Professional Documents
Culture Documents
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกีย่ วข้ อง
Anions
SO3
HO CH3CO2
O
PF6 NO3
TfO
O
Ionic liquids
Tf2N Cl AlxCly
N BF4
N
(CN)2N
NH3
OSO3
N
Tf = CF3SO2
N
O
R R4P
HO
N
N N
Cations
+RX X +MY Y
R -MX R
N , PR , etc
โดย = N N, 3
RX = Br , O Cl , etc
+HX X +MY Y
H H
-MX
N , PR , etc
โดย = N N, 3
HX = HNO3 , etc
HO
N CH3
กลไกการเกิดพิษ
ในขนาดรักษาพาราเซตามอลกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ จะถูกเมตาโบไลซ์ที่ตบั ด้วยกระบวนการ
คอนจูเกชัน (conjugation) กลายเป็ นสารที่ไม่เป็ นพิษ แล้วถูกขับออกจากร่ างกาย อีก 5 เปอร์เซ็นต์
ถูกเมตาโบไลซ์ โดยเอนไซม์ไซโทโครม พี-450(cytochrome P-450) ได้เป็ นเมตาโบไลต์ที่มีพิษ
แต่จะถูกกาจัดโดย กลูตาไธโอน(glutathione) ซึ่งทาหน้าที่เป็ นตัวรี ดิวซ์(reducing agent)จะจับกับ
สารพิษนี้และขับออกทางปัสสาวะ แต่ในภาวะที่ได้รับพาราเซตามอลเกินขนาด เมตาโบไลต์ที่มี
พิษนี้จะมีปริ มาณมากเกินความสามารถของกลูตาไธโอนที่จะกาจัดได้ จึงเกิดความเป็ นพิษต่อ
อวัยวะต่างๆของร่ างกาย เช่น ตับ และ ไต มีการศึกษาพบว่าร่ างกายคนเรามีกลูตาไธโอนที่จะ
ทาลายพาราเซตามอลที่รับประทานเข้าไปไม่เกิน 7.5 g หรื อ 150 mg/kg ในคนปกติ ค่าครึ่ งชีวิต
ของพาราเซตามอล ประมาณ 4 ชัว่ โมง แต่ในภาวะที่ได้รับยาเกินขนาด ค่าครึ่ งชีวิตอาจยาวเป็ น 12
ชัว่ โมงได้ ปกติพาราเซตามอลจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วแต่ในภาวะเป็ นพิษการดูดซึมจะลดลงอาจ
นานกว่า 4 ชัว่ โมง โดยเฉพาะถ้ารับประทานยาอื่นร่ วมด้วย[10]
9
ผูท้ ี่ควรระวังในการใช้ยานี้
ผลข้างเคียง
CH3
HO OH
N
CH3
O O
Cl
OH
HO NH
CH3
HCl
เป็ นตัวยาที่บรรเทาอาการคัดจมูก[14]
การพัฒนาวิธีการแยก(Developing a separation)
การพัฒนาวิธีทางโครมาโทกราฟี เพื่อให้มีการแยกเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ และใช้เวลาน้อย
ดังนั้นเพื่อที่จะอธิบายและหาสภาวะที่ดีที่สุดสาหรับการแยกสารจึงจาเป็ นต้องเข้าใจพารามิเตอร์
ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแยกทางโครมาโทกราฟี
พารามิเตอร์ พนื้ ฐาน ได้แก่
1. Partition ratio (Partition Coefficient, K) เป็ นค่าคงที่ที่อธิบายถึงการสมดุลของการ
กระจายตัวของสารตัวอย่างไประหว่างเฟสทั้งสองคือเฟสอยูก่ บั ที่และเฟสเคลื่อนที่ ค่า K หาได้
จากอัตราส่ วนของความเข้มข้นของสารในเฟสอยูก่ บั ที่กบั ความเข้มข้นของสารในเฟสเคลื่อนที่
ภายหลังกระจายตัวไประหว่างเฟสทั้งสองหรื ออัตราส่ วนของเวลาที่สารอยูใ่ นเฟสอยูก่ บั ที่กบั เวลา
ที่สารอยูใ่ นเฟสเคลื่อนที่ ดังนี้
Cs
K
Cm
หรื อ
ts
K
tm
t R/ t R t 0
VR Ft R
VR = retention volume
F = อัตราการไหลของเฟสเคลื่อนที่ (flow rate, ml/min)
tR = เวลาการคงไว้ของสารตัวอย่าง
VR/ VR V0 Ft 0
t R t0
k/
t0
การปรับหรื อควบคุมค่า k/
ในกรณี ที่ค่า k/ ที่ได้จากการทดลองไม่เหมาะสม อาจสูงไปหรื อต่าไปทาให้การแยกไม่ดี
มีวิธีการปรับหรื อควบคุมค่า k/หรื อเวลาของการชะเพื่อให้เกิดการแยกที่ดีข้ ึนหรื อดีที่สุดได้ดงั นี้
6.1 ปรับเปลี่ยนสัดส่ วนผสมหรื อความแรงของตัวทาละลายหรื อเฟสเคลื่อนที่ เป็ นการ
ปรับเปลี่ยนสัดส่ วนหรื อความแรงของตัวทาละลายหรื อเฟสเคลื่อนที่โดยไม่เปลี่ยนคุณสมบัติทาง
เคมีของตัวทาละลาย ในทางปฏิบตั ิการเลือกเฟสเคลื่อนที่ให้เหมาะสมนั้นจะต้องพิจารณาจาก
คุณสมบัติของสารตัวอย่างเป็ นหลักและการเลือกความแรงของเฟสเคลื่อนที่ให้เหมาะสมทาโดย
การแยกสารที่ตอ้ งการแยกสารที่ตอ้ งการวิเคราะห์ 1-2 ครั้ง แล้วดูค่า k/ ที่ได้ หลังจากนั้นจึงปรับ
ความแรงของเฟสเคลื่อนที่ให้แรงขึ้นหรื ออ่อนลงเพื่อให้เกิดการแยกที่ดีข้ ึน วิธีที่ง่ายและสะดวกใน
การปรับความแรง คือปรับความเข้มข้นของตัวทาละลาย, pH, ความมีข้วั โดยไม่เปลี่ยนคุณสมบัติ
ทางเคมีหรื อชนิดของตัวทาละลายที่เป็ นส่วนประกอบของเฟสเคลื่อนที่ โดยทัว่ ไปมักจะใช้ตวั ทา-
ละลายผสมที่ให้ค่า 1 k / 10 เพื่อให้การแยกเกิดขึ้น และเวลาในการแยกไม่นานเกินไป ถ้า
ต้องการเปลี่ยนค่า k/ ให้ใช้เฟสเคลื่อนที่ที่มีความแรงน้อย ในทางตรงข้ามถ้าต้องการลดค่า k/ ให้ใช้
เฟสเคลื่อนที่ที่มีความแรงมาก
6.2 เพิ่มหรื อลดปริ มาณของเฟสอยูก่ บั ที่
ในกรณี ที่เป็ นโครมาโทกราฟี แบบแยกขนาดจาเพาะ(size exclusion chromatography)ทา
ได้โดยการเพิม่ หรื อลดปริ มาตรของรู พรุ น และพื้นที่ผวิ ของสารบรรจุในคอลัมน์ ในกรณี ที่เป็ น
โครมาโทกราฟี แบบกระจาย(partition chromatography) ทาโดยการเพิ่มหรื อลดปริ มาณเฟส
ของเหลวบนสารช่วยพยุงและในกรณี ที่เป็ นโครมาโทกราฟี แบบแลกเปลี่ยนไอออน(ion-exchange
chromatography) ทาโดยเพิม่ หรื อลดความหนาแน่นประจุ หรื อ ความแรงไอออนบนสารบรรจุ
6.3 ปรับเปลี่ยนปัจจัยที่มีผลต่อค่า K
อุณหภูมิและอัตราความเร็ วของการไหลของเฟสเคลื่อนที่ เป็ นปัจจัยที่มีผลต่อความผัน
แปรของค่า K ดังนั้นจึงมีผลต่อค่า k/ ด้วย
24
ค่าซีเล็คติวิต้ ี
k/1 ค่าแฟกเตอร์ความจุของพีกแรก
k/2 ค่าแฟกเตอร์ความจุของพีกที่สอง
t /R 1 corrected retention time ของพีกแรก
t/R2 corrected retention time ของพีกที่สอง
2
t
N a R
W
9. ค่าความสามารถในการแยก(Resolution,RS)
เป็ นค่าที่บอกให้ทราบว่าพีกของสารสองชนิดที่อยูต่ ิดกันแยกออกจากกันดีเพียงใด ซึ่งการ
แยกนี้จะต้องพิจารณาทั้งระยะเวลาที่สารเคลื่อนผ่านคอลัมน์และความกว้างของพีกทั้งสอง คานวน
ได้จากระยะห่างกันระหว่างตาแหน่งจุดสูงสุ ดของพีกทั้งสองหารด้วยความกว้างเฉลี่ยของพีกทั้ง
สอง ดังแสดงในรู ปที่ 2.21
t R 2 t R1 2t R
Rs
1 W1 W2
(W1 W2 )
2
Rs = ค่าความสามารถในการแยก(Resolution)
tR1 และ tR2 = เวลาการคงไว้ของพีกที่ 1 และ 2 ตามลาดับ
W1 และ W2 = ความกว้างของพีกที่ 1 และ 2 ตามลาดับ
tR = ระยะห่างระหว่างจุดสูงสุ ดของพีกทั้งสอง
27
1 k
/
1
R N
1 k
/
4
(1) (2) (3)
จากสมการสามารถใช้เป็ นแนวทางในการเลือกสภาวะที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการแยกที่ดี
ที่สุดและใช้เวลาน้อย ได้สามวิธี คือการปรับค่าแฟกเตอร์ความจุ(k/), ค่าซีเล็คติวิต้ ี() และ จานวน
เพลท(N) ในการทางานจะต้องพิจารณาดูวา่ ควรปรับพารามิเตอร์ตวั ใดก่อน-หลังเพื่อให้การแยกดี
28
ค่าความสามารถในการแยก(Resolution, RS)
ค่า T หาได้จากสูตร
W0.05
T =
2f
2. ตัด พี ก แล้ว ชั่ง น้ าหนั ก อย่ า งละเอี ย ด เที ย บกับ น้ าหนั ก ของพี ก ของสาร
มาตรฐาน วิธีน้ ีไม่ค่อยนิยมใช้
3. ใช้เ ครื่ อ งคอมพิ ว เตอร์ ค านวณ วิ ธี น้ ี ให้ผ ลแม่ น ย ากว่า 5 วิ ธี ข ้า งต้น และ
ประหยัดเวลา แต่ตอ้ งเสี ยค่าใช้จ่ายสาหรับเครื่ องมือดังกล่าว
Height of 2a
Xa
Height of 1a
Height of 2b
Xb
Height of 1b
37
X b X a X added
โดยความสูงจะสัมพันธ์กบั ความเข้มข้น
Xa [C 2 ]a
X added [C 2 ]added
Xa
[C 2 ]a xC 2 added
X added
รูปที่ 2.28 การหาปริ มาณ unknown โดยวิธี Standard addition calibration curve
38
การเก็บรักษาคอลัมน์
ในกรณี ที่จะเก็บคอลัมน์ไว้นานๆ จะต้องล้างคอลัมน์ดว้ ยตัวทาละลายที่เหมาะสม และ
ต้องให้ปลายคอลัมน์ท้ งั สองด้านเปี ยกชุ่มด้วยตัวทาละลาย เพื่อป้ องกันคอลัมน์แห้ง ไม่ควรเก็บ
คอลัมน์ที่ทาให้ชุ่มด้วยน้ า เพราะจะทาให้เกิดเชื้อรา ควรเก็บใน 56 % ตัวทาละลายอินทรี ย ์ เพื่อ
ป้ องกันเชื้ อรา ไม่ควรเก็บคอลัมน์โดยทาให้เปี ยกชุ่มด้วยบัฟเฟอร์ เพราะจะตกตะกอนทาให้เกิด
การอุ ด ตัน ในคอลัมน์ ส่ ว นมากบริ ษทั ที่ จาหน่ ายคอลัมน์มกั จะให้ขอ้ แนะน าในการเก็บรั ก ษา
คอลัมน์ซ่ ึงแนวทางการเก็บคอลัมน์ในตัวทาละลายที่เหมาะสมดังตารางที่ 2.3
การเตรียมและทาความสะอาดสารตัวอย่ าง
สารตัวอย่างที่วิเคราะห์ดว้ ย HPLC มาจากหลายแหล่ง และสารตัวอย่างส่ วนมากไม่ใช่สาร
บริ สุทธิ์ มันจะมีสารปนเปื้ อนต่างๆ กัน เช่น สารตัวอย่างยามีพวกสารช่วยที่มีการละลายแตกต่าง
กัน สารตัวอย่างจากของเหลวในร่ างกาย มีพวกโปรตีน เกลือ และพวกสารอินทรี ย ์ ที่มีสภาพขั้ว
ต่างๆ กัน จึงจาเป็ นต้องแยกสารที่ตอ้ งการวิเคราะห์ออกจากสิ่ งปนเปื้ อนต่างๆ
การเตรี ยมสารตัวอย่าง เพื่อให้สารที่ตอ้ งการวิเคราะห์ละลายในตัวทาละลายที่เหมาะสม
ไม่มีสารรบกวนและมีความเข้มข้นพอเหมาะที่จะตรวจวัดได้ เหตุผลที่ตอ้ งเตรี ยมสารตัวอย่าง
เนื่องจาก
1. สารตัวอย่างละลายในตัวทาละลายที่มีความแรงกว่าเฟสเคลื่อนที่ ทาให้การ
แยกไม่ดี หรื ออาจทาลายคอลัมน์
2. การวิ เ คราะห์ ส ารที่ มี ป ริ ม าณน้อ ยๆ จ าเป็ นต้อ งเตรี ย มให้มี ค วามเข้ม ข้น
พอเหมาะที่จะตรวจวัดได้
3. ตัวอย่างที่ซบั ซ้อน เช่น สารตัวอย่างจากของเหลวในร่ างกาย มักจะมีโปรตีน
และสารอินทรี ยต์ อ้ งแยกสารเหล่านี้ ออกก่อน เพื่อป้ องกันพีกของสารเหล่านี้ ทบั กับพีกของสารที่
ต้องการวิเคราะห์
4. ในสารตัวอย่าง อาจมีสารที่ทาลายคอลัมน์ตอ้ งแยกออกก่อน เพื่อให้อายุการ
ใช้งานของคอลัมน์นานขึ้น
วิธีการเตรี ยมสารละลายตัวอย่าง ควรละลายตัวอย่างในเฟสเคลื่อนที่ ถ้าใช้ตวั ทาละลาย
อื่นที่ไม่เฟสเคลื่อนที่ จะต้องทดสอบว่าเมื่อฉีดสารตัวอย่างเข้าคอลัมน์แล้ว จะไม่ตกตะกอนในเฟส
เคลื่อนที่ ทาการทดสอบโดยการฉี ดสารละลายตัวอย่างในปริ มาตรเท่าที่จะฉี ดเข้าคอลัมน์ลงใน
เฟสเคลื่อนที่ที่บรรจุหลอดแก้ว สังเกตดูว่ามีตะกอนเกิดหรื อไม่ ถ้ามีการตกตะกอนไม่สามารถฉี ด
สารละลายตัว อย่างนั้นเข้าคอลัมน์เ พราะจะทาให้เ กิ ด การอุด ตัน ตรงส่ วนต้นของคอลัมน์ตอ้ ง
เปลี่ยนตัวทาละลาย ถ้าตัวทาละลายที่ใช้ละลายตัวอย่างมีความแรงมากกว่าเฟสเคลื่อนที่ ควรฉี ด
ปริ มาตรน้อยๆ มิฉะนั้นจะทาให้การแยกไม่ดี อาจเกิดพีกที่มีไหล่ และจาเป็ นต้องใช้ตวั ทาละลาย
อื่นละลายตัวอย่าง ควรเลือกตัวทาละลายที่มีความแรงอ่อนกว่าเฟสเคลื่อนที่เหมาะสาหรับสาร
ตัวอย่างที่เจือจางและสามารถฉีดปริ มาตรมากได้[15],[16]
42