Professional Documents
Culture Documents
น้ำตาจ้าวมังกร
น้ำตาจ้าวมังกร
ความหวังหนึ่งเดียวที่อาจหยุดยั้งไฟสงครามคือฉินเฟิงกับจิ้งเอ๋อร์ ‘นักฆ่านิรนามกับคนทรยศ’
คิดว่าเป็นมืองลั่วหยางมีความสำคัญในตำแหน่งและเหมาะสำหรับการปกครอง
นอกจากนี้เมืองลั่วหยางตั้งอยู่ที่ราบแถวแม่น้ำหวงเหอ พื้นที่ตอนล่างมักประสบ
ปัญหาน้ำท่วมมีผลกระทบวงกว้าง แม้เมืองลั่วหยางตั้งอยู่ติดกับลแม่น้ำหวงเหอมาก
แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมของแม่น้ำเหลือง เนื่องจากตั้งอยู่ในที่สูงกว่า
ประมาณสิบเมตร อีกทั้งยังเป็นแหล่งกำเนิดต้นอารยธรรมของจีน
ราชวงศ์จำนวนมากจึงเลือกลั่วหยางเป็นเมืองหลวง
เพราะชัยภูมิครับเริ่มแรกบริเวณนี้เป็นจุดตั้งถิ่นฐานของผู้คนอยู่แล้วตั้งแต่สมัยซาง
เลยเสียนหยางกับซีอานกับบริเวณรอบๆที่ราบกวนจงริมลุ่มแม่น้ำเหวยสุ่ยที่เป็นอิทธิพลตั้งแต่ยุคของโจว
จะว่าไปในสมัยโบราณแถบกล่าวได้ว่าเป็นเขตคนเถื่อนจนฉินไปบุกเบิก
ลั่วหยางช่วงเลียดก๊กกับราชวงศ์ฮั่นจนไปถึงราชวงศ์ถังเป็นจุดบรรจบอยู่ระหว่าง 2แม่น้ำ เหมาะกับการค้า
และการควบคุมการขนส่งทางน้ำ ส่วนทางฝั่งแยงซีเกียงยังไม่ถือเป็นจุดหลักในยุคนั้น
แต่เพราะหลังกบฏอันสือและยุควุ่นวายต่อจากนั้น ชาวฮั่นแท้เลือกไปพัฒนาแถบด้านเจียงหนานแทน
ราชวงศ์ซ่งอ่อนด้านทหาร ส่วนพอถึงราชวงศ์หมิงเลือกไปยันตรงปักกิ่ง ผสมกับการที่เส้นทางสายไหมทางบกไม่
ค่อยมีความสำคัญมากเท่าแต่ก่อน ฉางอานและลั่วหยางจึงไม่กลับมาสำคัญเท่าแต่ก่อนอีก
ผมชอบที่หวงอี้เขียนไว้ในนิยายผ่านหลงอิงว่า ฉางอานเป็นจุดเริ่มต้นของถังแต่ลั่วหยางที่บเช็คเทียนเลือก
คือเมืองที่สมควรเป็นเมืองหลวงของชาวจีน
1 การเมือง-การปกครอง
2 เศรษฐกิจและการค้า
3 การทหารและความมั่นคง
4 สถานการณ์ของอาณาจักรในขณะนั้น
เมื่อเป็นดังนี สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ในราชวงศ์สุยหลังจากรวมประเทศเป็นปึกแผ่นก็ยังคงเลือกนครลั่วหยางเป็น
ราชธานี โดยเฉพาะในรัชสมัยของสุยหยางตี้ฮ่องเต้ ที่มีดำริสร้างคลองขุดอวิ่นเหอเชื่อมต่อทั้งเหนือและใต้เข้า
ด้วยกันทำให้นครลั่วหยางกลายเป็นมหานครศูนย์กลางของการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำรวมถึงการค้า
สามารถกระจายสินค้าและเสบียงอาหารไปทั่วแผ่นดิน สร้างความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับนครฉางอานที่คล้อยไปทางตะวันตก เนื่องจากภูมิประเทศเหมาะกับการตั้งรับแต่ไม่
เหมาะแก่การรุก ไม่สามารถบริหารจัดการพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากยามใดเส้นทางขนส่งทางน้ำมี
ปัญหาจะเกิดความอดอยากไปทั่ว
แต่หลังจากผ่านยุคสมัยของพระนางอู่เจ๋อเทียน ราชวงศ์ถังยึดการปกครองคืนมาก็ย้ายราชธานีกลับไปยัง
นครฉางอานอีกครั้งด้วยเหตุผลทางการเมืองเช่นเดียวกัน
"ถังสกปรก ฮั่นโสมม"
หากว่ากันด้วยเรื่องเพศแล้วลักษณะทางสังคมในตอนนั้นมีจุดที่น่าสนใจดังนี้
1.ความนิยมคณิกา
สมัยถังในวังจะมี"เจี้ยวฟาง"ซึ่งเป็นเสมือนระบบหอคณิกาที่คอยให้ความบันเทิงต่างๆทั้งการแสดงและ
ดนตรี ว่ากันว่าสมัยจักรพรรดิถังไท่จงมีอยู่ 3,000 นาง และเพิ่มเป็น 8,000 คนในสมัยถังเสวียนจง ซึ่งในหมู่นาง
คณิกาก็มีการแบ่งระดับชั้นสูงต่ำด้วย
คณิกาฮอตฮิตมากขนาดที่ว่าไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับแขกของขุนนาง พิธีการต่างๆ วงเหล้าของขุนนาง
หรือแม้แต่ตอนออกไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติ ก็จะต้องมีนางคณิกาคอยติดสอยห้อยตามให้ความบันเทิงอยู่เสมอ ทำ
ให้กิจการหอนางโลมเจริญรุ่งเรืองมาก ผุดเอาๆ เหมือนดอกเห็ด เอาเป็นว่าที่บ้านของกวีชราบางท่านถึงกับเลี้ยงดู
คณิกาไว้นับร้อยคน!
2.การเปิดกว้างทางเพศ
หญิงสมัยนั้นไม่ได้รักนวลสงวนตัวหรือเคร่งเรื่องการรักษาพรหมจารีย์มากนัก การเสียตัว หรือการได้เสีย
กันก่อนแต่งงานไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร รวมไปถึงการหนีไปกับคนรักก็มีให้เห็นไม่น้อย คนจีนโบราณมีเรื่องเล่าของ
ความรักอันแสนเศร้าระหว่างหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าที่ปีหนึ่งจะเจอกันได้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งในสมัยถังก็มีหญิง
สาวที่แต่งเรื่องนี้ให้ใหม่ในเชิงสนุกสนานแต่ก็บ่งบอกคาแรกเตอร์ผู้หญิงสมัยนั้นได้ดี โดยเล่าในทำนองว่าสาวทอผ้า
รอชายผู้เป็นที่รักไม่ไหว เธอจึงแอบไปลั้นลากับหนุ่มอื่นยามราตรีเพราะยังไงเขาก็ไม่รู้อยู่ดี!
และที่เลเวลอัพไปกว่านั้นคือมีคนในสมัยนั้นที่ไม่ได้รู้สึกว่าการเล่นชู้เป็นเรื่องที่น่าอับอาย แถมกลับ
กลายเป็นที่นิยมอยู่ช่วงหนึ่งด้วยซ้ำ! ในบทกวีสมัยถังมีเรื่องเล่าทำนองนี้อยู่ไม่น้อย เช่นเมียเถ้าแก่แซ่เมิ่งคนหนึ่ง
กำลังนั่งฮัมเพลงอยู่ในบ้าน เด็กหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาได้ยินเข้าจึงเดินเข้ามาและเอ่ยถ้อยคำชักชวนสุดวาบหวิวให้นาง
ร่วมรักด้วย จากนั้นนางก็จัดให้เขาเลยทันที (เอ้า!แบบนี้ก็ได้หรอ?)
อีกจุดที่น่าสนใจคือผู้หญิงถังเป็นอะไรที่ไม่สนในกฎเกณฑ์หรือขนบสอนหญิงใดๆมากที่สุดแล้ว พวกเธอไม่
เคร่งใน"หลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา" (三从四德) ที่มีมาแต่โบราณ เรียกได้ว่ามีอิสระทางการแสดงออกเรื่องเพศ
มากหากเทียบกับราชวงศ์อื่นๆ หญิงที่แต่งงานแล้วและมีสามีใหม่เป็นเรื่องที่เบๆมากในสังคมถัง ข้อมูลจากบันทึก
เล่มหนึ่งทำให้เราได้รู้ว่ามีองค์หญิงสมัยถังที่แต่งงานใหม่อีกครั้งถึง 23 องค์ โดยในนี้มี 4 องค์ที่แต่งงานถึง 3 ครั้ง
แน่นอนว่าลูกสาวขุนนางยันลูกสาวชาวบ้านก็เช่นกัน
เป็นไปได้ว่าที่ชาวถังค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องเพศนั้น
เป็นเพราะ"ถังเกาจู่"หรือ"หลี่ยวน" ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ถังที่มีพื้นเพมาจากพื้นที่ทางตะวันตกเฉียง
เหนือของประเทศอาจมีสายเลือดของชนกลุ่มน้อยอยู่ (ประเด็นนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่) ทำให้ไม่เคร่งเรื่องนี้
เหมือนตระกูลชนชั้นสูงที่อยู่ในตอนกลาง
ลองนึกภาพตามดู บางทีนิยามของบรรดาแม่นางทั้งหลายในสมัยโบราณที่คุณเคยเข้าใจอาจจะไม่
เหมือนเดิมอีกต่อไป
1.แผ่นแปะสะดือ