Professional Documents
Culture Documents
ตัวประกอบ ห.ร.ม. ค.ร.น.
ตัวประกอบ ห.ร.ม. ค.ร.น.
สาระสําคัญ/ความคิดรวบยอด
1. ตัวประกอบของจํานวนนับใด ๆ คือ จํานวนนับที่หารจํานวนนับนั้นได้ลงตัว
2. จํานวนนับที่มากกว่า 1 และมีตัวประกอบเพียงสองตัว คือ 1 และตัวมันเอง เรียกว่า
จํานวนเฉพาะ และตัวประกอบที่เป็นจํานวนเฉพาะ เรียกว่า ตัวประกอบเฉพาะ
3. การเขียนจํานวนนับในรูปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ เรียกว่า การแยกตัวประกอบ
4. จํานวนนับที่หารจํานวนตั้งแต่สองจํานวนขึ้นไปได้ลงตัว เรียกว่า ตัวหารร่วม หรือ
ตัวประกอบร่วมของจํานวนเหล่านั้น ตัวหารร่วมที่มากที่สุด เรียกว่า ตัวหารร่วมมาก
ใช้อกั ษรย่อว่า ห.ร.ม.
5. ตัวคูณร่วมของจํานวนนับตั้งแต่สองจํานวนขึ้นไป เป็นจํานวนนับที่จํานวนเหล่านั้นหารลงตัว
6. ตัวคูณร่วมที่น้อยที่สุด เรียกว่า ตัวคูณร่วมน้อย ใช้อักษรย่อว่า ค.ร.น.
ตัวประกอบของจํานวนนับ และการหาตัวประกอบ
ตัวอย่างที่ 1 จงหาตัวประกอบของ 24 โดยวิธีการหาผลหาร
วิธีทํา การหาตัวประกอบของ 24 โดยวิธีหาผลหาร
ตัวหาร ตัวตั้ง ผลหาร
1 24 24
2 24 12
3 24 8
4 24 6
จากตาราง จะเห็นว่า 1, 2, 3, 4, 6, 8, 12, 24 ต่างก็หาร 24 ได้ลงตัว
ดังนั้น 1, 2, 3, 4, 6, 8, 12, 24 เป็นตัวประกอบของ 24
ตัวอย่างที่ 2 จงหาตัวประกอบทั้งหมดของ 18
1 เป็นตัวประกอบของ 18 เพราะ 18÷1 = 18 ซึ่งหารได้ลงตัว
2 เป็นตัวประกอบของ 18 เพราะ 18÷2 = 9 ซึ่งหารได้ลงตัว
3 เป็นตัวประกอบของ 18 เพราะ 18÷3 = 6 ซึ่งหารได้ลงตัว
6 เป็นตัวประกอบของ 18 เพราะ 18÷6 = 3 ซึ่งหารได้ลงตัว
9 เป็นตัวประกอบของ 18 เพราะ 18÷9 = 2 ซึ่งหารได้ลงตัว
18 เป็นตัวประกอบของ 18 เพราะ 18÷18 = 1 ซึ่งหารได้ลงตัว
ดังนั้น 1, 2, 3, 6, 9, 18 เป็นตัวประกอบทั้งหมดของ 18
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 71
สาขาคณิตศาสตร์ประถมศึกษา สสวท.
จํานวนเฉพาะ ตัวประกอบเฉพาะ
จํานวนนับที่มากกว่า 1 และมีตัวประกอบเพียงสองตัว คือ 1 และตัวมันเอง เรียกว่า จํานวนเฉพาะ
ตัวประกอบที่เป็นจํานวนเฉพาะ เรียกว่า ตัวประกอบเฉพาะ
การแยกตัวประกอบ
พิจารณาประโยคสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ต่อไปนี้
(1) 30 = 2 × 15
(2) 49 = 7 × 7
(3) 80 = 2 × 2 × 2 × 2 × 5
(4) 240 = 2 × 2 × 2 × 30
- ประโยคสัญลักษณ์การคูณที่เขียนในรูปการแยกตัวประกอบ ได้แก่ ประโยคสัญลักษณ์ที่ 2, 3
- ประโยคสัญลักษณ์การคูณที่ 1 และ 4 ไม่อยู่ในรูปการแยกตัวประกอบ เพราะ 15
และ 30 ไม่ใช่ จํานวนเฉพาะ
ดังนั้นสรุปได้ว่า
วิธีที่ 2 โดยใช้แผนภาพ
จงแยกตัวประกอบของ 136
เขียนแผนภาพได้ดังนี้
136 หรือ 136
2 × 68 4 × 34
2 × 2 × 34 2 × 2 × 2 × 17
2 × 2 × 2 × 17
ดังนั้น 136 = 2 × 2 × 2 × 17
ตัวหารร่วมมาก (ห.ร.ม.)
ตัวประกอบของ 12 ตัวประกอบของ 18
1 2 1 2
3 3
4 6 6 9
12 18
1
4 2 9
12 3 18
6
- ตัวประกอบของ 12 ได้แก่ 1, 2, 3, 4, 6, 12
- ตัวประกอบของ 18 ได้แก่ 1, 2, 3, 6, 9, 18
- ตัวประกอบร่วมของ 12 และ 18 ได้แก่ 1, 2, 3, 6
- ตัวประกอบร่วมของ 12 และ 18 ที่มีค่ามากที่สุด คือ 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 73
สาขาคณิตศาสตร์ประถมศึกษา สสวท.
24 = 2 × 2 × 2 × 3
60 = 2 × 2 × 3 × 5
84 = 2 × 2 × 3 × 7
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 75
สาขาคณิตศาสตร์ประถมศึกษา สสวท.
วิธีคิดที่ 2 2 ) 48 60 108
2 ) 24 30 54
3 ) 12 15 27
4 5 9
ห.ร.ม. คือ 2 × 2 × 3 = 12
ดังนั้น จะแบ่งเชือกได้ยาวที่สุด เส้นละ 12 เมตร
เชือกเส้นแรกแบ่งได้ 48 = 4 เส้น
12
60
เชือกเส้นที่สองแบ่งได้ 12 = 5 เส้น
เชือกเส้นที่สามแบ่งได้ 108
12 = 9 เส้น
ดังนั้น จะได้เชือกทั้งหมด 4 + 5 + 9 = 18 เส้น
แสดงว่าจะแบ่งเชือกได้ยาวเส้นละ 12 เมตร และได้เชือกทั้งหมด 18 เส้น
ตัวคูณร่วมน้อย (ค.ร.น.)
แผนภาพแสดงพหุคูณของจํานวนนับ 4 และ 6
จากแผนภาพ
จํานวนนับที่เป็นทั้งพหุคูณของ 4 และ 6 ได้แก่ 12, 24 และ 36
จํานวนนับที่น้อยที่สุดที่เป็นทั้งพหุคูณของ 4 และ 6 คือ 12 เรียก 12 ว่าเป็นตัวคูณร่วมน้อย
หรือ ค.ร.น. ของ 4 และ 6
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 79
สาขาคณิตศาสตร์ประถมศึกษา สสวท.
ตัวอย่างที่ 2 จงหาผลลบ 17 - 51
18 90
วิธีทํา ค.ร.น. ของ 18 และ 90 คือ 90
ดังนั้น 17 51 17 × 5 51
18 - 90 = 18 × 5 - 90
85 - 51
= 90 90
= 34
90
= 17
45
ตัวอย่างที่ 3 จงหาค่าของ ( 13 - 27 ) + 79
วิธีทํา ค.ร.น. ของ 3, 7 และ 9 คือ 63
ดังนั้น ( 13 - 27 ) + 79 = ( 1×21 - 2×9 ) + 7×7
3×21 7×9 9×7
= ( 63 - 18
21 49
63 ) + 63
= 633 + 49
63
= 52
63
ตัวอย่างที่ 4 จงหาค่าของ 23 5 37
36 + 12 - 48
วิธีทํา ค.ร.น. ของ 36, 12 และ 48 คือ 144
ดังนั้น 23 5 37 23×4 5×12 37×3
36 + 12 - 48 = 36×4 + 12×12 - 48×3
92 + 60 - 111
= 144 144 144
41
= 144
80 การอบรมครูด้วยระบบทางไกล หลักสูตรมาตรฐานการอบรมครู ปีที่ 2 (ฉบับปรับปรุง)
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษา
6. ตัวประกอบ ห.ร.ม. และ ค.ร.น. คณิตศาสตร์ประถมศึกษา
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 81
สาขาคณิตศาสตร์ประถมศึกษา สสวท.
ความรู้เพิ่มเติมสําหรับผูส้ อน
1 2 3 4 5 1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 26 27 28 29 30
31 32 33 34 35 31 32 33 34 35
36 37 38 39 40 36 37 38 39 40
41 42 43 44 45 41 42 43 44 45
46 47 48 49 50 46 47 48 49 50
จํานวนนับที่เป็นจํานวนเฉพาะมีจํานวนมากน้อยเพียงใด... ???...
จากการพิสูจน์โดยใช้ตะแกรงของเอราโตสเทเนส ทําให้ทราบว่า
จํานวนเฉพาะมีได้ไม่จํากัดจํานวน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 83
สาขาคณิตศาสตร์ประถมศึกษา สสวท.
ขั้นที่ 2 3 เป็นจํานวนเฉพาะวงเอาไว้
ตัดจํานวนที่มี 3 เป็นตัวประกอบทิ้ง
1 6 11 16 21 26
2 7 12 17 22 27
3 8 13 18 23 28
4 9 14 19 24 29
5 10 15 20 25 30
ขั้นที่ 3 5 เป็นจํานวนเฉพาะวงเอาไว้
ตัดจํานวนที่มี 5 เป็นตัวประกอบทิ้ง
1 6 11 16 21 26
2 7 12 17 22 27
3 8 13 18 23 28
4 9 14 19 24 29
5 10 15 20 25 30
ทําเช่นนี้ไปเรื่อยๆ โดยวงกลมล้อมรอบจํานวนเฉพาะและตัดจํานวนที่ไม่ใช่จํานวนเฉพาะทิ้ง
ดังนั้น จํานวนเฉพาะระหว่าง 1 ถึง 30 คือ 2, 3, 5, 7, 11, 13, 17, 19, 23, 29
• ในกรณีเมื่อแยกตัวประกอบแล้วได้ตัวประกอบเฉพาะซ้ํากัน เราจะเขียนตัวประกอบเฉพาะ
ที่ซ้ํากันในรูปของเลขยกกําลัง โดยให้ตัวประกอบเฉพาะเป็น ฐาน และจํานวนตัวที่ซ้ํากันเป็น
เลขชี้กําลัง เช่น
108 = 3 × 3 ×3 × 2 × 2
= 33 × 22
ดังนั้น an = a × a × a ×a × ... × a ซึ่งเรียกว่า เลขยกกําลัง
n จํานวน
โดย a เป็นฐาน
n เป็นเลขชี้กําลัง
n
a อ่านว่า เอยกกําลังเอ็น
33 อ่านว่า สามยกกําลังสาม
การตรวจสอบจํานวนเฉพาะ
การตรวจสอบว่าจํานวนที่กําหนดให้เป็นจํานวนเฉพาะหรือไม่ ให้ปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 หาจํานวนเฉพาะทุกจํานวนที่ยกกําลังสองแล้วได้ผลลัพธ์ไม่เกินจํานวนที่ต้องการตรวจสอบ
ขั้นที่ 2 นําจํานวนเฉพาะทุกจํานวนที่หาได้ในขั้นที่ 1 ไปหารจํานวนที่ต้องการตรวจสอบ
– ถ้ามีจํานวนเฉพาะตัวใดตัวหนึ่ง หารจํานวนที่ต้องการตรวจสอบได้ลงตัว
แสดงว่า จํานวนที่ต้องการตรวจสอบนั้น ไม่เป็นจํานวนเฉพาะ
– ถ้าไม่มีจํานวนเฉพาะตัวใด หารจํานวนที่ต้องการตรวจสอบได้ลงตัว
แสดงว่า จํานวนที่ต้องการตรวจสอบนั้น เป็นจํานวนเฉพาะ
ตัวอย่างที่ 1 จงตรวจสอบว่า 221 เป็นจํานวนเฉพาะหรือไม่
ขั้นที่ 1 หาจํานวนเฉพาะทุกจํานวนที่ยกกําลังสองแล้วได้ผลลัพธ์ไม่เกิน 221
เพราะว่า 22 = 4
32 = 9
52 = 25
72 = 49
112 = 121
132 = 169
172 = 289 (เกิน 221)
ดังนั้น จํานวนเฉพาะทุกจํานวนที่ยกกําลังสองแล้วได้ผลลัพธ์ไม่เกิน 221 ได้แก่ 2, 3, 5, 7, 11 และ 13
ขั้นที่ 2 นํา 2, 3, 5, 7, 11 และ 13 ไปหาร 221 พบว่า
221 ÷ 13 = 17 (หารลงตัว)
ดังนั้น 221 ไม่เป็นจํานวนเฉพาะ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 85
สาขาคณิตศาสตร์ประถมศึกษา สสวท.
9 36 4
36 ขั้นตอนที่ 2 นําเศษที่เหลือในขั้นตอนที่ 1 คือ 36 ไปหาร 45
0 จะได้ 45 ÷ 36 ได้ 1 เศษ 9
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 87