
นักบวช พระภิกษุสงฆ์ พ่อค้า ตลอดจนนัก ธุรกิจ ล้วนมีแ ต่ค วามจำเป็ น
ต้องฝึ กให้มค
ี วามสามารถในการพูดต่อชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพด้วยกัน
ทัง้ สิน
้ เพราะการสื่อ สารกับ เพื่อ นร่ว มงานจำเป็ นต้อ งใช้ก ารพูด เพื่อ
อธิบ าย บอกเล่า โน้ม น้า วจูง ใจ ชีแ
้ จงและทำความเข้า ใจกับ บุค คลอยู่
ตลอดเวลา
สรุปความสำคัญของการพูดได้ดังนี ้
1. การพูดเข้าใจง่ายกว่าการสื่อสารอย่างอื่น เพราะการพูดต้องใช้
น้ำเสียง กิริยา ท่าทาง ถ้อยคำ ตลอดจนสีหน้า แววตาของผู้พูดประกอบ
ด้วย ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการเข้า ใจกว่าการอ่า นหรือการเขียนเพียงอย่าง
เดียว
2. การพูด เป็ นเครื่อ งของการสมาคม ช่ว ยส่ง เสริม ให้เ กิด ความ
สำเร็จในชีวิต อาชีพ และหน้า ที่ก ารงาน วาจาเป็ นเครื่อ งแสดงออกถึง
ความฉลาดอุปนิสัยใจคอของผูพ
้ ูดตลอดจนความมีไมตรีจิตต่อกัน สร้าง

13
ความสบายใจและมีมนุษย์สัมพันธ์ จึงนับได้ว่าการพูดเป็ นขัน
้ แรกในการ
สมาคมและช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้กิจการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
3. การพูดช่วยก่อให้เกิดความเข้าใจต่อกัน การพูดคุยแลกเปลี่ยน
ทัศนะความคิดเห็นกันนับตัง้ แต่บค
ุ คลต่อบุคคล บุคคลต่อรัฐ ตลอดจนถึง
ประเทศต่อประเทศ และที่สุดการพูดสามารถบันดาลให้เกิดสันติภาพแก่
โลก
4. การพูดช่วยปลอบประโลมใจ ให้คนมีทุกข์ควายทุกข์ คนท้อแท้
เกิดกำลังใจเกิดความ มุ่งมั่นที่สร้างสรรค์สังคมก่อประโยชน์แก่ตนเองและ
ส่วนรวม
อ้างอิง : (จิระภพสุคันธ์กาญจน์ และคณะ. 2550 : 202 – 204)
สรุป : การพูดมีความสำคัญแก่บุคคลมาก เพราะการสื่อสารกับเพื่อน
ร่วมงานจำเป็ นต้องใช้การพูด เพื่ออธิบาย บอกเล่า โน้มน้าวจูงใจ ชีแ
้ จง
และทำความเข้าใจกับบุคคลอยู่ตลอดเวลา

การพูดมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก เพราะ
เราใช้การพูดมากกว่าการฟั งและการเขียน เพื่ออบรม สัง่ สอน เจรจาต่อ
รอง เพื่อสื่อความรู้สึกนึกคิด เพื่อสร้างสัมพันธไมตรี เป็ นต้น
สมบัติ จำปาเงิน ได้กล่าวถึงข้อคิดจากม.ร.ว.ศึกฤทธิ ์ ปราโมช ไว้ใน
นักพูดไทย(2537:119) เกี่ยวกับความสำคัญของการพูดสรุปได้ว่า การพูด
สมบัติอันพิเศษของมนุษย์เป็ นความสามารถและเป็ นสมบัติอันพิเศษของ
มนุษย์ การพูดเป็ นสมบัตส
ิ ิ่ง เดียวของมนุษ ย์ที่ท ำให้มนุษ ย์แ ตกต่า งกว่า
สัต ว์โ บกอื่น ๆ และด้ว ยการพูด มนุษ ย์จ ึง สามารถติด ต่อ ซึ่ง กัน และกัน

14
แสดงความประสงค์ให้ทราบ และการใช้การพูดในการประกาศหลักธรรม
ต่างๆ จึงกล่าวได้ว่า การพูดมีความสำคัญดังนี ้
1. เป็ นเครื่องมือในการโน้มน้าวจิตใจบุคคลให้คิดและเห็นคล้อยตาม
เช่น การพูดโฆษณประชาสัมพัน ธ์ การโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณาหา
เสียง การเชิญชวนให้ร่วมกิจกรรมต่างๆ เป็ นต้น
2. เป็ นเครื่องมือในการสมาคมต้องอาศัยปิ ยวาจาเพื่อผูกไมตรีมิให้ร ู้
ร้างอันจะเป็ นหนทางไปสูค
้ วามสำเร็จในกิจการด้านต่างๆ
3. เป็ นเครื่องมือนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต การพูดช่วยให้กิจการทัง้
ปวงดำเนินไปอย่างราบรื่น อาทิทางการเมืองอาศัยการพูดเป็ นเครื่องมือ
สื่อนโยบายให้ทุกคนเข้าใจ การค้าอาศัยการพูดในการเจรจาซื้อขาย การ
สงครามต้องใช้วิธ ีท างการทูต เจรจาไกล่เ กลี่ยในกรณีต ่า งๆให้ส งบโดย
สัน ติ หรือใช้ก ารพูดเป็ นกลอุบ ายให้ฝ่ ายตรงกัน ข้า มเข้า ใจคลาดเคลื่อ น
เป็ นอย่างอื่น
4. เป็ นเครื่อ งมือ ในการถ่า ยทอดอารมณ์ ความรู้ส ึก ต่า งๆเพื่อ ลด
ภาวะเครียด เพื่อเพิ่มเติมความสุขแก่ชีวิต เช่น บทเพลง บทกวี เป็ นต้น
อ้างอิง : (วิเศษ ชาญประโคน. 2550 : 158 – 160)
สรุป : การพูดมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก
เป็ นเครื่องมือในการโน้มน้า วจิต ใจบุค คลให้ค ิด และเห็น คล้อ ยตาม ต้อ ง
อาศัยปิ ยวาจา เป็ นเครื่องมือนำไปสูค
่ วามสำเร็จในชีวิต

สมชาติ กิจยรรยง (2548,น.19) กล่าวถึงความสำคัญของการพูดไว้


ว่า เป็ นกระบวนการที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อ

15
1. ให้ข่าวสารข้อเท็จจริง
2. ให้ความรู้ความเข้าใจทัศนคติที่ถูกต้อง
3. ให้ความบันเทิง
4. ให้ผ ู้ฟั งเชื่อ ถือ ซึง่ การทำให้ผ ู้ฟั งเชื่อ ถือ ได้น น
ั ้ ผู้พ ูด ควรจะ
ปฏิบัติดังนี ้
 เชื่อตัวเองก่อน ก่อนที่จะพูดให้ผู้อ่ น
ื เชื่อ
 ต้องเสนอข้อมูลหนักแน่นมีเหตุผล
 ย่อเรื่องให้ง่ายและกระชับเพื่อให้คนฟั งเข้าใจ
 ท่าทีของผู้พูดน่าเชื่อถือ
สวัส ดิ ์ บรรเทิง สุข (2537,น.21) การพูด เป็ นเครื่อ งมือ ในการเข้า
สังคม ที่ส ำคัญของมนุษย์ มนุษย์ใช้การพูดเป็ นเครื่องมือติดต่อสื่อ ความ
หมายซึ่ง กัน และกัน ตลอดจนเป็ นประเทศอยู่ไ ด้ และได้ก ล่า วถึง ความ
สำคัญของการพูดในด้านต่างๆ พอสรุปได้ดังนี ้
ด้านการสื่อสาร การพูดช่วยให้ส่ อ
ื สารกับผู้อ่ น
ื ได้ถูกต้องเหมาะสม
ช่วยในการติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ความรู้สึก และความ
ต้องการของคน
ด้านการเข้าสมาคมและการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ การพูดเป็ นสื่อ เพื่อ
ให้เ กิด ความเข้า ใจซึ่ง กัน และกัน รู้เ รื่อ ง การพูด ที่ด ีจ ะช่ว ยสร้า งมนุษ ย์
สัมพันธ์ และเป็ นเครื่องมือในการเข้าสมาคมที่ดีที่สุด
ด้านศาสนา เป็ นเรื่องของความเชื่อ ดังนัน
้ การจะชักจูงให้คนอื่นเชื่อ
หรือเกิดความชอบหรือมีทัศนคติคล้อยตาม ต้องใช้ศิลปะในการพูดอย่าง

16
มาก ผู้ใดสามารถพูดโน้มน้าวให้คนในสังคมเชื่อในสิ่งที่ดีงามและประพฤติ
ปฏิบัติดีได้ สังคมนัน
้ ก็จะอยู่กันอย่างสงบสุข
การปกครอง มนุษย์เป็ นสัตว์สังคม ที่จะต้องอยู่รวมกันเป็ นกลุ่ม ดัง
นัน
้ จึง จำเป็ นต้อ งมีก ารจัด วางระเบีย บสร้า งกฎเกณฑ์ข น
ึ ้ เพื่อ ให้ค นใน
สังคมได้ยึดถือปฏิบัติในแนวเดียวกัน เพื่อความสงบสุขของสังคมนัน

ด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ การพูดเป็ นการแสดงออกถึงบุคลิกภาพ
ลัก ษณะ และทัศ นคติของผูพ
้ ูด การรู้จัก พูด ให้ถ ูก ต้อ งเหมาะสมกับ ผู้ฟัง
เหมาะกับกาลเทศะ พูดอย่า งมีขน
ั ้ ตอนตามหลัก การพูด จะช่ว ยพัฒ นา
บุคลิก ภาพของตนให้ดีขน
ึ ้ รู้จ ัก วางตัว ได้ด ีข น
ึ ้ กิร ิยาท่า ทางไม่เ คอะเขิน
แต่งกายเหมาะสมมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความกระตือรือร้น มีมนุษย์
สัมพันธ์ดี มีความน่ารักและเป็ นกันเองกับคนทั่วไป
ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย หากคนส่วนใหญ่ในสังคมรู้จักพูดใน
สิ่งที่ควรพูด รู้จักนิ่งในสิ่งที่ควรนิ่ง กล้าออกความเห็น กล้าคัดค้านในสิง่ ที่
ไม่ชอบไม่ควร เราจะพัฒนาสังคมให้เป็ นประชาธิปไตยได้เร็วกว่านี ้
ด้า นการประกอบอาชีพ แทบทุก อาชีพ จำเป็ นต้อ งใช้ก ารพูด เป็ น
เครื่องมือในการประกอบอาชีพทัง้ สิน
้ อาจเป็ นเครื่องมือประกอบอาชีพ
โดยตรงหรือโดยอ้อม แต่หากได้นำความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการพูด
ไปประยุก ต์เ ข้า กับ งานอาชีพ แล้ว จะทำให้ง านที่ท ำอยู่ด ีย ิ่ง ขึน
้ อย่า ง
แน่นอน เช่น ทนายความ จิตแพทย์ นักการเมือง พ่อค้า แม่ค้า ฯลฯ
ด้า นการสอน เป็ นการใช้ศ ิล ปะ และความสามารถในการพูด มาก
ที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะผู้สอนต้องถ่ายทอดความรู้ ความคิดเห็น และชีแ
้ จง

17
เหตุผลต่อศิษย์ เพื่อจะเอาความรู้ไ ปเป็ นประโยชน์ในการดำรงชีพ เพื่อ
พัฒนาสังคม และช่วยเหลือประเทศชาติด้านต่างๆ ต่อไป
สมิต สัชฌุกร (2547,น.10) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพูดว่า
การพูดเป็ นพฤติกรรมของมนุษย์ ที่เกิดจากการเรียนรู้ มิใช่สัญชาตญาณ
ที่มีมาแต่กำเนิด ความสามารถที่จะเป็ นนักพูดที่ดี จึงอาจศึกษาและฝึ กฝน
ได้
วิรัช ลภิรัตนกุล (2526,น.2) กล่าวว่าพฤติกรรมการพูดของมนุษย์
มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน และชีวิตการทำงานของเรา ทัง้ นีเ้ พราะ
มนุษ ย์ต ้องใช้ก ารพูดเสมอ และใช้ค ำพูด เป็ นสื่อ บุค คล หรือ เป็ นวิถ ีท าง
หนึ่งในการถ่ายทอด ชักนำเอาความรู้สึกนึกคิดของตนออกตีแผ่ แสดงให้ผู้
อื่นได้ทราบและเข้าใจ
อ้างอิง : (สายใจ ทองเนียม. 2560 : 56 – 58)
สรุป : การพูดมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต ทุกคนต้องอาศัยการ
พูด ในการถ่ายทอดความรู้ส ึก นึก คิด สร้างความเข้า ใจที่ด ีระหว่า งคนใน
สังคม นอกจากนีก
้ ารพูดยังช่วยเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับชีวิต
และเป็ นพื้นฐานช่วยสร้างความศรัทธา และความเชื่อมั่นในบุคลิกภาพให้
แก่บค
ุ คลนัน
้ ๆอีกด้วย

การพูด มีค วามสำคัญ ต่อ มนุษ ย์เ ป็ นอย่า งมาก เป็ นการสื่อ ความ
เข้า ใจระหว่างผู้พูดกับผูฟ
้ ั ง โดยเฉพาะในเด็ก ปฐมวัยนัน
้ พ่อ แม่ ครู ผู้ที่
เกี่ยวข้องต้องหาวิธีการเทคนิคต่าง ๆ ในการส่งเสริมพัฒ นาการพูด ด้วย
การให้เ ด็ก ได้เ รีย นรู้ค ำศัพ ท์ใ หม่ ๆ ด้วยการพูด คำตอบจากคำทายของ

18
ปริศนาคำทายจะช่วยส่งเสริมให้เด็กสามารถบอกชื่อสิ่งต่าง ๆ สื่อความ
หมายจากภาพเป็ นเรื่องราวได้ ตลอดจนแปลความหมายของคำพูดเป็ น
ประโยคสมบูรณ์ คือ ใคร ทำอะไร ที่ไหน ได้อย่างถูกต้อง
อ้างอิง : ( ครูอภิชัย. 2551 : 3 )
สรุป : เป็ นการสื่อความเข้าใจระหว่า งผู้พูด กับผูฟ
้ ั ง ด้วยการพูด คำตอบ
จากคำทายของปริศนาคำทายจะช่วยส่ง เสริมให้เด็กสามารถบอกชื่อ สิ่ง
ต่าง ๆ สื่อความหมายจากภาพเป็ นเรื่องราวได้

การพูด เป็ นสิง่ ที่จ ำเป็ นและสำคัญ ที่ส ุด สำหรับ บุค คลในทุก สาขา
อาชีพ ตัง้ แต่ข ้า ราชการ นัก การเมือ ง นัก วิช าการ นัก บริห าร นัก ธุร กิจ
ทหาร ตำรวจ แพทย์ พยาบาล พ่อค้า แม่ค ้า พระภิก ษุ ฯลฯ เนื่อ งจาก
กลุ่มคนทุกสาขาอาชีพต้องอาศัยการพูดเพื่อสื่อสารความหมายที่ต้องการ
ไปยังผูฟ
้ ั ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้พูด
และผู้ฟังนั่นเอง ในสังคมไทยนัน
้ มีผู้ที่มองเห็นความสำคัญและคุณค่าของ
การพูดมากมาย ดังนี ้
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ กล่าวไว้ว่า มนุษย์
เราจะติด ต่อ แลกเปลี่ย นความรู้ส ึก นึก คิด กัน ได้ก ็ด ้ว ยอาศัย การพูด เป็ น
สำคัญจะติดต่อกันฉันเพื่อนเพื่อสังสรรค์สามัคคีกันก็ต้องอาศัยคำพูด จะ
ติดต่อกันทางธุรกิจเป็ นการทำมาค้า ขายก็ต้อ งอาศัยคำพูด จะติด ต่อ กัน
ทางการปกครองและทางการบ้านการเมืองก็ต้องอาศัยคำพูด ถ้าจะให้คน
ชอบท่านและนิยมท่าน ท่านจะต้องมีสังคหวัตถุ 4 ซึง่ อย่างหนึง่ ได้แก่ ปิ ย
วัจนะ วาจาอันเป็ นที่รักใคร่อ่อนหวาน

19
หลวงวิจิตรวาทการ ก็ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพูดไว้ว่า วิชา
นักพูดเป็ นศิลปะอันสำคัญอันหนึ่งและผู้ที่เป็ นนักพูดก็ต้องนับว่าเป็ นผู้มี
ศิลปะอันประเสริฐอันหนึ่งเหมือนกัน นักพูดเป็ นบุคคลจำนวนหนึ่งพวก
หนึ่ง ซึ่งทำให้โลกนีเ้ ป็ นที่ร่ น
ื รมย์นักพูดที่ดีๆย่อมสามารถจะดับความทุกข์
และให้ความสุขแก่คนทัง้ หลายโดยการปลุกหรือปลอบหัวใจด้วยคำพูดอัน
ฉลาดของเขา การที่นักพูดเป็ นที่พอใจของคนทัง้ หลายนัน
้ ก็เพราะเหตุว่า
เขาได้ใช้คำพูดของเขาเป็ นเครื่องทำความสุขความรื่นรมย์ให้แก่บุคคล คำ
พูด ของนัก พูด ที่ด ีๆ ย่อ มจะเป็ นยาอัน ประเสริฐ ส ำหรับ ชโลมหัว ใจ
พระพุท ธเจ้า เป็ นนัก พูดที่ป ระเสริฐสุด คนหนึ่ง ของโลก ใครจะเศร้า โศก
ทุกข์ร้อน ขุ่นหมองอย่างไร ถ้าได้เข้าถึงพระองค์แล้ว ความเศร้าโศกทุกข์
ร้อ นและขุ่น หมองนัน
้ ก็พ ลัน หายและความสุข ความสบายก็จ ะมีข น
ึ ้ มา
แทนที่ เพราะเหตุฉะนี ้ วิชานักพูด จึงเป็ นศิลปะและมีประโยชน์อย่างยิ่ง
อันหนึ่งในโลกสุนทรภู่ กวีเอกของไทยก็ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพูด
ไว้ในนิราศภูเขาทองตอนหนึ่งว่า
"ถึงบางพูดพูดดีเป็ นศรีศักดิ ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายท
าลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา" หรือในบทกวีนิพนธ์ช่ อ
ื เพลง
ยาวถวายโอวาท ของสุนทรภู่ ก็มีวรรคทองที่บ ่งบอกถึงความสำคัญของ
การพูดไว้ดังนี ้
"อันอ้อยตาลหวานลิน
้ แล้วสิน
้ ซาก แต่ลมปากหวานหูไม่ร้ห
ู าย แม้นเจ็บอื่น
หมื่นแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายนัน
้ เพราะเหน็บให้เจ็บใจ" หรือหนึ่ง
ในวรรคทองบางตอนจาก "พระอภัยมณี" ว่า “เป็ นมนุษย์ส ุด นิยมเพียง

20
ลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจา
จงพิเคราะห์ให้เหมาะความ”
ผู้ช ่วยศาสตราจารย์ ดร.สวัส ดิ ์ บัน เทิง สุข ได้ก ล่า วถึง ความสำคัญ
ของการพูดโดยเปรียบเทียบกับดินสอไว้โดยสรุปได้ว่า คุณค่าของดินสอด
ามิได้อยู่ที่การพยายามแปลความหมายของดินสอดำแต่คณ
ุ ค่าของดินสอ
ดำขึน
้ อยู่กับผู้ใช้ว่าจะสามารถใช้ดินสอดำเขียนสิ่งที่มีคุณค่าขึน
้ มาได้มาก
น้อยเพียงใด การพูดก็เป็ นเช่นดินสอดำ กล่าวคือ ความสำคัญของการพูด
มิได้อยู่ที่การพยายามจะสรรหาถ้อยคำที่ไพเราะเสนาะหูมาเพื่อให้ความ
หมายของการพูดแต่อยู่ที่ป ระสิทธิภาพในการพูดต่างหากแม้แ ต่ถ ้อยคำ
สำนวนหรือวลีเกี่ยวกับคำพูดที่มีผู้ร้ผ
ู ูกไว้เป็ นคำสัน
้ ๆ แต่คมคาย ลึกซึง้ ก็
เป็ นการบ่งบอกถึงการให้ความสำคัญกับการพูด เช่น
"ปากเป็ นเอก เลขเป็ นโท หนังสือเป็ นตรี ชั่วดีเป็ นตรา"
"พูดดีเป็ นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย"
“คนที่พูดจะขายได้แม้กระทั่งแกลบ แต่คนที่ไม่พูดจะไม่สามารถขายได้แม้
กระทั่งข้าวสาร”...
ภาษิตอินเดีย
“คำพูดเหน็บแนมที่เฉียบแหลมรุนแรงย่อมเชือดเฉือนได้ลึกกว่าคม
อาวุธ” ...คติ
ฝรั่งเศส
"พูดความจริงแค่ครึ่งเดียวก็คือการโกหกทัง้ หมด" ...ภาษิตชาวยิว
"การพูดให้ร้ายไม่ทำให้คนดีเป็ นคนเลว เพราะเมื่อน้ำลดหินก็ยังอยู่ที่
เดิม"...ภาษิต

21
จีน
ในพระพุทธศาสนา ก็มีค าสอนที่ชใี ้ ห้เห็นถึงความสำคัญของการพูด
ไว้เช่นกัน โดยปรากฏอยู่ในหนังสืออรรถกถาธรรมบท ขุททกนิกาย ภาคที่
3 ดังนี ้
ยถาปิ รุจิร ปุปฺผ วณฺณวนฺต อคนฺธก เอว สุภาสิต า วาจา อผลา โหติ
อกุพพ
ฺ โต
วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์ ยถาปิ รุจ ิร ปุป ผ
ฺ วณฺณ วนฺต ส
คนฺธก
เอว สุภาสิตา วาจา สผลา โหติ สุกพ
ุ ฺพโต ฯ
คำแปล
ดอกไม้ งาม มีสส
ี วย แต่ไม่มีกลิ่น ฉันใด วาจาสุภาษิต ย่อมไม่มีผล
แก่บค
ุ คลผู้ไม่ทำตาม
ฉันนัน
้ แต่วาจาสุภาษิตย่อมมีผลแก่ผู้ทำตามด้วยดี เหมือนดอกไม้งาม มีสี
สวย และมีกลิ่นหอมฉะนัน

“มนุญ ฺ เมว ภาเสยฺย ” ควรกล่า วแต่ว าจาที่น ่า พอใจ ฯ ขุ. ชา. เอก.
27/10.
“โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ” การเปล่งวาจางาม ย่อมสำเร็จประโยชน์ ฯ ขุ.
ชา. เอก. 27/28.
จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่า ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกภาษา ต้อง
ก็ให้ความสำคัญกับการพูด ซึง่ เป็ นศาสตร์และศิลป์ ที่มนุษย์ต้องเรียนรู้และ
ฝึ กฝนจนสามารถนำไปปฏิบัติจริงจนเห็นผลได้ ซึ่งความสำคัญของการพูด
มิใ ช่จ ากัด อยู่แ ค่ก ารรู้จ ัก พูด แต่ส ิ่ง ที่เ ป็ นกุศ ลและเป็ นประโยชน์ท งั ้ ต่อ

22
ตนเองและสังคมส่วนรวมเท่านัน
้ แต่การฝึ กฝนพัฒนาตนเองด้านการพูด
ยังเป็ นปั จจัยทำให้ผู้ฝึกฝนได้เป็ นนักวางแผน นักคิด นักสร้างสรรค์อีกด้วย
เนื่องจากการพูดนัน
้ เป็ นกระบวนการที่ต้องผ่านการค้นคว้า การคิดอย่าง
รอบคอบ การวิเ คราะห์ มีก ารวางแผนการพูด ต้อ งรู้จัก และเข้า ใจผูฟ
้ ัง
และต้อ งเลือกใช้ภาษาที่เ หมาะสมกับ กลุ่มผู้ฟัง ดัง นัน
้ การฝึ กฝนทัก ษะ
ด้านการพูดจึงเป็ นการพัฒนาศักยภาพตนเองทัง้ ในด้านกายภาพและด้าน
ความคิด เพื่อปรับ บุคลิกภาพของตนเองให้เหมาะกับสัง คม ซึง่ เป็ นการ
เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อ่ น
ื อย่างสันติอีกช่องทางหนึ่ง เพราะเหตุดงั กล่าวนี ้
การพูดจึงเปรียบเสมือนบันไดสำคัญขัน
้ แรกของมนุษย์ในการสมาคมและ
เป็ นสะพานเชื่อมไปสู่ความสำเร็จ
ในชีวิตได้การพูดมีความสำคัญต่อมนุษย์หลายประการ เช่น การพูดทำให้
มนุษย์เข้าใจซึ่งกันและกัน
การพูดเป็ นเครื่องมือสื่อสารสำคัญที่สุดที่จะทำให้มนุษย์ที่อยู่กันในสังคมมี
ความเข้าใจกัน มากขึน
้ เป็ นเครื่อ งมือ ที่ส ร้า งความสัมพัน ธ์ก ัน ทำให้เ กิด
ความรู้สึกที่ดีต่อกันและกัน และยังเป็ นเครื่องมือที่ท ำให้มนุษย์ได้เปิ ดเผย
ตนเองไปสู่โ ลกกว้างทัง้ ในระดับ บุค คล ระดับ กลุ่ม และระดับ ชาติไ ด้อ ีก
ด้วย
อ้างอิง : ( ศิริรัตน์ กลยะณ. 2558 : 3 – 7 )
สรุป : การพูดทำให้เกิดการรับรู้ความหมายร่วมกัน มนุษย์เป็ นสัตว์สังคม
ที่ต้องอยู่ร่วมกัน ดังนัน
้ ในการสร้างความเข้าใจเพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติ
อย่างเดียวกัน เพื่อประโยชน์สุขแห่งสังคมที่ตนอาศัยอยู่ จึงจำเป็ นอย่างยิ่ง

23
ที่จะต้องรับรู้ความหมายของสิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน รวมไปถึงการกระทำและ
คำพูดด้วย

ประเภทของการพูด
การพูดแบ่งอย่างกว้างๆ ออกได้ 2 ประเภท คือ การพูดอย่างไม่เป็ น
ทางการ และการพูดอย่างเป็ นทางการ
การพูด อย่า งไม่เ ป็ นทางการ หมายถึง การพูด ในโอกาสทั่ว ๆไป
หรือ เป็ นการพูดในชีวิตประจำวัน เป็ นการพูด ที่ไ ม่มีแบบแผน ซึ่งได้แก่
การพูดคุยสนทนาในหมู่เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน ญาติสนิทมิตรสหาย เป็ นต้น
การพูดอย่างเป็ นทางการ หมายถึง การพูดที่มีแบบแผน มักพุดใน
โอกาสต่างๆ โดยมีจุดประสงค์ที่แน่นอน ผุพ
้ ูดจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่อง
ของเนื้อหาเตรียมบุคลิกภาพ และ มีการฝึ กฝน เพื่อให้การพูดบังเกิดผลอ
ย่างแท้จริง การพูดแบบนีไ้ ด้แก่ การโต้สวาที การอภิปราย การปาฐกถา
การแสดงสุนทรพจน์ เป็ นต้น
อ้างอิง : (สบาย ไสยรินทร์ และคณะ. 2525 : 197)
สรุป : การพูด แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือการพูดอย่างเป็ นทางการ การ
พูด ในโอกาสทั่ว ๆไป และการพูด อย่า งไม่เ ป็ นทางการ การพูด ที่ม ี
แบบแผน มักพุดในโอกาสต่างๆ

การพูดอาจแบ่งตามเกณฑ์ได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามวิธีพูด และ


แบ่งตามผู้ฟังในที่นจ
ี ้ ะขอกล่าวถึงการพูดที่แบ่งตามวิธีการพูด 4 ประเภท
คือ
24
1.การพูดฉับพลัน เป็ นการพูดที่ผพ
ู้ ูดไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้ามาก่อน
ผูพ
้ ูดส่วนมากจะเป็ นผู้ใหญ่ที่ได้รับเชิญให้ออกไปพูดเพื่อเป็ นเกียรติในงาน
สังคม เช่น การกล่าวคำขอบคุณ การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การ
พูดแบบนีต
้ ้องมีสมาธิ และเลือกสาระสำคัญเพียงจุดเดียวมาใช้พูด
2.การพูดแบบเตรียมตัวล่วงหน้า เป็ นการพูดที่ผพ
ู้ ูดรู้ล่วงหน้าว่าจะ
พูดเรื่องอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และใครเป็ นคนฟั ง ดังนัน
้ ผู้พูดสามารถที่จะ
เตรียมเนื้อหาสาระที่จะพูดและจดเค้าโครงหัวข้อใส่กระดาษแผ่นเล็กๆไว้
ประกอบการพูดให้เป็ นไปตามลำดับได้การพูดแบบนีท
้ ำให้ผู้พูดสามารถ
เตรียมเรื่องได้เหมือนสม เป็ นการพูดที่เหมาะกับผู้ที่มีความชำนาญในการ
พูด
3.การพูดแบบท่องจำ เป็ นวิธีการพูดที่ผู้พูดต้องท่องจำไว้ในสมอง
ขณะพูดต้องใช้น ้ำหนักเสียงสูงต่ำหนักเบาให้เสมือนการพูด มิใช่ท่องจำ
การพูดแบบนีเ้ หมาะสำหรับการแสดงละครที่มีการเตรียมบทบาทและบท
พูดไว้แล้ว นักศึกษาที่จะเตรียมการพูดเพื่อรายงานหน้าชัน
้ เรียนไม่ควรใช้
วิธีการพูดแบบท่องจำนี ้
4.การพูด แบบอ่า นจากต้น ฉบับ เป็ นการพูด ที่ผ ู้พ ูด มีก ารเตรีย ม
เนื้อหาสาระร่างไว้ และนำข้อความนัน
้ ไปอ่านให้เหมือนพูด เพื่อป้ องกันไม่
ให้เกิดความผิดพลาด เหมาะกับ การพูดที่ใช้เฉพาะในพิธีก ารต่า งๆ เช่น
การกล่าวสุนทรพจน์ ของนายกรัฐมนตรี การกล่าวเปิ ดงานของผู้อำนวย
การโรงเรียน ฯลฯ
อ้างอิง : (ธนู ทดแทนคุณ และ กุลวดี ทดแทนคุณ. 2549 : 211)

25
สรุป : การพูดอาจแบ่งตามเกณฑ์ได้หลายแบบ เช่น การพูดฉับพลัน
การพูดแบบเตรียมตัวล่วงหน้า การพูดแบบท่องจำ การพูดแบบอ่านจาก
ต้นฉบับ

ประสงค์ รายณสุข (2528,น.148-152) ได้แบ่งการพูดออกเป็ นแบบ


ต่างๆ ดังนี ้
1. จำแนกตามรูปแบบ
จำแนกตามรูปแบบ แบ่งเป็ น 3 ประเภท คือ
1.1 การพูดระหว่างบุคคล เป็ นการสือสารขัน
้ พื้นฐาน ที่
ไม่ยึดหลักการพูดที่เป็ นทางการหรือคร่งครัดนัก เพียงแต่ใช้เกณฑ์การพูด
ที่เ กี่ย วกับ กาลเทศะและบุค คลเท่า นัน
้ เช่น การสนทนา การสัมภาษณ์
การซักถาม การพูดทางโทรศัพท์ ฯลฯ
1.2 การพูด ในกลุ่ม เป็ นการพูด ในลัก ษณะแลกเปลี่ย น
ความคิด ซึง่ กัน และกัน ของกลุ่ม บุค คลที่ม ีม ากว่า 2 คนขึน
้ ไป เพื่อ จุด
ประสงค์ ในการางแผนทำงานร่วมกัน หรือ หาทางแก้ปั ญหาต่า งๆ เช่น
การประชุมกลุ่ม การอภิปรายกลุ่ม
1.3 การพูดในที่ประชุม เป็ นการพูดในที่สาธารณะต่อหน้าผู้
ฟั งจำนวนมาก เป็ นการสื่อสารระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง โดยผู้พูดต้องเตรียม
ตัวในการพูดมาอย่างดี ทัง้ การวิเคราะห์ผฟ
ู้ ั ง และการเตรียมเนื้อหา ตลอด
จนวิธีเ สริม สร้า งประสิท ธิภ าพในการพูด การพูด ประเภทนี ้ ไดแก่ การ
บรรยาย การแสดงปาฐกถา และการอภิปรายแบบต่างๆ
2. จำแนกตามโอกาส

26
จำแนกตามโอกาส แบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ
2.1 การพูด ที่เ ป็ นทางการ เป็ นการพูด ต่อ สาธารณชน มี
ลักษณะเป็ บแบบแผนผู้พูดต้องเตรียมตัวมาอย่างดี เตรียมการพูดและฝึ ก
พูด เพื่อให้เกิดทักษะ และเรียกความเสื่อมใสศรัทธาจากผู้ฟัง
2.2 การพูดที่ไม่เป็ นทางการ เป็ นการพูดที่ใช้ในชีวิตประจำ
วัน มีลักษณะ เป็ นกันเองระหว่างผูพ
้ ูดกับผูฟ
้ ั ง ภาษาที่ใช้เป็ นภาษาปาก
3. จำแนกตามวัตถุประสงค์ในการพูด
จำแนกตามวัตถุประสงค์ในการพูด แบ่งเป็ น 3 ประเภท คือ
3.1 การพูดเพื่อให้ความรู้ เป็ นการพูดในลักษณะบอกเล่า
ชีแ
้ จง แถลงข้อ เท็จ จริง แก่ผ ู้ฟั ง โดยมีว ัต ถุป ระสงค์ เพื่อ ให้ไ ด้ร ับ สาระ
หรือความรู้จากการฟั ง
3.2 การพูดเพื่อจูงใจและปลุกใจ เป็ นการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ
หรือชักนำผูฟ
้ ั งให้เชื่อคำพูดของผู้พูด เกิดความเสื่อมใสศรัทธาในตัวผู้พูด
จนถึงกับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม และมีความคิดเห็นคล้อยตาม
3.3 การพูดเพื่อความเพลิดเพลินและจรรโลงใจ เป็ นการพูด
เพื่อให้ผู้ฟังได้รับความเพลิดเพลิน มักเป็ นเรื่องเบาสมอง ไม่ต้องใช้ความ
คิดมากนัก
4. จำแนกตามลักษณะการพูด
จำแนกตามลักษณะการพูด มี 4 ประเภท คือ
4.1 การพูดโดยฉับ พลัน เป็ นการพูด ที่ผ ู้พ ูด ไม่ร้ต
ู ัว ล่ว งหน้า
มักเป็ นการพูดในงานรื่นเริงสังสรรค์ หรืออาจเป็ นการแสดงความคิดเห็น
เพื่อแก้ปัญหาบางประการ

27
4.2 การพูดโดยท่องจำ มีลักษณะการพูดใกล้เคียงกับการพูด
โดยฉับพลัน แต่ผพ
ู้ ูดรู้ตัวมาก่อนล่วงหน้า จึงมีโอกาสเตรียมตัวด้วยการ
ท่องจำ
4.3 การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ เป็ นการพูดโดยอ่านจาก
ต้นฉบับที่เตรียมไว้ การพูดมักใช้ในโอกาสที่เป็ นพิธีกร
4.4 การพูดโดยมีการบันทึก เป็ นการพูดในที่ช ุมชนที่นิยม
ใช้มาก และได้ผลดีกว่าแบบอื่น ผู้พูดต้องศึกษาค้นคว้า และเตรียมตัวมา
เป็ นอย่า งดี มีก ารจดบัน ทึก ข้อ ความสำคัญ ที่จ ะนำไปพูด เช่น สำนวน
คำคม
อัม พร แก้ว สุว รรณ (2522,น.75-80) กล่า วว่า การพูด มีอ ยู่ 2
ลักษณะคือ
1. การพูดโดยไม่มีการเตรียมตัว เป็ นวิธีพูดไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า
มาก่อนมีผู้พูดจำนวนน้อยเท่านัน
้ ที่สามารถพูดในวิธีนไี ้ ด้โดยไม่เคอะเขิน
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจะต้องได้รับการฝึ กฝน และมีความเคยชินต่อ
การปรากฏตัวในสายตาคนมากๆ
2. โดยมีการเตรียมตัว เป็ นการพูดโดยที่ผู้พูดต้องรู้ตัวล่วงหน้านาน
พอที่จะศึกษาสถานการณ์ในการพูด เนื้อเรื่อง ผูฟ
้ ั ง และองค์ประกอบใน
ด้านอื่นๆ ซื้อผูพ
้ ูดอาจใช้วิธีต่างๆ ดังนี ้
•การอ่าน หมายถึงการอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมมา ซึ่งเป็ นการพูดที่
ไม่เป็ นธรรมชาตินอกเสียจากว่า ผูพ
้ ูดต้องเป็ นนักอ่านที่ดี ไม่ก้มหน้าก้มตา
อ่าน จนไม่ได้มองผูฟ
้ ั ง และอ่านออกเสียงในระดับเดียวตลอดเวลา

28
•การท่องปากเปล่า เป็ นการเตรียมการพูด ที่เ สียเวลา เพราะผูพ
้ ูด
ต้องเสียเวลาในการท่องจำสิ่งที่จะพูดให้ได้ทงั ้ หมด และอาจทำให้ผู้พูดไม่
มั่นใจ หรือเครียดเวลาพูด เพราะกังวลว่าจะพูดไม่ครบตามที่ท่องมา และ
ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นของผู้พูดในระหว่างการพูดด้วย
•การจำเพียงหัวข้อ เป็ นวิธีที่ผู้พูดวางแผนการพูดว่ามีโครงร่างในการ
พูดอย่างไรและผูพ
้ ูดสามารถเลือกหาถ้อยคำมาใช้ให้เหาะสมกับโอกาสได้
เพียงแต่ใช้สอดคล้องกับโครงเรื่องที่วางไว้
อ้างอิง : (สายใจ ทองเนียม. 2560 : 58 – 60)
สรุป : ประเภทของการพูดนัน
้ อาจแบ่งได้ตามรูปแบบของการพูด โอกาส
ในการพูด วัต ถุป ระสงค์ใ นการพูด และลัก ษณะของการพูด การพูด ทุก
ประเภทจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ให้ผฟ
ู้ ั งเกิดความรู้ ความเข้าใจ และ
คล้อยตามสิ่งที่ผพ
ู้ ูดต้องการ

การพูดอาจแบ่ง ตามเกณฑ์ต ่า ง ๆ ได้ห ลายแบบด้วยกัน ในที่น จ


ี้ ะ
กล่าวถึงการพูดเพียง 2 แบบ คือ
• แบบที่ 1 แบ่งตามวิธีพูดมี 4 ประเภท คือ
1) ก า ร พ ูด โ ด ย ฉ ับ พ ล ัน ห ร ือ ก ร ะ ท ัน ห ัน
(Thelmpromptuspeech)ได้แ ก่ก ารพูด ที่ผ ู้พ ูด ไม่ร้ต
ู ัว มาก่อ นจะต้อ ง
พูดไม่ได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้าทัง้ ในด้านเนื้อเรื่องที่จะพูด แต่ก็ได้รับเชิญ
หรือ ได้ร ับ มอบหมายให้พ ูด เช่น การพูด กล่า วอวยพรในวัน เกิด กล่า ว
อวยพรคู่บ ่า วสาว กล่า วต้อ นรับ ผู้ม าเยือ น กล่า วขอบคุณ ผู้ม ีอ ุป การะ

29
สนับสนุน การพูดกะทันหันนี ้ หากผู้พูดได้รับเชิญในลักษณะดังกล่าวข้อที่
ควรปฏิบัติเพื่อให้การพูดประสบความสำเร็จ ก็ควรปฏิบัติตนดังต่อไปนี ้
- ต้องคุมสติให้มั่น อย่าประหม่าหรือตกใจตื่นเต้นจนเกินไป ทำจิตใจ
ให้ปกติและสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเองด้วยการสร้างความพึงพอใจและ
ความยินดีที่จะได้พูดในโอกาสเช่นนัน

- ให้นึกถึงประสบการณ์ต ่างๆ ที่เรียนรู้ห รือ ได้พบเห็นมา ซึง่ เห็น ว่า
เป็ นเรื่องที่ดีมีประโยชน์แก่ผู้ฟังและเป็ นเรื่องราวที่เข้ากับ บรรยากาศที่จะ
พูดแม้ว่าขณะนัน
้ จะมีเวลาโอกาสสัน
้ ๆ ก่อนจะพูดก็ควรนึกคิดรวมทัง้ ขณะ
ที่เดินจากที่นั่งไปยังที่จะพูด
- กำหนดเรื่อ งที่จ ะพูด ให้ช ัด เจน กำหนดเวลาพูด ให้เ หมาะสมกับ
โอกาสและงานนัน
้ ๆอย่าพูดไปโดยไม่มีการกำหนดหัว เรื่องและกำหนด
เวลาไว้เพราะจะมีผลให้การพูดไม่ดี คนฟั งก็เบื่อหน่าย
2) ก า ร พ ูด โ ด ย ก า ร เ ต ร ีย ม ก า ร ม า ล ่ว ง ห น ้า (The
Extemperamous) การพูดแบบนีเ้ ป็ นการพูด ที่ผ พ
ู้ ูดได้มีโอกาสเตรียม
ตัวมาก่อนคือ ผูพ
้ ูดรู้ว่าตนเองได้รับเชิญหรือจะต้องพูดในเรื่องอะไรบ้าง
จึงต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าเท่าที่โอกาสเวลาจะอำนวยให้ ดังนัน
้ การเต
รียมในเรื่องต่างๆ ที่จะพูดเป็ นคุณสมบัติสำคัญที่นักพูดจะต้องปฏิบัติตน
อย่างสม่ำเสมอ
3) ก า ร พ ูด โ ด ย อ า ศ ย
ั อ ่า น จ า ก ต ้น ฉ บ ับ
(Thespeakingfrommanuscripts) การพูดประเภทนีเ้ ป็ นการพูดตาม
ต้น ฉบับ ที่เ ขีย นขึน
้ ซึ่ง เป็ นการเตรีย มไว้ล ่ว งหน้า เป็ นอย่า งดี ส่ว นมาก
เป็ นการพูดทางพิธีการต่าง ๆ สำคัญๆ เช่น การกล่าวเปิ ดงานการกล่าว

30
รายงาน การกล่าวเปิ ดประชุม การกล่าวรายงานการประชุม การกล่าวคำ
ปราศรัย การกล่าวคำสดุดีการกล่าวคำให้โอวาท การกล่าวต้อนรับที่เป็ น
พิธีการสำคัญๆ ฯลฯ การพูดประเภทนีผ
้ ู้พูดจะต้องฝึ กฝนตนในเรื่องการ
อ่านต้นฉบับให้คล่อง การฝึ กสายตาเวลาพูดการฝึ กอ่านย่อหน้าวรรคตอน
และคำศัพท์ที่ยากตลอดทัง้ สำนวนการพูดให้เหมาะสม
4) การพูด โดยวิธ ีท ่อ งจำ (The memorized speaking) การ
พูด ลัก ษณะนีเ้ ป็ นการพูด ที่ผ พ
ู้ ูด จะต้อ งเตรีย มตัว ท่อ งจำเนื้อ หาอย่า ง
ละเอียดจากเอกสาร ตำรา หนังสือต่างๆ อย่างแม่นยำ เช่น การท่องจำ
ตัวเลข จำสุภาษิตคำพังเพย เนื้อหาที่สำคัญๆ การพูดแบบนีเ้ ป็ นการพูดที่
ผู้พูดจะต้องใช้ความเพียรพยายามมากในการจดจำเนื้อหา และจะต้องมี
เวลาในการเตรีย มตัว เช่น การเทศน์ข องพระสงฆ์ การสวดอ้อ นวอน
บวงสรวงพิธีกรรมของพราหมณ์ การทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ และการ
ทำพิธีกรรมของศาสนาต่างๆ เป็ นต้น
• แบบที่ 2 แบ่งตามจำนวนผู้ฟัง มี 2 ประเภท คือ
1) การพูดรายบุคคล เป็ นการพูดตัวต่อตัว ได้แก่ การพูดที่ใช้อยู่ใน
ชีวิตประจำวัน เช่น การสนทนา การสัมภาษณ์ การเล่าเรื่อง การแนะนำ
ตัว เป็ นต้น
2) การพูด ในที่ช ุม นุม ชน เป็ นการพูด ที่ม ีผ ู้ฟั งเป็ นจำนวนมาก
เป็ นการพูด ที่ม ีแ บบแผนต้อ งมีก ารเตรีย มตัว และฝึ กฝนให้เ กิด ความ
ชำนาญ การพูดประเภทนีไ้ ด้แก่ การบรรยาย การอภิปราย การปาฐกถา
การแสดงสุนทรพจน์ เป็ นต้น
อ้างอิง : ( หลักเกณฑ์การพูด. 2554 : 5 )

31
สรุป : การพูดอาจแบ่งตามเกณฑ์ต ่าง ๆ ได้หลายแบบด้วยกัน ในที่นจ
ี้ ะ
กล่าวถึงการพูดเพียง 2 แบบ คือ แบ่งตามวิธีพูด และ แบ่งตามจำนวนผู้
ฟั ง

การพูดอาจแบ่ง ตามเกณฑ์ต ่า ง ๆ ได้ห ลายแบบด้วยกัน ในที่น จ


ี้ ะ
กล่าวถึงการพูด 2 ประเภท คือ
1. ประเภทการพูดที่แบ่งตามวัตถุประสงค์
2. ประเภทการพูดที่แบ่งตามวิธีการพูด
ประเภทที่ 1 การพูดที่แบ่งตามวัตถุประสงค์
1. การพูดเพื่อให้ความรู้
การพูด ประเภทนี ้ เป็ นการพูด เพื่อ ให้ค วามรู้ เป็ นการพูด อธิบ าย ชีแ
้ จง
แสดงเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยมีจ ุดมุ่งหมายที่จะให้ผ ู้ฟังได้รับ
ความรู้ ความเข้าใจเนื้อหาสาระอย่างครบถ้วน ผูพ
้ ูดจึงต้องมีการเตรียมตัว
ล่วงหน้า และศึก ษาค้น คว้าเรียบเรียงข้อ มูล และนำเสนออย่า งมีขน
ั ้ ตอน
เป็ นลำดับ เพื่อให้ผฟ
ู้ ั งฟั งได้ง่ายและเข้าใจ หากผู้ฟังมีข้อปั ญหาที่สงสัย ก็
สามารถซัก ถามได้ และผูพ
้ ูด จะต้อ งตอบคำถาม หรือ อธิบ ายให้จ ัด เจน
การพูด ในลักษณะนีม
้ ีห ลายรูปแบบ ตัวอย่า งเช่น การอบรม ปฐมนิเ ทศ
บรรยายสรุป การอธิบาย การสาธิต การแถลงการณ์ การประกาศ รวมไป
ถึงการเรียนการสอนด้วย

2. การพูดเพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจ

32
การพูดเพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อชักชวน เชิญชวน หรือ
เกลีย
้ กล่อมให้ผฟ
ู้ ั งคล้อยตามและปฏิบัติตาม หรือโน้มน้าวให้ผ ู้ฟังยกเลิก
ไม่ก ระทำอย่างใดอย่า งหนึ่ง ผู้พ ูด จะต้อ งใส่อ ารมณ์ ความรู้ส ึก ที่จ ริง ใจ
ประกอบการพูด เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้พูดมีความเชื่อเช่นนัน
้ การพูดใน
ลักษณะนีน
้ ิยมใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น การโฆษณาสินค้า การปลุกเร้าให้
เกิดปฏิกิริยามวลชน การชักชวนให้ประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกตัง้
การโน้มน้าวให้ใช้สินค้าไทย การเชิญชวนให้บริจาคเงินทำบุญ เป็ นต้น
3. การพูดเพื่อจรรโลงใจ
การพูด เพื่อ จรรโลงใจ เป็ นการพูด ที่ม ีจ ุด มุ่ง หมายเพื่อ จะอธิบ าย หรือ
บรรยายคุณงามความดี ความประณีตงดงาม ตลอดจนเรื่องราวบันเทิงใจ
เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเพลิดเพลิน รู้สก
ึ สบายใจ และได้รับคุณค่าด้านจิตใจ
การพูดในลักษณะนีน
้ ิยมใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น การแสดงความยินดี การ
กล่าวสดุดียกย่องบุคคล การกล่าวในงานรื่นเริง การกล่าวคำปราศรัย การ
ให้โอวาท เป็ นต้น
4. การพูดเพื่อหาคำตอบ
การพูดลักษณะนี ้ เป็ นการพูดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาข้อเท็จจริง ความรู้
ความเห็นของผู้ฟังในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผู้พูดจะต้องรู้จักการใช้ภาษาที่ถูก
ต้อง เหมาะสม เรียบเรียงถ้อยคำแลความคิดเพื่อสื่อความหมายให้ผ ู้ฟั ง
เข้า ใจได้ช ัด เจนตรงตามที่ต้อ งการ การพูด เพื่อ หาคำตอบนัน
้ นิย มใช้ใ น
โอกาสต่า ง ๆ เช่น การสอบสัม ภาษณ์ การสอบถามข้อ มูล และการ
ปรึกษาปั ญหาต่าง ๆ เป็ นต้น
ประเภทที่ 2 การพูดที่แบ่งตามวิธีพูด

33
1. การพูดโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า
2. การพูดโดยอ่านต้นฉบับ
3. การพูดโดยการท่องจำเนื้อหา
4. การพูดโดยมีบันทึกหรือมีการเตรียมตัวล่วงหน้า
อ้างอิง : ( ศิริรัตน์ กลยะณี. 2558 : 6 – 9 )
สรุป : การพูด ประเภทนี ้ เป็ นการพูด เพื่อ ให้ค วามรู้ เป็ นการพูด
อธิบาย ชีแ
้ จง แสดงเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะ
ให้ผฟ
ู้ ั งได้รับความรู้ ความเข้าใจเนื้อหาสาระอย่างครบถ้วน

องค์ประกอบของการพูด
องค์ป ระกอบของการพูด ได้แ ก่ ผูพ
้ ูด เนื้อ เรื่อ งที่พ ูด ผู้ฟั ง และ
โอกาส
ผู้พูด คือผู้ที่แสดงพฤติก รรมเกี่ยวกับความคิด พฤติก รรมเกี่ยวกับ
เสียง พฤติกรรมเกี่ยวกับอากัปกิริยา และพฤติกรรมเกี่ยวกับภาษา เพื่อ
ถ่ายถอดไปยังผูฟ
้ ั ง จากพฤติกรรมดังกล่าวนีจ
้ ะเห็นได้ว่าผู้พูดจะต้องแสดง
ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึก ข้อคิดเห็นข้อเท็จจริงตลอดจน
ทัศ นคติข องตนไปสู่ผฟ
ู้ ั งให้ดีที่ส ุด เท่า ที่จะทำได้ การพูด ถึง เป็ นสิง่ ที่ม ิใช่
ของง่ายดังที่หลายคนเข้าใจกัน
เนื้อเรื่องที่พูด คือเนื้อหาสาระหรือเรื่องราวที่ผ ู้พูดถ่ายทอดไปสู่ผู้ฟัง
ผู้พูดควรจะพูดในสิ่งที่ประกอบด้วยสาระความรู้ ข้อเท็จจริง และข้อคิดที่
มีค ุณ ค่า ไม่ค วรเป็ นเนื้อ หาที่ก ล่า วถึง อย่า งเรื่อ ยเปื่ อย ความถนัด และมี
ความรู้ในเรื่องที่พูดจะมีส ่วนช่วยอย่างสำคัญให้ผู้พูดประสบความสำเร็จ
34
นอกจากนัน
้ การรู้จักตระเตรียมตัว การรู้จักลำดับและดำเนินเรื่องอย่างมี
ระเบียบ เช่น มีบทนำ เนื้อเรื่อง บทสรุป และมีการอ้างที่มาของข้อมูล จะ
ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย แจ่มแจ้งและรวดเร็ว
ผูฟ
้ ั ง คือผู้สนองตอบพฤติกรรมของผู้พูด โดยผูพ
้ ูดเป็ นผู้ปฏิบัติการ
ให้เกิดการเคลื่อนไหวไปเร้าให้มีการตอบสนอง ผูพ
้ ูดจะสื่อความหมายได้
ตรงเป้ าหมายยิ่งขึน
้ ถ้าหากได้เรียนรู้ผู้ฟังของตนว่าเป็ นใคร มีการศึกษา
และสถานะทางสังคมระดับใด ในส่วนของผูฟ
้ ั งก็มีอยู่หลายสิ่งที่ปรารถนา
จากผู้พูด เช่น ความรู้ ความบันเทิง ความเหมาะสมกับโอกาส ความเป็ น
มิตร เป็ นต้น
โอกาส คือเวลาและสถานที่ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ถ้าการ
พูดไม่สอดคล้องกับโอกาส การสื่อสารด้วยวิธีนก
ี ้ ็อาจไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่
เต็มความมุ่งหมายได้
อ้างอิง : ( สบาย ไสยริทร์ และคณะ. 2525 : 196-197 )
สรุป : ผู้พ ูด จะต้อ งแสดงพฤติก รรมเกี่ย วกับ เสีย งและภาษา เพื่อ
ถ่ายทอดไปยังผู้ฟังและสามารถถ่ายทอดความรู้สึกไปสู่ผฟ
ู้ ั งได้เป็ นอย่างดี

การพูดที่ดีและประสบความสำเร็จได้นน
ั ้ จะต้องมีองค์ประกอบของ
การพูด ดัง ที่ส ำเนีย ง มณีก าญจน์ สมบัต ิ จำปาเงิน (2538, น. 5) และ
นภดล จันทร์เพ็ญ (2539, น. 56) กล่าวว่า การพูดให้ประสบความสำเร็จ
มีองค์ประกอบ 5 ประการดังนี ้
1. ผูพ
้ ูดจะต้องรู้จักใช้ภาษา เสียง อากัปกิริยาท่าทาง และบุคคลิ
กภาพของตนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึก ข้อคิดเห็น ข้อ

35
เท็จจริง ตลอดจนทัศ นคติข องตนไปสูผ
่ ฟ
ู้ ั งให้ด ีที่ส ุด นอกจากนีผ
้ ู้พ ูด จะ
ต้อ งรู้จ ัก เก็บ สะสมความคิด ความอ่า น ที่ม ีค ณ
ุ ค่า มีป ระโยชน์น ำมา
รวบรวมตระเตรียมให้เป็ นระเบียบ เพื่อที่จะถ่ายทอดให้ผู้ฟังทราบ เข้าใจ
ง่าย ชัดเจนแจ่มแจ้ง และรวดเร็ว
2. สาระหรือ เนื้อ เรื่อ งที่พ ูด ผูพ
้ ูด ที่ด ีต ้อ งรู้จ ัก เลือ กพูด ในเรื่อ ง
หรือ หัว ข้อ ที่ต นถนัด และมีป ระสบการณ์ มีค วามรู้ใ นด้า นนัน
้ อย่า ง
ละเอียดลึกซึง้ จริงๆ ควรมีการเตรียมเนื้อหา ลำดับเรื่องราว ดำเนินการ
พูดถูกต้องตามหลักเกณฑ์
3. ผูฟ
้ ั ง การสื่อความหมายเป็ นกระบวนการติดต่อทางสังคมที่มีผู้
พูดเป็ นผู้ให้ และผูฟ
้ ั งเป็ นผู้รับ ผู้พูดจะสื่อความหมายได้ตรงเป้ าหมายที่ตงั ้
ไว้หรือไม่ ก็ขน
ึ ้ อยู่ที่ผู้พูดรู้จักผู้ฟังของตนเองว่า เป็ นใคร มีการศึกษา และ
สถานะทางสังคมระดับใด
4. เครื่องมือในการสื่อความหมาย เครื่องมือในที่นี ้ หมายถึงสิ่งที่
ช่วยถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของผู้พูดไปสู่ผฟ
ู้ ั ง เช่น เสียง สีหน้า ท่าทาง
รวมถึงเครื่องโสตทัศนูปกรณ์อ่ น
ื ๆด้วย
5. ความมุ่ง หมายหรือผลที่เ กิด จากการพูด ผลของการพูด จะครบ
ตามจุดมุ่งหมายของผูพ
้ ูดหรือไม่นน
ั ้ ดูได้จากการแสดงออกของผู้ฟัง ผูฟ
้ ัง
อาจแสดงออกด้วยการหัวเราะยิม
้ ฯลฯ
อ้างอิง : ( สายใจ ทองเนียม. 2560 : 61-62 )
สรุป : ผู้พูดจะต้องมีบ ุคลิกภาพที่ดีเ พื่อ ถ่า ยทอดความรู้ส ึกไปสู่ผ ู้ฟัง
และต้องรู้จักเก็บสะสมความคิดที่มีประโยชน์น ำมาถ่ายทอดให้ผู้ฟังทราบ
และเข้าใจง่ายขึน

36
การพูด เป็ นการสื่อความหมายระหว่างคนกับคน โดยการใช้ค ำพูด
นอกจากการใช้ค ำพูดแล้วยังต้องใช้กิริยาท่าทาง สีหน้า ดวงตา และการ
เคลื่อนไหวทางร่างกาย เป็ นสิ่งช่วยเสริมให้สมบูรณ์ยิ่งขึน
้ การพูดยังเป็ นก
ระบวนการต่อเนื่อง มีผู้ส่งสาร(ผู้พูด) มีผู้รับ(ผู้ฟัง) เครื่องมือในการสื่อสาร
และพฤติกรรมผูกพันเชื่อมโยงกัน ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งการสื่อสารก็ไม่
เกิดขึน
้ องค์ประกอบที่สำคัญของการพูดมีดังนี ้ คือ
1. ผู้พูด ผู้พูดต้องถามตัวเองทุกครัง้ ว่าจะพูดกับใคร จะบอกอะไร
เพื่อจุดมุ่งหมายอะไรแล้วจะพูดอย่างไรที่จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจตรงตามที่เรา
ต้องการในเวลาอันรวดเร็วได้
ผูพ
้ ูด จึง ต้อ งมีบ ุค ลิด ภาพดีม ีก ลวิธ ี มีศ ิล ปะในการพูด การใช้ภ าษาและ
ท่าทางเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึก ความคิดเห็น และความต้องการให้
ผูฟ
้ ั งเข้าใจได้ตรงตามเป้ าประสงค์ และให้ผ ู้ฟังฟั งอย่างตัง้ ใจ ตัง้ แต่ต้นจน
จบ อย่างสนุกสนานเพลิดเพลินไม่ใช่เป็ นการฝื นใจฟั ง
2. ผู้ฟัง ผูฟ
้ ั งเป็ นผู้รับสารหรือเรื่องราวที่ผู้พูดส่งมา ผูฟ
้ ั งต้องมีความ
พร้อมในการฟั ง มีความสนใจ มีสมาธิ คอยติดตาม แปลสารที่ได้รับเพื่อ
ทำให้เกิดความเข้าใจตรงกันตามที่ผ ู้พูดต้องการ ส่วนจะเห็นด้วย คล้อย
ตามและปฏิบัติตามหรือไม่ก็เกิดขึน
้ อยู่กับวิจารณญานของผูฟ
้ ั งแต่ละคน
3. สื่อ หรือเครื่องมือ หรือช่องทางในการสื่อสาร หรือเป็ นสิ่งที่ผ พ
ู้ ูด
ใช้สำหรับส่งสารหรือเรื่องราวไปยังผู้ฟังโดยผ่านทางการดู การฟั ง การดม
กลิ่น การสัมผัส การชิมรส เครื่องมือหรือสื่อเหล่านีอ
้ าจจะประกอบด้วย
วัตถุจริง (แบบจำลอง)สิ่งพิมพ์เสียง และโสตทัศนูป กรณ์ต ่า งๆ สื่อ ที่ด ีจะ
ต้องนำสารหรือเรื่องราวจากผู้พูดไปยังผู้ฟังได้อย่างชัดเจน

37
ถูกต้อง ง่าย และรวดเร็ว
4. สารหรือเรื่องราว หรือสิง่ ที่ผพ
ู้ ูดจะบอกแก่ผฟ
ู้ ั งขณะที่ผู้สง่ (สาร)
ผ่า น (สื่อ )ออกไปสารหรือเรื่อ งราว หรือ สิง่ ที่ผ พ
ู้ ูด จะบอกแก่ผ ฟ
ู้ ั งนัน
้ จะ
เกาะติด ไปกับ สื่อด้วย การพูด ที่ด ีน น
ั ้ ผู้พ ูด จะต้อ งพูด ให้มีส าระ เรื่อ งนัน

เกี่ยวข้องหรือเป็ นประโยชน์ต่อผู้ฟัง เนื้อถ้อยกระทงความสัน
้ กระชับสลับ
ซับซ้อนหรือสับสน การพูดทุกครัง้ ต้องมีจุดมุ่งหมาย และหลักจากการพูด
จะมีผลการพูดเกิดขึน
้ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือดีหรือไม่ดี ผูพ
้ ูดเปรียบเสมือน
สิ่งเร้า ไปเร้าหรือยั่วยุผู้ฟังด้วยคำพูด ผูฟ
้ ั งจะมีการแสดงออกตอบสนอง
การกระทำของผู้พูด ผู้พูดอาจรู้ผลที่เกิดจากการพูดของตนได้ทันที โดย
การสัง เกตอาการแสดงออกของผูฟ
้ ั ง เช่น การขมวดคิว้ การมองเหม่อ
การพยักหน้าการหัวเราะ หรือการปรบมือ เป็ นต้น ย่อมเป็ นเครื่องบ่งบอก
ความรู้สึกของผูฟ
้ ั งที่มีต่อผู้พูด
อ้างอิง : (จิระภพ สุคันธ์กาญจน์ และคณะ. 2521 : 204-205)
สรุป : การพูดที่ดีผู้พูดจะต้องพูดให้มีสาระและเป็ นประโยชน์ต ่อผู้ฟัง
การพูดทุกครัง้ ต้องมีจุดมุ่งหมายและหลักการพูด

การพูดมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี ้
1. ผู้พ ูด เป็ นผู้ท ี่ต ้อ งแสดงความสามารถในการถ่า ยทอดความรู้
ความคิดไปสูผ
่ ู้ฟังให้ดีที่สุด ผู้พูดต้องรู้จักใช้ภาษา น้ำเสียง สีหน้าท่าทาง
อย่างเหมาะสม ตลอดจนใช้อ ุปกรณ์ต่างๆ ประกอบ เพื่อให้การพูดบรรลุ
จุดมุ่งหมาย

38
2. สาระหรือเนื้อหาเรื่องที่พูด เนื้อเรื่องต้องมีความถูกต้อง ชัดเจน
มีประโยชน์ เป็ นไปในทางสร้างสรรค์ ผูพ
้ ูดควรเลือกเรื่องที่ตนถนัดและมี
ความรู้จริงๆ
3. ผู้ฟั ง เป็ นผู้ร ับ สารที่ผ ู้พ ูด ถ่า ยทอดมาให้ ผู้ฟั งต้อ งสามารถฟั ง
ถ้อยคำต่างๆได้เข้าใจ มีสมาธิ และยอมรับฟั งความคิดเห็นของผู้พูดซึ่งอาจ
แตกต่างกับความคิดของตนผูฟ
้ ั งอาจแสดงปฏิกิริยาให้ผ ู้พูดทราบด้วยการ
พยักหน้า ปรบมือ ยิม
้ หัวเราะก้มหน้า ขมวดคิว้ เป็ นต้น ผูพ
้ ูดก็จะทราบ
ได้ว่าผลของการพูดตรงกับความมุ่งหมายหรือไม่
อ้างอิง : (จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ. 2540 : 123)
สรุป: ผู้พูดจะต้องถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้ฟัง ผู้พูดต้องรู้จักใช้น้ำเสียงและ
ภาษาในการพูดได้เหมาะสม เพื่อให้การพูดนัน
้ ถึงจุดมุ่งหมาย

สัมฤทธิผ ลทางการพูดจะเกิด ขึน


้ ได้น น
ั ้ ต้อ งอาศัยองค์ป ระกอบที่มี
ความเหมาะสมสอดคล้องและสัมพันธ์กัน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของการ
พูดมีอยู่ 4 ประการ ดังนี ้
1. ผู้พูด คือ ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก แลพ
ความต้องการของตนไปให้ผ ู้อ่ น
ื ได้รับรู้ ผูพ
้ ูดนัน
้ จะต้องมีการเตรียมตัวให้
พร้อมที่จะพูด มีความรู้ในหัวข้อเรื่องพูดนัน
้ ๆ มีการวิเคราะห์ผ ฟ
ู้ ั ง รู้จักใช้
ภาษา น้ำเสียง กิริยาท่าทาง ตลอดจนการใช้อ ุปกรณ์ต่างๆ ประกอบได้
เหมาะสม กลมกลืน สอดคล้อ งกับ เนื้อ หาที่พ ูด และจะต้อ งรู้จ ัก สัง เกต
ปฏิกิริยาของผู้ฟังเพื่อปรับกระบวนการพูดให้เข้าถึงผูฟ
้ ั ง อันจะทำให้การ
พูดนัน
้ บรรลุวัตถุประสงค์

39
2. ผู้ฟัง คือ ผู้รับเนื้อหาสาระจากผู้พูด อาจเป็ นบุคคลเดียวกันหรือ
หลายคนก็ได้ผฟ
ู้ ั งนัน
้ จะสามารถรับสารได้ตรงตามเจตนาของผู้พูดหรือไม่
ก็ขน
ึ ้ อยู่กับปั จจัยหลายประการ เช่น ปั จจัยจากตัวผู้พูด ระดับความยาก
ง่า ยของเนื้อ หาที่ไ ด้ร ับ ฟั ง ปั จจัย จากตัว ผู้ฟั ง ได้แ ก่ ความสนใจ ความ
พร้อม พื้นฐานความรู้เดิม ประสบการณ์ และทักษะการฟั งของผูฟ
้ ั ง ผูพ
้ ูด
ที่ดีจึงควรมีการ วิเคราะห์ผู้ฟัง เพื่อจะได้เตรียมเนื้อหา วิธีการนำเสนอให้
สัมพันธ์กับผูฟ
้ ัง
3. สาร คือ เน้อหาสาระหรือเรื่องที่พูด สารที่ดีต้องมีความถูกต้อง
ชัดเจน มีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ มีความยากง่ายเหมาะสมกับระดับของผู้
ฟั ง เป็ นเรื่องที่ก ำลังอยู่ในความสนใจ ให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง และควรเป็ น
เรื่อ งที่ผ พ
ู้ ูดมีค วามถนัด มีค วามรอบรู้ การเตรียมความพร้อ มในเนื้อ หา
สาระเป็ นอย่า งดีจ ะช่ว ยให้ผ ู้พ ูด เกิด ความมั่น ใจ ส่ง ผลให้ก ารพูด นัน
้ มี
ประสิทธิภาพ
4.สื่อ คือสิ่งที่ช่วยถ่ายทอดความรู้ความคิดของผู้พูดไปยังผู้ฟัง ทำให้
ผูฟ
้ ั งเข้า ใจเนื้อ หาสาระ ได้แ ก่ คำพูด หรือ ภาษา สีห น้า ท่า ทาง โสต
ทัศนูปกรณ์ เป็ นต้น ในการเลือกใช้ส่ อ
ื นีผ
้ ู้พูดต้องพิจารณาใช้ให้เหมาะสม
กับเนื้อหาและผูฟ
้ ัง
อ้างอิง : (ศิริรัตน์ กลยะณี. ความรู้พ้น
ื ฐานเกี่ยวกับการพูด. 2554 : 1 )
สรุป: สิ่งที่ถ่ายทอดความรู้ความคิดของผู้พ ูดไปยัง ผู้ฟังเพื่อให้ผ ู้ฟังเข้า ใจ
เนื้อหาที่พูดไป ผู้พูดควรที่จะเลือกภาษา สีหน้า ท่าทาง ให้เหมาะสมกับ
เนื้อหาและผูฟ
้ ัง

40
องค์ประกอบของกระบวนการสื่อสารด้วยการพูด ประกอบด้วย
1. ผู้พูด คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ส ่ง สารผ่านสื่อไปยังผู้ฟัง โดยอาศัยเสียง
และภาษา
2. สื่อ คือ สิ่ง นำสารไปยัง ผู้ฟั ง ได้แ ก่ อากาศ โสตประสาทของ
มนุษย์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. สาร คือ ภาพ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ที่สมองแปลงและส่ง
ออกมาในรูปของเสียง และเป็ นภาษาที่มีความหมายเพื่อการสื่อสารต่อไป
4. ผู้ฟัง เป็ นผู้รับสารจากผู้พูดโดยอาศัยเสียงและภาษา
5. ปฏิกิริยาจากผู้ฟัง คือ การตอบสนองจากผูฟ
้ ั งไปยังผูพ
้ ูดเมื่อรับ
สารและแปลสารเป็ นภาษาเดียวกัน อาจแสดงออกได้ทงั ้ วัจนภาษา และ
อวัจนภาษา
อ้างอิง : (ธนู ทดแทนคุณ และกุลวดี ทดแดนคุณ.2549 : 210)
สรุป : ผูพ
้ ูดเป็ นผู้ที่ทำหน้าที่ส่งสารผ่านสื่อไปยังผู้ฟัง โดยการอาศัย
เสียงและภาษา การตอบสนองจากผูฟ
้ ั งไปยังผูพ
้ ูดเมื่อรับสาร

การพูดโดยทั่วไปมีองค์ประกอบ ดังนี ้
1. ผู้พูด (Speaker) ทำหน้าที่ส่งสารผ่านสื่อไปให้ผู้ฟัง ดังนัน
้ ผู้พูด
จึงต้องเป็ นผู้ที่มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดไปสูผ
่ ฟ
ู้ ั งได้
อย่างสมบูรณ์ ซึ่งผู้พูดจะสามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้มากน้อยเพียงใดขึน

อยู่ก ับ ความสามารถในการใช้ภ าษา เสีย ง กิร ิย าท่า ทางเจตคติต ่อ ผู้ฟั ง
และระดับความรู้ในเรื่องที่จะพูด

41
2. สาร (Message) เป็ นเนื้อ หาที่ผ พ
ู้ ูด ส่ง ไปยัง ผู้ฟั ง ซึ่ง จะต้อ งมี
คุณค่าและคุ้มค่าแก่การเสียเวลาของผูฟ
้ ั งตลอดจนสารที่ผู้พูดส่งไปนัน
้ จะ
ต้องมีการคัดเลือกจัดลำดับขัน
้ ตอน และมีการฝึ กฝนของผูพ
้ ูดมาเป็ นอย่าง
ดี
3. ช่องทางในการสื่อสาร (Communica-tion) เป็ นสิ่งที่น ำสาร
ไปสู่ผ ู้ฟั ง ได้แ ก่ เวลา สถานที่ สภาพแวดล้อ มและประสาทสัม ผัส ทัง้ 5
รวมทัง้ สื่อ อิเ ล็กทรอนิก ส์อ่ น
ื ๆ เช่น โทรศัพ ท์ วิทยุ โทรทัศน์ภาพยนตร์
อินเทอร์เน็ต เป็ นต้น
4. ผู้ฟั ง (Audience) ทำหน้าที่รับ สารของผู้พ ูดโดยอาศัยสื่อ เป็ น
เครื่องนำสารไปสู่ผู้ฟังก่อนการพูดผูพ
้ ูดควรวิเคราะห์ผ ู้ฟัง เช่น อายุ เพศ
อาชีพ ศาสนา ความเชื่อทัศนคติ ภูมิหลังหรือสถานะทางสังคม โดยผู้ฟัง
จะสามารถรับ สารได้ตรงกับ เจตนาของผูพ
้ ูด มากน้อ ยเพีย งใดขึน
้ อยู่ก ับ
ทักษะความพร้อม ความสนใจ พื้นความรู้วัฒนธรรม และเจตคติของผูฟ
้ ัง
5. ปฏิก ิร ิย าจากผู้ฟั ง (Feedback) ขณะที่ผ ฟ
ู้ ั งรับ สารและแปล
สารจะเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบเช่นเมื่อพูดถูกใจหรือเป็ นที่พอใจจะมีการฝั งมุก
ศีรษะ ปรบมือ หัวเราะ ยิม
้ และแสดงให้เห็นถึงการชื่นชมพร้อมกับตัง้ ใจ
ฟั งและเมื่อพูด ไม่ถ ูก ใจจะมีก ารและส่ง เสีย งหรือ แสดงท่า ทางให้เ ห็น ถึง
ความไม่ชอบใจและขัดแย้งต่อผูพ
้ ูด
อ้างอิง : (อรณิชา กอบกำ.องค์ประกอบของการพูด. 2561 : 2 )
สรุป : การที่ผู้พูดส่งสารไปยังผู้ฟัง พูดจึงต้องเป็ นผู้ที่มีความสามารถ
ในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดไปสู่ผู้ฟัง ขณะที่ผ ู้ฟังรับสารและตอบโต้
เมื่อพูดถูกใจหรือไม่พอใจจะมือการปรบมือ หัวเราะ

42
การพูด เป็ นการสื่อสารที่เกิดขึน
้ อย่างเป็ นกระบวนการ (Process)
ที่ต่อเนื่อง กล่าวคือ เป็ นกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่าง
บุคคลต่อบุคคล หรือระหว่างบุคคลต่อ กลุ่ม โดยใช้ส ัญลัก ษณ์ สัญ ญาณ
หรือพฤติกรรมที่เข้าใจกันได้ ซึ่งมีองค์ประกอบ 5 ประการ ดังนี ้
- ผู้พ ูด หรือ ผู้ส ่ง สาร (Sender/Encoder) ได้แ ก่ ผู้ท ี่ท ำหน้า ที่
ถ่ายทอดความรู้ ความคิดไปสูผ
่ ู้ฟัง ผู้พูดต้องรู้จักใช้ภาษา น้ำเสียง หน้า
ท่าทางอย่างเหมาะสม ตลอดจนใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบเพื่อให้การพูด
บรรลุจุดมุ่งหมาย บางครัง้ ผู้พูดก็หมายถึงกลุ่มบุคคลได้เช่นกัน
- ผู้ฟัง หรือ ผู้รับสาร (Receiver/Recipient /Decoder) ได้แก่
ผู้ที่เป็ นเป้ าหมายที่ผพ
ู้ ูดต้องการจะสื่อสารไปถึง หรือผูฟ
้ ั งดังนัน
้ การที่ผู้ฟัง
จะเข้าใจในสิ่งที่ผู้พูดต้องการจะสื่อสารมากเพียงใดขึน
้ อยู่กับระดับความรู้
การตอบสนองต่อสาร เช่น การพยักหน้า ปรบมือ ยิม
้ หัวเราะ ก้มหน้า
ขมวดคิว้ ฯลฯ และความน่าเชื่อถือของผู้ส่งสาร
- สาร/หรือเนื้อหาที่พูด (Massage) ได้แก่ เนื้อหาที่ผ ู้พูดต้องการ
จะสื่อสาร เป็ นสิ่ง ที่จะทำให้ผ ู้ฟังได้ต อบสนองกลับไปยัง ผู้พูด ดัง นัน
้ ใน
กระบวนการสื่อสาร เนื้อหาสาระต้องมีความถูกต้อง ชัดเจน มีประโยชน์
เป็ นไปในทางสร้างสรรค์
- สื่อ /ช่อ งทางติด ต่อ (Media/Medium/Channel) หมายถึง
ช่องทางที่ผู้พูดใช้สง่ สารไปยังผู้รับสารหรือผู้ฟัง ซึ่งผูพ
้ ูดต้องรู้จักเลือกช่อง
ทางที่จะสื่อสารเนื้อหาไปยังผูฟ
้ ั งให้เหมาะสม และผูพ
้ ูดจะเลือกทางใดเพื่อ
สื่อสารก็ขน
ึ ้ อยู่กับลักษณะของสารที่จะส่งด้วยเช่นกัน

43
- การตอบสนอง (Feedback/response) ได้แก่ ปฏิก ิริยาที่เ กิด
ขึน
้ หลังจากที่ผู้ฟังได้ยินสารที่ถูกส่งมา แล้วตอบสนองกลับไปยังผูส
้ ่งสาร
หรือผู้พูด อาจเป็ นการตอบสนองด้วยวาจา หรือภาษากายก็ได้ และการ
ตอบสนองอาจเป็ นได้ทงั ้ ทางบวก เช่น หัวเราะ ปรบมือ ยิม
้ เป็ นต้น และ
ทางลบ เช่น ส่ายหน้า ไม่สนใจ ขมวดคิว้ เป็ นต้น
อ้างอิง : (อรอุมา บุตรมิมุสา. องค์ประกอบของการพูด. 2555 : 1 )
สรุป : การพูด เป็ นการบวนการแลกเปลี่ย นข้อ มูล ข่า วสารระหว่า ง
บุคคลต่อบุคคล หรือบุคคลต่อกลุ่มโดยการใช้พฤติกรรม หรือสัญลักษณ์ที่
เข้าใจกันได้

การเตรียมตัวในการพูด
การเตรีย มตัว ในการพูด เป็ นขัน
้ ตอนที่ม ีค วามสำคัญ เป็ นอย่า งยิ่ง
ทัง้ นีเ้ พราะว่าเป็ นเครื่องบ่งชีถ
้ ึงความสำเร็จในการพูดที่เด่นชัด การเตรียม
ตัวในการพูดมีดังต่อไปนี ้
1. การวิเคราะห์ผ ู้ฟั ง ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ฟัง ผูพ
้ ูดจะต้อ งรู้จัก ผู้
ฟั งดีพอสมควรทัง้ นีเ้ พื่อที่จะได้เตรียมการพูดให้เ หมาะสม การรู้จักผู้ฟัง
หมายถึงการรู้เกี่ยวกับลักษณะหรือองค์ประกอบของผูฟ
้ ั งนั่นเอง ลักษณะ
ของผูฟ
้ ั งที่ผพ
ู้ ูดจะต้องพิจารณาคือ อายุ เพศ ระดับการศึกษา อาชีพและ
ความสนใจจำนวนผู้ฟังทัศนคติที่มีต่อเรื่องที่จะพูด และทัศนคติที่มีต ่อคน
พูด ลักษระดังกล่าวนี ้ ผู้พูดต้องรู้จักสังเกตและพยายามทำความเข้าใจให้
มากที่สุด เพื่อจะได้เตรียมเรื่องที่จะพูด การใช้ถ้อยคำการเสนอความคิด
และเนื้อหาสาระต่างๆได้เหมาะสม
44
2. การพิจารณาโอกาสที่จะพูด การเตรียมตัวในการพูดจะต้อง
คำนึง ถึง สิ่ง นีด
้ ้ว ย กล่า วคือ จะต้อ งพิจ ารณาให้ร ้ว
ู ่า การพูด ครัง้ นัน
้ ๆ มี
ความมุ่งหมายประการใด เพื่อความรู้หรือเพื่อความบันเทิง หรือเป็ นการ
ให้ข้อคิด หรือเพื่อชักจูงใจ ตัวอย่างเช่น การพูดในงานมงคลสมรส ควร
พูดในทำนองให้ข้อคิด ไม่ใช่ให้เกิดความสลดหดหู่ใจ เป็ นต้น นอกจากนี ้
ควรจะพิจารณาด้วยว่า เป็ นการพูดคนเดียวหรือหลายคน เพื่อที่จะได้ตระ
เตรียมตัว ให้เ หมาะสม เช่น ถ้า พูด หลายคนก็ค วรทราบว่า เป็ นประธาน
หรือตัวประกอบ แม้กระทั่งการพูดเป็ นคนที่เท่าไรก็ควรทราบเป็ นอย่างยิ่ง
ทัง้ นีเ้ พื่อจะได้ทำหน้าที่ได้ถูกต้องนั่นเอง ส่วนในเรื่องของเวลาที่กำหนดให้
ก็ควรจะต้องนำมาพิจารณาด้วย หลักสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนีค
้ ือ การพูดทุก
ครัง้ ควรพอดีกับเวลาที่กำหนด ไม่จบก่อนเวลาหรือเลยเวลาจนมากเกินไป
3. การพิจารณาแบบของการพูด แบบของการพูดเป็ นสิ่งที่ผพ
ู้ ูด
จะต้องนำมาพิจารณาในการพูดด้วย คือจะต้องรู้ว่าการพูดแบบใดเหมาะ
สมในโอกาสใดและควรเตรียมตัวอย่างไร เท่าที่ปฏิบัติโดยทั่วไป แบบของ
การพูดมี 4 แบบ คือ พูดโดยอ่านจากร่างที่เตรียมไว้ พูดโดยท่องจำจาก
ร่าง พูดไปคิดไปจากความทรงจำที่เตรียมไว้ และพูดโดยไม่ได้เตรียมตัว
แบบการพูดทัง้ 4 แบบนีผ
้ ู้พ ูด ที่ฉลาดมัก จะใช้แ บบการพูด ไปคิด ไปจาก
ความทรงจำที่เตรียมไว้ ที่เป็ นเช่นนีเ้ พราะว่าเป็ นแบบการพูดที่แสดงถึง
ความมีปฏิภาณ ไหวพริบ ความรอบรู้ และความสามารถในการประสาน
เรื่องราว แต่อย่างไรก็ตามผู้พูดแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน แบบใด
แบบหนึง่ จะเหมาะกับ ใครย่อ มขึน
้ อยู่ก ับ ตัว ผู้พ ูด และโอกาสที่พ ูด เป็ น
สำคัญ

45
4. การเตรียมเรื่องที่จะพูด การเตรียมเรื่องหมายถึง การเลือก
เรื่อง การวางโครงเรื่อง และการจัดระเบียบเนื้อเรื่องนั่นเอง
ในการเลือกเรื่องที่จะพูดนัน
้ มีหลักเกณฑ์ที่ควรพิจารณา คือ เลือก
เรื่องที่มีความรู้ดีอยู่แล้ว เลือกเรื่องที่ผู้พูดสนใจ และเลือกเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ
ส่วนการวางโครงเรื่องมีข้อ ควรพิจารณากว้า งๆคือ โครงเรื่อ งต้อ ง
สอดคล้องต่อเนื่องกัน โครงเรื่องครอบคลุมเรื่องที่พูดทัง้ หมด แต่ละเรื่อง
ควรประกอบด้ว ยคำนำ เนื้อ เรื่อ ง และบทสรุป และโครงเรื่อ งควร
ประกอบด้วยหัวข้อใหญ่เพียง 4-5 หัวข้อก็พอ เพราะหากมีมากเกินไปจะ
ทำให้คนฟั งสับสน
สำหรับการจัดระเบียบเนื้อเรื่อง ซึ่งหมายถึงการเตรียมคำนำ เนื้อ
เรื่อ ง และสรุป ผูพ
้ ูด จะต้อ งกำหนดขอบเขต แบ่ง สัด ส่ว นการพูด ให้พ อ
เหมาะ การที่จะเตรียมอะไรก่อนหลังนัน
้ แล้วแต่ความถนัดของผู้พูด แต่
โดยทั่วไปแล้วเตรียมคำนำก่อนแล้วจึงเตรียมเนื้อเรื่องและบทสรุปทีหลัง
อาจจะมีบ างคนเตรียมเนื้อเรื่องก่อ น แล้วค่อยเตรียมคำนำและบทสรุป
ทีหลัง ก็มี ในส่วนของคำนำสิ่งที่จำเป็ นที่ข าดเสียไม่ไ ด้ค ือ ต้องเร้า ความ
สนใจหรือสร้างบรรยากาศให้ผู้ฟังเกิดความสนใจเพื่อที่จะได้กระตือรือร้น
ฟั งต่อไปจนจบเรื่อง คำนำจึงควรรวบรัด ตรงประเด็นและใช้ถ้อยคำเร้า
อารมณ์ ส่วนเนื้อเรื่องควรจะประกอบด้วยลัก ษณะดัง นีค
้ ือ ไม่ยากหรือ
ง่ายจนเกินไป เป็ นประโยชน์ต่อผู้ฟัง มีจุดประสงค์ที่แน่นอน และแสดงให้
เห็นถึงสติปัญญาของผู้พูด การจัดระเบียบเนื้อเรื่องอาจจะจัดตามลำดับ
เวลาหรือแบบลำดับสถานที่หรือภูมิศาสตร์ก็ได้ สิ่งที่ต้องคำนึงอยู่เสมอคือ
ประเภทเดีย วกัน ควรอยู่ใ นหมู่พ วกเดีย วกัน และหัว ข้อ ที่ม ีน ้ำหนัก มาก

46
ที่สุดควรวางไว้ตอนต้นและตอนท้าย แต่ถ้าเป็ นเรื่องที่เข้าใจยาก สลับซับ
ซ้อนควรเริ่มจากหัวข้อที่ง่ายไปสู่หัวข้อที่ยากที่สุด และถ้าเป็ นการพูดเชิง
อธิบายเกี่ยวกับการปฏิบัติโดยมีขน
ั ้ ตอนควรจะรักษาขัน
้ ตอนไว้ให้รัดกุม
สำหรับ บทสรุป ซึ่ง เป็ นส่ว นที่ส น
ิ ้ สุด การพูด นัน
้ ผูพ
้ ูด จะต้อ งคำนึง ให้ม าก
เพราะมีค วามสำคัญ มาก ดูเ หมือ นว่า มีค วามสำคัญ ยิ่ง กว่า คำนำเสีย อีก
การเตรียมบทสรุป จะต้องไม่ยาวจนเกินไป ควรย้ำจุด สำคัญ หรือจุดเด่น
ของเรื่อ งให้เ ด่น ชัด ควรใช้ถ ้อ ยคำที่ส ละสลวย ถ้า สรุป ได้เ ป็ นข้อ ๆ โดย
จำแนกหัวข้อสำคัญได้จะช่วยย้ำความเข้าใจให้แก่ผู้ฟังได้มากขึน
้ สิง่ ที่ควร
ละเว้นในการกล่าวสรุปคือ ไม่ขอโทษผู้ฟังและไม่สรุปนอกเรื่อง
อ้างอิง : (สบาย ไสยริทร์ และคณะ.2525 : 198-200)
สรุป : ควรย้ำจุดสำคัญหรือจุดเด่นของเรื่องให้เด่นชัด ควรใช้ถ้อยคำ
ที่สละสลวย ถ้าสรุปได้เป็ นข้อๆ โดยจำแนกหัวข้อสำคัญได้จะช่วยย้ำความ
เข้าใจให้แก่ผฟ
ู้ ั งได้มากขึน
้ และไม่พูดนอกเรื่อง

การเตรียมการการพูดจะต้องเตรียมการในเรื่องต่างๆ ดังนี ้
การวิเคราะห์ผ ู้ฟัง เป็ นการพิจารณาภาพรวมของกลุ่มผูฟ
้ ั งในด้าน
ต่างๆ เพื่อเป็ นข้อมูลสำหรับการเตรียมการพูดให้เหมาะสมกับผูฟ
้ ั ง เช่น
เพศ วัย อาชีพ ระดับการศึกษา จำนวนคน หากเป็ นวัยรุก็ควรเลือกเรื่อง
และยกตัวอย่างเรื่องที่วัยรุ่นสนใจ เช่น การใช้เวลาว่างให้เป็ นประโยชน์
วัยรุ่นชายอาจสนใจกีฬาฟุตบอล วัยรุ่นหญิงอาจสนใจความสวยความงาม
ผู้สงู อายุมักสนใจเรื่องสุขภาพ เป็ นต้น
การเตรียมเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย 2 ข้อ ดังนี ้

47
1.) การเลือกเรื่อง ควรเลือกเรื่องที่น่าสนใจ และเป็ นเรื่องที่สามารถ
หาข้อมูลมาสนับสนุนได้ หรือสามารถรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์มา
ประกอบ เพื่อประกอบให้เรื่องน่าสนใจทันสมัยมากขึน
้ และที่ส ำคัญผูพ
้ ูด
ควรมีความรู้และความถนัด ความสนใจในเรื่องนัน
้ ๆด้วย
2.) การเรีย บเรีย งเนื้อ หาสาระ หรือ การจัดเรื่อ ง แบ่ง เป็ นส่ว นๆ
ดังนี ้
ก. คำปฏิส ันถาร หรือ คำทัก ทายผู้ฟั ง หากการพูด ครัง้ นัน

เป็ นพิธีการ เช่น พิธีเปิ ดสัมมนา คำปฏิสันถารจะกล่าวไม่เกิน 3 กลุ่ม ไม่
นิย มกล่า วคำว่า สวัส ดีข น
ึ ้ ต้น และไม่น ิย มกล่า วคำแสดงความรู้ส ึก เช่น
ที่รัก ที่เคารพ นิยมเรียกเฉพาะตำแหน่งเท่านัน
้ เช่น
‘ท่านอธิการบดี คณาจารย์และนักศึกษา’
‘ท่านประธานและท่านผู้มีเกียรติทงั ้ หลาย’
‘นมัส การพระคุณ เจ้า ผู้อ ำนวยการ และท่า นผู้ม ีเ กีย รติท ุก
ท่าน’
การพูดที่ไม่เป็ นพิธีการ ผูพ
้ ูดควรดูกาลเทศะ เช่น คำปราศรัยของ
นักการเมือง การประชุม คำปฏิสันถารต้องสัน
้ สุภาพ นิยมกล่าวคำแสดง
ความรู้สึกเพื่อแสดงความเป็ นกันเองไว้ด้วย เช่น ‘สวัสดีพ่อแม่พี่น้องชาว
ไทยที่รักทัง้ หลาย’ ‘ท่านอาจารย์ พี่ๆที่เคารพและเพื่อนๆน้องๆที่รัก’
ข. คำนำ เป็ นการเกริ่นหรือการกล่าวนำเข้าสู่เรื่อง เป็ นการ
เร้า อารมณ์ช วนให้ผ ู้ฟั งอยากติด ตาม เช่น การขึน
้ ต้น ด้วยคำถาม คำคม
บทกวี การขึน
้ ต้นแบบพาดหัวข่าวอย่างสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง หลีกเลี่ยง
การขออภัย ออกตัว ถ่อมตัว

48
ค. เนื้อ เรื่อ ง เน้น ส่ว นที่ส ำคัญ ที่ส ุด การเสนอสารสำคัญ
เปรียบได้ก ับ หัวใจของการพูด ผู้พ ูด ต้อ งลำดับ เรื่อ งให้เ ป็ นไปตามลำดับ
เช่น เรีย งตามเวลา เรีย งตามเหตุแ ละผล เเละขยายความเรื่อ งให้ผ ู้ฟั ง
เข้าใจง่ายและชัดเจน
ง. สรุป การสรุปเรื่องควรจะสัน
้ มีน ้ำหนัก น่าจดจำ เป็ นการ
ทำให้ผู้ฟังเกิดการประทับใจ อาจใช้คติพจน์ คำคม ข้อความขำขัน เป็ นต้น
จ. คำลงท้ายและการกล่า วคำอำลา ไม่ควรลงท้ายอย่างไร้
สาระ เช่น ‘ผมก็ไม่ร้จ
ู ะพูดอะไรแล้ว ผมขอจบเพียงเท่านี’้ หรือ ลงท้ายที่
ทำให้ผ ฟ
ู้ ั งรู้ส ึก ไม่ด ี เช่น ‘ดิฉ ัน หวัง ว่า เมื่อ ท่า นได้ฟั งเรื่อ งที่ด ิฉ ัน เล่า มานี ้
ท่านคงจะฉลาดขึน
้ นะคะ’
การกล่าวคำอำลาโดยทั่วไปมักใช้คำว่า สวัสดี แต่หากเป็ นการกล่าว
โอวาท คำอวยพร คำปราศรัยไม่ต้องลงท้ายว่าสวัสดีหรือขอบคุณ
การเตรีย มตัว ผู้พ ูด การเตรีย มตัว ผู้พ ูด มีค วามสำคัญ และมีห ลัก
สำคัญหลายอย่าง เช่น
1.) การสร้างความเชื่อมั่น ไม่หวั่นไหว
2.) การใส่ใจความรู้สึกผู้ฟัง
3.) การฝึ กฝนซัก ซ้อ ม การใช้น ้ำเสีย ง บุค ลิก ลัก ษณะ เช่น การ
ทรงตัวการยืน การเดิน การใช้สายตา การแสดงออกทางสีหน้าและการ
แสดงกิริยาท่าทางประกอบการพูดต่างๆ
4.) การเตรียมเครื่องแต่งกายให้เหมาะสม
อ้างอิง : (ธนู ทดแทนคุณ และกุลวดี ทดแดนคุณ.2549 : 212-214)

49
สรุป : การเลือ กเรื่อ ง ควรเลือ กเรื่อ งที่น ่า สนใจ และเป็ นเรื่อ งที่
สามารถหาข้อ มูล มาสนับ สนุน ได้ หรือ สามารถรวบรวมข้อ มูล จากการ
สัมภาษณ์มาประกอบ เพื่อประกอบให้เรื่องน่าสนใจทันสมัยมากขึน

การจะทำงานใดๆต้องมีการเตรียมตัว มีการจัดทำโครงการ วางแผน
ดำเนินการ และประเมินผล เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่ส ุด ตรงตามเป้ าหมาย
มากที่สุด และสนองความต้องการของผู้รับมากที่สุด การพูดก็เช่นเดียวกัน
ต้องมีการเตรียมตัวเป็ นอย่างดี การเตรียมตัวของผู้พูด จำแนกเป็ น 2 ส่วน
คือการเตรียมตัวของผู้พูดและการเตรียมเรื่อง
1. การเตรียมตัวของผู้พูด ทุกครัง้ ที่ได้รับเชิญหรือได้รับมอบหมาย
ให้พูด ผู้พูดต้องเตรียมการพูดให้ดี โดยมีหลักดังนี ้
1.1 หลักแห่งการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง การสร้างความ
เชื่อมั่นในตัวเองมีวิธีการต่างๆ ดังนี ้
1.1.1 การเลือกเรื่อง เลือกเรื่องที่ผู้พูดสนใจ และผู้
ฟั งก็สนใจเช่นเดียวกันทัง้ นีผ
้ ู้พูดต้องอาศัยการคาดการณ์โดยอาศัยวาระ
โอกาส เหตุการณ์แวดล้อมในช่วงเวลานัน
้ ว่าผู้ฟังโดยภาพรวม กำลังสนใจ
เรื่องอะไรเรื่องแนวใดและผูพ
้ ูดก็สนใจเรื่องดังกล่าวด้วย เมื่อทัง้ สองฝ่ าย
สนใจร่ว มกัน ย่อ มเป็ นหนทางทำให้ก ารพูด ประสบความสำเร็จ ได้โ ดย
สะดวก
1.1.2 ปฏิภ านการดำเนิน เรื่อ ง การที่ผ ู้พ ูด พูด ได้
อย่างเป็ นธรรมชาติ ลื่นไหลอย่า งสนุกสนาน ได้สาระความรู้เ ป็ นอย่างดี
ต้องอาศัยปฏิภานการดำเนินเรื่อ งที่ดี ที่ชัด เจนคือ เข้า ใจเนื้อเรื่อ งอย่า ง
ละเอียดและเรียนรู้วิธีจัดลำดับเนื้อเรื่องตามความสำคัญมากน้อย ที่สำคัญ

50
ผู้พ ูด ต้อ งรู้แ ละมั่น ใจว่าจะพูด เรื่อ งอะไร พูด ให้ใ ครฟั งและพูด เพื่อ อะไร
ข้อมูลเหล่านีเ้ ปรียบได้กับป้ ายบอกทางที่จะนำเราไปสู่จุดมุ่งหมายได้อย่าง
ง่ายดายและปลอดภัย
2.การสร้างความต้องการที่จะพูด การพูดที่จะประสบความสำเร็จ
ผู้พูดต้องสร้างความต้องการที่จะพูดให้ได้ก ่อน เพราะธรรมชาติกำหนดให้
มนุษย์ทุกคนให้การพูดเป็ นเครื่องมือสื่อสาร ดังนัน
้ นักพูดต้องเป็ นผู้มีความ
ตัง้ ใจแน่วแน่ มีกำบังใจหนักแน่นที่จะต้องสร้างความปรารถอย่างแรงกล้า
ที่จะพูดให้ได้ เพื่อเพิ่มพลังการพูด วิธีสร้างความต้องการในการพูดมีดังนี ้
2.1 สร้างจิตวิญญาณการพูด การพูดเป็ นการนำพลัง นำจิต
วิญญาณของผูพ
้ ูดไปแสดง ไปสื่อและบอกเล่าเรื่องราว เหตุการณ์ส ู่ผฟ
ู้ ั ง
ดังนัน
้ ผู้พูดต้องใส่ความรู้สึก ใส่ชีวิต ใส่ความสนใจ ความตัง้ ใจลงในคำพูด
ในเนื้อหา ลีลาท่าทางและน้ำเสียง เพื่อปลุกผูฟ
้ ั งให้สนใจตลอดเวลา และ
เห็นความต้องการของผู้พูดว่า เป็ นผู้มีความตัง้ ใจจริงใรการพูดครัง้ นัน
้ ๆ
2.2 มีความจริงใจ นักพูดที่ดีต้องมีความจริงใจต่อตนเองและ
ผู้ฟัง จริง ใจต่อตนเอง ได้แก่ เชื่อ ศรัทธาในสิ่งที่พูด มั่น ใจว่า สารที่พ ูด มี
คุณค่ามีประโยชน์และมีการเตรียมตัวมาอย่างดี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูง
สูด ในส่วนของการจริงใจต่อผู้ฟัง ได้แก่ ให้เกียรติแ ละเคารพผูฟ
้ ั งที่เ สีย
สละเวลามาฟั ง ดังนัน
้ จึงควรได้เนื้อหา สาระที่มีค ุณค่า เมื่อผู้พูดสำนึกถึง
ความจริง ใจดัง นีแ
้ ล้ว ความต้อ งการที่จะพูด ย่อ มมีมากนั่น ย่อ มแสดงว่า
การพูดต้องสัมฤทธิผ์ ลตามจุดหมายอย่างแน่นอน
3.การเตรียมเรื่อง การเตรียมเรื่องมี 2 ส่วน คือ การกำหนดหัวข้อ
เรื่อง และการเตรียมหัวข้อเรื่อง

51
3.1 การกำหนดหัวข้อเรื่อง การกำหนดหัวข้อเรื่องมีหลักการ
ดังนี ้
3.1.1 เรื่อ งที่ผ ู้พูด มีค วามรู้และสามารถค้นคว้าได้
การพูด ในเรื่องที่ตนมีความรู้แ ละมีแ หล่ง ข้อ มูล ที่ส ามารถค้นคว้าได้ย ่อม
เป็ นผลต่อการพูด เพราะทำให้ผพ
ู้ ูดมั่นใจการพูดมีน้ำหนักมีเหตุผลและพูด
ได้ข้อมูลชัดเจนทุกประเด็น
3.1.2 เรื่องที่มีสาระประโยชน์ การพูดทุกครัง้ ผูพ
้ ูดต้อง
คำนึงจนเป็ นนิสัยว่สเรื่องที่จะพูดมีค ุณค่าสาระ มีประโยชน์ค ุ้มค่า ที่ผฟ
ู้ ั ง
เสียสละเวลาฟั งมาก
3.1.3 เ ร ่ อ
ื ง ท ี่ผ ู้พ ูด แ ล ะ ผ ฟ
ู้ ั ง ส น ใ จ ผ พ
ู้ ูด ต ้อ ง ใ ช ้
วิจารณญาณในการเลือกเรื่องที่อยู่ในความสนใจทัง้ ของตนเองและของผู้
ฟั ง
3.1.4 เรื่องแปลกใหม่ห รือ ทัน สมัย ความอยากรู้อ ยาก
เห็นเป็ นสัญชาตญาณของมนุษย์ ดังนัน
้ เรื่องที่แปลกใหม่ ทันสมัย หรือนำ
เก่ามาเล่าใหม่ จึงเป็ นที่สนใจของผู้ฟังตลอดกาล
3.1.5 เรื่องที่เป็ นความขัด แย้ง ข้อ ขัด แย้ง ทัง้ หลายต่า ง
ต้องการจุดจบคนทั่วไป ชอบฟั งเรื่องที่เป็ นความขัดแย้ง เพราะได้รสชาติ
เป็ นสีสันทางอารมณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการจุดจบ อันเป็ นข้อสิน
้ สุด
ของการขัดแย้ง
3.1.6 เรื่องที่เหมาะกับระดับการศึกษา เพศและวัยของ
ผูฟ
้ ั ง การศึก ษา เพศ และวัย ที่ต ่า งกัน ย่อ มสนใจเรื่อ งราว เหตุก ารณ์ไ ม่

52
เหมือนกัน เพราะประสบการณ์ เพศ และวุฒิภาวะแห่งวัยเป็ นตัวกำหนด
ให้คิดทำต่างกัน
3.2 การเตรียมเนื้อ เรื่อ ง การเตรียมเนื้อ เรื่อ งมี 2 ส่วน คือ
ส่วนของแหล่งข้อมูลและส่วนของโครงเรื่อง
3.2.1 แหล่งข้อมูล นักพูดที่ดีต้องมีการเตรียมข้อมูลให้
พร้อ มให้ล ะเอียด ชัดเจน โดยยึด หลัก ว่า ข้อ มูล ต้อ งกว้า งรู้ส ึก รู้จ ริง การ
ศึกษาค้นคว้าข้อมูลอาจได้จากแหล่งต่อไปนี ้
3.2.2 ส่วนของโครงสร้า ง โครงสร้า งของการพูด มีอ งค์
ประกอบเช่นเดียวกับการเขียน คือ คำนำ เนื้อเรื่องและสรุป แต่ละองค์
ประกอบมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี ้
หลักการใช้มือประกอบการพูดมีดังนี ้
1. ใช้เ มื่อ ต้อ งการเสริม ข้อ ความและต้อ งสอดคล้อ งกับ ถ้อ ยคำ
เช่น ใช้ป ลายนิว้ ก้อ ยแสดงสิ่ง ของขนาดเล็ก ใช้ส องมือ แสดงขนาดของ
สิ่งของ เป็ นต้น ทัง้ นีเ้ พื่อให้ผู้ฟังเกิดภาพที่ชัดเจน
2. การเคลื่อนไหวมือ ต้องพอดีกับการเปล่งคำ ไม่ช้าหรือไม่เร็ว
กว่าคำที่พูด
3. ไม่ใช้มือในระดับ ต่ำกว่า เอว หรือ สูง กว่า ไหล่ จะทำให้เ ป็ นที่
ตลกขบขัน
4. ถ้า จำเป็ นต้อ งชีน
้ ว
ิ ้ ให้ช ไี ้ ปด้า นบนแทนการใช้ไ ปที่ผ ู้ฟั ง ไม่ช ี ้
หน้าผูฟ
้ ั ง เพราะเป็ นการเสียมารยาทอย่างแรง
5. ไม่ใช้มือซ้ำซากอยู่ท่าเดียวโดยไม่สอดคล้องกับเรื่องทำให้น่า
เบื่อ

53
6. เมื่อไม่ได้ใช้มือประกอบการพูด ควรปล่อยมือข้างลำตัว ไม่ใช้
มือล้วง แคะ แกะ เกา ดึงเสื้อ ดึงกระโปรง ขยับเน็คไท หรือลูบคลำส่วน
ต่างๆ ให้วุ่นวายจนน่ารำคาญ
อ้างอิง : (วิเศษ ชาญประโคน.2549 :161-180)
สรุป : การเตรีย มตัว ควรมีก ารเตรีย มตัว ของผู้พ ูด และการเตรีย ม
เรื่อ ง รวมถึง การใช้ม ือ ประกอบการพูด ต้อ งเคลื่อ นไหวให้พ อดีก ับ การ
เปล่งคำ ไม่ช้าหรือไม่เร็วกว่าคำที่พูด

เมื่อผู้พูดเตรียมตัวมาดีแล้ว ถึงเวลาที่จะพูดควรปฏิบัติตนดังต่อไปนี ้
1. ตรงต่อเวลา ต้องไปถึง ที่ที่จะพูด ก่อ นเวลาเล็ก น้อ ย เพื่อ เตรียม
ตนเองให้มีความมั่นใจ ไม่ต่ น
ื เวที
2. การเดินสู่ที่พูด ต้องเดินอย่างองอาจ แสดงความมั่นใจในตัวเอง
3. การแต่งกาย สุภาพ เรียบร้อย ไม่ควรสวยหรือเด่นเกินไป เพราะ
ผูฟ
้ ั งจะหันมาสนใจการแต่งกายของผูพ
้ ูดมากกว่าเรื่องที่พูด
4. ให้เกียรติผู้ฟัง
5. การใช้ส ายตา ไม่ค วรมองต่ำหรือ มองไปข้าง ๆ หรือ มองชัน
้ บน
ควรกวาดสาตามองให้ทั่ว
6. ภาษาพูด ใช้ภาษาสุภาพ ควรมีอารมณ์ขันแทรกบ้าง หน้าตายิม

แย้มแต่ไม่สนุกจนลืมเนื้อหา
7. อุป กรณ์ป ระกอบการพูด จะช่ว ยให้เ รื่อ งน่า สนใจมากขึน
้ ควร
เตรียมการใช้ให้พร้อม
8. เอกสาร หรือบันทึกย่อเพื่อเตือนความทรงจำขณะพูด

54
9. ต้องมีไหวพริบ
10. ไม่พูดแข่งเสียงปรบมือหรือเสียงหัวเราะ
11. รักษาเวลา
12. การจบ ควรจบแบบทิง้ ท้า ยให้ค ิด ไม่ค วรจบห้ว น ๆ จบด้ว ย
เนื้อหาและน้ำเสียงที่ประทับใจ
อ้า งอิง : (สุทธิช ัย ปั ญญโรจน์. การเตรียมพูด และการฝึ กซ้อ มการพูด .
2556 : 1)
สรุป : ควรตรงต่อเวลา ไม่ต่ น
ื เวที ส่วนการแต่งกาย ควรแต่งสุภาพ
เรียบร้อย เพราะผู้ฟังจะหันมาสนใจการแต่งกายของผูพ
้ ูดมากกว่าเรื่องที่
พูด

การตัง้ วัตถุประสงค์ การพูดที่ดีควรรู้วัตถุประสงค์ของเรื่องที่จะพูด


ว่า พูดเพื่ออะไร จะได้เตรียมการพูด จัดข้อความ ถ้อยคำและวิธีการพูดให้
สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตงั ้ ไว้มี ๓ ประการ คือ
๑. เพื่อ ความบัน เทิง เป็ นการตัง้ วัต ถุป ระสงค์เ พื่อ ให้เ รีย นรู้ด ้ว ย
ความบันเทิง เพื่อความสนุกสนานแก่สมาชิก การตัง้ วัตถุประสงค์แบบนี ้
มักจะเป็ นงานที่จัดขึน
้ เพื่อการพักผ่อน เช่น งานพบปะสังสรรค์นักเรียน
เก่า
๒. เพื่อ ให้ข ่า วสารหรือ ข้อ เท็จ จริง เป็ นการตัง้ วัต ถุป ระสงค์เ พื่อ
เพิ่มพูนความรู้และความเข้าใจให้แก่ผู้ฟังยิ่งขึน
้ โดยไม่คำนึงว่าผู้ฟังจะเห็น
ด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น การปาฐกถา การบรรยาย การพูด จึงควรเตรียมให้

55
ชัดเจน มีตัวอย่างประกอบโดยใช้ค ำพูดธรรมดาเข้าใจง่าย ถ้ามีศัพท์ทาง
เทคนิคหรือวิชาการ ก็ควรอธิบายให้ชัดเจน
๓. เพื่อ ชักจูง การตัง้ วัต ถุป ระสงค์แบบนีก
้ ็มุ่ง หวัง ที่จะให้ผ ู้ฟังได้รู้
เชื่อตาม เห็นคล้อยตาม ทัง้ ความคิดและการกระทำการพูดแบบนีม
้ ักมีใน
โอกาสต่าง ๆ เช่น การพูดโฆษณาขายสินค้า การพูดโฆษณาหาเสียงเลือก
ตัง้ การพูดเพื่อให้ร่วมบริจาคเงินเพื่อการกุศล เป็ นต้น
การวิเคราะห์ผู้ฟัง ผูฟ
้ ั งมีอิทธิพลต่อผู้พูดเป็ นอย่างยิ่ง ผู้พูดจึงควรจะ
รู้จักวิเคราะห์ผฟ
ู้ ั งด้วยการศึกษาว่าผู้ฟัง คือใคร การศึกษาระดับใด และ
เป็ นคนประเภทใด เพื่อ จะได้เ ตรีย มเนื้อ หา ตัว อย่า ง ตลอดจนการใช้
ถ้อยคำสำนวนภาษาให้สัมพันธ์กับผู้ฟัง
การเลือกเรื่องที่จะพูด เรื่องที่จะพูดเป็ นไปตามจุดมุ่งหมายที่ได้วาง
ไว้ไม่ควรเป็ นเรื่องกว้างขวางมากจนหาประเด็นสำคัญได้ยากและไม่อาจ
สรุปให้จบลงในเวลาได้ถ้าผู้พูดสามารถเลือ กได้ควรเลือ กเรื่อ งที่ตนถนัด
เข้า ใจ หรือ มีป ระสบการณ์ม าจะทำให้พ ูด ได้ด ี แต่ถ ้า เลือ กเรื่อ งหรือ
กำหนดหัวข้อไม่ได้กค
็ วรรับเฉพาะเรื่องที่ตนมีความรู้ความสนใจเป็ นพิเศษ
จะทำให้การพูดมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านัน
้ เรื่องที่จะพูดควรเหมาะแก่
โอกาส สถานที่แ ละผู้ฟั ง ผู้ฟั งส่ว นมากชอบฟั งเรื่อ งที่ต นสนใจ หรือ
เกี่ยวข้องด้วย หรือเรื่องอยู่ในระดับที่ตนพอฟั งรู้เรื่อง
การรวบรวมเนื้อหา เนื้อ เรื่อ งเป็ นสิ่ง สำคัญ ในการพูด เนื้อ หาจะดี
หรือไม่ขน
ึ ้ อยู่กับการหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น
๑. โดยการคิด นัก พูดต้อ งเป็ นนัก คิด ก่อ น การรู้จ ัก คิด ทำให้ร้แ
ู จ้ง
เห็นจริงในสิ่งต่าง ๆ มากซึ่งทำให้สามารถ แสดงเหตุผลและข้อเท็จจริงได้

56
กว้างขวาง การคิดเป็ นปั จจัยสำคัญที่สุดในการเตรียมพูด เพราะทำให้คิด
ก่อนพูด พูดออกมาด้วยความเชื่อมั่นตัวเอง ด้วยความรู้สึกของตัวเองจริง
ๆ เป็ นวิญญาณการพูด
๒. การค้นคว้าเพิ่มเติม การศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม โดยมีค วามคิด
เ ป็ น ก ร อ บ แ ล ะ แ น ว ท า ง ท ำ ใ ห ้ก า ร ค ้น ค ว ้า ม ีห ล ัก เ ร ิ่ม ต ้น ท ี่ด ีไ ม ่
กระจัดกระจาย นอกจากนี ้ การศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมช่วยให้มีหลักฐาน
สนับสนุนความคิดให้น่าเชื่อถือยิ่งขึน
้ เช่น สถิติ แหล่งที่มาของตำรา และ
ความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เป็ นเอตทัคคะในทางนัน
้ ๆ
การวางโครงเรื่อ ง การวางโครงเรื่อ งเป็ นการจัด สาระสำคัญ ของ
ข้อความทัง้ หมดให้เ ป็ นระเบียบ มีค วามต่อ เนื่อ งกัน ทำให้ผ ู้พ ูด และผูฟ
้ ัง
สามารถเข้าใจสาระสำคัญทัง้ หมดได้ดีขน
ึ ้ โดยไม่เกิดความสับสนและผูพ
้ ูด
สามารถเลือกเน้นบางตอนของเรื่องให้เหมาะแก่เวลา การวางโครงเรื่องมี
หลักอยู่ดังต่อไปนี ้
๑. ต้อ งวางโครงเรื่อ งให้ค รอบคล ุม เรื่อ งที่จ ะพูด ทัง้ หมดและ
สอดคล้องต่อเนื่องกันไปโดยมีหัวข้อใหญ่ตงั ้ แต่ ๒ หัวข้อขึน
้ ไป ไม่ควรเกิน
๕ หัวข้อ การแบ่งขัน
้ ตอนการพูดเป็ นส่วนต่า ง ๆ ต้อ งทำหน้า ที่ส ่ง เสริม
หรือขยายกันเพื่อให้เนื้อหามีความชัดเจนและมีน้ำหนักยิ่งขึน

๒. ควรเขีย นโครงเรื่อ งให้ค รบถ้ว นสมบูร ณ์ต ามหัว ข้อ แต่ห ากมี
ความช านาญพอจะเขียนเฉพาะหัวข้อสำคัญๆ ไว้สน
ั ้ ๆ เพื่อเตือนความ
จำก็ได้
๓. แต่ละหัวข้อสำคัญควรมีความหมายเดียว ไม่ควรกำหนดหลาย
ความหมาย ถ้าจำเป็ นจะต้องมีหลาย ๆ

57
ความหมาย ก็ควรจะแยกเป็ นข้อ ๆ ต่างหากจากกัน
๔. แต่ละหัวข้อสำคัญควรจะแยกเป็ นหัวข้อย่อยตัง้ แต่ ๒ หัวข้อขึน

ไป
๕. ใจความย่อ ยต้อ งต่อ เนื่อ ง ไม่ซ ้ำซ้อ นกัน และมีน ้ำหนัก โดยมี
ถ้อยคำที่กลมกลืนกัน
๖. โครงเรื่อ งทัง้ หมดต้อ งมี “คำนำ” หรือ “อารัม ภบท” “เนื้อ
เรื่อง” และ “สรุป” โดยมีสัดส่วนพอเหมาะ เช่น เนื้อเรื่องควรเป็ นร้อยละ
๘๐-๘๕ ของการพูดทัง้ หมด คำนำไม่เกินร้อยละ ๑๐และสรุป ประมาณ
ร้อยละ ๕-๑๐
อ้างอิง : (การเตรียมตัวในการพูด. ม.ป.ป. : 1-2)
สรุป : รู้จักคิดทำให้ร้แ
ู จ้งเห็นจริงในสิ่งต่าง ๆ มากซึง่ ทำให้สามารถ
แสดงเหตุผลและข้อเท็จจริงได้กว้างขวาง การคิดถือเป็ นปั จจัยสำคัญที่สุด
ในการเตรียมพูด เพราะพูดออกมาด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง ด้วยความ
รู้สึกของตัวเอง

เตรียมเรื่องที่จะพูด โดยรวบรวมเนื้อหาจากความรู้หรือข้อมูลที่มีอยู่
จากประสบการณ์เดิม และจากการค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเองด้วยวิธีต ่าง
ๆ เช่น จากการอ่านหนังสือ การสัมภาษณ์หรือสอบถามผู้รู้ ฯลฯ ต่อจาก
นัน
้ ก็นำมาคัดเลือกโดยคงส่วนที่จำเป็ นไว้ และตัดส่วนที่ไม่จำเป็ นทิง้ และ
นำมาจัดลำดับและวางโครงเรื่อง โดยแบ่งออกเป็ น ๓ ขัน
้ ตอนใหญ่ ๆ คือ
ขัน
้ ที่เป็ นคำนำหรือตอนที่เริ่มต้นเรียกว่าการอารัมภบท ต่อจากนัน
้ ก็มาถึง
ตอนเนื้อเรื่อง และตอนสรุปตามลำดับในการเตรียมเรื่องนัน
้ สิ่งสำคัญที่

58
จะต้องเตรียมเป็ นพิเศษ คือ การกล่าวอารัมภบทและการกล่าวสรุป การก
ล่าวอารัมภบทจะต้องสร้างความศรัทธาให้เกิดกับผู้ฟัง และเรียกร้องความ
สนใจจากผู้ฟังได้ ส่วนการกล่าวสรุปควรมุ่งให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจเป็ น
สำคัญ
เตรียมวิธีใช้ถ้อยคำให้ตรงตามความคิดของตนเอง โดยใช้ค ำให้ถูก
ต้อ งตามหลัก ภาษา เช่น ประโยคว่า “เขายื่น คำร้อ งต่อ ศาล” ถ้า ใช้ว ่า
“เขายื่นคำร้องแก่ศาล” ก็ถือว่าใช้คำผิดหลักภาษา เป็ นต้น ใช้ค ำให้
ถูกต้องตามความหมาย เช่นคำว่า อ่อน และ อ่อนแอความหมายผิดกันไป
ถ้าเราจะกล่าวว่า “เขาอ่อนแอมาก” กับ “เขาอ่อนมาก” ความ
หมายของประโยคทัง้ สองนัน
้ จะผิดกันจะใช้แทนกันไม่ได้ เป็ นต้น
วิเ คราะห์ผ ฟ
ู้ ั งทัง้ ในด้า น วัย เพศ ระดับ การศึก ษา ฐานะ อาชีพ
จำนวนผู้ฟังและสถานภาพทางสังคมของผู้ฟังในด้านต่าง ๆ เพื่อจะได้ใช่
ภาษาให้เหมาะสมกับผูฟ
้ ัง
พยายามจำเนื้อเรื่องที่จะพูดให้ได้มากที่ส ุดเท่าที่จะมากได้ หรือไม่ก็
พยายามจำจดสำคัญ ๆ ของเรื่องให้ได้ อาจใช้วิธีบันทึกย่อหัวข้อที่สำคัญ
ไว้ เพื่อที่ว่าเมื่อมองปราดเดียวก็สามารถเข้าใจ และขยายเรื่องต่อเองได้
ทันที
ฝึ กพูดเหมือนกับอยู่ในสถานการณ์จริง เริ่มตัง้ แต่กล่า วปฏิส ัน ถาร
กล่า วอารัม ภบท พูด เนื้อ หาจนถึง ตอนกล่า วสรุป ตามที่ไ ด้เ ตรีย มไว้ ฝึ ก
เปล่งเสียงให้ดังพอที่คิดว่าผู้ฟังจะได้ยิน ทั่วถึง ฝึ กเน้น เมื่อ ถึง ตอนสำคัญ
และลดเสียงลงเมื่อถึงตอนที่จะเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟัง ฝึ กหยุดและ

59
เว้นช่วงจังหวะในการออกเสียง ฝึ กสีห น้า ท่า ทางให้เ หมาะสมกับเนื้อหา
การฝึ กดังกล่าวควรฝึ กหลาย ๆ ครัง้ จนมั่นใจว่าสามารถพูดได้เป็ นอย่างดี
อ้างอิง : (นิพนธ์ ศศิธร และคณะ. หลักการเตรียมตัวก่อนพูด. ๒๕๓๓ :
๑)
สรุป : พยายามจำเนื้อ เรื่อ งที่จ ะพูด ให้ไ ด้ม ากที่ส ุด เท่า ที่จ ะมากได้
หรือไม่ก็พยายามจำจดสำคัญ ๆ ของเรื่องให้ได้ อาจใช้วิธีบันทึกย่อหัวข้อ
ที่สำคัญไว้ เพื่อที่ว่าเมื่อมองปราดเดียวก็สามารถเข้าใจ และขยายเรื่องต่อ
เองได้ทันที

ลักษณะของผูพ
้ ูดที่ดี
ผู้พูดที่ดีควรจะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี ้
1. มีค วามคิด หมายความว่า ผูพ
้ ูด จะต้อ งมีค วามคิด เห็น และมี
ความรู้อันเป็ นแก่นสาร หรือมีคุณค่ามีสาระเพียงพอสำหรับผูฟ
้ ั งนั่นเอง
2. มีจ ุด ประสงค์ท ี่แ น่น อนและจุด ประสงค์น น
ั ้ โดยแจ่ม แจ้ง
หมายความว่าผู้พูดจะต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการพูดไม่ว่าจุดประสงค์
นัน
้ ตนเองหรือผุ้อ่ น
ื เป็ นผู้กำหนดขึน
้ ทัง้ นีเ้ พื่อจะได้ก ำหนดเนื้อหาและวิธี
การให้สอดคล้องกันผู้ที่ไม่สนใจจุดปรงสงค์ของผู้กำหนดหัวข้ออาจประสบ
ความล้มเหลวในการพูดได้โดยง่าย
3. มีเค้าโครงเรื่อง หมายความว่าเมื่อรู้ว่าตนเองจะต้องไปพูดเรื่อง
ใดจะต้องกำหนดเค้าโครงเนื้อหาเรื่องนัน
้ อย่างคร่าวๆหรืออย่างละเอียด
เพื่อช่วยให้ตนเองพูดได้ง่ายไม่ผิดพลาดหรือสับสน และช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจ
เรื่องได้โดยง่ายอีกด้วย
60
4. รู้จ ัก ใช้ภ าษาที่ด ี หมายความว่า ผู้พ ูด จะต้อ งรู้จ ัก เลือ กเฟ้ น
ถ้อยคำให้เหมาะสมกับผูฟ
้ ั งและโอกาส รู้จักใช้คำศัพท์ สุภาษิต คำพังเพย
โวหารต่างๆในที่อัน สมควร ในขณะเดียวกัน ก็ร ้จ
ู ัก ละเว้น การใช้ถ ้อ ยคำ
หยาบกระด้างหรือการพูดที่ก้าวร้าวผู้อ่ น

5. มีบุคคลิกภาพที่ดี หมายความว่ามีกริยาท่าทางที่เหมาะสม มี
น้ำเสียงที่ชัดเจนและไม่ประหม่าในการพูดนั่นเอง ผุ้พูดที่มีบุคคลิกดีจะ
สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้จึงควรฝึ กฝนตนเองในด้านนีใ้ ห้มาก
6. ช่างสังเกตและมีไหวพริบดี หมายถึงเป็ นผู้ที่ร้จ
ู ักสังเกตปฏิกิริยา
ของผูฟ
้ ั ง และเข้าใจผูฟ
้ ั งตลอดเวลา พร้อ มกัน นัน
้ ต้อ งรู้จ ัก ปรับ ตัว รู้จ ัก
แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที
อ้างอิง : (สบาย ไสยริทร์ และคณะ. 2525 : 200 - 206)
สรุป : การเป็ นผู้พ ูด ที่ด ีค วรมีค วามคิด ที่เ หมาะสม มีจ ุด ประสงค์ท ี่
แน่น อน เพื่อให้ผ ฟ
ู้ ั งเข้าใจได้ง ่า ย รู้จ ัก การใช้ภาษาที่ด ีใ ห้เ หมาะสมกับ
โอกาส

ผูพ
้ ูดที่ดีจะต้องคำนึงถึงระเบียบวินัยที่ดี มีศล
ิ ปะในการพูด มีความรู้
ความสามารถในการถ่ายทอด สามารถสื่อความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจตรงกัน
สมความมุ่งหมายของผูพ
้ ูด
ผู้พูดที่ดีควรมีลักษณะดังนี ้
1. มีการเตรียมพร้อมในการพูดที่ดี ซึ่งอาจแบ่งได้ดังนี ้

61
1.1 เตรียมตน เช่น การสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง เตรียมวิธี
การพูด การแสดงท่าทางประกอบ ศึกษาเทคนิคการพูดของบุคคลอื่นๆ ที่
ได้รับความสำเร็จ
1.2 เตรียมเรื่อง เช่น การกำหนดหัวข้อเรื่องที่จะพูด เรื่องที่จะ
พูดนัน
้ มีความรู้มากน้อยแค่ไ หน จะค้นคว้าที่ใด อย่า งไร เป็ นเรื่องที่น ่า
สนใจและเกิดประโยชน์แก่ผฟ
ู้ ั งเพียงใด
1.3 เตรียมการณ์ เช่น การจะพูดนัน
้ จะต้องวางโครงการเรื่อง
ต่างๆ ไว้ เช่น ข้อมูลอ้างอิงใดๆ บ้าง จะใช้ส ำนวนสุภาษิต บทร้อยกรอง
ใดมาอ้างบาง จะต้องวางโครงการเรื่องที่จะพูดไว้ว ่าจะใช้เวลาเท่าใดจึง
จะเหมาะสม มีจ ุดยืนในความคิดที่แน่นอน ไม่วกวนกลับไปกลับมาหรือ
โกหกตลบตะแลง
1.4 เตรียมใจ เช่น สามารถควบคุมอารมณ์ไ ด้ด ี ถ้าผูฟ
้ ั งถาม
แบบลองภูมิ พูดส่อเสียด พูดคุยกันโห่ฮา เป็ นต้น
1.5 เตรียมตอบ เช่น จะต้อ งเปิ ดโอกาสให้ผ ฟ
ู้ ั งได้ซก
ั ถามข้อ
สงสัย การแสดงความคิดเห็น เสนอแนะ มีความยุติธรรม ไม่เอนเอียงเข้า
ข้างฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล
2. มีการวิเคราะห์ผ ู้ฟัง เพื่อการพูดประสบความสำเร็จ ผูพ
้ ูดจะ
ต้องคำนึงถึงผูฟ
้ ั งเป็ นสำคัญ เช่น เพศ วัย ระดับการศึกษา จำนวนที่รับฟั ง
อาชีพ ความสนใจ ศาสนา เวลา ลัก ษณะของที่ป ระชุม เป็ นต้น ถ้า
พิจารณาสิ่งดังกล่าวนี ้ ความสำเร็จในการพูดย่อมประสบผลครึ่งค่อนทาง
แล้ว

62
3. มีศ ิล ปะในการพูด เช่น การสร้า งอารมณ์ข ัน มีก ริย าท่า ทาง
สุภาพ น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟั ง รู้จักเน้นจังหวะช้า เร็ว หนักเบาในการพูด
ไม่พูดด้วยอารมณ์ มีศิลปะในการพูดดี มีถ้อยคำดี พูดถูกต้องตามการสมัย
เหมาะสม กับเวลา เหมาะสมกับบุคคล เหมาะสมกับสถานที่และโอกาส
4. มีค วามมุ่ง มั่น ฝึ กฝนการพูด สม่ำเสมอ เช่น ฝึ กพูด คนเดีย ว
หรือพูดต่อหน้ากระจก พูดต่อผูฟ
้ ั งกลุ่มเล็กๆ และกลุ่มใหญ่ๆ เป็ นต้น เพื่อ
จะได้หาความชำนิชำนาญเพื่อนำข้อบกพร่องมาแก้ไขปรับปรุง กลวิธีการ
พูดของตัวเองให้ดียิ่งขึน

อ้างอิง : (นาย กิติศักดิ ์ ก้อนกลีบ. ลักษณะของผู้พูดที่ดี. 2545 : 1)
สรุป : ผูพ
้ ูดจะต้องคำนึงถึงระเบียบวินัย มีการเตรียมความพร้อมใน
การพูด เช่น เรื่องที่จะพูด การตอบคำถามจากผูฟ
้ ั ง มีการสร้า งอารมณ์
ถ้อยคำในการพูด

1. มีค วามมุ่ง หมายดี ทัง้ ความมุ่ง หมายทั่ว ไปและความมุ่ง หมาย


เฉพาะ
2. มีความเหมาะสม กับกาลสมัย เวลาที่ก ำหนดให้ สถานที่ โอกาส
และบุคคล
3. ใช้ถ้อยคำดี คือ พูดด้วยถ้อยคำที่เป็ นจริง มีประโยชน์ และเป็ นที่
พอใจแก่ผฟ
ู้ ั ง
4. มีบค
ุ ลิกลักษณะดี คือต้องใช้น้ำเสียง ภาษา สายตา ท่าทาง และ
กิริยาอาการต่าง ๆ ให้เป็ นไปตามธรรมชาติ สอดคล้องกับเนื้อหาของเรื่อง
ที่พ ูด สาระหรือ เนื้อ เรื่อ งที่จ ะพูด การเตรีย มเนื้อ หาจะต้อ งมีโ ครงเรื่อ ง

63
ได้แก่ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุปจบ เพื่อให้การพูดดำเนินไปโดยสม่ำเสมอ
ตลอดเรื่อง คำนำ เป็ นตอนสำคัญที่จะเรียกร้องให้ผู้ฟังสนใจและตัง้ ใจฟั ง
คำนำจึงต้องใช้ภาษาและสำนวนที่กระทัดรัดได้ใจความดี โดยอาจขึน
้ ต้น
ได้หลายแบบ ได้แก่
1. กล่าวถึงความสำคัญของเรื่อง
2. นำด้วยตัวอย่างหรือนิทาน
3. นำด้วยข้อความที่เร้าใจ
4. นำด้วยคำถามที่เร้าใจ
5. นำด้วยการยกย่องผู้ฟัง
6. นำด้วยคำพังเพย สุภาษิต คำขวัญ คำประพันธ์ หรือคำคม
เนื้อเรื่อง จะต้องเตรียมให้
1. สอดคล้องกับคำนำ
2. เป็ นไปตามลำดับขัน
้ ตอนตามโครงเรื่อง
3. เวลาพูดต้องแสดงสีหน้า ท่าทางให้เหมาะสมสอดคล้องกับ
เรื่อง เพื่อให้เกิดความสนใจ แต่ไม่มากจนกลายเป็ นเล่นละคร
สรุปจบ อาจทำได้หลายวิธี คือ
1. ย้ำจุดสำคัญ
2. จำแนกหัวข้อสำคัญ
3. ทบทวนความรู้ทั่วไป
4. สรุปด้วยการสรรเสริญสดุดี
หลักทั่วไปในการพูด
1. เตรียมตัวให้พร้อม

64
2. ซักซ้อมให้ดี
3. ท่าทีให้สง่า
4. วาจาสุขุม
5. ทักที่ประชุมให้โน้มน้าว
6. เรื่องราวให้กระชับ
7. ตาจ้องจับผู้ฟัง
8. เสียงดังแต่พอดี
9. อย่าให้มีเอ้ออ้า
10. ดูเวลาให้พอครบ
11. สรุปจบให้จับใจ
12. ยิม
้ แย้มแจ่มใสเมื่ออำลา
อ้างอิง : (ลักษณะการพูดที่ดี. ม.ป.ป. : 1)
สรุป : มีความมุ่งหมายและความเหมาะสมที่ดี การเลือกใช้ถ้อยคำที่
เหมาะสมกับ ผู้พ ูด การใช้น ้ำเสีย ง ภาษา ท่า ทาง จะต้อ งเป็ นไปตาม
ธรรมชาติ

การพูด ที่ด ีไ ม่เ พีย งแต่พ ูด ให้ผ ฟ


ู้ ั งเข้า ใจเท่า นัน
้ แต่ต ้อ งสร้า งความ
สัมพันธ์อันดีให้เกิดขึน
้ ระหว่างผูพ
้ ูดและผู้ฟังด้วย สามารถปฏิบัติได้ดังนี ้
1. ความคิดเชิงบวก
2. ความซื่อสัตย์ จริงใจ
3. การมีสติ
4. การวิเคราะห์แยกแยะ

65
5. การคำนึงถึงประโยชน์ผู้ฟัง
6. ความรับผิดชอบ
7. ความสมบูรณ์ชัดเจน
8. ความสุภาพและมีมารยาท
9. ความเป็ นกลาง
10. การมีคุณธรรมและจริยธรรม
11. ความตัง้ ใจ
12. ความกล้าหาญ
13. ความมีระเบียบวินัย
14. คำพูดที่ดี
15. บุคลิกและการแต่งการสุภาพเรียบร้อย
อ้างอิง : (ศิริรัตน์ กลยะณ. ความรู้พ้น
ื ฐานเกี่ยวกับการพูด. 2558 : 1)
สรุป : ผูพ
้ ูด จะต้อ งสร้า งความสัม พัน ธ์อ ัน ดีร ะหว่า งผู้ฟั ง เช่น การ
ซื่อสัตย์ จริงใจ มีความรับผิดชอบ ระเบียบวินัยและคำนึงถึงผลประโยชน์
ผูฟ
้ ัง

เตรียมตัวให้พร้อมทัง้ กายและใจที่จะฟั ง
1.ปรับปรุงทัศนคติของตน โดยสำรวจว่าตนมีปัญหาในการฟั งด้าน
ใดบ้าง และพยายามขจัดอุปสรรคต่างๆ ที่เป็ นเครื่องกีดขวางการรับฟั ง
2.เลือกตำแหน่งที่นั่งให้เหมาะสม สามารถได้ยินและมองเห็นผูพ
้ ูดได้
ชัดเจน

66
3.ฟั งด้วยความอดทน และมีวิจารณญาณ เพื่อจะได้ประเมินความ
หมายของผูพ
้ ูด
4.ฟั งด้วยความตัง้ ใจ เพื่อจับประเด็นและสาระสำคัญของเรื่องให้ได้
5.ฟั งด้วยความคิด ประเมินผล และวิจารณ์ในกระบวนการพูด
6.หากผูฟ
้ ั งได้ปฏิบัติตนตามคำแนะนำข้างต้นก็จะเกิดประโยชน์จาก
การฟั งมากมาย คือ
7.ได้สาระประโยชน์จากการฟั ง
8.ได้รับความรู้และประสบการณ์อย่างกว้างขวาง สร้างความมั่นใจ
ให้กับตัวเอง
9.ทำให้กล้าคิด กล้าแสดงออก
10.เพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสม
11.เป็ นผู้ที่มีมารยาทในการสนทนาเมื่อตัง้ ใจฟั ง
12.การรู้จ ัก ฟั งผู้อ่ น
ื พูด จะได้ร ับ ความนิย มชมชอบ และเป็ นการ
เสริมบุคลิกภาพให้กับตนเอง
อ้างอิง : (ลักษณะที่ดีของผูพ
้ ูด. ม.ป.ป. : 1)
สรุป : ต้องมีการเตรียมความพร้อมทัง้ กายและใจ กล้าแสดงออก มี
การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสม มีการเสริมบุคลิกภาพให้กับตนเอง

การพูดของแต่ละบุคคลในแต่ละครัง้ จะดีหรือไม่ดีอย่างไรนัน
้ เรามี
เกณฑ์ที่จะพิจารณาได้ ถ้าเป็ นการพูดที่ดีจะมีลักษณะดังต่อไปนี ้
1. ต้องมีเนื้อหาดี เนื้อหาก็จะต้องเป็ นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย
เนื้อหาที่ดีต้องตรงตามจุดมุ่งหมายของผู้พูด ผูพ
้ ูดมีจุดมุ่งหมายการพูดเพื่อ

67
อะไร เพื่อความรู้ ความคิด เพื่อความบันเทิง เพื่อจูงใจโน้มน้าวใจ เนื้อหา
จะต้องตรงตามเจตนารมณ์ของผู้พูดและเนื้อ หานัน
้ ต้อ งมีค วามยากง่า ย
เหมาะกับผู้ฟัง มีการลำดับเหตุการณ์ ความคิดที่ดีมีระเบียบไม่วกวน จึง
จะเรียกว่ามีเนื้อหาดี
2. ต้อ งมีว ิธ ีก ารถ่า ยทอดดี ผู้พ ูด จะต้อ งมีว ิธ ีก ารถ่า ยทอดความรู้
ความคิดหรือสิ่งที่ต้องการถ่ายทอดให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายเกิดความเชื่อถือ และ
ประทับใจ ผูพ
้ ูดต้องมีศิลปะในการใช้ถ้อยคำภาษาและการใช้น ้ำเสียง มี
การแสดงกิร ิย าท่า ทางประกอบในการแสดงออกทางสีห น้า แววตาได้
อย่างสอดคล้องเหมาะสม การพูดจึงจะเกิดประสิทธิผล
3. มีบ ุค ลิก ภาพดี ผูพ
้ ูด จะต้อ งแสดงออกทางกายและทางใจได้
เหมาะสมกับโอกาสของการพูด อันประกอบด้วย รูปร่างหน้าตา ซึ่งเราไม่
สามารถที่จะปรับเปลี่ยนอะไรได้มากนัก แต่ก็ต้องทำให้ดูดีที่สุด การแต่ง
กายและกริยาท่าทาง ในส่วนนีเ้ ราสามารถที่จะสร้างภาพให้ดีได้ไม่ยาก จึง
เป็ นส่วนที่จะช่วยในการสร้างบุคลิกภาพที่ดีได้มาก ส่วนทางจิตใจนัน
้ เรา
ต้องสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้สูง มีความจริงใจและมีความคิดริเริ่ม ผู้
พูดที่มีบุคลิกภาพที่ดี จึงดึงดูดใจให้ผ ู้ฟังเชื่อมั่น ศรัทธาและประทับใจได้
ง่าย การสร้างบุคลิกภาพที่ดีเป็ นคุณลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของการพูด
อ้างอิง : (ลักษณะการพูดที่ดี. ม.ป.ป. : 1)
สรุป : การพูดในแต่ละครัง้ จะต้องมีเนื้อหาที่ดีตรงตามจุดมุ่งหมาย
ต้องมีวิธีการถ่ายทอดความรู้ความคิดที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจได้ง่าย ผู้
พูดจะต้องแสดงออกทางกายและทางใจได้เหมาะสมกับโอกาสที่จะพูด

68
การพูดที่จะประสบความสำเร็จจำเป็ นต้อ งมีก ารฝึ กฝนอย่า งมีข น
ั้
ตอนดังนี ้
๑. ปรับปรุงบุคลิกภาพของผู้พูด บุคลิกภาพของผูพ
้ ูดเป็ นสิ่งสำคัญ
ยิ่ง เพราะทำให้ผ ฟ
ู้ ั งเกิด ความประทับ ใจและเชื่อ ถือ ศรัท ธาผู้พ ูด การ
ปรับปรุงบุคลิกภาพของผูพ
้ ูดมีดังนี ้
- สร้า งความเชื่อ มั่น ในตนเอง เริ่ม จากการแต่ง กายอย่า ง
เหมาะสม สุภาพและเรียบร้อยรวมทัง้ การควบคุมสติอารมณ์ของตนเอง
ไม่ประหม่า มั่นใจว่าตนเองพูดได้และพูดได้ดี
- มีความรู้จริงในเรื่องที่พูด โดยค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องที่
จะพูด นำเสนอข้อ มูล อย่า งมีเ หตุม ผ
ี ล มีห ลัก ฐานสนับ สนุน ข้อ มูล ที่น ำ
เสนอ
- มีทัศนคติที่ดีต ่อการพูด โดยเห็นความสำคัญของการว่า
เป็ นโอกาสที่จะได้แสดงความรู้และความสามารถแก่ผฟ
ู้ ั ง
- มีทัศนคติ ความรู้สึก เจตนาที่ดี และจริงใจต่อผู้ฟัง
- หมั่น ฝึ กซ้อ มและประเมิน ผลการพูด ของตนเองอย่า ง
สม่ำเสมอ
๒. พยายามสร้างลักษณะร่วมระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง คือ การสร้าง
อารมณ์ร่วม ทัศนคติความสนใจ และประสบการณ์ร่วมระหว่างผู้พูดกับผู้
ฟั ง ซึ่งทำได้ดังนี ้
- วิเคราะห์ผฟ
ู้ ั ง ผูพ
้ ูดที่ดีต้องยึดผู้ฟังเป็ นจุดศูนย์กลาง โดย
เลือกพูดในสิ่งที่ผฟ
ู้ ั งสนใจ และเกิดความประทับใจผู้พูด

69
- วิเคราะห์กาลเทศะและสถานการณ์ ผู้พูดที่ดีควรเลือกพูด
ให้เหมาะกับโอกาสและสถานที่ โดยกำหนดเนื้อหาและเวลาในการพูดให้
เหมาะสมในการพูดแต่ละครัง้
๓. มีคุณธรรมและจรรยามารยาท ได้แก่
- มีคณ
ุ ธรรมในการพูด คือ รับผิดชอบสิง่ ที่พูด ซื่อสัตย์ ไม่พูด
โจมตีผู้อ่ น
ื ไม่พูดเรื่องส่วนตัวของผู้อ่ น
ื ที่สำคัญคือ ไม่นินทาผู้อ่ น

- มีจ รรยามารยาทในการพูด คือ แต ่ง กายให้ส ุภ าพ มี
มารยาทเหมาะสมตามสังคมและวัฒนธรรมไทย ไม่พูดประชดประชันหรือ
เหน็บแนมใคร ผู้พูดควรยอมรับฟั งความคิดเห็นของผู้อ่ น
ื และพูดให้ตรง
ต่อเวลา
๔. มีความมุ่งหมายในการพูด คือ การตัง้ จุดมุ่งหมายในการพูดทุก
ครัง้ ว่าจะพูดเพื่ออะไร ได้แก่ พูดเพื่อให้ความรู้ พูดเพื่อชักจูงใจหรือโน้ม
น้าวใจ หรือพูดเพื่อความสนุกสนาน เป็ นต้น การตัง้ จุดมุ่งหมายในการพูด
อ้างอิง : ( หลักการพูดที่ดี. ม.ป.ป. : 1)
สรุป : การพูดที่ประสบความสำเร็จนัน
้ ผู้พูดจะต้องสร้างความเชื่อมั่น
ในตัวเอง มีความรู้จริงในเรื่องที่พ ูด มีค วามมุ่ง หมายในการพูด ว่า จะพูด
เพื่ออะไร

มารยาทในการพูด
70
นักพูดที่ดีต้องรักษามารยาทในการพูดอย่างเคร่งครัด มารยาทที่ดี
ของการพูด มีดังนี ้
1. พูดให้ตรงจุดมุ่ง หมาย เช่น เพื่อ อธิบ าย เพื่อ จรรโลงใจ เพื่อ ให้
ความรู้หรือเพื่อโน้มน้าวจิตใจ
2. ขณะพูดต้องไม่แสดงอารมณ์โกรธ ไม่พอใจใดๆ
3. ไม่ใช้วาจาเสียดแทง เหน็บแนมหรือหยอกล้อใดๆ จะทำให้ผู้ฟัง
ไม่สบายใจ
4. ยอมรับฟั งความคิดเห็นของผู้อ่ น
ื ที่คิดเห็นไม่ตรงกับตน
5. มีสห
ี น้ายิม
้ แย้มแจ่มใส ใช้ถ้อยคำสุภาพ คำง่ายเหมาะกับวัย และ
ระดับของผูฟ
้ ัง
6. ไม่พูดอวดตน ภูมิรู้ หรือยกตนข่มท่าน เป็ นการไม่ให้เกียรติผู้ฟัง
7. ไม่พูดเรื่องส่วนตัว นอกจากจะมีผู้ถามและถ้าจำเป็ นต้องพูดควร
พูดเพียงเล็กน้อย
8. การนำคำกล่า วมาจากที่อ่ น
ื ต้อ งบอกที่ม าให้ช ัด เจนเพื่อ แสดง
ความเคารพและให้เกียรติผู้นน
ั้
อ้างอิง : (วิเศษ ชาญประโคน. 2549 : 180 - 181)
สรุป : การมีมารยาทที่ดีผู้พูดจะต้องพูดอธิบาย ให้ความรู้ด้วยถ้อยคำ
ที่สุภาพ อ่อนโยนต่อผู้ฟัง รวมถึงการให้เกียรติผู้ฟังโดยไม่แสดงอาการที่ไม่
เหมาะสมทางสีหน้าหรืออารมณ์

มารยาทคือกิริยาวาจาที่เรียบร้อย ถูกต้อง และงดงามตามแบบแผน


ของสังคมและทำให้ผู้ฟังเกิดความศรัทธา มีลักษณะการแสดงออกดังนี ้

71
1. มีกิริยาท่าทางสง่าผ่าเผย สำรวม สุภาพเรียบร้อยมีดวงหน้าที่ยม
ิ้
แย้มแจ่มใส อาการนั่งยืน หรือเคลื่อนไหว เหมาะสมภาคภูมิ
2. แต่งกายสะอาดเรียบร้อย เลือกใช้เสื้อผ้าเหมาะสม กับกาลเทศะ
และโอกาส
3. ใช้คำพูดสุภาพเหมาะสมกับเรื่องที่พูด ไม่พูดปด โอ้อวด ก้าวร้าว
และไม่นำเรื่องส่วนตัวของผู้อ่ น
ื มาเปิ ดเผย
4. พูดให้เหมาะกับเวลา และพยายามพูดให้ดีที่สุดในทุกโอกาส
5. ควบคุม อารมณ์ใ นขณะพูด ไม่แ สดงอารมณ์ไ ม่พ ึง ประสงค์ ซึ่ง
ทำให้การสื่อสารมีอุปสรรค
6. รับฟั งคิดเห็นจากคนอื่น เปิ ดโอกาสให้ผ ู้ฟังแสดงทรรศนะซึ่งแตก
ต่างจากตน ไม่ผูกขาดการพูดแต่เพียงผู้เดียว
มารยาทในการพูดช่วยก่อให้เกิดบรรยากาศของการสื่อสารที่ดีผ ู้รับ
และผู้ส่งสารมีไมตรีจิตและมีความเข้าใจยอมรับซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิด
การสื่อสารที่ราบรื่น และเกิดสัมฤทธิผลในที่สุด
อ้างอิง : (ธนู ทดแทนคุณ และกุลวดี ทดแดนคุณ. 2549 : 211-212)
สรุป : มารยาทที่ด ีต ้อ งมีก ิร ิย าท่า ทางที่ส ุภ าพเรีย บร้อ ย แต่ง กาย
สะอาด เหมาะสมและถูกกาลเทศะ รวมถึงไม่พูดโอ้อวด ก้าวร้าวหรือนำ
เรื่องส่วนตัวของผู้อ่ น
ื มาเปิ ดเผย

มารยาทในการพูด หมายถึง ผู้พูดที่มีกิริยาวาจาเรียบร้อย ท่าทาง


สง่างาม อ่อนโยนสุภาพ หน้าตายิม
้ แย้มแจ่มใส ไมใช้ท่าทางประกอบคำ
พูดให้มากจนเกินไป ย่อมช่วยเสริมสร้างให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือเลื่อมใสผู้

72
พูดได้เป็ นอันมาก การฝึ กฝนให้มีมารยาทในการพูดที่พึงปฏิบัติมีดังต่อไป
นี ้
1. ต้องรู้จักกล่าวคำทักทาย เมื่อมีผแ
ู้ นะนำให้ขน
ึ ้ ไปพูด ควรลุกขึน

อย่างกระฉับกระเฉงแต่เรียบร้อย เดินไปยังที่พูด หยุดเว้นระยะเล็กน้อย
แล้วจึงกล่าวคำทักทายหรือคำปฏิสันถารที่เหมาะสม
2. ต้องเป็ นผู้ฟังที่ดี ผู้พูดที่ดีต้องเป็ นคู่สนทนาที่ดี ให้เกียรติและรับ
ฟั งผู้อ่ น
ื ด้วย กรณีพูดในที่ประชุมเมื่อมีเสียงปรบมือหรือเสียงหัวเราะขณะ
พูดควรหยุดพูดชั่วคราว รอให้เสียงนัน
้ เบาลงหรือหยุดจึงค่อยพูดต่อไป ถ้า
เป็ นระหว่างการสนทนาควรหยุดพูดตามความเหมาะสม เพื่อเปิ ดโอกาส
ให้ผู้อ่ น
ื ได้สนทนาบ้าง เมื่อพูดจบแล้วหยุดเว้นระยะเล็กน้อย ก้มศีรษะให้
แก่ผฟ
ู้ ั งแล้วกลับไปยังที่นั่ง
3. ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์และน้ำเสียง เมื่อมีผ ู้ฟังบางคนโห่ร้อง
หรือ ล้อ เลียนระหว่างพูด อาจทำให้อ ารมณ์เ สีย ได้ ผูพ
้ ูด ต้อ งใจเย็น และ
ควบคุมน้ำเสียงตลอดจนกิริยาวาจาของตนไว้ให้ส ุภาพเรียบร้อยอยู่เสมอ
ทัง้ ต้องไม่พูดดัดเสียงให้ผิดปกติไปจากน้ำเสียงที่เคยพูดตามปกติในชีวิต
ประจำวัน
4. ต้องไม่พูดจาดูถูกหรือข่มขู่ผู้ฟัง เมื่อพูดต่อหน้าที่ประชุมไม่ควร
พูดอวดตนหรืออวดภูมิ รวมทัง้ ไม่ควรใช้กิริยาวาจาเชิงดูถูก ก้าวร้าว หรือ
ข่มขู่ผฟ
ู้ ั งแต่อย่างใด
5. ต้องรู้จักใช้คำสุภาพ เมื่อมีความคิดเห็นไม่ตรงกับผู้อ่ น
ื ระหว่าง
การสนทนา ไม่ควรพูดจาหยาบคาย รุนแรง แต่ควรรู้จักกล่าวคำขอบคุณ
ขอโทษ หรือเสียใจในโอกาสอันเหมาะสม

73
อ้างอิง : (พะนอม แก้วกำเนิด. มารยาทในการพูดที่ดี. 2560 :3)

สรุป : มารยาทที่ดีผ ู้พ ูดจะต้อ งกล่า วคำทัก ทายผู้ฟั ง ถือ เป็ นการให้
เกียรติผู้ฟัง ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ น้ำเสียง ไม่พูดจาดูถูกหรือข่มขู่ผฟ
ู้ ั ง

การพูด ของคนเราจำเป็ นอย่า งยิ่ง ที่จ ะต้อ งมีห ลัก เกณฑ์ รู้จ ัก กาล
เวลา และที่สำคัญต้องคำนึงถึงมารยาทที่ดีในการพูดด้วย
มารยาทในการพูดแบ่งเป็ น 2 ประเภทคือ
1. มารยาทในการพูดระหว่างบุคคล
2. มารยาทในการพูดในที่สาธารณะ
มารยาทในการพูดระหว่างบุคคล มีดังนี ้
1. เรื่องที่พูดควรเป็ นเรื่องที่ทงั ้ 2 ฝ่ าย มีความสนใจและพอใจ
ร่วมกัน
2. ไม่พ ูดเรื่องของตนเองมากจนเกิน ไป ควรฟั งในขณะที่อ ีก
ฝ่ ายหนึ่งพูด ไม่สอดแทรกเมื่อเขาพูดยังไม่จบ
3. พูด ตรงประเด็น อาจออกนอกเรื่อ งบ้า งพอผ่อ นคลาย
อารมณ์
4. เคารพความคิดเห็นของผู้อ่ น
ื ไม่บังคับให้ผ ู้อ่ น
ื เชื่อหรือคิด
เหมือนตน

มารยาทในการพูดในที่สาธารณะ
การพูดในที่สาธารณะต้องรักษามารยาทให้มากกว่าการพูดระหว่าง
บุคคล เพราะการพูดในที่สาธารณะนัน
้ ย่อมมีผู้ฟังซึง่ มาจากที่ต่าง ๆ กัน มี
74
วัย วุฒ ิ คุณ วุฒ ิ และพื้น ฐานความรู้ ความสนใจและรสนิย มต่า งกัน ไป
มารยาทในการพูดระหว่างบุคคลอาจนำมาใช้ได้และควรปฏิบัติเพิ่มเติม
ดังนี ้
1. แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยเหมาะแก่โอกาสและสถานที่
2. มาถึงสถานที่พูดให้ตรงเวลาหรือก่อนเวลาเล็กน้อย
3. ก่อนพูดควรแสดงความเคารพต่อผูฟ
้ ั งตามธรรมเนียมนิยม
4. ไม่แสดงกิริยาอาการอันไม่สมควรต่อหน้าที่ประชุม
5. ใช้คำพูดที่ให้เกียรติแก่ผฟ
ู้ ั งเสมอ
6. ไม่พูดพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัวของบุคคลอื่นในที่ประชุม
7. ไม่พูดหยาบโลนหรือตลกคะนอง
8. พูดให้ดังพอได้ยินทั่วกันและไม่พูดเกินเวลาที่กำหนด
อ้างอิง : (มิสฐาปนี จันทร์แว่น. มารยาทการพูด. 2559 : 1 )
สรุป : มารยาทในการพูดระหว่างบุคคล ควรเป็ นเรื่องที่ทงั ้ 2 ฝ่ าย มี
ความสนใจและพอใจร่ว มกัน ไม่พ ูด เรื่อ งของตนเองมากจนเกิน ไป
มารยาทในการพูดในที่สาธารณะ ไม่ควรแสดงกิริยาอาการอันไม่สมควร
ต่อหน้าที่ประชุม

1. มารยาทการพูดระหว่างบุคคล
การพูด ระหว่า งบุคคล
ุ หมายถึง การที่ค นสองคนพูด คุย กัน หรือ
การสนทนากันภายในกลุ่ม ซึ่งจะมีมารยาทในวงสนทนาที่เราต้องเรียนรู้
เพื่อ ไม่เ ป็ นการทำให้ผ ู้ฟั งของเรารู้ส ึก ไม่ด ี หรือ ไม่ส บายใจได้ โดยจะมี
มารยาทที่เราควรรู้ ดังนี ้

75
ผู้พูด และผู้ฟังต้องมีความพึงพอใจในเรื่องที่จะพูดร่วมกัน
มารยาทในข้อแรกคือการที่เรากับคู่สนทนาจะต้องมีความพึงพอใจ
ในเรื่องที่จะพูดร่วมกัน เพราะถ้าเราพูดเรื่องที่ตนเองอยากพูดอยู่ฝ่ายเดียว
โดยไม่สนใจอีกฝ่ ายก็จะดูเป็ นการเสียมารยาท เช่น ถ้าเราอยากพูดถึงหนัง
ที่เราเพิ่งจะไปดูมา แต่เ พื่อนของเราเป็ นคนที่ไ ม่ช อบดูห นัง เราก็อ าจจะ
หลีกเลี่ยงเรื่องนี ้ แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องที่เรา และเพื่อนสนใจร่วมกันจะดี
กว่า
เปลี่ยนจากสถานะผู้พูด มาเป็ นผู้ฟังบ้าง
หลังจากที่เราได้เรื่องที่จะพูดคุยร่วมกันแล้ว มารยาทข้อต่อมาที่ควร
ทำ คือ การเปลี่ยนเป็ นคนฟั งบ้า ง เราไม่ควรพูดเรื่อ งของตัวเองมากจน
เกินไป หรือพูดเรื่องนัน
้ อยู่เพียงฝ่ ายเดียว ควรเว้นจังหวะให้เพื่อนของเรา
ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนัน
้ ด้วย และเราก็ต้องรับฟั งอย่างตัง้ ใจ
เช่นกัน

เคารพความคิดเห็นของผู้อ่ น

เมื่อเราได้รับบทเป็ นผู้ฟังแล้วสิ่งที่ต้องทำคือ การเคารพความคิดเห็น
ของผู้ที่คุยกับเราด้วย เช่น ถ้าเรากับเพื่อน ๆ กำลังพูดคุยกันเรื่องวิชาที่เรา
รู้สึกว่าเรียนยาก หรือเรียนง่าย แล้วมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราก็ต้อง
เคารพความคิดเห็นของเพื่อน และไม่ควรไปบังคับให้เพื่อนคิด หรือรู้สึก
เหมือนกับเราอยู่ฝ่ายเดียว

76
ไม่พูดออกนอกเรื่อง หรือนอกประเด็น
มารยาทข้อต่อมาเราควรจะพูดให้ตรงประเด็น หรือพูดให้สอดคล้อง
กับหัวข้อที่เรากำลังคุยกันอยู่ เช่น ถ้าเพื่อน ๆ ของเรากำลังพูดคุยเกี่ยว
กับ เรื่อ งการไปทัศ นศึก ษา แต่เ รากลับ พูด ออกนอกเรื่อ งก็อ าจจะทำให้
เพื่อน ของเรารู้สึกไม่พอใจ หรือหลุดออกจากประเด็นที่คุยกันอยู่ก็เป็ นได้
ไม่พูดแทรกในระหว่างที่คนอื่นกำลังพูด
มารยาทข้อนีเ้ ป็ นสิ่ง ที่ค วรมี และพึง ปฏิบ ัต ิทงั ้ การพูด และการฟั ง
เพราะถ้า เราพูด แทรกขึน
้ มาในขณะที่อ ีก ฝ่ ายยัง พูด ไม่จ บ จะถือ ว่า เสีย
มารยาทมาก ๆ และอาจทำให้ผู้ที่กำลังพูดอยู่เสียสมาธิจนไม่สามารถพูด
ต่อได้ ดังนัน
้ เราควรรอให้อีกฝ่ ายพูดจบแล้วเราจึงค่อยพูดขึน
้ มาแทน
2. มารยาทการพูดในที่สาธารณะ
สำหรับ การพูด ในที่ส าธารณะจำเป็ นที่จ ะต้อ งรัก ษามารยาทให้
มากกว่าการพูดระหว่างบุคคล เนื่องจากเป็ นการพูดในสถานที่ที่เปิ ดกว้าง
มีผู้ฟังที่แตกต่างกันทัง้ ทางอายุ ระดับการศึกษา ไปจนถึงมีความรู้ ความ
เข้าในเรื่องที่เราจะพูดไม่เท่ากัน โดยจะมีมารยาทที่เราควรรู้ ดังนี ้
การแต่งกายให้สุภาพ ถูกกาลเทศะ
เมื่อเราต้องไปพูดตามสถานที่ต ่าง ๆ นอกจากที่เราจะต้องศึกษากฎ
ระเบียบ หรือข้อปฏิบัติของสถานที่นน
ั ้ ๆ แล้ว ก็ยังต้องศึกษาลักษณะของ
งานที่เราจะไปพูด เพื่อจะได้แต่งตัวตามรูปแบบงาน ตามความเหมาะสม
ของสถานที่ หรือเหมาะสมกับช่วงเวลาที่พูดด้วย
ควรแสดงความเคารพต่อผู้ฟังก่อนจะเริ่มพูด

77
การเริ่มกล่าวทักทายผู้ฟัง หรือเกริ่นนำผูฟ
้ ั งเข้าสูเ่ รื่องที่เรากำลังจะ
พูดนัน
้ นับว่าเป็ นมารยาทสากลที่ผ ู้พูดควรจดจำ และปฏิบัติทุกครัง้ เช่น
เวลาที่เ ราจะนำเสนองานหน้า ชัน
้ เรีย นเราควรยกมือ ไหว้ค ุณ ครู สวัส ดี
เพื่อน ๆ หรือเรามัก จะได้ยิน คำกล่าวตอนเริ่มนำเสนอรายงานว่า เรียน
คุณครูที่เคารพ และสวัสดีเพื่อน ๆ ที่น ่ารักทุกคน ซึง่ เป็ นวิธีที่ถูกต้อง และ
แสดงถึงมารยาทที่ดี
พูดให้พอดีกับเวลาที่กำหนด
เมื่อ เราต้องพูด ในงานที่มีร ะยะเวลากำหนดไว้ เราควรจะฝึ กซ้อ ม
และพยายามพูดเนื้อหาของเราให้พอดีกับเวลาที่ก ำหนด เป็ นข้อที่สำคัญ
มากเมื่อเราต้องไปพูดในงานที่มีคนอื่นรอพูดต่อจากเรา หรือมีพิธีการอื่น
ๆ ทีต้องดำเนินไปตามเวลา ถ้าเราพูดเลยเวลาที่ก ำหนดก็จะไปกระทบกับ
เวลาของผู้อ่ น
ื ด้วย
ไม่พูดพาดพิงถึงบุคคลอื่น
มารยาทในการพูดข้อต่อมา เวลาที่เรากำลังพูดเนื้อหาเรื่องใดเรื่อง
หนึ่งอยู่เราไม่ควรกล่าวพาดพิง หรือกล่าวถึงเรื่องของผู้อ่ น
ื เพราะจะถือ
เป็ นการไม่ให้เกียรติบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง

อย่าแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเมื่อต้องพูดในที่สาธารณะ
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับผูพ
้ ูดในที่นจ
ี ้ ะหมายถึง การกระทำที่
จะส่ง ผลให้ค นฟั งรู้ส ึก ไม่ด ี หรือ ไม่พ อใจกับ สิ่ง ที่เ รากำลัง ทำ เช่น การ
ตะโกนใส่ผฟ
ู้ ั ง การแสดงท่าทางไม่พอใจกับเรื่องที่กำลังพูด หรือด่าทอผู้

78
ฟั งขณะที่พูด เพราะเป็ นพฤติกรรมไม่สุภาพ และไม่สมควรทำอย่างยิ่งเมื่อ
ต้องออกไปพูดต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก
ไม่พูดคำหยาบคาย หรือพูดจาไม่สุภาพ
มารยาทข้อ นีก
้ ็ส ำคัญ ไม่แ พ้ข ้อ อื่น ๆ เลย นั่น คือ การควรควบคุม
ถ้อยคำ หรือสำนวนที่เราจะใช้พูดต่อหน้าที่สาธารณะไม่ให้มีคำหยาบคาย
หรือคำพูดที่ไม่สุภาพ เพราะจะทำให้คนที่ฟังรู้สึกไม่ดี และทำให้เรื่องที่เรา
พูดดูไม่น่าฟั งขึน
้ มาทันที
อ้างอิง : (สวนิต ยมาภัย. มารยาทในการพูด. 2528 : 5 )
สรุป : มารยาทที่ดีไ ม่ค วรพาดพิง ถึง บุค คลอื่น ไม่พ ูด ออกนอกเรื่อ ง
หรือนอกประเด็น และควรพูดให้พอดีกับเวลาที่กำหนด

1. ในการพูดต้องรู้กาลเทศะว่า เมื่อใดควรพูด เมื่อใดไม่ควรพูด เช่น


ขณะรับประทานอาหาร ไม่ควรพูดเรื่องน่าเกลียด น่ากลัว สยดสยอง งาน
มงคลไม่ควรพูดเรื่องโศกเศร้า
2. พูดด้วยกิริยาที่อ่อนน้อมถ่อมตัว
3. ไม่พ ูด สอดแทรกหรือ ขัด จัง หวะผ ู้อ่ น
ื ต้อ งรอให้ผ ู้อ่ น
ื พูด จบ
ข้อความเสียก่อนแล้วจึงพูดต่อ
4. เรื่องที่พูดนัน
้ ควรเป็ นเรื่องที่ทงั ้ สองฝ่ ายสนใจ พอใจร่วมกัน เช่น
ข่าวเหตุการณ์ที่เป็ นที่สนใจ
5. พูดตรงประเด็น อาจจะออกนอกเรื่อ งได้บ ้า งเล็ก น้อ ย เพื่อ ผ่อ น
คลายอารมณ์

79
6. เคารพในสิทธิและความคิดเห็นผู้อ่ น
ื ตามสมควร ไม่พยายามข่ม
ให้ผู้อ่ น
ื เชื่อถือหรือคิดเหมือนตนหรือแสดงว่าตนรู้ดีกว่าผู้พูดอื่น ๆ
7. ไม่ก ล่า วร้า ยหรือ นิน ทาผู้อ่ น
ื หลีก เลี่ย งการใช้ค ำที่แ สดงการดู
หมิ่นผู้ที่เราพูดด้วย ในขณะที่พูดควรวางตัวให้ส ุภาพเรียบร้อย ไม่แสดงว่า
ตนรู้ยกตนข่มท่าน
8. ต้องควบคุมอารมณ์ในขณะสนทนา หลีก เลี่ยงการใช้ค ำโต้แ ย้ง
รุนแรง
9. พูดด้วยใบหน้ายิม
้ แย้มแจ่มใส แสดงไมตรีจ ิต ต่อ กัน และแสดง
ความสนใจในเรื่องที่พูดด้วยท่าทางมีชีวิตชีวา
10. ใช้ภาษาสุภาพ ถ้าใช้คำคะนองบ้างก็ให้พอเหมาะแก่กาลเทศะ
และผู้ฟัง
11. ใช้เสียงดังพอควร ไม่ตะโกน ไม่ใช้เ สียงกระด้า งหรือ เสียงเบา
เกินไป
12. ขณะที่พูดควรมองหน้าสบตาผูพ
้ ูดอีกฝ่ ายหนึง่ และต้องตัง้ ใจฟั ง
คำพูดของผูพ
้ ูดอื่น ๆ และไม่กระซิบกระซาบกับคนนั่งข้างเคียง
อ้างอิง : (สถาพร พันธุ์มณี. หลักการพูด. 2523 : 2 )
สรุป : ควรใช้เ สีย งที่ด ัง พอดี ไม่ต ะโกน ควบคุม อารมณ์ต ัว เองให้ด ี
หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่รุนแรง รวมถึงควรพูดด้วยใบหน้าที่ยม
ิ ้ แย้มแจ่มใส

หลักปฏิบัติในการพูด
สำเนียง มณีกาญจน์ และสมบัติ จำปาเงิน (2542:42) กล่าวถึงข้อ
ควรปฏิบัติในการพูด 12 ประการ ดังนี ้
80
1. การตรงต่อเวลา ควรไปถึงสถานที่ก่อนเวลา เพื่อเตรียมพูด
2. การก้าวขึน
้ สู่เวทีพูด ไม่ว่าจะเป็ นการยืน เดิน ควรให้เป็ นไปตาม
ธรรมชาติ มีความองอาจมั่นใจในตนเอง ถ้ารู้สึกประหม่าอยู่บ้าง ควรหาย
ใจลึกๆ สองสามครัง้ จะช่วยได้มาก
3. ระมัดระวังเรื่องการแต่งกาย ควรแต่งกายอย่างรัด กุม การแต่ง
กายสวยมีจุดเด่นเกินไป จะทำให้ผู้ฟังหันไปสนใจกับสิ่งนัน
้ ๆ มากกว่าการ
พูด
4. ให้เกียรติผู้ฟังเสมอ เช่น การผายมือไปยังผูฟ
้ ั ง การยิม
้ ให้แก่ผู้ฟัง
5. ควรประสานกับผูฟ
้ ั งโดยทั่วๆไป เพราะสายตาเป็ นสื่อสัมพันธ์ที่
โยงสายใยของหัวใจเข้าหากัน ทัง้ ยังแสดงความจิตใจอีกด้วย
6. การใช้ภาษาสุภาพ ควรแทรกความขบขัน ผ่อนอารมณ์บ้าง แต่
ต้องคำนึงถึงเนื้อหาด้วย
7. ตัว อย่า ง ข้อ อ้า งอิง จะต้อ งชัด เจน ต้อ งผสมกลมกลืน เข้า กับ
เนื้อหาได้ดี
8. ลีลาการพูด ควรให้เหมาะสมสอดคล้องกับเรื่อง ผู้พูดต้องมีไหว
พริบพร้อมจะปรับลีลาให้เข้ากับสภาพแลดล้อม จังหวะและโอกาสพูด
9. คอยสังเกตุปฎิกิริยาจากผู้ฟัง ถ้าเห็นผู้ฟังเบื่อหรือมีสิ่งอื่นมารบก
วนสมาธิ ควรเปลี่ย นแนวการพูด ใหม่ใ ห้เ หมาะ ไม่ต ้อ งคิด ว่า เตรีย มมา
อย่างไรจะต้องพูดอย่างนัน
้ เท่านัน
้ ทัง้ หมด
10. ไม่ควรพูดแข่งกับเสียงหัวเราะ หรือเสียงปรบมือ
11. มีการทิง้ ท้ายให้ผู้ฟังเก็บเอาไปคิด หลังจากสิน
้ สุดการพูด
12. พูดตามที่ตงั ้ ใจไว้ และรักษาเวลาอย่างเคร่งครัด

81
อ้างอิง : (ธนู ทดแทนคุณ และกุลวดี ทดแดนคุณ. 2549 : 214)
สรุป : ควรตรงต่อเวลาหรือไปก่อนเวลาเพื่อเตรียมตัวในการพูด ถือ
เป็ นการให้เกียรติผู้ฟัง คือ ไม่ต้องให้ผู้ฟังต้องรอ เมื่อพูดจบควรทิง้ ท้ายให้
ผูฟ
้ ั งเก็บเอาไปคิดด้วย

หลักปฏิบัติในการพูด
1. ศึกษาเกีย
่ วกับผู้ฟังและสิ่งแวดล้อม มีรายละเอียดดังนี ้
1.1 ศึก ษาผูฟ
้ ั งว่า อยู่ใ นวัย ใด เพศใด การศึก ษาระดับ ใด
อาชีพอะไร
1.2 ศึกษาผู้ฟังว่ามีเจตคติ อารมณ์ และรสนิยมอย่างไร
1.3 ศึกษาสภาพแวดล้อม เช่น สถานที่ที่จะพูด ช่วงเวลา
2. เลือกเรื่องและจัดเนื้อเรื่องที่พูด
2.1 การเลือกเรื่อง ควรเป็ นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้ฟัง
เป็ นเรื่องที่แปลกใหม่
2.2 การจัดเนื้อเรื่อง เริ่มจาก คำนำ ต้องดึงดูดความสนใจ
ไม่ก ล่า วถ่อมตัว แก้ตัว หรือ กล่า วถึง ความเป็ นมาของเรื่อ งไกลเกิน ไป
ควรเป็ นใจความเพียง 2 – 3 ประโยค ส่วนเนื้อเรื่องต้องเป็ นข้อเท็จจริง
หลักฐาน เหตุผล และตัวอย่างที่ชัดเจน การสรุปไม่ใช่การย่อเรื่องที่พูด
แล้ว แต่เป็ นการเน้นประเด็นสำคัญด้วยถ้อยคำสำนวนที่เด่นเป็ นพิเศษ
เพื่อสร้างความประทับใจ
3. เตรียมตัวผู้พูด

82
ผู้พูดที่ไม่มีประสบการณ์ในการพูดในที่ประชุมชนมาก่อนมักตื่นเต้น
ประหม่า เสียงสั่น ท่าทางเคอะเขิน อันเป็ นลักษณะของการขาดความ
มั่นใจในตนเอง ซึง่ เป็ นสาเหตุหนึง่ ที่ท ำให้ก ารพูด ล้มเหลว ผู้พ ูด จึง ควร
เตรียมตัวและฝึ กฝนการพูดอยู่ตลอดเวลา เพื่อความมั่นใจในตนเอง
อ้างอิง : (ขวัญชัย กิตติปาโล. หลักและศิลปะการพูด. 2561 : 1 )
สรุป : ควรศึก ษาว่าผู้ฟั งอยู่วัยไหน เพศใด อาชีพ อะไร เพื่อ ที่จะได้
เตรียมเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้ฟัง และควรฝึ กพูดบ่อยๆเพื่อจะได้มีความ
มั่นใจในการพูดมากขึน

1. พูดให้มีเนื้อหาสาระ เชิงสร้างสรรค์ น่าสนใจ พูดแล้วทำให้ผู้ฟัง


เกิดกำลังใจ มีความหวังรู้สึกดี สดชื่น สมหวัง
2. มีค วามตัง้ ใจ จริง ใจในการพูด น ้ำเสีย งในการพูด นัน
้ ต้อ ง
แสดงออกถึงความจริงใจ สุภาพอ่อนโยน ดังชัดเจน ตัง้ ใจที่จะให้ความรู้ที่
มีเนื้อหาสาระดี
3. มีความเข้าใจผู้ฟัง ผู้ที่เราจะพูดด้วย หากเรามีความเข้าใจผู้ฟังว่า
ต้องการอะไร ผูพ
้ ูดมีเจตนาดี การพูดนัน
้ ก็จะเป็ นประโยชน์อย่างมาก
4. การพูดที่ดีนน
ั ้ ต้องให้เ กียรติผ ู้ฟั งเสมอ กริยาท่า ทาง การพูด ให้
เกีย รติซ ึ่ง กัน และกัน เป็ นการสร้า งความเป็ นมิต ร สร้า งความรัก ความ
ผูกพัน ความสามัคคี
หลักการทัง้ 4 ข้อนีเ้ ป็ น หลักการการพูดที่ดีที่ทำให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ตาม
มาอย่า งมากมาย ทำให้ผ พ
ู้ ูด มีเ สน่ห ์ ทำให้เ กิด ความสำเร็จ ตามที่ผ ู้พ ูด

83
ต้องการ การพูดที่ดีเป็ นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิต การพูดที่ดีน น
ั้
เป็ นศิลปะที่ต้องฝึ กฝน
อ้างอิง : (เกรียงศักดิ ์ พลอยแสง. หลักปฏิบัติ. 2560 : 3 )
สรุป : หลักการการพูดที่ดีที่ทำให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ตามมาอย่างมากมาย
ทำให้ผู้พูดมีเสน่ห์ ทำให้เกิดความสำเร็จตามที่ผ ู้พูด ต้อ งการ การพูดที่ดี
เป็ นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิต การพูดที่ดีนน
ั ้ เป็ นศิลปะที่ต้องฝึ กฝน

หลักปฏิบัติในการพูดที่ดี
๑.ก่อนพูดควรคิดก่อนเสมอ ระมัด ระวัง คำพูด ที่จะทำให้ค นอื่น ไม่
พอใจ อย่าพูดพล่อยๆ โดยไม่มีหลักฐาน
๒.ควรใช้คำพูดที่สุภาพเหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล
๓.ออกเสียงสระ พยัญชนะ และตัวควบกล้ำให้ชัดเจน
๔.ควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาของการพูด เช่น
(๔.๑) มีใบหน้ายิม
้ แย้มแจ่มใสในการพูด
(๔.๒) มีคำยกย่องชมเชยคนฟั งตามสมควร
(๔.๓) ไม่พูดตำหนิ นินทาผู้อ่ น
ื ต่อหน้าคนฟั งมากๆ
(๔.๔) ไม่พูดขัดคอคนอื่นในทำนองทะลุกลางปล้อง
(๔.๕) ไม่พูดถึงจุดอ่อนของคนฟั งบ่อยๆ
(๔.๖) ไม่ควรแสดงอารมณ์รุนแรง
๕.ไม่ควรใช้ภาษาที่ผิดแบบแผนหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม
อ้างอิง : (สุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา. การพูดขัน
้ พื้นฐาน. 2561 : 5 )

84
สรุป : ก่อนพูดควรคิดหรือไตร่ตรองให้ดีก่อน และควรระมัดระวังคำ
พูดที่จะทำให้ผู้ฟังไม่พอใจ รวมถึงการใช้ถ้อยคำที่สุภาพเหมาะสมและถูก
กาลเทศะ

หลักเบื้องต้นของการพูด
การพ ูด เป็ นพ ฤติก รรมที่เ ก ิด จาก ก ารเ รีย นร ู้ ก ารที่จ ะ พ ูด ให ้
คล่องแคล่วหรือ สามารถพูดให้จับใจคนฟั งพูดให้คนเชื่อศรัทธาและเข้าใจ
จึงเป็ นสิ่งที่เกิดจากการศึกษา และฝึ กฝน ซึง่ มีสิ่งที่ผ ู้พูดจะต้องศึกษาเป็ น
เบื้องต้นคือ
1.การเตรียมตัวผู้พูด
2.การวิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ
3.การเลือกเรื่องที่พูด
4.การเขียนต้นฉบับ
ทัง้ สีส
่ ่วนนีม
้ ีส ่ว นสนับ สนุน เกื้อ กูล ซึ่ง กัน และกัน ที่จ ะช่ว ยส่ง เสริม
ให้การพูดประสบผลสำเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้ าหมายที่วางไว้
ส่วนประกอบแต่ละส่วนนัน
้ มีรายละเอียดดังต่อไปนี ้
1. การเตรียมตัวผู้พูด
ผู้พูดเป็ นจักรกลสำคัญ ของการพูด และจะต้อ งยืนอยู่ต ่อหน้า ผู้คน
เป็ นจำนวนมาก ความพร้อมทุกอย่างรวมถึงบุคลิกภาพที่ดี และใช้เครื่อง
สื่อความหมายได้อย่างยอดเยี่ยมจะทำให้การพูด ครัง้ นัน
้ มีประสิทธิภาพ
มากขึน
้ มีอะไรบ้างที่ผพ
ู้ ูดควรปรับปรุงเพื่อสร้างประสิทธิภาพของการพูด

85
1.1 การใช้ภาษา ภาษาเป็ นเครื่องหมายแสดงถึงรสนิยมที่ดี
งามของผู้ข องผู้พ ูด ผู้พ ูดที่ดีไ ม่จำเป็ นต้อ งใช้ศพ
ั ท์แ ปลกๆ หรือ ประโยค
สลับซับซ้อนแต่ควรใช้ถ้อยคำที่มีความหมาย ประโยคสัน
้ เข้าใจง่าย มีข้อ
แนะนำบางประการในการใช้ภาษา
1.1.1 ใช้ภ าษาให้เ หมาะสมแก่บ ุค คล สถานที่ และ
โอกาส โดยคำนึงถึงพื้นฐานของผู้ฟัง เช่น จะเล่านิทานให้เ ด็กฟั งต้อ งใช้
ภาษาอีกระดับหนึ่ง จะใช้ภาษาเหมือนกำลังสนทนากับผู้ใหญ่ไม่ได้
1.1.2 ใช้ภาษาที่สุภาพ มิใช่ภาษาเขียน หรือภาษา
ราชการ โดยทั่ว ไปนิย มใช้ภ าษาสนทนาที่ส ุภ าพ ผูพ
้ ูด ที่ใ ช้ล ีล าของการ
สนทนา จะทำให้การพูดนัน
้ พรั่งพรูไม่เป็ นที่รำคาญของผู้ฟัง
1.1.3 ใช้คำง่ายๆ ประโยคไม่สลับ ซับ ซ้อ น และสัน
้ กว่า
ประโยคในภาษาเขีย น ในแต่ล ะประโยคไม่ค วรมีส ัน ธานเชื่อ มประโยค
มากกว่า 1 คำ เช่น คำว่าซึ่ง เพราะฉะนัน
้ อันที่ ฯลฯ
1.1.4 ใช้บุรุษสรรพนาม คำแทนตัวทัง้ ของผู้พูด และผู้
ฟั งจะทำให้บรรยากาศของการติดต่อสื่อสารกันใกล้ชิดยิ่งขึน
้ ตรงไปตรง
มา และเป็ นกันเอง นิยมใช้คำว่าผม ดิฉัน
1.1.5 อย่าใช้ถ้อยคำ หรือวลีหรือข้อความเดียวกันซ้ำๆ
ซากๆ จะทำให้ผฟ
ู้ ั งเกิดความเบื่อหน่ายและไม่สนใจฟั ง เช่น นอกจากนี ้
แล้วก็ แบบว่า อย่างว่า ฯลฯ
1.1.6 ใช้ค ำพูด ที่ใ ห้อ ารมณ์ร ่ว มและเห็น ภาพพจน์
เพราะจะทำให้ผฟ
ู้ ั งเข้าใจง่ายและไม่ต้องเสียเวลาคิด เช่น โปร่งใส

86
1.2 น้ำเสีย ง น้ำเสีย งในการพูด แสดงให้เ ห็น ถึง ความสุภ าพ
หรือความไม่สุภาพของผูพ
้ ูดได้อย่างได้เป็ นอย่า งดี เสียงของคนเราย่อ ม
เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงได้ เสียงที่ดีควรมีลักษณะดังนี ้
1.2.1 มีความดังและความเร็วพอสมควร หรือไม่ช้าเนิบ
นาบจนน่ารำคาญไม่ดังหรือเบาจนเกินไปหางเสียงไม่ยาวหรือห้วนจนไม่
น่าฟั ง ออกเสียงชัดเจนถูกต้องตามความนิยมของสังคม
1.2.2 แจ่ม ใสนุ่ม นวลชวนฟั ง น้ำเสีย งของผูพ
้ ูด จะบ่ง
บอกถึง อารมณ์แ ละความรู้ส ึก ของผูพ
้ ูด ผูพ
้ ูด กวนเคารพผูฟ
้ ั ง โดย
แสดงออกทางน้ำเสีย งขณะพูด การเพิ่ม คำว่า "ค่ะ " "นะคะ" "นะครับ "
ท้า ยประโยคของการพูด จะช่ว ยเพิ่ม เสน่ห ์ใ ห้แ ก่ผ ู้พ ูด อีก ด้ว ย แต่ไ ม่ไ ด้
หมายความว่า ต้อ งมีค ำเหล่า นีท
้ ุก ประโยค เพราะจะกลายเป็ นเรื่อ งน่า
รำคาญ
1.2.3 เข้ากับกาลเทศะ การปรับปรุงเสียงให้เ หมาะสม
กับโอกาสและสถานที่ตลอดจนอารมณ์ของผู้ฟังและความมุ่งหมายของผู้
พูดเอง เช่น ถ้าพูดเกี่ยวกับเรื่องทางวิชาการควรพูดให้ช้าลง พูดเรื่องสนุก
เบาสมองและเข้าใจง่ายควรพูดให้เ ร็วขึน
้ ถ้าเป็ นเรื่อ งเศร้า ก็พ ูด ให้เสียง
เศร้าตามไปด้วย ถ้าเป็ นเรื่องตื่นเต้นก็ควรพูดให้เสียงดังและตื่นเต้นด้วย
อัตราการพูดที่ดีเหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 120-180 คำต่อนาที
1.2.4 ไม่เป็ นเสียงเคียวเนือยๆ ตัง้ แต่ต้นจนจบ ผู้พูดที่มี
เสียงต่ำและช้าจะทำให้ผู้ฟังเบื่อหน่ายและง่วงผูพ
้ ูดที่ใช้เสียงสูงเกินไปจะ
ทำให้ผู้ฟังเกิดความตึงเครียดและเหนื่อย

87
1.2.5 อ อ ก เ ส ีย ง ใ ห ้ถ ูก ต ้อ ง โ ด ย เ ฉ พ า ะ ค ำ
/ร/ล/กว/ทร/คว/ขว/
1.2.6 ไม่พูดตัดคำจนสัน
้ หรือพูดเร็วจนฟั งไม่เพราะเช่น
กิโลกรัม เป็ น กิโล
สับปะรด เป็ น สับ-รด
มหาวิทยาลัย เป็ น มหาลัย หรือมหาวิชชาลัย
1.3 การใช้ส ายตา สายตาเป็ นหน้า ต่า งของหัว ใจ การพูด
อาศัยความจริงใจเพราะฉะนัน
้ ปากพูดตาต้องมองผูฟ
้ ั งจะทำให้เข้าใจตรง
กันได้สะดวกและรวดเร็วขึน
้ ทัง้ การสื่อความหมายก็เป็ นไปด้วยดี ผูพ
้ ูด
ต้องพยายามสบตาผูฟ
้ ั ง เพราะจะแสดงว่าเราสนใจผู้ฟังตลอดเวลาและจะ
ช่วยสร้างบรรยากาศและความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย
1.4 การเดิน เป็ นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพและเป็ น
สื่อแสดงที่สะดุดตาหรือสนใจของผู้ฟัง จากเก้าอีน
้ ั่งไปยังเวทีไม่ควรเดิน
เร็วหรือ ช้าเกิน ไป ส่ง ตัวให้ส ง่า หลัง ไม่โ กงหน้า อกไม่ยืด ไม่ก ระมิด กระ
เมีย
้ นเหนียมอาย แกว่งสายตาตามปกติ หัวไหล่ไม่ตึงและแข็งทื่อ ศีรษะตัง้
ตรง คางไม่ย่ น
ื ล้ำมากเกินไป
1.5 การทรงตัว หมายถึง การยืน ในขณะพูด ไม่ค วรยืม ตาม
สบายจนเกินไปและก็ไม่ตึงเครียดมาก ท่ายืนที่ดีที่สุดคือ ถ้าที่เราสามารถ
ควบคุมกล้ามเนื้อในร่างกายได้อย่างสบาย เท้าทัง้ สองข้างไม่อยู่ห่างหรือ
ชิดติดกันจนเกินไป ควรให้อยู่ห่างกันประมาณ 1 คืบ ปลายเท้าอยู่ล้ำกัน
นิดหน่อยน้ำหนักตัวตรงบนเท้า 2 ข้าง ท่ายืนไม่ควรนำมาใช้ในการพูดคือ

88
ถ้า ยืน แบบทหาร ท่า ยืน เทศน์ ท่า ยืน แสดงตนเหนือ ผู้ฟั ง ท่า ยืน เสมือ น
ดาราภาพยนตร์หรือนางแบบ
1.6 การแสดงออกทางใบหน้า เป็ นส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่ผ ู้
พูดใช้ส่ อ
ื ความหมายกับผู้ฟัง ผู้ฟังจะอ่านความรู้สึกของผู้พูดได้จากสีหน้า
การที่ผ ู้พูดใส่ความรู้สึกในใบหน้าจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องราวได้ง ่ายและ
ลึก ซึง้ การแสดงสีห น้าของผู้พ ูด จะต้อ งสอดคล้อ งกับ เนื้อ เรื่อ งที่พ ูด และ
อากัปกิริยาที่ใช้ประกอบ เช่น เมื่อพูดถึงเรื่องเศร้า พูดถึงเรื่องหนักปั ญหา
สำคัญก็ส ีหน้าขรึม พูดถึง เรื่องปกติธรรมดาทั่วไป ก็แสดงสีห น้า ยิม
้ แย้ม
แจ่มใส
1.7 การแสดงท่า ทาง ปกติค นเราชอบดูภ าพที่เ คลื่อ นไหว
มากกว่าภาพนิ่งท่าทางประกอบการพูดจะเป็ นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้
ฟั ง และทำให้การพูดมีประสิทธิภาพมากขึน
้ การใส่ท่าทางประกอบนัน
้ จะ
ทำให้สอดคล้องกับเรื่องที่พูด ดูไม่ขัดตา การใช้มือประกอบท่าทางควรอยู่
ระดับสายตาและระดับเอวของผู้พูด ไม่ควรให้เก้งก้างและไร้สาระ หรือ
ล้ว งแคะแกะเกา ผู้พ ูด หน้า ใหม่จ ะมีค วามรู้ส ึก ว่า มือ ของตนเป็ นส่ว นที่
เกะกะ และเก้ง ก้างที่ส ุด วิธีที่แ ก้ไ ด้ค ือ ให้แ ขนห้อ ยลงแนบลำตัวปล่อ ย
ตามสบาย เมื่อถึงคราวที่จำเป็ นต้องใช้ท่าทางประกอบ ก็ยกขึน
้ มาใช้อย่าง
สุภาพเรียบร้อยและมีชีวิตชีวา
1.8 การแต่งกาย เป็ นการบอกนิสัยใจคอและรสนิยมของผูพ
้ ูด
การแต่งกายที่ดีคือสุภาพเรียบร้อยตามสมัยนิยม โดยคำนึงถึงวัย รูปร่าง
และฐานะของผู้แต่ง ผู้พูดที่แต่งกายสวยเด่นใช้เครื่องประดับมากเกินไป

89
หรือรุงรังเกินไป จะทำให้ผู้ฟังหันมาสนใจเครื่องแต่งกายของผูพ
้ ูดมากกว่า
เนื้อหาที่พูด เรื่องราวของการแต่งกายรวมไปถึงทรงผม ใบหน้า รองเท้า
อ้างอิง : (จิระภพ สุคันธ์กาญจน์ และคณะ.2521 : 205-208)
สรุป: การพ ูด เป็ นพ ฤติก รรมที่เ ก ิด จาก ก ารเ รีย นร ู้ ก ารที่จ ะ พ ูด ให ้
คล่องแคล่วสามารถพูดให้คนอื่นเชื่อและเข้าใจ จึง เป็ นสิ่ง ที่เ กิด จากการ
ศึกษาและฝึ กฝน

การพูดเป็ นทัง้ ศาสตร์และศิลป์


๑. ศาสตร์ในการพูด ก็คือ การเรียนรู้หลักการพูด ซึ่งหลักการพูด
นัน
้ มีวิชาการมากมายที่ต้องเรียนรู้ เช่น การใช้ภาษา การออกเสียง การใช้
โทนเสียง การปรับเสียงตามความหนักเบาของการเน้น การวิเคราะห์ผ ู้ฟัง
การตอบและการโต้ตอบ การใช้สายตา การประสานตา การกวาดสายตา
การเคลื่อ นไหว ฯลฯ เป็ นศาสตร์ท ี่ต ้อ งเรีย นรู้ก ัน ค่อ นข้า งนานและ
ละเอียดละอออย่างยิ่ง เพราะเป็ นเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎี ต่าง ๆ การวางแผน
ต่าง ๆ ความรู้และวิทยาการหลายรูปแบบ ซึ่งมาใช้ประกอบเป็ นศาสตร์
การพูด

๒. ศิลป์ การพูด
ศิลป์ การพูด เป็ นเรื่องเกี่ยวกับ การฝึ กฝนภายใต้ศ าสตร์ที่ก ล่า วมา
แล้ว บางครัง้ ก็เรียนศาสตร์อย่างกระจ่างแจ้ง แต่ก็ไม่มีศล
ิ ป์ ก็ไปไม่รอดเช่น
กัน ศิลปะเป็ นความสามารถส่วนบุคคล ความมีไหวพริบ ปฏิภาณ ความ
ถนัด ตลอดจนศักยภาพของแต่ละคนที่จะมีการต่อการพูดของเขาเอง ก็

90
เช่นเดียวกัน มีศิลป์ การพูดช่ำชอง แต่ถ้าไม่มีศาสตร์ก็ไปไม่รอดเช่นกัน ดัง
นัน
้ นักพูดต้องเรียนรู้ทงั ้ ศาสตร์และศิลป์ ไปพร้อม ๆ กัน
อ้างอิง : (จินดาวรรณ สิรันทวิเนติ.หลักในการพูด.2538 : 2 )
สรุป: การพูดมีวิชาการมากมาย การวิเคราะห์ การโต้ตอบและการตอบ
การพูดเป็ นศาสตร์แ ละศิลป์ ที่ต ้องเรียนรู้เ พราะเป็ นเรื่อ งเกี่ยวกับทฤษฎี
การวางแผนความรู้ต่างๆมาประกอบเป็ นศาสตร์การพูด

ศิลปะในการพูดเป็ นสิง่ ที่สอนกันไม่ได้เป็ นแต่สิ่งที่ศึกษาและฝึ กฝน


กันได้ เพราะการพูดเป็ นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ ดัง นัน
้ การจะมี
ความสามารถที่จะพูดได้คล่องแคล่ว หรือความสามารถที่จะพูดให้จับใจ
คนฟั ง พูด ให้ค นเชื่อ ถือ ศรัท ธา และเข้า ใจนัน
้ จึง เป็ นสิ่ง ที่เ กิด จากการ
ศึกษาและฝึ กฝน ถ้าเราศึกษาชีวประวัติของนักพูดเอกๆ เช่น เซอร์วินส
ตัน เซอร์ช ิล ประธานาธิบ ดี อับ ราฮัม ลิน คอล์น ประธานาธิบ ดีจ อห์น
เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีริชาร์ด เอม. นิกสัน ฯลฯ แล้ว จะพบว่าท่าน
เหล่า นัน
้ ล้วนแล้วแต่เ ป็ นผู้ที่ได้ศ ึกษาวิชาวาทวิทยา (ไม่ว่าโดยตรงหรือ
ทางอ้อม)และได้มีการฝึ กฝนมาแล้วทัง้ สิน
้ ที่กล่าวมานีม
้ ิได้หมายความว่า
ผู้ที่ได้ศึกษาวิชาวาทวิทยานีแ
้ ล้วจะต้องเป็ นนักพูดเอกชื่อเสียงโด่งดัง แต่
ต้องการจะเน้นให้เห็นว่าความสามารถในการพูดนัน
้ เป็ นสิ่งที่เกิดจากการ
ศึกษาและฝึ กฝน ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วพูดเก่งเลย หรืออาจพูดได้ว่าทุกคน
เกิดมาแล้วก็จะพูดได้ แต่ไม่ทุกคนที่จะพูดเป็ นก่อนที่จะมีการฝึ กฝน ผู้พูด
จำเป็ นที่จะต้องศึกษาให้ร้ถ
ู ึงหลักการเบื้องต้นในการพูดที่ส ำคัญๆไว้ การ
พูดที่ดีและมีประสิทธิภาพนัน
้ จะต้องพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี ้

91
1.การปรับปรุงตัวผู้พูด
2.การวิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ
3.การเลือกเรื่องพูด
1.การปรับปรุงตัวผู้พูด
โดยเหตุที่ในการพูดนัน
้ ผูพ
้ ูดจะต้องแสดงออกถึงบุคลิกภาพซึ่งรวม
ทัง้ การใช้ภาษา น้ำเสียง การยืน การแต่งกาย การใช้สายตา ฯลฯ สิ่งเหล่า
นีเ้ ป็ นเสมือ นเครื่อ งมือ สื่อ ความหมายไปสู่ผ ฟ
ู้ ั งดัง นัน
้ ผู้พ ูด จะต้อ งรู้จ ัก
ปรับปรุงให้ร้จ
ู ักใช้เครื่องมือสื่อความหมายเหล่านัน
้ ให้มีประสิทธิภาพดัง
จะได้กล่าวต่อไปนี ้
1.1 การใช้ภาษา ผุ้พูดจะต้องใช้ภาษาพูดให้ถูกต้องกับความ
นิยมของกลุ่มชนในสังคม นอกจากภาษาจะเป็ นเครื่องมือสื่อความหมาย
แล้ว ยังเป็ นเครื่องแสดงถึงรสนิยมที่ดีงามของผู้พูดอีกด้วย ในการเป็ นผู้
พูดที่ดีนน
ั ้ ไม่จำเป็ นที่ว่าผู้พูดจะต้องใช้ศัพท์แปลกๆ หรือ ผูกประโยคสลับ
ซับ ซ้อ น แต่ผ ู้พ ูดควรใช้ถ ้อ ยคำที่ม ีค วามหมาย ประโยคจะต้อ งสัน
้ และ
เข้าใจง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาครูควรจะรู้จักเลือกใช้คำที่กระทัด
รัด ง่า ยแก่ก ารเข้า ใจของนัก เรีย นมาอธิบ ายในชัน
้ ไม่ใ ช่เ อาคำยากมา
อธิบายให้เด็กฟั ง และควรใช้ภาษาให้ถูกหลักภาษาไทยด้วย ความจริงแล้ว
เด็กจะเรียนสิ่งต่างๆ ด้วยการลอกเลียนแบบ ถ้า ครูพ ูดให้ห ้องเรียนด้วย
ภาษาที่ไม่สุภาพและหยาบแล้วเด็กก็จะจำไปใช้ อาจจะยึดข้อแนะนำต่อ
ไปนีเ้ ป็ นหลักเกณฑ์ในการใช้ภาษา
1.2 น้ำเสียง น้ำเสียงในการพูดมีส่วนสำคัญอย่างมากในการ
ส่งความหมายจากผู้พูดไปยังผูฟ
้ ั ง น้ำเสียงที่พูดนัน
้ อาจจะแสดงให้เห็นถึง

92
ความสุภาพ หรือความไม่สุภาพในตัวผู้พูดได้เป็ นอย่างดี และเสียงของคน
เราย่อมเปลี่ยนแปลงได้ นั่นหมายความว่า เราอาจจะปรับปรุงเสียงให้ดี
ขึน
้ ได้ ถ้าเสียงไม่ดีการสื่อความหมายก็ขาดประสิทธิภาพไปถ้าเสียงดีก็จะ
ทำให้การสื่อความหมายได้ผล
1.3 การใช้ส ายตา สายตาเป็ นส่ว นสำคัญ ส่ว นหนึ่ง ของ
บุค ลิก ภาพของผูพ
้ ูด เมื่อ ผูพ
้ ูด ได้ส บตาผู้ฟั งแล้ว จะทำให้ก ารสื่อ ความ
หมายเป็ นไปได้อ ย่า งสะดวก และเกิด ความเข้า ใจได้อ ย่า งรวดเร็ว ขึน

เพราะสายตานัน
้ สามารถสร้างความสัมพันธ์ และถ่ายทอดความรู้สึกของผู้
พูด ไปสูผ
่ ฟ
ู้ ั งได้ วิธ ีท ี่ใ ช้ส ายตาที่ด ี คือ ค่อ ยๆกวาดสายตาไปหาผูฟ
้ ัง
พยายามมองให้ทั่ว ถึง กัน และถ้า สอบถามกับ ผู้ฟั งให้แ สดงความจริง ใจ
ออกมา ทางสายตานัน
้ ๆด้วย ผูพ
้ ูด ต้อ งพยายามมองผู้ฟั งอยู่ต ลอดเวลา
เพราะเป็ นการแสดงว่า เราสนใจผู้ฟั ง ผูพ
้ ูด จะต้อ งไม่ใ ช้ส ายตามองพื้น
เพดาน ประตู มองข้ามหัวผู้ฟังไปยังฝาห้อง ,หรือมองออกไปด้านนอก จง
จำเอาไว้ว่าเมื่อตามองปากก็พูด
1.4 การเดิน การเดินเป็ นสิ่งแรกที่สะดุดตาหรือเป็ นจุดสนใจ
ของผูฟ
้ ั ง และนับเป็ นส่วนสำคัญของบุคลิกภาพด้วย วิธีการเดินที่ดีนับแต่
ที่นั่งของผู้พูดนัน
้ ควรก้าวเดินในฝี เท้าที่พอเหมาะไม่ช้าหรือเร็วเกินไป ใน
ขณะเดียวกัน ก็ทรงตัวให้ส ง่างาม ไม่เ ดิน หลัง โก่ง หรือ ยืด อกหรือ กระมิด
กระเมีย
้ นอาย ระวังอย่าให้หัวไหล่ตึงและทื่อ ขณะที่เดินต้องให้แขนแกว่ง
ตามสบาย แต่ต ้องระวัง ไม่ใ ห้แ กว่ง มากเกิน ไปหรือ ไม่แ กว่ง เลย และใน
ขณะเดีย วกัน ศีร ษะจะต้อ งตัง้ ตรง ควรจะอยู่ใ นลัก ษณะที่ข นานกับ พื้น

93
ตลอดเวลา ในขณะที่เ ดิน นัน
้ อย่า ให้ค างล้ำอวัยวะส่วนอื่น ผู้ที่ม ีปั ญหา
เรื่องการเดิน อาจจะหัดเดินด้วยการเดินทูลหนังสือบนศีรษะ
สำหรับนักศึก ษาที่อ อกไปเป็ นครูนน
ั ้ เวลาที่พ ูด คือ เวลาสอน
ฉะนัน
้ จะต้องยืนพูดมิใช่นั่งพูด และเวลาสอนไม่ควรเดินมากนัก เวลาเดิน
ในห้องเรียนก็ไม่ควรเดินตามสบาย หรือรีบเร่งจนเกินไป และนอกจากนีก
้ ็
ไม่ควรนั่งบนโต๊ะเรียนด้วย
1.5 การทรงตัว การทรงตัวหรือการยืนก็เป็ นอีกส่วนหนึ่งของ
บุคลิกภาพของผูพ
้ ูด การทรงตัวในขณะที่พูดนัน
้ จะต้องระมัดระวังไม่ให้
ยืนสบายจนเกินไป คือต้องไม่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อจนมากเกินไป และต้อง
ไม่ย ืน ให้ต ึง เครีย ดมาก เพราะความตึง เครีย ดของกล้า มเนื้อ เพราะจะ
ทำให้ความสามารถในการพูดลดน้อยถอยลง ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหว
ได้อ ย่า งคล่องแคล่วและมีชีวิตจิตใจ ท่ายืนที่ดีที่ส ุด คือ ท่า ที่เ ราสามารถ
ควบคุมกล้ามเนื้อในร่างกายได้อย่างสบาย โดยมีความรู้สึกว่าไม่ต้องยืน
มากนัก ในขณะที่ยืนนัน
้ ต้องมีความรู้สึกว่าไม่เครียด และมีความเป็ นตัว
ของตัวเองควรจะระลึกไว้เสมอว่า การทรงตัวที่ดีนน
ั ้ หลังจะต้องตรงไม่
โกงงุ้ม ไหล่ต้องไม่ห่อ และจะต้องรู้จักเก็บท้องด้วย คือไม่ให้หน้าท้องยื่น
ออกมา ท่ายืนที่ไม่ควรนำไปใช้ในการพูด คือ ที่ยืนแบบทหาร ท่ายืนเกร็ง
ท่า ยืน แล้ว ไหล่เ อีย งไปข้า งหนึ่ง ท่า ยืน โคลงตัว ไปมา ท่า บาดหลวง
เทศน์(คือเวลาพูด แล้ว เขย่ง เท้า ) ที่ยืน เหมือ นดาราภาพยนตร์ หรือ นาง
แบบ ฯลฯ
สำหรับนักศึกษาครูนน
ั ้ ไม่ควรยืนท้าวสะเอวตลอดเวลา ควร
ยืนในท่าที่สง่า แต่มล
ี ักษณะที่เป็ นมิตรกับนักเรียน มิใช่จะยืนด้วยท่าทางที่

94
เครียดเพื่อให้นักเรียนกลัว เวลาเรียกให้นักเรียนตอบคำถามนัน
้ ครูควรจะ
ใช้วิธีเรียกชื่อนักเรียนมากกว่าใช้มือชีไ้ ปเรื่อยๆ แต่วิธีที่ดีครูควรจะจำชื่อ
นักเรียนในชัน
้ ให้ได้
1.6 การแสดงออกทางใบหน้า การแสดงออกทางสีหน้าของ
ผูพ
้ ูดนัน
้ เป็ นส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่ผ ู้พูดใช้ส่ อ
ื ความหมายกับผูฟ
้ ั ง ผูฟ
้ ัง
จะอ่านความรู้สึกของผุ้พูดได้จากสีหน้าเช่นเดียวกับนักเรียน จะรู้ว่าครู
อารมณ์ด ีห รือ ไม่ด ้ว ยการสัง เกตจากสีห น้า ครู ถ้า ผูพ
้ ูด ต้อ งการให้ผ ฟ
ู้ ั ง
เข้าใจในเรื่องที่คนพูดนัน
้ อย่างลึกซึง้ ผูพ
้ ูดต้องใส่ความรู้สึกลงในใบหน้า
เพื่อให้คล้องตามเรื่องที่ตนพูดและอากัปกิริยาอื่นๆ เช่น เมื่อผูพ
้ ูดพูด ถึง
เรื่องที่เศร้า ก็ควรจะที่สีหน้าเศร้า และเสียงเศร้าๆด้วย เมื่อพูดถึงปั ญหาที่
สำคัญๆ ก็ควจะมีสีหน้าขรึม ตามปกติเมื่อพูดเกี่ยวับเรื่องทั่วๆไปแล้ว ผู้พูด
ควรจะมีส ีห น้ายิ่มแย้ม แจ่มใส เพื่อ ว่า บรรยากาศในสถานที่น น
ั ้ จะได้ไ ม่
ตึงเครียด อีกทัง้ ผูพ
้ ูดและผู้ฟังจะได้มีความรู้สึกที่คุ้นเคยและเป็ นมิตรต่อ
กันอีกด้วย
ครูเป็ นผู้ที่ตะต้องเกี่ยวกับการสอนการเรียน และปั ญหาต่างๆ
ในห้องเรียนอีกมากมาย ซึง่ เป็ นการยากเหลือเกินที่จะให้ครูมีหน้าตายิม

แย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ถึง กระนัน
้ ก็ด ีค รูค วรจะฝึ กให้มีส ีห น้า ปกติใน
เวลาสอน มิใช่นำใบหน้าที่บงึ ้ ตึงเคร่งขรึมเข้าไปในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้
นักเรียนหวาดกลัวจนไม่กล้าซักถามวิช าที่เรียน อนึ่งครูก็ไ ม่ค วรที่จะทำ
หน้า ตายิม
้ มากเกิน ไปจนกลายเป็ น ‘หน้า เป็ น’ เพราะจะทำสภาพใน
ห้องเรียนหละหลวม ไม่มีระเบียบและเด็กจะไม่สนใจในการสอนของครู

95
1.7 การแสดงท่า ทาง การแสดงท่า ทางประกอบการพูด
เป็ นสิง่ หนึง่ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง และทำให้การพูดมีประสิทธิภาพ
ยิ่งขึน
้ ตามปกติแล้วคนเราชอบดูภาพที่เคลื่อนไหวมากกว่าภาพนิ่ง ฉะนัน

ในการพูด ถ้าจำเป็ นที่จะต้องแสดงท่าทาง เช่น โบกไม้โบกมือหรือทำมือ
ประกอบ ก็ควรจะทำให้ถูกต้อง ไม่ขัดตาผูฟ
้ ั ง การใช้มือประกอบท่าทาง
นัน
้ ควรอยู่ร ะหว่า งระดับ สายตา กับ ระดับ เอวของผ้พ ูด และไม่ค วร
แสดงออกให้เลยไปกว่าความกว้างของช่วงไหล่ของผู้พูด ควรจะระลึกไว้
เสมอว่า ผู้พูดควรจะแสดงท่าทางประกอบการพูดประกอบการพูดต่อเมื่อ
ต้องการอธิบาย หรือเน้นข้อความที่พูด การแสดงท่าทาง จะต้องมีความ
หมายสอดคล้องกับความรู้สึกนึกคิด จะต้องเหมาะกับโอกาสและเรื่องที่
จะพูด จะต้องเรียบร้อย สุภาพ ไม่ซ้ำซาก และมีชีวิตจิตใจ
นอกจากการใช้มือ ประกอบท่า ทางที่มีค วามหมายแล้ว สิง่ ที่
ควรจะนำมาพิจ ารณาด้ว ย คือ ตำแหน่ง ของมือ ขณะที่เ รายืน พูด ผู้พ ูด
ใหม่ๆ จะมีความรู้สึกว่า มือนัน
้ เป็ นส่วนที่เกะกะมาก บางคนถึงกับยืนถูมือ
ของตัวเอง หรือหมุนแหวนรอบนิว้ ไปมา หรือบิดผ้าเดหน้าหรือล้วงแคะ
แกะเกา เป็ นต้น วิธีที่ช่วยแก้ความเก้งก้าง ก็คือให้แขนห้อยลงมาแนบลำ
ตัว ให้ม ือ แนบกับ ข้า งตัว อย่า งสบายๆ และในขณะที่ย ืน จะต้อ งไม่ย ืน
กอดอก หรือเอามือท้าวสะเอวหรือ เอามือใส่ก ระเป๋ า หรือเอามือ ไว้ข ้า ง
หลัง ถ้าหากว่าผูพ
้ ูดต้องยืนอยู่บนเวทีโดยมีที่ยืนพูดด้วยนัน
้ ให้ผู้พูดวางมือ
ทัง้ สองบน stand นัน
้ ถ้า หากว่า ผู้พ ูด จะต้อ งพูด ในห้อ งกว้า งๆที่ม ีโ ต๊ะ
เขียนหนังสือก็ให้วางมือลงบนโต๊ะ ถ้าพูดในที่ที่มีเก้าอี ้ ก็ให้จับพนักเก้าอีไ้ ว้

96
ถ้า หากว่า ผูพ
้ ูด จะต้อ งนั่ง พูด ก็ใ ห้เ อามือ ไว้บ นตัก พอสบายๆแต่ไ ม่ค วร
กอดอก
ผู้ที่จะไปเป็ นครูควรจะยืนสอน เขียนกระดานดำ ซื้ออุปกรณ์
แล้วใช้มือประกอบการสอน ครูที่นั่งสอน ก้มหน้าก้มตาดูหนังสือบนโต๊ะ
นัน
้ จะไม่ได้รับความสนใจจากนักเรียน
1.8 การแต่งกาย การแต่งกายเป็ นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ
ที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง ถ้าผู้พูดแต่งกายสวยเกินไปหรือสกปรกเกิน
ไป จะทำให้ผฟ
ู้ ั งหันความสนใจไปสู่เครื่องแต่งกายของผู้พูดและไม่สนใจใน
เนื้อ ความของเรื่องที่ผ ู้พ ูดพูด โดยปกติแ ล้ว ถือ ว่า การแต่ง กายเป็ นการ
บอกนิส ัยใจคอ แลพรสนิยมของผูพ
้ ูด การแต่ง กายที่ด ีก ็ค ือ แต่ง กายให้
เรียบร้อยตามสมัยนิยม โดยคำนึงถึงวัย รูปร่าง และฐานะของผูแ
้ ต่ง และ
ควรจะแต่งเหมาะกับโอกาสและสถานที่ที่ตนจะไปพูดนอกจากนีย
้ ังควร
ระวังเรื่องสีให้มาก ผ็ที่มีรูปร่างอ้วนใหญ่ ควรแต่งสีข
้ ่มที่สุภาพหรือผ้าดอก
ใหญ่ ถ้าเป็ นผ้าลายริว้ ก็ควรจะวางผ้าให้ลายริว้ เป็ นทางตรง ส่วนผู้ที่มีรูป
ร่างผอมเล็กก็ควรจะวางผ้าให้ลายริว้ เป็ นทางขวาง ถ้าเป็ นผ้าดอกก็ควร
เป็ นลายดอกเล็กๆและควรจะแต่งตัวด้วยผ้าสีนวล อ่อน เพราะจะทำให้
รูปร่างไม่ผอมบางเกินไป
สำหรับสตรีนน
ั ้ ไม่ควรจะแต่งให้สน
ั ้ และเปิ ดเผยเกินไป ความ
ยาวของกระโปรงควรจะยาวคลุมเข่า สำหรับแบบเสื้อควรจะเลือกแบบที่
สุภาพ แต่งแล้วดูเรียบร้อยและสง่างาม
สำหรับ ชายนัน
้ ไม่ค วรใส่เ สื้อ ยืด ขึน
้ เวทีพ ูด ถ้า จะต้อ งแต่ง
เครื่องแบบก็ต้องใส่สีเสื้อและกางเกงเป็ นสีเดียวกัน กางเกงไม่ควรรัดรูป

97
หรือ สัน
้ เต่อ ควรหลีกเลี่ยงผ้าที่ออกแสงแวววาวหรือ มีล วดลายมากเกิน
ควร
นอกจากนีแ
้ ล้วก็ควรระวังเรื่องทรงผม ใบหน้า เข็มขัด รองเท้า
เนคไท กลิ่น ตัว ปลิ่น ปากฯลฯ ซึ่ง มีค วามจำเป็ นที่จะต้อ งให้ค วามสนใจ
เท่าๆกับเครื่องแต่งกาย
1.9 การใช้ไมโครโฟน (Microphone) ไมโครโฟนเป็ นเครื่อง
มือ ที่ช ่ว ยในการพูด ที่เ ป็ นประโยชน์ม าก จะช่ว ยให้ผ ู้ฟั งได้ย ิน กัน ทั่ว ถึง
เทคนิคในการใช้ไมโครโฟนอย่าง่ายๆก็คือ ในขณะที่พูดควรให้ไมโครโฟน
อยู่ห่างจากปากประมาณ 8-12 นิว้ ควรให้ไมโครโฟนอยู่ตรงปากแล้วปรับ
ไมโครโฟนให้เหมาะกับความสูงของผูพ
้ ูด ในขณะที่พูดอย่ามองไมโครโฟน
แต่ให้มองที่ผ ฟ
ู้ ั งโดยคงความสง่าของลำตัวไว้ และไม่ค วรจับ ไมโครโฟน
หรือฐานไมโครโฟน เมื่อพร้อมที่จะพูดแล้ว ก็ควรจะพูดไปทันทีโดยไม่ต้อง
เคาะไมโครโฟน หรือ พูดว่า ‘ฮัลโหล ฮัลโหล’ ฯลฯ หรือกระแอมกระไอ
ก่อนเลย เมื่อพูดใส่ไมโครโฟนก็ควรจะพูดด้วยสีหน้ายิม
้ แย้ม มีการควบคุม
อารมณ์หวั่นวิตกของตนเอง มิฉะนัน
้ การพูดนัน
้ ๆ จะไม่เป็ นผลดี
1.10 ความเชื่อมั่นในตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็ นสิ่ง
สำคัญ มากในตัว ผู้พ ูด ถ้า ผูพ
้ ูด มีค วามเชื่อ มั่น ในตนเองแล้ว การพูด จะ
ดำเนินไปด้วยดี ความสะทกสะท้าน ตกใจ กลัว จะไม่เกิดขึน

ผู้พูดใหม่ๆ เมื่อออกมาพูดมักจะมีอาการประหม่า บางคนตกใจพูด
ไม่ออก มีอาการขาสั่น ปากสั่น หน้าซีด เหงื่อไหล อาการเช่นนีเ้ กิดจาก
การ ทำงานของระบบประสาทภายในร่า งกายกะทัน หัน ประกอบกับ
อารมณ์วิตกของผู้พูด ลักษณะเช่นนีเ้ รียกว่า การตื่นเวที

98
การสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเองนัน
้ ทำได้โดย
1.10.1 การเตรียมเรื่องที่จะพูดให้พร้อม
1.10.2 มีการฝึ กซ้อมพูดประมาณ 10-12 ครัง้
1.10.3 มีค วามอดทน และพยายามแก้ไ ขข้อ บกพร่อ ง
ของตน
1.10.4 รู้จักควบคุมอารมณ์หวั่นวิตกของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกประหม่านัน
้ เกิดขึน
้ ได้เสมอจนกว่าผู้
พูดจะมีประสบการณ์ในการพูดมากพอสมควร หรือมีการฝึ กซ้อมมาเป็ น
อย่างดีแต่ถ้าผูพ
้ ูดเกิดความรู้สึกตื่นเวทีเมื่อเผชิญหน้ากับผูฟ
้ ั ง ผู้พูดควรจะ
แก้ด้วยการให้การเคลื่อนไหวของร่างกายให้เป็ นประโยชน์ เช่น เดินไปมา
เอามือไขว้หลัง ยกแก้วน้ำขึน
้ ดื่ม โดยทำก่อนขึน
้ เวที ในขณะที่เดินขึน
้ เวที
หรือที่ยืนพูดก็ควรที่จะสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ 3-5 ครัง้ เมื่อ ขึน
้ เวที
อย่ารีบร้อนพูด หยุดนิ่งสักอึดใจ เมื่อระงับความประหม่าได้ และมองดูคน
ฟั งแล้วจึงเริ่มพูด
2.วิเคราะห์ผู้ฟังและกาลเทศะ
การพูดที่มีประสิทธิภาพ ผูพ
้ ูดควรจะมีการเตรียมตัว ในการเตรียม
ที่ดีนน
ั ้ ผู้พูดจะต้องรู้จักผู้ฟังก่อน เพราะการพูดชนิดเดียวกันอาจเหมาะ
สำหรับชนกลุ่มหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับชนกลุ่มหนึ่ง ฉะนัน
้ จะต้องมี
การวิเคราะห์ผู้ฟัง หรือศึกษาถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2.1 วัยของผู้ฟัง ผูฟ
้ ั งที่มีวัยต่างกัน ความสนใจความเข้าใจใน
เรื่องย่อมแตกต่างกัน การเรียนรู้ถึงอายุผู้ฟัง ก็เพื่อให้ทราบว่า การพูดกับ
คนในวัยนัน
้ ๆควรใช้วิธีการพูด และคำพูดอย่างไร วัยเด็ก เด็กมีลักษณะ

99
ซุกซน ไม่อยู่นิ่งเฉย ไม่ได้มีความตัง้ ใจฟั งเรื่องได้นานๆ มีความเบื่อง่าย มี
ความสนใจในเรื่อ งสนุก สนานเพลิด เพลิน มีน ิส ัย อยากรู้แ ละของรับ
ประทาน ตามปกติเด็กจะมีพ้น
ื ความรู้ และความสนใจที่น้อย
ดังนัน
้ การพูดกับ เด็ก จะต้อ งพูด ในเรื่อ งที่ส นุก ใช้ภาษาที่เ ข้า ใจง่า ย
แต่เต็มไปด้วยอารมณ์สนุกรุกเร้า เสียงที่พูดจะต้องตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อ และ
เนือยๆเป็ นอันขาด
วัยรุ่น เป็ นวัยที่มีลักษณะคล้ายกับเด็ก แต่มีความสำคัญตนผิดคิดว่า
ตนเป็ นผู้ใหญ่แล้ว ฉะนัน
้ วัยรุ่นไม่ชอบให้ใครมาทำกับตนเหมือนเด็ก วัย
รุ่นเป็ นวัยที่อยู่ระหว่างวัยเด็ก และวัยผู้ใหญ่ ยังไม่บ รรลุน ิต ิภาวะและไม่
เข้าใจเหตุการณ์บางอย่าง เพราะยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ และยังไม่มี
ความรับ ผิดชอบมากพอ แต่ต รงกัน ข้า มวัยรุ่น มัก จะชอบทำในสิ่ง ใหม่ๆ
เสมอ ฉะนัน
้ การพูด กับ เด็ก วัย รุ่น ควรมีจ ุด มุ่ง หมายที่ม ุ่ง ในเหตุก ารณ์
ปั จจุบันน่าทดลองและเหตุการณ์ที่ทันสมัย
วัยหนุ่มสาว มักจะเป็ นวัยที่สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เป็ น
ชายหนุ่มก็ผ ่านการบวชเรียนมาแล้ว วัยหนุ่มสาวเป็ นวัย ที่มีค วามรู้แ ละ
พละกำลัง เป็ นวัยที่มีความกระตือ รือ ร้น รักความก้าวหน้า และต้อ งการ
แสดงความสามารถ การเตรียมเรื่องที่จะพูดให้วัยหนุ่มสาวฟั ง ควรพูดใน
เรื่องของความเจริญก้าวหน้า ด้านอุดมการณ์และการเปลี่ยนแปลง ผูพ
้ ูด
ควรใช้เหตุผลในการโน้มน้าวใจ
วัย ชรา เป็ นวัย ที่ม ีป ระสบการณ์ม ามาก ชอบคิด ชอบในสิ่ง ที่ย ึด
เหนี่ยวจิตใจ เช่นคุณธรรม บางคนก็ห่วงลูกหลาน ครอบครัว ฉะนัน
้ การ

100
พูดกับวัยชรา จึงควรพูดในทางสวัสดิภาพของครอบครัว จิตใจ และควร
จะพูดในทำนองเป็ นที่ปรึกษา หรือเป็ นผู้ปรับทุกข์
2.2 เพศของผู้ฟั ง ความสนใจของผู้ฟั งนัน
้ ขึน
้ อยู่ก ับ เพศ
เดียวกัน เพราะโดยทั่วไปแล้วเพศหญิงจะให้ความสนใจในเรื่องของความ
สวยงาม การบ้านการเรือน การสมาคม การแต่งตัว ส่วนเพศชายจะสนใจ
ในเรื่องของการเมือง กีฬา เครื่องยนต์กลไก เรื่องงาน เรื่องสวัสดิภาพใน
ครอบครัว เมื่อ เราจะพูด ให้ผ ู้ช ายฟั ง เราควรเตรีย มเรื่อ งที่จ ะนำมาพูด
พร้อมทัง้ เหตุผล เพราะผู้ชายนัน
้ เป็ นเพศที่ถูกชักจูงโน้มน้าวใจได้ยากกว่า
เพศหญิง ในทางตรงกันข้าม เป็ นหญิงเป็ นเพศที่มีความละเอียด อ่อนไหว
ง่าย ฉะนัน
้ ควรนำคำพูดที่สุภาพอ่อนหวานมาใช้
2.3 ความแตกต่า งของความเชื่อ และศาสนา เชื้อ ชาติ
ศาสนา จารีตและความเชื่อ เป็ นวัฒ นธรรมอย่า งหนึ่ง ที่เ รายึด ถือ กัน มา
ตัง้ แต่ดงั ้ เดิม ผู้พูดควรระมัดระวังในเรื่องนีด
้ ้วย ฉะนัน
้ แล้วจะทำให้ผู้ฟังขุ่น
ข้องหมองใจ เป็ นเหตุให้เสียผลการพูดไป
2.4 ฐานะและอาชีพของผู้ฟัง ในการเรียนรู้ถึงอาชีพและ
ฐานะของผูฟ
้ ั งมาก่อนนัน
้ ย่อมเป็ นผลกำไรของผูพ
้ ูด เพราะผู้ที่ต่างอาชีพ
ย่อ มมีค วามสนใจที่ต ่า งกัน ยกตัว อย่า งเช่น ผู้ฟั งเป็ นผู้ท ี่ม ีฐ านะยากจน
ความเป็ นอยู่แร้นแค้น ผู้พูดจะต้องพูดไปในทำนองให้คำปรึกษาและแสดง
ความเห็นใจ ผูฟ
้ ั งมีฐานะดี มีอาชีพส่วนใหญ่เป็ นธุรกิจและค้าขาย ผูพ
้ ูดจะ
ต้องเรียบเรียงเรื่องไปในแนวทางเศรษฐกิจและการลงทุน แต่ถ ้าพูด กับ
ชาวนา ก็ต้องพูดให้ผฟ
ู้ ั งภูมิใจในอาชีพว่าเป็ นกระดูกสันหลังของชาติ

101
2.5 ระดับการศึกษา ผู้พูดควรพิจารณาดูว่า ผู้ฟังมีระดับการ
ศึก ษามากน้อ ยเพีย งใด ถ้า กลุ่ม ผูฟ
้ ั งเป็ นผู้ท ี่ม ีก ารศึก ษาน้อ ย ผู้พ ูด จะ
ต้องเตรียมคำพูดที่เข้าใจง่าย ถ้าผูฟ
้ ั งเป็ นผู้ที่มีการศึกษาสูง ผูพ
้ ูดจะต้องใช้
คำพูดที่มีเหตุผลและมีแนวโน้มไปในทางวิชาการ
2.6 ความสนใจของผู้ฟัง ถ้าผู้พูดทราบมาก่อนว่าผู้ฟังส่วน
ใหญ่สนใจในเรื่องอะไร ก็จะได้เตรียมเรื่องได้ถูกต้อง และสามารถที่จะพูด
ให้ตรงเป้ าหมายได้ เพราะถ้าพูดถูกจุดที่ผู้ฟังสนใจ พร้อมด้วยคำแนะนำ
นัน
้ ผูฟ
้ ั งย่อมจะชอบและสนใจฟั งมากขึน
้ ยกตัวอย่างเช่น เราสืบทราบมา
ว่าผูฟ
้ ั งส่วนใหญ่สนใจในเรื่องยาเสพติดให้โทษ เราก็ชใี ้ ห้เห็นโทษ เราก็ชี ้
ให้เห็นโทษของยาเสพติดและบอกลักษณะของผู้ที่ติดยาร้ายนัน
้ พร้อมทัง้
วิธีป้องกัน
2.7 สถานที่ การรู้ถึงสถานที่ที่จะพูดนัน
้ ก็เป็ นสิง่ หนึง่ ที่ผ ู้พูด
ควรจะทราบล่วงหน้า เพื่อจะได้เ ตรียมทัง้ ในด้า นการแต่ง กาย และเนื้อ
เรื่องได้ถูกต้อง เพราะเรื่องที่เหมาะสมกับสถานที่หนึ่งนัน
้ อาจจะไม่เหมาะ
กับอีกสถานที่หนึง่ ก็ได้
2.8 เวลา เวลาก็เป็ นส่วนหนึ่งในการพูด เช่น การพูดในเวลา
กลางวันนัน
้ อากาศมักจะร้อนอบอ้าว ผู้ฟังอาจนั่งฟั งไม่ส บายเท่า ที่ค วร
ฉะนัน
้ การพูดก็จะต้องเป็ บแบบรวบรัดและได้ความ ควรระลึกไว้ว ่าเวลา
ย่อมทำให้อารมณ์ของคนเปลี่ยนแปลงไปได้ นอกจากนีแ
้ ล้ว ผูพ
้ ูดควรจะรู้
อีกด้วยว่า ตนมีเวลาพูดมากน้อยเพียงไร เพราะจะได้เตรียมเรื่องมาพูดให้
พอเหมาะกับเวลา

102
2.9 โอกาส การพูด ในแต่ล ะโอกาสย่อ มไม่เ หมือ นกัน เช่น
การพูดอวยพรในงานสมรสย่อมไม่เหมือนกับการพูดอวยพรในงานวันเกิด
การใช้ถ้อยคำตลอดจนการแต่งกายย่อมเปลี่ยนไป ผู้พูดที่ดีจึงควรทราบ
มาก่อ นว่า ตนจะพูด ในโอกาสอะไร เพื่อ จะได้เ ตรีย มตัว ได้ถ ูก ต้อ งและ
เหมาะสม
3. การเลือกเรื่องพูด
ในการพูดที่ใดก็ต าม เราจะต้อ งคำนึง ถึง เนื้อ เรื่อ งที่จะไปพูด และ
ควรจะพิจารณาถึงสิ่งต่อไปนี ้
3.1 การเลือกเรื่อง ต้องพยายามเลือกเรื่องที่ทงั ้ ผู้พูดและผู้
ฟั งสนใจ ถ้าเป็ นเรื่องที่ผ ู้พูดถนัด ก็จะทำให้ผพ
ู้ ูดพูดได้ดี ในขณะเดียวกัน
ถ้าเรื่องที่พูดนัน
้ ผูฟ
้ ั งไม่สนใจ การพูดนัน
้ ก็จะล้มเหลว ถ้าเลือกพูดในเรื่อง
ที่ผู้ฟังไม่สนใจ ก็ดูเหมือนว่าผูพ
้ ูดได้ประสบความสำเร็จขัน
้ ต้นในการเรียก
ความสนใจจากผู้ฟั ง อนึ่ง ผูพ
้ ูด ควรจะเลือ กเรื่อ งที่จ ะให้ป ระโยชน์ และ
ความรู้แก่ผู้ฟังได้ เพราะตามหลักจิตวิทยานัน
้ คนเราชอบฟั งเรื่องที่ตนจะ
ได้รับประโยชน์ โดยทั่วไปแล้วคนเราสนใจสิ่งที่เป็ นแก่นสารของชีวิต เช่น
สุขภาพ การงาน ความมั่นคงและความปลอดภัย ของครอบครัว เรื่องที่
เเปลก ปั ญหาการเมืองเเละสังคมที่เขาอยู่ เรื่องที่ช่วยจัดปั ญหาของผู้ฟัง
เรื่องที่กำลังเป็ นข่าว เรื่องที่มีผู้ขัดเเย้งความนึกคิดเป็ นต้น ฉะนัน
้ จะเลือก
เรื่อ งใดก็ต าม ควรจะปรับ เรื่อ งนัน
้ ๆ ให้เ ข้า กับ ผูฟ
้ ั ง นอกจากนีเ้ เล้ว ก็
กำหนดเนื้อ หาของเรื่อ งที่จ ะพูด ให้อ ยู่ใ นวงจำกัด เพื่อ ว่า จะได้พ ูด ให้
เหมาะสมกับเวลา เเละควรพิจารณาถึงสภาวะของผู้พูด คือรู้ว่าตัวพูดพูด

103
เป็ นใคร เเละพูดในเเนวใด เช่น ถ้า ผูพ
้ ูด เป็ นครู ก็ค วรจะพูด เเละให้เ เง่
ความคิดในฐานะครู อย่าพูดในฐานะพ่อค้าหรือนายธนาคาร
3.2 การเตรียมเนื้อเรื่อง ผูพ
้ ูดจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม ควรจะ
ตัง้ จุดมุ่งหมายของเรื่องที่ตนพูดเอาไว้ก ่อน แล้วจึงทำการค้นคว้า หาข้อ
เท็จจริง ข้อ อ้างอิง หลัก ฐานมาสนับ สนุน เรื่อ งที่ต นจะพูด แล้วจึง เขีย น
เรื่อง และซ้อมพูด
อ้างอิง : (ศุภรัตน์ เทพบุรี.หลักของการพูด.2561 : 2 )
สรุป: การเลือกเรื่องที่พูดเลือกเรื่องที่ทงั ้ ผู้ฟังและผูพ
้ ูดสนใจ เป็ นเรื่องที่พูด
พูดถนัด การที่ผพ
ู้ ูดจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม ควรตัง้ จุดมุ่งหมายของเรื่องที่
ตนเองจะพูด

ก่อ นที่จะก้าวมาเป็ น “นักพูด ” ผู้พ ูด ส่วนใหญ่มัก จะผ่า นขัน


้ ตอน
ของการฝึ กฝนเพื่อพัฒนาตนเองในหลายรูปแบบ การพูดเป็ นการสื่อสาร
จากตัวผู้พูดไปยังผูฟ
้ ั ง เพื่อสื่อความหมายให้ผ ู้อ่ น
ื ทราบความรู้ส ึกนึกคิด
และความต้อ งการของตน รวมทัง้ เป็ นการแลกเปลี่ย นข่า วสาร ความรู้
ความคิด เห็น ก่อ ให้เ กิด ความเข้า ใจซึ่ง กัน และกัน ช่ว ยให้ก ิจ การต่า ง ๆ
ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราจำเป็ นต้อง
มีการพูดจาตอบโต้ติดต่อกับบุคคลต่าง ๆ เสมอ การพูดจึงเป็ นเครื่องมือ
ของการติดต่อสื่อสารละเป็ นบันไดขัน
้ แรกของการสมาคมและความสำเร็จ
ในชีวิตและมีความสำคัญยิ่งต่อมนุษย์
การพูด มีผ ู้ใ ห้ห ลัก เกณฑ์ส ำหรับ ผูฝ
้ ึ กพูด ไว้ห ลายแบบด้ว ยกัน ซึง่
จิต รจำนงค์ สุภาพ (2528:99) กล่า วถึง สูต รสำเร็จ หรือ บัน ได 13 ขัน

104
สำหรับ นักพูด ได้เ รียงถ้อยคำไว้อ ย่า งคล้อ งจองซึง่ จะนำผู้พ ูด ไปสูค
่ วาม
สำเร็จในการเป็ นนักพูดที่ดีมีประสิทธิภาพไว้ดังนี ้
1. เตรียมให้พร้อม ก่อนถึงเวลาพูดผูพ
้ ูดจะต้องเตรียมความพร้อม
ในทุกๆได้ไม่ว่าจะเป็ น การเตรียมเนื้อหาสาระ การจัดระเบียบความคิด
การสร้างโครงเรื่องในการพูด การวิเคราะห์ผ ฟ
ู้ ั ง หรือแม้แต่การเตรียม
ตัวของผู้พูดเอง
2. ซ้อมให้ดี การพูดที่ดีผู้พูดจะต้องเตรียมการซักซ้อมเรื่องที่จะพูด
ให้เกิดความชำนาญ มีลำดับขัน
้ ตอนและเป็ นธรรมชาติ
3. ท่าทีมีสง่า การมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมจะช่วยให้ภาพของผูพ
้ ูด
โดดเด่นและเป็ นที่น่าเชื่อถือ
4. กิริยาต้องสุขุม การแสดงอากัป กิริยาที่ส ุขุมรอบคอบและการ
รู้จักควบคุมอารมณ์ขณะพูดจะทำให้มองว่าผู้พูดเป็ นคนที่สำรวมและหนัก
แน่น
5. ทักที่ประชุมอย่าวกวน การทักทายผู้ฟังควรเริ่มให้ถูกต้องตาม
ลำดับขัน
้ ตอน เหมาะกับรูปแบบและโอกาสที่พูด
6. เริ่ม ต้น ให้โ น้ม น้า ว ควรเริ่ม ต้น ให้น ่า สนใจและเร้า ใจผู้ฟั งให้
อยากติดตาม
7. เรื่องราวต้องกระชับ การเสนอเนื้อหาให้กระชับ ตรงประเด็น
และได้ใจความครบถ้วนสมบูรณ์
8. ตาจับที่ผู้ฟัง ขณะที่พูดกวาดสายตาของผู้พูดควรมองไปยังผู้ฟัง
ไม่ควรก้มหน้าแหงนมองเพดาน หรือมองออกไปข้างนอก

105
9. เสียงดังให้พอดี ควรพูดให้ได้ยินชัดเจน ไม่ดังหรือเบาจนเกิน
ไป
10. อย่ามีเอ้อ…อ้า หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไร้ความหมาย เช่น เอ้อ…
อ้า ฯลฯ
11. ดูเวลาให้พอครบ ควรพูดให้ตรงตามกำหนดเวลา
12. สรุปจบให้จับใจ จบการพูดให้เป็ นที่ประทับใจผู้ฟัง
13. ไวในปฏิภาณ มีปฏิภาณในการแก้ปัญหาหรือเหตุการณ์เฉพาะ
หน้าได้เป็ นอย่างดี
การได้เ รีย นรู้ส ูต รสำเร็จ ดัง ที่ไ ด้ก ล่า วมาแล้ว จะช่ว ยให้ผ ู้พ ูด เกิด
ความรู้ค วามเข้า ใจและสามารถนำทัก ษะต่า งๆมาประยุก ต์ใ ช้ใ ห้เ กิด
ประโยชน์ต่อการพูดได้เป็ นอย่างดีแต่ทงั ้ นีผ
้ ู้พูดต้องไม่ลืมว่า การพูดให้ได้
ผลดีนน
ั ้ ไม่ใช่เรียนรู้แค่เพียงหลักการแล้วสามารถพูดได้เพราะการพูดที่ดี
และได้ผลยังต้องอาศัยการฝึ กฝนและประสบการณ์ควบคู่กันไปอีกด้วย
หลักการใช้เสียง ความชัดเจนถูกต้อง
เสีย งพูด เป็ นสิ่ง สำคัญ ในการพูด เป็ นอย่า งยิ่ง นัก พูด บางคนที่ไ ม่
ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรเพราะไม่ร้จ
ู ักใช้เสียงในการพูด ทัง้ ๆ ที่มีความ
รู้ดีแต่พูดแล้วไม่ชวนให้ผู้ฟังสนใจ เสียงพูดที่ดีอาจจูงใจผู้ฟังให้สนใจฟั ง
และเห็นคล้อยตามได้ดีมาก สิ่งที่ควรทราบในการใช้เสียงพูดมีดังนี ้
1. ลักษณะเสียง
เสียงที่ดี คือ เสียงทุ้ม นุ่มนวล ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป
เสียงสูง ทำให้ผฟ
ู้ ั งเคร่งเครียด และเบื่อหน่ายได้ง่าย
เสียงต่ำ ทำให้ผฟ
ู้ ั งง่วงเหงาเศร้าซึม ไม่สนใจในการพูด

106
2. จังหวะพูด
การพูดต้องมีจังหวะชัดเจน ชัดถ้อยชัดคำ ไม่พูดเร็วหรือรัวเกินไป
และไม่ช้าเกินไปจนยานคาง การพูดในที่สาธารณะต้องใช้จังหวะที่ช้ากว่า
การสนทนากันเล็กน้อย การพูดเร็วเกินไปผู้ฟังจะฟั งไม่ทันแล้วเกิดการไม่
สนใจขึน
้ ส่วนการพูดช้าผู้ฟังก็จะเบื่อและไม่สนใจเช่นเดียวกัน ตามปกติ
อัตราการพูดที่เหมาะสม คือ การพูดในอัตรา 120 – 180 คำต่อนาที
3. ลีลาการพูด
ผู้พ ูด ที่ด ีจ ะต้อ งรู้จ ัก เปลี่ย นระดับ หรือ จัง หวะของเสีย ง ในจุด ที่
ต้อ งการเน้น หรือการเรียกร้อ งความสนใจ ซึ่ง อาจทำได้โ ดยพูด ให้ด ัง
หรือเบากว่าปกติ พูดให้ช้าลงหรือหยุด หรือพูดซ้ำหรือย้ำ การเปลี่ยน
ลีลาการพูด มีข้อควรระวังดังนี ้
3.1 เน้นให้ตรงจุดที่ควรเน้น
3.2 มีจัง หวะในการเน้น คือ ไม่เ น้น ตลอดไป เพราะการ
เน้นอยู่ตลอดเวลาจะไม่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ว่าตอนใดสำคัญกว่ากัน
4. เสียงชัดเจน
ผูพ
้ ูดจะต้องออกเสียงคำทุกคำให้ชัดเจนตามลักษณะของภาษาทั่วๆ
ไป เช่น ตัว ควบกล้ำ หรือ อกเสีย งคำที่ม ีเ สีย ง /ร/ และ /ล/ จะต้อ ง
ชัดเจน คำที่ออกเสียงประวิส รรชนีย์ บางคำออกเสียงเน้น หนัก ขนาด
ไหนต้องออกให้ถก
ู เช่น สบาย จะต้อ งออกเสียง /สะ/ เพียงครึ่ง เสียง
ถ้าออกเสียงเต็มคำจะผิดลักษณะออกเสียงภาษาไทย

107
5. ออกเสียงให้เต็มคำ
การพูดที่ดีไม่ควรใช้ค ำย่อ หรือคำตัดพยางค์ เช่น กิโลกรัม ก็ไม่
ควรใช้คำว่า โล หรือวิทยาลัย เป็ น วิทชาลัย เป็ นต้น

ข้อบกพร่องทั่วไปของการใช้น้ำเสียง
1. เสียงเบาเกินไป
2. พูดช้า หรือเร็วเกินไป
3. พูดอึกอัก เอ้ออ้า น่ารำคาญ
4. พูดด้วยท่วงทำนองเหมือนอ่านหนังสือ หรือท่องจำ
5. พูดราบเรียบระดับเดียวกันตัง้ แต่ต้นจนจบ
การเลือกเรื่องที่จะพูด
การเลือกเรื่องพูด ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ
การพูด เรื่อ งที่ด ีค วรมีป ระเด็น ที่เ ด่น ชัด และมีข อบข่า ยของเนื้อ หาที่
เหมาะกับเวลาที่ใช้พูด ผูพ
้ ูดที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มักจะเลือก
เรื่องพูดโดยพิจารณาหลักเกณฑ์ต่อไปนี ้
นิพ นธ์ ทิพ ย์ศ รีน ิม ิต (2542 : 110-111) กล่า วถึง หลัก เกณฑ์ใ นการ
เลือกเรื่องที่จะพูดไว้ ดังนี ้
1. กรณีที่เลือกเรื่องเอง ควรเลือกเรื่องที่เราอยากพูด รู้เรื่องดี มี
ความถนัด และมีประสบการณ์
2. กรณีที่มีผู้กำหนดเรื่องมาให้ ควรศึกษาจุดประสงค์ในเรื่องนัน
้ ๆ
ให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน เพื่อสำรวจว่าเรามีความรู้พอที่จะรับผิดชอบพูด
เรื่องนัน
้ ได้หรือไม่

108
3. เลือกเรื่องให้เหมาะแก่โ อกาส เหมาะกับ กาลเทศะและจุด มุ่ง
หมายของการพูด
4. เลือกเรื่องที่มีความเหมาะสมกับผูฟ
้ ั ง โดยพิจารณาให้เหมาะสม
กับเพศ วัย การศึกษา อาชีพ และจำนวนของผู้ฟัง
5. เลือกเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือควรค่าแก่การ
ฟั ง
6. เลือกเรื่องที่มีแนวทางและขอบข่ายที่เด่นชัด เช่น เป็ นเรื่องที่
พูดทั่วๆ ไป หรือเป็ นเรื่องที่ต้องพูดในแนวลึก
7. เลือ กเรื่อ งที่ส ามารถศึก ษาค้น คว้า ข้อ มูล และจัด เตรีย มวัส ดุ
อุปกรณ์ประกอบการพูดได้ไม่ยากนัก
8. เลือกเรื่องที่เหมาะกับสถานการณ์และช่วงเวลาที่ใช้พูด
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว ่าการเลือกเรื่องที่จะพูดนัน
้ ต้องอาศัย
กฎเกณฑ์ในการเลือกอย่างมาก และยัง ต้อ งคำนึง ถึง คุณ สมบัต ิท งั ้ ผูฟ
้ ัง
และผู้พ ูด เองด้ว ย ซึง่ จะทำให้ก ารเลือ กเรื่อ งที่จ ะพูด นัน
้ ประสบความ
สำเร็จเร็วขึน
้ อีกประการหนึ่งที่ส ำคัญสำหรับการพูด ก็คือ การเตรียม
การพูด
นิพนธ์ ทิพย์ศรีนิมิต (2544 : 109-136) กล่าวว่า การเตรียมการ
พูด นับเป็ นสิ่งสำคัญสำหรับนักพูด การเตรียมการพูดที่ดี นอกจากจะ
ทำให้ผพ
ู้ ูดเกิดความมั่นใจในตนเองแล้ว ยังช่วยให้การพูดนัน
้ ๆสามารถ
ดำเนินไปตามแผนที่กำหนดไว้ ดังนัน
้ ผู้พูดที่ดีจึงควรเตรียมการพูดในวิธี
ต่อไปนี ้

109
การเตรียมเรื่องที่จะพูด
เมื่อสามารถเลือกเรื่องที่จะพูดแล้ว ขัน
้ ตอนต่อไปที่ผู้พูดจะต้องเตรี
ยมการก็คือ การเตรียมเรื่องพูดหรือการเตรียมเนื้อเรื่อง การเตรียมเรื่อง
พูดเป็ นการกำหนดแผนในการพูดว่า เราจะพูดอะไรพูดอย่างไร เริ่มพูด
เมื่อไหร่ พูดนานแค่ไหน พูดกับใคร และใช้รูปแบบการพูดแบบใดจึงจะ
เหมาะสมที่สุด ผู้พูดที่ดีควรเตรียมเรื่องพูดไว้ล ่วงหน้า เพราะจะช่วยให้
พูดได้ตรงประเด็นและเป็ นไปตามความมุ่งหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผูพ
้ ูดที่
ฝึ กการพูดใหม่ๆควรคำนึงถึงเรื่องให้มากเป็ นพิเศษการเตรียมเรื่องพูด มี
ลำดับขัน
้ ตอนการเตรียมการดังนี ้
1. ขัน
้ เริ่มคิด เมื่อตกลงว่าจะพูดเรื่องใดแล้ว ก็ให้พิจารณาถึงสาระ
ของเรื่องที่จะพูดว่าจะพูดในประเด็นใดบ้าง ประเด็นต่างๆ เหล่านีอ
้ าจ
รวบรวมจากประสบการณ์ จากการศึกษาค้นคว้า หรืออาจสอบถามจาก
ผู้ร้เู กี่ยวกับเรื่องนัน
้ ๆ จะทำให้ได้หัวข้อเรื่องหรือประเด็นที่น่าสนใจมากขึน

2. ขัน
้ พิจารณาข้อมูล นำประเด็นหรือหัวข้อเรื่องที่รวบรวมไว้มา
พิจารณาถึงความเหมาะสม เช่น ประเด็น ที่ไ ม่ค ่อยตรงกันเนื้อ หาก็ต ัด
ออก หรือเรื่องใดที่มีลักษณะที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันก็จัดไว้ในกลุ่มเดียวกัน
หรือยุบรวมเป็ นหัวข้อเดียวกัน
3. ขัน
้ เขียนโครงเรื่อง เป็ นการจัดลำดับเนื้อหาที่จะพูด โดยนำ
ประเด็นหรือหัวข้อเรื่องที่ไ ด้เ ลือ กไว้แ ล้ว มาจัด เรียงลำดับ การพูด ก่อ น
หลังตามความเหมาะสมการวางโครงเรื่องที่จะพูดเป็ นสิ่งจำเป็ นสิง่ จำเป็ น
ที่ผู้พูดจะต้องเตรียมการ ทัง้ นีเ้ พราะโครงเรื่องเปรียบเสมือนเส้นทางเดิน
หรือเส้นแกนร้อยของการพูดซึ่งมีประโยชน์ต่อผูพ
้ ูดหลายประการดังนี ้

110
1. ช่วยให้ผู้พูดได้มีโอกาสคิดและไตร่ตรองก่อนการพูด
2. ช่วยให้ผู้พูดทราบขอบข่ายและขัน
้ ตอนของเรื่องที่จะพูด
3. ช่วยให้ผู้พูดพูดเนื้อหาได้ตามลำดับโดยไม่สับสน
4. ช่วยให้ผู้พูดพูดได้ตรงประเด็นและอยู่ในขอบข่ายของเรื่อง
ที่พูด
5. ช่วยให้ผู้พูดเลือกเน้นเนื้อหาบางตอนได้เหมาะแก่เวลา
การเตรียมขัน
้ ตอนการพูด
เมื่อผูพ
้ ูดเลือกเรื่อง วางโครงเรื่อง จัดหาข้อมูลและทำร่างบท
พูดโดยคร่าวๆแล้ว ขัน
้ ตอนที่ผพ
ู้ ูดต้องดำเนินการต่อไปก็คือ การเตรียม
ขัน
้ ตอนการพูด การเตรีย มขัน
้ ตอนการพูด หรือ การจัด หาเนื้อ เรื่อ ง
เป็ นการลำดับความให้เนื้อความต่อเนื่องกันอย่างมีระเบียบ
อ้างอิง : (อรุณีประภา หอมเศรษฐี.อวัจนภาษา.2528 : 6 )
สรุป: ในการดำเนินชีวิตประจำวันเราจำเป็ นต้องมีการพูดจาตอบโต้ การ
พูดเป็ นเครื่องมือของการติดต่อสื่อสารและเป็ นความสำเร็จในชีวิตและมี
ความสำคัญต่อมนุษย์

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการฝึ กพูด
เป็ นการเรียนรู้การเข้าใจคำพูดของผู้อ่ น
ื โดยเริ่มจากการเข้าใจคำ
ศัพท์ประเภทต่างๆเด็กจะสะสมความเข้าใจคำศัพท์อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่
จะใช้ค ำศัพ ท์เ หล่า นีใ้ นการพูด สื่อ ภาษากับ ผู้อ่ น
ื คำศัพ ท์ท ี่เ ด็ก เรีย นรู้
ประกอบด้วย คำนาม ที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ อวัยวะร่างกาย ชื่อพืช
ผัก ผลไม้ เเละอาหาร ชื่อสี คำบอกความรู้สึก สัมผัส บอกสถานที่ ทิศทาง

111
เวลา ขนาด จำนวน ระยะทาง กิริยาอาการ คำวิเศษณ์ คำบุพบท เเละคำ
สันธาน เด็กปกติเรียนรู้คำนามได้ก่อนคำประเภทอื่น เเต่เมื่ออายุมากขึน

อัต ราการเรีย นรู้ค ำนามลดลง จะเรีย นรู้ค ำประเภทอื่น เเทน ได้เ เก่ คำ
กิริยา คำบุพบท เเละคำสันธาน ด้านจำนวนคำศัพท์ที่เด็กรู้ก็มีจำนวนเพิ่ม
ขึน
้ จากจำนวนที่รู้จักเพียงเเค่สิบคำเมื่ออายุ 1 ปี กลายเป็ นเกือบ 2,000
คำ เมื่ออายุ 4 ปี ในช่วงอายุ 2-4 ปี เด็กจะมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้คำ
ศัพท์ที่รวดเร็วมาก และมีอัตราการพัฒนาการสูงกว่าในช่วงอายุอ่ น
ื ๆ
อ้างอิง : (สุกัญญา ตีระวนิช.หลักของการพูด.2528 : 5 )
สรุป: การฝึ กพูดเป็ นการเรียนรู้การเข้าใจคำพูดของผู้อ่ น
ื โดยเริ่มจากการ
เข้า ใจคำศัพ ท์ป ระเภทต่า งๆ เพื่อ พัฒ นาการด้า นการเรีย นรู้ค ำศัพ ท์ท ี่
รวดเร็วมากขึน

ข้อควรคำนึงเบื้องต้นสาหรับการเป็ นผู้พูด
บุคคลซึ่งจะเป็ นผู้พูดในที่ชุมนุมชนที่ดีได้ ควรต้องมีลักษณะอันจะ
เอื้ออำนวยต่อการ พัฒนาตนเองให้เป็ นผูพ
้ ูดที่ดียิ่งขึน
้ ไปทัง้ ทางตรงและ
ทางอ้อม ทัง้ นีเ้ พราะการเป็ นผูพ
้ ูดในที่ชุมนุมชนที่ ดีต้องอาศัยการเอาใจใส่
และความพากเพียรของบุคคลนัน
้ เป็ นสำคัญ ข้อควรคานึง เบื้อ งต้น ของ
การเป็ นผู้ พูดที่ดี คือ
1. ต้องมีความศรัทธา มีศรัทธาเลื่อมใสต้องการเป็ นนักพูดที่ดีมีแรง
บันดาลใจที่จะ พากเพียรพยายามในการพัฒ นาตนเองจนประสบความ
สำเร็จ

112
2. ต้อ งใฝ่ ความรู้ ผู้ท ี่ใ ฝ่ ความรู้ หมั่น ศึก ษาพัฒ นาตนเองอย่า ง
สม่ำเสมอเปรียบเหมือน แสงสว่างในหมู่บุคคลทั่วไป ในอันที่จะถ่ายทอด
แสงสว่างแห่งความรู้ให้แก่ผู้ฟังจนก่อให้เกิดประโยชน์ แก่ผู้ฟัง
3. ต้อ งเป็ นนัก สัง เกตและจดจำ คนช่า งสัง เกตและจดจำมัก ได้
เปรียบผู้อ่ น
ื เสมอ มัก เป็ นผู้พูด ที่มีเกร็ด ความรู้น ่าสนใจ โดยเฉพาะจาก
ประสบการณ์แปลกๆมาเล่าสู่กันฟั ง
4. ต้องหมันฝึ กฝน มีการเปรียบเทียบว่า การพูดเหมือนการว่ายน้ำ
จะอ่านตำรากี่ร้อย กีพ
่ ันเล่มก็ตาม ถ้าไม่กระโดดลงไปในน้ำจริงๆ ก็ไม่มี
ทางว่ายน้ำเป็ น การพูดก็เช่นเดียวกัน การพัฒนา ตนเองในด้านนี ้ จะได้
ผลจากการฟั งคำบรรยายเกี่ยวกับแนวทางวิธีการเพียงร้อยละ 10 ต่อเมื่อ
มีการ แสดงให้ดูเป็ นตัวอย่างหรือสาธิตก็จะได้เพิ่มขึน
้ อีกร้อยละ 20 ส่วนที่
จะได้ประโยชน์มากที่สุด อยู่ที่การ ฝึ กฝนและหมั่นปฏิบัติถึงร้อยละ 70
อ้างอิง : (เบญญาพัชร์ วันทอง.หลักการพูด.2560.3 )
สรุป: ผู้พูดควรมีลักษณะเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาตนเองให้พูดไปในทางที่
ดีมากขึน
้ การเป็ นผูพ
้ ูดที่ดีต้องอาศัยการเอาใส่ใจของบุคคลนัน
้ เป็ นสำคัญ

จุดมุ่งหมายของการพูด
มนุษย์มีจุดมุ่งหมายในการพูดโดยทั่วไป 3 ประการ
1. การพูดเพื่อให้ค วามรู้ หรือ เพื่อ บอกเล่า เป็ นการเสนอข่า วสาร
ความรู้ข้อเท็จจริงเรื่องราวตามลำดับขัน
้ ตอน เช่น การเล่าเรื่อง การสอน
การเสนอผลงาน ฯลฯ

113
2. พูดเพื่อโน้มน้าวใจเป็ นการพูดที่ชใี ้ ห้เห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับ
หากเชื่อถือและปฏิบัติตาม และชีใ้ ห้เห็นโทษหากไม่เชื่อถือและปฏิบัติตาม
เช่น การโต้วาที การพูดหาเสียง ฯลฯ
3. การพูดเพื่อจรรโลงใจ เป็ นการพูดที่ชใี ้ ห้เห็นถึงคุณค่าและความ
งาม ความดี ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกและยกระดับจิตใจ หรือทำให้เกิดความ
เบิกบานใจ เช่น การแสดงความยินดีในโอกาสที่นักศึกษาจบการศึกษา
อ้างอิง : (ธนู ทดแทนคุณ และกุลวดี ทดแดนคุณ. 2549 : 210 - 211)
สรุป : จุดมุ่งหมายในการพูดโดยทั่วไป คือการพูดเพื่อให้ความรู้ พูด
เพื่อโน้มน้าวจิตใจ และเพื่อจรรโลงใจ

การพูดทุกครัง้ ผู้พูดควรมีจุดมุ่งหมายเป็ นแนวทางในการเตรียมพูด


เพื่อ ให้ก ารพูดนัน
้ มีค วามชัด เจนว่า ต้อ งการพูด ให้ผ ู้ฟั งได้รับ รู้อ ะไร โดย
ทั่วไปจุดมุ่งหมายของการพูดแบ่งได้ 4 ประเภท คือ
๑. การพูดเพื่อให้ความรู้ เป็ นการพูดเพื่อให้ความรู้ นำเสนอข่าวข้อ
เท็จจริงและข้อคิดเห็นเพื่อให้ผฟ
ู้ ั งเกิดความรู้ความเข้าใจ โดยการบรรยาย
อธิบาย แนะนำ เช่น บรรยายทางวิชาการ การรายงานเรื่องราว การชีแ
้ จง
การเล่า เรื่อ ง เป็ นต้น การพูด ตามจุด มุ่ง หมายนีผ
้ ู้พ ูด ต้อ งเตรีย มเนื้อ หา
ข้อมูลต่างๆ ให้พร้อม และเลือกใช้วิธีการที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย
๒. การพูด เพื่อ โน้ม น้า วใจ เป็ นการพูด ชัก จูง ใจให้ผ ู้ฟั งเกิด การ
ยอมรับความคิดและการกระทำของผู้พูด มีความคิดเห็นคล้อยตาม ทำให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด หรือการกระทำ เช่น การพูดหาเสียง
การพูดขอความช่วยเหลือ การพูดขายสินค้า การพูดโต้วาที เป็ นต้น การ

114
พูด ตามจุด มุ่ง หมายนีผ
้ ู้พ ูด ต้อ งแสดงการพูด ให้ผ ฟ
ู้ ั งเห็น ความสำคัญ
ประโยชน์ของการปฏิบัติตามและคุณธรรมของการพูด ไม่พูดหลอกลวง
หรือพูดละเมิดสิทธิของผู้อ่ น
ื ให้เสียหาย
๓. การพูด เพื่อ จรรโลงใจ เป็ นการพูด เพื่อ ให้ผ ู้ฟั งเกิด ความ
สนุกสนาน เพลิดเพลิน สบายใจ เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย หรือยกระดับ
จิตใจ เช่น การเล่านิทาน การพูดเรื่องตลกขบขัน การกล่าวสดุดีการกล่า
วอวยพร การพูดให้โอวาท เป็ นต้น การพูดตามจุดมุ่งหมายนีเ้ นื้อหาต้องมี
ความสนุกสนานหรือแสดงถึงคุณงามความดีเป็ นแนวทางการดำเนินชีวิต
แก่ผฟ
ู้ ั ง
๔. การพูด เพื่อ ค้น หาค ำตอบ เป็ นการพูด เพื่อ ขจัด ข้อ สงสัย
คลีค
่ ลายปั ญหาโดยการสอบถาม ขอคำปรึกษาจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ
เรื่อง หรือพูดเพื่อระดมความคิดเห็นจากผู้ฟัง เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาของ
บุคคลและส่วนร่วม เช่น การสอบถามข้อ มูลความรู้ การปรึก ษาปั ญหา
สุขภาพ การพูดสนทนา การอภิปราย เป็ นต้น การพูดตามจุดมุ่งหมายนีผ
้ ู้
พูด จะต้อ งพูด แสดงประเด็น ปั ญหา และใช้ค ำถามที่ท ำให้ผ ู้ฟั งคิด หาคำ
ตอบ หรือวิธีการแก้ปัญหานัน

อ้างอิง : (จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ. 2540 : 123 - 124)
สรุป : การพูดทุกครัง้ ควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็ นแนวทางในการเตรียม
พูดเพื่อให้การพูดนัน
้ มีความหมายชัดเจน

1. การพูดเพื่อให้ความรู้

115
เป็ นการพูดเพื่อให้สาระความรู้ เป็ นการพูดที่เกิดประโยชน์สงู สุดต่อ
ตัว ผู้ฟั ง เช่น การนำเสนอรายงานที่เ ราไปสืบ ค้น มาให้เ พื่อ นฟั ง การที่
คุณครูสอนในห้องเรียน หรือการที่เราพูดให้ความรู้บางอย่างกับผู้อ่ น
ื ก็เช่น
กัน

2. การพูดเพื่อให้ความบันเทิง
สำหรับจุดมุ่งหมายนีเ้ ป็ นการพูดที่เน้นความเพลิดเพลิน สนุกสนาน
อย่างเรื่องตลกขบขันต่าง ๆ ซึ่งจะไม่ต้องใช้หลักการอะไรมาก หรือไม่ต้อง
ใช้ก ารเตรีย มตัว ก่อ นพูด เช่น การพูด เรื่อ งตลกให้เ พื่อ น ๆ ฟั ง การเล่า
เรื่องผี เล่าเรื่องที่เราประสบพบเจอมาให้คนที่เรารู้จักฟั ง ผูฟ
้ ั งก็จะได้ร้ส
ู ึก
สนุก ตื่นเต้นไปกับเรื่องที่เราพูดไปด้วย
3. การพูดเพื่อความจรรโลงใจ
ต่อมาเป็ นการพูดเพื่อทำให้ผฟ
ู้ ั งได้คติเตือนใจ ได้แนวทางในการใช้
ชีวิต พูดเพื่อให้คนฟั งมีจิตใจที่สูงขึน
้ อยากกระทำแต่ความดี เช่น การพูด
สุนทรพจน์ การขับเสภา หรือการเล่านิทานสอนใจ ซึ่งจะทำให้ผฟ
ู้ ั งได้รับ
ข้อคิดจากเรื่องที่ฟังด้วย
4. การพูดเพื่อโน้มน้าวจิตใจ
สำหรับ จุดมุ่ง หมายในการพูด ข้อ นีถ
้ ือ ว่า เป็ นความสามารถเฉพาะ
บุคคลก็ว่าได้ เพราะเป็ นการพูดที่ต้องมีหลักการ มีแหล่งข้อมูล ผู้พูดต้องมี
ค ว า ม น ่า เ ช ่ อ
ื ถ ือ พ อ ส ม ค ว ร ก า ร พ ูด ใ น ล ัก ษ ณ ะ น จ
ี ้ ะ ต ้อ ง พ ูด เ พ ่ อ

เปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของผูฟ
้ ั งให้คล้อยตามเรา เช่น การพูด โต้วาที
การพูดชักชวนเพื่อให้ท ำบางสิ่งบางอย่างตามที่เราต้องการ การพูดเชิญ

116
ชวน รณรงค์ หรือที่เราจะเห็นการพูดเพื่อโฆษณาสรรพคุณของสินค้าให้
คนสนใจอยากจะซื้อตาม
อ้างอิง : (วินิจ วรรรถนอม. หลักการพูด. 2522 : 4 )
สรุป : การพูด เป็ นการพูด เพื่อ ให้ส าระความร ู้ ให้ค วามบัน เทิง
เพลิดเพลิน พูดโน้มน้าวจิตใจหรือจรรโลงใจ เพื่อให้ผฟ
ู้ ั งได้คติเตือนใจ

๑. การพูด เพื่อ ให้ค วามรู้ การเล่า เรื่อ งราวต่า งๆ การอธิบ ายการ


สาธิต
๒. การพูดเพื่อให้ความบันเทิง
๓. การพูดเพื่อจรรโลงใจ เพื่อให้ได้คติชีวิต
๔. การพูดเพื่อชักจูงใจหรือโน้มน้าวใจ
อ้างอิง : (สุภารัตน์ ศุภภัคว์รุจา. การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. 2554 :
1)
สรุป : การพูด เพื่อ ให้ค วามรู้ การเบ่า เรื่อ งราวต่า งๆ การให้ค วาม
บันเทิง การพูดจรรโลงใจให้คติโน้มน้าวใจ

ผูพ
้ ูด จะต้อ งกำหนดจุด มุ่ง หมายที่พ ูด ได้อ ย่า งถูก ต้อ งโดยจะต้อ ง
ศึก ษาและวิเ คราะห์วัตถุป ระสงค์ที่จะพูดแต่ละครัง้ ให้ช ัด เจนและพูด ให้
ตรงกับจุดมุ่งหมายที่วางไว้ โดยจุดมุ่งหมายของการพูดสามารถกำหนดได้
ดังนี ้
1. การพูดเพื่อให้ความรู้หรือข้อเท็จจริง

117
เป็ นการพูดโดยอาศัยข้อมูลในเรื่องที่ผ ู้ฟังต้องการจะทราบ ซึ่ง
จะต้องพูดให้ตรงประเด็นในหัวข้อที่ก ำหนดในบางครัง้ ผู้พูดต้องมีอุปกรณ์
ประกอบการบรรยาย เพื่อให้ผฟ
ู้ ั งเข้าใจในเรื่องที่พูดมากที่สุดส่วนใหญ่จะ
เป็ นการพูดแบบบรรยายพรรณนา เล่าเรื่อง อธิบาย ชีแ
้ จงสาธิต และวิธี
เสนอรายงาน

2. การพูดเพื่อโน้มน้าวจิตใจ
เป็ นการพูดที่ผพ
ู้ ูดจะต้องใช้ศิลปะในการพูดเพื่อจูงใจให้ผ ู้ฟัง
เกิด ความศรัท ธาเลื่อ มใสมีค วามคิด เห็น คล้อ ยตามหรือ กระทำอย่า งใด
อย่า งหนึ่ง ตามที่ผ ู้พ ูดสร้า งความมุ่ง หมายไว้ เช่น การพูด โน้ม น้า วใจให้
ประชาชนลงคะแนนเลือ กพรรคการเมือ งของตน การพูด ชัก ชวนให้
เลื่อ มใสในลัท ธิท างศาสนา การพูด โฆษณาขายสิน ค้า ของพนัก งานขาย
เป็ นต้น
3. การพูดเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินหรือเพื่อจรรโลงใจ
เป็ นการพูดที่เน้นให้ผฟ
ู้ ั งเกิดความสนุกสนานบันเทิง การพูดใน
ลัก ษณะนีเ้ ป็ นการสร้างความนึก คิด ของผู้ฟั งให้เ กิด ความคิด สร้า งสรรค์
เพื่อยกระดับจิตใจของผู้ฟังในทางที่ดีและมีความสุขในขณะที่ฟังการพูด
เช่น การคำสดุดี การกล่าวคำอวยพร การกล่าวขอบคุณหรือคำปราศรัย
ในงานบันเทิงที่จัดขึน
้ ในโอกาสต่างๆ เป็ นต้น
4. การพูดเพื่อหาทางแก้ปัญหาหรือคำตอบต่างๆ
ผูพ
้ ูดจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่พูดเป็ นอย่างดีและสามารถตอบ
ปั ญหาที่ผ ฟ
ู้ ั งสงสัย ได้ร วมทัง้ เป็ นการพูด ในเชิง วิช าการหรือ การพูด ใน

118
แนวทางขจัด ปั ญหาข้อ สงสัย ต่า งๆ ให้ป รากฏอย่า งมีเ หตุม ีผ ลบางครัง้
เป็ นการพูดเพื่อตอบปั ญหาของผู้ที่มีความสงสัย เช่น การพูดสัมมนาทาง
วิชาการ การพูดตอบกระทู้คำถามของรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีในการ
ประชุม เป็ นต้น
5. การพูดเพื่อแนะนำและชีแ
้ นะ
เป็ นการพูดในเวลาจำกัด ส่วนมากเป็ นการพูดแนะนำบุคคล
แนะนำการปฏิบัติงานและลักษณะงานที่ทำของหน่วยงานต่างๆ โดยการ
พูดให้คำแนะนำมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผฟ
ู้ ั งทราบข้อเท็จจริงอย่างสัน
้ ๆ พอดี
กับเวลา เช่น การรายงานตัวของผู้ใต้บังคับบัญชาต่อผู้บังคับบัญชาหรือ
การสรุปงานในหน้าที่รับผิดชอบของผู้ใต้บังคับบัญชาต่อผู้บังคับบัญชาใน
โอกาสตรวจเยี่ยมราชการ เป็ นต้น
อ้างอิง : (อรณิชา กอบกำ. ศิลปะการพูด. 2561 : 3)
สรุป : ผูพ
้ ูดจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายที่พูดและวัตถุประสงค์ที่จะพูด
ในแต่ละครัง้ ให้ชัดเจนและพูดให้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้

การพูดแต่ละครัง้ มีจุดมุ่งหมายต่างกัน ผูพ


้ ูดจะต้องรู้จักจุดมุ่งหมายที่
พูดได้อย่างถูกต้องตรงความต้องการของผู้ฟังมีนักพูดบางท่านเวลาพูดใน
โอกาสต่างๆ ไม่เข้าใจไม่ร้ซ
ู งึ ้ ถึงความมุ่งหมายที่เขาต้องการให้พูด แต่กลับ
ไปพูด นอกเรื่องที่ไ ม่ต รงกับ จุด มุ่ง หมายที่วางไว้ ก็เ ป็ นผลทำให้ผ ู้ฟั งเกิด
ความเบื่อหน่ายไม่ได้รับประโยชน์จากการฟั งเท่าที่ควร เมื่อเป็ นเช่นนีน
้ ัก
พูดที่ดีจะต้องศึกษาวิเคราะห์ให้เข้าใจความมุ่งและวัตถุประสงค์ที่จะพูด

119
แต่ละครัง้ ให้ชัดเจนและพูดตรงกับความมุ่งหมายที่วางไว้ โดยกำหนดได้
ดังนี ้
1. การพูด เพื่อ ให้ค วามรู้ห รือ ข้อ เท็จ จริง แก่ผ ู้ฟั งการพูด แบบนี ้
เป็ นการพูดโดยอาศัยข้อมูลต่าง ๆ ในเรื่องที่ผู้ฟังต้องการจะทราบ การพูด
ต้อ งพูด ให้ต รงประเด็น และหัวข้อ ที่ก ำหนดให้ บางครัง้ ผูพ
้ ูด ต้อ งเตรีย ม
อุปกรณ์ประกอบการบรรยายไปด้วย เพื่อให้ผ ฟ
ู้ ั งเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องที่
พูดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การพูด เช่นนีส
้ ่วนมากจะใช้วิธีการพูดด้วยการ
บรรยาย อธิบาย พรรณนา เล่าเรื่อง ชีแ
้ จง สาธิตและวิธีเสนอรายงาน ฯ
2. การพูดเพื่อโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังการพูดแบบนี ้ ผู้พูดจะต้องใช้ศิลปะ
ในการพูดหลายๆ แบบเพื่อจูงใจให้ผ ู้ฟังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสมีความ
คิด เห็นคล้อยตาม หรือกระทำอย่า งใดอย่า งหนึ่ง ตามที่ผ ู้พ ูด ตัง้ ความมุ่ง
หมายไว้ เช่น การพูด ชัก ชวนให้เ ลื่อ มใสในลัท ธิท างศาสนา การพูด ให้
ประชาชนเลือ กตนเองเป็ นผู้แ ทนของนัก การเมือ ง การพูด โฆษณาขาย
สินค้าของผู้แทนบริษัท ฯ
3. การพูดเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินหรือเพื่อจรรโลงใจแก่ผู้ฟังการ
พูดแบบนี ้ ผูพ
้ ูดต้องเข้าใจว่าบรรยากาศในการพูดก็ดี ความต้องการของผู้
ฟั งก็ดี เป็ นการพูดที่ผ ู้พูดจะต้อ งเน้น ให้ผ ฟ
ู้ ั งเกิดความสนุกสนานบัน เทิง
ควบคู่ไปกับการได้รับความรู้สึกนึกคิดที่แปลกใหม่ เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็ นการ
พูดในลักษณะเสริมสร้างความนึกคิดของผูฟ
้ ั งให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
เพื่อยกระดับจิตใจของผู้ฟังในทางที่ดีมีความสุขในขณะที่ฟังการพูด เช่น
การกล่าวคำสดุดี กล่าวคำอวยพร กล่าวขอบคุณ หรือกล่าวคำปราศรัยใน
งานบันเทิงต่างๆ ที่จัดขึน
้ ในโอกาสต่างๆ

120
4. การพูดเพื่อหาทางแก้ปัญหาหรือคำตอบต่างๆกับการพูดแบบนี ้ ผู้
พูด จะต้อ งมีค วามรู้เ กี่ย วกับ เรื่อ งที่พ ูด ได้เ ป็ นอย่า งดีห รือ สามารถตอบ
ปั ญหาต่างๆ ที่ผู้ฟังสงสัยอยากจะรู้อยากจะฟั งจากผู้พูด จึงเป็ นการพูดใน
เชิงวิชาการหรือในแนวทางขจัด ปั ญหาข้อ สงสัยต่า งๆ ให้ป รากฏอย่างมี
เหตุมีผล บางครัง้ ก็เป็ นการพูดเพื่อ ตอบปั ญหาของผู้ที่มีความสงสัยถาม
ปั ญหาขึน
้ มา เช่น การพูดสัมมนาในทางวิชาการ การพูดตอบกระทู้คำถาม
ของรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี
5. การพูดเพื่อแนะนำและชีแ
้ นะเรื่องต่างๆการพูดแบบนี ้ เป็ นการ
พูดในเวลาจำกัดตามลักษณะเรื่องแนะนำและเวลาที่จะอำนวยให้ ส่วน
มากเป็ นการพูดแนะนำบุคคล แนะนำการปฏิบัติงานและลักษณะของงาน
ที่ท ำของหน่ว ยต่า งๆ การพูด ให้ค ำแนะนำมุ่ง การพูด เพื่อ ให้ผ ู้ฟั งทราบ
เฉพาะข้อเท็จจริงต่างๆ อย่างย่อๆ พอกับเวลา ใช้กับการรายงานตัวของผู้
ใต้บังคับบัญชาต่อผู้บังคับบัญชา การแนะนำสรุปงานในหน้าที่รับผิดชอบ
ของผู้ใต้บังคับบัญชาต่อผู้บงั คับบัญชาในโอกาสตรวจเยี่ยม ฯ
อ้างอิง : (วารุณี เรืองมี. ภาษาไทยเพื่องานอาชีพ. 2559 : 5)
สรุป : การพูด แต่ล ะครัง้ มีจ ุด มุ่ง หมายต่า งกัน เช่น การพูด เพื่อ ให้
ความรู้ห รือ ข้อ เท็จ จริง การพูด เพื่อ โน้ม น้า วจิต ใจ การพูด ให้เ กิด ความ
เพลิดเพลิน การพูดเพื่อหาทางแก้ไขปั ญหา การพูดเพื่อแนะนำ

ความมุ่งหมายของการพูด คือ การแสดงหรือเสนอข้อคิดเห็นต่อผู้


ฟั ง และผูฟ
้ ั งสามารถรับรู้เรื่องราวและเข้าใจได้ตรงกับความต้องการของผู้
พูด ตลอดจนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกว่า

121
พูดได้อย่างใจนึก
ระลึกได้ดังใจหวัง
ยังประโยชน์ให้แก่ผฟ
ู้ ั ง
สร้างพลังในการเปลี่ยนแปลง
ความมุ่งหมายของการพูด แบ่งเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
1. ความมุ่งหมายของการพูดโดยทั่วไป และ
2. ความมุ่งหมายเฉพาะ
1.๑ ความมุ่งหมายโดยทั่วไป คือ การพูดที่พยายามให้ผ ู้ฟัง
สนใจ เข้าใจ และประทับใจจากการพูดนัน
้ ๆ
- ความสนใจ จะเกิดได้เพราะผู้พูดได้เตรียมตัวเป็ นอย่างดี
กล่าวคือ สนใจที่จะรับฟั งเพราะเตรียมพูดมาดี และสนใจที่จะรับฟั งจนจบ
เรื่องเพราะเตรียมเนื้อหามาดี
ความเข้าใจ การเรียกร้องให้คนสนใจฟั งเท่านัน
้ ยังไม่เป็ นการเพียงพอ จะ
ต้องให้ผฟ
ู้ ั งเข้าใจด้วย ซึ่งกระทำได้โดยการเตรียมเนื้อเรื่อง การใช้ถ้อยคำ
การเรียบเรียงประโยคที่ง่ายต่อการเข้าใจ เป็ นต้น
ความประทับใจ คือ ความเข้าใจที่ชัดเจน จนมองเห็นภาพ ซึ่งทำได้โดย
การใช้คำคม ข้อความที่ลึกซึง้ กินใจ คำรุนแรงที่เหมาะสม ตลอดจนอุปมา
อุปไมยต่าง ๆ เป็ นต้น
ดัง นัน
้ ในการพูด ทุก ครัง้ ผูพ
้ ูด จะต้อ งเตรีย มตัว ให้พ ร้อ ม ทัง้ คำนำ เนื้อ
เรื่อง และสรุปจบให้สอดคล้องกัน เพื่อช่วยให้ประสบผลสำเร็จในการพูด
ทุก ๆ ครัง้
๑.2 ความมุ่งหมายเฉพาะ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี ้

122
- เพื่อ ให้ข ่า วสารความรู้ เป็ นการพูด แบบเสนอข้อ เท็จ จริง
โดยไม่มุ่งหมายที่จะเปลี่ยนทัศนคติของผูฟ
้ ั ง แต่เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความ
เข้าใจแก่ผฟ
ู้ ั ง
- เพื่อ ความบัน เทิง เป็ นการพูด เพื่อ ให้ผ ู้ฟั งสนุก สนาน
ครึกครื้น มักเป็ นการพูดหลังอาหาร ซึง่ จัดขึน
้ เพื่อเป็ นการพักผ่อน
- เพื่อชักจูงใจ คือ การพูดที่มุ่งหวังให้ผฟ
ู้ ั งเปลี่ยนใจเห็นคล้อย
ตามผู้พูด โดยใช้ การเร้าอารมณ์เป็ นที่ตงั ้
อ้างอิง : (ประเสริฐ บุญเสริม. ศิลปะการพูดเพื่อการสื่อสาร. 2560 : 1)
สรุป : ความมุ่งหมายของการพูด คือ การแสดงหรือเสนอข้อคิดเห็น
ต่อผู้ฟังและผู้ฟังรับรู้และเข้าใจเรื่องราวได้ตรงกับจุดมุ่งหมายของผู้พูด

ในการพูดแต่ละครัง้ ผูพ
้ ูดต้องกำหนดจุดมุ่งหมายว่าต้องการจะให้ผู้
ฟั งได้รับ สิง่ ใด จะพูดเรื่องอะไร เพื่ออะไร และพูดอย่างไร ทัง้ ยังต้อง
คำนึงถึงผู้ฟังด้วย การพูดที่มีความมุ่งหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจ
เรื่องราวได้ตรงกับความต้องการของผู้พูด ความมุ่งหมายโดยทั่วไปของ
การพูด มีดังนี ้
1. เพื่อ แจ้ง ให้ท ราบ เป็ นการพูด ที่แ จ้ง ข่า วสารข้อ มูล ที่เ ป็ น
ประโยชน์ โดยทั่วไปแล้วจะใช้กับการพูดเชิงวิชาการ กึ่งวิชาการ หรือ
การเล่าเรื่องทั่วๆ ไป เช่น การบรรยาย การปาฐกถา การอธิบาย การ
สาธิต การชีแ
้ จง การกล่าวรายงาน การเล่าเรื่อง เป็ นต้น
2. เพื่อโน้มน้าวใจ เป็ นการพูดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของ
ผู้ฟังให้เป็ นไปตามจุดประสงค์ของผู้พูด โดยให้ผฟ
ู้ ั งเห็นถึงประโยชน์หรือ

123
โทษของสิ่งที่พูด และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ฟังให้กระทำ
หรือ เลิก กระทำสิ่ง นัน
้ เช่น การพูด หาเสีย ง การโฆษณา การพูด
ชัก ชวน การพูด ร้อ งขอวิง วอน การพูด โต้แ ย้ง การพ ูด วิจ ารณ ์
เป็ นต้น การพูดประเภทนีผ
้ ู้พูดต้องใช้ทงั ้ เหตุและผล ข้อมูลอ้างอิง หลัก
จิต วิท ยา และวาทศิล ป์ จึง จะสามารถทำให้ผ ู้ฟั งเชื่อ และเปลี่ย น
พฤติกรรมได้
3. เพื่อจรรโลงใจ เป็ นการพูดสร้างความเพลิดเพลินให้แก่
ผูฟ
้ ั ง ขณะเดียวกันก็อาจเป็ นการยกระดับจิตใจผู้ฟังให้สูงขึน
้ เช่น การ
พูดเรื่องตลกขบขัน การพูดทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่ให้
ความบันเทิง การสนทนาธรรม การพูดในโอกาสต่างๆ อาทิ การกล่าวอ
วยพร งานวันเกิด งานมงคลสมรส เป็ นต้น
4. เพื่อค้นหาคำตอบ เป็ นการพูดเพื่อขจัดข้อสงสัยของผู้พูด ใน
ชีวิตประจำวันเรามักจะพบกับอุป สรรคหรือปั ญหาต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
ซึ่งบางครัง้ เราอาจจะแก้ไขปั ญหาด้วยตนเองไม่ได้ จึงต้องสอบถามหรือ
ปรึกษาจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ เช่น การสอบถามข้อมูลในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
การสอบถามเส้นทาง การปรึกษาปั ญหาชีวิตและสุขภาพ เป็ นต้น
นอกจากนี ้ ทัศ นีย ์ ศุภ เมธี (2526 : 35–36) ได้ใ ห้จ ุด มุ่ง หมาย
ของการพูดไว้ดังนี ้
1. การพูดเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ผู้พูดต้อง
เสนอ เรื่องราวที่เป็ นจริงมีรายละเอียดพอสมควร หรือมีความคิดเห็น
ของผูพ
้ ูดสอดแทรกไปด้วย เพื่อให้ผ ฟ
ู้ ั งได้รับรู้และเกิดความเข้าใจอย่าง

124
ชัดเจน เช่น การบรรยายของวิทยากร การอบรมสั่งสอนของครูอาจารย์
เป็ นต้น
2. การพูดเพื่อแสดงความคิดเห็น ผูพ
้ ูดต้องมีความรู้ความเข้าใจ
ในเรื่องนัน
้ ๆ ดี และสามารถแสดงเกี่ยวกับเรื่องนัน
้ ๆ ให้ผฟ
ู้ ั งเข้าใจถึงแนว
ความคิดของผูพ
้ ูดได้ เช่น การอภิปราย การโต้วาที เป็ นต้น
3. การพูด เพื่อ จรรโลงใจ เป็ นการพูด ให้ผ ฟ
ู้ ั งเกิด ความสนุก
เพลิด เพลิน นอกจากนีก
้ ารพูด ประเภทนีย
้ ัง เป็ นวิธ ีห นึ่ง ที่ส ามารถยก
ระดับจิตใจของผู้ฟังให้สูงขึน
้ ได้ด้วย มิใช่เพียงสนุกสนานเท่านัน
้ สิ่งสำคัญ
ที่จะช่วยให้ผู้พูดบรรลุความมุ่งหมายได้คือ ต้องมีกลวิธีในการเสนอเรื่อง
และความสามารถในการใช้ภาษา ตลอดจนแสดงท่าทางอย่างสอดคล้อง
กัน เช่น การพูดเรื่องตลกในวงสนทนา การแสดงของคณะตลกต่างๆ
การพูดเรื่องที่สอนคติเตือนใจ เป็ นต้น
4. การพูด เพื่อ โน้ม น้า วใจผู้ฟั ง เป็ นการพูด ที่ผ ู้พ ูด ต้อ งมีค วาม
สามารถและระมัดระวังเป็ นพิเศษว่าจะพูดอย่างไร จึงจะทำให้ผู้ฟังเกิด
การยอมรับ ความคิดและการกระทำของผู้พ ูด การพูด แบบนีผ
้ พ
ู้ ูด ต้อ ง
สร้า งศรัทธาให้เ กิดขึน
้ แก่ผู้ฟังและต้องพูดให้ผ ู้ฟังเห็นคล้อ ยตาม บางที
อาจเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ หรือพฤติกรรมที่มีอยู่เดิมของ ผู้ฟังได้
ด้วย
อวยชัย ผกามาศ ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายของการพูดไว้
ว่า การพูด แต่ล ะครัง้ ไม่ว ่า จะเป็ นการพูด เดี่ย วหรือ พูด เป็ นกลุ่ม ย่อ มมี
ความมุ่ง หมายแตกต่า งกัน ออกไปตามกาลเทศะและบุค คล สามารถ
ประมวลได้ดังนี ้

125
1. พูดเพื่อ บอกเล่า ข้อ เท็จ จริง ข้อ นีม
้ ุ่ง ให้ผ ู้ฟั งได้ร ับ
ความรู้สาระจากเรื่องที่พูดให้มากที่สุด ดังนัน
้ ผู้พูดต้องมีการเตรียมตัวมา
ดีพอสมควรใช้สำนวนภาษาที่น่าสนใจเหมาะสมกับผู้ฟัง เช่น การกล่าว
รายงาน การกล่าวปราศรัย การกล่าวสุนทรพจน์ การบรรยาย การ
อธิบาย เป็ นต้น
2. พูด เพื่อ ความบัน เทิง ข้อ นีม
้ ุ่ง ให้ไ ด้ร ับ ความ
สนุกสนานเพลิดเพลินเป็ นสำคัญ พูดให้ตรงเป้ าหมาย อย่าเยิ่นเย้อหรือ
เนิ่นนานจนเกินไป ใช้สีหน้ากิริยา ท่าทาง เสียง และสำนวนภาษาที่
สร้างบรรยากาศเป็ นกันเอง เช่น การเล่าเรื่องในประเภทต่างๆ
3. พูดเพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจ ข้อนีม
้ ุ่งให้ผู้ฟังมีเจตคติ
ที่ด ี เปลี่ย นแนวคิด เดิม หรือ ความคิด เก่า ๆ และปฏิบ ัต ิต ามคำแนะนำ
หรือข้อเสนอแนะในที่สุดเพราะผู้ฟังมีความรู้สึกว่าตนเองได้รับประโยชน์
ผู้พูดต้องใช้ศล
ิ ปะการพูดและลีลาการพูด น้ำเสียงกิริยาอาการต่างๆ เพื่อ
ประกอบการพูดจนผู้ฟังคล้อยตามได้ เช่น การพูดเชิญชวนบริจาคทรัพย์
เพื่อสาธารณประโยชน์ เป็ นต้น
อ้างอิง : (อรอุมา บุตรมิมุสา. จุดมุ่งหมายของการพูด. 2556 : 1 )
สรุป : การพูดแต่ละครัง้ ผูพ
้ ูดจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายว่าต้องการ
จะให้ผ ฟ
ู้ ั งได้รับ สิ่งใด จะพูดเรื่องอะไร เพื่อ อะไร เช่น เพื่อ แจ้ง ให้ทราบ
เพื่อค้นหาคำตอบ แสดงความคิดเห็น เพื่อความบันเทิง

การพูดเป็ นการสนทนาในชีวติประจำวัน ผู้พูดอาจไม่จำเป็ นต้องตัง้


วัตถุประสงค์อย่างเป็ นทางการ แต่หากเป็ นการพูดต่อหน้าสาธารณชน ผู้

126
พูดควรตัง้ วัตถุประสงค์ให้ชัดเจน เพื่อเตรียมข้อมูลเนื้อหา ฟลักฐานอ้างอิง
และสำนวนภาษิตที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งมีจ ุดมุ่งหมายของการพูดจำแนก
ได้ดังนี ้
๑. พูดเพื่อให้ความรู้
ความหมาย :การพูดเพื่อให้ความรู้เป็ นการสื่อสารที่ผู้พูดในศาสตร์
ใดศาสตร์หนึ่ง เพื่อให้ผฟ
ู้ ั งได้ฟังและทราบในข้อมูล
รูป แบบ : ใช้รูป แบบได้ห ลายวิธ ี เช่น การบรรยาย การอภิป ราย
การสัมภาษณ์ โดยผู้พูดจะทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจไปสู่ผู้ฟัง
ประโยชน์ที่ได้รับ :ได้แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดระหว่างผู้พูดและผูฟ
้ ัง
และความสนใจในเรื่องเดีย วกัน ช่ว ยพัฒ นาความรู้เ กิด ประโยชน์ต ่อ คน
จำนวนมากและหลายระดับ
๒. พูดเพื่อโน้มน้าวใจ
ความหมาย :การพูดเพื่อโน้มน้าวใจเป็ นการพูดที่ผู้พูดต้องใช้ศิลปะ
เพื่อจูงใจให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อและคล้อยตามความมุ่งหมายของผูพ
้ ูด
รูปแบบ : ใช้รูปแบบพูดโดยแสดงให้ผฟ
ู้ ั งเห็นว่า ผูพ
้ ูดให้ความสำคัญ
และสนใจผู้ฟัง เช่นการพูดโฆษณาเพื่อขายสินค้าและบริการต่างๆผู้พูดจะ
ต้องรู้จักสังเกต ใส่ใจความตอ้งการของผู้ฟังแล้วจึงประสานความต้องการ
ของตนและผูฟ
้ ั งเข้าด้วยกัน โดยอาศัยประสบการณ์ การค้น คว้า ข้อ มูล
และการติดตามข่าวสารต่างๆ
ประโยชน์ที่ได้รับ : สร้างความตระหนกัในสิ่งที่ดีเป็ นประโยชน์ต่อผู้ฟังและ
ช่วยให้ผู้พูดประสบความสำเร็จตรงตามเป้ าหมาย
๓. พูดเพื่อจรรโลงใจ

127
ความหมาย : การพูดจรรโลงใจเป็ นการสื่อสารที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
บอกเล่าสิ่งที่เป็ นนามธรรมและสร้างทัศนคติที่ดีแก่ผู้ฟัง
รูปแบบ : ใช้รูปแบบพูดโดยการบรรยาย อธิบาย หรือยกโวหารมา
ประกอบการพูด และเพื่อให้ผู้ฟัง
เข้าถึงการพูดได้ดีขน
ึ ้ ผูพ
้ ูดต้องศึกษาข้อมูลที่สร้างความประทับใจและยก
ระดับจิตใจผู้ฟัง ให้ผฟ
ู้ ั งได้รับแนวคิดที่
ดีมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
ประโยชน์ท ี่ไ ด้ร ับ : ช่ว ยยกระดับ จิต ใจของผู้ฟั งให้ไ ด้ร ับ ความสุข เกิด
ทัศนคติที่ดีในการดำเนินชีวิต
๔. พูดเพื่อให้ความบันเทิง
ความหมาย : การพูดเพื่อให้ความบันเทิงเป็ นการสื่อสารด้วยการ
พูดในเรื่องที่สนุกสนานเพื่อสร้างอารมณ์ขันหรือผ่อนคลายความรู้สึกของผู้
พูด
รูป แบบ : ใช้ร ูป แบบการพูด โดยบรรยายข้อ มูล ที่ก ่อ ให้เ กิด
จินตนาการและความคิดสร้า งสรรค์โ ดยผู้พ ูด ต้อ งทราบบรรยากาศและ
ความต้องการของผู้ฟังและควรพูดให้เกิดความสนุกสนานควบคู่ไปกับการ
ทำให้ผู้ฟังมีความรู้
ประโยชน์ที่ได้รับ : ผู้ฟังได้รับความรู้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
๕. พูดเพื่อแก้ปัญหาหรือตอบคำถาม
ความหมาย : การพูดเพื่อแก้ปัญหาหรือตอบคำถามเป็ นการพูดที่ผู้
พูดจะต้องให้คำตอบหรือคำแนะนำในประเด็นที่เป็ นข้อ สงสัย รวมถึงหา
แนวทางหรือทางออกสำหรับปั ญหานัน
้ ๆ

128
รูปแบบ : ใช้รูปแบบพูดตอบคำถามอธิบายข้อเท็จจริง โดยผูพ
้ ูดจะ
ต้อ งเป็ นผู้ม ค
ี วามรู้ ความเข้า ใจเกี่ย วกับ เรื่อ งที่จ ะสื่อ สารเป็ นอย่า งดี
สามารถตอบปั ญหาต่างๆ ที่ผฟ
ู้ ั งสงสัยได้
ประโยชน์ท ี่ไ ด้ร ับ : ได้แ ลกเปลี่ย นความคิด เห็น และแนวทางแก้ปั ญหา
ระหว่างผู้พูดและผูฟ
้ ั งรวมถึงได้ข้อสรุปหรือคำตอบในประเด็นนัน

อ้างอิง : (สมบัติ จำปาเงิน. ความรู้เบื้องต้นในการพูด. 2559 : 1 - 3 )
สรุป : การพูดเป็ นการสนทาในชีวิตประจำวันของคนเรา ผู้พูดอาจไม่
จำเป็ นต้องตัง้ วัตถุประสงค์อย่างเป็ นทางการก็ได้
การพูดมีจุดมุ่งหมาย ดังต่อไปนี ้
1. เพื่อให้ผฟ
ู้ ั งได้รับความรู้ความเข้าใจ เป็ นการอธิบายที่มุ่งหมายให้
ผู้ฟังมีความรู้ความเข้าใจเนื้อหาสาระของเรื่องที่พูด ตามเนื้อหาสาระของ
วิช าการในสาขาต่า งๆ เช่น การอธิบ ายเกี่ย วกับ เรื่อ งใดเรื่อ งหนึ่ง ให้
นักเรียนฟั ง โดยอาจจะยกตัวอย่าง พร้อมกับการใช้ส่ อ
ื ต่างๆ ประกอบเพื่อ
ให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึน

2. เพื่อให้ผ ู้ฟั งเกิดความคิด หรือ ทัศ นะอย่า งใดอย่า งหนึ่ง เป็ นการ
อธิบ ายเกี่ยวกับ แนวคิด มุ่ง ให้ผ ฟ
ู้ ั งได้น ำไปพิจ ารณาไตร่ต รองทำให้เ กิด
แนวคิดหรือทัศนะเกี่ยวกับ เรื่องนัน
้ ๆ หรือ อาจจะนำไปปฏิบ ัติซ ึ่งจะเป็ น
ประโยขน์ต่อตนเองและสังคม
อ้างอิง : (มณฑนา วัตนถนอม. การพูดอธิบาย. 2533 : 5 )
สรุป : การพูดมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ผู้ฟังได้รับความรู้ความเข้าใจ เพื่อ
ให้เกิดความคิดและทัศนะอย่างใดอย่างหนึ่ง

129
หลักเกณฑ์ในการพูด
การพูดนัน
้ ผู้ที่จะพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรรู้หลักการพูดใน
เบื้องต้น เพื่อจะได้มีแนวทางในการปฏิบัติและฝึ กฝนจนเกิดความชำนาญ
ซึ่งหลักการพูดโดยทั่วไปมีดังนี ้
๑. วิเ คราะห์ผ ู้ฟั ง การวิเ คราะห์ผ ฟ
ู้ ั งเป็ นเรื่อ งสำคัญ ที่ผ ู้พ ูดควร
กระทำทุกครัง้ ก่อนแสดงการพูด เนื่องจากผู้ฟังเป็ นปั จจัยสำคัญที่สะท้อน
ถึง ความสามารถของผูพ
้ ูด ผูพ
้ ูด ควรวิเ คราะห์ผ ู้ฟั งในเรื่อ งของเพศ วัย
ระดับการศึกษา อาชีพ ความสนใจ จำนวน ทัศนคติ และความคาดหวัง
เพื่อจะได้เตรียมเนื้อหา วิธีพูดหรือถ้อยคำ กิริยาท่าทางให้เหมาะสมกับ
กลุ่มผูฟ
้ ั งนัน
้ ๆ และให้ได้ผลสมความมุ่งหมายของผู้พูด
๒. วิเคราะห์โอกาส ผูพ
้ ูดต้องรู้ว่างานที่ต้อ งไปแสดงการพูดนัน

จัดขึน
้ เนื่องในโอกาสใด เช่น งานสมรส งานเลีย
้ งสำเร็จการศึก ษา การ
บรรยายวิชาการ เป็ นต้น ทัง้ นีเ้ พื่อจะได้เตรียมการแต่งกาย ภาษา เนื้อหา
และวิธีการนำเสนอได้อย่างเหมาะสม
๓. วิเคราะห์กาลเทศะ ผู้พูดที่ดีต้องคำนึงถึงเรื่องวัน เวลา และ
สถานที่ท ี่พ ูด ด้ว ย เพราะวัน เวลาสถานที่ท ี่เ หมาะสมเป็ นองค์ป ระกอบ
สำคัญในการสร้างบรรยากาศ ในการพูดนัน
้ ถ้าเลือกสถานที่พูดไม่เหมาะ
สมจะทำให้ผ ู้ฟั งขาดความสนใจ สถานที่ท ี่แ สดงการพูด ควรเป็ นที่ท ี่ม ี
อากาศถ่ายเทสะดวก มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อให้ผ ู้ฟั งมีส มาธิในการฟั ง
นอกจากนีเ้ รื่องของเวลาก็สำคัญเช่นกัน ผู้พูดที่ดีควรพิจารณาสถานการณ์
แวดล้อม เพื่อปรับลักษณะการพูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์นน
ั้ ๆ

130
๔. ศึก ษารูป แบบของการพูด ผู้พ ูด ต้อ งศึก ษารูป แบบหรือ
ประเภทของการพูดเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโอกาสของการพูด ซึ่งรูป
แบบของการพูดนัน
้ แบ่งเป็ นแบบต่างๆ ตามวิธีการแบ่ง ดังนี ้
๔.๑) แบ่งตามวิธีการพูด ซึ่งเป็ นการพูดที่มีผู้พูดเพียงคนเดียว
มีรายละเอียดดังนี ้
-การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียมล่วงหน้า(Impromptu)
-การพูดปากเปล่าโดยมีการเตรียมล่วงหน้า(Extemporaneous)
-การพูดโดยวิธีท่องจำ(Memorize Speech)
-การพูดโดยการอ่านจากต้นฉบับ(Reading fromm Manuscript)
๔.๒) แ บ ่ง ต า ม จ ุด ม ุ่ง ห ม า ย ข อ ง ก า ร พ ูด แ บ ่ง อ อ ก ไ ด ้
เป็ น๓ประเภท ดังนี ้
-การพูดเพื่อให้ความรู้(Informative Speech)
-การพูดเพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจ(Persuasive Speech)
-การพูดเพื่อจรรโลงใจ(Recreative Speech)
๔.๓) แบ่งตามโอกาสของการพูด แบ่งออกเป็ น๒ประเภท ดัง
ต่อไปนี ้
-การพูดแบบไม่เป็ นทางการ(Informal Speech)
-การพูดแบบเป็ นทางการ(Formal Speech)
๕. เลือกเรื่องพูด ในการพูดนัน
้ หากผูพ
้ ูดต้องเป็ นผู้เลือกหัวข้อ
เรื่องในการพูดเอง ควรเลือกเรื่องหรือหัวข้อเรื่องพูดตามหลักการณ์ต ่อไป
นี ้
-เลือกเรื่องที่ผพ
ู้ ูดมีความรู้ ประสบการณ์ สามารถค้นคว้าข้อมูล

131
-เลือกเรื่องที่ผฟ
ู้ ั งสนใจ
-เลือกเรื่องที่ให้ประโยชน์แก่ผฟ
ู้ ั ง
-เลือกเรื่องที่เหมาะสมกับความคิดของผูฟ
้ ัง
-เลือกเรื่องที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และโอกาส
-เลือกเรื่องที่มีความทันสมัยและเป็ นปั จจุบัน
-เลือกเรื่องที่มีขอบเขตไม่กว้างหรือลึกซึง้ เกินไป
๖. เตรียมเนื้อหาในการพูด
เนื้อหาที่ใช้ในการพูดนัน
้ ผู้พูดควรทำตามลำดับขัน
้ ตอน ดังนี ้
๖.๑) ตัง้ จุดมุ่งหมายในการพูด ในการพูดทุกครัง้ ผูพ
้ ูดต้องตัง้
จุดมุ่งหมายในการพูด ว่าจะพูดเพื่ออะไร เพื่อให้ความรู้ เพื่อโน้มน้าวใจ
เพื่อจรรโลงโลก หรือเพื่อค้นหาคำตอบ เพื่อจะได้มีแนวทางในการเตรียม
เนื้อหา เตรียมการใช้ภาษา และกลวิธีการพูดได้อย่างเหมาะสม
๖.๒) จำกัด ขอบเขตของเรื่อ งที่พ ูด ผ พ
ู้ ูด จะต้อ งก ำหนด
ประเด็นของเรื่องว่าจะพูดในประเด็นใดบ้าง และควรเน้นประเด็นใดเป็ น
พิเศษ โดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายที่วางไว้ และระยะเวลาที่ได้รับมอบ
หมายให้พูดด้วย
๖.๓) วางโครงสร้าง คือการลำดับประเด็นสำคัญของเรื่อง โดย
จัดลำดับก่อนหลังตามความสำคัญ และควรจัดให้มีความสัมพันธ์กัน การ
วางโครงสร้างเรื่องที่ดีจะช่วยให้เ นื้อ หาที่จ ะพูด เป็ นระเบียบ ทำให้ผ ู้ฟั ง
เข้าใจได้ง่าย การวางโครงเรื่องพูดมีหลักปฏิบัติเหมือนกับการเขียนโครง
เรื่องในงานเขียน โดยเริ่มจากการรวบรวมความรู้ความคิด การเลือกสรร

132
ความรู้ความคิด การจัดลำดับความรู้ความคิด และการขยายความรู้ความ
คิด
๖.๔) ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล เมื่อวางโครงเรื่องเสร็จแล้วผู้
พูดต้องค้นคว้ารวบรวมข้อมูล รายละเอียด และตัวอย่างจากแหล่งข้อมูล
สารสนเทศต่า งๆ มาใส่เ พิ่ม เติม ให้ห ัว ข้อ ในโครงเรื่อ งที่ว างไว้ม ีค วาม
สมบูรณ์
๗. จัดเรื่อ งพูด ในการจัด เรื่อ งเพื่อ เตรีย มพูด นัน
้ จะแบ่ง ออก
เป็ น ๔ ส่วน คือ
๗.๑) การทัก ทายผู้ฟั งหรือ การปฏิส ัน ถาร การทัก ทายเป็ น
มารยาทในสังคม การพูด ก็เช่นกันเมื่อผูพ
้ ูดกับผู้ฟังได้พบกันก็จะมาการ
ทักทายกัน ถือเป็ นการให้เกียรติผู้ฟังและเป็ นการเตรียมตัวผู้ฟังให้ฟังเรื่อง
ที่ผู้พูดกำลังจะพูด การกล่าวทักทายผู้ฟัง แบ่งออกเป็ น ๒ แบบ คือ
-การทักทายแบบเป็ นทางการ
-การทักทายแบบกึ่งทางการ
๗.๒) การเกริ่นนำหรืออารัมภบท หลังจากทักทายผู้ฟังแล้ว ผู้
พูดจะต้องพูดเกิร่นนำเรื่องที่จะพูดเพื่อสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ สนใจใคร่
ติดตามสาระของเรื่องที่พูดต่อไปด้วยการใช้คำพูดที่จับใจผู้ฟัง การเกิร่นมี
หลายวิธี ดังนี ้
-ขึน
้ ต้นด้วยการแสดงความยินดีเต็มใจที่ได้มาพูด
-ขึน
้ ต้นด้วยการตัง้ คำถาม
-ขึน
้ ต้นด้วยข้อความที่กระตุ้นให้สงสัย
-ขึน
้ ต้นด้วยคำคมบทกวี

133
-ขึน
้ ต้นด้วยการเล่าเรื่องที่สนุกสนานและน่าสนใจ
-ขึน
้ ต้นด้วยการอ้างวาทะของบุคคลที่มีช่ อ
ื เสียง
-ขึน
้ ต้นด้วยตัวอย่างหรือนิทาน
-ขึน
้ ต้นด้วยการชีใ้ ห้ผู้ฟังเห็นประโยชน์ที่ได้รับ
๗.๓) การกล่าวเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องเป็ นส่วนสำคัญของการพูด
ผู้พูดต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อม และต้องดำเนินเรื่องให้น ่าสนใจ มีความ
สอดคลองกับเวลา ซึง่ ผู้พูดควรปฏิบัติดังหลักการต่อไปนี ้
-ถ่ายทอดตามลำดับความของเรื่อง
-พูดอยู่ในประเด็นไม่ออกนอกเรื่อง
- เน้น ย้ำประเด็น ที่ส ำคัญ ควรมีก ารยกตัว อย่า งประกอบเพื่อ ให้ผ ู้
เข้าใจง่าย
-สังเกตพฤติกรรมของผู้ฟัง ต้องมีการสอบถาม ทบทวนเป็ นระยะ
-ใช้โสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง
-เนื้อความควรโยงประสบการณ์ใหม่ให้สัมพันธ์กับประสบการณ์เดิม
ของผูฟ
้ ั ง จะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจชัดเจนง่ายขึน

-ควรสอดส่องอารมณ์ข ัน ในเนื้อ เรื่อ งบ้า ง เพื่อ ไม่ให้ผ ู้ฟั งเกิด ความ
เบื่อหน่าย
-เร้าความรู้สึกของผู้ฟังให้มากขึน
้ เป็ นลำดับ ด้วยการยกตัวอย่างอุทา
หรณ์เบาๆไว้ตอนต้น และหนักขึน
้ ในตอนท้ายๆ เพื่อให้เข้มมากข้นขึน

-ดำเนิน เรื่อ งให้ส อดคล้อ งกับ เวลาที่ก ำหนด ผู้พ ูด ต้อ งพร้อ มที่จ ะ
ตัดตอนบางตอน หรือเพิ่มขยายความได้ในกรณีที่จำเป็ น

134
๗.๔) การกล่า วสรุป การกล่า วสรุป ที่ด ีจ ะให้ผ ู้ฟั งเกิด ความ
ประทับใจและจดจำได้ การกล่าวสรุปมีหลายวิธีดังนี ้
-กล่าวสรุปเน้นย้ำสาระสำคัญของเรื่อง
-กล่าวสรุปโดยการเรียกร้องชักชวนหรือกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติตามที่ผ ู้
พูดต้องการ
-กล่าวสรุปแบบให้คิดหรือทิง้ ท้ายด้วยคำถาม ให้ผู้ฟังนำกลับไปคิดต่อ
-กล่าวสรุปโดยใช้บทกวี คำคม สำนวน สุภาษิต คำพังเพย หรือเพลง
-กล่าวสรุปแบบเฉลยคำตอบ ซึง่ การกล่าวสรุป แบบนีต
้ ้อ งสัมพัน ธ์ก ับคำ
เกริ่นนำที่เป็ นคำถาม
๘. เตรียมบุคลิกภาพ บุคลิกภาพนัน
้ เป็ นปั จจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้
ฟั งสนใจและประทับใจในผู้พูด อันส่งผลให้ผพ
ู้ ูดประสบความสำเร็จ ดังนัน

ผู้ควรฝึ กฝนและปรับปรุงบุคลิกภาพต่างๆ ต่อไปนี ้
๘.๑) การใช้ภาษา ผูพ
้ ูดควรคำนึงถึงระดับภาษาที่เหมาะสม
กับผูฟ
้ ั งตามสถานการณ์การพูด และควรเลือกถ้อยคำที่เข้าใจง่าย มีความ
ตรงตามที่ตนต้องการ
๘.๒) อากัป กิร ิย า ผู้พ ูด ควรจัด ท่า นั่ง ท่า ยืน ตลอดจนท่า
เคลื่อนไหวต่างๆขณะพูด ดังต่อไปนี ้
-การเดิน ผูพ
้ ูดควรฝึ กซ้อมท่าทางการเดินให้สง่างาม ตัวตรง ปล่อย
แขนแนบลำตัว หน้ามองตรง ปรากฏตัวด้วยท่าทีกระตือรือร้น
-การยืน ถ้า เป็ นการยืน พูด ควรยืน แยกเท้า ทัง้ สองข้า งแต่พ องาม
ประมาณ๑คืบ ปลายเท้าเหลื่อมกันเล็กน้อย ทรงตัวมั่นคง ไม่โอนเอน ไม่
ยืนสลับขาไปมา ปล่อยแขนข้างลำตัวตามสบาย

135
-การนั่ง หากเป็ นการนั่งพูด ควรฝึ กการนั่งให้ตัวตรง หลังตรง ไม่พงิ
พนักเก้าอี ้ ไม่นั่งไขว่ห้าง หรือกางขา
-การใช้ท่าทางประกอบการพูด ผูพ
้ ูดที่ดีควรแสดงท่าทางประกอบ
การพูดให้เหมาะสมกับเนื้อหาและมีจุดมุ่งหมาย
๘.๓) การแสดงออกทางสีห น้า การพูด โดยทั่ว ไปผู้พ ูด ควร
แสดงสีหน้าโดยปกติ ยิม
้ แย้มแจ่มใส ไม่ควรแสดงสีหน้าเคร่งเครียด และ
ควรแสดงสีหน้าให้สอดคล้องกับเรื่องที่พูด
๘.๔) การใช้สายตา ผู้พูดควรมองผู้ฟังอย่างทั่วถึง สบสายตา
เป็ นระยะ พึงหลีกเลี่ยงการแหงนหน้ามองเพดาน เหม่อลอย หรือก้มมอง
พื้น การใช้สายตาอย่างทั่วถึงช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็ นมิตร ทำให้ผู้ฟัง
สนใจ และรู้สก
ึ ว่าผู้พูดให้ความสำคัญแก่ตน
๘.๕) การออกเสีย งและการใช้เ สีย ง ผู้พ ูด ควรฝึ กพูด ด้ว ยน้ำ
เสียงที่ธรรมชาติ มีความชัดเจน หลีกเลี่ยงน้ำเสียงเนือยๆ รู้จักใช้เสียงสูง
ต่ำหนัก เบา ให้สอดคล้องกับเรื่องราวที่พูด
๘.๖) การแต่งกายและทรงผม ผู้พูดควรแต่งการให้เหมาะสม
กับกาลเทศะ เหมาะสมแก่โอกาส
๙. ประเมินผลการพูด ผูพ
้ ูดที่ดีควรประเมินผลการพูดของตนเอง
ทุก ครัง้ เพื่อ พัฒ นาการพูด พูด ของตนให้ม ีป ระสิท ธิภ าพมากขึน
้ การ
ประเมินผลการพูดผู้อาจจะประเมินด้วยตนเอง จากการพิจารณาปฏิกิริยา
ตอบสนองจากผูฟ
้ ั ง ว่าผูฟ
้ ั งมีความสนใจในการฟั งมากน้อยเพียงใด
การพูดในบางครัง้ ผู้ฟังอาจทำหน้าที่เป็ นผู้ประเมินโดยพิจารณาจาก
สิ่งต่อไปนี ้

136
-บุค ลิก ภาพและการแสดงออกขณะพูด ได้แ ก่ การแต่ง กาย การ
ปรากฏตัว การพูดของผูพ
้ ูดเป็ นธรรมสชาติ มีค วามมั่น ใจสามารถสร้า ง
บรรยากาศให้เหมาะสมกับเรื่องราวเพียงไร
-การเลือกเรื่องหรือเนื้อหาสาระ เป็ นเรื่องที่น ่าสนใจเหมาะกับผูฟ
้ ัง
เพียงไร
-การเรียบเรียง ผู้พูดสามารถจัดลำดับเรื่องราวได้ดีเพียงไรเกริ่นนำ
หรือสรุปจบได้น่าสนใจหรือไม่
-การใช้ถ้อยคำถูกต้อง ชัดเจน เหมาะสมกับโอกาส และสร้างคววาม
ประทับใจแก่ผู้ฟังหรือหรือไม่
-เสียงหรือลีลาของการใช้เสียง น้ำเสียงดังชัดเจน ระดับเสียง ลีลา
ของเสียงเหมาะสมกับเรื่องราวหรือไม่
-การใช้ส ายตาหรือ สีห น้า ก ารแสดงออก ทางแ ววตา สีห น้า
สอดคล้องกับเรื่องที่พูดเพียงไร มีการประสานสายตากับผูฟ
้ ั งทั่วถึงหรือไม่
-การใช้ท่าทางประกอบการพูด ท่าทางประกอบการพูดเป็ นไปตาม
ธรรมชาติและเหมาะสมกับบรรยากาศเพียงไร
๑๐. คุณสมบัติของผู้พูดที่ดี
-มีความรู้ในเรื่องที่พูดเป็ นอย่างดี
-มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีบค
ุ ลิกภาพที่ดี น่าเชื่อถือ
-ใช้ภาษาพูดได้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล มีการใช้อวัจนภา
ษาและลีลาท่าทางประกอบการพูดอย่างเหมาะสม
-รู้จักเรียงลำดับความสำคัญของเนื้อหาและสรุปความได้

137
-มีว ัต ถุป ระสงค์ใ นการพูด ที่ช ัด เจน รู้จ ัก วิเ คราะห์ปั ญหาก่อ นพูด
ขณะพูด และหลังพูด
-มีอารมณ์ขัน รู้จักสร้างบรรยากาศที่ดีในการพูด มีมารยาทในการ
พูด
อ้า งอิง : หนังสือการใช้ภ าษาไทย:คณาจารย์ส าขาวิช าภาษาไทย คณะ
ศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ. พ.ศ.๒๕๕๑. :
โอ.เอส. พริน
้ ติง้ เฮ้าส์ : หน้าที่ ๑๔๙ – ๑๕๖.
สรุป : การพูด นัน
้ เป็ นสิ่ง สำคัญ ผูพ
้ ูด ควรวิเ คราะห์ผ ฟ
ู้ ั งในเรื่อ งของ วัย
ระดับการศึกษา อาชีพ และจัดเตรียมเนื้อหาในการพูด และ ผูพ
้ ูดจะต้อง
เชื่อ มั่น ในตัว เอง ใช้ภ าษาพูด ได้เ หมาะสมและมีอ ารมณ์ข ัน สร้า ง
บรรยากาศที่ดีเพื่อไม่ผู้ฟังสนุกสนานและไม่น่าเบื่อเกินไป

หลักการหรือแนวทางในการพูด
การพูดแบบต่างๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี ้ เป็ นเพียงการนำเอา การพูด
เล่าเรื่อง การพูดอธิบาย และการพูดให้ความรู้มากล่าวถึงเท่านัน
้ แต่ก่อน
ที่จะกล่าวถึงการพูดทัง้ ๓ประเภทดังกล่าว มีประเด็นที่ผ ู้พูดทัง้ ๒ประเภท
ใหญ่ๆ คือ ข้อปฏิบัติก่อนการพูด และข้อปฏิบัติขณะพูด ทัง้ สองประการนี ้
ผูพ
้ ูดจะต้องใช้เสมอไม่ว่าเป็ นการพูดแบบใดๆ

ข้อปฏิบัติก่อนการพูด

138
๑) สำรวจสภาพร่า งกายและการแต่ง กายให้พ ร้อ มที่พ ูด เช่น
ความสะอาด ความเป็ นระเบียบเรียบร้อย เสื้อผ้า เนคไท เข็มขัด กระเป๋ า
เป็ นต้น
๒) ทบทวนประโยคขึน
้ ต้น หัวข้อต่างๆ ในการดำเนินเรื่อง และ
ประโยคลงท้าย
๓) ถ้าไม่มีความจำเป็ นจริงๆแล้ว บทพูดที่เตรียมไว้ไม่ควรนำขึน

ไปบนเวที
๔) ซักซ้อมว่าจะทักทายผู้ฟังอย่างไร
๕) ดื่ม น้ำเย็น และสูด ลมหายใจลึก ๆ เพื่อ ลดอาการประหม่า
อาการตื่นเต้น
ข้อปฏิบัติขณะพูด
๑) ขณะขึน
้ ไปพูด จะต้อ งเดิน อย่า งสง่า ผ่า เผย ไม่ก ้ม หน้า หรือ
เหลียวหน้า เหลียวหลัง
๒) ไม่โค้งคำนับ หรือทำความเคารพใคร จนกว่าจะถึงที่พูด
๓) เมื่อถึงที่พูด ต้องโค้งประธาน แล้วหันไปปฏิสันถาวรผู้ฟัง
๔) ควรยืนให้เท้าทัง้ สองห่างกันพอประมาณ ทิง้ น้ำหนักตัวลงบน
เท้าทัง้ สองไม่แกว่งเท้าเล่น หรือโยกตัวไปหน้ากลับหลัง หรือถอยหน้าถอย
หลัง
๕) อย่าก้มหน้า อย่ามองเพดาน อย่ามองออกนอกหน้าต่าง หรือ
หลบสายตาผู้ฟัง หรือมองจุดใดจุดหนึ่งในสถานที่พูดเพียงจุดเดียว แต่ควร
ใช้สายตามองผู้ฟังโดยกวาดสายตามองให้ทั่วเป็ นระยะๆ

139
๖) ถ้าในระหว่างพูดเกิดลืมเนื้อหาที่พูดมาอย่างกระทันหัน หรือ
พูดติดขัด จงอย่าตกใจ พยายามยิม
้ กับผู้ฟัง และหาทางพูดประโยคอื่นๆ
สัก ๒-๓ ประโยค แต่ถ้านึกไม่ออกจริงๆก็ให้ผ่านไป ไม่ควรเสียเวลาคิดอยู่
แต่ประโยคที่พูดไม่ออกนัน

๗) พยายามจบลงด้วยถ้อยคำที่เตรียมมาแล้วอย่า งดี ไม่ควรจบ
อย่างเลื่อนลอยด้วยการใช้ค ำว่า “สวัสดี” หรือ “ขอบคุณ” เพราะไม่ให้
ความอะไรที่เป็ นประโยชน์ต ่อผู้พูด และการขอบคุณนัน
้ โดยสภาพที่เป็ น
จริงแล้วผู้ฟังควรขอบคุณผูพ
้ ูดมากกว่า
อ้า งอิง : หนัง สือ การใช้ภ าษา : คณะมนุษ ยศาสตร์แ ละสัง คมศาสตร์
วิทยาลัยครูส ุราษฎร์ธานี : ปี ๒๕๓๓ : กรุงสยามการพิมพ์ ๔-๑๐ ถนน
ราชบพิธ กรุงเทพ.
สรุป : การพูดที่กล่าวมานีเ้ ป็ นการพุดที่เล่าเรื่อง หรือพูดอธิบาย ก่อนการ
พูดนัน
้ ควรสำรวจเครื่องแต่งกายของตน ความสะอาดเรียบร้อย และใน
ขณะทีพ
่ ูดนัน
้ ผู้พูดไม่ควรก้มหน้าหรือหลบสายตาผู้ฟัง

หลักการพูด
๑. ศึกษาเกีย
่ วกับผู้ฟังและสิ่งแวดล้อม มีรายละเอียดดังนี ้
๑.๑ ศึก ษาผูฟ
้ ั งว่า อยู่ใ นวัย ใด เพศใด การศึก ษาระดับ ใด
อาชีพอะไร
๑.๒ ศึกษาผู้ฟังว่ามีเจตคติ อารมณ์ และรสนิยมอย่างไร
๑.๓ ศึกษาสภาพแวดล้อม เช่น สถานที่ที่จะพูด ช่วงเวลา
๒. เลือกเรื่องและจัดเนื้อเรื่องที่พูด

140
๒.๑ การเลือกเรื่อง ควรเป็ นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้ฟัง
เป็ นเรื่องที่แปลกใหม่
๒.๒ การจัดเนื้อเรื่อง เริ่มจาก คำนำ ต้องดึงดูดความสนใจ
ไม่ก ล่า วถ่อมตัว แก้ตัว หรือ กล่า วถึง ความเป็ นมาของเรื่อ งไกลเกิน ไป
ควรเป็ นใจความเพียง 2 – 3 ประโยค ส่วนเนื้อเรื่องต้องเป็ นข้อเท็จจริง
หลักฐาน เหตุผล และตัวอย่างที่ชัดเจน การสรุปไม่ใช่การย่อเรื่องที่พูด
แล้ว แต่เป็ นการเน้นประเด็นสำคัญด้วยถ้อยคำสำนวนที่เด่นเป็ นพิเศษ
เพื่อสร้างความประทับใจ
๓. เตรียมตัวผู้พูด
ผู้พูดที่ไม่มีประสบการณ์ในการพูดในที่ประชุมชนมาก่อนมักตื่นเต้น
ประหม่า เสียงสั่น ท่าทางเคอะเขิน อันเป็ นลักษณะของการขาดความ
มั่นใจในตนเอง ซึง่ เป็ นสาเหตุหนึง่ ที่ท ำให้ก ารพูด ล้มเหลว ผู้พ ูด จึง ควร
เตรียมตัวและฝึ กฝนการพูดอยู่ตลอดเวลา เพื่อความมั่นใจในตนเอง
นอกจากนีย
้ ังต้องมีการเตรียมตัวดังนี ้
การเตรียมบุคลิกภาพ
ข้อแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมบุคลิกภาพที่ดีของผู้พูด มีดังนี ้
๑. การแต่งกาย
๑.๑ เหมาะสมกับตัวเอง
๑.๑ เหมาะสมกับกาลเทศะ
๑.๓ เหมาะสมกับวัยและสมัยนิยม
๑.๔ สะอาดและเป็ นระเบียบ
๒. การใช้เสียง

141
๒.๑ มีความดัง – ค่อย พอเหมาะที่ผู้ฟังจะได้ยินทั่วไป
๒.๒ มีความนุ่มนวล แจ่มใส ชัดเจน ไม่แหบเครือ
๒.๓ ออกเสียง ร ล ควบกล้ำ ได้ชัดเจน
๒.๔ หลีก เลี่ยงการใช้เ สียงระดับ เดียวกัน ตลอดเวลา ควรมี
การเน้นน้ำเสียงบ้าง
๒.๕ ไม่ค วรใช้เ สียงที่เ ปล่ง ออกมาโดยไร้ค วามหมาย เช่น
อ่า อ้า เอ่อ เอ้อ หรือ เสียงที่เปล่งออกมาจากความเคยชิน เช่น ก็
แล้วก็ แบบ แบบว่า นะครับ ครับ นะคะ นะฮะ เป็ นต้น
๓. ภาษา
๓.๑ ใช้ข ้อ ความหรือ ประโยคที่ส น
ั ้ เข้า ใจง่า ย (ง่า ย งาม
ชัดเจน)
๓.๒ ใช้ภาษาถูกต้องตามหลักภาษาไทย
๓.๓ ใช้ภาษาสนทนาที่ส ุภาพ ไม่เป็ นภาษาเขียนหรือภาษา
ราชการ แต่ไม่ใช่ภาษาตลาด
๓.๔ หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาสแลง สบถ คำหยาบ คำภาษา
ต่างประเทศโดยไม่จำเป็ น ศัพท์ทางวิชาการที่ไม่เหมาะสมกับผู้ฟัง รวม
ทัง้ คำที่ไม่สุภาพจนเกินไป เช่น ศรีษะแม่เท้า แมวรับประทานปลา
๓.๕ ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับบุคคลและโอกาส
๔. ท่วงทีและอากัปกิร ิย าที่เ หมาะสม สามารถช่วยเสริมสร้า ง
การพูดได้ดังนี ้
๔.๑ ช่วยในการสื่อความหมายให้ผ ู้ฟังเข้าใจความรู้สึกนึกคิด
ของผูพ
้ ูดได้ดียิ่งขึน

142
๔.๒ เรียกร้องความสนใจจากผู้ฟัง
๔.๓ ช่วยผ่อนคลายความเคร่งเครียดของผู้พูด
๔.๔ ทำให้การพูดเป็ นจริงเป็ นจังมากขึน

๕. การทรงตัว
๕.๑ ท่า เดิน เช่น เดิน ขึน
้ เวที เดิน ในขณะพูด เดิน กลับ
มายังที่เดิม ต้องเดินตัวตรง ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป เมื่อถึงที่จะพูดควรหยุด
สักครู่ กวาดสายตาให้ทั่วกลุ่มผู้ฟังแล้วจึงเริ่มพูด
๕.๒ ท่ายืน เท้าทัง้ คู่ค วรชิด กัน พองาม ให้น ้ำหนัก ตัว ลงที่
เท้าทัง้ สอง ไม่ยืนเอียง ไม่เท้าโต๊ะ ไม่ยืนแอ่นหน้าแอ่นหลัง โคลงตัวไป
มา ไม่ยืนเหมือนหุ่น หรือยืนท่านางแบบ
๖. การใช้มือประกอบการพูด
๖.๑ ใช้ให้ตรงความหมายที่พูด
๖.๒ ไม่ใช้ซ้ำซาก
๗. การใช้สายตา
๗.๑ ควรมองผู้ฟังให้ทั่วถึง อย่ามองจุดเดียว
๗.๒ ถ้ากลุ่มผูฟ
้ ั งกลุ่มใหญ่ ค่อยๆ กวาดสายตาไปยังผู้
ฟั งกลุ่มต่างๆ
๗.๓ ควรมองสบตาไม่ใช่จ้องหรือหลบตา
๗.๔ ไม่ม องข้า มศีร ษะผูฟ
้ ั ง ไม่ม องเพดาน พื้น ห้อ ง
หรือมองออกไปนอกห้องตลอดเวลา
8. การแสดงสีหน้า

143
๘.๑ แสดงสีหน้าให้สอดคล้องตามเรื่องที่พูด แต่ไม่แสดงมาก
เกินไปจนเหมือนเล่นละคร
๘.๒ ไม่ยม
ิ ้ หรือบึง้ มากเกินไป
๘.๓ ไม่ยักคิว้ หลิ่วตา กระพริบตาจนบ่อยครัง้
๙. ปฏิภาณไหวพริบ
ขณะทีพ
่ ูดอยู่อาจมีปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึน
้ ปั ญหาที่ไม่คาดคิดนี ้
ผู้พูดจะต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบ เพื่อแก้ไขปั ญหาในการพูดให้ราบรื่นด้วย
ดี
๑๐. การลำดับหัวข้อเรื่อง
คือ รายละเอียดในการวางโครงเรื่อง เป็ นการจัดสาระสำคัญของ
ข้อความทัง้ หมดให้สอดคล้องและเป็ นระเบียบต่อเนื่องกันไป ช่วยให้ผู้พูด
และผู้ฟังไม่สับสน
๑๑. การดำเนินเรื่องตามความมุ่งหมาย
ผู้พ ูด ควรคำนึก ถึง จุดมุ่ง หมายที่ไ ด้วางไว้ เช่น พูด เพื่อ ให้ค วามรู้
พูดเพื่อชักจูงใจ หรือพูดเพื่อความบันเทิง พยายามดำเนินเรื่องสู่จุดมุ่ง
หมายนัน
้ ๆ
อ้างอิง: (การพูด หลักการพูด การใช้เสียง ม.ป.ป. : 2 )
สรุป : หลัก การพูด นัน
้ ควรศึก ษาเกี่ย วกับ ผู้ฟั งว่า อยู่ใ น วัย การศึก ษา
อาชีพใด และจัดเนื้อเรื่องที่จะต้องพูดผู้ที่ควรเตรียมตัวและฝึ กฝนในการ
พูด เพื่อความมั่นใจในตนเอง

ความบกพร่องทางการพูด
144
หมายถึง บุคคลที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ ใน
ด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่ระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะ
และขัน
้ ตอนของเสียงพูด ความบกพร่อง ทางการพูดพิจารณาได้ ๓ ด้าน
ดังนี ้
๑.๑ ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง แบ่งเป็ น ๔ ลักษณะ
คือ
- เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป เช่นความ เป็ น คาม เป็ นต้น
- ออกเสีย งของตัว อื่น แทนตัว ที่ถ ูก ต้อ ง เช ่น กิน เป็ น จิน
เป็ นต้น
- เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่สียงที่ถูกต้องลงไปด้วย เช่น หกล้ม เป็ น หก -
กะ - ล้ม
- เสีย งเพีย
้ นหรือ เปล่ง ไปเช่น แล้ว เป็ น แล่ว ทัง้ นีจ
้ ะต้อ ง
พิจ ารณาว่า ความบกพร่อ งเหล่า นีเ้ กิด ขึน
้ บ่อ ยๆ เป็ นประจำหรือ ไม่
ขนบธรรมเนีย มหรือ ประเพณีข องผูพ
้ ูด เป็ นอย่า งนัน
้ หรือ ไม่ ถ้า เกิด ขึน

นานๆ ครัง้ และเป็ นวัฒนธรรมของผู้พูดก็ไม่ถือว่าผิดปกติ เช่น คนภาคใต้
เรียกแมงกะพรุนว่า แมงพุนก็ไม่ถือว่าผิดปกติแต่อย่างใด
๑.2 ความบกพร่องของเสียงพูด แบ่งเป็ น ๓ ลักษณะ คือ
- ความบกพร่อ งของระดับ เสีย ง เช่น เสีย งสูง หรือ ต่ำตลอด
เวลา หรือเสียงที่พูดอยู่ในระดับเดียวตลอด เสียงพูดผิดเพศ ผิดวัย
- เสียงดังหรือค่อยเกินไป คล้ายๆ กับตะโกนหรือ กระซิบอยู่
ตลอดเวลา

145
- คุณ ภาพของเสีย งไม่ด ี เช่น เสีย งแตกพร่า เสีย งกระด้า ง
เสียงแหบแห้งตลอดเวลา เป็ นต้น

๑.๒ ความบกพร่องของจังหวะและขัน
้ ตอนของเสียงพูด แบ่ง
เป็ น 5 ลักษณะ คือ
- พูด ไม่ถ ูก ตามลำดับ ขัน
้ ตอน ไม่เ ป็ นไปตามโครงสร้า งของ
ภาษา
- การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
- อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
- จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
- เสีย งพูด ขาดความต่อ เนื่อ ง สละสลวย ความบกพร่อ ง
ประเภทนีพ
้ บมากคือการติดอ่า งและพูด เร็วรัว คนติด อ่า งจะมีค วามผิด
ปกติเ กี่ย วกับ การพูด เช่น พูด ซ้ำคำคำเดีย วหลายๆ ครัง้ หรือ อึด อัก ๆ
เสียงยืด ยานคาง พูด ขาดเป็ นห้วงๆ มีก ิริย าท่า ทางที่แ สดงถึง ความยาก
ลำบากในการออกเสียงส่วนการพูดเร็วเกินไปนัน
้ เสียงพูดจะผิดเพีย
้ นไป
จากที่ควรจะเป็ นรูปประโยคผิดไปสลับเสียงตัวหนึ่ง เป็ นต้น
๒. ความบกพร่อ งทางภาษา หมายถึง การขาดความ
สามารถ ที่จะเข้าใจความหมายของคำพูด และ / หรือไม่สามารถแสดง
ความคิด ออกมาเป็ นถ้อยคำได้ ซึ่งพิจารณาได้ ๓ ด้าน ดังนี ้
๒.๑ การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย มี ๕ ลักษณะคือ
- มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
- มีความผิดปกติของไวยกรณ์และโครงสร้างของประโยค

146
- ไม่สามารถสร้างประโยคได้
- มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
- ภาษาที่ใช้เป็ นภาษาห้วน ๆ
๒.๒ การไม่มีความสามารถเข้าใจและสร้างถ้อยคำ เนื่องจาก
สมองหรือปราสาท ได้รับการกระทบกระเทือนหรือบาดเจ็บ มี ๗ ลักษณะ
คือ
- อ่านไม่ออก
- เขียนไม่ได้
- สะกดคำไม่ได้
- ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
- จำคำหรือประโยคไม่ได้
- ไม่เข้าใจคำสั่ง
- อารมณ์ไม่คงที่
๒.๓ ความผิดปกติหลังการพัฒนาภาษา เกิดขึน
้ หลังจากที่เด็ก
มีพัฒนาการทางภาษาแล้ว จึงอาจกล่าวได้ว่า ความผิดปกติทางการพูดมี
ความแตกต่างจากความผิดปกติทางภาษาคือ ความผิดปกติทางการพูด
เป็ นความผิดปกติที่เกี่ยวกับเสียงพูดในด้านการปรุงแต่งระดับและคุณภาพ
ของเสียงจังหวะและขัน
้ ตอนของเสียงพูด ส่วนความผิดปกติทางภาษาเป็ น
ความผิดปกติด้านการพัฒนาทางภาษาความสามารถเกี่ยวกับความเข้าใจ
การสร้างถ้อยคำและความผิดปกติที่เกิดก่อนและหลังการมีพัฒนาการทาง
ภาษา

147
สาเหตุ ขณะตัง้ ครรภ์ กรรมพันธุ์ การติดเชื้อของมารดาระหว่าง
ตัง้ ครรภ์ เช่น หัก เยอรมัน กามโรค คางทูม พิษ จากยาหรือ อาหารบาง
ประเภทที่มารดาได้รับขณะมีครรภ์ โรคขาดธาตุอาหารของมารดาขณะมี
ครรภ์ เลือดแม่ก ับลูกไม่เ ข้ากัน อุบัต ิเหตุของมารดาขณะตัง้ ครรภ์ เช่น
หกล้ม กระทบกระแทกขณะคลอด ความผิดปกติของการคลอด เช่น คลอ
อดยาก คลอดก่อนกำหนด ท่าคลอดของเด็กผิดปกติ หลังคลอด การแพ้
พิษยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาควินิน ยาแก้หวัด ฯลฯ การติดเชื้อ
เช่น การเป็ นหูน้ำหนวก ฯลฯ ความผิดปกติที่เกิดขึน
้ ภายในหู เช่น มีเนื้อ
งอกในหู หูได้รับเสียงดังติดต่อกันเวลานาน อุบัติเหตุที่กระทบกระเทือน
บริเวณหูหรือประสาทหู
วิธีการสอน เด็กที่มีความบกพร่องการออกเสียงผิด ควรจะตรวจ
สอบดูก ่อ นว่า เด็ก พูด ผิด ในการออกเสีย งอะไรบ้า ง แล้ว แก้ท ี่เ สีย ง
พยัญชนะหรือสระนัน
้ โดยเฉพาะ และจะต้องฝึ กหายใจให้ถูกต้อง ฝึ กการ
วางอวัยวะในการพูดให้ถูกต้อง ฝึ กการเปล่งเสียงให้ถูกต้อง การแก้ไขจะ
ได้ผลถ้าเด็กได้รับการฝึ กอย่างอื่นควบคู่กันไปด้วยได้แก่
การฝึ กฟั งการฝึ กฟั งเป็ นสิง่ จำเป็ นสำหรับ การเรีย นภาษา
เป็ นการฝึ กหูให้ค ุ้นเคยกับเสียงต่างๆ เสียงสระและเสียงพยัญชนะ การ
ได้ยินที่ดีนำไปสูก
่ ารพูดที่ดี การแก้ไขการพูดจะได้ผลยิ่งขึน
้ ถ้าเด็กทราบว่า
การจะออกเสียงพยัญ ชนะและสระแต่ล ะเสียงนัน
้ ทำอย่า งไร ใช้อ วัย วะ
ส่วนใดบ้าง เช่น เสียง ป ใช้ริมฝี ปากทัง้ สองข้าง เสียง ง ใช้โคนลิน
้ การ
บริห ารลิน
้ ลิน
้ เป็ นอวัย วะที่ส ำคัญ มากในการพูด การอ่า นออกเสีย ง
พยัญชนะแทบทุกตัวต้องใช้ลน
ิ ้ จึงมีความจำเป็ นต้องบริหารลิน
้ กระทำได้

148
โดยการฝึ กม้วนลิน
้ ไปมาม้ว นลิน
้ จากด้า นข้า งเข้า หาส่ว นกลาง แลบลิน

ออกมาให้ยาวที่สุด กดลิน
้ เข้ากับเพดาน ยกโคนลิน
้ ขึน
้ ลง รัวปลายลิน
้ กับ
ริมฝี ปาก ฟั น ปุ ่มเหงือกและเพดานแข็ง
๑. การเล่นเกมส์ ธรรมชาติของเด็กชอบเล่นอยู่แล้ว ถ้าให้เล่น
เกมส์ที่ต้องใช้ในการพูดแล้วจะทำให้เด็กมีโอกาสพูดยิ่งขึน
้ เกมส์ที่เลือก
ควรเหมาะกับวัยของเด็กและการพูดเป็ นส่วนสำคัญ เกมส์ที่ใช้ฝึกเสียง ป
ได้แก่เกมส์การเป่ าต่างๆ เช่น เป่ ากระดาษ เป่ ายางยืด เป่ านุ่น ฯลฯ
๒. เด็ก ที่มีค วามบกพร่อ งการติด อ่า ง พยามยามให้เ ด็ก พูด แม้
เด็กจะติดอ่างก็ตาม ควรให้เด็กร่วมกิจกรรมตามปกติ การพูดติดอ่างนัน

ไม่ใช่เรื่องสาหัส สามารถแก้ไขได้ บางทีขน
ึ ้ อยู่กับอวัยวะของเด็ก บางครัง้
เมื่อเด็กโตขึน
้ การแก้ไขต่างๆก็ง่ายขึน
้ และหายไปได้ในที่สุด
๓. เด็กที่มีความบกพร่องเสียงพูดผิดปกติ สอนฝึ กเด็กผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
และการหายใจให้ถูกต้อง การฝึ กระดับเสียงควรใช้เครื่องดนตรีเข้าช่วย
ให้เด็กฝึ กเสียง ๓ ระดับคือ สูง กลาง ต่ำ ก่อนแล้วฝึ กความดังของเสียง
โดยการฝึ กออกเสียงกระซิบ ฝึ กเสียงเบา ฝึ กเสียงดังด้วยการตะโกน แต่
ถ้าคุณภาพของเสียงไม่ดีเพราะเส้นเสียงผิดปกติ ก็เป็ นหน้าที่ของแพทย์ที่
จะช่วยผ่าตัด
๔. เด็ก ที่ม ีค วามบกพร่อ งด้า นพูด อัน เนื่อ งมาจากปากแหว่ง
เพดานโหว่ ควรแก้ไ ขข้อ บกพร่อ งทางร่า งกายก่อ น โดยการผ่า ตัด ใช้
เพดานเทียม เมื่อเด็กยังมีอายุน้อย หลังจากผ่าตัดแล้วสิ่งที่ควรกระทำคือ
ฝึ กการเป่ าลมซึ่งจะช่วยให้เด็กควบคุมลมที่ผ่านออกมาได้ ฝึ กการหายใจ
การเปล่งเสียงสระ พยัญชนะ และการฝึ กพูดเป็ นคำ

149
๕. เด็ก ที่ม ีค วามบกพร่อ งด้า นการพูด ช้า ควรหาสาเหตุก ่อ น
ว่าการพูดช้าเนื่องมาจากความบกพร่องทางด้านใดหรือไม่เช่น การได้ยิน
การมองเห็น เป็ นต้น โดยเด็กที่มีความบกพร่องด้านการพูดช้าควรฝึ กดังนี ้
- การฟั ง ให้เด็กฟั งให้มาก
- จัดประสบการณ์ให้เด็กมีโอกาสพูด
- ใช้รูปภาพ หุ่น และอุปกรณ์อ่ น
ื ๆที่เด็กสนใจ กระตุ้นให้เด็กพูด
และ สอนให้เด็กเขาใจในความหมาย
- ให้เด็กเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับความรู้สึกหรือสิ่งที่ได้พบเห็น
มา
- หลัก การจัด การเรีย น จัด โปรแกรมการแก้ไ ขการพูด ขึน
้ ใน
โรงเรียน สำรวจเด็ก ว่าเด็กคนไหนมีปัญหาด้านการพูด ที่ค วรได้รับ การ
แก้ไขบ้างและมีปัญหาทางด้านใด ดำเนินการให้เป็ นไปตามแผนการแก้ไข
การพูด ทำประวัต ิแ ละระเบีย นการแก้ไ ขปั ญหาการพูด ทดสอบและ
วิเคราะห์ปัญหาด้านการพูดของเด็ก ให้ความร่วมมือในการแก้ไขการพูด
กับบุคลากรอื่น ให้ความร่วมมือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองของเด็ก ส่ง
เด็กไปยังสถาบันที่เกี่ยวข้องเมื่อจำเป็ น ประเมินผลหลักการจัดการเรียน
การแก้ไขการพูด
- สื่อการสอน เกมส์ต่างๆที่มีความเหมาะสมกับวัย เด็ก เครื่อง
ดนตรี ฝึ กการพูด หนังสือการ์ตูน นิทาน บทเรียนง่ายๆ รูปภาพ หุ่น และ
อุปกรณ์อ่ น
ื ๆที่เด็กสนใจเพื่อกระตุ้นให้เด็กพูด เครื่องมือช่วยในการฝึ กพูด
เครื่องมือสื่อสารด้วยเสียง
อ้างอิง : (ดารณี อุทัยรัตนกิจ.2538:2)

150
สรุป: การบกพร่องในการพูดซึ่งจะเกิดจาการพูดผิดปกติ พูดไม่ชัด ความ
บกพร่องในการปรุงเสียง เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป หรือ ออกเสียง
ของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง หรืออาจจะมีลักษณะการพูดติดอ่างหรือพูด
ตะกุกตะกัก และไม่สามารถพูดเป็ นประโยชน์ได้

เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
เมื่อบุคคลไม่สามารถเปล่งเสียงพูดได้อย่างถูกต้อง ไม่สามารถพูด
ได้อ ย่า งราบรื่น หรือมีปัญหาเกี่ยวกับเสียงของตนเอง ถือว่าบุคคลนัน
้ มี
ความบกพร่องทางการพูด ซึง่ ครอบคลุมลักษณะตัง้ แต่ปัญหาความยาก
ลำบากในการออกเสียง หรือความผิดปกติในการออกเสียง รวมถึงการพูด
ติดต่าง ในขณะเดียวกัน เมื่อบุคคลมีปัญหาในการรับ รู้แ ละเข้า ใจภาษา
หรือมีทักษะในการใช้ภาษาบกพร่อง ถือว่าบุคคลนัน
้ มีความบกพร่องทาง
ภาษา ทัง้ นี ้ ผู้ใ หญ่แ ละเด็ก ต่า งสามารถประสบปั ญหาความบกพร่อ ง
ทางการพูดและภาษาได้ โดยสาเหตุของความบกพร่องอาจเกิดจากความ
ผิดปกติของร่างกาย หรืออาจเป็ นสาเหตุที่ไม่สามารถระบุแน่ชัดได้
สำหรับความบกพร่อ งทางการพูดและภาษาที่ส ่งผลกระทบต่อ
เด็กนัน
้ มีหลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม อาจจำแนกได้เป็ น ๔ ประเภทหลัก
ตามลักษณะของความผิดปกติ ได้แก่
- การออกเสียง โดยเด็กจะมีปัญหาในการออกเสียงไม่ถูกต้อง หรือพูดไม่
ชัด
- ความคล่อง เด็กมักจะมีพ ฤติกรรมการพูดซ้ำ พูดลากเสียงยาว หรือ
การละเสียง พยางค์ หรือ คำบางคำ นอกจากนีป
้ ั ญหาอาจเกิด จากการ

151
หยุด ชะงักของการออกเสียง การหายใจเข้า -ออกที่ผ ิดวิธี หรือ หลัก การ
ออกเสียงที่ไม่ถูกต้อง
- เสียงพูด โดยเด็กจะมีคณ
ุ ภาพเสียงที่ผิดปกติ เช่น ระดับสูงต่ำของเสียง
ความก้อง และความดังของเสียง
- ภาษา โดยเด็กจะมีปัญหาในการใช้ภาษาเพื่ออธิบายถึงสิ่งที่ต้อ งการ
ความคิด ข้อมูลข่าวสาร รวมไปถึงไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้อ่ น
ื พูดได้อีกด้วย
นอกจากนี ้ ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า “ความบกพร่องทางการพูด
และภาษา” แตกต่างไปจาก “การพัฒนาภาษาล่าช้า ถือเป็ นปั จจัยหนึ่งที่
สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากอาจเป็ นเป็ นตัวกำหนดความรุนแรงของปั ญหา
วิธีการรักษา และความเร่งด่วนในการรักษา ทัง้ นีเ้ พราะการพัฒนาภาษา
ล่าช้า ซึง่ ส่งผละกระทบต่อเด็กก่อนวัยเรียนจำนวนประมาณร้อยละ 5 ถึง
10 ถือเป็ นปั ญหาที่พบได้ทั่วไปในกระบวนการเจริญเติบโตและเรียนรู้ของ
เด็ก กล่า วคือ เด็ก ยัง คงมีพ ัฒ นาการไปตามลำดับ เพีย งแต่ช ้า กว่า ปกติ
เท่านัน
้ อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ปั ญหาความบกพร่อ งทางการพูด
และภาษา ถือเป็ นลักษณะความพิการอันเกิดจากพัฒนาการทางการพูด
และภาษาที่ผ ิด ปกติ โดยหากเด็ก ได้ร ับ การยืน ยัน ว่า มีค วามบกพร่อ ง
ทางการพูดและภาษา การเข้ารับการรักษาอย่าเร่งด่วนและครบวงจรด้วย
ความร่วมมือระหว่างแพทย์ นักโสตสัมผัสวิทยา นักพยาธิวิทยาด้านการ
พูดแลภาษา รวมไปถึงการดูแลอย่างใกล้ชิดจากครู และโดยเฉพาะอย่าง
ยิ่ง ผู้ป กครอง ย่อม หมายถึง ประสิทธิภาพในการรัก ษาที่ม ากขึน

และความเป็ นไปได้ในการแก้ไขปั ญหาที่สูงขึน
้ อันจะส่งผลให้เด็กสามารถ

152
เอาชนะความบกพร่องทางการพูดและภาษาของตนเอง รวมทัง้ สามารถมี
พัฒนาการที่เหมาะสม และใช้ชีวิตได้อย่างเป็ นปกติสข
ุ ในระยะยาว
ลักษณะของความบกพรร่องทาการพูดและภาษาจะแตกต่างกัน
ไปตามประเภทของความผิดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเด็กอาจมีความผิดปกติหลาย
ลัก ษณะร่วมกัน ก็เ ป็ นได้ โดยเมื่อ เด็ก มีค วามผิด ปกติทางการออกเสียง
เด็ก อาจมีค วามยากลำบากในการออกเสีย ง ซึ่ง ผลลัพ ธ์ท ี่ไ ด้ คือ เสีย งที่
เปล่งออกมาอาจหายไป เปลี่ยนไป หรือแปลกไปจากปกติ เป็ นเหตุให้ผู้อ่ น

ไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่เด็กต้องการจะสื่อได้ ลักษณะเสียงที่หายไป หรือ
เปลี่ยนไปมักเป็ นปั ญหาที่พบได้ทั่วไปในเด็กส่วนใหญ่ที่เพิ่งเรียนรู้วิธีในการ
พูด อย่างไรก็ตาม การออกเสียงที่ไม่ถูกต้องนัน
้ ไม่ถือว่าเป็ นปั ญหาที่น ่า
เป็ นห่วงแต่อย่างใด เว้นเสียแต่ว่าปั ญหาดังกล่าวยังคงปรากฏอยู่ ทัง้ ที่เด็ก
เติบโตเลยช่วงวัยที่ควรออกเสียงดังกล่าวได้ชัดเจนแล้ว
สำหรับเด็กที่มีความผิดปกติทางความคล่องของการพูด นัน
้ มัก
มีลักษณะการพูดติดอ่างหรือพูตะกุกตะกัก เพราะฉะนัน
้ การพูดของเด็ก
จึงมักเต็มไปด้วยการซ้ำ ความลังเล ความยืดยาว หรือ ความยุ่งเหยิงยิ่งไป
กว่า นัน
้ เด็ก อาจมีอ าการตึง ของกล้า มเนื้อ ซึ่ง สัง เกตได้บ นใบหน้า คอ
ไหล่ห รือ หลัง มือ เพราะเสีย งพูด เกิด จากการเคลื่อ นที่ข องลมจากปอด
ผ่านกล่องเสียง จนทำให้เส้นเสียง สั่น และเกิดเสียง โดยเสียงที่เกิดขึน
้ จะ
เดินทางผ่านคอหอย จมูก และปาก จนเกิดเป็ น เสียงพูด ดังนัน
้ ความผิด
ปกติทางเสียงพูด จึงได้แก่ปัญหาเกี่ยวกับระดับสูงต่ำของเสียง ความก้อง
ความดัง และคุณ ภาพของเสียง เด็ก อาจมีเ สีย งแหบ ต่ำ หรือ แหลมผิด
ปกติ เด็กบางคนอาจมีเสียงพูดคล้ายเสียงนาสิก (เสียงขึน
้ จมูก) หรืออาจมี

153
ลักษณะเหมือนเสียงถูกปิ ดกัน
้ ทัง้ นีเ้ ด็กอาจเสียงหาย หรือไม่สามารถใช้
เสียงได้มาก อีก ทัง้ ยัง อาจรู้ส ึก เจ็บ คอเมื่อ ออกเสียง ส่ว นภาษา มีค วาม
เกี่ย วข้อ งความหมาย มากกว่า เสีย ง ความผิด ปกติท างภาษา จึง เป็ น
ลัก ษณะความบกพร่อ งทางการเข้า ใจ หรือ ใช้ภ าษาเพื่อ การสื่อ สาร ซึง่
ได้แก่ ความผิดปกติในการรับ รู้แ ละเข้าใจภาษา ความผิด ปกติในการใช้
ภาษา รวมถึง ความผิดปกติร ่วมกัน ระหว่า ง 2 ลักษณะ ทัง้ นี ้ เมื่อเด็ก มี
ความผิดปกติทางภาษา มักจะมีลักษณะดังต่อไปนี ้
- ใช้คำไม่ถูกบริบทหรือไม่สอดคล้องกับความหมาย
- ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นออกมาเป็ นคำพูดได้
- มีปัญหาในการจัดเรียงประโยค
- ย่อคำให้สน
ั ้ ลง ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้
ความบกพร่องทางการพูดและภาษามีเหตุมาจาก
- ความผิดปกติของพัฒนาการทางด้านการพูดและภาษา คือ
สาเหตุหลักของปั ญหาความบกพร่องทางการพูดและภาษาในเด็ก ซึง่ ถือ
เป็ นความบกพร่องทางการเรียนรู้ประเภทหนึ่งอันเกิดจากการทำงานของ
สมองที่ผิดไปจากปกติ หากเด็กมีความผิดปกติของพัฒนาการในลักษณะนี ้
จะส่งผลให้เด็กมีปัญหาในการออกเสียง มีข้อจำกัดในการสื่อสารด้วยเสียง
พูด หรือมีความยากลำบากในการรับและเข้าใจสารจากผู้อ่ น
ื โดยปั ญหา
ความบกพร่องทางการพูดและภาษาถือได้ว ่าเป็ นสัญญาณแรกของความ
บกพร่องทางการเรียนรู้ที่จะตามมา
-การสูญเสียการได้ยิน ซึ่งมักถูกมองข้าม แม้จะเป็ นสาเหตุหนึง่
ของความบกพร่องทางการพูดและภาษาในระยะยาว ดังนัน
้ เด็กที่มีการ

154
พัฒ นาภาษาล่า ช้า จึง ควรได้ร ับ การทดสอบการได้ย ิน โดยแพทย์ห รือ ผู้
เชี่ยวชาญ
-ความบกพร่องทางสติปัญญา
-การได้รับการเลีย
้ งดูในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดยหากเด็ก
ถูกละเลย ถูกใช้ความรุนแรง หรือมีโอกาสได้ฟังเสียงพูดน้อย ย่อมส่งผล
ให้เด็กมีการพัฒนาภาษาล่าช้า
-ภ า ว ะ ก า ร ค ล อ ด ก ่อ น ก ำห น ด ถ ือ เ ป็ น ส า เ ห ต ุข อ ง ปั ญ ห า
พัฒนาการล่าช้าหลากหลายรูปแบบในเด็ก รวมถึงการพัฒนาการทางการ
พูดและภาษาด้วยเช่นกัน
-ปั ญหาเกี่ยวกับกระบวนการฟั ง โดยเด็กจะไม่สามารถเข้าใจหรือ
จดจำสิ่งที่ได้ยินได้
-ปั ญหาทางระบบประสาท เช่น ภาวะสมองพิก าร กล้า มเนื้อ
เสื่อม และการบาดเจ็บที่สมอง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความผิดปกติของกล้าม
เนื้อที่จำเป็ นสำหรับการพูด
-ออทิซ ึม ส่ง ผลกระทบต่อ การสื่อ สาร อย่า งไรก็ต าม ความ
บกพร่องทางการพูดและภาษาก็อาจเป็ นสัญญาณเริ่มต้นของโรคออทิซึม
ได้เช่นกัน
-ปั ญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกาย เช่น โรคปากแหว่งเพดาน
โหว่ ซึ่งเป็ นอุปสรรคต่อการพูด
-การพูดไม่ชัดแบบมีความบกพร่องของสมองที่ควบคุมโปรแกรม
การพูด โดยเด็กจะมีปัญหาในการเรียบเรียงประโยค การลำดับคำ และ
พูดไม่ชัด

155
-ภาวะไม่พูดบางสถานการณ์ หรือลักษณะที่เด็กจะไม่ยอมพูด
อย่างเด็ดขาดเมื่ออยู่ในสถานการณ์เฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็ นที่โรงเรียน

ปั ญหาความบกพร่อ งทางการพูด และภาษามีค วามสำคัญ


อย่างไร?
ในปี ค.ศ.2006 กระทรวงการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา
เปิ ดเผยว่า เด็ก มากกว่า 1.4 ล้านคนเข้า รับ การศึกษาในหลักสูต รพิเศษ
สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ตัวเลขดังกล่าวยังไม่
รวมเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาซึ่งเป็ นอาการอันสืบเนื่อง
มาจากความผิด ปกติอ่ น
ื เช ่น ภาวะสูญ เสีย การได้ย ิน หรือ หูห นวก
(Deafness) ซึ่งหมายความว่า หากนำเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด
และภาษาไม่ว ่า ในกรณีใ ดก็ต ามมารวมกัน จะถือ ได้ว ่า ความบกพร่อ ง
ลัก ษณะดัง กล่า วนีเ้ ป็ นความบกพร่อ งที่พ บได้ม ากที่ส ุด ทัง้ นี ้ การแก้ไ ข
ปั ญหาความบกพร่องทางการพูดและภาษาถือเป็ นเรื่องจำเป็ นอย่างยิ่ง ซึ่ง
ทัง้ ผู้ปกครองและครูไม่ควรนิ่งนอนใจหากความสามารถในการพูดและการ
ใช้ภ าษาของเด็ก แตกต่า งหรือ ด้อ ยกว่า เพื่อ นในวัย เดีย วกัน หรือ มี
พัฒนาการที่ไม่สอดคล้องกับอายุแม้ในช่วงแรกเริ่มของชีวิตก็ตาม โดยผู้
ปกครองควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบการได้ยินเป็ นลำดับแรก ถึง
แม้เ ด็ก จะสามารถตอบโต้ห รือ แสดงอาการเสมือ นสามารถได้ย ิน ปกติ
ก็ตาม ทัง้ นีเ้ พราะความผิดปกติทางการพูดและภาษาของเด็ก อาจไม่ได้มี
สาเหตุม าจากความบกพร่อ งทางการพูด และภาษา แต่เ กิด จากความ
บกพร่องทางการได้ยินซึ่งขัดขวางพัฒนาการในการสื่อสารของเด็ก

156
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า สาเหตุข องความบกพร่อ งทางการพูด และ
ภาษาของเด็กจะเกิดจากความบกพร่องทางการได้ยิน หรือเกิดจากสาเหตุ
ใดก็ตาม หากสามารถตรวจพบได้ยิ่งเร็วและเด็กได้รับการรักษาในทันที
โอกาสที่เด็กจะสามารถพัฒนาได้อย่างเหมาะสม หรือหายเป็ นปกติย ่อม
มากขึน
้ เท่านัน
้ ทัง้ นีก
้ ารรักษาปั ญหาความบกพร่องทางการพูดและภาษา
อาจดำเนิน ไปตลอดช่วงชีว ิต การศึก ษาของเด็ก โดยอาจเป็ นการรัก ษา
โดยตรง หรือ การปรึก ษาแพทย์อ ย่า งสม่ำเสมอ นอกจากนี ้ เทคโนโลยี
อำนวยความสะดวก (Assistive Technology) ก็อ าจเป็ นตัว ช่ว ยหนึ่ง ที่
สำคัญ สำหรับ เด็ก โดยเฉพาะในรายที่ค วามผิด ปกติข องร่า งกายเป็ น
อุป สรรคต่อ การสื่อ สาร โดยแพทย์แ ละผู้เ ชี่ย วชาญจะเป็ นผูพ
้ ิจ ารณา
เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมแก่เด็ก ทัง้ นีป
้ ระโยชน์ที่เด็กจะ
ได้รับจากเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก คือ ความสามารถในการใช้ชีวิต
ที่ใ กล้เ คีย งปกติม ากขึน
้ ไม่ว ่า จะเป็ นการแสดงความคิด เห็น การทำ
กิจกรรมร่วมกับเพื่อน การทำงานที่ได้รับมอบหมายได้เสร็จสมบูรณ์ ซึง่
ล้วนนำไปสูพ
่ ัฒนาการทางการเรียนรู้ และการเพิ่มพูนทักษะชีวิตที่สำคัญ
สำหรับ อนาคต พ่อ แม่ ผู้ป กครองจะช่ว ยเหลือ หรือ แก้ไ ขปั ญหาลูก ที่ม ี
ความบกพร่องทางการพูดและภาษาได้อย่างไร?
-ศึก ษาเกี่ย วกับ ความบกพร่อ งทางการพูด และภาษาของลูก
เพราะยิ่งผู้ปกครองเข้าใจปั ญหา ก็จะรู้วิธีการปฏิบัติ และสามารถช่วยลูก
ได้มากยิ่งขึน
้ เท่านัน

157
-อดทน เพราะถึง แม้ว ่า ลูก จะมีค วามบกพร่อ งทางการพูด และ
ภาษา แต่ลูกก็มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาไปได้ตลอดชีวิต ไม่ต่างจากเด็ก
ปกติทั่วไป
-ติดต่อกับโรงเรียนเพื่อแจ้งความต้องการพิเศษของลูก พ่อแม่คือ
บุคคลที่ร้จ
ู ักลูกมากที่สุด ดังนัน
้ จึงควรแจ้งโรงเรียนเกี่ยวกับปั ญหาของลูก
โรงเรีย นจะได้ร ่ว มมือ กับ ผู้ป กครองและสามารถช่ว ยเหลือ เด็ก ได้อ ย่า ง
เหมาะสม
-รอบรู้เ รื่อ งการบำบัด เกี่ย วกับ ความบกพร่อ งทางการพูด และ
ภาษาที่ลูกกำลังได้รับการรักษา นอกจากนีย
้ ังควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อ
หาวิธีที่จะสามารถช่วยบำบัดลูกเมื่ออยู่ที่บ้านและในสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวม
ทัง้ ควรรับคำแนะนำในสิ่งที่ไม่ควรทำต่อลูกด้วย
-มอบหมายให้ลูกทำงานบ้าน เพราะการทำงานบ้านจะช่วยเสริม
สร้างความมั่นใจและความสามารถของลูก โดยคำนึงถึงอายุ ระยะเวลาที่
เด็กสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และความสามารถในการทำงานของ
ลูกเป็ นหลัก ทัง้ นีพ
้ ่อแม่มีหน้าที่อธิบายวิธีการทำงานบ้านอย่างเป็ นลำดับ
ในแต่ละขัน
้ ตอนจนกว่างานจะเสร็จ รวมทัง้ สาธิตหรือให้ความช่วยเหลือ
เมื่อลูกต้องการ และให้การชมเชยเมื่อลูกสามารถปฏิบัติตามได้ในแต่ละ
ขัน
้ ตอนหรือเมื่อลูกสามารถทำงานได้สำเร็จในท้ายที่สุด
-เป็ นผู้รับ ฟั งที่ดี โดยไม่พ ูด แทรกหรือ แก้ไ ขคำ หรือ ประโยคใน
ทันทีที่ลูกพูดผิด ในทางกลับกัน พ่อแม่กไ็ ม่ควรบังคับให้ลูกพูดเช่นกัน
-แลกเปลี่ย นความคิด เห็น กับ ผู้ป กครองที่ล ูก มีค วามบกพร่อ ง
ทางการพูด และภาษาเหมือ นกัน เพราะอาจได้เ รีย นร ้ว
ู ิธ ีก ารที่เ ป็ น

158
ประโยชน์ รวมทัง้ ได้รับกำลังใจจากผู้ปกครองที่ต ่างก็มีประสบการณ์ใน
ลักษณะเดียวกัน
-ติดต่อกับครูของลูก โดยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือแก่ครู
สาธิตวิธีการใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกที่ลูกใช้ รวมทัง้ ให้ข้อมูลที่ครู
ควรทราบ และหาวิธีส่งเสริมการเรียนรู้ในห้องเรียนโดยเริ่มจากที่บ้าน
อ้างอิง : (ปั ณณ์พัฒน์ จันสว่าง. ม.ป.ป. :1 )
สรุป : เด็กอาจมีความบกพร่องในการพูด มักมีลักษณะการพูดติดอ่างหรือ
พูดแบบตะกุกตะกัก ฉะนัน
้ การพูดของเด็กมักเต็มไปด้วยการซ้ำ

ชนิดของการพูด
การพูดในที่ประชุมชน โดนทั่วไปจะแบ่งเป็ น ๒ ชนิด แบ่ง
ตามจุดมุ่งหมายของการพูดและแบ่งตามวิธีการพูด ดังนี ้
๑.การพูดที่แบ่งตามจุดมุ่งหมาย
สมจิต ชีวปรีชา กล่าวถึงการพูดที่แบ่งตามที่มุ่งหมายว่า มี ๓
แบบ สรุปได้ดังนี ้
๑.๑ การพูดเพื่อให้ความรู้
การพูดเพื่อให้ความรู้เ ป็ นการพูดอธิบ าย ชีแ
้ จง แสดงเหตุผล
เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยมีจ ุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้ฟังได้รับความรู้ ความ
เข้า ใจเนื้อหาสาระอย่างครบถ้วน ผู้พูด จึง ต้อ งมีค วามรู้เรื่อ งที่จะดูด เป็ น
อย่า งดีต ้อ งศึก ษาค้น คว้า และเรีย บเรีย งให้เ ป็ นลำดับ ถูก ต้อ ง ในกรณีท ี่
ผ฿ฟั งมีปัญหาซักถาม จะต้องตอลคำถาม หรืออธิบายซ้ำให้ชัดเจน การ

159
พูดแบบนีม
้ ักใช้ในโอกาสที่มีอบรม ปฐมนิเทส บรรยายสรูป รวมไปถึงการ
สอนในชัน
้ เรียนด้วย
๑.๒ การพูดเพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจ
การพูดเพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจเป็ นการพูดเพื่อให้ผฟ
ู้ ั งเชื่อถือ มี
ความคิดเห็นคล้อยตามและปฏิบัติ ผู้พูดจะต้องใช้อารมณ์ ความรู้สึกที่
จริงใจประกอบการพูด เพื่อแสดงให้เห็นว่าผูพ
้ ูดมีความเชื่อเช่นนัน
้ รวม
ทัง้ ปฏิบัติอย่างนัน
้ มาแล้ว การพูดแบบนีม
้ ักจะพบในโอกาสต่าง ๆ เช่น
การปลุกเร่ให้เกิดปฏิกิริยามวลชน การชักชวนให้ประชาชนไปลงคะแนน
เสีย งเลือ กตัง้ การโน้ม น้า วใจใช้ส ิน ค้า ไทย การเชิญ ชวนให้บ ริจ าคเงิน
สมทบกองทุนต่าง ๆ เป็ นต้น

๑.๓ การพูดเพื่อจรรโลงใจ
การพูดเพื่อจรรโลงใจเป็ นการพูดถึงคุณงามความดี ความปะณี
ตงดงาม คุณค่าอันน่านิยมตลอดจนการเรื่องราวที่สนุกสนานบันเทิงใจ
เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเพลิดเพลิน รู้สึกสบายใจ การพูดแบบนีใ้ ช้ในโอกาส
ที่มีก ารแสดงความยิน ดี การกล่า วสดุด ียกย่อ งบุค คล การกล่า วในงาน
รื่นเริงที่จัดขึน
้ ในโอกาสต่าง ๆ
๒. การพูดที่แบ่งตามวิธีการพูด
สุริวงศ์ เกิดพันธุ์ กล่าวถึงการพูดที่แบ่งตามวิธีการพูดว่า มี ๔
แบบ สรุปได้ดังนี ้

160
๒.๑ การพูดโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า
การพูดโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้ามักเกิดจากการได้รับเชิญ
ให้พูด โดยกะทันหันเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่จ ำเป็ นบางอย่า ง เช่น กล่า ว
อวยพรคู่บ่าวสาวในงานมงคลสมรสหรือแสดงความคิดเห็นในขณะที่มีการ
อภิปรายสัมมนา การพูดแบบนีม
้ ักจะได้ผลน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับแบบอื่น
ๆ แต่อย่างไรก็ตามหากจำเป็ นต้อ งพูด ก็ควรยึด หลัก บางประการเพื่อ ใช้
เป็ นข้อปฏิบัติดังนี ้
๑) ในกรณีท ี่เ ป้ นผู้อ าวุโ สหรือ ผ ู้บ ัง คับ บัญ ชาซึ่ง มีส ่ว น
เกี่ยวข้องกับงานเป็ นพิเศษ
ก่อนไปงานควรเตรียมข้อมูล ความรู้ ความคิดเห็น ตลอดจนคำพูดไว้ล่วง
หน้า
๒) เมื่อได้รับเชิญให้พูด ผู้พูดจะมีเวลาเล็กน้อยก่อนเริ่มพูด
จึงควรต้องพยายาม
ระงับความตื่นเต้นและคิดหาคำเริ่มต้น ตลอดจนหัวข้อของเนื้อหาอย่าง
คร่าว ๆ
๓) เริ่มต้นกล่าวทักทายผู้ฟังและพูดไปตามลำดับอย่างช้า ๆ
ชัดเจน โดยไม่ใช้เวลา
มากนัก เพราะอาจทำให้พูดวกวนได้ง่าย นอกจากนีผ
้ ู้พูดจะต้องไม่กล่าว
ออกตัวหรือตำหนิผู้เชิญเป็ นอันขาด
๔) พยายามสัง เกตปฏิก ิร ิย าผูฟ
้ ั งระหว่า งที่พ ูด ถ้า ผู้ฟั งมี
ปฏิกิริยาในทางลบ คือไม่สน

161
ใจฟั งมีทีท ่าอึดอัด พูดคุยกัน ผูพ
้ ูด ต้อ งรีบ สรุป จบโดยเร็ว แต่ถ ้า ผูฟ
้ ั งมี
ปฏิกิริยาในทางบวก คือ พอใจ ยิม
้ แย้ม พยักหน้าคล้ายตาม ผู้พูดควรต่อ
อีกเล็กน้อย แล้วหาทางสรุปจบให้ประทับใจ
๒.๒ การพูดโดยการอ่านต้นฉบับที่เตรียมมา
การพูดโดยการอ่านต้นฉบับ โดยปกติจะใช้กับการพูดบางประเท
ที่จำเป็ นต้องใช้วิธีอ่านเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึน
้ การ
พูดแบบน้ได้แก่ การพูดเป็ นทางการ เช่น พระราชดำรัสเปิ ดการประชุม
รัฐสภา การแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี การกล่าวเปิ ดและปิ ดการ
ประชุม สัม มนา แม้ว ่า การพูด แบบนีจ
้ ะมุ่ง ความถูก ต้อ งครบถ้ว นของ
เนื้อหาสาระ การใช้ภาษาที่ประณีต และบรรยากาศที่เป็ นพิธีการ แต่
น้ำเสียงการพูด การใช้สายตา และการเคลื่อนไหวของร่างกายก็เป็ นสิง่
สำคัญที่ต้องคำนึงถึง หากจำเป็ นต้องพูดโดยการอ่านต้อฉบับ ผู้พูดควร
เตรียมตัวดังนี ้
๑)เขียนต้นฉบับโดยคำนึงถึงการใช้ระดับภาษาให้ถูกต้องเหมาะ
สม
๒)ต้น ฉบับ จะใช้ว ิธ ีพ ิม พ์ห รือ เขีย นก็ไ ด้แ ต่ค วรเว้น ระยะห่า ง
ระหว่า งบรรทัดมากกว่าปกติแ ละควรทำเครื่อ งหมายวรรคตอนสำหรับ
การอ่านไว้ด้วย
๓)ผู้พูดต้องเข้าใจเนื้อความที่จะอ่านและซ้อมล่วงหน้าหลาย ๆ
ครัง้ อาจทดลองบันทึกเสียงไว้เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดก็ได้
๔)ในขณะที่อ่านต้องถือต้นฉบับในระยะที่พอเหมาะ ไม่ยกขึน
้ สูง
หรือต่ำจนเกินไป

162
๕)ไม่ค วรก้ม หน้า อ่า นตัง้ แต่ต ้น จนจบ ควรสื่อ ความหมาย
ประกอบด้วยสายตาในจังหวะที่เว้นวรรคการอ่าน
๒.๓ การพูดโดยการท่องจำเนื้อหา
การพูดโดยการท่องจำเนื้อหาคล้ายคลึงกับการพูดโดยการอ่าน
จากต้นฉบับ คือจะต้องเตรียมเขียนต้นฉบับ แล้วท่องจำทัง้ หมด จากนัน

จึงต้องพูดจากที่ท ่องจำไว้ วิธีพูดแบบนีม
้ ีข้อดีคือผู้พูดสามารถถ่ายทอด
เนื้อหาได้ทงั ้ หมดและสามารถภาษาให้ราบรื่น ประณีต เท่าที่เตรียมไว้ใน
ต้นฉบับ อีกทัง้ ยังสามารถใช้อากัปกิริยาท่าทางต่าง ๆ ประกอบได้อย่าง
เหมาะสมซึ่งจะเป็ นธรรมชาติมากกว่าการอ่านจากต้นฉบับ ส่วนข้อบกพริ
องของการพูดแบบนีก
้ ็คือ หากผูพ
้ ูดไม่เตรียมตัวล่วงหน้า อย่างดี จะลืม
เนื้อหาที่ท่องจำไว้ ผู้ที่ฝึกพูดใหม่ ๆ จะกังวลกับเนื้อหาจนทำให้ไม่มองผู้
ฟั ง เหม่อลอยเพื่อนึกเนื้อหาหรือพูดซ้ำข้อความเดิมเพราะนึกประโยคติอ
ไปไม่ออก นอกจากนีผ
้ ู้พูดต้องใช้เวลามากสำหรับการเตรียม เริ่มตัง้ แต่
การเขียนต้นฉบับและท่องจำเนื้อหาทัง้ หมด
การพูดโดยการท่องจำเนื้อหาควรเตรียมตัวดังนี ้
1) ผูพ
้ ูดควรสนใจเรื่องการใช้ภาษา ฝึ กฝนการใช้ท ่าทางประกอบการ
พูด ตลอดจนจังหวะและน้ำเสียง
นอกเหนือจากการอ่องจำเนื้อหาให้แม่นยำ
๒)ผู้พ ูด ควรคำนึง ถึง ความเป็ นธรรมชาติใ นการพูด ให้ม ากที่ส ุด
อย่าให้มีลักษณะการยืนตัวตรงแข็งทื่อ
๓)ผู้พ ูด ไม่แ น่ใ จว่า จะจำเนื้อ หาได้ท งั ้ หมด ควรเขีย นประโยค
หลักหรือประโยคเริ่มต้นไว้เผื่อจำเป็ นได้

163
๒.๔ การพูดโดยการจำโครงเรื่อง
การพูดโดยการจำโครงเรื่องเป็ นวิธีการพูดที่ถือว่าดีที่ส ุดในการ
พูดแบต่าง ๆ เพราะจะเป็ นการพูดอย่างแท้จริง มีความเป็ นธรรมชาติ ผู้
พูดสามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระ และแสดงท่าทางประกอบการพูด ได้
โดยไม่ต้องกังวลวาสจะต้องพูดให้เหมือนต้นฉบับทุกคำพูด ผูพ
้ ูดอาจปรับ
หัว ข้อ การพูด ได้ต ลอดเวลา เพื่อ ให้ส อดคล้อ งกับ สถานการณ์แ ละ
ปฏิกิริยาของผู้ฟัง การพูดแบบนีต
้ ้องอาศัยการเตรียมตัวล่วงหน้า ผู้พูด
ต้องรู้ว่าจะพูดหัวข้อเรื่องอะไร ใช้เวลาเท่าใด พูดในโอการใด ผู้พูดอาจ
เตรียมตัวดังนี ้
๑)ศึกษาหัวข้อเรื่องอย่างละเอียดและทำความเข้าใจเนื้อหาโดย
ใช้ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
๒)วิเ คราะห์ผ ฟ
ู้ ั ง ในด้า น เพศ วัย การศึก ษา ฐานะทางสัง คม
ความสนใจเฉพาะกลุ่ม
๓)วางโครงเรื่อง โดยเขียนหัวข้อเรื่องให้ต ่อเนื่องตามลำดับความ
สำคัญ
๔)ขยายหัวเรื่อง โดยใช้ตัวอย่างหรืออุปกรณ์ประกอบ
๕)เรียบเรียงเนื้อเรื่อง โดยกำหนดส่วนนำ ส่วนเนื้อหาและส่วน
สรุป
๖)เขีย นฉพาะโครงเรื่อ งที่ป ระกอบด้ว ยหัว ข้อ ของส่ว นต่า ง ๆ
และทดลองฝึ กซ้อ มพูด หากติด ขัด อาจเขีย นขยายความสัน
้ ๆ ไว้ใ น
หัวข้อนัน
้ ๆ

164
อ้า งอิง : หนัง สือ ภาษากับ การสื่อ สาร:คณะอัก ษรศาสตร์ม หาวิท ยาลัย
ศิลปากร:ปี ที่พิมพ์ ๒๕๒๙:สถานที่พิมพ์ นครปฐม โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ศิลปากร
สรุป : ชนิดของการพูดนัน
้ แบ่งได้ 2 วิธี
๑.การพูดที่แบ่งตามจุดมุ่งหมาย อาจจะเป็ นการพูดเพื่อให้ความ
รู้ หรือการพูดโดยการโน้มน้าวใจ
๒.การพูดที่แบ่งตามวิธีการพูด อาจเป็ นการพูดที่ไม่ได้เตรียมตัว
ล่วงหน้า การพูดที่อ่านต้นฉบับที่เตรียมมาหรือ การพูดที่ท่องจำเนื้อหา

165

You might also like