Professional Documents
Culture Documents
chonnanee,+ ($userGroup) ,+11 +ปิยพงศ์+แซ่ตั้ง+ (บทความวิจัย+คนนอก) +121-135
chonnanee,+ ($userGroup) ,+11 +ปิยพงศ์+แซ่ตั้ง+ (บทความวิจัย+คนนอก) +121-135
การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยา: การศึกษาระยะเริ่มต้น
A development of the delaying gratification scale and its psychometric
properties: A preliminary study
ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง1
Piyapong Saetang
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจ ในประเด็นของความตรง และความน่าเชื่อถือ
แบบวัดถูกสร้างบนพื้นฐานของแนวคิดเกี่ยวกับความยับยั้งชั่งใจที่มีความหมายถึง “กระบวนการของพลังความมุ่งมั่น
ภายในจิตใจ ที่แสดงออกโดยการอดทนอดกลั้น ต่อต้าน หรือชะลอแรงกระตุ้นที่ผลั กดันให้แสดงพฤติกรรมเพื่อบรรลุความ
พึงพอใจในทันทีทันใด อันเป็นผลที่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง และความคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่มีคุณค่ามากกว่าในอนาคต”
เก็บข้อมูลจากผู้ร่วมวิจัยจานวน 310 คน ที่เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยรามคาแหง (ชาย 61 คน หญิง
244 คน เพศทางเลือก 4 คน อายุเฉลี่ย 26.43 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 7.73) ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจและ
วิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบหลักเพื่อสกัดองค์ประกอบของแบบวัดความยับยั้งชั่งใจ ใช้การวิเคราะห์ความตรงเชิงเนื้อหา
และการวิเคราะห์ความสอดคล้องภายในเพื่อบ่งชี้คุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยา
ความตรงเชิ ง เนื้ อหาผ่ านการวิ เคราะห์ ดั ช นีความสอดคล้องมี ค่าอยู่ ระหว่ าง 0.6-1.0 ส่ ว นผลการวิ เคราะห์
องค์ประกอบเชิงสารวจพบว่าแบบวัดความยับยั้งชั่งใจมีจานวน 9 องค์ประกอบ จากจานวนคาถาม 36 ข้อ ซึ่งโครงสร้างทัง้
9 องค์ประกอบประกอบไปด้วย (1) พลังความมุ่งมั่น, (2) ความสามารถรอได้, (3) ความอดทนต่อการอยากรับประทาน
อาหาร, (4) ความอดทนต่อสิ่งยั่วยุด้านเพศ, (5) การไม่คานึงถึงผลที่ตามมา, (6) ความอดทนอดกลั้นเพื่อผลสัมฤทธิ์ทาง
การศึกษา, (7) ความอดทนอดกลั้นด้านการเงิน , (8) ความอดทนอดกลั้นเพื่อความสัมพันธ์ทางสังคม, และ (9) อคติส่วน
บุคคล ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนสะสมได้ถึงร้อยละ 59.562 แบบวัดความยับยั้งชั่งใจ
มีความน่าเชื่อถือเชิงความสอดคล้องภายในในเกณฑ์ดี (แอลฟ่าครอนบาครวมทั้งฉบับคือ .835 และในรายด้านอยู่ระหว่าง
.564-.841) ดังนั้นจึงสรุปได้ ว่าแบบวัดความยับยั้งชั่งใจสามารถใช้ประเมินความยับยั้งชั่งใจได้ รวมทั้งสามารถนาไป
ประยุกต์ใช้ในการวิจัยที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต
Abstract
The study aimed to develop the Delaying Gratification Scale (DGS) in terms of validity and
reliability. The test was developed based on the concept of delaying gratification as “The mental process
expressed by patients, resisting or slowing down the impulses that drive behavior to achieve immediate
gratification which results from consideration and expectations of more valuable results in the future”.
Data were collected from 310 Thai undergraduate students at Ramkhamhaeng university (61 males,
1 ภาควิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
121
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
female 244, and other 4 with average of 26.43 years of age, SD = 7.73). An exploratory factor analysis
(EFA) with extraction method of principle component analysis was performed to develop the DGS.
Content validity and internal consistency were examined to identify the psychometric properties of the
DGS
The content validity was evaluated using item-objective congruence (IOC) value, with the IOC
value of 0.60 - 1.0. The result of the EFA identified a nine factors structure for the DGS with 36 items.
The nine factors including (1) Will power, (2) Waiting ability, (3) Dietary restraint, (4) Sexual restraint, (5)
Regardless of the consequences, (6) Academic restraint, (7) Financial restraint, (8) Social relationship
restraint, (9) Personal bias together explained 59.562% of total variance. The DGS and its factors showed
good internal consistency (Cronbach’s alpha for the full DGS = .835 and ranged from .564 - .841 for the
nine factors). Therefore, it is concluded that the DGS can be used to assess delaying gratification
including able to be applied to related research in the future.
บทนา กระตุ้นที่ผลักดันให้แสดงพฤติกรรมเพื่อบรรลุความพึง
ในยุคที่อินเตอร์เนตเข้ามาเชื่อมโยงกับวัตถุต่าง พอใจในทันที โดยความคาดหวังถึงสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า
ๆ ในโลกของความเป็ น จริ ง ผ่ า นเทคโนโลยี ไ ร้ ส าย ในอนาคต ซึ่งความยับยั้งชั่งใจเป็นองค์ประกอบสาคัญ
อุ ป กรณ์ อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ จึ ง เป็ น สื่ อ กลางของความ ของการกากับควบคุมตนเอง และเอื้ออานวยให้บุคคล
สะดวกสบาย และมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจาวันของ พัฒนาชีวิตในหลายมิติทั้งเชิงสุขภาพ และกลไกปรับตัว
มนุษย์มากขึ้น การเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ อย่างสะดวกรวดเร็ว ทางสั ง คม นอกจากนี้ ยั ง ปรากฎงานวิ จั ย ที่ บ่ ง ชี้ ว่ า
ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อสินค้าผ่านคลังสินค้าออนไลน์ การ ความสามารถในการยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจช่ ว ยลดแนวโน้ ม
รั บ ส่ ง สิ น ค้ า อย่ า งรวดเร็ ว การรั บ ส่ ง ข้ อ ความ อี เ มล์ พฤติกรรมการใช้ความรุนแรง การติดสารเสพติด และ
รูปภาพ หรือการสนทนาวิดีโอออนไลน์อย่างทันทีทันใด สั ม พั น ธ์ กั บ การประสบความส าเร็ จ ทางวิ ช าการ
สิ่งเหล่านี้ทาให้มนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการ โดยเฉพาะในวิ ช าคณิ ต ศาสตร์ (Kumar & Pareek,
อย่ า งทั น ที ทั น ใด ปราศจากการรอคอย และค่ อ ย ๆ 2 0 1 8 ; Herndon, Bembenutty, & Gregoire Gill,
สูญเสียความอดทน หรือความยับยั้งชั่งใจลงไป 2015)
ในขณะที่ ก ารใช้ ชี วิ ต ประจ าวั น ของมนุ ษ ย์ มี การกระท าสิ่ ง ต่ า ง ๆ บนหลั กความพึ ง พอใจ
แนวโน้มที่จะเผชิญกับการเลือกที่จะตอบสนองความพึง (Pleasure principle) ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ซิก
พอใจแบบทันทีทันใด หรือชะลอมัน ออกไป เพื่อให้ได้ มันด์ ฟรอยด์ กล่าวว่า เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากอิทธิพล
ผลลัพธ์ที่ดีมากกว่าในภายหลัง เช่น การเก็บออมเงินไว้ จากสัญชาติญาณ และเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบ
ใช้ ย ามเกษี ย ณ หรื อ ยามฉุ ก เฉิ น แทนที่ จ ะใช้ เ งิ น เพื่ อ ทางบุ คลิ กภาพที่ เรีย กว่ า “Id” ที่ ท าหน้ า ที่ ต อบสนอง
ความสุขในปัจจุบัน หรือการหลีกเลี่ยงที่จะรับประทาน ความพึงพอใจและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด ฟรอยด์ได้
อาหารขยะที่ ท าลายสุ ข ภาพ เพื่ อ จะได้ มี สุ ข ภาพดี ใน เปรียบเทียบหลักความพึงพอใจกับหลักความเป็นจริง
อนาคต พฤติ ก รรมเหล่ า นี้ เ รี ย กว่ า ความยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจ (reality principle) เพื่ อ อธิ บ ายความสามารถในการ
(Delay of gratification) หมายถึ ง การต่ อ ต้ า นแรง ยับยั้งชั่งใจ เมื่อบางสถานการณ์ไม่สามารถตอบสนอง
122
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
123
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
124
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
3) ตั ว แปรที่ วั ด มี คุ ณ ลั ก ษณะเดี ย วกั น และ จริย ธรรมการวิ จั ย ในมนุ ษ ย์ มหาวิ ท ยาลั ย รามค าแหง
สั ม พั น ธ์ กั น โดยตรวจสอบจาก Bartletts test of และปรับปรุงโครงร่างวิจัยตามข้อเสนอคณะกรรมการฯ
sphericity โดยคณะอนุกรรมการจริยธรรมการวิจัยประจาสาขาที่
4) ประเมิ นความเหมาะสมของข้อมู ลในการ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง ได้รับรอง
วิเคราะห์องค์ประกอบจาก ดัชนี Kaiser-Meyer-Olkin โครงการวิจัยนี้ตามรหัสการรับรอง RU-HS-RESC/xd-
ขั้ น ตอนที่ 4 จั ด โครงสร้ า งของข้ อ ค าถามโดยการ 0177/62
วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจ 3. การเผยแพร่แบบวั ด ออนไลน์ แบ่ ง เป็ น 2
จุดประสงค์หลักของการทาการวิเคราะห์ปัจจัย ช่องทาง
องค์ประกอบคือการจัดกลุ่มและลดขนาดของตัวแปรให้ 3.1 เผยแพร่ QR code ในห้องบรรยาย โดย
อยู่ในขอบเขตของ “องค์ประกอบ” ที่เกิดจากการแยก เริ่มต้นจากกระบวนการขอความยินยอมจากนักศึกษา
ความแปรปรวนของตัวแปร ทาให้รูปแบบความสัมพันธ์ โดยผู้วิจัยหรือผู้ช่วยวิจัย ซึ่งติดต่อขออนุญาตอาจารย์ใน
ของตัวแปรง่ายต่อการตีความ ในการใช้การวิเคราะห์ กระบวนวิชาต่าง ๆ ของภาควิชาจิตวิทยา กระบวนการ
องค์ประกอบเชิงสารวจเพื่อพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่ง ขอความยินยอมเริ่มภายหลังการบรรยายเสร็จสิ้น โดย
ใจครั้ ง นี้ จะสกั ด องค์ ป ระกอบด้ ว ยวิ ธี Principle ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัย และเปิดโอกาสให้สอบถาม
component analysis หมุนแกนโดยวิธี Promax จากนั้นจึงการเผยแพร่แบบวัดออนไลน์ผ่าน QR code
ขั้ น ตอนที่ 5 ศึ ก ษาคุ ณ สมบั ติ ใ นการวั ด ด้ า นความ ทั้งนี้ในกระบวนวิชาที่ผู้วิจัยเป็นผู้สอน ผู้ช่วยวิจัยจะเป็น
น่าเชื่อถือ ผู้ขอความยินยอมแทนเท่านั้น โดยให้ผู้วิจัยออกจากห้อง
เมื่ อ จั ด องค์ ป ระกอบแล้ ว ผู้ วิ จั ย จึ ง ท าการ บรรยายเพื่อเลี่ยงโอกาสเกิดความขัดแย้งของประโยชน์
วิเคราะห์คุณสมบัติ ในการวัดด้านความน่าเชื่ อถื อของ ทับซ้อน และเปิดโอกาสให้กลุ่มตัวอย่างสามารถเลือกที่
แบบวั ด ความยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจ ใช้ วิ ธี ก ารวิ เ คราะห์ ค วาม จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมโครงการวิจัยได้อย่างอิสระ
สอดคล้ องภายใน (internal consistency reliability) 3.2 เผยแพร่ QR code ผ่ า นระบบเครือข่าย
โดยสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอน บาค (Cronbach’s สังคมออนไลน์ ผู้วิจัยแนบไฟล์เอกสารชี้แจงผู้เข้า ร่ว ม
alpha coefficient) ซึ่ ง สะท้ อ นความน่ า เชื่ อ ถื อ ของ วิจัย และใบอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมการ
จานวนข้อคาถามทั้งหมด และความน่าเชื่อถือรายด้าน วิจัยและจรรยาบรรณทางวิชาการ เพื่อแสดงรายละเอียด
ตามการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจในขั้นตอนที่ เกี่ยวกับโครงการวิจัย ให้ผู้ร่วมวิจัยได้พิจารณา
ผ่านมา 4. ในแบบวัดออนไลน์จะปรากฎข้อความเพื่อ
ขอความยินยอมเข้าร่วมการวิจัย หากนักศึกษาประสงค์
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล เข้าร่วมการวิจัยให้เลือกคาว่ายินยอม จากนั้นระบบจะ
ในการด าเนิ น การเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล จะมี น าเข้ า สู่ ก ารตอบแบบวั ด ต่ อ ไป หากกลุ่ ม ตั ว อย่ า งไม่
ขั้นตอนในการดาเนินการดังนี้ ประสงค์เข้าร่วมการวิจัยให้เลือกคาว่าไม่ยินยอม ระบบ
1. น าแบบวั ด ต้ น ฉบั บ ที่ ใ ห้ ผู้ เ ชี่ ย วชาญด้ า น การตอบแบบวัดจะยุติลง
จิตวิทยาหรือจิตเวชศาสตร์จานวนรวม 5 ท่านตรวจสอบ 5. นาผลการตอบแบบวัดมาทาการวิเคราะห์
ความตรงเชิงเนื้อหา และปรับปรุงตามข้อเสนอแนะแล้ว องค์ประกอบเชิงสารวจเพื่อจัดโครงสร้างแบบวัดความ
จัดทาเป็นแบบวัดในระบบออนไลน์ ยับยั้งชั่งใจ
2. นาโครงร่างวิจัยและแบบวัดความยับยั้งชัง่ ใจ 6. วิ เคราะห์ ความน่า เชื่อถือของแบบวัดด้วย
ต้ น ฉบั บ เข้ า พิ จ ารณาในที่ ป ระชุ ม คณะกรรมการ ก า ร ห า ค่ า สั ม ป ร ะ สิ ท ธิ์ แ อ ล ฟ า ข อ ง ค ร อ น บ า ค
125
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
(Cronbach’s alpha coefficient) ของคะแนนรายด้าน เวลา 127 ราย (ร้อยละ 41.1) อายุเฉลี่ยเท่ากับ 26.43 ปี
กับคะแนนรวมของแบบวัดทั้งฉบับ และมีค่าเฉลี่ยของเกรดเฉลี่ยรวมเท่ากับ 2.91 ซึ่งจานวน
กลุ่มตัวอย่างเพียงพอต่อการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิง
สถิติที่ใช้ในงานวิจัย สารวจ
1. เพื่อพรรณนาข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทั่วไป ในขั้นตอนแรกผู้วิจัยสร้างข้อคาถามขึ้นจานวน
ของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ 57 ข้ อ ตามนิ ย ามที่ ไ ด้ จ ากการทบทวนวรรณกรรมที่
ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เกี่ยวข้องกับความยับยั้งชั่งใจ จากนั้นจึงให้ผู้เชี่ยวชาญ
2. เพื่ อวิ เคราะห์ ความตรงเชิ ง เนื้ อหาใช้ ก าร ด้านจิตวิทยาและจิตเวชศาสตร์ จานวน 5 ท่านเป็นผู้
วิเคราะห์ดัชนีความสอดคล้อง ตรวจสอบความสอดคล้องของข้อคาถามกับนิยาม โดย
3. เพื่อจัดกลุ่มและลดขนาดตัวแปรที่ศึกษาโดย ใช้ดัชนีความสอดคล้องที่มีเกณฑ์ขั้นต่าที่ 0.6 ขึ้นไป เมื่อ
ใช้สถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจ พิ จ ารณาแล้ ว จึ ง เหลื อ ข้ อ ค าถามที่ มี ค วามสอดคล้ อ ง
4. เพื่อวิเคราะห์ความน่าเชื่ อถือใช้การหาค่า ระหว่างเนื้อหาและนิยามอยู่ทั้งสิ้น 50 ข้อ เพื่อนาเข้าสู่
สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ในคะแนนรวมและ การวิเคราะห์องค์ประกอบเพื่อค้นหาแนวทางลดขนาด
คะแนนรายด้านของแบบวัดทั้งฉบับ ข้อมูลจากตัวแปรเดิมที่มีอยู่ให้กลายเป็นองค์ประกอบ
และจัดหมวดหมู่ของคาถามให้สอดคล้องกัน ดังนั้นจึง
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล นาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3 ตอน ดังนี้
กลุ่ ม ตั ว อย่ า งในการวิ จั ย ครั้ ง นี้ ป ระกอบด้ ว ย ตอนที่ 1 ตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นของการ
นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคาแหง จานวน 310 คน ส่วน วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจ
ใหญ่เป็นเพศหญิงจานวน 244 คน (ร้อยละ 79.0) ส่วน ก่ อ นการวิ เ คราะห์ อ งค์ ป ระกอบเชิ ง ส ารวจ
ใหญ่สังกัดคณะศึกษาศาสตร์ 243 คน (ร้อยละ 79.4) มี จาเป็นต้องตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นก่อน เนื่องจาก
รายได้ต่อเดือนอยู่ในช่วง 5,001-15,000 บาท (ร้อยละ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจให้ความสาคัญกับ
37.2) มีรายจ่ายต่อเดือนอยู่ในช่วง 5,001-15,001 บาท คุ ณ ลั ก ษณะของตั ว แปร ผู้ วิ จั ย จึ ง ตรวจสอบข้ อ ตกลง
(ร้อยละ 51.5) ส่วนใหญ่มีสถานะเป็นนักศึกษาเรี ยนเต็ม เบื้องต้น ดังนี้
ตาราง 1 แสดงค่า Anti-image Correlation Matrices รายข้อ
ข้อที่ MSA ข้อที่ MSA ข้อที่ MSA ข้อที่ MSA ข้อที่ MSA
1 .816 11 .862 21 .784 31 .649 41 .868
2 .797 12 .917 22 .735 32 .836 42 .862
3 .764 13 .879 23 .781 33 .759 43 .884
4 .794 14 .863 24 .765 34 .705 44 .872
5 .735 15 .789 25 .784 35 .851 45 .734
6 .755 16 .813 26 .827 36 .756 46 .722
7 .840 17 .812 27 .823 37 .819 47 .711
8 .831 18 .790 28 .816 38 .748 48 .785
9 .886 19 .758 29 .768 39 .819 49 .740
10 .858 20 .840 30 .746 40 .872 50 .713
126
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
จากตาราง 2 แสดงค่า Kaiser-Meyer-Olkin 2.1 การคั ด เลื อ กข้ อ ค าถาม หลั ง ผ่ า นการ
Measure of Sampling Adequacy (KMO) เ ท่ า กั บ วิ เ คราะห์ ดั ช นี ค วามสอดคล้ อ งจากผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ ท าง
0.813 ซึ่ ง มากกว่ า 0.5 และถื อ ว่ า อยู่ ใ นเกณฑ์ ดี ม าก จิตวิทยาและจิตเวชจานวน 5 ท่าน โดยข้อที่มีค่าดัชนี
(Hair et. Al, 2010) ประกอบกับค่า Bartlett’s Test of ความสอดคล้องต่ากว่า 0.6 จะถูกตัดออก จึงมีข้อคาถาม
Sphericity เท่ า กั บ 5104.320 (P<.000) แสดงว่ า คงเหลือ 50 ข้อ จากฉบับดั้งเดิม 57 ข้อ ต่อมาเมื่อทา
เมตริกซ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรแตกต่างจากเมตริกซ์ การวิเคราะห์องค์ประกอบ ผู้วิจัยจะคัดเลือกข้อคาถามที่
เอกลักษณ์อย่างมีนัยสาคัญ และมีความเหมาะสมที่จะใช้ มีค่าน้าหนักองค์ประกอบที่ได้จากการสกัดองค์ประกอบ
การวิเคราะห์องค์ประกอบได้ (extraction) มากกว่า 0.4 เอาไว้ ซึ่งจากการพิจารณา
ตอนที่ 2 ผลการจัดองค์ประกอบเชิงสารวจ ค่า Communalities ของคาถามทั้ง 50 ข้อ พบว่าในทุก
ของแบบวัดความยับยั้งชั่งใจ ข้ อ มี ค่ า ระหว่ า ง 0.480-0.793 ดั ง นั้ น จึ ง สามารถใช้
เป้าหมายสาคัญของการวิเคราะห์องค์ประกอบ คาถามทั้ง 50 ข้อในการวิเคราะห์องค์ประกอบได้
เชิงสารวจคือ การค้นหาแนวทางลดขนาดข้อมูลจากตัว 2.2 การกาหนดจานวนองค์ประกอบ ในการ
แปรเดิมที่มีอยู่ให้กลายเป็น “องค์ประกอบ” หรือ “ชุด วิ จั ย ครั้ ง นี้ พิ จ ารณาจากค่ า Eigenvalue และ Scree
ตัวแปรใหม่ที่มีขนาดเล็กลง หรือมีมิติที่ย่นย่อลง” โดยคง test โดยใช้ เ กณฑ์ ใ นการตั ดสิ น ใจคื อ (1) มี ค่ า
ความสามารถในการอธิบายข้อมูลให้มากที่สุด กล่าวคือ Eigenvalue มากกว่ า 1 และ (2) พิ จ ารณาจานวนจุด
การค้ น หาโครงสร้ า งใหม่ บ นพื้ น ฐานของตั ว แปรเดิ ม แบ่งบนเส้น Scree plot ก่อนช่วงจุดแบ่งที่เป็นแนบราบ
(Hair et. al, 2010) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ในขั้นตอน ซึ่งแสดงดังภาพ 1
การวิเคราะห์องค์ประกอบสารวจครั้งนี้ประกอบไปด้วย
ขั้นตอนต่อไปนี้
127
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
128
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
129
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
130
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
องค์ ประกอบที่ 5 การไม่ คานึ งถึงผลที่ ตามมา (α=.684), ด้ านที่ 5 การไม่ ค านึ งถึ งผลที่ ตามมา (α=.
(regardless of the consequences) คือ การหลีกเลี่ ยง 564), ด้ านที่ 6 ความอดทนอดกลั้ นเพื่ อผลสั มฤทธิ์ทาง
ที่ จ ะคิ ด ไม่ ค านึ ง ถึ ง หรื อขาดตระหนั กถึ ง ผลลั พ ธ์ อั น การศึกษา (α=.682) , ด้านที่ 7 ความอดทนอดกลั้นด้าน
สืบเนื่องจากการกระทาของตนในอนาคต ประกอบด้วยข้อ การเงิ น (α=.610), ด้ านที่ 8 ความอดทนอดกลั้ นเพื่ อ
ที่ 4, 5, 6, และ 18 ความสัมพันธ์ทางสังคม (α=.610), และด้านที่ 9 อคติส่วน
องค์ ป ระกอบที่ 6 ความอดทนอดกลั้ น เพื่ อ บุคคล (α=.594) โดยค่าความน่าเชื่อถือระหว่าง 0.50-
ผลสั มฤทธิ์ ทางการศึ กษา ( academic restraints) 0.70 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (Hinton, Brownlow,
ความสามารถในการต่ อต้านหรือหั กห้ามใจโดยเล็ งเห็ น McMurray, & Cozen, 2004)
ผลลัพธ์หรือให้ความสาคัญกับการศึกษา ประกอบด้วยข้อ
ที่ 48, 49, และ 50 การอภิปรายผล
องค์ ป ระกอบที่ 7 ความอดทนอดกลั้ น ด้ า น 1. ประเด็ นระหว่ า งแนวคิด พื้นฐานที่ ใ ช้ พั ฒ นาและ
การเงิน (financial restraint) คือความ สามารถในการหัก แบบวัดความยับยั้งชั่งใจ
ห้ า มใจเพื่ อ อดออมและเพื่ อ ความมั่ ง คั่ ง ด้ า นการเงิ น แบบวั ด ความยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจที่ พั ฒ นาขึ้ น ฉบั บ นี้
ประกอบด้วยข้อที่ 15, 19, และ 20 เกิดขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งนิยาม
องค์ ป ระกอบที่ 8 ความอดทนอดกลั้ น เพื่ อ เชิ ง ปฏิ บั ติ ก ารบนพื้ น ฐานงานวิ จั ย ต่ า ง ๆ แม้ ว่ า จะมี
ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ท า ง สั ง ค ม ( social relationship การศึกษาเรื่องความยับยั้งชั่งใจมานานตั้งแต่ปี 1989 โดย
restraint) ความสามารถในการต่อต้านหรือหักห้ามใจ Walter Mischel และผู้ ร่วมงาน โดยท าการศึกษาอย่าง
เพื่อการคงไว้ซึ่งสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ประกอบด้วย ต่อเนื่อง แต่ยังปัจจุบันไม่มีทฤษฎีเกี่ยวกับความยับยั้งชั่ง
ข้อที่ 36, 37, และ 38 ใจโดยตรง ซึ่ งโดยส่ วนใหญ่ ความยั บยั้ งชั่ งใจมั กจะถู ก
องค์ ประกอบที่ 9 อคติ ส่ วนบุ คคล (personal อธิ บ ายโดยใช้ ท ฤษฎี ก ารเรี ย นรู้ ท างปั ญ ญา สั ง คม
bias) คื อความคิ ดโน้ มเอี ยงที่ เชื่ อว่ าการได้ รั บความพึ ง ( social cognitive theory) ข อ ง Albert Bandura
พอใจทันทีทันใดเป็นสิ่งมีคุณค่ามากกว่าการรอคอย และ (สมโภชน์ เอี่ ย มสุ ภ าษิ ต , 2556) เพื่ อ อธิ บ ายการ
ความเชื่ อ ว่ า ความอดทนอดกลั้ น เป็ น สิ่ ง ที่ ไ ม่ คุ้ ม ค่ า เปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของมนุษย์ โดยผ่านแนวคิดของ
ประกอบด้วยข้อที่ 17, 34, และ 35 การก ากั บ ตนเอง (self-regulation) ที่ เ ชื่ อ ว่ า มนุ ษ ย์
ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของแบบวัด สามารถท าบางสิ่ ง บางอย่ า งเพื่ อ ควบคุ ม ความคิ ด
ความยับยั้งชั่งใจ ความรู้สึก และการกระทาของตนเอง ด้วยผลกรรมที่เขา
การวิเคราะห์ ความน่ าเชื่ อถือด้ วยวิธี วิ เคราะห์ หามาเอง รวมถึงทฤษฎีในเชิงอาชญาวิทยาเช่น ทฤษฎีการ
สัมประสิทธิ์ความสอดคล้องภายในของแอลฟ่าครอนบาค ควบคุม (containment theory) ของ Reckless (อุ นิ ษา
ดังแสดงในตาราง 3 พบว่าแบบวัดความยับยั้งชั่งใจฉบับ เลิศโตมรกุล และอัณณพ ชูบารุง, 2561) ที่กล่าวถึงกลไก
เต็ ม มี ค่ า ความน่ า เชื่ อ ถื อ เท่ า กั บ .835 อยู่ ในเกณฑ์ ดี ในการควบคุมพฤติกรรมที่อ่อนแอ ไม่สามารถต่อต้านแรง
ส่วนในรายองค์ประกอบพบว่ามี 3 องค์ประกอบที่ มี ค่า กดดันภายนอก แรงดึงดูดจากภายนอก และแรงผลักดัน
ความน่าเชื่อถือในระดับดี ได้แก่ ด้านที่ 1 พลังความมุ่งมั่น จากภายใน เป็ น ที่ ม าของการกระท าผิ ด กฎหมาย
(α=.841), ด้านที่ 2 ความสามารถรอได้ (α=.791) และ ซึ่ งแนวคิดเกี่ ยวกับแรงผลั กดั นภายในตั วปั จเจกบุ ค คล
ด้านที่ 3 ความอดทนต่อความอยากรับประทานอาหาร ครอบคลุ ม ถึ ง ความสามารถในการควบคุ ม ตนเอง
(α=.767) ส่วนด้านที่มีความน่าเชื่อถือในระดับยอมรับได้ และความอดทนอดกลั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความยับยั้งชั่ง
มี 6 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 4 ความอดทนต่อสิ่งยั่วยุด้านเพศ ใจเช่นกัน นอกจากนี้ทฤษฎีเกี่ยวกับการยับยั้งชั่งใจเรื่อง
131
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
132
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
เนื่ องจากแบบทดสอบที่ ถือว่ ามี ความตรงเชิ งเนื้ อหาใน การเป็ น นั กศึกษาที่ยั งไม่ มี รายได้ของตนเอง อาจเป็น
ระดับดีสามารถนาไปวัดผลได้ต้องมีค่า IOC เกินกว่า 0.5 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ จึงอาจ
ขึ้นไป (บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูล, 2555) จากนั้นผู้วิจัยจึงทา กาหนดเป็นตัวแปรในการศึกษาครั้งต่ อไป นอกจากนี้
การปรับปรุงข้อคาถามตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ จึง ปั จ จั ย อื่ น ๆ เช่ น ปั ญ หาเชิ ง สุ ขภาพกาย สุ ขภาพจิ ต
กล่าวได้ว่าข้อคาถามทั้ง 50 ข้อมีคุณภาพความสอดคล้อง ความสนใจ รวมทั้งความแตกต่างกันของบริบทเชิงสังคม
กับวัตถุประสงค์ถือว่ามีความตรงเชิงเนื้อหาสามารถนาไป และวัฒนธรรม อาจมีผลต่อความยับยั้งชั่งใจเช่นกัน
วัดความยับยั้งชั่งใจได้ โดยสรุป แบบวั ด ความยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจฉบั บ นี้มีค่า
ส่วนค่าความน่าเชื่อถือของแบบวัดความยับยั้ง ความตรงและค่าความน่าเชื่อถือที่ดีตามเกณฑ์ที่กาหนด
ชั่งใจโดยการคานวณสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค โดย ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสาคัญของเครื่องมือวัดที่มีคุณภาพ
คะแนนรวมของแบบวั ดทั้ งฉบั บได้ ค่ า ความน่ า เชื่ อถื อ แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจใน
เท่ากับ .835 จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และค่าความน่าเชื่อถือ ครั้งนี้เป็นการพัฒนาในระยะเริ่มแรก จึงมีจุดที่ควรนามา
ของแบบวัดเป็นรายด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 พลังความมุ่งมั่น, ปรับปรุงพัฒนาต่อไป
ด้านที่ 2 ความสามารถรอได้, ด้านที่ 3 ความอดทนต่อการ
อยากรับประทานอาหาร มีค่าความน่าเชื่อถือเท่ากับ .841, ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย
.791, และ .767 ตามล าดั บ จั ดว่ ามี ความน่ าเชื่ อถือใน ความยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจเป็ น คุณ ลั ก ษณะที่ ส าคั ญ ใน
เกณฑ์ดีทั้ง 3 ด้าน ส่วนในแบบวัดรายด้านอื่น ๆ ได้แก่ การดาเนินชีวิต ดังจะเห็นได้จากข้อคาถามของแบบวัดที่
ด้านที่ 4 ความอดทนต่อสิ่งยั่วยุด้านเพศ, ด้านที่ 5 การไม่ สะท้อนความยับยั้งชั่งใจออกมาได้จากหลายกิจ กรรม
คานึงถึงผลที่ตามมา, ด้านที่ 6 ความอดทนอดกลั้ นเพื่ อ การใช้ชีวิต ทั้งการเรียน การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา, ด้านที่ 7 ความอดทนอดกลั้น การกิน การดูแลสุขภาพ เป็นต้น ดังนั้นจึ งควรส่งเสริม
ด้ า นการเงิ น , ด้ า นที่ 8 ความอดทนอดกลั้ น เพื่ อ พัฒนาความยับยั้งชั่งใจตั้งแต่เป็นนักศึกษาผ่านโปรแกรม
ความสั มพั นธ์ ทางสั งคม, และด้ านที่ 9 อคติ ส่ วนบุ คคล ส่งเสริมพัฒนาทางจิตวิทยา และใช้แบบวัดความยับยั้ง
รวมจานวน 6 ด้านมีค่าความน่าเชื่อถือเท่ากับ .684, .564, ชั่งใจเป็นเครื่องมือในการประเมินระดับความยับยั้งชั่งใจ
.682, .610, .610, และ .594 ตามล าดั บ โดยค่ าความ จะเป็นประโยชน์ต่อการให้ความช่วยเหลือ การพัฒนา
น่าเชื่อถือระหว่าง 0.50-0.70 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับ แนวทางหรื อ โปรแกรมส่ ง เสริ ม พั ฒ นาศั ก ยภาพของ
ได้ (Hinton, Brownlow, McMurray, & Cozen, 2004) บุคคลต่อไป
ในด้ านข้ อจ ากั ดของการพั ฒนาแบบวั ดความ ข้อเสนอแนะสาหรับการวิจัยครั้งต่อไป
ยับยั้งชั่งใจฉบับนี้ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็น ควรน าแบบวั ด ความยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจฉบั บ นี้ ไ ป
นักศึกษาที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และตอบแบบสอบถามผ่าน วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันเพื่อตรวจสอบความตรง
ระบบออนไลน์ แม้ว่าลักษณะทางประชากรศาสตร์ของ เชิงโครงสร้างของแบบวัด และพัฒนาคุณสมบัติของแบบ
นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคาแหงจะมีความหลากหลาย วั ด ในด้ า นอื่ น ๆ รวมทั้ ง การพั ฒ นาเกณฑ์ ม าตรฐาน
ทั้งสถานภาพการทางาน และอายุ แต่กลุ่มตัวอย่างส่วน ตลอดจนการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาโปรแกรมสร้างเสริม
ใหญ่เป็นเพศหญิงจึงขาดความสมดุลเรื่องเพศ ส่วนด้าน ความยับยั้งชั่งใจตามบริบทที่เหมาะสมกับสภาพการณ์
การประกอบอาชีพ และการมีรายได้เป็นของตนเองกับ
133
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
รายการอ้างอิง
ณัชชา ชุนช่วยเจริญ. (2557). ผลการปรึกษากลุ่มตามทฤษฎีเกสตัลท์ต่อการยับยั้งชัง่ ใจของเยาวชนที่กระทาผิดซ้า.
วิทยานิพนธ์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูล. (2555). การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย: คุณสมบัติการวัดเชิงจิตวิทยา.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เสกสิทธิ์ สวรรยาธิปัติ. (2554). การกระทาผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ยาเสพติด และชีวิตและร่างกาย (คดีร้ายแรง) ของเด็กและ
เยาวชนในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล: การศึกษาวิจัยโดยใช้ทฤษฎีการควบคุมตนเอง. วิทยานิพนธ์
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. (2556). ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม. (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อุนิษา เลิศโตมรกุล และอัณณพ ชูบารุง. (2561). อาชญากรรมและอาชญาวิทยา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Cohen, I. S. (2017). The benefits of delaying gratification: Are you avoiding pain or living with purpose?.
Retrieved July 14, 2019, From https://www.psychology today.com/intl/blog/your-emotional-
meter/201712/the-benefits-delaying-gratification
Dawd, A. M. (2017). Delay of gratification: predictors and measurement issues. ActaPsychopathologica,
3,(S2:81) 1-7.
Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., & Anderson, R. E. (2010). Multivariate data analysis (seventh-
edition). Upper Saddle River, New Jersey: Pearson education
Herndon, J. S., Bembenutty, H. & Gregoire Gill, M. (2015). The role of delay of gratification, substance
abuse, and violent behavior on academic achievement of disciplinary alternative middle
school students. Personality and Individual Differences, 86, 44-49.
Hinton, P. R., Brownlow, C., McMurray, I., & Cozen, B. (2004). SPSS explained. London: Routledge
Hoerger, M., Quirk, S. W., & Weed, M. C. (2011). Development and validation of the Delaying
Gratification Inventory. Psychol Assess, 23(3), 725-738.
Kranenbarg, M. W., Holt, T. J., & Gelder, J. L. (2017). Offending and victimization in the digital age:
comparing correlates of cybercrime and traditional offending-only, victimization-only and the
victimization-offending overlap, Deviant Behavior, DOI: 10.1080/01639625.2017.1411030
Kumar, S. & Pareek, K. (2018). Role of ability to delay gratification and regulate emotions in
adolescents’ psychological well-being. Indian journal of positive psychology, 9(2), 215-218.
Liu, X., Wang, L. & Jiang, J. (2013). Generalizability of delay of gratification: dimensionality and function.
Psychological Reports, 113(2), 464-485.
Ogdon, J. (1994). Restraint theory and its implications for obesity treatment. Clinical psychology and
psychotherapy, 1(4), 191-201.
134
วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร การพัฒนาแบบวัดความยับยั้งชั่งใจและคุณสมบัติในการวัดทางจิตวิทยาฯ
ปีที 10 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562) ปิยพงศ์ แซ่ตั้ง
.................................................................................................................................................................................................................
Yong, A G. & Pearce, S. (2013). A beginner’s guide to factor analysis: Focusing on exploratory factor
analysis. Tutorials in quantitative methods for psychology. 9(2), 79-94
135