Professional Documents
Culture Documents
ch5 1H-NMR Part II
ch5 1H-NMR Part II
โปรตอนนิวเคลียร์แมกนีทิกเรโซแนนซ์ ตอนที่ 2
โปรตอนสมมูล
โปรตอนสมมูล (equivalent proton) คือ โปรตอนที่มีสภาพแวดล้อมทางแม่เหล็กและ/หรือ
ทางเคมีเหมือนกัน กล่าวคือโปรตอนถูกกาบังจากสนามแม่เหล็กของอิเล็กตรอนเท่ากันนั่นเอง ส่งผลให้
โปรตอนที่สภาวะสปิน +1/2 ได้รับความเข้มสนามแม่เหล็กภายนอกเท่ากัน โปรตอนจึงปรากฏสัญญาณ
เรโซแนนซ์เหมือนกัน ในทางตรงข้ามโปรตอนที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน เรียกว่า โปรตอนไม่สมมูล
(nonequivalent proton) จะปรากฏสัญญาณเรโซแนนซ์ ที่ความถี่ต่างกัน ดังนั้น จานวนสัญญาณที่
ปรากฏในสเปกตรัม NMR จะแสดงถึงจานวนของกลุ่มโปรตอนไม่สมมูลในโครงสร้าง
ตัวอย่างเช่น สเปกตรัมของกรดแอซีติก (Acetic acid) ดังภาพที่ 5.1 ปรากฏ 2 สัญญาณ แสดง
ว่าในโครงสร้างมีโปรตอนไม่สมมูลจานวน 2 กลุ่ม ได้แก่ หมู่ CH3 และหมู่ COOH ซึ่งโปรตอนทั้ง 3 ตัว
ของหมู่เมทิลเป็นโปรตอนสมมูล จึงปรากฏสัญญาณที่ (ppm) 2.31 (CH3) เหมือนกัน
in CDCl3
O
H3C O-H
Acetic acid CH3
COOH
12 10 8 6 4 2 0
(ppm)
การตรวจสอบโปรตอนสมมูลในโครงสร้าง ดังนี้
1. อะตอมที่ต่อกับโปรตอน (connecting atom to proton) ส่วนใหญ่จะใช้วิธีนี้ตรวจสอบ
โปรตอนสมมูล เช่น สเปกตรัม 1H NMR ของเอทานอลปรากฏ 3 สัญญาณ กล่าวคือ โปรตอน H-1 H-2
และ H-3 สมมูลกัน เนื่องจากโปรตอนอยู่บนอะตอมคาร์บอนที่ ต่อกับอะตอมคาร์บอนของหมู่ CH2-OH
เหมือนกัน ปรากฏ 1 สัญญาณ ส่วนโปรตอน H-4 และ H-5 สมมูลกัน เนื่องจากต่อกับอะตอมออกซิเจน
และคาร์บอนเหมือนกัน ปรากฏ 1 สัญญาณ และโปรตอนของหมู่ OH ปรากฏอีก 1 สัญญาณ ดังภาพที่
5.2
H1 H5
H2 C C OH H1 = H2 = H3 and H4 = H5as a equiv. proton
H3 H4 (3 signals of OH, CH2 and CH3)
Ethanol
ภาพที่ 5.2 โปรตอนสมมูลของเอทานอล
mirror plane
H H2 H1 = H2 = H3 = H4and Ha = Hb as a equiv. proton
HaO 1 OHb
H3 H4 (2 signals)
1,2-diol ethane
ภาพที่ 5.3 ระนาบกระจกเงาของ 1,2-ไดอออลอีเทน
2 1
Br NO2 C2 H1 = H3 and H2 = H4 as a equiv. proton
4 3 1800 (2 signals)
p-Bromo nitrobenzene
ภาพที่ 5.4 การหมุนรอบแกน C2 ของพารา-โบรโมไนโทรเบนซีน
พิจารณาโปรตอนสมมูล ดังนี้
โครงสร้างเมทา-ไซลีนมีระนาบกระจกเงาทาให้หมู่เมทิลทั้งสองหมู่และโปรตอน H-1 กับ H-3
เป็นภาพในกระจกเงาซึ่งกันและกัน มีสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน ปรากฏ 2 สัญญาณ
โปรตอน H-4 ต่อกับหมู่ CH3 ส่วน H-2 ต่อกับโปรตอน H-1 และ H-3 ปรากฏ 2 สัญญาณ
สรุปว่า สเปกตรัม 1H NMR ของเมทา-ไซลีนจะปรากฏ 4 สัญญาณ ที่ (ppm) 2.28 (2xCH3)
6.94 (H-1 และ H-3) 6.96 (H-4) และ 7.71 (H-2) (Chemical Book, 2016j)
โครงสร้างเททระไฮโดรฟูแรนสมมาตรและมีระนาบกระจกเงา ทาให้โปรตอนเมทิลีนของแต่ละ
อะตอมคาร์บอนสมมูลกัน ดังนี้
โปรตอน H-1 H-2 H-3 และ H-4 ต่อกับอะตอม O และ CH2 เหมือนกัน จึงเป็นโปรตอนสมมูล
ปรากฏ 1 สัญญาณ
ส่วนโปรตอน H-5 กับ H-6 สมมูลกัน ซึ่งต่อกับ CH2 (H-1 = H-2 = H-3 = H-4) จึงปรากฏ 1
สัญญาณ
สรุปว่า สเปกตรัม 1H NMR ของเททระไฮโดรฟูแรนจะปรากฏ 2 สัญญาณ ที่ (ppm) 1.84
(CH2CH2) และ 3.73 (CH2-O) (Chemical Book, 2017k)
เป็นตัวอย่างกรณีโครงสร้างเป็นวงขนาดสามเหลี่ยมและมีหมู่แทนที่
โปรตอน H-1 ต่อกับ CH2 และอยู่ด้านเดียวกับ NO2 ปรากฏ 1 สัญญาณ
โปรตอน H-2 และ H-3 เป็นเมทิลีนโปรตอนอยู่ในวง ซึ่งมีสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน กล่าวคือ
โปรตอน H-2 อยู่ด้านเดียวกับ CH2CH3 และ COOH ส่วนโปรตอน H-3 อยู่ด้านเดียวกับ NO2 และ H
จึงปรากฏ 2 สัญญาณ
โปรตอน 3 ตัว ของหมู่ CH3 ต่อกับ CH2 เหมือนกัน จะปรากฏ 1 สัญญาณ
โปรตอน 2 ตัว ของ CH2 ต่อกับ CH3 จะสมมูลกัน ปรากฏ 1 สัญญาณ
สรุปว่า สเปกตรัม 1H NMR ของกรดโคโรนามิกจะปรากฏ 5 สัญญาณ ปรากฏที่ (ppm)
0.82 (3H, CH2CH3), 1.35-1.54 (3H, CH2CH3 และ CHHCN) และ 1.54-1.68 (2H, CHHCN และ
CH3CH2CH) (Adams, et al., 2003, p. 9440)
5
1
กาหนดโครงสร้าง จงหาโปรตอนสมมูลและบอกจานวนสัญญาณที่ปรากฏในสเปกตรัม H NMR
O
O H NH
S O
(1) (2) (3) (4)
Br
Br Br
(5) (6) (7) (8)
OH O O
Cl Cl Cl
O H
(9) (10) (11) (12)
6
การสมมูลทางแม่เหล็กและการสมมูลทางเคมี
โปรตอนสมมูลในโครงสร้างจะปรากฏสัญญาณเรโซแนนซ์ที่ความถี่เดียวกัน ซึ่งโปรตอนเหล่านั้น
มีสิ่งแวดล้อมเหมือนกันอาจเป็นการสมมูลทางแม่เหล็ก (magnetic equivalence) และ/หรือการสมมูล
ทางเคมี (chemical equivalence) ก็ได้ พิจารณาความแตกต่างกัน ดังนี้
โปรตอนสมมู ล ทางแม่เ หล็ ก จะมี ค่ า การเลื่ อ นทางเคมี ( (ppm)) และค่ า คงตั ว การคู่ ค วบ
(coupling constant, J (Hz)) เท่ากัน เช่น 1,2,3-ไทรโบรโมเบนซีน (1,2,3-Tribromobenzene) ซึ่ง
โมเลกุลมีระนาบกระจกเงา ดังภาพที่ 5.5 ทาให้โปรตอน H-1 และ H-3 สมมูลกัน ซึ่งทั้งโปรตอน H-1
และ H-3 จะคู่ควบกับโปรตอน H-2 มีค่าคงตัวการคู่ควบ (Jortho) เท่ากัน ลักษณะนี้เรียกว่า การสมมูล
ทางแม่เหล็ก
สาหรับโครงสร้างโบรโมเบนซีน (Bromobenzene) โปรตอน H-1 กับ H-5 และ H-2 กับ H-4
เป็นการสมมูลทางเคมี เนื่องจากโปรตอนแต่ละคู่มีค่าการเลื่อนทางเคมีเท่ากันแต่ค่าคงตัวการคู่ควบไม่
เท่ากัน โดยโปรตอน H-2 จะคู่ควบกับโปรตอน H-1 มีค่าคงตัวการคู่ควบ (Jortho) และคู่ควบกับโปรตอน
H-5 มีค่าคงตัวการคู่ควบ (Jpara) ลักษณะแบบนี้เรียกว่า การสมมูลทางเคมี
Br Br
Br Br H1 H5
H3 H1 H2 H4
H2 H3
Newmann projection
H 3 Cl H1 Cl H2
Cl H3 Cl H3 Cl H3
Cl H1
Cl H2 Cl H2 H2 H1 H1 Cl
Cl Cl Cl
1,1,2-Trichloroethane I II III
H-1 and H-2 as magnetic equivalent proton
H3 CH3 Cl H3
H1 H2 H1 H2 H1 H2 H1
H2 * CH3 * * *
Cl Cl Cl H3 H3 CH3 H3C Cl
Cl Cl Cl
1,2-Dichloropropane IV V VI
H-1 and H-2 as nonequivalent proton
อินทีกรัล
จานวนสัญญาณที่ปรากฏในสเปกตรัม 1H NMR แสดงถึงจานวนโปรตอนไม่สมมูลในโครงสร้าง
ซึ่งถ้ามีจานวนโปรตอนสมมูล มาก พลังงานหรือความถี่คลื่นวิทยุ เพื่อให้เกิดเรโซแนนซ์ และความเข้ม
สัญญาณจะมากไปด้วย โดยพื้นที่ใต้พีกของแต่ละสัญญาณที่ปรากฏในสเปกตรัมจะเป็น เส้นยกระดับ
เรียกว่า อินทีกรัล (integral) ซึ่งบ่งบอกถึงจานวนโปรตอนสมมูล สาหรับอินทีกรัลในสเปกตรัมปัจจุบัน
จะปรากฏเป็นตัวเลขอยู่ใต้ของแต่ละสัญญาณ ดังภาพที่ 5.7
in CDCl3 O
O
Ethyl acetate
วิธีที่ 2 หาอินทีกรัลจากการวัดความสูงของเส้นยกระดับ
จากภาพที่ 5.7 วัดความสูงของแต่ละเส้นยกระดับ ได้ดังนี้
1.9 cm 1.9 cm
1.2 cm
5 4 3 2 1 0
(ppm)
จะเห็นว่าการหาอินทิกรัลจากทั้งสองวิธี อัตราส่วนอย่างต่าของโปรตอนในโครงสร้างเอทิลอะซี
เทต คือ 2 : 3 : 3 ซึ่งเป็นจานวนโปรตอนทั้งหมดในโครงสร้าง โดยเกิดสัญญาณเรโซแนนซ์ ดังนี้
(ppm) 4.12 (2H, CH2CH3), 2.04 (3H, CH3CO) และ 1.26 (3H, CH2CH3) ตามลาดับ
O
4.12 (2H)
2.04 (3H)
O
1.26 (3H)
มีข้อสังเกตได้ว่า 1) จานวนโปรตอนทั้งหมดที่ได้จากอินทีกรัลในสเปกตรัมอาจจะไม่ใช่จานวน
ไฮโดรเจนทั้งหมดในโครงสร้าง เนื่องจากอินทีกรัลเป็นอัตราส่วนอย่างต่าของโปรตอน และ 2) อินทีกรัล
ในสเปกตรัมอาจเป็นจานวนโปรตอนที่ไม่สมมูลได้ จะเห็นสัญญาณแยกไม่ชัดเจน อาจเนื่องจากโปรตอน
ถูกกาบังจากอิเล็กตรอนที่ล้อมรอบใกล้เคียงกัน
10
CH3 CH3 3H H2
H C O C H HOOC
CH3 CH O2N H1
3
(1) (2)
(ppm)
11
จากสเปกตรัม 1H NMR อินทีกรัลที่ (ppm) 12.15, 4.45 และ 1.70 เท่ากับ 0.93, 0.95
และ 2.97 ตามลาดับ
ดังนั้น อัตราส่วนของโปรตอน = 0.93 : 0.95 : 2.97
= 0.93/0.93 : 0.95/0.93 : 2.97:0.93
= 1 : 1.02 : 3.19 หรือ 1 : 1 : 3
จานวนโปรตอน เท่ากับ 1+1+3 = 5 อะตอม ซึ่งเท่ากับสูตรโมเลกุล C3H5ClO2
จากสูตร
โครงสร้างที่ (1) มีโปรตอนไม่สมมูล ได้แก่ COOH, CH และ CH3 อัตราส่วน คือ 1 : 1 : 3 ส่วน
โครงสร้างที่ (2) มีโปรตอนไม่สมมูล ได้แก่ COOH, CH2CH2Cl และ CH2CH2Cl อัตราส่วน คือ 1 : 2 : 2
ดังนั้น สารอินทรีย์ที่มีสูตรโมเลกุล เท่ากับ C3H5ClO2 มีสูตรโครงสร้าง ดังนี้
Cl
OH
O
และปรากฏสัญญาณเรโซแนนซ์ที่ (ppm) 12.15 (1H, COOH), 4.45 (1H, CHCl) และ 1.70
(3H, CH3)
12
(ppm)
จากสเปกตรัม วัดความสูงของแต่ละเส้นยกระดับ
อัตราส่วนของโปรตอน = 1.5 : 1.5 : 2.3
CH3CH2CH2Cl 2.3 cm
= 1.5/1.5 : 1.5/1.5 : 2.3/1.5
= 1 : 1 : 1.5 หรือ 2 : 2 : 3
1.5 cm
1.5 cm
เขียนไอโซเมอร์ของสูตรโมเลกุล C3H7Cl ดังนี้
CH3CH2CH2-Cl และ (CH3)2CH-Cl
อัตราส่วนของโปรตอน 2 : 2 : 3 และ 1 : 6
(ppm)
จงบอกอัตราส่วนอย่างต่าเรียงลาดับจากความถี่เรโซแนนซ์ มากไปน้อยของโปรตอนในโครงสร้างที่
กาหนด
O
O2N
(1) (2) (3) O
O Cl Cl OH
H
Br H H
(4) (5) (6) (7)
การคู่ควบระหว่างสปินกับสปิน
โดยส่วนใหญ่โปรตอนไม่สมมูลที่อยู่บนอะตอมคาร์บอนที่ติดกันหรือห่างกันไม่เกิน 3 พันธะ จะ
เกิดการคู่ควบระหว่างสปินกับ สปิน (spin-spin coupling) ผ่านทางอิเล็กตรอนหรือพันธะ ส่งผลให้
สัญญาณแยกเป็นกลุ่มพีก โดยจานวนพีกที่แยกแต่ละสัญญาณ เรียกว่า multiplicity ดังตารางที่ 5.1
การแยกสัญญาณของแต่ละโปรตอนอธิบายได้ดังนี้
โปรตอน Ha อยู่บนอะตอมคาร์บอนที่ต่อกับโปรตอน Hb เมื่อโปรตอน Ha เกิดการคู่ควบกับ
โปรตอน Hb ซึ่งมีได้ทั้งสภาวะสปิน +1/2 และ -1/2 ถ้าเกิดการคู่ควบกับโปรตอน Hb สภาวะสปิน +1/2
ซึ่งจัดวางตัวทิศทางขนานกับสนามแม่เหล็กภายนอก (B0) โปรตอน Ha จะถูกกาบังน้อยกว่าการคู่ควบกับ
14
B0
B' +1/2 B' (ppm) of H
-1/2 a
H H 3H (Hb)
Hb Cb Ca Br
Hb Ha
Ethyl bromide
2H (Ha)
10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0
(ppm)
แบบ) และ -3/2 (1 แบบ) ดังภาพที่ 5.11 สัญญาณจึงแยกเป็น 4 พีก หรือ quartet (q) มีความเข้ม
สัมพัทธ์ เท่ากับ 1:3:3:1
(ppm) 3.4
Hb Ha
Hb C C Br
Hb Ha
X CH CH Y H3C C H
XY
H2C C H CH3-CH2-
H3C
X-CH2-CH2-Y CH
XY H3C
in CDCl3
O
2xCH3
Isopropyl ether
CH
(ppm)
5.0 4.0 3.0 2.0 1.0 0
จงอธิบายการเกิดการคู่ควบระหว่างสปินกับสปินของหมู่ไอโซโพรพิล
CH3CH2OH
CH3
CH2
OH
2.00 1.00 3.00
3.9 3.7 3.5 3.3 3.1 2.9 2.7 2.5 2.3 2.1 1.9 1.7 1.5 1.3 1.1 (ppm)
neat
(B)
H H CH2
H C C OH CH3
H H
5.0 4.5 4.0 3.5 3.0 2.5 2..0 1.5 1.0 0.5 (ppm)
นอกจากนี้ การแลกเปลี่ยนของโปรตอนสามารถเกิดได้กับแอมีนปฐมภูมิและแอมีนทุติยภูมิ
เช่นกัน ดังสมการ (5.2) และสมการ (5.3)
R-N(Ha)(Hb) + D-O-D R-ND2 + Ha-O-Hb (5.2)
R2-NHa + D-O-D R2-ND + Ha-O-D (5.3)
1H 12C 16O 19F < 2H << 14N < 35Cl < 37Cl < 79Br
electric quadrupole moment (Q)
z z z
spherical prolate oblate
Q=0 Q>0 Q<0
y y y
x x x
(I = 0, 1/2) (I > 1/2) (I > 1/2)
ภาพที่ 5.16 รูปร่างนิวเคลียสของอะตอมที่มีและไม่มีโมเมนต์สี่ขั้วทางไฟฟ้า
กรณีอัตราการเปลี่ยนสภาวะสปินของนิวเคลียส เร็วกว่าอัตราการเปลี่ยนสภาวะสปินของ
โปรตอน จะทาให้โปรตอน NH ไม่คู่ควบกับโปรตอนที่ติดกัน จึงปรากฏสัญญาณเป็นพีกเดียวและแหลม
โดยส่วนใหญ่พบในโครงสร้างแอมีนโซ่เปิด เช่น ฟีนิลแอมีน (Phenyl amine) สัญญาณของหมู่ NH2
ปรากฏที่ (ppm) 1.35 (2H, s, NH2) ลักษณะเป็นพีกเดียวแหลม ดังภาพที่ 5.17 (A) แต่ถ้าอัตราการ-
เปลี่ยนสภาวะสปินใกล้เคียงกัน โปรตอน NH จะไม่สามารถคู่ควบกับโปรตอนที่ติดกัน ได้ สัญญาณของ
NH ปรากฏเป็นพีกเดียวกว้าง เช่น เมอร์เรย์ยานีน (Murrayanine) เป็นสารกลุ่มอินโดลแอลคาลอยด์
(indole alkaloid) ปรากฏที่ (ppm) 8.63 (1H, br s, NH) ดังภาพที่ 5.18 ซึ่งถ้าอัตราการเปลี่ยน
19
in CDCl3 CH2
Ar NH2 (A)
NH2
Ar NH3 Cl (B)
CH2
NH3
7 6 5 4 3 2 1 0
(ppm)
(
2
+
1
)
o
f
N
I
H- N
NH3
H
H
+
1H C
NH
N
i
t
r
o
0
Ng
e
n
s
p
l
i
t
s
t
h
e
a
t
t
a
c
he
dH
H-
h
y
d
r
-
1o
g
e
n
s
i
n
t
o
a
t
r
i
p
l
e
t
(
J
5
0
H
z
) C
N
H H
p
r
o
t
o
n
s
p
l
i
t
s
e
a
c
h
p
ea
k 2
i
n
t
o
a
t
r
i
p
l
e
t(
J
5
H
z
)
N
H
-
C
H
in CDCl3
Murrayanine
9.0 8.8 8.6 8.4 8.2 8.0 7.8 7.6 7.4 7.2 7.0 (ppm)
จงบอกจานวนพีกที่แยกแต่ละสัญญาณของโปรตอนทั้งหมดในโครงสร้าง
1. Cl 6. ไอโซโพรพิลเมทิลอีเทอร์ (Isopropyl
Cl C CH3
H methyl ether)
2. กรดโพรพาโนอิก (Propanoic acid) 7. CH3NH3+
3. 8. OH
HO OH
H H
4. O 9. H
H2N O
H
Br H
Cl
5. Br 10. Cl
21
ประเภทของการคู่ควบระหว่างสปินกับสปิน
ปัจจัยที่ทาให้เกิดการคู่ควบระหว่างโปรตอนกับโปรตอนขึ้นอยู่กับระยะห่างของโปรตอนทั้งสอง
และมุมไดฮีดรอล สามารถจาแนกลักษณะของการคู่ควบระหว่างสปินกับสปิน ดังนี้
1. การคู่ควบเจมินัล (geminal coupling) เกิดจากการคู่ควบของเจมินัลโปรตอน (geminal
proton) กล่าวคือโปรตอนที่อยู่บนอะตอมคาร์บอนเดียวกัน ห่างกัน 2 พันธะ และไม่สมมูลกัน ส่วนใหญ่
พบได้ในวงไซโคลแอลเคน เช่น ไซโคลเฮกเซนและไซโคลโพรเพน เป็นต้น และแอลคีนที่มีพันธะคู่ตรง
ปลายโซ่ ดังภาพที่ 5.19
H H
H
H H H
ภาพที่ 5.19 ลักษณะการคู่ควบเจมินัล
Acyclic system:
H H H
C C H
H H H
H
cis- trans-
Cyclic system:
Ha
Hc Hb Jac<5 Hz; Jad >8 Hz; Jbd <5 Hz; Jbc <4 Hz
Hd
Ha
H
Hc b Jac>7 Hz; Jad >7 Hz; Jbd 5 Hz; Jbc <4 Hz
Hd
H H
H H H H H
H H H H H
ortho-
ภาพที่ 5.20 ลักษณะการคู่ควบวิซินัล
H H H H H H
H H
H H
H
H
4J allylic meta- propargylic allenic
"W-coupling"
H H H H
H H H H
H
5J para- homoallylic homopropargylic homoallenic
ภาพที่ 5.21 ลักษณะการคู่ควบช่วงไกล
23
ค่าคงตัวการคู่ควบ
การคู่ควบระหว่างโปรตอนกับโปรตอนจะทาให้สัญญาณแยกเป็นกลุ่มพีก โดยระยะห่างระหว่าง
พีกในกลุ่มพีก เรียกว่า ค่าคงตัวการคู่ควบ มีสัญลักษณ์ “J” หน่วยเฮิรตซ์ กรณีโปรตอนคู่ควบซึ่งกันและ
กันจะมีค่าคงตัวการคู่ควบเท่ากัน ถึงแม้จะวิเคราะห์ด้วยความถี่ของเครื่องเอ็นเอ็มอาร์แตกต่างกัน เช่น
วิเคราะห์เอทิลไอโอไดด์ (Ethyl iodide) ที่ความถี่ 60 และ 100 MHz จะปรากฏสัญญาณที่ (ppm)
1.83 (CH3, t, J = 7.5 Hz) และ 3.05 (CH2, q, J = 7.5 Hz) เช่นเดียวกัน ดังภาพที่ 5.22 จะสังเกตว่ามี
ค่า J เท่ากับ 7.5 เฮิรตซ์ เท่ากัน เนื่องจากโปรตอนของ CH3 กับ CH2 เกิดการคู่ควบกัน
quartet
H H
H C C I
H H
triplet
H H
H C C I 3.05 1.83 (ppm)
H H
1
สเปกตรัม H NMR ของเอทิลไอโอไดด์จะปรากฏสัญญาณที่ (ppm) 1.83 (CH3, t, J = 7.5 Hz)
และ 3.05 (CH2, q, J = 7.5 Hz) จงอธิบายดังต่อไปนี้
1. จานวนสัญญาณในสเปกตรัม
2. การแยกของแต่ละสัญญาณเป็นทริปเพลตและควอร์เทต
3. ประเภทการคู่ควบระหว่างโปรตอนของ CH3 กับ CH2
4. ความถี่เรโซแนนซ์ของสัญญาณ CH3 มากกว่าของ CH2
24
1. การคู่ควบเจมินัล
เมทิลีนโปรตอนไม่สมมูลซึง่ ห่างกัน 2 พันธะ จะเกิดการคู่ควบเจมินัล พบในโครงสร้างทั้งบน
อะตอมคาร์บอนชนิดไฮบริไดเซชัน sp2 และ sp3 โดยค่าคงตัวการคู่ควบเจมินัล (2JHH) จะเพิ่มขึ้น เมื่อ
มุมไดฮีดรอล (H-C-H) ลดลง ดังภาพที่ 5.23 นอกจานี้ ค่าคงตัวการคู่ควบเจมินัลยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น
ดังนี้
H 1090 H 1130 H
1200
H H
H
hybridization of carbon sp3 sp3 sp2
2J = 11-18 Hz 2J = 3-8 Hz 2J = 0-4 Hz
HH HH HH
H F H S-CH3 H H H Si(CH3)3 H Li
H H H H H H H H H H
2J (Hz) -3.2 -0.3 +2.5 +3.8 +9.8
HH
2J = 5 Hz 2J = 5 Hz
HH HH
Br Cl H
1
H3C H2
CH3
H1 H2 (ppm)
O
CH3-R R -C N CH3 -H -OH -F
2J (Hz) -16.9 -14.9 -12.4 -10.8 -9.6
HH
H H
H H H
H
2J (Hz) -16.0 -20.8 -22.3
HH
H H H H H H H H H
H
NH O
2J (Hz) -13.1 -13.0 -4.3 +2.0 +5.5
HH
2. การคู่ควบวิซินัล
18
16 H1 H
2
14 C C
12 H1 H1 H1
(Hz)
H2 H2
10 H2
HH
H2
3J
8
H2
6
4 = 0o = 60o =90o = 180o
2 3J (Hz) 7-11 2-5 0-2 8-15
HH
0
180 150 120 90 60 30 0
H H H H
C C H C C Cl H C C H
H H Cl Cl H Cl
3J (Hz) 6-8 6.0 7.4
HH
H
O O CH3 3J (CH ,H) 6.6 Hz
O CH3 O 3
O O
O O
H
derived dioxane tetrone (ppm) 1.79 (ppm) 3.33
H
H
H H H H H
cis- H
trans-
3J (Hz) 6-8 7-11 12-18 2J (Hz) 0-5
HH HH
Ha Hb X = Cl X = CH3
3J (cis-) = 7.4 Hz 3J
X Hc HH HH
(cis-) = 10.0 Hz
3J (trans-) =14.7 Hz 3J
HH HH
(trans-) = 16.8 Hz
โปรตอนที่ คู่ ควบกั น จะต้ องมีค่ าคงตั ว การคู่ค วบเท่ ากั น เช่ น ทรานส์ -กรดซิน นามิ ก
โปรตอน Ha และโปรตอน Hb จัดเรียงตัวแบบทรานส์- โดยโปรตอน Hb จะถูกกาบังน้อยกว่าโปรตอน Ha
และเกิดการคู่ควบกัน ปรากฏสัญญาณแยกเป็น doublet มีค่า 3JHH เท่ากับ 15.2 เฮิรตซ์ ดังภาพที่
5.31 ยกเว้นโมเลกุลที่มีระนาบสมมาตรจะทาให้ โปรตอนสมมูลกัน จึงปรากฏสัญญาณเป็น singlet ดัง
ภาพที่ 5.32
Hb
3J
Ha Hb
ab
= 15.2 Hz COOH
Hb 3J
ab
= 15.2 Hz
Benzoic acid
7.8 6.47
10 8 6 4 2 0 (ppm)
ภาพที่ 5.31 สเปกตรัม 1H NMR ของกรดซินนามิกใน CDCl3
29
H
a multiplicity as a singlet
H H H
Hc Hb Ha
Ha Hc
Jcb Jbc Jac
Hb COOCH3
Jba Jab
Jca
3J (trans-) > 3J (cis-) > 2J
bc ac ab
H H H H H
H H H H
H
3J (Hz) 8-10 5-7 2-4 0-2 6-10
HH
dihedral angle ()
GlcO 8.02 (d, J = 9.6 Hz, H-4)
HO 6.26 (d, J = 9.6 Hz, H-3)
O O O
ภาพที่ 5.34 ค่าคงตัวการคู่ควบวิซินัลในระบบไซคลิก
H H H H
H H
H
H = 0o = 90o = 180o
3J (Hz) 6.6 2.6 11.2
HH
H H H H
H O O
H H
H H H
3. การคู่ควบช่วงไกล
กรณีโปรตอนบนวงแบนซีนปรากฎสัญญาณที่ความถี่แตกต่างกัน ค่าคงตัวการคู่ควบ
และรูปแบบการแยกสัญญาณสามารถบอกจานวนหมู่แทนที่บนวงเบนซีนได้ ตัวอย่างเช่น สเปกตรัม 1H
NMR ของเบนซีนที่มีหมู่แทนที่ 4 หมู่ ถ้ารูปแบบการแยกสัญญาณเป็น AB quartet มีค่าคงตัวการคู่ควบ
เท่ากับ 7 เฮิรตซ์ แสดงว่าเป็นการคู่ควบของโปรตอนตาแหน่งออร์โท- ดังภาพที่ 5.37 (A) แต่ถ้าสัญญาณ
มีค่าคงตัวการคู่ควบ เท่ากับ 2 เฮิรตซ์ จะเป็นการคู่ควบของโปรตอนตาแหน่งเมทา- ดังภาพที่ 5.37 (B)
ส่วนโปรตอนตาแหน่งพารา- จะไม่เกิดการคู่ควบกันได้ สัญญาณจะเป็น singlet ดังภาพที่ 5.37 (C)
(A)
“o- coupling”
(C)
H H H
H H
H H
H
= 0o = 90o = 180o
W-coupling
4J (Hz) 1.3 0 0
HH
O H O
H H3C O
J = 1.1 Hz H
H J = 1.8 Hz
H H
H H
H
OR H
H
H H H
H3C H H Ph
H H
H CH3 H3C CH3
Ph3C Ph Ph3C H
H H
5J 5J 5J = 7.5 Hz
5J = 1.6 Hz = 1.2 Hz cis
= 11 Hz trans
trans cis
นอกจากลักษณะการคู่ควบช่วงไกลข้างต้นแล้ว ยังพบการคู่ควบช่วงไกลในโครงสร้างที่มี
ระบบโพรพาร์ไจลิก (propargylic) หรือโครงสร้างที่โปรตอนสองตัวจัดเรียงตัวรูป “W”ดังภาพที่ 5.40
(ธิติมา รุกขไชยศิริกุล, 2556, หน้า 159; Reich, 2017e)
Propargylic coupling: 4J = 4 Hz
HH H
4J = 1.1 Hz
HH
HO
H
H 4J
HH
= 2.5 Hz H H
W-coupling: H
H
H
H H
H 4J =
4J = 2-3 Hz 4J 0-2 Hz
HH HH
= 18 Hz HH
จงแสดงรูปแบบการแยกสัญญาณของโปรตอนที่กาหนดในโครงสร้าง และบอกชนิดการคู่ควบของ
โปรตอน โดยโปรตอนที่คู่ควบกันจะมีค่าคงตัวการคู่ควบเท่ากัน
H2 H H1 OCH3
1 H1 Cl
O H2 H1
H3 O
Cl H2 H2 H3 NO2
1 2 CH3(b) H1
Br
H CHO
H2N NO2
(a) H H1 H2
H2
การคานวณค่าคงตัวตัวการคู่ควบ
เมื่อสัญญาณแยกเป็นกลุ่มพีก จะเกิดระยะห่างระหว่างพีกในกลุ่มพีก ซึ่งโปรตอนคู่ควบซึ่งกัน
และกันจะมีค่าคงตัวการคู่ควบเท่ากัน จากสเปกตรัม 1H NMR สามารถค่าคงตัวการคู่ควบจากสมการ
(5.5)
J = x MHz (5.5)
โดยที่ J คือ ค่าคงตัวการคู่ควบ หน่วยเฮิรตซ์
คือ ผลต่างของค่าการเลื่อนทางเคมี
MHz คือ ความถี่ของเครื่องเอ็นเอ็มอาร์
H-3 in CDCl3
OH
9.6 Hz 4' 4 300 MHz
3' 3
6.175
H-4
6.143
O O O
3''
9.6 Hz 2''
nor-Dentatin
7.990
8.022
6.2 6.1
10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 (ppm)
สเปกตรัมอันดับหนึ่งและอันดับสอง
รูปแบบการแยกสัญญาณของแต่ละโปรตอนจะขึ้นอยู่กับจานวนโปรตอนข้างเคียง ถ้ามีโปรตอน
ข้างเคียง N ตัว ทาให้สัญญาณแยกเป็นกลุ่มพีก เท่ากับ N+1 มีความเข้มสัมพัทธ์ของแต่ละพีกในกลุ่มพีก
โดยอาศัยสามเหลี่ยมของพาสคาล โดยรูปแบบการแยกสัญญาณจาแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ รูปแบบ
การแยกสัญญาณอันดับหนึ่ง และรูปแบบการแยกสัญญาณอันดับสอง ซึ่ง สเปกตรัมทั้งสองจะขึ้นอยู่กับ
ผลต่างของค่าการเลื่อนทางเคมี ดังนี้
1. สเปกตรัมอันดับหนึ่ง เกิดจากโปรตอนสมมูลเกิดการคู่ควบกับโปรตอนข้างเคียงเท่ากัน ถ้า
/J มีค่าในช่วง 10-20 จะทาให้เกิดรูปแบบการแยกสัญญาณอันดับหนึ่ง ความเข้มสัมพัทธ์ของแต่ละ
พีกในกลุ่มพีกจะเป็นตามสามเหลี่ยมของพาสคาล กลุ่มพีก ในสเปกตรัมอันดับหนี่งจะมีลักษณะสมมาตร
และค่าการเลื่อนทางเคมีของโปรตอนจะอยู่ที่จุดกึ่งกลาง ดังภาพที่ 5.10
2. สเปกตรัมอันอับสอง ถ้า /J มีค่าน้อยกว่า 10 ซึ่งรูปแบบการแยกสัญญาณจะไม่เป็นไป
ตามสามเหลี่ยมพาสคาล จากภาพที่ 5.42 กลุ่มพีกของแต่ละสัญญาณจะเข้าใกล้กันมากขึ้นเมื่อ /J มี
ค่าน้อยลง ตาแหน่งของสัญญาณเรโซแนนซ์จะไม่อยู่ที่จุดกึ่งกลางแต่จะอยู่ที่จุดศูนย์ถ่วงของกลุ่มพีก
สาหรับการวิเคราะห์ข้อมูลของสเปกตรัมอันดับสองนี้เพื่ อหาสูตรโครงสร้างจะมีความซับซ้อนโดยจะไม่
36
ขอกล่าวถึงในบทนี้ ซึ่งวัตถุประสงค์และขอบเขตในเนื้อหาบทนี้จะเน้นเฉพาะรูปแบบการแยกสัญญาณ
อันดับหนึ่งเท่านั้น
C C
HA HB
1st order spectrum JAB JAB
J = 15
HA HB
A
2nd order spectrum
J=6
J=3
2 3
2nd order spectrum JAB JAB
1
4
J = 0.5
A
2nd order spectrum 1/2(A-)
หลักการเรียกชื่อระบบสปิน
เนื่องจากโปรตอนไม่สมมูลในโครงสร้างจะเกิดการแยกสัญญาณเป็นกลุ่มพีกหรือมีระบบสปินที่
แตกต่างกัน ซึ่งการตั้งชื่อระบบสปินจะพิจาณาจากค่าการเลื่อนทางเคมี ถ้าโปรตอนที่มีค่าการเลื่อนทาง
เคมีต่างกันเล็กน้อย ระบบสปินจะใช้อักษร A, B และ C แต่ถ้าโปรตอนที่มีค่าการเลื่อนทางเคมีต่างกัน
มากจะใช้อักษร A, M และ X ซึ่งจานวนโปรตอนที่มีค่าการเลื่อนทางเคมีเท่ากันจะอยู่ในชุดเดียวกันและ
แสดงด้วยตัวเลข ระบบสปินที่พบได้บ่อย ดังนี้
- ระบบสปิน AX และระบบสปิน AMX จะให้สเปกตรัมอันอับหนึ่ง
- ระบบสปิน AB ระบบสปิน ABX ระบบสปิน ABC ระบบสปิน AA’XX’ ระบบสปิน AA’BB’
O AX/AB pattern
I OEt
H H
(ppm)
H H 7.5 7.4 7.3 7.2 7.1 7.0 6.9
O
MeO AX/AB pattern
MeO OMe
7.6 7.4 7.2 7.0 6.8 6.6 (ppm)
AA'BB' pattern
HA' H A HA' BH HA
H B' Cl Cl
Cl H B' O2N Cl
HB HA Br HB HB' HA'
AB2 pattern
R2 R2
Cl Cl R1 R1 J = 40
Cl BH HB
HB
H B HA HB HB R1 R1
HA HA
A
OCH3
Cl Cl
HA
39
การวิเคราะห์โครงสร้างจากข้อมูล 1H-NMR
งานวิจัยสาขาเคมีอินทรีย์ โดยเฉพาะด้านเคมีผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งจะศึกษาสารออกฤทธิ์โดย
การสกัดและแยกสารบริสุทธิ์จากพืชสมุนไพร สาหร่าย หรือจุลินทรีย์ เป็นต้น และงานวิจัยด้านเคมี
อินทรีย์สังเคราะห์ซึ่งจะใช้เทคนิค 1H-NMR มาพิสูจน์ยืนยันในการเกิดสารมัธยันตร์ (intermediate)
หรือผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ในการพิสูจน์โครงสร้างของสารอินทรีย์บางชนิด อาจจาเป็นต้องใช้ข้อมูลเทคนิค
สเปกโทรสโกปีอื่นร่วมด้วย ซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อไป
Integral = 4 : 2 : 2 : 3
7 6 5 4 3 2 1 (ppm)
ขั้นตอนที่ 1 หาสูตรโมเลกุล C : H : N
= 79.94/12 : 9.09/1 : 11.57/14
= 6.66 : 9.09 : 0.83
(0.83 หารตลอด) = 8.02 : 10.95 : 1
(ปัดทศนิยมเป็นเลขจานวนเต็ม) = 8 : 11 : 1
ดังนั้น มีสูตรโมเลกุลเท่ากับ C8H11N
40
CH2CH3 CH2CH3
X
o- X m-
CH2CH3
2-Ethyl aniline
NH2
บทสรุป
41
42
คาถามท้ายบท
1. กาหนดโครงสร้าง จงหาโปรตอนสมมูลและบอกจานวนสัญญาณที่ปรากฏในสเปกตรัม 1H NMR
1.1 1.2 1.3 1.4
H3 H2 O
3H H1 Cl
Br H3C-O H2 Br
H1
1.5 1.6 O 1.7 1.8
1
H O H
H OH
O 2 I
3
1.9 1.10 4 1.11 1 1.12
2 1
3 H 2 6 3 1
H3CO2C OH 2
1
O
NO2
3
4
5
2 H NH2
1.13 3 1
1.14 1.15 1.16
2 H O
4 5 O2N
6 H NH O O O
4. จงบอกโปรตอนสมมูลในโครงสร้างที่กาหนด และเป็นการสมมูลทางแม่เหล็กหรือทางเคมี
4.1 Br 4.2 OH 4.3 Cl 4.4
1 4 1 Cl 2 3
2 1
2 3 1 4
O2N 3 NO2 2 4 O
NO2 3
8 7 6 5 (ppm) 4 3 2 1 0
6. กาหนดสเปกตรัม จงระบุแต่ละสัญญาณว่าเป็นของโปรตอนตัวใดในโครงสร้าง
6.1
H 2N
HO
5.0 4.9 4.8 4.7 4.6 4.5 4.4 4.3 (ppm)
6.2
7 6 5 4 3 2 1
(ppm)
O H H
N CH
H3
CH3
8. กาหนดโครงสร้าง จงบอกจานวนสัญญาณและจานวนพีกที่แยกแต่ละสัญญาณ
8.1 O 8.4 Cl 8.7 OH OH
CH3 NO2 O
H3C 3
CH3 2 1 Cl Cl
NO2
8.2 1 2 8.5 H C OH 8.8 HH H
HO H
CH3 3 H H Cl ClCl
4 3 H
8.3 8.6 CH3CH2CH2Br 8.9 O
O Cl OH
11. จงจับคูร่ ะบบสปินของโปรตอน HA ที่กาหนดในโครงสร้าง (ระบบสปิน AB, AB2, ABM, ABX3, ABX
หรือ A2B2)
O HA
HA OCH3 OH O
O H H3CO
H3C Br F3C OEt
H H3CO HA H HA
(1) (2) (3) (4)
HA
HA H3C H
H H
(5) (6)
46
in CDCl3
7 6 5 4 3 2 1 0
(ppm)
in CDCl3
10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 (ppm)
47
10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0
(ppm)
in CDCl3
8 7 6 5 (ppm) 4 3 2 1 0
48
10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 (ppm)
3.00
1.80
6.9 6.8
0.89
10 9 8 7 6 5 4 3 (ppm)
49
t
s
TMS
13.0 12.5 12.0
7.5 7.0
2
4
2 12
4.0 3.5 3.0 2.5 2.0 1.5 1.0 0.5 0.0 (ppm)
11.0 10.5 10.0 9.5 9.0 8.5 8.0 7.5 7.0 6.5 6.0 (ppm)
51