You are on page 1of 30

เซต

พื้นฐาน

27 Oct 2020
สารบัญ

ความหมายของเซต .................................................................................................................................................................. 1
เซตที่สมาชิกเป็ นเซต ................................................................................................................................................................ 3
สมาชิกของเซต ......................................................................................................................................................................... 5
สับเซต....................................................................................................................................................................................... 7
เอกภพสัมพัทธ์ ...................................................................................................................................................................... 10
แผนภาพเวนน์ ....................................................................................................................................................................... 10
การปฏิบตั ิการทางเซต........................................................................................................................................................... 12
สูตรการปฏิบตั ิการทางเซต.................................................................................................................................................... 18
จานวนสมาชิกในส่วนต่างๆ .................................................................................................................................................. 21
เซตพืน้ ฐาน 1

ความหมายของเซต

เซต คือ กลุม่ ของอะไรบางอย่าง เช่น

พม่า ลาว 1 2 3 −1 −2 −3 … −99


กัมพูชา มาเลเซีย 4 5

เซตของประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทย เซตของจานวนเต็มบวกที่นอ้ ยกว่า 6 เซตของจานวนเต็มลบที่มากกว่า −100


สมาชิก: พม่า, ลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย สมาชิก: 1, 2, 3, 4, 5 สมาชิก: −1, −2, −3, …, −99
จานวนสมาชิก: 4 จานวนสมาชิก: 5 จานวนสมาชิก: 99

7 14 21 …

เซตของจานวนจริงบวกที่หารด้วย 7 ลงตัว เซตของคนที่มีอายุเกิน 500 ปี


สมาชิก: 7, 14, 21, … สมาชิก: ไม่มี
จานวนสมาชิก: มากมายนับไม่ถว้ น จานวนสมาชิก: 0

เซตพืน้ ฐานที่ควรทราบ
 ℕ เซตของจานวนเต็มบวก (หรือ เรียกอีกชื่อว่าจานวนนับก็ได้)
 ℤ หรือ I เซตของจานวนเต็ม
 I+ เซตของจานวนเต็มบวก (เหมือน ℕ)
 I− เซตของจานวนเต็มลบ
จานวนเต็ม
 ℚ เซตของจานวนตรรกยะ (เขียนในรูป จานวนเต็ม
ได้)
 ℚ′ เซตของจานวนอตรรกยะ (เขียนในรูป จจานวนเต็
านวนเต็ม

ไม่ได้)
 ℝ เซตของจานวนจริง

การเขียนเซต เขียนได้ 2 แบบ คือ แบบ “แจกแจงสมาชิก” และ แบบ “บอกเงื่อนไข”


1. แบบแจกแจงสมาชิก
 เขียนแจงว่ามีสมาชิกอะไรในเซตบ้าง
 เช่น { เมียนมาร์, ลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย }
เริม่ เซตด้วย จบเซตด้วย
จะเรียงสมาชิกไหนก่อนหลังก็ได้
ปี กกาเปิ ด ปี กกาปิ ด
ใช้ จุลภาค คั่นระหว่างสมาชิก
2 เซตพืน้ ฐาน

2. แบบบอกเงื่อนไข
 เขียนบอกเงื่อนไขของสมาชิกที่จะอยูใ่ นเซตได้
 เช่น เซตของจานวนนับ ที่นอ้ ยกว่า 6 จะเขียนแบบบอกเงื่อนไขได้เป็ น
{ 𝑥∈N | 𝑥<6 }
เริม่ เซตด้วยปี กกาเปิ ด จบเซตด้วยปี กกาปิ ด
ตัวแปรอะไรก็ได้ บอกเงื่อนไขสมาชิก
(ส่วนใหญ่ใช้ 𝑥) ที่จะอยูใ่ นเซตนีไ้ ด้
บอกขอบเขตสมาชิก
เครือ่ งหมาย “โดยที่”
ที่จะอยูใ่ นเซตนีไ้ ด้
(ส่วนนีไ้ ม่ตอ้ งใส่ก็ได้)

เซตตัวอย่าง เขียนแบบแจกแจงสมาชิก เขียนแบบบอกเงื่อนไข


เซตของประเทศที่ติดกับไทย {พม่า, ลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย} {𝑥 | 𝑥 เป็ นประเทศที่ติดกับไทย}
{𝑥 | 𝑥 เป็ นจานวนเต็มบวกที่นอ้ ยกว่า 6}
เซตของจานวนเต็มบวกที่นอ้ ยกว่า 6 {1, 2, 3, 4, 5}
หรือ {𝑥 ∈ N | 𝑥 < 6} ก็ได้
เซตของจานวนเต็มลบที่มากกว่า −100 {−1, −2, −3, … , −99} {𝑘 ∈ I − | 𝑘 > −100}
{𝑛 | 𝑛 เป็ นจานวนจริงบวกที่หารด้วย 7 ลงตัว}
เซตของจานวนจริงบวกที่หารด้วย 7 ลงตัว {7, 14, 21, …}
หรือ {𝑛 ∈ R+ | 𝑛 หารด้วย 7 ลงตัว}
เซตของคนที่มีอายุเกิน 500 ปี {} {𝑎 | 𝑎 เป็ นคนที่มีอายุเกิน 500 ปี }

หมายเหตุ: เซตที่ไม่มีสมาชิกเลยซักตัว เรียกว่า “เซตว่าง” แทนด้วยสัญลักษณ์ {} หรือ ∅

แบบฝึ กหัด
1. จงเขียนเซตต่อไปนี ้ แบบแจกแจงสมาชิก
1. {𝑥 | 𝑥 เป็ นจานวนเต็มบวกคู่ ที่นอ้ ยกว่า 10} 2. {𝑘 ∈ I − | 𝑘 2 = 16}

3. {𝑥 | 3𝑥 + 5 = 16} 4. {𝑚 ∈ I − | 𝑚 ≥ 5}

5. {𝑛 ∈ N | 𝑛 เป็ นจานวนคี่ที่ไม่เกิน 50} 6. {𝑥 ∈ I | |𝑥| ≤ 2}

7. {𝑎 ∈ I + | 𝑎 ≤ 0 } 8. {𝑥 ∈ R | 𝑥 = 8}
เซตพืน้ ฐาน 3

เซตที่สมาชิกเป็ นเซต

จากหัวข้อที่แล้ว จะเห็นว่าสมาชิกภายในเซต จะเป็ นอะไรก็ได้ (ตัวเลข, คน, ประเทศ, สัตว์, ฯลฯ)


ในหัวข้อนี ้ จะพูดถึงกรณีที่ “สมาชิกภายในเซต เป็ นเซต” ฟั งแล้วอาจจะงงๆ ลองดูตวั อย่างต่อไปนี ้

สมชาย สมศักดิ์ สมหญิง สมศรี สมชาย สมหญิง


สมปอง สมศรี สมบัติ
เซตของนักเรียนที่ทารายงานคณิตศาสตร์ เซตของนักเรียนที่ทารายงานภาษาอังกฤษ เซตของนักเรียนที่ทารายงานฟิ สิกส์
สมาชิก: สมชาย, สมศักดิ,์ สมปอง สมาชิก: สมศรี, สมหญิง สมาชิก: สมชาย, สมหญิง, สมศรี, สมบัติ
จานวนสมาชิก: 3 จานวนสมาชิก: 2 จานวนสมาชิก: 4

จะได้เซตของ “เซตของนักเรียน” ที่ทารายงานวิชาต่างๆ ดังนี ้

เซตของ “เซตของนักเรียน” ที่ทารายงานวิชาต่างๆ


สมชาย สมศักดิ์ สมหญิง สมศรี สมาชิก: เซตของนักเรียนที่ทารายงานคณิตศาสตร์,
สมปอง เซตของนักเรียนที่ทารายงานภาษาอังกฤษ,
สมชาย สมหญิง เซตของนักเรียนที่ทารายงานฟิ สิกส์
สมศรี สมบัติ จานวนสมาชิก: 3

โดยเราสามารถเขียนเซตของเซต โดยใช้เครือ่ งหมายปี กกา ซ้อนไปอีกชัน้ ดังนี ้


{ {สมชาย, สมศักดิ,์ สมปอง} , {สมหญิง, สมศรี} , {สมชาย, สมหญิง, สมศรี, สมบัติ} }

และเวลานับจานวนสมาชิก ต้องระวังให้ดี เนื่องจากเราจะไม่ลงไปนับสมาชิกของเซตที่เป็ นสมาชิก


เช่น { {1, 2} , {3, 4} , {5, 6} } → มีสมาชิก 3 ตัว { {1} , {1, 2} , {1, 2, 3} } → มีสมาชิก 3 ตัว
{ {1, 2, 3, 4} } → มีสมาชิก 1 ตัว { {1, 2, 3, 4, …} } → มีสมาชิก 1 ตัว
{ { } } → มีสมาชิก 1 ตัว { 1, 2 , {3, 4} } → มีสมาชิก 3 ตัว
{ 1, {1} , {1, {1}} } → มีสมาชิก 3 ตัว { 1, {{2, 3} , {{4}}} } → มีสมาชิก 2 ตัว

แบบฝึ กหัด
1. จงบอกจานวนสมาชิกของเซตต่อไปนี ้
1. { ∅ , {1} , {2} , {3} } 2. { {1, 2} , {3} }

3. { {1 , 2 , {3}} } 4. { 1, {1, 2} , {1, 2, 3} }


4 เซตพืน้ ฐาน

5. {{{}}} 6. { {1, ∅} , ∅ }

7. { {1 , {2}} , {3, {}} } 8. { {{1}, {1, 2} , {1, {2}, 3}} }


เซตพืน้ ฐาน 5

สมาชิกของเซต

เรานิยมแทนเซตด้วยอักษรตัวใหญ่ เช่น 𝐴 , 𝐵 , 𝐶
และนิยมแทนสมาชิกในเซตด้วยอักษรตัวเล็ก เช่น 𝑎 , 𝑏 , 𝑐 , 𝑥 , 𝑚 , 𝑛
ถ้า 𝑥 เป็ นสมาชิกของเซต 𝐴 เราจะเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ 𝑥 ∈ 𝐴
เช่น 1 ∈ {1, 2, 3} 17 ∈ {1, 2, 3, … , 100}
1.2 ∈ R+ 3 ∈ {𝑚 | 𝑚 เป็ นจานวนคี}่
แต่ 1 ∉ {2, 3, 4} 17 ∉ {1, 2, 3, … , 10}
1.2 ∉ N 9 ∉ {𝑛 | 𝑛 หารด้วย 5 ลงตัว}

ในกรณีที่สมาชิกของเซต เป็ นเซต ให้ใช้หลักเดียวกันกับตอนนับจานวนสมาชิก


เช่น { {1}, {2}, {3} } มีสมาชิก 3 ตัว คือ {1} , {2} , และ {3}
ดังนัน้ {1} ∈ { {1}, {2}, {3} } {2} ∈ { {1}, {2}, {3} }
{3} ∈ { {1}, {2}, {3} }
แต่ 1 ∉ { {1}, {2}, {3} } {{2}} ∉ { {1}, {2}, {3} }

เช่น { {1, 2}, {2, 3} } มีสมาชิก 2 ตัว คือ {1, 2} และ {2, 3}
ดังนัน้ {1, 2} ∈ { {1, 2}, {2, 3} } {2, 3} ∈ { {1, 2}, {2, 3} }
แต่ {1} ∉ { {1, 2}, {2, 3} } {1, 3} ∉ { {1, 2}, {2, 3} }

เช่น { {1}, {2, 3}, { 1, {2, 3, {4}} } } มีสมาชิก 3 ตัว คือ {1} , {2, 3} , และ {1, {2, 3, {4}}}
ดังนัน้ {1} ∈ { {1}, {2, 3}, { 1, {2, 3, {4}} } }
{2, 3} ∈ { {1}, {2, 3}, { 1, {2, 3, {4}} } }
{1, {2, 3, {4}}} ∈ { {1}, {2, 3}, { 1, {2, 3, {4}} } }
แต่ {2, 3, {4}} ∉ { {1}, {2, 3}, { 1, {2, 3, {4}} } }

เซตสองเซต จะ “เท่ากัน” เมื่อมีสมาชิกทุกตัว เหมือนกัน


โดย สมาชิกในเซตจะเรียงลาดับยังไงก็ได้ และ สมาชิกที่ซา้ กัน ไม่นบั เป็ นสมาชิกใหม่
เช่น {1, 2, 3} = {1, 2, 3} {3, 5, 7, 9} = {5, 9, 3, 7}
{1, 1, 2, 2, 1, 3} = {3, 2, 1, 2, 1} = {1, 2, 3}
{𝑥 | 3𝑥 − 5 = 16} = {𝑥 ∈ N | 𝑥 2 = 49}
{ {1, 2}, {2, 3} } = { {3, 2}, {2, 1} }
แต่ {1, 2, 3, 4} ≠ {2, 3, 4, 5}
{0} ≠ ∅ {1} ≠ { {1} }
{ 1 , {1, {2}} } ≠ { {2, {1}} , 1 }
6 เซตพืน้ ฐาน

จานวนสมาชิกของ เซต 𝐴 จะแทนด้วยสัญลักษณ์ 𝑛(𝐴) หรือ |𝐴| ก็ได้


เวลานับจานวนสมาชิก ถ้ามีซา้ หลายๆตัว จะถือเป็ นสมาชิกแค่ตวั เดียว
เช่น 𝑛( {1, 5, 8} ) = 3 𝑛( {𝑥 ∈ I + | 𝑥 < 8} ) = 7
𝑛( { } ) = 0 𝑛( {1, 2, 3, … } ) = มากมายนับไม่ถว้ น
𝑛( {8, 8, 8} ) = 1 𝑛( {1, 5, 8, 8, 1, 8} ) = 3
𝑛( { {1}, {2}, {3} } ) = 3 𝑛( { {1, 2} , {2, 3} } ) = 2
𝑛( { 1, {1}, {{1}} } ) = 3 𝑛( { 1 , {2, {3}} } ) = 2

เซตทีม่ ีจานวนสมาชิกมากมายนับไม่ถว้ น เรียกว่า “เซตอนันต์”


เซตที่สามารถระบุจานวนสมาชิกเป็ นตัวเลขได้ จะเรียกว่า “เซตจากัด”
 เซตว่าง ถือเป็ นเซตจากัด เพราะระบุจานวนสมาชิกเป็ นตัวเลข (= 0) ได้
แบบฝึ กหัด
1. ข้อใดถูกต้อง
1. 5 ∈ {25, 125} 2. 0 ∈ { }
3. 14 ∈ {𝑥 ∈ N | 𝑥 หารด้วย 7 ลงตัว} 4. {1} ∈ { 1, {1, 2}, {{1}} }
5. 3 ∈ 3 6. { } ∈ { }
7. { } ∈ { { } } 8. {1} ∈ { {1} , {2} }
9. {1, 2} ∈ { {1} , {2} } 10. {1, 2, 3, 4} ∈ { {1, 2}, {2, 3, 4} }
11. {2, 3} ∈ { 1, {1, 2}, {1, {2, 3}} } 12. ถ้า 𝐴 ∈ 𝐵 และ 𝐵 ∈ 𝐶 แล้ว 𝐴 ∈ 𝐶
13. {1, 2, 2, 3} = {3, 2, 1} 14. { { }, {1, 2} } = { {2, 1}, ∅ }

2. จงเติมประโยคต่อไปนีใ้ ห้สมบูรณ์
1. 𝑛 ({ 3, 8, 9 }) = 2. 𝑛 ({𝑥 | 𝑥 = 4}) =
3. 𝑛 ({𝑥 ∈ I | 3𝑥 + 2 = 3}) = 4. 𝑛 (∅) =
5. 𝑛 ({ ∅ }) = 6. 𝑛 ({ { ∅ } }) =
7. 𝑛 ({ {1, 3} , {1} , {3} }) = 8. 𝑛 ({ {1, {2}, {1, 2, {2}}, {1}} }) =

3. ข้อใดเป็ นเซตอนันต์
1. {1, 2, 3, … , 99999999} 2. {𝑥 | 3𝑥 + 1 = 0}
3. ℕ 4. {𝑥 | 1 ≤ 𝑥 ≤ 5}
5. เซตของคนทุกคนบนโลกในขณะนี ้ 6. { {1, 2, 3, …} }
เซตพืน้ ฐาน 7

สับเซต

𝐴 เป็ น “สับเซต” ของ 𝐵 แทนด้วยสัญลักษณ์ 𝐴 ⊂ 𝐵 หมายความว่า สมาชิกทุกตัวของ 𝐴 เป็ นสมาชิกของ 𝐵


เช่น {1, 2} ⊂ {1, 2, 3} {1, 3, 5} ⊂ {1, 2, 3, 4, 5}
{5} ⊂ {1, 3, 5} {1, 2, 3, 4} ⊂ {1, 2, 3, 4}
{𝑥 ∈ N | 𝑥 ≥ 4} ⊂ {𝑥 ∈ N | 𝑥 ≥ 1} I+ ⊂ R
แต่ {0, 1} ⊄ {1, 2, 3, 4} I ⊄ I+
{𝑥 | 𝑥 2 = 4} ⊄ {1, 2, 3, 4}

สังเกตว่าทุกเซต จะเป็ นสับเซตของตัวมันเองเสมอ (เพราะ สมาชิกทุกด้วยของ 𝐴 ก็ตอ้ งเป็ นสมาชิกของ 𝐴 อยูแ่ ล้ว)
นอกจากนี ้ นักคณิตศาสตร์จะกาหนดให้ “เซตว่างเป็ นสับเซตของทุกเซต”
เช่น ∅ ⊂ {1, 2, 3} ∅ ⊂ { {1}, {2, 3} }
∅ ⊂ I− ∅ ⊂ ∅

และนานๆ ที เราอาจจะได้ยินคาว่า “สับเซตแท้” จากโจทย์บางข้อ


 สับเซตแท้ หมายถึง สับเซตที่ “เล็กกว่า” เซตเก่า
เช่น ถ้า 𝐴 = {1, 2} สับเซตแท้ของ 𝐴 ได้แก่ ∅, {1} และ {2}
{1, 2} เป็ นสับเซตของ 𝐴 แต่ไม่ใช่สบ ั เซตแท้
พูดง่ายๆ สับเซตแท้ ก็คือ สับเซต ที่ไม่ใช่ตวั มันเอง นั่นเอง
 คนบางกลุม ่ นิยมใช้สญั ลักษณ์ 𝐴 ⊆ 𝐵 แทนประโยค 𝐴 เป็ นสับเซตของ 𝐵
เลียนแบบ ≤ กับ <
และใช้สญั ลักษณ์ 𝐴 ⊂ 𝐵 แทนประโยค 𝐴 เป็ นสับเซตแท้ของ 𝐵
เช่น {1} ⊂ {1, 2, 3} {1} ⊆ {1, 2, 3}
{1, 2, 3} ⊄ {1, 2, 3} {1, 2, 3} ⊆ {1, 2, 3}

ในกรณีที่ 𝐴 กับ 𝐵 เป็ น “เซตของเซต” การพิจารณาว่า 𝐴 ⊂ 𝐵 หรือไม่ จะเริม่ ยุง่ ยาก


หลักในการพิจารณา คือ ให้ “แจงทัง้ สองฝั่ง” ว่ามีสมาชิกกี่ตวั อะไรบ้าง
เมื่อแจงแล้ว ถ้าเราจับคูเ่ หมือน จาก 𝐴 ไปยัง 𝐵 ได้หมดทุกตัว แสดงว่า 𝐴 ⊂ 𝐵

ตัวอย่าง จงพิจารณาว่า {1, {2}, {1, 2}} ⊂ {1, 2, {1}, {2}, {1, 2}} หรือไม่
วิธีทา {1, {2}, {1, 2}} มีสมาชิก 3 ตัว คือ 1 กับ {2} กับ {1, 2}
{1, 2, {1}, {2}, {1, 2}} มีสมาชิก 5 ตัว คือ 1 กับ 2 กับ {1} กับ {2} กับ {1, 2}

{1, {2}, {1, 2}} ⊂ {1, 2, {1}, {2}, {1, 2}}

1 1
{2} 2 จะเห็นว่า เราจับคูเ่ หมือน จาก 𝐴 ไปยัง 𝐵 ได้หมดทุกตัว
{1}
{1, 2}
{2} ดังนัน้ {1, {2}, {1, 2}} ⊂ {1, 2, {1}, {2}, {1, 2}} #
{1, 2}
8 เซตพืน้ ฐาน

ตัวอย่าง จงพิจารณาว่า {{1}, {2}} ⊂ {{1}, {1, 2}, {1, {2}}} หรือไม่
วิธีทา {{1}, {2}} มีสมาชิก 2 ตัว คือ {1} กับ {2}
{{1}, {1, 2}, {1, {2}}} มีสมาชิก 3 ตัว คือ {1} กับ {1, 2} กับ {1, {2}}

{{1}, {2}} ⊂ {{1}, {1, 2}, {1, {2}}}


{1} {1} จะเห็นว่า เราจับคูเ่ หมือน ให้ {2} ไม่ได้
{1, 2}
{2} ? ดังนัน้ {{1}, {2}} ⊄ {{1}, {1, 2}, {1, {2}}} #
{1, {2}}

สุดท้าย สิง่ ที่ตอ้ งระวังคือ เด็กส่วนใหญ่ มักสับสนระหว่าง “เป็ นสมาชิก” (∈) กับ “เป็ นสับเซต” (⊂)
ความแตกต่าง คือ เป็ นสับเซต ให้ “แจงทัง้ สองฝั่ง” แต่ เป็ นสมาชิก ให้ “แจงฝั่งขวาเท่านัน้ ”

ตัวอย่าง จงพิจารณาว่า {1, {2}} ∈ {{1}, {1, 2}, {1, {2}}} หรือไม่
วิธีทา ตรวจสอบการเป็ นสมาชิก ให้แจงแต่ฝ่ ังขวาเท่านัน้
{1, {2}} ∈ {{1}, {1, 2}, {1, {2}}}
ไม่ตอ้ งแจง {1} จะเห็นว่า เราจับคูเ่ หมือน ให้ {1, {2}} ได้
{1, {2}} {1, 2}
{1, {2}} ดังนัน้ {1, {2}} ∈ {{1}, {1, 2}, {1, {2}}} #

กระบวนการเหล่านี ้ เราต้องหัดทาให้แม่น ขนาดที่คดิ ในใจได้


เช่น 1 ∈ {1, 2, 3} {1} ⊂ {1, 2, 3}
{1} ∉ {1, 2, 3} {1} ∈ { {1}, {2}, {3} }
{1, 2, 3} ∈ { {3, 2, 1} } 1 ⊄ {1, 2, 3}
{2, 3} ⊂ {1, 2, 3} {2, 3} ∈ { {1, 2}, {2, 3} }
{2, 3} ⊄ { {2}, {3}, {1, 2, 3} } {2, 3} ∉ { {2}, {3}, {1, 2, 3} }
∅ ∉ {1, 2, 3} ∅ ⊂ {1, 2, 3}
เซตว่าง เป็ นสับเซตของทุกเซต

แบบฝึ กหัด
1. ข้อใดไม่ใช่สบั เซตของ 𝐴 = {𝑚 ∈ N | 𝑚 เป็ นจานวนคี่ที่นอ้ ยกว่า 5}
1. ∅ 2. {1} 3. {2} 4. {3}

2. ข้อใดไม่ใช่สบั เซตของ 𝐴 = {𝑛 ∈ I | 𝑛 < 5}


1. ∅ 2. {𝑛 ∈ I | 𝑛 < 4}
3. {𝑛 ∈ N | 𝑛 < 5} 4. {𝑛 ∈ N | 𝑛 > 0}

3. ข้อใดถูกต้อง
1. 1 ⊂ {1, 2, 3} 2. ∅ ⊂ {{}}

3. ∅ ∈ {{}} 4. {1, 2} ∈ { {1}, {2, 1} }


เซตพืน้ ฐาน 9

5. 0 ∈ ∅ 6. 0 ⊂ ∅

7. {1, 2, 3} ⊂ ∅ 8. {1, 2, 3, …} ⊂ N

9. I ⊂ N 10. {1, 2, 3, …} ⊂ {1, 2, 3}

11. 1 ∈ {1} 12. 1 ⊂ {1}

13. {1} ∈ 1 14. {1} ⊂ 1

15. {1, {1}} ∈ { 1, {1}, {1, {1}} } 16. {1, {1}} ⊂ { 1, {1}, {1, {1}} }

17. {2, {3}} ∈ {{{3}, 2}, 2} 18. {{2, {3}}, {{1}}} ⊂ {{2, {3}, {1}}, {{1}}}

19. ถ้า 𝐴⊂𝐵 และ 𝐵⊂𝐶 แล้ว 𝐴⊂𝐶 20. ถ้า 𝐴⊂𝐵 และ 𝐵⊂𝐴 แล้ว 𝐴=𝐵

4. ให้ 𝐴 เป็ นเซตจากัด และ 𝐵 เป็ นเซตอนันต์ ข้อความใดต่อไปนีเ้ ป็ นเท็จ [O-NET 52/10]
1. มีเซตจากัดทีเ่ ป็ นสับเซตของ 𝐴 2. มีเซตจากัดทีเ่ ป็ นสับเซตของ 𝐵
3. มีเซตอนันต์ที่เป็ นสับเซตของ 𝐴 4. มีเซตอนันต์ที่เป็ นสับเซตของ 𝐵
10 เซตพืน้ ฐาน

เอกภพสัมพัทธ์

เอกภพสัมพัทธ์ คือ ขอบเขตของสิง่ ที่เราจะสนใจ มักแทนด้วยตัว 𝒰


อะไรก็ตาม ที่ไม่อยูใ่ น 𝒰 จะถือว่าเราไม่รูจ้ กั หรือไม่สนใจจะกล่าวถึง

ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝒰 = {1, 2, 3, …, 10} ถ้า 𝐴 = {𝑥 | 𝑥 > 7} จงเขียน 𝐴 แบบแจกแจงสมาชิก


วิธีทา จะเห็นว่า มี 𝑥 มากมาย ที่มากกว่า 7 (ได้แก่ 8, 9, 10, 11, 12, … )
แต่ขอ้ นีโ้ จทย์ให้มาว่า 𝒰 = {1, 2, 3, …, 10} ดังนัน้ เราสนใจแต่ 1, 2, 3, …, 10 เท่านัน้
11, 12, 13, … ไม่ได้อยูใ่ น U ดังนัน้ เราไม่รูจ้ กั ไม่สนใจ ไม่ตอ้ งกล่าวถึง
ดังนัน้ เขียน 𝐴 แบบแจกแจงสมาชิกได้เป็ น 𝐴 = {8, 9, 10} #

แผนภาพเวนน์

คือแผนภาพแสดงเซตให้เข้าใจง่ายๆ โดยเขียนเซตเป็ นวงกลม ภายในกรอบสีเ่ หลีย่ ม


โดยกรอบสีเ่ หลีย่ ม จะอยูช่ นั้ นอกสุด ทาหน้าที่เป็ น เอกภพสัมพัทธ์
ภายในกรอบสีเ่ หลีย่ ม จะมีวงกลม แทนเซต ถ้ามีหลายเซต ก็จะมีหลายวง

𝒰 = {1, 2, 3, …, 10} 𝒰 = {1, 2, 3, …, 10}


𝒰 = {1, 2, 3, …, 10} 𝐴 = {3, 8, 9} 𝐴 = {2, 3, 6}
𝐴 = {1, 3, 7} 𝐵 = {1, 5, 6, 10} 𝐵 = {1, 3, 6, 8}
U 𝐴 U U
𝐴 𝐴 𝐵
1, 3, 3, 8, 𝐵 3 1
9 1, 5, 2
7 2, 4, 5, 6, 6 8
8, 9, 10 6, 10
2, 4, 7 4, 5, 7, 9, 10

𝒰 = {1, 2, 3, …, 10}
𝒰 = {1, 2, 3, …, 10} 𝐴 = {1, 2, 3, 4}
𝐴 = {1, 3, 6, 7, 8} 𝐵 = {2, 4, 5, 6}
𝐵 = {3, 6, 7} C = {3, 4, 6, 7}
𝐴 U 𝐴 U
𝐵
1 𝐵 1 2 5
3, 6, 2, 4, 4
8 5, 9, 3 6 8, 9,
7 7 𝐶
10 10

สังเกตว่า
 ถ้าเซตสองเซต ไม่มีสว่ นซา้ กัน จะวาดออกมาได้เป็ นสองวง แยกจากกัน

 ถ้าเซตสองเซต มีบางส่วนซา้ กัน จะวาดออกมาได้เป็ นสองวงที่มีสว่ นซ้อนกัน

 ถ้าเซตหนึง่ เป็ นสับเซต ของอีกเซต จะวาดออกมาได้เป็ นวงหนึง่ อยูข่ า้ งในอีกวง


เซตพืน้ ฐาน 11

แบบฝึ กหัด
1. จงวาดแผนภาพของเวนน์ ของเซตต่อไปนี ้
1. 𝒰 = {1, 2, 3, …, 10} 2. 𝒰 = {1, 2, 3}
𝐴 = {1, 3, 5, 7} 𝐴 = {1}
𝐵 = {2, 4, 6, 8} 𝐵 = {1, 2}

3. 𝒰 = {1, 2, 3, 4, 5, 6} 4. 𝒰 = {1, 2, 3, 4}
𝐴 = {1, 2, 3} 𝐴 = {1, 2, 3}
𝐵 = {2, 3, 4} 𝐵 = {1, 4}
𝐶 = {1, 4} 𝐶 = {1, 3, 4}
12 เซตพืน้ ฐาน

การปฏิบตั ิการทางเซต

หัวข้อนี ้ จะคล้ายๆกับตอนที่เราเอา “ตัวเลข” มา บวก ลบ คูณ หาร ตอนประถม


แต่ในเรือ่ งนี ้ จะเอา “เซต” มา ทาอย่างอื่นกันแทน ได้แก่
 ยูเนียน  อินเตอร์เซ็ก
 ลบ  คอมพลีเมนต์

ยูเนียน คือ การ “เทรวม”


𝐴 ยูเนียน 𝐵 แทนด้วยสัญลักษณ์ 𝐴 ∪ 𝐵 หมายถึง การนาเซต 𝐴 และ 𝐵 มารวมกัน
เช่น {1, 2, 3} ∪ {2, 3, 4} = {1, 2, 3, 4} {1, 3, 5} ∪ {2, 4, 6} = {1, 2, 3, 4, 5, 6}
{3, 5} ∪ {2, 3, 5} = {2, 3, 5} {1, 2} ∪ { } = {1, 2}
จะเห็นว่า 𝐴 ∪ ∅ = 𝐴 และ 𝐴 ∪ 𝒰 = 𝒰 เสมอ
𝒰
ถ้าวาดเป็ นแผนภาพเวนน์ จะเห็นว่า 𝐴 𝐵

ผลของการยูเนียน จะกินบริเวณทัง้ 𝐴 กับ 𝐵 ดังรูป

อินเตอร์เซก คือ การ “หาส่วนซา้ ”


𝐴 อินเตอร์เซก 𝐵 แทนด้วยสัญลักษณ์ 𝐴 ∩ 𝐵 หมายถึง การนาเซต 𝐴 และ 𝐵 มาหาส่วนที่ซา้ กัน
เช่น {1, 2, 3} ∩ {2, 3, 4} = {2, 3} {2, 4} ∩ {2, 4, 6} = {2, 4}
{1, 4, 9} ∩ {3, 5, 7} = ∅ {1, 2} ∩ { } = { }
จะเห็นว่า 𝐴 ∩ ∅ = ∅ และ 𝐴 ∩ 𝒰 = 𝐴 เสมอ
𝒰
𝐴
ถ้าวาดเป็ นแผนภาพเวนน์ จะเห็นว่า 𝐵

ผลของการอินเตอร์เซก จะกินบริเวณที่ 𝐴 กับ 𝐵 ซ้อนกัน ดังรูป

ลบ (หรือ ผลต่าง) คือการ “กรองทิง้ ”


𝐴 ลบ 𝐵 แทนด้วยสัญลักษณ์ 𝐴 − 𝐵 หมายถึง การนาเซต 𝐴 มากรองตัวที่อยูใ่ น 𝐵 ทิง้ ไป
เช่น {1, 2, 3} − {2, 3, 4} = {1} {2, 3, 4} − {1, 2, 3} = {4}
{7, 8, 9} − {8} = {7, 9} {3, 5} − {2, 3, 5} = { }
{1, 3, 5} − {2, 4, 6} = {1, 3, 5} {1, 2} − { } = {1, 2}
จะเห็นว่า 𝐴 − ∅ = 𝐴 และ 𝐴 − 𝒰 = ∅ เสมอ
𝒰
ถ้าวาดเป็ นแผนภาพเวนน์ จะเห็นว่า 𝐴 𝐵

ผลของ 𝐴 − 𝐵 จะกินบริเวณของ 𝐴 ที่ไม่อยูใ่ น 𝐵 ดังรูป


เซตพืน้ ฐาน 13

คอมพลีเมนต์ คือ “ส่วนตรงข้าม”


𝐴 คอมพลีเมนต์ แทนด้วยสัญลักษณ์ 𝐴′ หรือ 𝐴𝑐 หมายถึง บริเวณที่ไม่ใช่ 𝐴
อันสุดท้ายนี ้ จะแปลกกว่าอันอื่น ตรงที่ อันนีท้ ากับเซตแค่เซตเดียว
และ ก่อนจะหาคอมพลีเมนต์ได้ เราจาเป็ นต้องรู ้ 𝒰 ก่อน
เช่น ถ้ากาหนดให้ 𝒰 = {1, 2, 3, 4, 5}
จะได้ {1, 2, 3}′ = {4, 5} {1, 4}′ = {2, 3, 5}
{1, 2, 3, 4, 5}′ = { } { }′ = {1, 2, 3, 4, 5}
จะเห็นว่า 𝒰′ = ∅ และ ∅′ = 𝒰 เสมอ
𝒰
ถ้าวาดเป็ นแผนภาพเวนน์ จะเห็นว่า 𝐴

ผลของ 𝐴′ จะกินบริเวณนอก 𝐴 ดังรูป

อย่างไรก็ตาม โจทย์มกั จะนา เครือ่ งหมายทัง้ สี่ มาถามผสมๆกัน


ลาดับการทาคือ ถ้ามีวงเล็บ ให้ทาในวงเล็บก่อน
ถ้ามี คอมพลีเมนต์ ให้ทาคอมพลีเมนต์ เป็ นลาดับถัดมา ตามด้วย อินเตอร์เซ็ก, ยูเนียน, และ ลบ ตามลาดับ

ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝒰 = {1, 2, 3, 4, 5} , 𝐴 = {1, 2, 3} , 𝐵 = {2, 3, 4} จงหา (𝐴 ∩ 𝐵′ ) − (𝐴 ∪ 𝐵)′


วิธีทา 𝐴 ∩ 𝐵′ = {1, 2, 3} ∩ {2, 3, 4}′ (𝐴 ∪ 𝐵)′ = ({1, 2, 3} ∪ {2, 3, 4})′
= {1, 2, 3} ∩ {1, 5} = {1, 2, 3, 4}′
= {1} = {5}
ดังนัน้ (𝐴 ∩ 𝐵′ ) − (𝐴 ∪ 𝐵)′ = {1} − {5} = {1} #

ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑛(𝐴) = 10 , 𝑛(𝐵) = 18 จงหาช่วงค่าที่เป็ นไปได้ของ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) , 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) , 𝑛(𝐴 − 𝐵)


และ 𝑛(𝐵 − 𝐴)
วิธีทา  𝐴 ∪ 𝐵 จะเล็กสุด เมื่อ 𝐴 กับ 𝐵 ซา้ กันทุกตัว → 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) ≥ 𝑚𝑎𝑥(10, 18) = 18
𝐴 ∪ 𝐵 จะใหญ่สดุ เมื่อ 𝐴 กับ 𝐵 ไม่ซา้ กันเลย → 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) ≤ 10 + 18 = 28
ดังนัน้ 18 ≤ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) ≤ 28
 𝐴 ∩ 𝐵 จะเล็กสุด เมื่อ 𝐴 กับ 𝐵 ไม่ซา้ กันเลย → 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) ≥ 0
𝐴 ∩ 𝐵 จะใหญ่สดุ เมื่อ 𝐴 กับ 𝐵 ซา้ กันทุกตัว → 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) ≤ 𝑚𝑖𝑛(10, 18) = 10
ดังนัน้ 0 ≤ 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) ≤ 10
 𝐴 − 𝐵 จะเล็กสุด เมื่อ 𝐵 มีทกุ ตัวใน 𝐴 → 𝑛(𝐴 − 𝐵) ≥ 10 − 18 → 0
𝐴 − 𝐵 จะใหญ่สดุ เมื่อ 𝐴 กับ 𝐵 ไม่ซา้ กันเลย → 𝑛(𝐴 − 𝐵) ≤ 𝑛(𝐴) = 10
ดังนัน้ 0 ≤ 𝑛(𝐴 − 𝐵) ≤ 10
 𝐵 − 𝐴 จะเล็กสุด เมื่อ 𝐴 มีทกุ ตัวใน 𝐵 → 𝑛(𝐴 − 𝐵) ≥ 18 − 10 = 8
𝐵 − 𝐴 จะใหญ่สดุ เมื่อ 𝐴 กับ 𝐵 ไม่ซา้ กันเลย → 𝑛(𝐴 − 𝐵) ≤ 𝑛(𝐵) = 18
ดังนัน้ 8 ≤ 𝑛(𝐵 − 𝐴) ≤ 18 #
14 เซตพืน้ ฐาน

ตัวอย่าง จงใช้แผนภาพเวนน์ เพื่อแสดงส่วนที่เป็ น (𝐴 ∪ 𝐵)′


วิธีทา คอมพลีเมนต์
𝐴 𝐵 𝐴 𝐵

อันดับแรก หา 𝐴 ∪ 𝐵 ก่อน หาส่วนตรงข้ามได้เป็ น (𝐴 ∪ 𝐵)′


#

ตัวอย่าง จงใช้แผนภาพเวนน์ เพื่อแสดงส่วนที่เป็ น 𝐴 ∩ 𝐵′


วิธีทา แรเงา 𝐴
𝐴 𝐵

𝐴 𝐵
อินเตอร์เซ็ก
แรเงา 𝐵′
𝐴 𝐵
หาส่วนซ้อนกันได้เป็ น 𝐴 ∩ 𝐵′

ตัวอย่าง จงใช้แผนภาพเวนน์ เพื่อแสดงส่วนที่เป็ น (𝐴 ∩ 𝐵)′ − 𝐶 ′


วิธีทา 𝐴∩𝐵 (𝐴 ∩ 𝐵)′
𝐴 𝐵 𝐴 𝐵
คอมพลีเมนต์
(𝐴 ∩ 𝐵)′ − 𝐶 ′
𝐶 𝐶 𝐴 𝐵
ลบ
𝐶′
𝐴 𝐵 𝐶

𝐶 #

ตัวอย่าง จงใช้แผนภาพเวนน์ เพื่อแสดงว่า 𝐴 − 𝐵 ⊂ 𝐵′


วิธีทา วาดแผนภาพของ 𝐴 − 𝐵 และ 𝐵′ จะได้ดงั รูป
𝐴−𝐵 𝐵′
𝐴 𝐵 𝐴 𝐵 จะเห็นว่าบริเวณที่แรเงาของ 𝐴 − 𝐵
ถูกคลุมอยูใ่ นบริเวณที่แรเงาของ 𝐵′
ดังนัน้ 𝐴 − 𝐵 ⊂ 𝐵′ #
เซตพืน้ ฐาน 15

แบบฝึ กหัด
1. กาหนดให้ 𝒰 = {1, 2, 3, …, 10} , 𝐴 = {1, 3, 5, 7} , 𝐵 = {2, 4, 6, 8, 10} , 𝐶 = {4, 5, 6}
จงหาค่าของเซตต่อไปนี ้
1. 𝐴 ∩ 𝐶 2. 𝐵∩𝐶

3. 𝐴∪𝐵 4. 𝐵∪𝐶

5. 𝐴−𝐶 6. 𝐶−𝐴

7. 𝐵′ 8. 𝐵′ ∪ 𝐶

9. 𝐶′ − 𝐴 10. (𝐴 ∪ 𝐵)′

11. 𝐴 ∪ (𝐵 − 𝐶) 12. (𝐴 − 𝐵)′ ∩ 𝐶

2. จงหาค่าของเซตต่อไปนี ้
1. {1, 2} ∪ { {1}, {2} } 2. {1, {2}} − {1, 2, 3}

3. {1, {2}, {1, 2}} − {{1}, {2}, {3}}

3. จงเติมประโยคต่อไปนีใ้ ห้สมบูรณ์
1. 𝐴 ∩ 𝐴′ = 2. 𝐴 ∪ 𝐴′ =
3. 𝐴 − 𝐴′ = 4. 𝐴∩𝐴 =
5. 𝐴 ∪ 𝐴 = 6. 𝐴−𝐴 =
7. ∅′ = 8. 𝒰′ =
9. (𝐴′ )′ = 10. ((((𝐴′ )′ )′)′)′ =

4. ข้อใดถูกต้อง
1. 𝐴 ∩ 𝐵 = 𝐵 ∩ 𝐴 2. 𝐴∪𝐵 =𝐵∪𝐴
16 เซตพืน้ ฐาน

3. 𝐴−𝐵 =𝐵−𝐴 4. ถ้า 𝐴−𝐵 =∅ แล้ว จะได้วา่ 𝐴=𝐵

5. ถ้า 𝐴≠𝐵 แล้ว จะได้วา่ 𝐴∩𝐶 ≠𝐵∩𝐶 ไม่วา่ 𝐶 จะเป็ นอะไรก็ตาม

6. (𝐴 ∪ 𝐵) ∪ 𝐶 กับ 𝐴 ∪ (𝐵 ∪ 𝐶) ไม่จาเป็ นต้องเท่ากัน

7. 𝐴∩𝐵 ⊂𝐴 8. 𝐴 ⊂ 𝐴∩𝐵

9. 𝐴∪𝐵 ⊂𝐴 10. 𝐴 ⊂ 𝐴∪𝐵

11. 𝐴−𝐵 ⊂𝐴 12. 𝐴⊂𝐴−𝐵

13. 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑛(𝐴) + 𝑛(𝐵) 14. 𝑛(𝐴 − 𝐵) = 𝑛(𝐴) − 𝑛(𝐵)

15. 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) ≤ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) 16. ถ้า 𝐴⊂𝐵 แล้ว 𝐴∪𝐵 = 𝐵

17. ถ้า 𝐴⊂𝐵 แล้ว 𝐴∩𝐵 = 𝐴 18. ถ้า 𝐴⊂𝐵 แล้ว 𝐵′ ⊂ 𝐴′

19. ถ้า 𝐴∪𝐵 =∅ แล้ว 𝐴 = ∅ และ 𝐵 = ∅

20. ถ้า 𝐴∩𝐵 =∅ แล้ว 𝐴 = ∅ หรือ 𝐵 = ∅

5. จงแรเงาเซตในแต่ละข้อต่อไปนี ้
1. (𝐴 ∩ 𝐵)′ 2. 𝐴′ ∩ 𝐵′

𝐴 𝐵 𝐴 𝐵

3. 𝐴 − 𝐵′ 4. (𝐴 − 𝐵) ∪ (𝐵 − 𝐴)

𝐴 𝐵 𝐴 𝐵
เซตพืน้ ฐาน 17

5. (𝐴′ ∩ 𝐵′ ) ∪ C 6. (𝐴 ∪ 𝐵) ∩ (𝐵 ∪ 𝐶)

𝐴 𝐵 𝐴 𝐵

𝐶 𝐶

6. ถ้า 𝐴 − 𝐵 = {2, 4, 6}, 𝐵 − 𝐴 = {0, 1, 3} และ 𝐴 ∪ 𝐵 = {0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8} แล้ว 𝐴 ∩ 𝐵


เป็ นสับเซตของเซตในข้อใดต่อไปนี ้ [O-NET 49/1-3]
1. {0, 1, 4, 5, 6, 7} 2. {1, 2, 4, 5, 6, 8}
3. {0, 1, 3, 5, 7, 8} 4. {0, 2, 4, 5, 6, 8}

7. แผนภาพแรเงาในข้อใดแทนเซต ((𝐴 − 𝐵) ∩ (𝐴 − 𝐶)) ∪ ((𝐵 ∩ 𝐶) − (𝐴 ∩ 𝐵 ∩ 𝐶)) [O-NET 54/2]

1. 𝐴 𝐵 2. 𝐴 𝐵

𝐶 𝐶

3. 𝐴 𝐵 4. 𝐴 𝐵

𝐶 𝐶

8. ส่วนที่แรเงาของแผนภาพในข้อใดหมายถึง 𝐴 − (𝐵 − 𝐶) [O-NET 57/5]


𝐴 𝐵 𝐴 𝐵 𝐴 𝐵
1. 2. 3. 𝐶

𝐴 𝐵 𝐴 𝐵
4. 5.
𝐶
𝐶
18 เซตพืน้ ฐาน

สูตรการปฏิบตั ิการทางเซต

ในเรือ่ งเซต จะมีสตู รสาคัญๆ ที่ตอ้ งท่องอยู่ 3 ชุด ดังนี ้


 𝐴 − 𝐵 = 𝐴 ∩ 𝐵′
 (𝐴 ∪ 𝐵)′ = 𝐴′ ∩ 𝐵′
(𝐴 ∩ 𝐵)′ = 𝐴′ ∪ 𝐵′
 𝐴 ∩ (𝐵 ∪ 𝐶) = (𝐴 ∩ 𝐵) ∪ (𝐴 ∩ 𝐶)
𝐴 ∪ (𝐵 ∩ 𝐶) = (𝐴 ∪ 𝐵) ∩ (𝐴 ∪ 𝐶)
อย่างไรก็ตาม เวลาใช้สตู ร เราจะไม่ได้เจอ 𝐴 กับ 𝐵 เหมือนอย่างในสูตร ก็ตอ้ งใช้สตู รให้เป็ น
เช่น 𝐵 − 𝐴 = 𝐵 ∩ 𝐴′ 𝐴 − 𝐵′ = 𝐴 ∩ (𝐵′ )′ = 𝐴 ∩ 𝐵
𝐴 − (𝐵 ∩ 𝐶) = 𝐴 ∩ (𝐵 ∩ 𝐶)′ (𝐴 ∪ 𝐵) − 𝐴 = (𝐴 ∪ 𝐵) ∩ 𝐴′
= 𝐴 ∩ (𝐵′ ∪ 𝐶 ′ ) = (𝐴 ∩ 𝐴′ ) ∪ (𝐵 ∩ 𝐴′ )
= (𝐴 ∩ 𝐵′ ) ∪ (𝐴 ∩ 𝐶 ′ ) = ∅ ∪ (𝐵 ∩ 𝐴′ )
= (𝐵 ∩ 𝐴′ )

โดยสูตรเหล่านี ้ สามารถนาไปใช้พิสจู น์ขอ้ ความต่างๆ หรือแปลงประโยคที่ซบั ซ้อนให้อยูใ่ นรูปที่ง่ายขึน้ ได้

ตัวอย่าง จงแสดงว่า 𝐵′ − 𝐴′ = 𝐴 − 𝐵
วิธีทา เวลาทาในกระดาษทด ให้เอาประโยคที่ตอ้ งการพิสจู น์ มาลุยทัง้ สองข้างไปเรือ่ ยๆ จนกว่าจะเท่ากัน ดังนี ้
𝐵′ − 𝐴′ = 𝐴 − 𝐵
𝐵 ∩ (𝐴′ )′ = 𝐴 ∩ 𝐵′

𝐵′ ∩ 𝐴 = 𝐴 ∩ 𝐵′
แต่เวลาเขียนตอบ มักต้องเขียนเหมือนกับว่าลุยจากข้างหนึง่ ไปได้อีกข้างหนึง่ ดังนี ้
𝐵′ − 𝐴′ = 𝐵′ ∩ (𝐴′ )′
= 𝐵′ ∩ 𝐴
= 𝐴 ∩ 𝐵′
= 𝐴−𝐵 #

ตัวอย่าง จงใช้แผนภาพเวนน์ เพื่อแสดงส่วนที่เป็ น 𝐴 ∩ (𝐴 − 𝐵′ )′


วิธีทา จะหาส่วนทีเ่ ป็ น 𝐴 ∩ (𝐴 − 𝐵′ )′ แบบตรงๆเลยก็ได้ แต่ขอ้ นี ้ จะใช้สตู รแปลงให้อยูใ่ นรูปที่งา่ ยขึน้ ก่อน ดังนี ้
𝐴 ∩ (𝐴 − 𝐵′ )′ = 𝐴 ∩ (𝐴 ∩ (𝐵′ )′ )′
= 𝐴 ∩ (𝐴 ∩ 𝐵)′
= 𝐴 ∩ (𝐴′ ∪ 𝐵′ )
= (𝐴 ∩ 𝐴′ ) ∪ (𝐴 ∩ 𝐵′ )
= ∅ ∪ (𝐴 ∩ 𝐵′ )
= 𝐴 ∩ 𝐵′
= 𝐴−𝐵
ดังนัน้ ถ้าจะแรเงา 𝐴 ∩ (𝐴 − 𝐵′ )′
𝐴 𝐵
ก็ไปแรเงา 𝐴 − 𝐵 แทน
จะได้ 𝐴 ∩ (𝐴 − 𝐵′ )′ ดังรูป #
เซตพืน้ ฐาน 19

แบบฝึ กหัด
1. จงพิสจู น์ขอ้ ความต่อไปนี ้
1. 𝐴′ − 𝐵 = 𝐵′ − 𝐴 2. (𝐴 ∪ 𝐵) − 𝐶 = (𝐴 − 𝐶) ∪ (𝐵 − 𝐶)

3. 𝐴 − (𝐵 ∩ 𝐶) = (𝐴 − 𝐵) ∪ (𝐴 − 𝐶) 4. 𝐴′ ∩ (𝐴 ∪ 𝐵) = 𝐵 − 𝐴

5. 𝐶 − (𝐴 ∪ 𝐵) = (𝐶 − 𝐵) − 𝐴 6. (𝐴 ∩ 𝐵) − 𝐶 = (𝐴 − 𝐶) ∩ (𝐵 − 𝐶)

7. (𝐴 ∩ 𝐵) ∪ 𝐵 = 𝐵 8. 𝐴 ∩ (𝐴 ∪ 𝐵) = 𝐴
20 เซตพืน้ ฐาน

2. เซต (𝐵 − 𝐴)′ ∩ 𝐶 คือบริเวณที่แรเงาในข้อใด [O-NET 56/8]

𝐵 𝐶 𝐵 𝐶 𝐵 𝐶

1. 𝐴 2. 𝐴 3. 𝐴

𝐵 𝐶 𝐵 𝐶

4. 𝐴 5. 𝐴

3. กาหนดให้ 𝐴 , 𝐵 และ 𝐶 เป็ นเซตใดๆ ซึง่ 𝐴⊂𝐵 ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้องบ้าง [O-NET 54/1]
1. (𝐶 − 𝐴) ⊂ (𝐶 − 𝐵)
2. 𝐴𝑐 ∩ 𝐶 ⊂ 𝐴𝑐 ∩ 𝐵
เซตพืน้ ฐาน 21

จานวนสมาชิกในส่วนต่างๆ

ในเรือ่ งนี ้ เราจะใช้แผนภาพเวนน์ มาช่วยหาจานวนสมาชิกของเซต


โจทย์ในเรือ่ งนี ้ จะกาหนดจานวนสมาชิกของส่วนต่างๆบางส่วนมาให้ แล้วให้เราหาจานวนสมาชิกของส่วนที่ตอ้ งการ
ตัวอย่างของชื่อเรียกส่วนต่างๆในแผนภาพ เช่น
𝐴 𝐵 𝐴 และ 𝐵 𝐴 หรือ 𝐵 𝐴 หรือ 𝐵 อย่างเดียว

𝐴 แต่ไม่ 𝐵 𝐵 แต่ไม่ 𝐴 ไม่ 𝐴 ไม่ 𝐵 ไม่ 𝐴 และไม่ 𝐵

𝐴 𝐴 และ 𝐵 และ 𝐶 𝐴 หรือ 𝐵 หรือ 𝐶 𝐴 อย่างเดียว 𝐴 หรือ 𝐵 หรือ 𝐶 อย่างเดียว

𝐴 และ 𝐶 𝐴 และ 𝐶 แต่ไม่ 𝐵 ไม่ 𝐴 𝐴 หรือ 𝐵 แต่ไม่ 𝐶 ไม่ 𝐴 และไม่ 𝐵 และไม่ 𝐶

เทคนิคหลักที่เรานิยมใช้ คือการค่อยๆเติมตัวเลขที่โจทย์ให้ ลงในแผนภาพ แล้วค่อยๆแกะรอย หาสิง่ ที่โจทย์ถาม


โดยจะเติม “ตัวเลขทีค่ ลุมส่วนเดียว” ให้ได้เยอะที่สดุ ก่อน และเก็บ “ตัวเลขที่คลุมหลายส่วน” ไว้คดิ ทีหลัง

ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑛(𝐴) = 15 , 𝑛(𝐵) = 22 และ 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) = 6 จงหา 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵)


วิธีทา ข้อนีม้ ี 2 เซต ดังนัน้ จะใช้แผนภาพ 𝐴 𝐵

จะเห็นว่า 𝑛(𝐴) = 15 คลุมหลายส่วน 𝑛(𝐵) = 22 ก็คลุมหลายส่วน เราจะข้ามสองตัวนีไ้ ปก่อน

𝐴 𝐵
จะเห็นว่า 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) = 6 คลุมส่วนตรงกลางส่วนเดียว 6
ดังนัน้ เราจะเติมตัวเลข 6 ลงไปตรงบริเวณ 𝐴 ∩ 𝐵 ดังรูป

ย้อนกลับมาที่ 𝑛(𝐴) = 15 เนื่องจากเรารูแ้ ล้ว ว่าตรงกลาง = 6 𝐴 𝐵


9 6
ดังนัน้ ส่วนทางซ้ายของ 𝐴 จะมีจานวนสมาชิก = 15 − 6 = 9
22 เซตพืน้ ฐาน

ทานองเดียวกัน 𝑛(𝐵) = 22 แต่ตรงกลาง = 6 𝐴 𝐵


9 6 16
ดังนัน้ ส่วนทางขวาของ 𝐵 จะมีจานวนสมาชิก = 22 − 6 = 16

ดังนัน้ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = บริเวณรวมของ วง 𝐴 กับ วง 𝐵 = 9 + 6 + 16 = 31 #

ในกรณีที่โจทย์ไม่ยอมให้ “ตัวเลขที่คลุมส่วนเดียว” มาเลย เราอาจจะต้องสมมติตวั แปร 𝑥 แล้วแก้สมการ


หลักคือ เรามักสมมติให้ 𝑥 เป็ นส่วนที่เกี่ยวข้องกับส่วนที่โจทย์กาหนดให้ ให้มากที่สดุ (มักจะได้แก่สว่ นตรงกลาง)

ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑛(𝐴) = 12 , 𝑛(𝐵) = 17 และ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = 21 จงหา 𝑛(𝐴 − 𝐵)


วิธีทา จะเห็นว่า 𝑛(𝐴) = 12 คลุมหลายส่วน 𝑛(𝐵) = 17 คลุมหลายส่วน 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = 21 ก็คลุมหลายส่วน

ดังนัน้ เราจะสมมติตวั แปร ให้สว่ นตรงกลาง = 𝑥 𝐴 𝐵


เนื่องจาก 𝑛(𝐴) = 12 12−𝑥 𝑥
ดังนัน้ ส่วนทางซ้ายของ 𝐴 จะมีจานวนสมาชิก = 12 − 𝑥
𝐴 𝐵
ทานองเดียวกัน เนื่องจาก 𝑛(𝐵) = 17 12−𝑥 𝑥 17−𝑥
ดังนัน้ ส่วนทางขวาของ 𝐵 จะมีจานวนสมาชิก = 17 − 𝑥

เนื่องจาก โจทย์บอกว่า 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = 21 ดังนัน้ (12 − 𝑥) + (𝑥) + (17 − 𝑥) = 21


29 − 𝑥 = 21
8 = 𝑥

ดังนัน้ จากแผนภาพ จะได้ 𝑛(𝐴 − 𝐵) = 12 − 8 = 4 #

ตัวอย่าง ในการสอบถามนักเรียน ม. 4 จานวน 100 คน พบว่า ไม่ชอบคณิตศาสตร์ 60 คน ไม่ชอบภาษาอังกฤษ 50


คน ชอบทัง้ สองวิชา 20 คน จงหาว่ามีนกั เรียนกี่คนทีช่ อบคณิตศาสตร์ แต่ไม่ชอบภาษาอังกฤษ
วิธีทา ข้อนี ้ มี 2 วง ให้ 𝑀 แทนเซตของนักเรียนที่ชอบคณิตศาสตร์
𝐸 แทนเซตของนักเรียนที่ชอบภาษาอังกฤษ
𝑀 𝐸
มี 20 คน ชอบทัง้ สองวิชา ดังนัน้ เติม 20 ลงในแผนภาพได้ 20

จะเห็นว่า ไม่ 𝑀 = 60 คลุมหลายส่วน ไม่ 𝐸 = 50 ก็คลุมหลายส่วน ไปต่อไม่ได้ ต้องสมมติตวั แปร

ข้อนี ้ เราจะสมมติให้สว่ นข้างนอก = 𝑥 เพราะส่วนข้างนอก ถูกรวม ทัง้ ในข้อมูล 60 และ ข้อมูล 50


𝑀 𝐸
ไม่ 𝑀 = 60 คลุมสองส่วน คือ ส่วนข้างนอก กับส่วนวง 𝐸 ทางขวา
20 60−𝑥
แต่ ส่วนข้างนอก = 𝑥 ดังนัน้ ส่วนวง 𝐸 ทางขวา = 60 − 𝑥
𝑥
เซตพืน้ ฐาน 23

ทานองเดียวกัน ไม่ 𝐸 = 50 คลุมสองส่วน คือ ส่วนข้างนอก กับส่วนวง 𝑀 ทางซ้าย 𝑀 𝐸


50−𝑥 20 60−𝑥
แต่ ส่วนข้างนอก = 𝑥 ดังนัน้ ส่วนวง 𝑀 ทางซ้าย = 50 − 𝑥
𝑥
และนักเรียนทัง้ หมด มี 100 คน ดังนัน้ (50 − 𝑥) + (20) + (60 − 𝑥) + (𝑥) = 100
130 − 𝑥 = 100
30 = 𝑥

ดังนัน้ จากแผนภาพ จะมีนกั เรียนที่ชอบ 𝑀 แต่ไม่ชอบ 𝐸 = 50 − 30 = 20 คน #

อีกเทคนิคหนึง่ คือ ใช้สตู ร “การรวมเข้าและเอาออก” (Inclusive – Exclusive) ดังนี ้


𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑛(𝐴) + 𝑛(𝐵) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵)
𝑛(𝐴 ∪ 𝐵 ∪ 𝐶) = 𝑛(𝐴) + 𝑛(𝐵) + 𝑛(𝐶) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐶) − 𝑛(𝐵 ∩ 𝐶) + 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵 ∩ 𝐶)

สูตรแรก ใช้กบั กรณีสองเซต (ถ้าเรารู ้ “สามตัว” จาก 𝐴 , 𝐵 , 𝐴 ∩ 𝐵 และ 𝐴 ∪ 𝐵 เราจะหาอีกตัวที่เหลือได้)


สูตรที่สอง จะไม่ทอ่ งก็ได้ (เพราะใช้เทคนิคอื่นทาแทนได้) แต่ถา้ ท่องจะช่วยให้ทาข้อสอบหลายๆข้อได้เร็วขึน้ มาก

ตัวอย่าง กาหนดให้ 𝑛(𝐴) = 12 , 𝑛(𝐵) = 17 และ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = 21 จงหา 𝑛(𝐴 − 𝐵)


วิธีทา ข้อนี ้ เราเคยทามาแล้วด้วยวิธี สมมติ 𝑥 แล้วแก้สมการ
แต่ถา้ ดูดีๆ จะเห็นว่าเรารู ้ 𝑛(𝐴) , 𝑛(𝐵) และ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) ดังนัน้ เราใช้สตู รหา 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) ได้
𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑛(𝐴) + 𝑛(𝐵) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵)
21 = 12 + 17 − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵)
𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) = 29 − 21 = 8
𝐴
เมื่อได้ 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) = 8 ก็จะเติมแผนภาพส่วนที่เหลือได้ ดังรูป 4 8 9
𝐵

และจะได้ 𝑛(𝐴 − 𝐵) = 4 ตรงกับทีเ่ คยทาด้วยวิธีแก้สมการ #

เทคนิคสุดท้าย คือ เทคนิคการ “ลบแผนภาพ”


วิธีนี ้ จะเป็ นวิธีที่ใช้ได้กบั โจทย์เกือบทุกประเภท แต่จะเปลืองกระดาษทดนิดหน่อย
วิธีการ คือ เราจะวาดตัวเลขแต่ละตัวที่โจทย์ให้มา เป็ นแผนภาพ ตัวเลขละ 1 แผนภาพ
จากนัน้ เราจะเลือกแผนภาพที่ “ภาพหนึง่ มีทกุ ส่วนของอีกภาพ” มาลบกัน เพื่อให้ได้เป็ นข้อมูลตัวใหม่
เช่น
− = − =

− = − =

− = − =
24 เซตพืน้ ฐาน

ตัวอย่าง ในการสอบถามนักเรียน ม. 4 จานวน 100 คน พบว่า ไม่ชอบคณิตศาสตร์ 60 คน ไม่ชอบภาษาอังกฤษ 50


คน ชอบทัง้ สองวิชา 20 คน จงหาว่ามีนกั เรียนกี่คนทีช่ อบคณิตศาสตร์ แต่ไม่ชอบภาษาอังกฤษ
วิธีทา ข้อนี ้ เราเคยทาไปแล้วด้วยวิธีแก้สมการ คราวนีเ้ ราจะลองทาใหม่ ด้วยวิธีลบแผนภาพ
ก่อนอื่น วาดตัวเลขทุกตัวเป็ นแผนภาพ ดังนี ้
(1) มีนกั เรียน 100 คน (2) ไม่ 𝑀 = 60 คน (3) ไม่ 𝐸 = 50 คน (4) ชอบทัง้ คู่ = 20 คน

(1) 100 (2) 60 (5) 40


จะเห็นว่า แผนภาพ (1) มีทกุ ส่วนของแผนภาพ (2)
− =
ดังนัน้ เรานา ภาพ (1) ตัง้ ลบด้วย ภาพ (2) ได้

จากแผนภาพ (4) เราจะเติม 20 ลงไปตรงส่วนตรงกลางได้


𝑀 𝐸
และจากแผนภาพ (5) เราจะเติมส่วนทางซ้ายของวง 𝑀 ได้ 40 − 20 = 20 20 20
ดังนัน้ จานวนนักเรียนที่ชอบ 𝑀 แต่ไม่ชอบ 𝐸 = 20 คน #

แบบฝึ กหัด
1. ในการสารวจกิจกรรมยามว่างของนักเรียนจานวน 80 คน พบว่า
20 คน ชอบว่ายนา้ 9 คน ชอบว่ายนา้ และ เตะบอล
18 คน ชอบเตะบอล 10 คน ชอบว่ายนา้ และ ตีเทนนิส
15 คน ชอบตีเทนนิส 12 คน ชอบเตะบอล และ ตีเทนนิส
ถ้ามี 7 คนชอบทัง้ สามกิจกรรม จงหาว่ามีกี่คน ที่ไม่ชอบกิจกรรมไหนเลยไม่วา่ จะเป็ นว่ายนา้ เตะบอล หรือตีเทนนิส

2. กาหนดให้ 𝐴∩𝐵=𝐵 ถ้าเซต 𝒰 มีสมาชิก 12 ตัว และ 𝐴′ ∪ 𝐵′ มีสมาชิก 10 ตัว แล้ว จงหา 𝑛(𝐵)
เซตพืน้ ฐาน 25

3. จากการสารวจนักเรียน ม. 4 จานวน 50 คน พบว่ามีนกั เรียนชาย 22 คน และพบว่ามีนกั เรียน 38 คนที่เป็ นผูห้ ญิง


หรือพูดภาษาฝรั่งเศสได้ จงหาว่ามีนกั เรียนชายกี่คน ที่พดู ภาษาฝรั่งเศสได้

4. ในการสารวจความชอบรับประทานก๋วยเตี๋ยว, ข้าวมันไก่ และข้าวหมูแดง ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปี ที่ 6 จานวน


100 คนของโรงเรียนแห่งหนึง่ พบว่ามีนกั เรียน
ชอบก๋วยเตี๋ยว 49 คน ชอบก๋วยเตี๋ยวและข้าวมันไก่ 22 คน
ชอบข้าวมันไก่ 48 คน ชอบก๋วยเตี๋ยวและข้าวหมูแดง 32 คน
ชอบข้าวหมูแดง 59 คน ชอบข้าวมันไก่และข้าวหมูแดง 27 คน
และ ชอบทัง้ สามอย่าง 15 คน
จานวนนักเรียนที่ไม่ชอบอาหารทัง้ สามชนิดนีเ้ ท่ากับกี่คน [O-NET 56/34]

5. ในการสอบของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษากลุม่ หนึง่ พบว่า มีผสู้ อบผ่านวิชาต่างๆ ดังนี ้


คณิตศาสตร์ 36 คน
สังคมศึกษา 50 คน
ภาษาไทย 44 คน
คณิตศาสตร์และสังคมศึกษา 15 คน
ภาษาไทยและสังคมศึกษา 12 คน
คณิตศาสตร์และภาษาไทย 7 คน
ทัง้ สามวิชา 5 คน
จานวนผูส้ อบผ่านอย่างน้อยหนึง่ วิชามีกี่คน [O-NET 53/37]
26 เซตพืน้ ฐาน

6. ให้ 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเซตซึง่ 𝑛(𝐴) = 5 , 𝑛(𝐵) = 4 และ 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) = 2


ถ้า 𝐶 = (𝐴 − 𝐵) ∪ (𝐵 − 𝐴) แล้ว 𝑛(𝑃(𝐶)) เท่ากับเท่าใด [O-NET 54/21]

7. กาหนดให้ 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเซต ซึง่ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = 88 และ 𝑛[(𝐴 − 𝐵) ∪ (𝐵 − 𝐴)] = 76 ถ้า 𝑛(𝐴) = 45 แล้ว
𝑛(𝐵) เท่ากับเท่าใด [O-NET 50/7]

8. ในการสารวจความชอบในการดืม่ ชาเขียวและกาแฟของกลุม่ ตัวอย่าง 32 คน พบว่า ผูช้ อบดื่มชาเขียวมี 18 คน ผู้


ชอบดื่มกาแฟมี 16 คน ผูไ้ ม่ชอบดื่มชาเขียวและไม่ชอบดื่มกาแฟมี 8 คน จานวนคนที่ชอบดื่มชาเขียวอย่างเดียว
เท่ากับเท่าใด [O-NET 52/19]

9. นักเรียนกลุม่ หนึง่ จานวน 50 คน มี 32 คน ไม่ชอบเล่นกีฬาและไม่ชอบฟั งเพลง ถ้ามี 6 คน ชอบฟั งเพลงแต่ไม่ชอบ


เล่นกีฬา และมี 1 คน ชอบเล่นกีฬาแต่ไม่ชอบฟังเพลงแล้ว นักเรียนในกลุม่ นีท้ ี่ชอบเล่นกีฬาและชอบฟั งเพลงมีจานวน
เท่ากับเท่าใด [O-NET 51/5]
เซตพืน้ ฐาน 27

10. นักเรียนกลุม่ หนึง่ จานวน 46 คน แต่ละคนมีเสือ้ สีเหลืองหรือเสือ้ สีฟา้ อย่างน้อยสีละหนึง่ ตัว ถ้านักเรียน 39 คนมีเสือ้ สี
เหลือง และ 19 คน มีเสือ้ สีฟา้ แล้วนักเรียนกลุม่ นีท้ ี่มีทงั้ เสือ้ สีเหลืองและเสือ้ สีฟา้ มีจานวนเท่ากับเท่าใด
[O-NET 50/8]

11. ในการสอบถามพ่อบ้านจานวน 300 คน พบว่า มีคนที่ไม่ดมื่ ทัง้ ชาและกาแฟ 100 คน มีคนที่ดื่มชา 100 คน และ มี
คนที่ดื่มกาแฟ 150 คน พ่อบ้านที่ดื่มทัง้ ชาและกาแฟมีจานวนเท่าใด [O-NET 49/2-9]

12. ในการสารวจงานอดิเรกของนักเรียน 200 คน ปรากฏว่า


120 คน ชอบอ่านหนังสือ 60 คน ชอบอ่านหนังสือและดูภาพยนตร์
110 คน ชอบดูภาพยนตร์ 70 คน ชอบอ่านหนังสือและเล่นกีฬา
130 คน ชอบเล่นกีฬา 50 คน ชอบดูภาพยนตร์และเล่นกีฬา
นักเรียนที่ชอบเล่นกีฬาเพียงอย่างเดียวมีกี่คน [O-NET 54/22]
28 เซตพืน้ ฐาน

13. จากการสอบถามความชอบรับประทานไอศกรีมของนักเรียนจานวน 180 คน พบว่า


มี 86 คน ชอบรสช็อกโกแลต มี 31 คน ชอบรสช็อกโกแลตและวานิลลา
มี 87 คน ชอบรสวานิลลา มี 27 คน ชอบรสวานิลลาและสตรอเบอรี่
มี 70 คน ชอบรสสตรอเบอรี่ มี 22 คน ชอบรสช็อกโกแลตและสตรอเบอรี่
และ มี 5 คน ไม่ชอบทัง้ สามรส ดังนัน้ มีนกั เรียนที่ชอบทัง้ สามรสกี่คน [O-NET 57/35]

14. ถ้ากาหนดจานวนสมาชิกของเซตต่างๆ ตามตารางต่อไปนี ้


เซต 𝐴∪𝐵 𝐴∪𝐶 𝐵∪𝐶 𝐴∪𝐵∪𝐶 𝐴∩𝐵∩𝐶
จานวนสมาชิก 25 27 26 30 7
แล้ว จานวนสมาชิกของ (𝐴 ∩ 𝐵) ∪ 𝐶 เท่ากับเท่าใด [O-NET 51/23]

You might also like