Professional Documents
Culture Documents
เราอาจแบ่งกลุม
่ คนในสังคมอยุธยาออกอย่างกว้าง ๆ เป็ น 2 กลุม
่ คือ
้ ปกครอง ได้แก่ เจ้านายและขุนนาง ซึง่ เรียกรวมกันว่า
1. ชนชัน
“มูลนาย”
2. ชนชัน
้ ผูถ
้ ูกปกครอง ได้แก่ ไพร่และทาส
ทัง้ สองกลุม ่ นี้มีความสัมพันธ์ในด้านต่าง ๆ เป็ นลักษณะ
“ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์”กล่าวคือ
มูลนายในฐานะผูบ ้ งั ค ับบัญชาจะให้ความช่วยเหลือ
ให้ความคุม ้ ครองแก่ผอ ู้ ยูใ่ ต้ปกครอง
ขณะเดียวกันก็มีหน้าทีอ่ อกระเบียบกฎหมายให้ผอ ู้ ยูใ่ ต้ปกครองปฏิบตั ิ
ส่วนผูอ้ ยูใ่ ต้ปกครองมีหน้าทีต ่ อ
้ งเคารพเชือ
่ ฟังมูลนาย
และทัง้ หมดเป็ นผูอ
้ ยูใ่ นอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็ นเจ้าของ
แผ่นดินและมีอานาจสูงสุดในสังคม และมีพระสงฆ์เชือ ่ มสองชนชัน ้
ชีวต
ิ ความเป็ นอยูแ
่ ละประเพณีบางอย่างสมัยอยุธยา
การก่อรูปสังคมนัน ้
โดยทั่วไปย่อมเป็ นหมูบ่ า้ นตามทีอ่ ุดมสมบูรณ์ พอจะเพาะปลูกเพือ
่ ยังชี
พได้ เช่น บริเวณลุม่ แม่น้า
ลักษณะการก่อรูปของสังคมไทยโบราณก็เป็ นไปลักษณะนี้
3. ชอบเล่นการพนันกันอย่างกว้างขวาง
4. ชอบสูบยาเส้น และสูบกันอย่างกว้างขวาง
5.
นิยมให้ลูกชายได้ศก
ึ ษาเล่าเรียนโดยใช้วดั เป็ นสถานศึกษา
สภาพสังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
สังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
แม้วา่ จะต่อเนื่องมาจากสังคมสมัยสุโขทัย
แต่ก็ได้มีความเปลีย่ นแปลงแตกต่างไปจากสังคม
สมัยสุโขทัยหลายด้าน
ทัง้ นี้ก็เพราะว่าสถาบันสูงสุดของการปกครองได้เปลีย่ นฐานะไป
นั่นคือ พระมหากษัตริย์ได้เปลีย่ นฐานะจากมนุษยราช
ในสมัยสุโขทัยเป็ นเทวธิราชขึน ้ ในสมัยอยุธยา
เปลีย่ นจากฐานะความเป็ น "พ่อขุน" มาเป็ น "เจ้าชีวต
ิ "
ของประชาชนซึง่ เป็ นผลให้ระบบและ สถาบันทางการปกครองต่างๆ
แตกต่างไปจากสังคมไทยสมัยสุโขทัยด้วย
ชนชัน
้ ของสังคมสมัยอยุธยา
สังคมอยุธยา เป็ นสังคมทีเ่ ต็มไปด้วยชนชัน
้
นับตัง้ แต่การแบ่งแยกชนชัน ้ อย่างเด็ดขาด ระหว่างกษัตริย์กบั ราษฎร
แล้ว
ทีแ
่ ละความรับผิดชอบ พร้อมกับตาแหน่ งหน้าทีแ ่ ล้ว
ราชการสมัยอยุธยายังมีศกั ดินาซึง่ มากน้อยตามตาแหน่ งหน้าที่
ระบบศักดินานี้เป็ น ระบอบของสังคมอยุธยาโดยแท้ เพราะศักดินานัน ้
ทุกคนต้องมีตง้ ั แต่ขน
ุ นางชัน
้ ผูใ้ หญ่
พระบรมวงศานุวงศ์ลงไปจนถึงข้าราชการชัน ้ ผูน
้ ้อย และประชาชนธร
รมดา จานวนลดหลั่นลงไป
นอกจากจะแบ่งตามหน้าทีต ่ าแหน่ งและความรับผิดชอ
บแล้ว ชนชัน ้ ในสังคมอยุธยา ยังแบ่งออกกว้างๆ
เป็ นสองชนชัน ้ อีก คือ ผูม้ ีศกั ดินาตัง้ แต่ 400 ขึน ้ ไป เรียกว่าชนชัน ้ ผูด
้ ี
ส่วนทีต ่ ่าลงมาเรียกว่า ไพร่ แต่ไพร่ก็อาจเป็ นผูด ้ ไี ด้
เมือ่ ได้ทาความดีความชอบเพิม ่ ศักดินาของตนขึน ้ ไปถึง 400 แล้ว
และผูด ้ ก ี ็อาจตกลงมาเป็ นไพร่ได้หากถูกลดศักดินาลงมาจนต่ากว่า
400 การเพิม ่ การลดศักดินาในสมัยอยุธยาก็อาจทากันง่ายๆ
หากได้ทาความดีความชอบหรือความผิด
การแบ่งคนออกเป็ นชนชัน ้ ไพร่ และชนชัน ้ ผูด
้ เี ช่นนี้
ทาให้สท ิ ธิของคนในสังคมแต่ละชัน ้ ต่างกัน สิทธิพเิ ศษต่างๆ
ตกไปเป็ นของชนชัน ้ ผูด
้ ตี ามลาดับแห่งความมากน้อยของศักดินา
เช่นผูด้ เี องและคนในครอบครัวได้รบั ยกเว้นไม่ถูกเกณฑ์ไปใช้งานรา
ชการ ในฐานะทีเ่ รียกกันว่า แลก เมือ ่ เกิดเรือ
่ งศาล ผูด ้ ก
ี ็ไม่ตอ
้ งไปศาล
เว้นแต่ผด ิ อาญาแผ่นดิน เป็ นขบถ
ธรรมดาผูด ้ จี ะส่งคนไปแทนตนในโรงศาล
มีทนายไว้ใช้เป็ นการส่วนตัว นอกจากนัน ้
ก็ยงั มีสทิ ธิเข้าเฝ้ าทูลละอองธุลีพระบาทได้ใน ขณะทีเ่ สด็จออก ขุนนาง
เมือ
่ มีสทิ ธิก็ตอ ้ งมีหน้าที่ ผูด
้ ท
ี ม
ี่ ีศกั ดินาสูงๆ
จะต้องคุมคนไว้จานวนหนึ่ง เพือ่ รับราชการทัพได้ในทันที
เมือ่ พระมหากษัตริย์เรียก เช่น ผูม ้ ีศกั ดินา 10,000
และมีหน้าทีบ ่ งั คับบัญชากรมกอง ซึง่ มีไพร่หลวงสังกัดอยู่
ก็ตอ ้ งรับผิดชอบกะเกณฑ์ คนแข็งแรงและมีประสิทธิภาพด้วย
สังคมอยุธยา
สังคมอยุธยานัน
้ กฎหมายกาหนดให้ทก ุ คนต้องมีนาย
ตามกฎหมาย ลักษณะรับฟ้ องมาตรา 10 กล่าวว่า "ราษฎรรับฟ้ องร้อง
ด้วยคดีประการใดๆ
แลมิได้สงั กัดมูลนายอย่าพึงรับไว้บงั คับบัญชาเป็ นอันขาดทีเดียว
ให้สง่ ตัวผูน
้ น
้ ั แก่สสั ดี เอาเป็ นคนหลวง"
จะเห็นว่า ไพร่ทก ุ คนของสังคมอยุธยาต้องมีสงั กัดมูลนายของตน
ผูไ้ ม่มีนายสังกัดกฎหมายไม่รบั ผิดชอบในการพิทกั ษ์ รกั ษาชีวต ิ และท
รัพย์สน ิ ไพร่จะต้องรับใช้ชาติในยามสงคราม จึงต้องมีสงั กัดเพือ ่ จะเรี
ยกใช้สะดวก เพราะในสมัยอยุธยานัน ้
ไม่มีทหารเกณฑ์หรือทหารประจาการในกองทัพเหมือนปัจจุบน ั จะมีก็
แต่กองทหารรักษาพระองค์เท่านัน ้ นอกจากนัน้
เป็ นเพราะสมัยแรกตัง้ กรุงศรีอยุธยา
ต้องใช้ชายฉกรรจ์จานวนมากในการปกป้ องข้าศึก ศัตรู
ความจาเป็ นของสังคมจึงบังค ับให้ราษฎรต้องมีนาย
เพราะนายจะเป็ นผูเ้ กณฑ์กาลังไปให้เมืองหลวงป้ องกันภัยจากข้าศึกศั
ตรู และนายซึง่ ต่อมากลายเป็ น "เจ้าขุนมูลนาย"
ต้องมีความรับผิดชอบต่อลูกหมูข ่ องตน
ถ้านายสมรูร้ ว่ มคิดกับลูกหมูท ่ าความผิด
ก็ถูกปรับไหมตามยศสูงต่า และหากลูกหมูข ่ องตนถูกกล่าวหาว่าเป็ นโ
จรปล้นทรัพย์
มูลนายก็ตอ
้ งส่งตัวลูกหมูใ่ ห้แก่ตระลากรสังคมอยุธยาจึงเป็ นสังคมทีต
่ ้
องมีความรับผิดชอบมากอยู่ มีกฎเกณฑ์ตา่ งๆ มากมาย
เพราะลักษณะและองค์ประกอบของสังคมซับซ้อนกว่าสังคมสุโขทัย
ระบบราชการสมัยกรุงศรีอยุธยา
ลักษณะสังคมไทยทีน ่ ่ าสนใจอยูอ ่ ีกประการหนึง่ คือ
ระบบราชการ ซึง่ เป็ นเครือ ่ งผูกมัดราษฎรให้มีภาระต่อแผ่นดิน
ชีวติ คนไทยได้ผก ู พันอยูก่ บั ราชการมาตัง้ แต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบน ั
ข้าราชการในสมัยอยุธยา เรียกว่า ขุนนาง มียศหรือบรรดาศักดิ ์
ชัน
้ พระยาหรือออกญาเป็ นชัน ้ สูงสุด และลดลงไปตามลาดับคือ
เจ้าหมืน ่ พระ จมืน ่ หลวง ขุน จ่า หมืน ่ และพัน
ส่วนเจ้าพระยา และสมเด็จพระยานัน ้ เกิดในตอนปลายๆ สมัยอยุธยา
ส่วนยศ เจ้าหมืน ่ จมืน ่ และจ่านัน ้
เป็ นยศทีใ่ ช้กน
ั อยูใ่ นกรมหาดเล็กเท่านัน ้ ส่วนตาแหน่ งข้าราชการสมั
ยอยุธยาก็มี อัครมหาเสนาบดี เสนาบดี จางวาง เจ้ากรม ปลัดกรม
และสมุหบัญชี เป็ นต้น
ตาแหน่ งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีนน ้ ั ในระยะแรกๆ
มีบรรดาศักดิเ์ ป็ นพระยา ต่อมาในระยะหลังๆ ก็เป็ นเจ้าพระยาไปหมด
ส่วนตาแหน่ งอืน ่ ๆ ตัง้ แต่ จางวาง
เจ้ากรม ปลัดกรมลงมาจนถึงสมุบญ ั ชีนน ้ั
มีบรรดาศักดิเ์ ป็ นพระยาบ้าง พระบ้าง จนถึงหลวง
และขุนตามความสาคัญของตาแหน่ งนัน ้ ๆ ข้าราชการใน สมัยอยุธยา
ไม่ได้รบั ค่าตอบแทนเป็ นเงินเดือนหรือเงินปี
ได้รบั พระราชทานเพียงทีอ่ ยูอ ่ าศัยและเครือ ่ งอุปโภคบริโภคบางอย่าง
เช่น หีบเงินใช้ใส่พลู ศาตราวุธ เรือยาว สัตว์ พาหนะ
เลกสมกาลังและเลกทาสไว้ใช้สอย ทีด ่ น ิ สาหรับทาสวนทาไร่
แต่เมือ่ ออกจากราชการ แล้วก็ตอ ้ งคืนเป็ นของหลวงหมดสิน ้