Professional Documents
Culture Documents
6 Sep 2019
สารบัญ
ลิมิตของฟังก์ชนั ....................................................................................................................................................................... 1
ลิมิตทางซ้าย – ลิมิตทางขวา ................................................................................................................................................... 6
การหาลิมติ จากกราฟ ............................................................................................................................................................ 12
ความต่อเนื่องของฟั งก์ชนั ..................................................................................................................................................... 14
อัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่ .................................................................................................................................................. 21
อัตราการเปลีย่ นแปลงขณะใดๆ ............................................................................................................................................ 22
อนุพนั ธ์ของฟั งก์ชนั ............................................................................................................................................................... 24
กฎลูกโซ่ ................................................................................................................................................................................. 30
อนุพนั ธ์ของฟั งก์ชนั แฝง......................................................................................................................................................... 33
อนุพนั ธ์อนั ดับสูง ................................................................................................................................................................... 35
ระยะทาง ความเร็ว ความเร่ง ................................................................................................................................................ 38
กฎของโลปิ ตาล ..................................................................................................................................................................... 40
ความชันเส้นโค้ง .................................................................................................................................................................... 42
ฟั งก์ชนั เพิ่ม – ฟั งก์ชนั ลด....................................................................................................................................................... 46
ค่าสูงสุด ต่าสุด ...................................................................................................................................................................... 48
ปฏิยานุพนั ธ์........................................................................................................................................................................... 56
อินทิกรัลจากัดเขต ................................................................................................................................................................. 63
พืน้ ที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง .................................................................................................................................................... 73
พืน้ ที่ระหว่างเส้นโค้ง.............................................................................................................................................................. 79
แคลคูลสั 1
ลิมิตของฟังก์ชนั
ถ้าตัวตัง้ เป็ นศูนย์ แต่ตวั หารไม่เป็ นศูนย์ ตอบได้ทนั ทีวา่ lim 𝑓(𝑥) = 0
xa
𝑥−1 0
เช่น lim
𝑥 2 +2𝑥+2 = =0
5
x 1
𝑥 2 −3𝑥+2
ตัวอย่าง จงหาค่าของ lim 2
x 2 2𝑥 +𝑥−10
22 −3×2+2 4−6+2 0
วิธีทา ก่อนอื่นลองแทน 2 ลงไปดูก่อน จะได้ 2×22 +2−10
= 8+2−10
= 0
𝑥 2 −3𝑥+2
แปลว่าต้องเปลีย่ นรูป 2𝑥 2 +𝑥−10
ใหม่ ให้เกิดการตัดกันของ 𝑥−2 ก่อน แล้วค่อยลองแทน 2 ลงไปใหม่
𝑥 2 −3𝑥+2 (𝑥−2)(𝑥−1) 𝑥−1
จะเห็นว่าเราสามารถแยกตัวประกอบ เพื่อให้ 𝑥 − 2 โผล่มาตัดกันได้ 2𝑥 2 +𝑥−10
= (𝑥−2)(2𝑥+5)
=
2𝑥+5
2−1 1
พอ 𝑥 − 2 ตัดกันแล้ว แทน 2 ดูใหม่ จะได้ 2×2+5 =9
𝑥 2 −3𝑥+2 1
ดังนัน้ lim 2 =9 #
x 2 2𝑥 +𝑥−10
3−𝑥
ตัวอย่าง จงหาค่าของ lim 𝑥 3 −27
x3
0
วิธีทา ถ้าลองแทน 3 ลงไป จะได้ ดังนัน้ ต้องเปลีย่ นรูปใหม่ ให้เกิดการตัดกันของ 𝑥 − 3 ก่อน
0
ตัวเศษ จัดรูป 3 − 𝑥 ใหม่ ได้เป็ น – (𝑥 − 3)
ตัวส่วน ใช้สตู รแยกตัวประกอบ 𝑥 3 − 27 เป็ น (𝑥 − 3)(𝑥 2 + 3𝑥 + 9)
ดังนัน้ 𝑥3−𝑥 −(𝑥−3) −1
3 −27 = (𝑥−3)(𝑥 2 +3𝑥+9) = 𝑥 2 +3𝑥+9 น2 − ล2 = (น + ล)(น − ล)
−1 1
น3 − ล3 = (น − ล)(น2 + นล + ล2 )
แทนค่า 3 ดูใหม่ จะได้ 9+9+9
= −
27
น3 + ล3 = (น + ล)(น2 − นล + ล2 )
ดังนัน้ lim 𝑥3−𝑥
3 −27 =
1
− 27 #
x3
𝑥 2 −5𝑥+4
ตัวอย่าง จงหาค่าของ lim
x 1 √𝑥−1
0
วิธีทา ถ้าลองแทน 1 ลงไป จะได้ 0
แปลว่าต้องเปลีย่ นรูปใหม่ ให้เกิดการตัดกันของ 𝑥 −1 ก่อน
√𝑥+2−1
ตัวอย่าง จงหาค่าของ lim
x 1 √𝑥+5−2
0
วิธีทา ถ้าลองแทน ลงไป จะได้ แปลว่าต้องเปลีย่ นรูปใหม่ ให้เกิดการตัดกันของ 𝑥 − (−1) หรือ
−1 0
𝑥+1 ก่อน
ข้อนี ้ ติดรูททัง้ ตัวเศษและตัวส่วน ต้องเอาคอนจูเกตของทัง้ ตัวเศษและตัวส่วนมาคูณ
2
√𝑥+2−1 √𝑥+2−1 √𝑥+2+1 √𝑥+5+2 (√𝑥+2 −12 )(√𝑥+5+2) (𝑥+2−1)(√𝑥+5+2) (𝑥+1)(√𝑥+5+2)
= ∙ ∙ = 2 = (𝑥+5−4)( = (𝑥+1)(
√𝑥+5−2 √𝑥+5−2 √𝑥+2+1 √𝑥+5+2 (√𝑥+5 −22 )(√𝑥+2+1) √𝑥+2+1) √𝑥+2+1)
√𝑥+5+2
=
√𝑥+2+1
2+2 4
แทน −1 ดูใหม่ จะได้ √−1+5+2
√−1+2+1
= 1+1 = 2 = 2
√𝑥+2−1
ดังนัน้ lim =2 #
x 1 √𝑥+5−2
แบบฝึ กหัด
1. จงหาค่าลิมติ ในแต่ละข้อต่อไปนี ้
𝑥 2 −𝑥
1. lim 2𝑥 2 − 𝑥 2. lim
x2 x 1 𝑥−1
𝑥+1 𝑥+1
3. lim 2 4. lim 2
x 0 𝑥 −𝑥 x 1 𝑥 −1
𝑥 2 −3𝑥+2 𝑥 2 +3𝑥−4
5. lim 2 6. lim
x 2 𝑥 −4𝑥+4 x 1 1−𝑥
4 แคลคูลสั
𝑥 2 −√𝑥
7. lim
x 1 √𝑥−1
1 1
2. lim (
1−𝑥
− 2−3𝑥+𝑥2 ) มีคา่ เท่าใด [A-NET 50/2-5]
x 1
𝑥
3. จงหาค่าของ lim 3 3
x 0 √𝑥+8+ √𝑥−8
[PAT 1 (ธ.ค. 54)/40]
แคลคูลสั 5
|5𝑥+1|−|5𝑥−1|
5. กาหนดให้ 𝑎 เป็ นจานวนจริงบวก สอดคล้องกับ lim
x 0 √𝑥+𝑎−√𝑎
= 80
ลิมิตทางซ้าย – ลิมิตทางขวา
แต่เราจะมีปัญหา ถ้า 𝑓(𝑥) เกิดมีหลายสูตร และกรณี 𝑥 น้อยกว่า 𝑎 นิดๆ ดันใช้คนละสูตรกับกรณี 𝑥 มากกว่า 𝑎 นิดๆ
ในกรณีนี ้ เราต้องหาค่าประมาณของ 𝑓(𝑥) ออกมา “ทัง้ สองกรณี” แล้วมาเทียบกัน ถ้าเท่ากันถึงจะเอาไปตอบได้
เราจะมีสญ
ั ลักษณ์ใหม่ คือ 𝑥 → 𝑎− กับ 𝑥 → 𝑎+ ดังนี ้
lim 𝑓(𝑥) อ่านว่า “ลิมิตของ 𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑥 เข้าใกล้ 𝑎 ทางด้านซ้าย”
x a
ในกรณีที่ 𝑥 → 𝑎− กับ 𝑥 → 𝑎+ อยูใ่ นโดเมนของ 𝑓 ถ้าตัวใดตัวหนึง่ ในสองตัวนีห้ าค่าไม่ได้ หรือ ทัง้ สองตัวหาได้ไม่
เท่ากัน เราจะกล่าวว่า lim 𝑓(𝑥) หาค่าไม่ได้ แต่ถา้ สองตัวนีห้ าค่าได้ และได้คา่ เท่ากัน จึงจะนาไปเป็ นคาตอบได้
xa
วิธีทา จะเห็นว่า 𝑓(𝑥) ใช้คนละสูตรกัน ในกรณี 𝑥 → −1− กับกรณี 𝑥 → −1+ ดังนัน้ ต้องแยกหาลิมิตซ้ายขวา
lim 𝑓(𝑥) = (−1)2 = 1
x 1
lim 𝑓(𝑥) = (−1) + 2 = 1
x 1
𝑥2 + 1 เมื่อ 𝑥 ≥ −1
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = { 𝑥+2 จงหา lim 𝑓(𝑥)
𝑥+1
เมื่อ 𝑥 < −1 x 1
วิธีทา จะเห็นว่า 𝑓(𝑥) ใช้คนละสูตรกัน ในกรณี 𝑥 → −1− กับกรณี 𝑥 → −1+ ดังนัน้ ต้องแยกหาลิมิตซ้ายขวา
−1+2 1
lim 𝑓(𝑥) = −1+1 = 0 = หาค่าไม่ได้
x 1
ตัวอย่าง กาหนดให้
2
𝑓(𝑥) = {𝑥 + 2𝑥 เมื่อ 𝑥 ≥ 0 จงหา lim 𝑓(𝑥)
𝑥2 เมื่อ 𝑥 < 0 x 1
วิธีทา ข้อนีจ้ ะเห็นว่า 𝑓(𝑥) มีสองสูตรก็จริง แต่ 𝑥 → −1− กับ 𝑥 → −1+ ใช้สตู รเดียวกัน คือ 𝑓(𝑥) = 𝑥 2
ดังนัน้ ข้อนีไ้ ม่ตอ้ งแยกหาลิมิตซ้ายขวา แต่แทน 𝑥 = −1 ใน 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 ได้เลย
นั่นคือ lim 𝑓(𝑥) = (−1)2 = 1 #
x 1
𝑥 2 +2𝑥
เมื่อ 𝑥 ≥ 0
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = { 𝑥2 จงหา lim 𝑓(𝑥)
x0
เมื่อ 𝑥 < 0
𝑥 2
วิธีทา ข้อนี ้ 𝑓(𝑥) มีสตู รเดียวก็จริง แต่ถา้ พิจารณาดีๆจะพบว่า จริงๆแล้วเครือ่ งหมายค่าสัมบูรณ์ ประกอบด้วยสองสูตร
คือ |𝑥| = { 𝑥 เมื่อ 𝑥 ≥ 0
−𝑥 เมื่อ 𝑥 < 0
𝑥
เมื่อ 𝑥 ≥ 0
ดังนัน้ เขียน 𝑓(𝑥) ได้ใหม่เป็ น 𝑓(𝑥) = {−𝑥 𝑥
𝑥
เมื่อ 𝑥 < 0
จะเห็นว่า 𝑓(𝑥) ใช้คนละสูตรกัน ในกรณี 𝑥 → 0− กับกรณี 𝑥 → 0+ ดังนัน้ ต้องแยกหาลิมิตซ้ายขวา
−𝑥
lim 𝑓(𝑥) = lim 𝑥
= lim −1 = −1
x 0 x 0 x 0
𝑥
lim 𝑓(𝑥) = lim 𝑥 = lim 1 = 1
x 0 x 0 x 0
|𝑥−1|
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(𝑥) =
𝑥
จงหา lim 𝑓(𝑥)
x 1
√𝑥 2 −1
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 +𝑥
จงหา lim 𝑓(𝑥)
x 1
แบบฝึ กหัด
1. จงหาค่า lim 𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑓(𝑥) = {2𝑥 + 1 เมื่อ 𝑥 ≥ 1
x 1 4𝑥 − 1 เมื่อ 𝑥 < 1
𝑥 2 −3𝑥+2
เมื่อ 𝑥 ≥ 2
4. จงหาค่า lim 𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑓(𝑥) = { 2−𝑥
x2
2𝑥 − 3 เมื่อ 𝑥 < 2
𝑥 2 −16
เมื่อ 𝑥 ≥ 4
5. จงหาค่า lim 𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑓(𝑥) = { √𝑥−2
x4
7𝑥 + 4 เมื่อ 𝑥 < 4
|𝑥−1|
6. จงหาค่า lim 𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑓(𝑥) =
𝑥 2 −1
x 1
|𝑥−2|
7. จงหาค่า lim 𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑓(𝑥) =
𝑥 2 −3𝑥+2
x 2
10 แคลคูลสั
1 2𝑥 3
9. ค่าของ lim (1 − 𝑥 2 +1
) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 58)/13]
x 1 √1−𝑥
√𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
10. ค่าของ lim 𝑥2
เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 54)/18]
x 0
|1+𝑥−2𝑥 2 |
11. ค่าของ lim √𝑥+3−2
เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 55)/21]
x 1
แคลคูลสั 11
|𝑥 2 −𝑥−2|
12. ค่าของ lim 3 2
เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 59)/42]
x 2 2− √𝑥 +4
𝑥2 เมื่อ 𝑥 < 0
13. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = {2𝑥 − 1 เมื่อ 0 ≤ 𝑥 < 1
3𝑥 เมื่อ 𝑥 > 1
ค่าของ lim 𝑓(𝑥 + lim 𝑓(1 − 𝑥) เท่ากับเท่าใด [A-NET 49/1-17]
2)
x 0 x 0
12 แคลคูลสั
การหาลิมติ จากกราฟ
1
X เนื่องจากลิมติ ซ้ายขวาเท่ากัน ดังนัน้ lim 𝑓(𝑥) = 4
x 1
Y
ตรงที่ 𝑥 = 1 จะเห็นว่า 𝑦 = 2 ดังนัน้ 𝑓(1) = 2
เมื่อ 𝑥 < 1 นิดๆ จะเห็นว่ากราฟพุง่ ขึน้ อย่างไม่มีขอบเขต จึงหาค่า 𝑦 ไม่ได้
ดังนัน้ lim 𝑓(𝑥) = หาค่าไม่ได้
2 x 1
แบบฝึ กหัด
1. จงเติมคาในช่องว่าง
1. 𝑓(2) =
Y
lim 𝑓(𝑥) =
x 2
1
lim 𝑓(𝑥) =
x 2
X
2 lim 𝑓(𝑥) =
x2
2. Y 𝑓(1) =
lim 𝑓(𝑥) =
4 x 1
lim 𝑓(𝑥) =
x 1
X lim 𝑓(𝑥) =
1 x 1
3. 𝑓(2) =
Y
lim 𝑓(𝑥) =
3 x 2
1 lim 𝑓(𝑥) =
x 2
X
2 lim 𝑓(𝑥) =
x2
4. Y 𝑓(0) =
lim 𝑓(𝑥) =
x 0
1
X lim 𝑓(𝑥) =
x 0
lim 𝑓(𝑥) =
x0
14 แคลคูลสั
ความต่อเนื่องของฟั งก์ชนั
ถ้าแยกคิดลิมติ ซ้ายขวา lim 𝑓(𝑥) จะมีคา่ เท่ากับ lim 𝑓(𝑥) และ lim 𝑓(𝑥)
xa x a x a
ดังนัน้ ฟั งก์ชนั 𝑓(𝑥) ต่อเนื่องที่ 𝑥 = 𝑎 เมื่อ lim 𝑓(𝑥) = 𝑓(𝑎) = lim 𝑓(𝑥)
x a x a
2
ตัวอย่าง กาหนด 𝑓(𝑥) = 𝑥 𝑥+𝑥 จงพิจารณาว่า 𝑓(𝑥) ต่อเนื่องที่ 𝑥 = 0 หรือไม่
วิธีทา ต้องเช็คว่า 𝑓(0) กับ lim 𝑓(𝑥) เท่ากันหรือไม่
x0
02 +0
จะเห็นว่า 𝑓(0) = 0
= หาค่าไม่ได้ จบเลย ไม่ตอ้ งหา lim 𝑓(𝑥) แล้ว
x0
𝑥 2 −𝑥−2
เมื่อ 𝑥 > 2
ตัวอย่าง กาหนด 𝑓(𝑥) = { 𝑥−2 จงพิจารณาว่า 𝑓(𝑥) ต่อเนื่องที่ 𝑥 = 2 หรือไม่
2𝑥 − 1 เมื่อ 𝑥 ≤ 2
วิธีทา ต้องเช็คว่า 𝑓(2) กับ lim 𝑓(𝑥) เท่ากันหรือไม่
x2
4
2
3 6
แบบฝึ กหัด
1. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥2 + 1 จงพิจารณาว่า 𝑓(𝑥) ต่อเนื่องทีค่ า่ 𝑥 ต่อไปนีห้ รือไม่
1. 𝑥 = 0 2. 𝑥 = −1
𝑥 2 +𝑥−2
2. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥−1
จงพิจารณาว่า 𝑓(𝑥) ต่อเนื่องทีค่ า่ 𝑥 ต่อไปนีห้ รือไม่
1. 𝑥 = −1 2. 𝑥 = 1
2 เมื่อ 𝑥 ≥ −1
3. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = { 1−𝑥 2 จงพิจารณาว่า 𝑓(𝑥) ต่อเนื่องทีค่ า่ 𝑥 ต่อไปนีห้ รือไม่
𝑥+1
เมื่อ 𝑥 < −1
1. 𝑥 = −1 2. 𝑥 = 0
|𝑥|
4. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥
จงพิจารณาว่า 𝑓(𝑥) ต่อเนื่องที่คา่ 𝑥 ต่อไปนีห้ รือไม่
1. 𝑥 = −1 2. 𝑥 = 0
𝑘 เมื่อ 𝑥 = 1
5. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = { 𝑥 2 −𝑥 จงหาค่า 𝑘 ที่ทาให้ 𝑓(𝑥) ต่อเนื่องที่ 𝑥=1
𝑥−1
เมื่อ 𝑥 ≠ 1
แคลคูลสั 17
1 1
3. 4.
1 1
𝑥−3
เมื่อ 𝑥 ≠ 3
8. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = {√2𝑥+10−√𝑥+13 โดยที่ 𝑎 เป็ นจานวนจริง
𝑎 เมื่อ 𝑥 = 3
ถ้า 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่องทีจ่ ดุ 𝑥 = 3 แล้ว 𝑎 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 54)/44]
18 แคลคูลสั
2𝑥−8
, 𝑥<4
9. กาหนดให้ โดยที่ 𝑘 เป็ นจานวนจริง ถ้า 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่องที่จดุ 𝑥 = 4
2
𝑓(𝑥) = {2𝑥−√4𝑥𝑘𝑥−3𝑥+12
, 𝑥≥4
3
แล้ว 𝑓(𝑘 + 1) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 56)/38]
−𝑥 + 𝑎 , 𝑥 ≤ −2
2
10. กาหนดให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั นิยามโดย 𝑓(𝑥) = { − 5 𝑥 + 𝑏 , −2 < 𝑥 < 3
𝑥 2 − 6𝑥 + 11 , 𝑥>3
เมื่อ 𝑎, 𝑏 เป็ นจานวนจริง ถ้าฟั งก์ชนั 𝑓 มีความต่อเนื่องที่ 𝑥 = −2 และ lim 𝑓(𝑥)
x 3
หาค่าได้
แล้วค่าของ |𝑎 + 5𝑏| เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (เม.ย. 57)/17]
11. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏 เป็ นจานวนจริง และ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ นิยามโดย
(𝑥 − 1)2 + 1 เมื่อ 𝑥 < 0
𝑓(𝑥) = {𝑥 3 + 𝑎𝑥 + 𝑏 เมื่อ 0 ≤ 𝑥 ≤ 1
𝑥−𝑏 เมื่อ 𝑥 > 1
ถ้า 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่องบนช่วง [−2, 2] แล้ว 𝑓 (12) เท่ากับเท่าใด [A-NET 50/1-20]
แคลคูลสั 19
|𝑥 3 −1|
, −1 < 𝑥 < 1
12. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง และให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑥−1
𝑓(𝑥) = {𝑎𝑥 + 𝑏 ,1 ≤ 𝑥 < 5
5 ,𝑥 ≥ 5
ถ้า 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่องบนช่วง (−1, ∞) แล้วค่าของ 𝑎𝑏 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ก.ค. 53)/19]
𝑥 3 −3𝑥−2
𝑥−2
,𝑥 < 2
13. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง และ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ กาหนดโดย 𝑓(𝑥) = { 𝑎−𝑏 ,𝑥 = 2
2
𝑥 + 𝑎𝑥 + 1 , 𝑥 > 2
ถ้า 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่องบนเซตของจานวนจริงแล้ว ค่าของ 𝑎2 + 𝑏2 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 53)/37]
𝑥 2 + 𝑎𝑥 + 𝑏 , 𝑥<2
14. ให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง และให้ 𝑓(𝑥) = { √𝑥 − 1 , 2≤𝑥≤5
𝑎𝑥 + 𝑏 , 𝑥>5
ถ้า 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่องบนเซตของจานวนจริง แล้ว 𝑎 − 𝑏 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 57)/17]
20 แคลคูลสั
𝑒 2𝑥 + 2𝑎 , 𝑥<0
15. กาหนดให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั นิยามโดย 𝑓(𝑥) = { 𝑎 + 𝑏 , 𝑥=0 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
√1+𝑏𝑥+5𝑥 2 −1
𝑥
, 𝑥>0
ถ้าฟั งก์ชนั 𝑓 มีความต่อเนื่องที่ 𝑥 = 0 แล้วค่าของ 15𝑎 + 30𝑏 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 58)/41]
16. กาหนดให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง ให้ 𝑓: 𝑅 → 𝑅 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่อง ที่ 𝑥 = 1 และ
ให้ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ที่กาหนดโดย
√𝑥+3−2
√𝑥−1
เมื่อ 𝑥 > 1
𝑔(𝑥) = {
𝑓(𝑥)
|𝑥|+7
เมื่อ 𝑥 ≤ 1
ถ้าฟั งก์ชนั 𝑔 มีความต่อเนื่องที่ 𝑥=1 แล้ว ค่าของ (𝑔 ∘ 𝑓)(1) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 53)/18]
แคลคูลสั 21
อัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่
ในเรือ่ งนี ้ เราจะเจอคาว่า “อัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่ ของ 𝑓(𝑥) เทียบกับ 𝑥 ในช่วง 𝑥 = 𝑎 ถึง 𝑥 = 𝑏”
ซึง่ จะเป็ นค่าที่บอกว่า 𝑓(𝑥) เปลีย่ นไปขนาดไหน เทียบกับการเปลีย่ นไปของ 𝑥
นั่นคือ เราจะหาอัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่ นีไ้ ด้จากสูตร 𝑓(𝑏)−𝑓(𝑎)
𝑏−𝑎
(หรือจากสูตร 𝑓(𝑎)−𝑓(𝑏)
𝑎−𝑏
ก็ได้)
𝑥 𝑓(𝑥)
ห่างกัน 𝑏 − 𝑎 𝑎 𝑓(𝑎) ห่างกัน 𝑓(𝑏) − 𝑓(𝑎)
𝑏 𝑓(𝑏)
ดังนัน้ 𝑓(𝑥) เปลี่ยนไป 𝑓(𝑏)−𝑓(𝑎)
𝑏−𝑎
เมื่อเทียบกับ 𝑥
แบบฝึ กหัด
1. จงหาอัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่ ของฟั งก์ชนั ต่อไปนี ้
1. 𝑓(𝑥) = 2𝑥 − 3 เมื่อ 𝑥 เปลีย่ นจาก 1 เป็ น 8 2. 𝑓(𝑥) = √𝑥 − 5 เมื่อ 𝑥 เปลีย่ นจาก 9 เป็ น 14
3. พืน้ ที่สเี่ หลีย่ มจัตรุ สั เมื่อความยาวด้านเปลีย่ น 4. 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 เมื่อ 𝑥 เปลีย่ นจาก 𝑎 เป็ น 𝑎 + 1
จาก 2 เป็ น 6
22 แคลคูลสั
อัตราการเปลีย่ นแปลงขณะใดๆ
หัวข้อที่แล้ว อัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่ จะเป็ นการคิดจากจุดต้นกับจุดปลาย 2 จุด ซึง่ คิดง่าย แต่ใช้อะไรไม่คอ่ ยได้
เพราะปกติเรามักจะอยากรู อ้ ตั ราการเปลีย่ นแปลงตรงจุดใดจุดหนึง่ แค่จดุ เดียว
𝑓(𝑥+ℎ)−𝑓(𝑥)
แต่ปกติ เรามักจะไม่แทน 𝑥 = 𝑎 แต่แรก แต่จะหา lim ℎ
แบบติดตัวแปร 𝑥 ไว้ก่อน
h0
ตัวอย่าง จงหาอัตราการเปลีย่ นแปลงพืน้ ที่รูปสีเ่ หลีย่ มจัตรุ สั เทียบกับความยาวด้าน ขณะทีด่ า้ นของสีเ่ หลีย่ มยาว 4 หน่วย
วิธีทา ให้ 𝑥 คือความยาวด้าน จะได้ พืน้ ที่ = 𝑥 2
(𝑥+ℎ)2 −𝑥 2
ดังนัน้ อัตราการเปลีย่ นแปลงพืน้ ที่ขณะใดๆ = lim ℎ
h0
𝑥 2 +2𝑥ℎ+ℎ 2 −𝑥 2
= lim ℎ
h0
2𝑥ℎ+ℎ 2
= lim = lim 2𝑥 + ℎ = 2𝑥
h0 ℎ h0
แบบฝึ กหัด
1. จงหาอัตราการเปลีย่ นแปลงของ 𝑓(𝑥) = 3 − 2𝑥 − 𝑥 2 เทียบกับ 𝑥 ขณะที่
1. 𝑥 = 1 2. 𝑥=2
“อนุพนั ธ์ของ 𝑓(𝑥) เทียบกับ 𝑥” หรือ “ดิฟ๊ 𝑓(𝑥)” แทนด้วยสัญลักษณ์ 𝑓 ′ (𝑥) หรือ 𝑑𝑓(𝑥)
𝑑𝑥
หรือ 𝑑𝑥𝑑
𝑓(𝑥)
หมายถึง อัตราการเปลีย่ นแปลงขณะใดๆ ทีเ่ รียนในหัวข้อที่แล้วนั่นเอง
บางทีเราสามารถใช้ 𝑦 แทน 𝑓(𝑥) ได้ เช่น “อนุพนั ธ์ของ 𝑦 เทียบกับ 𝑥” ซึง่ แทนด้วยสัญลักษณ์ 𝑦 ′ หรือ 𝑑𝑦
𝑑𝑥
หรือ 𝑑
𝑑𝑥
𝑦
จะได้คาตอบคือ 𝑓 ′ (𝑥) = 4𝑥 #
𝑑 𝑑 𝑑 𝑑
(2𝑥 2 − 3𝑥 + 5) = 𝑑𝑥 2𝑥 2 − 𝑑𝑥 3𝑥 + 𝑑𝑥 5
𝑑𝑥
= 4𝑥 − 3
𝑑 𝑑
เราสามารถดึง “ตัวเลข” ที่ คูณ หาร อยู่ ออกมาไว้หน้าดิฟ๊ ได้ เช่น 𝑑𝑥 (3)(𝑥 2 + 2𝑥 + 4) = 3∙
𝑑𝑥
(𝑥 2 + 2𝑥 + 4)
𝑑
แต่ ดิฟ๊ กระจายในคูณ หาร หรือ ยกกาลัง ไม่ได้ กล่าวคือ 𝑑𝑥 (2𝑥 2 )(3𝑥 + 2) ≠ (4𝑥)(3)
แต่จะมีสตู รดิฟ๊ ผลคูณ ผลหาร ดังนี ้
𝑑 𝑑 𝑑
𝑑𝑥
หน้า ∙ หลัง = หน้า ∙ หลัง + หลัง ∙ หน้า
𝑑𝑥 𝑑𝑥
𝑑 𝑑
𝑑 บน (ล่าง∙ บน)−(บน∙𝑑𝑥ล่าง)
𝑑𝑥
( )
𝑑𝑥 ล่าง
= ล่าง2
𝑑 2𝑥 2 (3𝑥+2)(4𝑥)−(2𝑥 2 )(3)
เช่น 𝑑
𝑑𝑥
(2𝑥 2 )(3𝑥 + 2) = (2𝑥 2 )(3) + (3𝑥 + 2)(4𝑥) (
𝑑𝑥 3𝑥+2
)= (3𝑥+2)2
𝑑
ตัวอย่าง จงหา 𝑑𝑥 (2𝑥 + 5)2
𝑑
วิธีทา เนื่องจากดิฟ๊ กระจายในการยกกาลังไม่ได้ ทาให้เราไม่สามารถหา 𝑑𝑥 2𝑥 + 5 ก่อน แล้วค่อยยกกาลังสองได้
ข้อนีต้ อ้ งกระจาย (2𝑥 + 5)2 ออกมาในรูปการบวกก่อน แล้วค่อยดิฟ๊ ดังนี ้
𝑑 𝑑
𝑑𝑥
(2𝑥 + 5)2 = 𝑑𝑥
4𝑥 2 + 20𝑥 + 25
= 8𝑥 + 20
𝑑 𝑑
หรือจะใช้สตู รดิฟ๊ ผลคูณ ก็ได้ ดังนี ้ 𝑑𝑥
(2𝑥 + 5)2 = 𝑑𝑥
(2𝑥 + 5)(2𝑥 + 5)
= (2𝑥 + 5)(2) + (2𝑥 + 5)(2)
= 4𝑥 + 10 + 4𝑥 + 10
= 8𝑥 + 20
#
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(1) = 2 , 𝑓 ′ (1) = 3 ถ้า 𝑔(𝑥) = (2𝑥 − 1)𝑓(𝑥) แล้ว จงหาค่าของ 𝑔′ (1)
วิธีทา จะเห็นว่า 𝑔(𝑥) เกิดจากการคูณกันระหว่าง 2𝑥 − 1 กับ 𝑓(𝑥)
ดังนัน้ เราสามารถใช้สตู รดิฟ๊ ผลคูณกับ 𝑔(𝑥) จะได้ 𝑔′ (𝑥) = (2𝑥 − 1)𝑓 ′(𝑥) + 𝑓(𝑥)(2)
ดังนัน้ 𝑔′ (1) = (2 ∙ 1 − 1)𝑓 ′ (1) + 𝑓(1)(2)
= ( 1 )( 3 ) + (2)(2) = 7 #
แบบฝึ กหัด
1. จงหาอนุพนั ธ์ของฟังก์ชนั ต่อไปนี ้
1. 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 + 2𝑥 + 5 2. 𝑓(𝑥) = 3𝑥 4 − 𝑥 2 + 𝑥
3. 𝑓(𝑥) = 1 − 𝑥 + 𝑥 2 − 𝑥 3 4. 𝑓(𝑥) = √𝑥 + 2
26 แคลคูลสั
1
7. 𝑓(𝑥) =
𝑥√𝑥
1 𝑥−1
3. 𝑓(𝑥) =
𝑥 2 +2
4. 𝑓(𝑥) =
𝑥+1
𝑓′ (2)
3. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑘𝑥 2 − 𝑘𝑥 + 1 ถ้า 𝑓 ′ (1) = 2 แล้ว จงหาค่าของ 𝑓(2)
2
+𝑥−1)
4. กาหนดให้ 𝑓(0) = 1 , 𝑓 ′ (0) = 2 ถ้า 𝑔(𝑥) = (𝑥 𝑓(𝑥) แล้ว จงหาค่าของ 𝑔′ (0)
แคลคูลสั 27
𝑓(𝑥)
5. กาหนดให้ 𝑓(1) = 1 , 𝑓 ′ (1) = 2 , 𝑔(1) = 3 , 𝑔′ (1) = 4 ถ้า ℎ(𝑥) = 𝑓(𝑥)𝑔(𝑥) − 𝑔(𝑥) แล้ว จงหาค่า
ของ ℎ′ (1)
6. ถ้า 𝑃(𝑥) เป็ นพหุนามดีกรีสาม ซึง่ มี 1, 2, 3 เป็ นคาตอบของสมการ 𝑃(𝑥) = 0 และ 𝑃(4) = 5
แล้ว 𝑃′ (1) มีคา่ เท่ากับเท่าใด [A-NET 49/1-18]
1. − 67 2. − 56 3. 45 4. 53
7. ถ้า 𝑓, 𝑔 และ ℎ สอดคล้องกับ 𝑓(1) = 𝑔(1) = ℎ(1) = 1 และ 𝑓 ′(1) = 𝑔′ (1) = ℎ′ (1) = 2
แล้วค่าของ (𝑓𝑔 + ℎ)′ (1) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ก.ค. 52)/33]
28 แคลคูลสั
𝑥+𝑏−4 , 𝑥≤𝑎
10. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑓(𝑥) = {𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑎 , 𝑎<𝑥≤𝑏 เมือ่ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
2𝑏𝑥 − 𝑎 , 𝑥>𝑏
และ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่องบนเซตของจานวนจริง ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้องบ้าง [PAT 1 (มี.ค. 59)/17]
1. (𝑓 ∘ 𝑓)(𝑎 − 𝑏) = 𝑎 − 𝑏
2. 𝑓(𝑎 + 𝑏) = 𝑓(𝑎) + 𝑓(𝑏)
3. 𝑓 ′ (𝑓(2)) = 𝑓(𝑓 ′ (2))
แคลคูลสั 29
13. ให้ R แทนเซตของจานวนจริง ให้ 𝑓 : R → R , 𝑔:R→R และ ℎ:R→R เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่
𝑎𝑥+1 𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑥 ≥ 2
𝑓(𝑥) =
𝑥 2 +1
เมื่อ 𝑎 เป็ นจานวนจริง 𝑔(𝑥) = (𝑥 2 + 1)𝑓 ′ (𝑥) และ ℎ(𝑥) = {
𝑔(𝑥) เมื่อ 𝑥 < 2
ถ้าฟั งก์ชนั ℎ ต่อเนื่องที่ 𝑥 = 2 แล้ว ค่าของ 2ℎ(−2) − ℎ(2) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 55)/17]
30 แคลคูลสั
กฎลูกโซ่
𝑑
จากตัวอย่างข้างบน จะเห็นว่าการหา 𝑑𝑥 (2𝑥 + 5)2 ค่อนข้างลาบาก เพราะ ต้องกระจายกาลังสองออกมาก่อน
𝑑
ยิ่งถ้าจะหา 𝑑𝑥 (2𝑥 + 5)10 ยิ่งลาบาก เพราะคราวนีต้ อ้ งกระจายกาลัง 10
ทาแบบนีไ้ ด้ไหม ก่อนอื่น เปลีย่ นตัวแปรก่อน โดยให้ 𝑢 = 2𝑥 + 5 ก่อน ดังนัน้ (2𝑥 + 5)10 จะกลายเป็ น 𝑢10
จากนัน้ ดิฟ๊ 𝑢10 จะได้ 10𝑢9 แล้วค่อยเปลีย่ นตัวแปรกลับ เป็ น 10(2𝑥 + 5)9
คาตอบคือ “ไม่ได้” เพราะถ้าสังเกตดีๆ ตอนที่ ดิฟ๊ 𝑢10 ได้ 10𝑢9 นัน้ เป็ นการดิฟ๊ โดยใช้ 𝑢 เป็ นตัวแปร
𝑑 𝑑
ดังนัน้ คาตอบที่ได้ 10(2𝑥 + 5)9 เป็ นคาตอบของคาถาม 𝑑𝑢 (2𝑥 + 5)10 ไม่ใช่คาถาม (2𝑥 + 5)10
𝑑𝑥
ตัวอย่างการใช้กฎลูกโซ่ เช่น
𝑑
(2𝑥 2 − 3𝑥 + 5)4 = 4(2𝑥 2 − 3𝑥 + 5)3 ∙ (4𝑥 − 3)
𝑑𝑥
1 1
𝑑 1 3
𝑑𝑥
√3𝑥 −2 = 2
(3𝑥 − 2)−2 ∙ (3) = 2
(3𝑥 − 2)−2
1 4
𝑑 1 𝑑 1
(
𝑑𝑥 3√𝑥 2 +2
) = 𝑑𝑥
(𝑥 2 + 2)−3 = − 3 (𝑥 2 + 2)−3 ∙ (2𝑥)
𝑑
((𝑥 2 + 2)3 + 2(𝑥 2 + 2)2 − 2) = (3(𝑥 2 + 2)2 + 4(𝑥 2 + 2))(2𝑥)
𝑑𝑥
𝑑
((𝑥 5 + 3)2 + 2(𝑥 5 + 3) + 1)10 = 10((𝑥 5 + 3)2 + 2(𝑥 5 + 3) + 1)9 (2(𝑥 5 + 3) + 2)(5𝑥 4 )
𝑑𝑥
สิง่ ที่ตอ้ งระวังเวลาใช้สตู รนี ้ คือ เวลาหา 𝑔′ (𝑓(𝑥)) ให้ดิฟ๊ หา 𝑔′ (𝑥) ก่อน แล้วค่อยแทน 𝑥 ด้วย 𝑓(𝑥)
(เหมือนกับเวลาหา 𝑓 ′ (3) ก็ตอ้ งดิฟ๊ หา 𝑓 ′ (𝑥) ก่อน แล้วค่อยแทน 𝑥 = 3 → ห้าม แทน 𝑥 = 3 ก่อน ค่อยดิฟ๊ )
แบบฝึ กหัด
1. จงหาอนุพนั ธ์ของฟังก์ชนั ต่อไปนี ้
1
1. 𝑓(𝑥) = (2𝑥 3 + 1)100 2. 𝑔(𝑥) =
𝑥 2 +2𝑥−5
2
4. กาหนดให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง ถ้า 𝑓: 𝑅 → 𝑅 และ 𝑔: 𝑅 → 𝑅 เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑓(𝑥) = 3𝑥 3 ,
2
𝑔(1) = 8 และ 𝑔′ (1) = 3 ค่าของ (𝑓 ∘ 𝑔)′ (1) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 53)/18]
5. ให้ R แทนเซตของจานวนจริง ให้ 𝑓 : R → R , 𝑔 : R → R และ ℎ : R → R เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ทกุ อันดับ
โดยที่ ℎ(𝑥) = 𝑥 2 + 4 , 𝑔(𝑥) = ℎ(𝑓(𝑥) − 1) และ 𝑓 ′ (1) = 𝑔′ (1) = 1
แล้วค่าของ 𝑓(1) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 55)/18]
ในกรณีแบบนี ้ ถ้าจะดิฟ๊ อาจจัดรูปให้ 𝑓(𝑥) แยกไปอยูเ่ ดีย่ วๆก่อน แล้วค่อยดิฟ๊ เช่น 𝑓(𝑥) = 2 − 𝑓(𝑥) − 4𝑥 2
𝑓(𝑥) + 𝑓(𝑥) = 2 − 4𝑥 2
2𝑓(𝑥) = 2 − 4𝑥 2
𝑓(𝑥) = 1 − 2𝑥 2
𝑓 ′ (𝑥) = −4𝑥
จะเห็นว่า วิธีนตี ้ อ้ งลาบากจัดรูป และอาจใช้ไม่ได้กบั บางกรณี
อีกวิธีหนึง่ ทีจ่ ะดิฟ๊ 𝑓(𝑥) ประเภทนีไ้ ด้โดยไม่ตอ้ งจัดรูปให้เสียเวลา คือใช้วิธี “ลุยดิฟ๊ ” มันทัง้ อย่างนัน้
โดยเราจะดิฟ๊ ตลอดทัง้ สมการ และ “ใช้กฎลูกโซ่เมื่อต้องดิฟ๊ พจน์ทมี่ ี 𝑓(𝑥)”
3
𝑑(𝑓(𝑥)) 2
ตัวอย่างการใช้กฎลูกโซ่เพื่อดิฟ๊ พจน์ที่มี 𝑓(𝑥) เช่น 𝑑𝑥
= 3(𝑓(𝑥)) ∙ 𝑓 ′ (𝑥)
ตัวอย่าง จงหา 𝑑𝑦 𝑑𝑥
เมื่อกาหนดให้ 𝑥 2 + 𝑦 2 = 4
วิธีทา ดิฟ๊ ทัง้ สองข้างของสมการ จะได้ 2𝑥 + 2𝑦 ∙ 𝑦 ′ = 0
2𝑥 𝑥
ดังนัน้ 𝑦 ′ = − 2𝑦 = −
𝑦
#
ตัวอย่าง จงหา 𝑑𝑦 𝑑𝑥
ที่จดุ (5, 0) เมื่อกาหนดให้ (2𝑦 2 + 5)2 = 𝑥 2 + 2𝑦
วิธีทา ดิฟ๊ ทัง้ สองข้างของสมการ: 2(2𝑦 2 + 5) ∙ (4𝑦 ∙ 𝑦 ′ ) = 2𝑥 + 2𝑦 ′
แทน 𝑥 = 5 และ 𝑦 = 0: 2(2 ∙ 02 + 5) ∙ (4 ∙ 0 ∙ 𝑦 ′ ) = 2 ∙ 5 + 2𝑦 ′
0 = 10 + 2𝑦 ′
𝑦 ′ = −5 #
34 แคลคูลสั
แบบฝึ กหัด
1. จงหา 𝑦 ′ ณ จุดที่กาหนด ของความสัมพันธ์ดงั ต่อไปนี ้
1. √𝑥 + √𝑦 = 𝑥 ณ จุด (4, 4) 2. 𝑥𝑦 + 𝑦 = 3𝑥 2 ณ จุด (2, 4)
3. 𝑦 2 + 𝑥𝑦 = 3𝑥 2 − 𝑦 ณ จุด (1, 1)
แคลคูลสั 35
แบบฝึ กหัด
1. จงหาอนุพนั ธ์อนั ดับ 2 ของ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 + 𝑥 2 + 𝑥 + 1
1
2. จงหาอนุพนั ธ์อนั ดับ 3 ของ 𝑓(𝑥) = 𝑥
36 แคลคูลสั
1
3. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) =
√2𝑥−1
จงหาค่าของ 𝑓 (4) (1)
4. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓(2𝑥 + 1) = 4𝑥 2 + 14𝑥
ค่าของ 𝑓 (𝑓 ′ (𝑓 ′′(2553))) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 53)/47]
′
5. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 1 + 𝑎𝑥 และ 𝑔(𝑥) = 𝑥 2 + 𝑏 ถ้า (𝑓 ∘ 𝑔)(0) = 12 และ 𝑓 ′′(−1) = 2 แล้ว (𝑔𝑓 ) (𝑎 + 𝑏)
เท่ากับเท่าใด [A-NET 50/1-21]
แคลคูลสั 37
“ความเร่ง” คือ อัตราการเปลีย่ นแปลงของ “ความเร็ว” เทียบกับเวลา เช่น วินาทีแรก ขับ 5 เมตรต่อวินาที
เช่น ถ้า “เคลือ่ นที่โดยเพิ่มความเร็ว 10 เมตรต่อวินาที ในทุกๆ 1 วินาที” วินาทีตอ่ มา ขับ 15 เมตรต่อวินาที
วินาทีตอ่ มาเป็ น 25 เมตรต่อวินาที
จะเรียกว่า “ขับรถด้วยความเร่ง 10 เมตรต่อวินาที ต่อวินาที” หรือ “10 เมตรต่อวินาทียกกาลังสอง”
ความเร่งจะเป็ น 0 เมื่อวัตถุไม่เปลีย่ นความเร็ว (= เมื่อเคลือ่ นที่ดว้ ยความเร็วคงที)่
ในเรือ่ งนี ้ จะใช้ตวั แปร 𝑡 แทน 𝑥 และใช้ 𝑠(𝑡) แทน 𝑓(𝑥) โดยที่ 𝑠(𝑡) หมายถึงระยะทาง
𝑣(𝑡) หมายถึงความเร็ว = 𝑠 ′ (𝑡)
𝑎(𝑡) หมายถึงความเร่ง = 𝑣 ′ (𝑡) = 𝑠 ′′ (𝑡)
แบบฝึ กหัด
1. กาหนดให้ 𝑠(𝑡) = 𝑡 3 − 2𝑡 2 + 3𝑡 + 4 จงหาความเร็วและความเร่ง เมื่อ 𝑡=2
กฎของโลปิ ตาล
𝑥 2 −3𝑥+2
ตัวอย่าง จงหา lim 2
x 2 2𝑥 +𝑥−10
0
วิธีทา แทน 2 ลงไปดู จะได้ 0
ใช้กฎของโลปิ ตาล ดิฟ๊ บน ได้ 2𝑥 − 3 ดิฟ๊ ล่าง ได้ 4𝑥 + 1
𝑥 2 −3𝑥+2 2𝑥−3 2∙2−3 1
ดังนัน้ lim
2𝑥 2 +𝑥−10 = lim = = #
x2 x 2 4𝑥+1 4∙2+1 9
√𝑥+2−1
ตัวอย่าง จงหาค่าของ lim
x 1 √𝑥+5−2
0
วิธีทา แทน −1 ลงไปดู จะได้ 0
1 1
1 1
ใช้กฎของโลปิ ตาล ดิฟ๊ บน ได้ 2
(𝑥 + 2)−2 ∙ (1) = 2 (𝑥 + 2)−2
1 1
1 1
ดิฟ๊ ล่าง ได้ 2
(𝑥 + 5) 2 ∙ (1) = (𝑥 + 5)−2
−
2
1
1
√𝑥+2−1 (𝑥+2)−2 √4
ดังนัน้ lim = lim 2
1 = lim
√𝑥+5
= =2 #
x 1 √𝑥+5−2 x 1 1
(𝑥+5)−2 x 1 √𝑥+2 √1
2
แบบฝึ กหัด
1. จงหาลิมติ ของฟังก์ชนั ต่อไปนีด้ ว้ ยกฎของโลปิ ตาล
3𝑥 2 +2𝑥−1 𝑥 2 −5𝑥+4
1. lim
𝑥 2 −1
2. lim
x 1 x 1 √𝑥−1
แคลคูลสั 41
𝑥 2 −3𝑥+2 𝑥 3 −3𝑥+2
3. lim 2 4. lim 𝑥 3 −4𝑥 2 +5𝑥−2
x 2 𝑥 −4𝑥+4 x 1
𝑥𝑓(𝑥)−333
3. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง ถ้า 𝑓 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑓(3) = 111 และ lim
x 3 𝑥−3
= 2013
ความชันเส้นโค้ง
ถ้า 𝑥 = 0 จะได้ 𝑦 = 03 − 6 ∙ 02 + 2 ∙ 0 − 5 = −5
ถ้า 𝑥 = 4 จะได้ 𝑦 = 43 − 6 ∙ 42 + 2 ∙ 4 − 5 = −29
ดังนัน้ จุดบนเส้นโค้งที่มีความชันเท่ากับ 2 คือ (0, −5) และ (4, −29) #
สมการคือ ?
แบบฝึ กหัด
1. จงหาความชันของเส้นโค้ง ณ จุดที่กาหนด
1. 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 2𝑥 − 1 เมื่อ 𝑥 = 0 2. 𝑓(𝑥) = √𝑥 + 1 เมื่อ 𝑥 = 3
1
3. จงหาสมการเส้นตรงที่ตงั้ ฉากกับสัมผัสโค้ง 𝑦 = 𝑥
ที่ 𝑥 = −2
4
4. กาหนดให้ C เป็ นเส้นโค้ง 𝑦 = 3𝑥𝑥3−2 เมื่อ 𝑥 > 0 และให้ L เป็ นเส้นตรงที่สมั ผัสกับเส้นโค้ง C ที่จดุ (1, 1)
ถ้าเส้นตรง L ตัดกับพาราโบลา 𝑥(𝑥 − 1) = 𝑦 − 1 ที่จดุ A และจุด B
แล้วระยะห่างระหว่างจุด A และจุด B เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 56)/20]
6. กาหนดให้ 𝐶 เป็ นเส้นโค้ง 𝑦 = 2 + 𝑥|𝑥 − 1| เมื่อ 𝑥 เป็ นจานวนจริง ถ้า 𝐿 เป็ นเส้นตรงที่สมั ผัสกับเส้นโค้ง 𝐶 ที่
จุด (0, 2) และให้ 𝑁 เป็ นเส้นตรงที่ตงั้ ฉากกับเส้นตรง 𝐿 ณ จุด (0, 2) แล้วเส้นตรง 𝑁 ผ่านจุดในข้อใดต่อไปนี ้
[PAT 1 (ต.ค. 58)/14]
1. (−1, 3) 2. (1, 5) 3. (−2, 5)
4. (3, −2) 5. (−3, 4)
2
7. กาหนดให้ 𝑓 : R → R โดยที่ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3
ถ้า N เป็ นเส้นตรงทีต่ งั้ ฉากกับเส้นสัมผัสกราฟของ 𝑓(𝑥) ที่จดุ (𝑎, 𝑓(𝑎)) , 𝑎 > 0
และ N มีระยะตัดแกน 𝑦 เท่ากับ 52 หน่วย แล้ว ข้อใดเป็ นพิกดั ของจุดบนเส้นตรง N [PAT 1 (ธ.ค. 54)/17]
1. (−2, 7) 2. (−1, 4) 3. (2, −4) 4. (3, −5)
8. กาหนดให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริง โดยทัง้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ที่
สามารถหาอนุพนั ธ์ได้ และสอดคล้องกับ (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = √𝑥 2 + 5 สาหรับทุก 𝑥 ที่อยูใ่ นโดเมนของ 𝑓 ∘ 𝑔
และ ∫ 𝑔(𝑥) 𝑑𝑥 = 𝑥 2 − 4𝑥 + 𝐶 เมื่อ 𝐶 เป็ นค่าคงตัว ถ้า 𝐿 เป็ นเส้นตรงที่สมั ผัสเส้นโค้ง 𝑦 = 𝑓(𝑥) ณ 𝑥 = 0
แล้วเส้นตรง 𝐿 ตัง้ ฉากกับเส้นตรงที่มีสมการตรงกับข้อใดต่อไปนี ้ [PAT 1 (พ.ย. 57)/16]
1. 𝑥 + 𝑦 − 3 = 0 2. 2𝑥 + 𝑦 − 7 = 0
3. 3𝑥 + 𝑦 − 5 = 0 4. 5𝑥 + 𝑦 − 2 = 0
46 แคลคูลสั
สรุป: ถ้าค่า 𝑥 ตรงไหนที่ทาให้ 𝑓 ′ (𝑥) เป็ นบวก แปลว่า 𝑓(𝑥) เป็ นฟั งก์ชนั เพิม่ ที่ตรงนัน้
ถ้าค่า 𝑥 ตรงไหนที่ทาให้ 𝑓 ′ (𝑥) เป็ นลบ แปลว่า 𝑓(𝑥) เป็ นฟั งก์ชนั ลดที่ตรงนัน้
ส่วนค่า 𝑥 ที่ทาให้ 𝑓 ′ (𝑥) = 0 คือจุดเปลีย่ นสถานะของฟั งก์ชนั
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 2𝑥 จงพิจารณาว่า 𝑓(𝑥) เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่ม หรือลด เมื่อ 𝑥 = 3
วิธีทา จะได้ 𝑓 ′(𝑥) = 2𝑥 − 2 ดังนัน้ 𝑓 ′ (3) = 2(3) − 2 = 4 เป็ นบวก
ดังนัน้ 𝑓(𝑥) เป็ นฟั งก์ชนั เพิม่ ที่ 𝑥 = 3 #
แบบฝึ กหัด
1. จงพิจารณาว่า 𝑓(𝑥) ในแต่ละข้อต่อไปนี ้ เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่มหรือฟั งก์ชนั ลด ณ ค่า 𝑥 ที่กาหนด
1. 𝑓(𝑥) = 2𝑥 2 − 3𝑥 + 5 เมื่อ 𝑥 = 1 2. 𝑓(𝑥) = √𝑥 2 − 𝑥 + 1 เมื่อ 𝑥 = 0
1
3. 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 +𝑥−2
เมื่อ 𝑥 = −1 4. 𝑓(𝑥) = (1 − 2𝑥)100 เมื่อ 𝑥 = 1
แคลคูลสั 47
2. จงพิจารณาว่า 𝑓(𝑥) ในแต่ละข้อต่อไปนี ้ เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่มเมื่อ 𝑥 มีคา่ อยูใ่ นช่วงใด
1. 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 6𝑥 + 5 2. 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 − 6𝑥 2 + 9𝑥 + 6
2𝑥
4. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓 −1 (𝑥) = 𝑥+1 สาหรับทุก
สมาชิก 𝑥 ในเรนจ์ของ 𝑓 ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้องบ้าง [PAT 1 (ต.ค. 58)/15]
1. 2𝑓 ′(4) − 𝑓(4) = 3
2. 𝑓 ′′(𝑓(4)) = 𝑓(𝑓 ′′(4))
3. 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่มบนช่วง (0, 2)
48 แคลคูลสั
ค่าสูงสุด ต่าสุด
ประโยชน์ของอนุพนั ธ์ ที่ดจู ะเป็ นประโยชน์กบั เรามากกว่าอันอื่น คือ การนาอนุพนั ธ์ไปใช้หาค่าสูงสุด หรือ ค่าต่าสุด ได้
โจทย์ที่จะเจอในเรือ่ งนี ้ เช่น กาหนด 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 2𝑥 + 5 แล้วถามว่า 𝑓(𝑥) จะมีคา่ น้อยที่สดุ ได้เท่ากับเท่าไหร่
สมมติวา่ เราไม่เคยเรียนเรือ่ งอนุพนั ธ์มาก่อน เราอาจจะใช้แรง ลุยแทน 𝑥 ด้วยค่าต่างๆลงไปดู จะได้คา่ 𝑓(𝑥) ดังนี ้
𝑥 𝑓(𝑥)
−2 (−2)2 − 2(−2) + 5 = 13
−1 (−1)2 − 2(−1) + 5 = 8
0 (0)2 − 2( 0 ) + 5 = 5
1 (1)2 − 2( 1 ) + 5 = 4
2 (2)2 − 2( 2 ) + 5 = 5
3 (3)2 − 2( 3 ) + 5 = 8
จากหัวข้อที่แล้วเรือ่ งฟังก์ชนั เพิ่ม – ฟั งก์ชนั ลด จุดที่ 𝑓(𝑥) เปลีย่ นสถานะดังกล่าว ก็คือจุดที่ 𝑓 ′(𝑥) = 0 นั่นเอง
โดยเราจะเรียกจุดที่ 𝑓(𝑥) เปลีย่ นจากขาลงเป็ นขาขึน้ หรือ ขาขึน้ เป็ นขาลง ว่า “จุดวกกลับ”
และจะเรียกค่า 𝑥 ทีจ่ ดุ วกกลับนี ้ ว่า “ค่าวิกฤติ”
จะเห็นว่าจุดวกกลับ อาจจะเป็ นได้ทงั้ แบบทีเ่ ปลีย่ นจาก “ขาลงเป็ นขาขึน้ ” และ แบบ “ขาขึน้ เป็ นขาลง”
จุดวกกลับ จึงอาจเป็ นได้ทงั้ จุดต่าสุด หรือ จุดสูงสุด ก็ได้
เช่นในตัวอย่างข้างบน เราจะไม่รูว้ า่ (1 , 4) เป็ นจุดต่าสุด หรือจุดสูงสุด
มีอีกวิธี ที่จะใช้บอกได้วา่ จุดวกกลับเป็ นจุดต่าสุด หรือจุดสูงสุด โดยการดู “เครือ่ งหมาย” ของ 𝑓 ′ (𝑥) ดังนี ้
จุดวกกลับแบบสูงสุด
𝑓 ′ (𝑥) เป็ นลบ 𝑓 ′ (𝑥) เป็ นบวก
ฟังก์ชนั ลด ฟังก์ชนั เพิ่ม 𝑓 ′ (𝑥) เป็ นบวก 𝑓 ′ (𝑥) เป็ นลบ
กราฟขาลง กราฟขาขึน้ ฟังก์ชนั เพิ่ม ฟังก์ชนั ลด
กราฟขาขึน้ กราฟขาลง
จุดวกกลับแบบต่าสุด
−3 1
สูงสุดที่ 𝑥 = −3
𝑓(−3) = (−3)3 + 3(−3)2 − 9(−3) + 5 = 32
ขึน้ ลง ขึน้
ต่าสุดที่ 𝑥 = 1
𝑓(1) = 13 + 3(1) − 9(1) + 5 = 0
ดังนัน้ จุดสูงสุดคือ (−3 , 32) และจุดต่าสุดคือ (1 , 0) #
ตัวอย่าง จากตัวอย่างที่แล้ว จงใช้ 𝑓 ′′(𝑥) ในการพิจารณาจุดวกกลับ (−3 , 32) และ (1 , 0) ของ 𝑓(𝑥) ว่าจุดใดเป็ น
จุดสูงสุด และจุดใดเป็ นจุดต่าสุด
วิธีทา จาก 𝑓 ′ (𝑥) = 3𝑥 2 + 6𝑥 − 9 → ดิฟต่อไปอีกที จะได้ 𝑓 ′′ (𝑥) = 6𝑥 + 6
ที่ 𝑥 = −3 จะได้ 𝑓 ′′(−3) = 6(−3) + 6 = −12 เป็ นลบ ดังนัน้ (−3 , 32) เป็ นจุดสูงสุด
ที่ 𝑥 = 1 จะได้ 𝑓 ′′(1) = 6(1) + 6 = 12 เป็ นบวก ดังนัน้ (1 , 0) เป็ นจุดต่าสุด #
(1, 21)
(2, 16)
(−1, −11)
ดังนัน้ คาตอบที่ได้วา่ (1, 21) เป็ นจุดสูงสุด กับ (2, 16) เป็ นจุดต่าสุดนัน้ ไม่จริงซะทีเดียว
จุดพวกนี ้ แค่สงู หรือต่ากว่าจุดข้างๆเท่านัน้ แต่ไม่ใช่จดุ สูงที่สดุ หรือต่าที่สดุ อย่างแท้จริง
จุดที่สงู (หรือต่า) กว่าจุดข้างๆ จะเรียกว่า จุดสูงสุด (หรือต่าสุด) สัมพัทธ์ จุดสัมบูรณ์ จะเป็ นสัมพัทธ์ดว้ ย
จุดที่สงู (หรือต่า) ที่สดุ อย่างแท้จริง จะเรียกว่า จุดสูงสุด (หรือต่าสุด) สัมบูรณ์ เพราะถ้าจะเป็ นที่สดุ จริงๆได้ ก็
ต้องชนะจุดข้างๆอยูแ่ ล้ว
ดังนัน้ เป็ นจุดสูงสุดสัมพัทธ์ และ (2, 16) กับ (−1, 11) เป็ นจุดต่าสุดสัมพัทธ์
(1, 21)
(−1, 11) เป็ นจุดต่าสุดสัมบูรณ์ และ 𝑓(𝑥) ไม่มีจด ุ สูงสุดสัมบูรณ์ (เพราะกราฟพุง่ ขึน้ อย่างไม่มีขอบเขต)
แคลคูลสั 51
เหลือลวดสาหรับด้านกว้างที่เหลือ = 20 − 2𝑥
แต่ดา้ นกว้างมี 2 ด้าน ดังนัน้ จะได้วา่ ด้านกว้าง = 20−2𝑥 2
= 10 − 𝑥
ขัน้ ที่ 4 จากสูตร พืน้ ที่สเี่ หลีย่ มมุมฉาก = กว้าง × ยาว ดังนัน้ 𝑓(𝑥) = 𝑥(10 − 𝑥) = 10𝑥 − 𝑥 2
ขัน้ ที่ 5 หาค่าสูงสุด ต่าสุด ของ 𝑓(𝑥)
ให้ 𝑓 ′ (𝑥) = 10 − 2𝑥 = 0 จะได้ 𝑥 = 5
แทนใน 𝑓(𝑥) จะได้ 𝑓(5) = 5(10 − 5) = 25
และสุดท้าย 𝑓 ′′ (𝑥) = −2 เป็ นลบ แปลว่าได้คา่ สูงสุด
ดังนัน้ ต้องล้อมให้สเี่ หลีย่ มยาว 5 เมตร จึงจะได้พนื ้ ที่มากที่สดุ คือ 25 ตารางเมตร #
แบบฝึ กหัด
1. จงหาจุดสูงสุด / ต่าสุด สัมพัทธ์ ของฟั งก์ชนั ในแต่ละข้อต่อไปนี ้
1. 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 + 3𝑥 2 − 9𝑥 + 15 2. 𝑔(𝑥) = (𝑥 + 1)(3 − 𝑥)
3. ถ้าเส้นโค้ง 𝑦 = 𝑓(𝑥) มีความชันของเส้นสัมผัสที่จดุ (𝑥, 𝑦) เท่ากับ 𝑥−2 และ 𝑓(𝑥) มีคา่ ต่าสุดสัมพัทธ์เท่ากับ
5 แล้ว จงหาค่าของ 𝑓(2)
4. มีลวดยาว 12 เมตร ต้องการล้อมที่ดินริมแม่นา้ ให้เป็ นรูปสีเ่ หลีย่ มมุมฉาก โดยล้อมแค่ 3 ด้าน เว้นด้านที่ติดริมแม่นา้
ไม่ตอ้ งล้อม จงหาว่าจะล้อมได้พนื ้ ที่มากที่สดุ เท่าไร
54 แคลคูลสั
7. กาหนดให้ ℝ เป็ นเซตของจานวนจริง ให้ 𝑓 : ℝ → ℝ และ 𝑔 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ทกุ อันดับ และ
สอดคล้องกับ 𝑔(𝑥) = 𝑥𝑓(𝑥) และ 𝑔′ (𝑥) = 4𝑥 3 + 9𝑥 2 + 2 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้องบ้าง [PAT 1 (มี.ค. 59)/28]
1. ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ของ 𝑓 เท่ากับ 6
2. ค่าต่าสุดสัมพัทธ์ของ 𝑓 เท่ากับ 2
3. อัตราการเปลีย่ นแปลงของ (𝑓 + 𝑔)(𝑥) เทียบกับ 𝑥 ขณะที่ 𝑥 = 1 เท่ากับ 12
แคลคูลสั 55
8. ให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง และกาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 + 𝑏𝑥 เมื่อ 𝑥 ≠ 0 โดยที่ 𝑦 = 𝑓(𝑥) เป็ นเส้นโค้งที่สมั ผัส
กับเส้นตรง 𝑦 = 1 ที่จดุ (1, 1) ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้องบ้าง [PAT 1 (พ.ย. 57)/7]
1. 𝑓 มีคา่ สูงสุดสัมพัทธ์ที่ 𝑥 = −1
2. limx 1
(𝑓 ∘ 𝑓)(𝑥) = 𝑓(2𝑎2 + 2𝑏 2 )
4𝑥 3
9. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 6 −3𝑥 3 +64
เมื่อ 𝑥 เป็ นจานวนจริงบวกใดๆ ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้องบ้าง
[PAT 1 (มี.ค. 57)/19]
1. 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่มบนช่วง (0, 3)
4
2. ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ของ 𝑓 เท่ากับ 13
56 แคลคูลสั
ปฏิยานุพนั ธ์
หมายเหตุ: เรานิยมใช้สญ
ั ลักษณ์ 𝐹(𝑥) แทน ปฏิยานุพนั ธ์ของ 𝑓(𝑥)
สูตรสาหรับอินทิเกรตที่ควรจาได้แก่ ∫ 𝑎𝑥 𝑛 𝑑𝑥 =
𝑎
𝑥 𝑛+1 +𝑐
𝑛+1
แบบฝึ กหัด
1. จงหาค่าของอินทิกรัลต่อไปนี ้
1. ∫(4𝑥 − 3) 𝑑𝑥 2. ∫(2𝑥 3 + 6𝑥 2 − 3𝑥 + 5) 𝑑𝑥
1
3. ∫ √𝑥 𝑑𝑥 4. ∫
√𝑥
𝑑𝑥
𝑥 2 +2𝑥
5. ∫(𝑥 + 1)(𝑥 − 1) 𝑑𝑥 6. ∫ 𝑥
𝑑𝑥
4. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริง โดยที่อตั ราการเปลีย่ นแปลงของ 𝑓(𝑥) เทียบกับ 𝑥
เท่ากับ 𝑎𝑥 3 + 𝑏𝑥 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง และให้ 𝑔(𝑥) = (𝑥 3 + 2𝑥)𝑓(𝑥) ถ้า 𝑓 ′ (1) = 18 ,
𝑓 ′′ (0) = 6 และ 𝑓(2) = 𝑓(1) + 𝑓(0) แล้วค่าของ 𝑔′ (−1) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 56)/39]
5. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง ถ้า 𝑓 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ 𝑓 ′′ (𝑥) = 3 + 6𝑥 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 และ
ความชันของเส้นสัมผัสโค้ง 𝑦 = 𝑓(𝑥) ณ จุด (2, 22) เท่ากับ 20 แล้วค่าของ lim x4
𝑓(𝑥) เท่ากับเท่าใด
6. กาหนดให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง ถ้า 𝑓: 𝑅 → 𝑅 เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑓 ′(𝑥) = 3√𝑥 + 5 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
𝑓(𝑥 2 )−2
และ 𝑓(1) = 5 แล้วค่าของ lim
𝑓(𝑥)
เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 53)/38]
x4
แคลคูลสั 59
9. กาหนดให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั พหุนามทีม่ ี 𝑓 ′′(𝑥) = 𝑎𝑥 + 𝑏 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ถ้า 𝑓(0) = 2 และกราฟ
ของ 𝑓 มีจดุ ต่าสุดสัมพัทธ์ที่ (1, −5) แล้ว 2𝑎 + 3𝑏 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 54)/19]
60 แคลคูลสั
10. กาหนดให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ที่นิยามบนช่วง (0, ∞) โดยที่ 𝑓(2) = 2𝑓(1) และ 𝑓 ′ (𝑥) = 27𝑥 − 𝑥12
ถ้า L เป็ นเส้นสัมผัสกราฟของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ที่จดุ (1, 𝑓(1)) แล้ว จุดในข้อใดต่อไปนีอ้ ยูบ่ น L [A-NET 51/1-19]
1. (2, 64) 2. (2, 66) 3. (3, 94) 4. (3, 96)
11. ให้ R แทนเซตของจานวนจริง กาหนดให้ 𝑓 : R → R เป็ นฟั งก์ชนั ทีม่ ีอนุพนั ธ์ทกุ อันดับ โดยที่
𝑓 ′′ (𝑥) = 2𝑥 + 1 และ 𝑓 ′ (2) = 2
สมการของเส้นตรงทีต่ งั้ ฉากกับเส้นสัมผัสเส้นโค้ง 𝑦 = 𝑓(𝑥) ที่จดุ (1, 3) คือข้อใดต่อไปนี ้
[PAT 1 (มี.ค. 55)/16]
1. 𝑦 = − 12 𝑥 + 2 2. 𝑦 = 12 𝑥 + 52
1 5 1
3. 𝑦 = −2𝑥 + 2 4. 𝑦 = 2𝑥 + 2
แคลคูลสั 61
12. กาหนดให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั พหุนามกาลังสาม ซึง่ นิยามบนช่วง [−2, 2] โดยที่ 𝑓(0) = 1, 𝑓(1) = 0 และ 𝑓 มีคา่
ต่าสุดที่ 𝑥 = 1, มีคา่ สูงสุดที่ 𝑥 = −1 ข้อใดต่อไปนีถ้ กู บ้าง [A-NET 51/1-20]
1. 𝑓(−2) ≤ 𝑓(𝑥) ทุก 𝑥 ∈ [−2, 2]
2. 𝑓(2) ≥ 𝑓(𝑥) ทุก 𝑥 ∈ [−2, 2]
3ℎ𝑥+2ℎ
14. กาหนดให้ 𝑃(𝑥) เป็ นพหุนามโดยที่ 𝑃(0) = 1 และสอดคล้องกับ lim
h0 𝑃(𝑥+ℎ+2)+𝑃(ℎ+2)−𝑃(𝑥+2)−𝑃(2)
= 1
อินทิกรัลจากัดเขต
3
ในกรณีที่มีตวั เลขปิ ดหัวท้ายเครือ่ งหมายอินทิกรัล เช่น (3𝑥 + 5) 𝑑𝑥 (อ่านว่า อินทิตเกรต 3𝑥 + 5 ตัง้ แต่ 1 ถึง 3)
1
อินทิกรัลแบบที่มีตวั เลขปิ ดหัวท้ายแบบนี ้ จะเรียกว่า อินทิกรัลแบบ “จากัดเขต”
(ถ้าไม่มีตวั เลขปิ ดหัวท้ายแบบหัวข้อก่อนหน้านี ้ จะเรียกกว่า อินทิกรัลแบบ “ไม่จากัดเขต”)
3
วิธีหา (3𝑥 + 5) 𝑑𝑥 คือ ให้หา ∫(3𝑥 + 5) 𝑑𝑥 ออกมาก่อน หลังจากนัน้ “แทน 𝑥 = 3” ลบด้วย “แทน 𝑥 = 1”
1
3
ตัวอย่าง จงหา 4𝑥 𝑑𝑥
2
วิธีทา หา ∫ 4𝑥 𝑑𝑥 ออกมาก่อน ได้ 2𝑥 2 + 𝑐 จากนัน้ “แทน 𝑥 = 3” ลบด้วย “แทน 𝑥 = −2”
3
นั่นคือ 4𝑥 𝑑𝑥 = [2(3)2 + 𝑐] − [2(−2)2 + 𝑐]
2
= (18 + 𝑐) − (8 + 𝑐) = 10 #
3
3𝑥 2 + 1 , 𝑥≥1
ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = { จงหา 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥
4𝑥 , 𝑥<1 2
วิธีทา จะเห็นว่า lim 𝑓(𝑥) = lim 𝑓(𝑥) = 𝑓(1) = 4 → 𝑓(𝑥) ต่อเนื่องที่ 𝑥 = 1
x 1 x 1
แบบฝึ กหัด
1. จงหาค่าของอินทิกรัลต่อไปนี ้
3 2
1. (2𝑥 + 1) 𝑑𝑥 2. (𝑥 2 − 1) 𝑑𝑥
1 1
4 2
2 𝑥 2 +2
3. (
√𝑥
+ 1) 𝑑𝑥 4. 2 𝑑𝑥
0 1 𝑥
2
2. กาหนดให้ 𝑓 ′ (𝑥) = 𝑥 2 + 2𝑥 + 1 จงหา 𝑓 ′′ (𝑥) 𝑑𝑥
1
3
3. กาหนดให้ 𝑓 ′ (𝑥) = 2𝑥 − 4 ถ้า 𝑓(0) = 1 จงหา 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥
0
แคลคูลสั 65
1
4. ถ้า 𝑓 ′ (𝑥) = 3𝑥 2 + 𝑥 − 5 และ 𝑓(0) = 1 แล้ว 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 มีคา่ เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ก.ค. 52)/32]
1
5. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓(2𝑥 − 1) = 4𝑥 2 − 10𝑥 + 𝑎
4
เมื่อ 𝑎 เป็ นจานวนจริง และ 𝑓(0) = 12 ค่าของ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (พ.ย. 57)/41]
1
2𝑥 4 −𝑥
6. ให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓 ′ (𝑥) = 𝑥3
เมื่อ 𝑥 ≠ 0
2
𝑔(𝑥) = (1 + 𝑥 2 )𝑓(𝑥) และ 𝑔(1) = 2 ค่าของ 𝑥 3 𝑔′′ (𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 58)/40]
1
66 แคลคูลสั
𝑥3 , 𝑥 < −1
7. กาหนดให้ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = { 𝑎𝑥 + 𝑏 , −1 ≤ 𝑥 < 1 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
3𝑥 2 + 2 , 𝑥≥1
2
ถ้าฟั งก์ชนั 𝑓 ต่อเนื่อง สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 แล้วค่า 𝑓(𝑥)𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 58)/34]
2
9. กาหนดให้ แทนเซตของจานวนจริง และ 𝑎, 𝑏 เป็ นจานวนจริง และให้ 𝑓 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั ที่นยิ ามโดย
ℝ
𝑓(𝑥) = 𝑎 + 𝑏𝑥 + 𝑥 3 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 ถ้าเส้นตรง 5𝑥 − 𝑦 + 13 = 0 สัมผัสกราฟของ 𝑓 ที่ 𝑥 = 1
2
แล้ว 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (เม.ย. 57)/41]
0
แคลคูลสั 67
2
𝑎
11. ถ้า |𝑥 2 − 7𝑥 + 6| 𝑑𝑥 =
𝑏
เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนเต็มที่ 𝑏≠0 และ ห.ร.ม. ของ 𝑎 และ 𝑏 เท่ากับ 1
2
2
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
12. ค่าของ 𝑥|𝑥+2|−𝑥 2 −2 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 59)/34]
4
68 แคลคูลสั
13. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็ นฟั งก์ชนั พหุนามกาลังสอง ถ้าความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้ง 𝑦 = 𝑓(𝑥) ที่จดุ (1, 2) มีคา่
2
เท่ากับ 4 และ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 12 แล้ว 𝑓(−1) + 𝑓 ′′ (−1) มีคา่ เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ก.ค. 53)/37]
1
1
14. ถ้า 𝑓 ′ (𝑥) = 𝑥 2 − 1 และ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 0 แล้ว |𝑓(1)| มีคา่ เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 52)/2-17]
0
2
64
15. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 4𝑥 3 + 𝑏𝑥 2 + 𝑐𝑥 + 𝑑 เมื่อ 𝑏, 𝑐 และ 𝑑 เป็ นจานวนจริง โดยที่ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = − 3
2
16. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 + 𝑎𝑥 + 𝑏 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ถ้าอัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่ ของ 𝑓(𝑥) เทียบ
1
กับ 𝑥 เมื่อค่าของ 𝑥 เปลีย่ นจาก −1 เป็ น 1 เท่ากับ −2 และ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 2
1
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3−ℎ)
แล้วค่าของ lim
h0 ℎ
เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 59)/40]
b
𝑥−1
17. กาหนดให้ 𝑏>1 และ 𝑥+ √𝑥
𝑑𝑥 = 4 ค่าของ 1 + 𝑏 + 𝑏2 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (เม.ย. 57)/18]
1
18. กาหนดให้ R แทนเซตของจานวนจริง ถ้า 𝑓 : R → R และ 𝑔 : R → R เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑓(𝑥) = 2𝑥 + 3
และ (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = 8𝑥 3 + 44𝑥 2 + 80𝑥 + 48 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
แล้วค่าของ ∫06 𝑓(𝑔(𝑥)) 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 55)/37]
70 แคลคูลสั
2
19. กาหนดให้เส้นโค้ง 𝑦 = 𝑓(𝑥) สัมผัสกับเส้นตรง 2𝑥 − 𝑦 + 3 = 0 ที่จด
ุ (0, 3) และ 𝑓 ′′ (𝑥) 𝑑𝑥 = −3
0
ถ้า 𝑔(𝑥) = √𝑥 + 2 𝑓(𝑥) และ 𝑔 ′ (2)
=0 แล้ว 𝑓(2) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 54)/43]
x
20. กาหนดให้ 𝑃(𝑥) เป็ นพหุนามที่สอดคล้องกับ 𝑃(𝑥 2 + 3) = 3𝑥 4 + 24𝑥 2 + 40 และให้ 𝑓(𝑥) = 𝑃(𝑡) 𝑑𝑡
0
ค่าของ lim
x2
√𝑃(𝑥) − 𝑓(𝑥) เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 55)/38]
แคลคูลสั 71
21. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็ นพหุนามกาลังสอง โดยที่ 𝑓(0) = 1 และ 𝑓(𝑥 + 1) = 𝑓(𝑥 − 1) + 𝑥 + 1 สาหรับ
1
จานวนจริง 𝑥 ใดๆ ค่าของ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (ต.ค. 55)/20]
2
a
22. กาหนดให้ 𝐼(𝑎) = (𝑥 2 − 1) 𝑑𝑥 สาหรับ 𝑎 ∈ [0, ∞)
a
ประโยคในข้อใดต่อไปนีม้ คี า่ ความจริงเป็ นจริง เมื่อเอกภพสัมพัทธ์คือช่วง [0, ∞) [A-NET 51/1-2]
1. ∀𝑎[𝐼(𝑎) > 0] 2. ∀𝑎[(𝐼(𝑎) = 0) → (𝑎 = 0)]
3. ∃𝑎[(𝑎 > 2) ∧ (𝐼(𝑎) < 0)] 4. ∃𝑎[(𝑎 ≠ 0) ∧ (𝐼(𝑎) = 0)]
72 แคลคูลสั
23. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 + 𝑎𝑥 + 𝑏 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงที่แตกต่างกัน และให้ L1 และ L2 เป็ นเส้นสัมผัส
9ℎ
เส้นโค้ง ที่ 𝑥 = 𝑎 และ 𝑥 = 𝑏 ตามลาดับ ถ้า L1 ขนานกับ L2 และ lim 𝑓(1+ℎ)−𝑓(1) = 1
h0
2
แล้วค่าของ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 55)/39]
0
พืน้ ที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง
b
พืน้ ที่ที่อยูร่ ะหว่างกราฟ 𝑓(𝑥) กับ แกน X ตัง้ แต่ 𝑥 = 𝑎 ถึง 𝑥 = 𝑏 จะเท่ากับ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥
a
b
พืน้ ที่สว่ นที่แรเงา = 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥
a
𝑎 𝑏
b
สิง่ ที่ตอ้ งระวังก็คือ ถ้าพืน้ ที่ที่แรเงาอยูใ่ ต้แกน X เราจะได้ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 เป็ นค่าติดลบ
a
แต่พนื ้ ที่ เป็ นค่าติดลบไม่ได้ ดังนัน้ เราต้องกลับเครือ่ งหมายให้เป็ นบวกก่อนตอบด้วย
1 3
3
วิธีทา พืน้ ที่สว่ นที่แรเงา จะเท่ากับ 𝑥 2 𝑑𝑥
1
3
1 3 3 1 1 1 26
จะได้ 𝑥 2 𝑑𝑥 = 3
𝑥 |
1
= [3 (3)3 ] − [3 (1)3 ] = 9 − 3 = 3
1
26
ดังนัน้ พืน้ ที่ที่แรเงา เท่ากับ 3
#
1 3
𝑐 𝑏
𝑎
จากรูป ถ้าโจทย์ถามพืน้ ที่สว่ นทีแ่ รเงา เราจะอินทิเกรต รวดเดียวตัง้ แต่ 𝑎 ถึง 𝑏 เลย ไม่ได้ เพราะพืน้ ที่เหนือแกน (เป็ นบวก)
กับใต้แกน (เป็ นลบ) จะหักล้างกัน ทาให้คา่ ที่ได้นอ้ ยกว่าคาตอบทีโ่ จทย์ตอ้ งการ
วิธีทาโจทย์ประเภทนี ้ จะต้องแยกอินทิเกรต โดยอินทิเกรตจาก 𝑎 ถึง 𝑐 หนึง่ ครัง้ และอินทิเกรตจาก 𝑐 ถึง 𝑏 อีกหนึง่ ครัง้ ถ้า
อันไหนได้คา่ ติดลบ ให้เปลีย่ นเป็ นบวกก่อน แล้วเอาผลการอินทิเกรตที่เปลีย่ นเป็ นบวกแล้ว มารวมกัน
ตัวอย่าง จงหาพืน้ ที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 1 กับแกน X ตัง้ แต่ 𝑥=0 ถึง 𝑥=3
วิธีทา ก่อนอื่น หาว่ากราฟตัดแกน X ที่ไหนบ้าง โดยการแก้สมการ 𝑥 2 − 1 = 0
(𝑥 − 1)(𝑥 + 1) = 0
𝑥 = −1 , 1
1
ตัวอย่าง จงหาค่าของ √1 − 𝑥 2 𝑑𝑥
1
วิธีทา ข้อนี ้ อินทิเกรตตรงๆไม่ได้ เพราะเรากระจาย ∫ เข้าไปในรูทไม่ได้
ข้อนี ้ ต้องทากลับกัน คือแทนที่จะใช้การอินทิเกรตเพื่อหาพืน้ ที่ เราต้องใช้พนื ้ ที่ มาหาค่าอินทิเกรตแทน
1
จะเห็นว่า √1 − 𝑥 2 𝑑𝑥 ก็คือ พืน้ ที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง 𝑦 = √1 − 𝑥 2 ตัง้ แต่ 𝑥 = −1 ถึง 𝑥 = 1 นั่นเอง
1
วาดกราฟ 𝑦 = √1 − 𝑥 2 ได้ดงั รู ป
𝑦2 = 1 − 𝑥2 ; 𝑦 ≥ 0
𝑥2 + 𝑦2 = 1 ; 𝑦≥0 −1 1
1
จะเห็นว่า √1 − 𝑥 2 𝑑𝑥 ก็คือพืน้ ที่ครึง่ วงกลมที่มีรศั มี 1 นั่นเอง
1
1
1 𝜋
ดังนัน้ √1 − 𝑥 2 𝑑𝑥 =
2
× 𝜋(1)2 =
2
#
1
76 แคลคูลสั
แบบฝึ กหัด
1. จงหาพืน้ ที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้งต่อไปนี ้ กับแกน X
1. 𝑓(𝑥) = 𝑥 + 1 ตัง้ แต่ 𝑥 = 2 ถึง 4 2. 𝑓(𝑥) = 2𝑥 − 4 ตัง้ แต่ 𝑥 = 1 ถึง 3
5. 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 1 6. 𝑓(𝑥) = 3𝑥 3 − 9𝑥 2 + 6𝑥
แคลคูลสั 77
2
2. จงหาค่าของ √4 − 𝑥 2 𝑑𝑥
2
5. กาหนดให้ กราฟของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) มีความชันที่จดุ (𝑥, 𝑦) ใดๆ เป็ น 2𝑥 + 2 และ 𝑓 มีคา่ ต่าสุดสัมพัทธ์เท่ากับ −3
พืน้ ที่ของอาณาบริเวณที่ปิดล้อมด้วยกราฟของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) แกน X เส้นตรง 𝑥 = −1 และเส้นตรง 𝑥 = 0
เท่ากับกี่ตารางหน่วย [A-NET 49/1-19]
78 แคลคูลสั
7. กาหนดให้
𝐴 แทนพืน้ ที่ของอาณาบริเวณที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง 𝑦 = 1 − 𝑥 2 และแกน X
𝑥2
𝐵 แทนพืน้ ที่ของอาณาบริเวณทีใ่ ต้เส้นโค้ง 𝑦 = เหนือแกน X จาก 𝑥 = −𝑐 ถึง 𝑥 = 𝑐
4
ค่าของ 𝑐 ที่ทาให้ 𝐴 = 𝐵 เท่ากับเท่าใด [PAT 1 (มี.ค. 52)/32]
พืน้ ที่ระหว่างเส้นโค้ง
𝑦 = 𝑓(𝑥)
b
พืน้ ที่สว่ นที่แรเงา = (𝑓(𝑥) − 𝑔(𝑥)) 𝑑𝑥
𝑦 = 𝑔(𝑥) a
𝑎 𝑏
ตัวอย่าง จงหาพืน้ ที่ที่อยูร่ ะหว่างเส้นโค้ง 𝑦 = 𝑥3 + 1 และ 𝑦 = 𝑥2 ตัง้ แต่ 𝑥=0 ถึง 𝑥 = 2 ดังรู ป
𝑦 = 𝑥3 + 1
𝑦 = 𝑥2
2
2 2
1 1
วิธีทา พืน้ ที่ระหว่างโค้ง = (𝑥 3 + 1 − 𝑥 2 ) 𝑑𝑥 = ( 𝑥4 + 𝑥 − 𝑥3)
4 3
|
0 0
1 1 1 1 10
= [ (2)4 + 2 − (2)3 ] − [ (0)4 + 0 − (0)3 ] = #
4 3 4 3 3
b
อย่างไรก็ตาม การใช้สตู ร (𝑓(𝑥) − 𝑔(𝑥)) 𝑑𝑥 มีสงิ่ ที่ตอ้ งระวัง คือ
a
บริเวณที่ 𝑓(𝑥) อยูเ่ หนือ 𝑔(𝑥) ผลอินทิเกรตจะเป็ นบวก
บริเวณที่ 𝑓(𝑥) อยู่ ใต้ 𝑔(𝑥) ผลอินทิเกรตจะเป็ นลบ
เนื่องจาก พืน้ ที่เป็ นลบไม่ได้ ดังนัน้ ก่อนตอบต้องเปลีย่ นเครือ่ งหมายเป็ นบวกด้วย
ปั ญหาจะเกิดเมื่อ บางส่วน 𝑓(𝑥) อยูเ่ หนือ 𝑔(𝑥) และบางส่วน 𝑓(𝑥) อยูใ่ ต้ 𝑔(𝑥) ดังรูปต่อไปนี ้
𝑓(𝑥)
𝑎 𝑐 𝑏
𝑔(𝑥)
c b
เวลาหาพืน้ ที่ที่แรเงาในรูปข้างบน จะต้องแยกอินทิเกรต หนึง่ เที่ยว และ อีกหนึง่ เที่ยว
a c
โดยถ้าอันไหนเป็ นลบก็เปลีย่ นให้เป็ นบวกก่อน แล้วค่อยเอามารวมกัน
อย่างไรก็ตาม ปกติโจทย์ก็จะไม่ใจดีบอกจุด 𝑐 มาให้ จะเห็นว่า จุด 𝑐 ก็คือจุดที่ 𝑓(𝑥) ตัดกับ 𝑔(𝑥) นั่นเอง
วิธีหาจุดตัดของ 𝑓(𝑥) กับ 𝑔(𝑥) ก็คือให้แก้สมการ 𝑓(𝑥) = 𝑔(𝑥)
80 แคลคูลสั
ดังนัน้ สิง่ ที่ตอ้ งทาเป็ นอันดับแรกในการทาโจทย์เรือ่ งนีค้ ือ ต้องแก้สมการ 𝑓(𝑥) = 𝑔(𝑥) เพื่อหาจุดตัดกราฟก่อน
ถ้าแก้สมการ 𝑓(𝑥) = 𝑔(𝑥) แล้วไม่มคี าตอบ แสดงว่า 𝑓(𝑥) กับ 𝑔(𝑥) ไม่ตดั กันนั่นเอง
แบบฝึ กหัด
1. จงหาพืน้ ที่ระหว่าง 𝑦 = 𝑥−2 และ 𝑦 = 2−𝑥 ตัง้ แต่ 𝑥=0 ถึง 𝑥=3
แคลคูลสั 81
ลิมิตของฟังก์ชนั
1
1. 1. 6 2. −1 3. หาไม่ได้ 4. −2
5. หาไม่ได้ 6. −5
7. 3
𝑥 2 −√𝑥 (√𝑥)4 − √𝑥 √𝑥((√𝑥)3 −1) √𝑥(√𝑥−1)((√𝑥)2 +√𝑥+1)
= = = = √𝑥((√𝑥)2 + √𝑥 + 1)
√𝑥−1 √𝑥−1 √𝑥−1 √𝑥−1
2
𝑥 −√𝑥
ดังนัน้ lim
x 1 √𝑥−1
= √1((√1)2 + √1 + 1) = 1(3) = 3
2. 1 3. 6 4. 3 5. 330
ลิมิตทางซ้าย – ลิมิตทางขวา
1. 3 2. หาไม่ได้ 3. −2 4. หาไม่ได้
5. 32 6. หาไม่ได้ 7. −1 8. 3
9. 0 10. − 12 11. 12 12. 9
13. 2
การหาลิมติ จากกราฟ
1. 1,1,1,1 2. หาไม่ได้ , 4 , 4 , 4
3. 3 , 1 , 3 , หาไม่ได้ 4. 1 , หาไม่ได้ , หาไม่ได้ , หาไม่ได้
ความต่อเนื่องของฟั งก์ชนั
อัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่
1
1. 1. 2 2. 5
3. 8 4. 2𝑎 + 1
อัตราการเปลีย่ นแปลงขณะใดๆ
1. 1. −4 2. −6
2. 1. 4 2. 12
84 แคลคูลสั
5. 3√2𝑥 − 1 6. 3√𝑥
2
1
− 𝑥
√
7. 3
− 2𝑥 2
√𝑥
2𝑥 2
2. 1. 4𝑥 − 3 2. 2
6𝑥 − 6𝑥 + 2 3. − (𝑥 2 +2)2 4. (𝑥+1)2
3. 65 4. 3 5. 88
9
6. 5
3
7. 6 8. 4 9. 12 10. 1, 2
16
11. 1.5 12. 5
13. 3
กฎลูกโซ่
2𝑥+2
1. 1. 100(2𝑥 3 + 1)99 (6𝑥 2 ) 2. − (𝑥 2 +2𝑥−5)2
2𝑥+3
3. 2√𝑥 2 +3𝑥
4. (2𝑥 2 + 4𝑥 − 3)(2𝑥 + 2)
2𝑥 3
2. 1. √𝑥 4 +3
2. 2𝑥
3. 12 4. 2
3
5. 1.5 6. 1
1. 7, 8 2. 12 3. 4
กฎของโลปิ ตาล
1. 1. 2 2. −6 3. หาไม่ได้ 4. −3
2. 5 3. 634
ความชันเส้นโค้ง
1
1. 1. −2 2. 4
15
2. 𝑦 = −2𝑥 + 2 3. 𝑦 = 4𝑥 + 2
4. 8√82 5. 4
6. 1 7. 2 8. 3
แคลคูลสั 85
ค่าสูงสุด ต่าสุด
ปฏิยานุพนั ธ์
𝑥4 3𝑥 2 2𝑥√𝑥
1. 1. 2𝑥 2 − 3𝑥 + 𝑐 2. 2
+ 2𝑥 3 − 2
+ 5𝑥 + 𝑐 3. 3
+𝑐
𝑥3 𝑥2
4. 2√𝑥 + 𝑐 5. 3
−𝑥+𝑐 6. 2
+ 2𝑥 + 𝑐
2. 2 3. −3 4. 354 5. 100
6. 6 7. 8 8. 7 9. 42
10. 2 11. 2 12. 1, 2 13. 10
14. 157 15. 2.25
อินทิกรัลจากัดเขต
1. 1. 10 2. 0 3. 12 4. 2
7
2. 5 3. −6 4. 3
5. 34.5
6. 132 7. 9.25 8. 63 9. 38
10. 12 11. 104 12. 3 13. 18
14. 0.25 15. 4 16. 48 17. 91
18. 990 19. 8 20. 3 21. 3
22. 4 23. 4 24. 1
พืน้ ที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง
1. 1. 8 2. 2 3. 31 4. 6
4 3
5. 3
6. 2
8
2. 2𝜋 3. 37.33 4. 3 5. 3
√3
6. 27.75 7. 2 8. 6
86 แคลคูลสั
พืน้ ที่ระหว่างเส้นโค้ง
8
1. 5 2. 12 3. 9 4. 3
5. 1
𝑥2 1
หาจุดตัดของทัง้ สองกราฟก่อน โดยการแก้สมการ 𝑥 − 𝑎𝑥 2 = 𝑎
→ 𝑥 − (𝑎 + 𝑎) 𝑥 2 = 0
𝑎 2 +1 2
→ 𝑥 (1 − ( 𝑎
) 𝑥) = 0ได้ 𝑥 = 0 หรือ 1 − (𝑎 𝑎+1) 𝑥 = 0 → 𝑥 = 0 , 𝑎2𝑎+1
ดังนัน้ พท ใต้กราฟ = เอาสองเส้นมาลบกัน แล้วอินทิเกรต ตัง้ แต่ 0 ถึง 𝑎2𝑎+1
𝑥2 𝑥2 𝑎𝑥 3 𝑥3 𝑎
สองเส้นลบกันได้ 𝑥 − 𝑎𝑥 2 −
𝑎
→ อินทิเกรตได้ 2
−
3
−
3𝑎
แล้วแทน
𝑥= 2
𝑎 +1
ลบด้วยแทน 𝑥 = 0
2 3 3 2 1 𝑎 2 +1 3 2
ได้ พท = 12 (𝑎2𝑎+1) 𝑎 𝑎
− 3 (𝑎2 +1) − 3𝑎 (𝑎2 +1) =
1 𝑎 1
(
𝑎
2 𝑎 2 +1
) − 3
( 𝑎
) (
𝑎
𝑎 2 +1
)
1
= (2
1 𝑎
− 3) (𝑎2 +1)
2
1 𝑎 2 1 1 1 1
= (
6 𝑎 2 +1
) = ( )
6 𝑎+ 1
= 1
6(𝑎2 + 2 +2)
→ มากสุดเมื่อ 𝑎2 + 𝑎2 น้อยสุด
𝑎 𝑎
2
ดิฟได้ 2𝑎 −
𝑎3
= 0 → 𝑎4 = 1 → 𝑎 = ±1 → 𝑎 = 1
เครดิต
ขอบคุณ คุณครูเบิรด์ จาก กวดวิชาคณิตศาสตร์ครูเบิรด์ ย่านบางแค 081-8285490
และ คุณ Buz SetthaponView
และ คุณ Kanjana Pednok
และ คุณ Theerat Piyaanangul
และ คุณ Eaksit Buathong-iem ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร