Professional Documents
Culture Documents
58) 1
4 May 2016
3. ถ้ า 𝑢̅ และ 𝑣̅ เป็ นเวกเตอร์ ในระบบพิกดั ฉาก 3 มิติ โดยที่ |𝑢̅| = √5 และ |𝑣̅ | = √3
แล้ ว |𝑢̅ ∙ 𝑣̅ |2 + |𝑢̅ × 𝑣̅ |2 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. √15 2. √5 + √3 3. 8
4. 5√3 + 3√5 5. 15
2 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 58)
4. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ งบวก ถ้ า log 𝑎2 𝑏 = 5 แล้ ว log 𝑏2 𝑎 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1 1
1. 20 2. 10 3. 15
4. 10 5. 20
𝜋 3
6. tan [ 4 + arcsin (− 5)] มีคา่ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1
1. −7 2. − 19 3. 1
9
1
4. 7
5. 9
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 58) 3
2 1 8
8. พิจารณา lim (
x 2 𝑥−2
+ 𝑥+2 − 𝑥 2 −4) ข้ อใดต่อไปนี ้เป็ นจริ ง
ตอนที่ 2 แบบปรนัย 5 ตัวเลือก เลือก 1 คาตอบทีถ่ กู ที่สดุ จานวน 20 ข้ อ ข้ อละ 4 คะแนน รวม 80 คะแนน
11. กาหนดให้ 𝑧1 , 𝑧2 และ 𝑧3 เป็ นรากที่ 3 ของจานวนเชิงซ้ อนจานวนหนึง่
ถ้ า 𝑧1 อยูใ่ นควอดรันต์ที่ 1 โดยที่ |𝑧1 | = 2 และ 𝑧3 = 𝑧̅1 แล้ ว 𝑧2 + 𝑧3 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 1 + √3i 2. −1 − √3i 3. −1 + √3i
4. −√2 + √2i 5. √2 − √2i
𝑥+𝑎
13. ถ้ า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นค่าคงตัว ซึง่ อสมการ (𝑥+𝑏) 2 ≥ 0 มีเซตคาตอบคือช่วง (1, ∞)
14. กาหนดให้ ABC เป็ นสามเหลีย่ มหน้ าจัว่ ซึง่ มีด้าน AB = AC ถ้ ามุม A = 150° และด้ าน BC ยาวเท่ากับ 16 หน่วย
แล้ ว พื ้นที่สามเหลีย่ ม ABC เท่ากับข้ อไปต่อไปนี ้
1. 64 3
ตารางหน่วย 2. 64(2 − √3) ตารางหน่วย 3. 32(3 − √2) ตารางหน่วย
4. 64 ตารางหน่วย 5. 64(2 + √3) ตารางหน่วย
16. ให้ 𝑠 เป็ นวงกลมที่อยูใ่ นควอดรันต์ที่ 1 ซึง่ สัมผัสแกน X และ แกน Y และเส้ นตรง ℓ ซึง่ มีสมการเป็ น
3𝑥 − 4𝑦 + 24 = 0 ถ้ า C เป็ นจุดศูนย์กลางของวงกลม 𝑠 และ P เป็ นจุดที่วงกลม 𝑠 สัมผัสเส้ นตรง ℓ
แล้ วสมการเส้ นตรงที่ผา่ นจุด C และจุด P คือข้ อใดต่อไปนี ้
1. 4𝑥 + 3𝑦 − 28 = 0 2. 4𝑥 + 3𝑦 − 32 = 0 3. 4𝑥 + 3𝑦 − 40 = 0
4. 3𝑥 + 4𝑦 − 28 = 0 5. 3𝑥 + 4𝑦 − 32 = 0
17. กาหนดให้ 𝐴 เป็ นเมทริ กซ์มติ ิ 3 × 3 ซึง่ [𝐴 : 𝐼] ~ [𝐼 : 𝑃] โดยที่ 𝐼 เป็ นเมทริ กซ์เอกลักษณ์มิติ 3 × 3
1 2 0 1 𝑎
และ 𝑃 = [0 −1 2 ] ถ้ า 𝐴 [2] = [𝑏] แล้ ว 𝑎 มีคา่ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1 0 −1 3 𝑐
17
1. −17 2. −5 3. − 5
5 17
4. 17
5. 5
23. ให้ 𝑥1 , 𝑥2 , 𝑥3 , … , 𝑥11 เป็ นข้ อมูล 11 จานวน ซึง่ เรียงกันเป็ นลาดับเรขาคณิต
ถ้ าผลคูณ 𝑥1 ∙ 𝑥2 ∙ 𝑥3 ∙ … ∙ 𝑥11 = 233 ∙ 322 แล้ วมัธยฐานของข้ อมูลชุดนี ้เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 36 2. 72 3. 144
4. 216 5. 426
n ( n 2)
2
1 𝑎𝑛
24. ถ้ าลาดับ 𝑎𝑛 = 𝑥2
𝑑𝑥 แล้ ว มีคา่ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
n n 1 𝑛
1 1 3
1. 4
2. 2
3. 4
5
4. 1 5. 4
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 58) 9
25. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็ นฟั งก์ชนั พหุนาม ซึง่ 𝑓 ′ (𝑥) = 3𝑥 2 − 6𝑥 และ 𝐺(𝑥) = {
𝑥+5 เมื่อ 𝑥 < −1
𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑥 ≥ −1
ถ้ า 𝐺(𝑥) ต่อเนื่องที่ 𝑥 = −1 แล้ ว 𝑓 มีคา่ ต่าสุดสัมพัทธ์เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. −2 2. −1 3. 2
4. 3 5. 4
100
1
27. ถ้ า 𝑓(𝑥) = 𝑘 ∙ 𝑥 2𝑘−1 แล้ ว √2
𝑓(√2) มีคา่ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
k 1
𝜋 𝜋
cos − sin
29. กาหนดให้ 𝐴 = [ 𝜋3 3
𝜋 ] และ 𝑆 = { 1, 2, 3, … , 100 } ถ้ าสุม่ สมาชิก 1 ตัวจาก 𝑆
sin 3 cos 3
แล้ วความน่าจะเป็ นที่จะได้ จานวนนับ 𝑘 ซึง่ 𝐴𝑘 = 𝐼 โดยที่ 𝐼 เป็ นเมทริกซ์เอกลักษณ์ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
9 16 18
1. 100 2. 100 3. 100
24 29
4. 100
5. 100
30. กาหนดให้ 𝑃(𝑥) เป็ นพหุนามซึง่ มีสมั ประสิทธิ์เป็ นจานวนเต็มบวก ถ้ า 𝑃(1) = 10 และ 𝑃(10) = 2,116
แล้ ว 𝑃(−1) เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 4 2. 10 3. 51
4. 106 5. 1,053
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 58) 11
เฉลย
1. 3 7. 1 13. 1 19. 3 25. 5
2. 3 8. 5 14. 2 20. 2 26. 5
3. 5 9. 4 15. 4 21. 4 27. 4
4. 1 10. 1 16. 1 22. 3 28. 5
5. 3 11. 2 17. 5 23. 2 29. 2
6. 4 12. 4 18. 3 24. 3 30. 1
แนวคิด
1. 3
จากสมบัติของค่าสัมบูรณ์ จะได้ −5𝑥 < 6(𝑥 − 3) < 5𝑥 และ 5𝑥 > 0
𝑥 > 0 …(3)
−5𝑥 < 6𝑥 − 18 และ 6𝑥 − 18 < 5𝑥
18 < 11𝑥 𝑥 < 18 …(2)
18
11
< 𝑥 …(1)
2. 3
จากทฤษฎีเศษ 𝑥−1 หาร 𝑃(𝑥) เหลือเศษ 10 จะได้ 𝑎(15 ) + 𝑏(13 ) + 𝑐(1) + 𝑑 = 10
𝑎 + 𝑏 + 𝑐 + 𝑑 = 10 …(1)
𝑥 หาร 𝑃(𝑥) เหลือเศษ 6 จะได้ 𝑎(05 ) + 𝑏(03 ) + 𝑐(0) + 𝑑 = 6
𝑑 = 6 …(2)
แทน 𝑑=6 ใน (1) จะได้ 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 = 4 …(3)
ดังนัน้ 𝑥+1 หาร 𝑃(𝑥) จะเหลือเศษ = 𝑎(−1)5 + 𝑏(−1)3 + 𝑐(−1) + 𝑑
= −𝑎 − 𝑏 − 𝑐 + 𝑑
= −(𝑎 + 𝑏 + 𝑐) + 𝑑
จาก (2) และ (3)
= −( 4 )+6
= 2
3. 5
| 𝑢̅ ∙ 𝑣̅ |2 + |𝑢̅ × 𝑣̅ |2 𝑢̅ ∙ 𝑣̅ = |𝑢̅||𝑣̅ | cos 𝜃
2
= ||𝑢̅||𝑣̅ | cos 𝜃| + (|𝑢̅||𝑣̅ | sin 𝜃)2 |𝑢̅ × 𝑣̅ | = |𝑢̅||𝑣̅ | sin 𝜃
2 2
= |√5√3 cos 𝜃| + (√5√3 sin 𝜃)
= 15 cos 2 𝜃 + 15 sin2 𝜃
= 15(cos 2 𝜃 + sin2 𝜃) sin2 𝜃 + cos2 𝜃 = 1
= 15
4. 1
1
จาก log 𝑎2 𝑏 = 5 ดังนัน้ log 𝑏2 𝑎 = 2
log 𝑏 𝑎
1
log 𝑎 𝑏 = 5 1 1 log 𝑏 𝑎 กับ log 𝑎 𝑏 เป็ นส่วนกลับกัน
2 = ( )
2 10
log 𝑎 𝑏 = 10 1
= 20
12 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 58)
5. 3 𝑎 2 −2
ระบบสมการจะมีคาตอบเดียว เมื่อ det [สปส] ≠ 0 → |1 1 −1| ≠0
2 1 2
(2𝑎 − 4 − 2) − (−4 − 𝑎 + 4) ≠ 0
3𝑎 ≠6
𝑎 ≠2
→ เขียนเป็ นช่วงได้ เป็ น (−∞, 2) ∪ (2, ∞)
6. 4
𝜋 3
𝜋 3 tan + tan(arcsin(− ))
4 5
tan [ 4 + arcsin (− 5)] = 𝜋 3
1 − tan tan(arcsin(− ))
4 5
3
1 + tan(arcsin(− )) 3
=
1 −
5
3
tan(arcsin(− ))
… (∗) → ต้ องหา tan (arcsin (− ))
5
มาแทน
5
1. คิดเครื่ องหมายตามจตุภาค : arcsin (− 35) คือมุมที่ sin แล้ วเป็ นลบ → Q3 หรื อ Q4
แต่เรนจ์ของ arcsin คือ Q1 หรื อ Q4 ดังนัน้ arcsin (− 35) เป็ นมุมใน Q4
ดังนัน้ tan (arcsin (− 35)) = tan (มุมใน Q4) → เป็ นลบ
2. หาค่า tan (arcsin (− 35)) แบบไม่สนเครื่ องหมาย → ใช้ สามเหลีย่ ม
5
3
arcsin
5
3
จากด้ านชุด 3 4 5
→ ได้ tan = 34 จะได้ = 4
3 3
รวมสองขันตอน
้ จะได้ tan (arcsin (− )) = −
5 4
3 1
1 + (− ) 1
แทนใน (∗) จะได้ = 4
3
1 − (− )
= 4
7 =
7
4 4
7. 1
8. 5
แทน 𝑥 = 2 จะเห็นว่ามีสองตัวที่สว่ น = 0 ลบกันอยู่ ดังนัน้ ต้ องจัดรูปให้ 𝑥−2 ตัดกันก่อน
2 1 8 1 2 8
+ − = + 𝑥−2 − (𝑥−2)(𝑥+2)
𝑥 2 −4 1
𝑥−2 𝑥+2 𝑥+2
1 2(𝑥+2) − 8 𝑥+2
ไม่ต้องเอาไปรวมก็ได้ เพราะหา lim
x2
ได้
= + (𝑥−2)(𝑥+2)
𝑥+2
1 2𝑥 − 4
= 𝑥+2
+ (𝑥−2)(𝑥+2)
1 2(𝑥−2)
= + (𝑥−2)(𝑥+2)
𝑥+2
1 2
= 𝑥+2
+ 𝑥+2
3
= 𝑥+2
3 3
แทน 𝑥 = 2 ใหม่ จะได้ ลิมิต =
2+2
=
4
9. 4
จาก 𝑎𝑛 = 𝑎1 𝑟 𝑛−1 แทน 𝑛=4 จะได้ 𝑎4 = 𝑎1 𝑟 4−1
12 = 96𝑟 3
1
= 𝑟3
8
1 𝑎1
2
= 𝑟 → |𝑟| < 1 ดังนัน้ จะใช้ สตู ร 𝑆∞ =
1−𝑟
ได้
96 96
จะได้ 𝑎𝑛 =
1−
1 = 1 = 192
n 1 2 2
10. 1
จากสูตร ดิฟลูกโซ่ ในรูปแบบฟั งก์ชนั คอมโพสิท (𝑔 ∘ 𝑓)′ (𝑥) = 𝑔′ (𝑓(𝑥)) ∙ 𝑓 ′ (𝑥)
จะได้ (𝑓 ∘ 𝑓)′ (2) = 𝑓 ′( 𝑓(2) ) ∙ 𝑓 ′ (2) หา 𝑓(2) ใช้ สตู รล่าง เพราะ 2 > 1
= 𝑓 ′ ((2 − 1)2 − 5) ∙ 𝑓 ′ (2)
= 𝑓 ′( −4 ) ∙ 𝑓 ′ (2) …(∗)
13. 1
เนื่องจาก 𝑥 + 𝑏 เป็ นตัวหาร ดังนัน้ 𝑥 ≠ −𝑏 :
𝑥+𝑎
(𝑥+𝑏)2
≥ 0 เนื่องจาก (𝑥 + 𝑏)2 > 0 ดังนัน้ จะย้ าย (𝑥 + 𝑏)2
𝑥+𝑎 ≥ 0 มาคูณทางขวาได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยน ≥ เป็ น ≤
𝑥 ≥ −𝑎
ดังนัน้ คาตอบของอสมการคือ 𝑥 ≥ −𝑎 และ 𝑥 ≠ −𝑏 …(∗)
แต่โจทย์ให้ คาตอบคือ (1, ∞) ซึง่ เขียนในรูปอสมการได้ เป็ น 𝑥 > 1
ซึง่ เขียนในรูปแบบเดียวกับ (∗) ได้ เป็ น 𝑥 ≥ 1 และ 𝑥≠1
เทียบกับ (∗) จะได้ 𝑎 = −1 และ 𝑏 = −1
ดังนัน้ 𝑎 + 𝑏 = (−1) + (−1) = −2
14. 2
จะได้ มมุ ทีฐ่ าน = 180° −2 150° = 15° A
ลากส่วนสูง AD จาก ∆ หน้ าจัว่ จะได้ AD แบ่งครึ่งฐาน เป็ นฝั่งละ 8 ดังรูป 150°
จาก tan C = AD CD
จะได้ tan 15° = AD 8 15° 15°
B C
AD 8 D 8
tan(60° − 45°) =
8
tan 60° − tan 45° AD
1 + tan 60° tan 45°
= 8
√3 − 1 AD 8(√3−1) √3−1 8(3−2√3+1)
1 + √3
= 8
จะได้ AD =
√3+1
∙ 3−1
√
= 2
= 8(2 − √3)
1 1
ดังนัน้ ∆ABC = 2
× BC × AD = 2
× 16 × 8(2 − √3) = 64(2 − √3)
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 58) 15
15. 4
ก. การ ดอท&ครอส จะได้ ผลเท่าเดิมเสมอ ตราบใดทีต่ าแหน่ง 𝑢̅ , 𝑣̅ , 𝑤̅ ยังคงเรี ยงเป็ นวงกลมแบบเดียวกัน
𝑢̅
𝑢̅ ∙ (𝑣̅ × 𝑤
̅) = 𝑣̅ ∙ (𝑤
̅ × 𝑢̅) = 𝑤̅ ∙ (𝑢̅ × 𝑣̅ )
𝑤
̅ 𝑣̅ = (𝑢̅ × 𝑣̅ ) ∙ 𝑤
̅ = (𝑣̅ × 𝑤
̅) ∙ 𝑢̅ = (𝑤̅ × 𝑢̅) ∙ 𝑣̅ → ก. ถูก
ดังนัน้ เส้ นตรงที่ผา่ น CP จะมีความชัน − 43 และผ่าน C(4, 4) ซึง่ จะมีสมการคือ 𝑦−4 𝑥−4
= −
4
3
3𝑦 − 12 = −4𝑥 + 16
4𝑥 + 3𝑦 − 28 = 0
17. 5
จาก [𝐴 : 𝐼] ~ [𝐼 : 𝑃] จะได้ 𝐴𝑃 = 𝐼 นัน่ คือ
𝑃 = 𝐴−1
1 𝑎 1 𝑎
จาก 𝐴 [2] = [𝑏] ย้ ายข้ าง 𝐴 ทางซ้ าย จะได้ [2] = 𝐴−1 [𝑏]
3 𝑐 3 𝑐
1 𝑎
[ 2] = 𝑃 [ 𝑏 ]
3 𝑐
1 1 2 0 𝑎
[2] = [0 −1 2 ] [𝑏]
3 1 0 −1 𝑐
จะแปลงเป็ นระบบสมการ แล้ วแก้ หา 𝑎 ก็ได้ แต่ข้อนี ้โจทย์ถาม 𝑎 ค่าเดียว → ใช้ กฎของเครเมอร์ จะง่ายกว่า
16 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 58)
1 2 0
|2 −1 2 |
(1+12+0)−(0+0−4) 17
จากกฎของเครเมอร์ จะได้ 𝑎 = 3
1
0 −1
2 0 = (1+4+0)−(0+0+0)
= 5
|0 −1 2 |
1 0 −1
18. 3
log 𝑥
9 − 10(3log 𝑥 ) + 9 = 0
32 log 𝑥 − 10(3log 𝑥 ) + 9 = 0
(3log 𝑥 − 1)(3log 𝑥 − 9) = 0
3log 𝑥 = 1 , 9
3log 𝑥 = 30 , 32
log 𝑥 = 0 , 2
𝑥 = 100 , 102 = 1 , 100 → จะได้ ผลบวกคาตอบ = 1+ 100 = 101
19. 3
20. 2
หา 𝑛(𝑆) : จานวนแบบทังหมด ้ → เลือก 3 คน จาก 9 คน ได้ (39) แบบ
หา 𝑛(𝐸) : จะลุยหา 𝑥̅ เลยก็ได้ แต่ต้องคิดเลขเยอะหน่อย
หรื อจะเอาข้ อมูลทุกตัวมาหัก 150 ก่อน เพื่อให้ คดิ เลขน้ อยลงก็ได้
152 153 155 158 159 160 162 166 175
2 3 5 8 9 10 12 16 25
21. 4
ไม่เป็ นลบ จะมีหลายกรณี (ศูนย์ หรื อ บวก) → จะคานวณแบบตรงข้ าม (คือแบบที่เป็ นลบ) แล้ วเอา 1 ตังลบ
้
9∙8∙7∙6
หา 𝑛(𝑆) : จานวนแบบทังหมด ้ → เลือก 4 จานวน จาก 9 จานวน ได้ (49) = 4∙3∙2∙1 = 3 ∙ 7 ∙ 6 แบบ
หา 𝑛(𝐸) : เป็ นจานวนลบ → จะมี 2 กรณีดงั นี ้
กรณี เป็ นบวก 3 ตัว ลบ 1 ตัว เลือก 3 ตัว จากเลขบวก 4 ตัว ได้ (43) แบบ
เลือก 1 ตัว จากเลขลบ 4 ตัว ได้ (41) แบบ
→ ได้ จานวนแบบ = (43)(41) = (4)(4) = 16 แบบ
กรณี เป็ นบวก 1 ตัว ลบ 3 ตัว เลือก 1 ตัว จากเลขบวก 4 ตัว ได้ (41) แบบ
เลือก 3 ตัว จากเลขลบ 4 ตัว ได้ (43) แบบ
→ ได้ จานวนแบบ = (41)(43) = (4)(4) = 16 แบบ
รวมได้ 𝑛(𝐸) = 16 + 16 = 32 แบบ
32 16
ดังนัน้ ความน่าจะเป็ นที่ ผลคูณของเลข 4 ตัวเป็ นลบ = 3∙7∙6 = 63
ดังนัน้ ความน่าจะเป็ นที่ ผลคูณของเลข 4 ตัวไม่เป็ นลบ = 1 − 1663
47
= 63
22. 3
𝑃67 คือ มีพื ้นที่ 0.67 อยูท
่ างซ้ าย → จะวาดได้ ดงั รูป
0.67
แต่พื ้นที่ที่ใช้ เปิ ดตาราง ต้ องวัดจากแกนกลาง
ครึ่งซ้ าย พื ้นที่ = 0.5 → จะได้ พื ้นที่ที่ล้นไปทางขวา = 0.67 – 0.5 = 0.17
𝑍
เปิ ดตารางตรงพื ้นที่ = 0.17 จะได้ 𝑧 = 0.44 ดังนัน้ 𝑃67𝑠−𝑥̅ = 0.44 𝑃67
𝑃67 − 𝑥̅ = 0.44𝑠 …(1)
ทานองเดียวกัน 𝑃33 คือ มีพื ้นที่ 0.33 อยูท่ างซ้ าย → จะวาดได้ ดงั รูป
0.33
แต่พื ้นที่ที่ใช้ เปิ ดตาราง ต้ องวัดจากแกนกลาง
ครึ่งซ้ าย พื ้นที่ = 0.5 → เหลือพื ้นที่จากแกนกลาง = 0.5 – 0.33 = 0.17
𝑍
𝑃33
เปิ ดตารางตรงพื ้นที่ = 0.17 จะได้ 𝑧 = 0.44 แต่ฝั่งซ้ ายของโค้ ง จะมี 𝑧 เป็ นลบ
จะได้ 𝑧 = −0.44 ดังนัน้ 𝑃33−𝑥̅ = −0.44
𝑠
𝑃33 − 𝑥̅ = −0.44𝑠 …(2)
23. 2
ให้ 𝑥1 , 𝑥2 , 𝑥3 , … , 𝑥11 มี 𝑎1 = 𝑥1 และ อัตราส่วนร่วม = 𝑟
จากสูตร 𝑎𝑛 = 𝑎1 𝑟 𝑛−1 จะได้ 𝑥1 ∙ 𝑥2 ∙ 𝑥3 ∙ … ∙ 𝑥11 = 233 ∙ 322
𝑥1 ∙ 𝑥1 𝑟 ∙ 𝑥1 𝑟 2 ∙ … ∙ 𝑥1 𝑟10 = 233 ∙ 322
(𝑥1 )11 (𝑟1+2+3+ … +10 ) = 233 ∙ 322 𝑛(𝑛+1)
10(10+1) 1+2+…+𝑛 =
2
(𝑥1 )11 ( 𝑟 2 ) = 233 ∙ 322
18 วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 58)
24. 3
n ( n 2)
𝑛(𝑛+2) −1
2 𝑛(𝑛+2)
𝑥 −1
อินทิเกรต จะได้ 𝑎𝑛 = 𝑥 −2
𝑑𝑥 = | 2 = − (( 2
) − (𝑛)−1 )
n −1
𝑛 2 1
= −( 𝑛(𝑛+2)
− 𝑛
)
2 − (𝑛+2)
= −( )
𝑛(𝑛+2)
−𝑛
= −( 𝑛(𝑛+2)
)
1
= 𝑛+2
𝑎𝑛 1 1 1 1
ดังนัน้ = =
2 n 1 𝑛
− 𝑛+2
n 1 𝑛 n 1 𝑛(𝑛+2)
1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1
= (
2 1
−3 + 2
−4 + 3
−5 + 4
−6 + 5
−7 + 6
− 8 + …)
25. 5
3𝑥 3 6𝑥 2
อินทิเกรต 𝑓 ′ (𝑥) = 3𝑥 2 − 6𝑥 จะได้ 𝑓(𝑥) =
3
− 2
+𝑐
3 2
= 𝑥 − 3𝑥 + 𝑐 …(∗)
26. 5
ค่าเฉลีย่ = 12.7 ดังนัน้ 𝑥+16+8+12+13+7+9+11+18+𝑦
= 12.7
10
𝑥 + 94 + 𝑦 = 127
𝑥+𝑦 = 33
7 , 8 , 9 , 11 , 12 , 13 , 16 , 18
ตัวที่ 5 ตัวที่ 6
12+13
จะได้ ตัวที่ 5.5 = 2
= 12.5
27. 4
100 100 2𝑘−1
จาก 𝑓(𝑥) = 𝑘 ∙ 𝑥 2𝑘−1 จะได้ 𝑓(√2) = 𝑘 ∙ √2
k 1 k 1
100 2𝑘−1
1 1
ดังนัน้ √2
𝑓(√2) = 𝑘
√2 k 1
∙ √2
100 2 𝑘
1 (√2 )
= 𝑘 ∙ √2
√2 k 1
100
1
= 𝑘 ∙ 2𝑘
2 k 1
1
= (1 ∙ 21 + 2 ∙ 22 + 3 ∙ 23 + … + 100 ∙ 2100 )
2
= 1 ∙ 2 + 2 ∙ 21 + 3 ∙ 22 + … + 100 ∙ 299
0
28. 5
1+i 1+i 1+i 12 +2i+i2 2i
จัดรูปโดยคูณคอนจูเกตให้ ตวั ส่วนเป็ นจานวนจริ งก่อน จะได้ 1−i
= ∙
1−i 1+i
=
12 −i2
=
2
= i
ดังนัน้ จะได้ สมการคือ i2𝑥−5 = i𝑥−2
i2𝑥−5
i𝑥−2
= 1
(2𝑥−5)−(𝑥−2)
i = 1
i 𝑥−3
= 1 → 𝑥−3 ต้ องหารด้ วย 4 ลงตัว
นัน่ คือ 𝑥 ต้ องหารด้ วย 4 เหลือเศษ 3
155−3
เนื่องจาก 𝑥 ∈ { 1, 2, 3, … , 155 } จะได้ 𝑥 = 3 , 7 , 11 , … , 155 → มีทงหมด
ั้ 4
+ 1 = 39 จานวน
29. 2
เมทริ กซ์ในรูป [cos 𝜃 − sin 𝜃] เป็ นเมทริ กซ์ที่นิยมนามาออกข้ อสอบ เนื่องจาก มันมีสมบัติพิเศษ คือ หากนาเมทริ กซ์
sin 𝜃 cos 𝜃
ในรูปนี ้มาคูณกัน จะสามารถนามุมมาบวกกันได้ เลย ดังนี ้
cos 𝛼 − sin 𝛼 cos 𝛽 − sin 𝛽 cos 𝛼 cos 𝛽 − sin 𝛼 sin 𝛽 − cos 𝛼 sin 𝛽 − sin 𝛼 cos 𝛽
[ ][ ] =[ ]
sin 𝛼 cos 𝛼 sin 𝛽 cos 𝛽 sin 𝛼 cos 𝛽 + cos 𝛼 sin 𝛽 − sin 𝛼 sin 𝛽 + cos 𝛼 cos 𝛽
cos(𝛼 + 𝛽) − sin(𝛼 + 𝛽)
= [ ]
sin(𝛼 + 𝛽) cos(𝛼 + 𝛽)
cos 𝜃 − sin 𝜃 𝑛 cos 𝑛𝜃 − sin 𝑛𝜃
ซึง่ จะทาให้ ได้ ด้วยว่า [ ] = [ ]
sin 𝜃 cos 𝜃 sin 𝑛𝜃 cos 𝑛𝜃
𝜋 𝜋 𝑘 𝑘𝜋 𝑘𝜋
cos 3 − sin 3 cos 3 − sin
ดังนัน้ 𝑘
𝐴 = [ 𝜋 𝜋 ] = [ 𝑘𝜋 3
𝑘𝜋 ] ซึง่ จะเท่ากับ [10 0
1
] เมื่อ cos
𝑘𝜋
3
= 1 , sin
𝑘𝜋
3
=0
sin cos sin cos
3 3 3 3 𝑘𝜋
นัน่ คือ เมื่อ 3
= 2𝑛𝜋
𝑘 = 6𝑛
100
ใน { 1, 2, 3, … , 100 } จะมีจานวนที่หารด้ วย 6 ลงตัวอยู่ 6
= 16.6… → ปั ดลง → 16 จานวน
16
ดังนัน้ จะได้ ความน่าจะเป็ น = 100
30. 1
เนื่องจาก 𝑃(𝑥) มี สปส เป็ นจานวนเต็มบวก ดังนัน้ ถ้ า 𝑥 เป็ นบวก จะได้ วา่ แต่ละพจน์ของ 𝑃(𝑥) เป็ นบวกทุกพจน์
จาก 𝑃(10) = 2,116 จะสรุปได้ วา่ 𝑃(𝑥) มีดีกรี ไม่เกิน 3 (เพราะทุกพจน์เป็ นบวก และ 104 เกิน 2116)
ให้ 𝑃(𝑥) = 𝑎𝑥 3 + 𝑏𝑥 2 + 𝑐𝑥 + 𝑑 เมื่อ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ {0, 1, 2, …}
จาก 𝑃(1) = 10 จะได้ 𝑎(13 ) + 𝑏(12 ) + 𝑐(1) + 𝑑 = 10
𝑎+𝑏+𝑐+𝑑 = 10 …(1)
จาก 𝑃(10) = 2,116 จะได้ 3 2
𝑎(10 ) + 𝑏(10 ) + 𝑐(10) + 𝑑 = 2116
1000𝑎 + 100𝑏 + 10𝑐 + 𝑑 = 2116 …(2)
จาก (1) จะได้ 0 ≤ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ≤ 9 ( เป็ น 10 ไม่ได้ เพราะถ้ ามีตวั ไหนใน 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 เป็ น 10
อีก 3 ตัวที่เหลือจะต้ องเป็ น 0 ซึง่ จะไม่สามารถทาให้ (2) เป็ นจริ งได้ )
เนื่องจาก 2116 เขียนกระจายในฐานสิบได้ แบบเดียวคือ 2(1000) + 1(100) + 1(10) + 6
และจาก 0 ≤ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ≤ 9 ดังนัน้ จะสรุปได้ วา่ 𝑎 = 2 , 𝑏 = 1 , 𝑐 = 1 , 𝑑 = 6 (ซึง่ จะทาให้ (1) จริ งด้ วย)
ดังนัน้ 𝑃(−1) = 2(−1)3 + 1(−1)2 + 1(−1) + 6 = 4
วิชาสามัญ คณิตศาสตร์ 1 (ธ.ค. 58) 21
เครดิต
ขอบคุณ ข้ อสอบ จาก คุณ สนธยา เสนามนตรี และ อ.ปิ ง GTRmath ครับ
ขอบคุณ คุณ Hutch LK ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของเอกสาร ครับ
ขอบคุณเฉลยวิธีทา จาก อ.ปิ ง GTRmath ครับ