Professional Documents
Culture Documents
Screenshot 2565-12-09 at 22.45.11
Screenshot 2565-12-09 at 22.45.11
และฟังก์ชนั
เพิ่มเติม
6 Oct 2021
สารบัญ
ทบทวนความสัมพันธ์............................................................................................................................................................... 1
โดเมนและเรนจ์ จากการพิจารณาช่วงค่า ................................................................................................................................ 3
การเลือ่ นกราฟ ......................................................................................................................................................................... 7
อินเวอร์ส ................................................................................................................................................................................... 9
กราฟของอินเวอร์ส ................................................................................................................................................................ 12
ทบทวนฟั งก์ชนั ...................................................................................................................................................................... 15
ประเภทของฟั งก์ชนั ............................................................................................................................................................... 20
ฟั งก์ชนั เพิ่ม - ลด ................................................................................................................................................................... 24
ฟั งก์ชนั อินเวอร์ส.................................................................................................................................................................... 26
บวก ลบ คูณ หาร ฟั งก์ชนั ..................................................................................................................................................... 30
ฟั งก์ชนั ประกอบ .................................................................................................................................................................... 32
ฟั งก์ชนั ทีว่ นกลับไปหาตัวเอง ................................................................................................................................................ 43
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 1
ทบทวนความสัมพันธ์
แบบฝึ กหัด
1. กาหนดให้ 𝐴 = {1, 2, {1, 2}, (1, 2)} เมื่อ (1, 2) หมายถึงคูอ่ นั ดับ และ 𝐵 = (𝐴 × 𝐴) − 𝐴
จานวนสมาชิกของเซต 𝐵 เท่ากับเท่าใด [A-NET 49/2-2]
1
2. กาหนดให้ 𝑟 = { (𝑥, 𝑦) ∈ R×R | 𝑦 =
√5−|3−𝑥|
} เมื่อ R แทนเซตของจานวนจริง จงหาโดเมนของ 𝑟
[PAT 1 (ธ.ค. 54)/5]
2 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
โดเมนและเรนจ์ จากการพิจารณาช่วงค่า
อีกเทคนิคหนึง่ ในการหา โดเมน หรือ เรนจ์ คือ การ “พิจารณาช่วงค่าที่เป็ นไปได้” ของพจน์ตา่ งๆ ในสมการความสัมพันธ์
หลักของวิธีนี ้ คือ 1. เริม่ จาก “พจน์กาลังสอง ≥ 0” หรือ “ค่าสัมบูรณ์ ≥ 0”
2. ค่อยๆปรับเติม ให้ได้เป็ นพจน์ที่ปรากฏในสมการความสัมพันธ์
|𝑦| ≥ 0
บวก |𝑥 − 2| ทัง้ สองข้าง
|𝑥 − 2| + |𝑦| ≥ |𝑥 − 2|
เพราะ |𝑥 − 2| + |𝑦| = 5
5 ≥ |𝑥 − 2|
จากสมบัติของค่าสัมบูรณ์
−5 ≤ 𝑥 − 2 ≤ 5
−3 ≤ 𝑥 ≤ 7 บวก 2 ตลอด
แบบฝึ กหัด
1. จงหาโดเมน และ เรนจ์ ของความสัมพันธ์ตอ่ ไปนี ้
1. 𝑥 = (𝑦 + 2)2 + 5 2. 𝑦 = 3 − (2 − 𝑥)2
3. 𝑦 = |𝑥 + 5| − 2 4. |𝑥 + 3| = 𝑦 − 1
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 5
5. 𝑦 = −1 − |3 − 𝑥| 6. |𝑦| + |1 − 𝑥| = 1
7. |𝑦| − |1 − 𝑥| = 1
การเลือ่ นกราฟ
ในกรณีที่เราทราบรูปกราฟของความสัมพันธ์หนึง่ ๆ เราสามารถขยายผลเพื่อหารูปกราฟของความสัมพันธ์อื่นที่มีรูป
สมการคล้ายกันได้ โดยใช้หลักการ “เลือ่ นกราฟทางขนาน” ดังนี ้
ถ้าเปลีย่ น 𝑥 ทุกตัว เป็ น 𝑥 − ℎ กราฟจะเลือ่ นไปทางขวา ℎ หน่วย (ถ้า ℎ เป็ นลบ กราฟจะเลือ่ นไปทางซ้าย)
ถ้าเปลีย่ น 𝑦 ทุกตัว เป็ น 𝑦 − 𝑘 กราฟจะเลือ่ นขึน้ 𝑘 หน่วย (ถ้า 𝑘 เป็ นลบ กราฟจะเลือ่ นลง)
ตัวอย่าง จงวาดกราฟของความสัมพันธ์ 𝑦 = √𝑥 − 5
วิธีทา จากหัวข้อที่แล้ว เราจะได้ทอ่ งรูปกราฟของ 𝑦 = √𝑥 ซึง่ จะมีรูปกราฟคือ
ข้อนี ้ สมการคล้ายๆ กัน เพียงแต่เปลีย่ น 𝑥 เป็ น 𝑥 − 5
จากหลักการเลือ่ นกราฟ กราฟจะเลือ่ นไปทางขวา 5 หน่วย
ตัวอย่าง จงวาดกราฟของความสัมพันธ์ 𝑦 = 𝑥 2 + 2𝑥 + 5
วิธีทา ข้อนีเ้ ริม่ ดูยาก ว่าจะเปลีย่ น 𝑥 เป็ น 𝑥 − ℎ หรือเปลีย่ น 𝑦 เป็ น 𝑦 − 𝑘 ยังไง
(เวลาเปลีย่ น ต้องเปลีย่ น 𝑥 ทุกตัว หรือเปลีย่ น 𝑦 ทุกตัว จะเปลีย่ นแค่บางตัวไม่ได้)
ข้อนี ้ เราสามารถจัดรูปกาลังสองสมบูรณ์ เพื่อรวบ 𝑥 2 กับ 2𝑥 ให้เหลือ 𝑥 ตัวเดียวได้ดงั นี ้
𝑦 = 𝑥 2 + 2𝑥 + 5
𝑦 = 𝑥 2 + 2𝑥 + 1 + 4
𝑦 = (𝑥 + 1)2 + 4
𝑦−4 = (𝑥 + 1)2
แบบฝึ กหัด
1. จงวาดกราฟของความสัมพันธ์ตอ่ ไปนี ้
1. 𝑦 = √𝑥 − 1 2. 𝑦 = |𝑥 + 1|
8 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
3. (𝑥 + 1)2 + (𝑦 − 1)2 = 4 4. 𝑥𝑦 = 𝑦 + 1
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 9
อินเวอร์ส
สมชาย สมชาย
สมหญิง สมหญิง
สมหวัง สมหวัง
สมศรี สมศรี
สมปอง สมปอง
สมหมาย สมหมาย
สมบัติ สมบัติ
𝑟แอบชอบ 𝑟แอบชอบ −1
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑟 = {(1, 6), (2, 2), (3, 6), (4, 8)} จงหา 𝑟 −1
วิธีทา 𝑟 −1 คือ ความสัมพันธ์ที่โยงกลับทางกันกับ 𝑟
1 2 2 1
2 4 4 2
3 6 6 3
4 8 8 4
𝑟 𝑟 −1
จะได้ 𝑟 −1 = {(6, 1), (2, 2), (6, 3), (8, 4)} #
นั่นคือ 𝑟 −1 = {(𝑥, 𝑦) ∈ R × R+ | 𝑥 = 𝑦 2 + 1}
จัดรูปให้สวยงาม 𝑥 = 𝑦 2 + 1
𝑥 − 1 = 𝑦2
±√𝑥 − 1 = 𝑦
ตัวอย่าง จงหาอินเวอร์สของความสัมพันธ์ 𝑦 = √𝑥 − 2
วิธีทา ข้อนีใ้ ห้มาแต่สมการความสัมพันธ์ เราต้องรูเ้ องว่าโจทย์หมายถึง 𝑟 = {(𝑥, 𝑦) ∈ R × R | 𝑦 = √𝑥 − 2 }
ดังนัน้ 𝑟 −1 = {(𝑥, 𝑦) ∈ R × R | 𝑥 = √𝑦 − 2 }
จัดรูปให้สวยงาม 𝑥 = √𝑦 − 2
𝑥2 = 𝑦−2 ;𝑥≥0
2
𝑥 +2 = 𝑦
แบบฝึ กหัด
1. จงหาอินเวอร์สของความสัมพันธ์ตอ่ ไปนี ้
1. 𝑟 = {(1, 4), (2, 2), (3, 2)} 2. 𝑟 = {(𝑥, 𝑦) ∈ 𝐴 × 𝐵 │ 𝑦 = 𝑥 2 }
𝑥+1 2
3. 𝑟 = {(𝑥, 𝑦) ∈ R × R+ │ 𝑦 =
2
} 4. 𝑦=
𝑥+1
2𝑥+1
5. 𝑦=
𝑥−3
6. 𝑦=2−𝑥
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 11
7. 𝑦 = 2𝑥 2 + 1 8. 𝑦 = √2𝑥 + 1
9. 𝑥2 + 𝑦2 = 1 10. 𝑦 = √4 − 𝑥 2
12 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
กราฟของอินเวอร์ส
𝑦=𝑥
เนื่องจาก 𝑟 กับ 𝑟 −1 จะมี 𝑥 กับ 𝑦 สลับกัน
ดังนัน้ กราฟของ 𝑟 กับ 𝑟 −1 จะสมมาตรกันตามแนว 45° (คือแนว ) เสมอ
𝑟 𝑟 −1 𝑟 𝑟 −1
𝑟 𝑟 −1 𝑟 𝑟 −1
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 13
𝑟 𝑟 −1 𝑟 𝑟 −1
แบบฝึ กหัด
1. จงวาดกราฟอินเวอร์สของความสัมพันธ์ตอ่ ไปนี ้
1. 𝑟 𝑟 −1 2. 𝑟 𝑟 −1
3. 𝑟 𝑟 −1 4. 𝑟 𝑟 −1
5. 𝑟 𝑟 −1 6. 𝑟 𝑟 −1
7. 𝑟 𝑟 −1 8. 𝑟 𝑟 −1
14 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
ทบทวนฟั งก์ชนั
แบบฝึ กหัด
1. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง ความสัมพันธ์ขอ้ ใดต่อไปนีเ้ ป็ นฟั งก์ชนั [PAT 1 (ต.ค. 53)/4]
1. ความสัมพันธ์ 𝑟1 = {(𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | 𝑥 = √4 − 𝑦 2 และ 𝑥𝑦 ≥ 0}
2. ความสัมพันธ์ 𝑟2 = {(𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | 𝑥 2 + 𝑦 2 = 4 และ 𝑥𝑦 > 0}
3. ความสัมพันธ์ 𝑟3 = {(𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | ||𝑥| − |𝑦|| = 1}
4. ความสัมพันธ์ 𝑟4 = {(𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | |𝑥 − 𝑦| = 1}
1 1
, |𝑥| < 2 1
4. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = {1 𝑥
1 1 ค่าของ 𝑓 (𝑓 (𝑓 (− 3))) ตรงกับเท่าใด
+ , |𝑥| ≥
2 𝑥 2
[PAT 1 (มี.ค. 56)/11]
𝑥−1
5. ให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั จากเซตของจานวนจริงไปยังเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 −4 และ
𝑔(𝑥) = √𝑓(𝑥) − √𝑥 − 1 ข้อใดถูกต้องบ้าง [PAT 1 (มี.ค. 53)/6]
1. 𝐷𝑔 = (2, ∞)
2. ค่าของ 𝑥 > 0 ที่ทาให้ 𝑔(𝑥) = 0 มีเพียง 1 ค่าเท่านัน้
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 17
4 2 2
9. กาหนดให้ I แทนเซตของจานวนเต็ม และให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 𝑥−2𝑥 +𝑎 𝑥−75
5 +𝑏 2 𝑥−270 เมื่อ 𝑎, 𝑏 ∈ 𝐼
ถ้า 𝐴 = {(𝑎, 𝑏) ∈ I × I | 𝑓(3) = 0} และ 𝐵 = {(𝑎, 𝑏) ∈ 𝐼 × 𝐼 | √𝑎2 − 2𝑎𝑏 + 𝑏2 < 3}
แล้ว จานวนสมาชิกของเซต 𝐴 ∩ 𝐵 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 54)/28]
𝑥+1
11. กาหนดให้ 𝑦1 = 𝑓(𝑥) = 𝑥−1 เมื่อ 𝑥 เป็ นจานวนจริงที่ไม่เท่ากับ 1
𝑦2 = 𝑓(𝑦1 ) , 𝑦3 = 𝑓(𝑦2 ) , … , 𝑦𝑛 = 𝑓(𝑦𝑛−1 ) สาหรับ 𝑛 = 2, 3, 4, …
𝑦2553 + 𝑦2010 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้ [PAT 1 (มี.ค. 53)/5]
𝑥−1 𝑥 2 +1 𝑥 2 +1 1+2𝑥−𝑥 2
1. 𝑥+1
2. 𝑥−1
3. 2𝑥
4. 𝑥−1
1−𝑥
12. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง และให้ 𝑓: 𝑅 → 𝑅 เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีสมบัติสอดคล้องกับ 𝑓(
1+𝑥
) =𝑥 สาหรับทุก
จานวนจริง 𝑥 ≠ −1 ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง [PAT 1 (มี.ค. 54)/5]
1. 𝑓(𝑓(𝑥)) = −𝑥 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
2. 𝑓(−𝑥) = 𝑓 (1+𝑥
1−𝑥
) สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 ≠ 1
1
3. 𝑓 (𝑥) = 𝑓(𝑥) สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 ≠ 0
4. 𝑓(−2 − 𝑥) = −2 − 𝑓(𝑥) สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
20 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
ประเภทของฟั งก์ชนั
วิธีในการตรวจสอบว่าเป็ นหนึง่ ต่อหนึง่ หรือไม่ จะคล้ายๆกับตอนทีใ่ ช้ตรวจสอบว่า เป็ นฟั งก์ชนั หรือไม่
จากสมการฟั งก์ชน ั : ถ้า 𝑥 หรือ 𝑦 ถูกยกกาลังคู่ หรือ อยูใ่ นเครือ่ งหมายค่าสัมบูรณ์ มักจะไม่ใช่หนึง่ ต่อหนึง่
จากกราฟ : ถ้าลากเส้นในแนวนอนหรือแนวตัง้ ตัดกราฟได้มากกว่า 1 จุด แปลว่าไม่ใช่หนึง่ ต่อหนึง่
ตัวอย่าง จงพิจารณาว่าฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 เป็ นฟั งก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ จาก R ไปทั่วถึง R+ ∪ {0} หรือไม่
วิธีทา เนื่องจาก 𝑥 ไม่อยูใ่ น √ และไม่เป็ นตัวหาร ดังนัน้ D𝑓 = R → เป็ นฟั งก์ชนั จาก R
เนื่องจาก 𝑥 2 ≥ 0 ดังนัน้ 𝑦 ≥ 0 จะได้ R𝑓 = R+ ∪ {0} → เป็ นฟั งก์ชน ั ทั่วถึง R+ ∪ {0}
แต่เนื่องจากในสมการของฟั งก์ชนั มี 𝑥 2 อยู่ จึงมีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่หนึง่ ต่อหนึง่
ลองสุม่ แทนค่าดู จะพบว่ามี (1, 1) และ (−1, 1) อยูใ่ น 𝑓 ดังนัน้ ไม่ใช่หนึง่ ต่อหนึง่
ดังนัน้ 𝑓 ไม่ใช่ฟังก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ จาก R ไปทั่วถึง R+ ∪ {0} #
ตัวอย่าง จากกราฟของ 𝑓 ต่อไปนี ้ จงพิจารณาว่า 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ หรือไม่
ตัวอย่าง จงพิจารณาว่าฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 เป็ นฟั งก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ จาก R ไปทั่วถึง R+ ∪ {0} หรือไม่ โดยใช้กราฟ
วิธีทา ฟั งก์ชนั 𝑦 = 𝑥 2 จะมีกราฟดังรูป
จากกราฟ D𝑓 = R → เป็ นฟั งก์ชน
ั จาก R
R𝑓 = R+ ∪ {0} → เป็ นฟั งก์ชน ั ทั่วถึง R+ ∪ {0}
แต่จะเห็นว่า ลากเส้นแนวนอนตัดได้หลายจุด
จึงไม่ใช่ฟังก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่
ดังนัน้ 𝑓 ไม่ใช่ฟังก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ จาก R ไปทั่วถึง R+ ∪ {0} #
22 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
แบบฝึ กหัด
1. กาหนดให้ 𝐴 = {1, 2, 3} และ 𝐵 = {𝑎, 𝑏} และ 𝑓 = { (1, 𝑎), (2, 𝑎), (3, 𝑎) } ข้อใดถูกต้องบ้าง
1. 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั 2. 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั จาก 𝐴 ไป 𝐵
3. กาหนดให้ 𝐴 = {1, 2, 3} และ 𝐵 = {2, 3, 4} และ 𝑓 = { (2, 1), (3, 2), (4, 3) } ข้อใดถูกต้องบ้าง
1. 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั 2. 𝑓 เป็ นฟั งก์ชน
ั จาก 𝐵 ไป 𝐴
ฟั งก์ชนั เพิ่ม - ลด
ฟั งก์ชนั เพิ่ม คือ ฟั งก์ชนั ที่ เมื่อ 𝑥 เพิ่มขึน้ จะส่งผลให้ 𝑓(𝑥) มีคา่ เพิ่มขึน้
และ เมื่อ 𝑥 ลดลง จะส่งผลให้ 𝑓(𝑥) มีคา่ ลดลง
ฟั งก์ชนั ลด คือ ฟั งก์ชนั ที่ เมื่อ 𝑥 เพิ่มขึน้ จะส่งผลให้ 𝑓(𝑥) มีคา่ ลดลง
และ เมื่อ 𝑥 ลดลง จะส่งผลให้ 𝑓(𝑥) มีคา่ เพิ่มขึน้
สิง่ ที่ตอ้ งระวังก็ คือ บางฟังก์ชนั จะเป็ นฟั งก์ชนั เพิ่มแค่บางช่วง และเป็ นฟั งก์ชนั ลดในอีกช่วง
เช่น 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 จะเห็นว่าเมื่อ 𝑥 เป็ นบวก ถ้า 𝑥 ยิ่งมาก ก็จะทาให้ 𝑥 2 ยิ่งมาก
แต่เมื่อ 𝑥 เป็ นลบ จะเห็นว่า 𝑥 ยิ่งน้อย กลับจะทาให้ 𝑥 2 จะยิง่ มาก
𝑥 เพิ่ม 22 = 4 𝑥 ลด (−2)2 = 4 𝑓(𝑥) เพิ่ม
𝑓(𝑥) เพิ่ม
32 = 9 (−3)2 = 9
อีกวิธีที่นิยมใช้ คือให้ดจู ากกราฟ: ถ้ากราฟเป็ นช่วงขาขึน้ แปลว่าช่วงนัน้ เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่ม
ถ้ากราฟเป็ นช่วงขาลง แปลว่าช่วงนัน้ เป็ นฟั งก์ชนั ลด
เช่น
เพิ่ม ลด เพิ่ม
ลด ลด ลด เพิ่ม ลด เพิ่ม
ลด
แบบฝึ กหัด
1. จงพิจารณาว่าฟังก์ชนั ต่อไปนี ้ เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่ม หรือ ฟั งก์ชนั ลด ในช่วงใดบ้าง
1. 𝑓(𝑥) = 2𝑥 + 5 2. 𝑓(𝑥) = 3 − 𝑥
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 25
3. 4.
5. 𝑓(𝑥) = (𝑥 − 1)2
ฟั งก์ชนั อินเวอร์ส
สิง่ ที่ตอ้ งระวัง คือ ถึง 𝑓 จะเป็ นฟังก์ชนั ก็ไม่ได้แปลว่า 𝑓 −1 จะเป็ นฟั งก์ชนั ด้วย
เช่น ถ้า 𝑓 = { (1, 4) , (3, 4) } → เป็ นฟั งก์ชน
ั
จะได้ 𝑓 −1 = { (4, 1) , (4, 3) } → ไม่เป็ นฟั งก์ชนั
จะเห็นว่า 𝑓 −1 จะเป็ นฟั งก์ชนั ก็ตอ่ เมื่อ 𝑓 เป็ นหนึง่ ต่อหนึง่ เท่านัน้
3𝑘−1 3𝑥−1
จะได้ 𝑓 −1 (𝑘) = 2−𝑘
ดังนัน้ 𝑓 −1 (𝑥) = 2−𝑥
#
แบบฝึ กหัด
1. จงหา 𝑓 −1 เมื่อกาหนด 𝑓 ดังนี ้
1. 𝑓 = {(1, 3), (2, 1) , (4, 2)} 2. 𝑓(𝑥) = 2𝑥 + 1
𝑥−1
3. 𝑓(𝑥) = 2𝑥+1
4. 𝑓(𝑥) = √𝑥 + 1
1 − 2𝑥 ; 𝑥 ≥ −2
4. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = { 2
𝑥 +1 ; 𝑥 < −2
จงหาค่าของ 𝑓 −1 (10) + 𝑓 −1 (3)
−1+√1+4𝑥 2
6. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = { 2𝑥
เมื่อ 𝑥 ≠ 0
0 เมื่อ 𝑥 = 0
ถ้า 𝑓 −1(𝑎) = 23 แล้ว 𝑎 มีคา่ เท่ากับเท่าใด [A-NET 49/2-3]
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 29
2
7. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 3𝑥 − 1 และ 𝑔−1(𝑥) = { 𝑥 2
,𝑥 ≥ 0
−𝑥 ,𝑥 < 0
ค่าของ 𝑓 −1 (𝑔(2) + 𝑔(−8)) เท่ากับเท่าไร [PAT 1 (มี.ค. 52)/8]
ฟั งก์ชนั 2 ฟั งก์ชนั สามารถเอามาบวก ลบ คูณ หาร กันได้ โดยให้เอาค่า 𝑦 ของ 𝑥 เดียวกัน มาบวก ลบ คูณ หาร กัน
เช่น ถ้า 𝑓 = { (1, 4), (2, 6), (3, 0), (4, 5), (5, 3) }
𝑔 = { (1, 2), (2, 3), (3, 2), (5, 0), (6, 3) }
จะได้ 𝑓 + 𝑔 = { (1, 6), (2, 9), (3, 2), (5, 3) } สังเกตว่า
ไม่ตอ้ งเอา 𝑥 มาบวกกัน (บวกแต่ 𝑦)
𝑓 − 𝑔 = { (1, 2), (2, 3), (3, −2), (5, 3) }
ถ้า 𝑥 ไม่เท่ากัน ไม่ตอ้ งเอามาคิด
𝑓∙𝑔 = { (1, 8), (2, 18), (3, 0), (5, 0) }
การหารจะจูจ้ น ี ้ ิดหน่อย ตรงที่หา้ ม
𝑓
𝑔
= { (1, 2), (2, 2), (3, 0) } ตัวหารเป็ นศูนย์
จะเห็นว่า 𝑓+𝑔 , 𝑓−𝑔 , 𝑓∙𝑔 จะมีโดเมน = D𝑓 ∩ D𝑔
𝑓
และ 𝑔
จะมีโดเมนคล้ายๆกัน เพียงแต่ตดั ตัวที่ตวั หารเป็ นศูนย์ออก
𝑥−3
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = √𝑥 − 1 , 𝑔(𝑥) =
𝑥−2
จงหา D𝑓+𝑔 , D𝑓−𝑔 , D𝑓∙𝑔 และ D𝑓
𝑔
แบบฝึ กหัด
1. กาหนดให้ 𝑓 = { (1, 2) , (2, 3) , (3, 4) } และ 𝑔 = { (2, 1) , (3, 2) } จงหาค่าของ (𝑓 −1 + 𝑔)(2)
𝑥
4. ถ้า 3
𝑓(𝑥) = √𝑥 และ 𝑔(𝑥) =
1+𝑥
แล้ว (𝑓 −1 + 𝑔−1 )(2) มีคา่ เท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 52)/2-4]
32 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
ฟั งก์ชนั ประกอบ
𝑓 𝑓 −1 𝑓 −1 𝑓
1 4 1 4 1 4
2 5 2 5 2 5
3 6 3 6 3 6
𝑓 𝑔 ℎ 𝑔 ℎ 𝑓
1 1 1 1 1 1 1 1
2 2 2 2 2 2 2 2
3 3 3 3 3 3 3 3
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 2𝑥 + 5 และ 𝑔(𝑥) = (𝑥 − 1)3 จงหา (𝑔 ∘ 𝑓)(1) และ (𝑓 ∘ 𝑔)(1)
วิธีทา (𝑔 ∘ 𝑓)(1) คือ 𝑓 โยง 1 ไปก่อน ได้เท่าไหร่ ให้ 𝑔 โยงต่อ
𝑓(1) = 12 − 2(1) + 5 = 4 → 𝑓 โยง 1 ไปที่ 4
𝑔(4) = (4 − 1)3 = 27 → 𝑔 โยง 4 ไปที่ 27
ดังนัน้ (𝑔 ∘ 𝑓)(1) = 27
𝑓(𝑥) 𝑔(𝑓(𝑥))
เราจะใช้สตู ร (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = 𝑔(𝑓(𝑥)) 𝑥
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 2𝑥 + 5 และ 𝑔(𝑥) = (𝑥 − 1)3 จงหา (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) และ (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥)
วิธีทา (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = 𝑔(𝑓(𝑥)) (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = 𝑓(𝑔(𝑥))
2
= 𝑔(𝑥 − 2𝑥 + 5) = 𝑓((𝑥 − 1)3 )
= (𝑥 2 − 2𝑥 + 5 − 1) 3
= ((𝑥 − 1)3 )2 − 2((𝑥 − 1)3 ) + 5
= (𝑥 2 − 2𝑥 + 4) 3
= (𝑥 − 1)6 − 2(𝑥 − 1)3 + 5
#
แบบฝึ กหัด
1. กาหนดให้ 𝑓 = {(1, 2), (2, 3), (3, 1)} และ 𝑔 = {(1, 1), (2, 3), (3, 2)} จงหาค่าของ
1. (𝑓 ∘ 𝑔)(2) 2. (𝑔 ∘ 𝑓)(1)
3. (𝑓 ∘ 𝑓)(3) 4. (𝑓 ∘ 𝑔 ∘ 𝑔)(2)
3. (𝑓 ∘ 𝑓)(3) 4. (𝑓 ∘ 𝑔 ∘ 𝑔)(2)
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 35
1
5. ถ้า 𝑓(𝑥) =
𝑥
และ 𝑔(𝑥) = 2𝑓(𝑥) แล้ว 𝑔 ∘ 𝑓(3) + 𝑓 ∘ 𝑔−1 (3) มีคา่ เท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 52)/2-3]
0 , 𝑥 = −1
10. ให้ R แทนเซตของจานวนจริง และให้ 𝑓:R→R เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีสมบัติสอดคล้องกับ 𝑓(𝑥) = {𝑥−1
, 𝑥 ≠ −1
𝑥+1
ถ้า 𝐴 = { 𝑥 ∈ R | (𝑓 ∘ 𝑓)(𝑥) = 2 − √3 } แล้วข้อใดไม่เป็ นเซตว่าง [PAT 1 (ธ.ค. 54)/7*]
1. 𝐴 ∩ (−3, −2) 2. 𝐴 ∩ (−4, −3) 3. 𝐴 ∩ (2, 3) 4. 𝐴 ∩ (3, 4)
13. ให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของเซตของจานวนจริง โดยที่
𝑥+3
𝑓(𝑥) =
𝑥+6
และ (𝑓 −1 ∘ 𝑔)(𝑥) = −6𝑥 𝑥−1
ถ้า 𝑔(𝑎) = 2 แล้ว 𝑎 อยูใ่ นช่วงใดต่อไปนี ้ [PAT 1 (ก.ค. 53)/5]
1. [−1, 1) 2. [1, 3) 3. [3, 5) 4. [5, 7)
14. กาหนดให้ R แทนเซตของจานวนจริง และให้ I แทนเซตของจานวนเต็ม ให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั จาก R ไปยัง R
โดยที่ 𝑓(𝑥 + 5) = 𝑥 3 − 𝑥 2 + 2𝑥 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
และ 𝑔−1 (2𝑥 − 1) = 𝑥 + 4 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้องบ้าง
[PAT 1 (ต.ค. 55)/6]
1. (𝑓 − 𝑔)(0) < −169
2. { 𝑥 ∈ I | (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) + 5 = 0 } เป็ นเซตว่าง
1
16. กาหนดให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง ให้ 𝑔: 𝑅 → 𝑅 เป็ นฟั งก์ชนั กาหนดโดย 𝑔(𝑥) = 2𝑥+3 เมื่อ 𝑥 ≠ − 32
ถ้า 𝑓: 𝑅 → 𝑅 เป็ นฟั งก์ชนั ที่ (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = 𝑥 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 แล้ว จงหาสมการของ 𝑓(𝑥)
[PAT 1 (มี.ค. 54)/20*]
17. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง ถ้า 𝑓1 , 𝑓2 , 𝑓3 , 𝑓4 , 𝑔 และ ℎ เป็ นฟั งก์ชนั จาก 𝑅 ไปยัง 𝑅 โดยที่
𝑓1 (𝑥) = 𝑥 + 1 , 𝑓2 (𝑥) = 𝑥 − 1 , 𝑓3 (𝑥) = 𝑥 2 + 4 , 𝑓4 (𝑥) = 𝑥 2 − 4
(𝑓1 ∘ 𝑔)(𝑥) + (𝑓2 ∘ ℎ)(𝑥) = 2 และ (𝑓3 ∘ 𝑔)(𝑥) − (𝑓4 ∘ ℎ)(𝑥) = 4𝑥
ค่าของ (𝑔 ∘ ℎ)(1) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ก.ค. 53)/28]
19. กาหนดให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ นิยามโดย 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 + 1 และ 𝑔(𝑥) = 𝑎𝑥 เมื่อ 𝑎 ∈ (0, 1)
ถ้า 𝑘 เป็ นจานวนจริงที่ทาให้ (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑘) = (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑘)
แล้ว (𝑓 ∘ 𝑔−1 ) (𝑘12) มีคา่ เท่ากับเท่าไร [A-NET 51/1-7]
21. กาหนดให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง ให้ 𝑓, 𝑔 และ ℎ เป็ นฟั งก์ชนั พหุนามจาก 𝑅 ไปยัง 𝑅 โดยที่ 𝑓(𝑥) = 2𝑥 − 5 ,
(𝑓 −1 ∘ 𝑔)(𝑥) = 4𝑥 และ (𝑔 ∘ ℎ)(𝑥) หารด้วย 𝑥 − 1 แล้ว เหลือเศษเท่ากับ −21 ให้ 𝑐 เป็ นจานวนเต็มบวกที่
น้อยสุดที่สอดคล้องกับ ℎ(𝑥 − 𝑐) = 𝑥 3 − 3𝑥 2 − 2 ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้องบ้าง [PAT 1 (มี.ค. 58)/20]
1. (𝑓 ∘ ℎ)(𝑐) = 23
2. (ℎ + 𝑔)(𝑐) = 35
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 41
22. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง ให้ 𝑓 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ และ 𝑔 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั
โดยที่ 𝑔(𝑥) = 2𝑓(𝑥) + 5 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
ถ้า 𝑎 เป็ นจานวนจริงที่ (𝑓 ∘ 𝑔−1 )(1 + 𝑎) = (𝑔 ∘ 𝑓 −1)(1 + 𝑎) แล้วค่าของ 𝑎2 เท่ากับเท่าใด
[PAT 1 (พ.ย. 57)/42]
23. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง ถ้า 𝑓: ℝ → ℝ และ 𝑔: ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่
โดยที่ (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = 4𝑥 − 5 และ 𝑔−1 (𝑥) = 2𝑥 + 1 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้องบ้าง
[PAT 1 (เม.ย. 57)/6]
1. 4(𝑓 −1 ∘ 𝑔)(2𝑥 + 1) = 𝑔(𝑥) + 1 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
2. (𝑔−1 ∘ (𝑓 −1 ∘ 𝑔))(𝑥) = 𝑓 −1(𝑥) + 1 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
42 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
24. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง และ 𝑎 เป็ นจานวนจริงโดยที่ 𝑎 ≠ 0 ให้ 𝑓: ℝ → ℝ และ 𝑔: ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั
ที่นิยามโดย 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 + 2 และ 𝑔(𝑥) = 𝑥 3 − 3𝑥(𝑥 − 1) สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
ถ้า (𝑓 −1 ∘ 𝑔−1)(1) = 1 แล้ว (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑎) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (เม.ย. 57)/35]
แบบฝึ กหัด
1. กาหนดให้ I แทนเซตของจานวนเต็ม ถ้า 𝑓 : I → I เป็ นฟั งก์ชนั ทีม่ สี มบัติดงั นี ้
(1) 𝑓(1) = 1
(2) 𝑓(2𝑥) = 4𝑓(𝑥) + 6
(3) 𝑓(𝑥 + 2) = 𝑓(𝑥) + 12𝑥 + 12
แล้วค่าของ 𝑓(7) + 𝑓(16) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 54)/48]
44 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
3. ให้ 𝐼 แทนเซตของจานวนเต็ม และให้ 𝑓: 𝐼 → 𝐼 เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑓(𝑛 + 1) = 𝑓(𝑛) + 3𝑛 + 2 สาหรับ 𝑛 ∈ 𝐼
ถ้า 𝑓(−100) = 15,000 แล้ว 𝑓(0) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 53)/30]
ทบทวนความสัมพันธ์
1. 15 2. (−2, 8) 3. 4 4. 3
โดเมนและเรนจ์ จากการพิจารณาช่วงค่า
1. 1. [5, ∞) , R 2. R , (−∞, 3]
3. R , [−2, ∞) 4. R , [1, ∞)
5. R , (−∞, −1] 6. [0, 2] , [−1, 1]
7. R , (−∞, −1] ∪ [1, ∞)
2. - 3. 3 4. 2
การเลือ่ นกราฟ
1. 1. 2. 3. 4.
(−1, 1)
−1 1
−1
อินเวอร์ส
กราฟของอินเวอร์ส
1. 1. 2. 3. 4.
5. 6. 7. 8.
2. 1, 2
ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั 47
ทบทวนฟั งก์ชนั
1. 2 2. - 3. 2 4. 6
5. - 6. 4 7. 1
8. (−∞, −4] ∪ [4, ∞) 9. 8 10. 135
11. 2 12. 4
ประเภทของฟั งก์ชนั
1. 1, 2 2. 1, 4 3. 1, 2, 4 4. 1, 2, 4, 5, 6
5. - 6. 1, 2 7. 1 8. 2, 4
9. 2 10. 1 11. 2
ฟั งก์ชนั เพิ่ม - ลด
ฟั งก์ชนั อินเวอร์ส
𝑥−1 −𝑥−1
1. 1. {(3, 1), (1, 2), (2, 4)} 2. 2
3. 2𝑥−1
4. 𝑥2 − 1 ; 𝑥 ≥ 0
2. 16 3. −1 4. −4 5. 4
1−√2
6. 0.5 7. 3
8. 0
1. 2 2. R − {−1, 4}
3. 1. [0, ∞) 2. 1
4. 6
ฟั งก์ชนั ประกอบ
1. 1. 1 2. 3 3. 2 4. 3
2. 1. 8 2. −1 3. 63 4. 24
3. −𝑥 + 1 4. −1 5. 7.5 6. 7
7. 721 8. 1, 2 9. 3𝑥 + 3 10. 2
11. 262 12. 28 13. 3 14. -
48 ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
1 3
15. 763 16. 2𝑥
−2 17. 1 18. −18
19. 2 20. 1 21. 1 22. 36
23. 1, 2 24. 9 25. -
1. 911 2. 840 3. 50 4. 4
5. 10 6. 1−𝑥
เครดิต
ขอบคุณ คุณ Gunta Serikijcharoen
และ คุณ Chaiyaklit Adsavavichairote
และ คุณครูเบิรด์ จาก กวดวิชาคณิตศาสตร์ครูเบิรด์ ย่านบางแค
และ คุณ Theerat Piyaanangul
และ คุณ Pasin
และ คุณ Eiffel Deal ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารครับ