You are on page 1of 5

เพลง ทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรม คือคุณธรรมของพระราชา
ทาน นั้นคือการให้ ทำแล้วสุ ขใจ พวกเราสุ ขขี
ศีล คือความประพฤติดี ความชัว่ ไม่มี ทั้งกาย วาจา
ปริ จาคะ คือการบริ จาค ช่วยคนลำบาก ได้บุญหนักหนา
อาชวะ ไม่คิดนินทา พวกเรารักษา ในความซื่อตรง
มัททวะ เป็ นคนอ่อนโยน ไม่เล่นโลดโผน สำรวมกิริยา
ตบะ คือใฝ่ ศึกษา พากเพียรวิชา เอาไว้เลี้ยงตน
อักโกธะ คือความไม่โกรธ ไม่ควรถือโทษ ตั้งจิตเมตตา
อวิหิงสา ผูค้ นศรัทธา บุญคอยรักษา เพราะไม่เบียดเบียน
ขันติ คือความอดทน หมัน่ เพียรฝึ กฝน ทบทวนปัญหา
อวิโรธนะ จะคอยนำพา ผูค้ นทัว่ หน้า สู่ ความยุติธรรม
ทศพิธราชธรรม กับพัฒนาการของอาณาจักรสุ โขทัย
พัฒนาการของอาณาจักรสุ โขทัยสามารถแบ่งออกได้เป็ น 3 ด้าน คือ ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านการปกครองในสมัยสุ โขทัย โดยใน
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง , พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ ,พัฒนาการ สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงวางพระองค์อย่างบิดาปกครอง
ด้านสังคมและวัฒนธรรม ซึ่ งเราสามารถศึกษาพัฒนาการของอาณาจักร บุตรด้วยการสอดส่ องความเป็ นอยูข่ องราษฎร ใครทุกข์ร้อนจะทูลร้องทุกข์
สุ โขทัยผ่านเพลงทศพิธราชธรรมโดยแบ่งออกเป็ นหลักธรรมทั้ง 10 ประการ เมื่อใดก็ได้ โปรดให้แขวนกระดิ่งที่ประตูพระราชวัง เมื่อราษฎรมีทุกข์กไ็ ปสัน่
ของเพลงทศพิธราชธรรมได้ดงั ต่อไปนี้ กระดิ่งนั้น เมื่อพ่อขุนรามคำแหงทรงได้ยนิ ก็จะเสด็จมาดำเนินการพิพากษา
คดีความต่างๆ เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ราษฎรผูร้ ้องทุกข์ดว้ ยตัวพระองค์เอง
1. ทาน คือ การให้ หมายถึง การสละทรัพย์ สิ่ งของ เพื่อช่วยเหลือคนที่ดอ้ ย
และอ่อนแอกว่า
ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านเศรษฐกิจในสมัยสุ โขทัย โดยในสมัย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชของสุ โขทัย ทรงเปิ ดโอกาสให้ประชาชนได้คา้ ขาย
กันอย่างเสรี มีเสรี ภาพในการประกอบอาชีพ ไม่มีการผูกขาดทางการค้าโดย
พระคลังสิ นค้า โดยยอมสละผลประโยชน์บางประการที่พระองค์ควรจะได้รับ
แสดงออกถึงการมีน ้ำพระทัยที่เต็มเปี่ ยมในการช่วยเหลือราษฎร ซึ่ งมีฐานะ
ทางเศรษฐกิจที่ต ่ำกว่า

10. อวิโรธนะ คือความเที่ยงธรรม หมายถึงไม่ประพฤติผดิ ประพฤติปฏิบตั ิตน 8. อวิหิงสา คือความไม่เบียดเบียน หมายถึง ไม่กดขี่ข่มเหง กลัน่ แกล้งรังแกคน
อยูใ่ นความดีงาม ไม่หวัน่ ไหวในเรื่ องดีเรื่ องร้าย อื่น ไม่หลงในอำนาจ ทำอันตรายต่อร่ างกายและทรัพย์สินผูอ้ ื่นตามอำเภอใจ
ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านสังคมในสมัยสุ โขทัย ในสมัยสุ โขทัย ศาสนาเป็ นหลักในการดำเนินชีวิต  สร้างความสามัคคีกลมเกลียวกันในแผ่น
ประชาชนมีอิสระในการประกอบอาชีพ และมีอิสระในการเดินทาง สามารถ ดิน
เลือกถิ่นฐานที่อยูอ่ าศัยได้ โดยปราศจาก การกดขี่ข่มเหงจากผูป้ กครอง ซึ่ ง
3. ปริ จาคะ คือบริ จาค หมายถึง การเสี ยสละความสุ ขสำราญของตนเพื่อ
แสดงออกถึงการมีน ้ำพระทัยที่กว้างขว้างของกษัตริ ยท์ ี่มีต่อราษฎร
ประโยชน์สุขของหมู่คณะ
9. ขันติ คือความอดทน หมายถึงการอดทนต่อสิ่ งทั้งปวง สามารถอดทนต่อ ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านสังคมในสมัยสุ โขทัย ซึ่ งกษัตริ ยใ์ น
งานหนัก ความยากลำบาก ทั้งอดทน อดกลั้นต่อคำติฉินนินทา สมัยสุ โขทัยยอมเสี ยสละความสุ ขสำราญของตนเอง โดยการออกเยีย่ มเยียน
ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านสังคมในสมัยสุ โขทัย โดยประชาชน ราษฎร ดูแลสุ ข-ทุกข์ ของประชาชน และบริ จาคทรัพย์สินส่ วนพระองค์ใน
ในสมัยสุ โขทัย มีความอดทนต่อความยากลำบาก ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ การธำนุบ ำรุ งพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างวัด สร้างเจดีย ์ เป็ นต้น
บรรลุวตั ถุประสงค์ ซึ่ งประชาชนสมัยสุ โขทัยได้สร้างสรรค์ผลงานด้านต่างๆ
ซึ่ งเป็ นเอกลักษณ์ของสมัยสุ โขทัยตกทอดให้ยงั คนรุ่ นหลังได้ชื่นชม เช่น เจดีย ์
ทรงพุม่ ข้างบิณฑ์ , พระพุทธรู ปปางลีลา , เครื่ องสังคโลก เป็ นต้น

4. อาชชวะ คือความซื่ อตรง หมายถึง มีความซื่ อสัตย์สุจริ ต มีความจริ งใจ ไม่


2. ศีล คือการตั้งอยูใ่ นศีล หมายถึง มีความประพฤติดีงาม เป็ นตัวอย่างที่ดีแก่ กลับกลอก
คนทัว่ ไป ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านการปกครองในสมัยสุ โขทัย ในสมัย
ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านสังคมในสมัยสุ โขทัย โดยกษัตริ ย ์ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แห่งกรุ งสุ โขทัย พระยามังรายมหาราช แห่ง
สุ โขทัยทรงทำนุบ ำรุ งส่ งเสริ มพระพุทธศาสนา ทรงเป็ นผูป้ ฏิบตั ิธรรมเป็ น เชียงใหม่ และพระยางำเมือง แห่งพะเยา ได้สญั ญากันว่าจะเป็ นพันธมิตรกัน
ตัวอย่าง และได้ทรงสร้างถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนาไว้ทวั่ ไปเพื่อเป็ นที่ และช่วยเหลือกันป้ องกันภัยคุกคามจากพวกมองโกล ซึ่ งกษัตริ ยท์ ้ งั สาม
เคารพบูชาของประชาชนให้เกิดเลื่อมใสศรัทธายึดหลักธรรมของพระพุทธ พระองค์ทรงมีความจริ งใจต่อกัน เปรี ยบเสมือนพี่นอ้ งร่ วมท้องมารดาเดียวกัน
5. มัททวะ คือความอ่อนโยน หมายถึง มีกิริยาสุ ภาพ มีสมั มาคารวะ วาจาอ่อน 7. อักโกธะ คือความไม่โกรธ หมายถึง มีจิตใจมัน่ คง มีความสุ ขมุ เยือกเย็น
หวาน มีความนุ่มนวล ไม่เย่อหยิง่ ไม่หยาบคาย อดกลั้น ไม่แสดงความโกรธหรื อความไม่พอใจให้ปรากฏ
ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านการปกครองในสมัยสุ โขทัย โดยใน ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านการปกครองในสมัยสุ โขทัย ในสมัย
สมัยสุ โขทัยตอนต้นมีการปกครองแบบปิ ตุราชา ซึ่ งกษัตริ ยจ์ ะคอยดูแล พระรามาธิ บดีที่ 1 (อู่ทอง) แห่งกรุ งศรี อยุธยา ได้ยกทัพไปยึดเมืองพิษณุโลก
ประชาชนอย่างใกล้ชิดเปรี ยบเสมือนพ่อที่คอยปกครองดูแลลูก แสดงออกถึง ของอาณาจักรสุ โขทัย พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) กษัตริ ยข์ องสุ โขทัยใน
การที่กษัตริ ยท์ รงมีจิตใจที่อ่อนโยน และเต็มเปี่ ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา ขณะนั้น ทรงมีจิตใจที่สุขมุ อดกลั้นต่อสิ่ งที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้ส่งกองทัพไปยึด
ต่อประชาชน เมืองพิษณุโลกคืน แต่ทรงใช้วิธีการทางการฑูตไปเจรจาของเมืองพิษณุโลกคืน
แทน

6. ตบะ คือความเพียร หมายถึง การเพียรพยายามไม่ให้ความมัวเมาเข้าครอบงำ


จิตใจ ไม่ลุ่มหลงกับอบายมุขและสิ่ งชัว่ ร้าย ไม่หมกมุ่นกับความสุ ขสำราญ
ซึ่ งสอดคล้องกับพัฒนาการด้านเศรษฐกิจในสมัยสุ โขทัย ซึ่ ง
ประชาชนในสมัยสุ โขทัยมีทกั ษะ และความรู้ในการประกอบอาชีพ โดยรู ้จกั
การสร้าง ตระพัง และ สรี ดภงค์ ไว้กกั เก็บน้ำ เพื่อแก้ไขปั ญหาไมมีน ้ำไว้ใช้
อุปโภค บริ โภค และทำการเกษตรในหน้าแล้ง พร้อมทั้งประชาชนยังประกอบ
อาชีพอย่างสุ จริ ต ไม่ลุ่มหลงในอบายมุข ที่ก่อให้เกิดความเสื่ อมต่อตนเองและ
สังคม
โดย ครู ชัยธวัช พานิช

เพลงทศพิธราชธรรม
กับพัฒนาการอาณาจักรสุ โขทัย

You might also like