Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 3 พันธะเคมี 2020 ปป
บทที่ 3 พันธะเคมี 2020 ปป
บทที่ 3 พันธะเคมี
พันธะเคมีคือแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม เพื่อให้เกิดเป็นโมเลกุลที่มีความเสถียรมากขึ้น
ดังนั้นในการสร้างพันธะเคมีของอะตอมของธาตุอื่น ๆ จึงพยายามที่จะทำให้เวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8
โดยอาจจ่ายเวเลนซ์อิเล็กตรอนออกไปหรือรับอิเล็กตรอนเพิ่มเข้ามา หรือนำเอาเวเลนซ์อิเล็กตรอนมาใช่
ร่วมกับอะตอมอื่น เพื่อให้เวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8 เป็นไปตาม กฎออกเตต (octet rule)
ตรวจสอบความเข้าใจ
1. เขียนสัญลักษณ์แบบจุดลิวอิสของไอออน Ca2+
2. สัญลักษณ์แบบจุดลิวอิสของธาตุสมมติ X เป็นไปตามกฏออกเตตหรือไม่
3. สัญลักษณ์แบบจุดลิวอิสในข้อ 1. และ 2. มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็นไปตามกฎออกเตตหรือไม่
ตัวอย่าง
สารประกอบไอออนิกในสถานะของแข็งอยู่ในรูปของผลึก มีไอออนบวกและไอออนลบยึดกันไปต่อเนื่อง
ทั้งสามมิติเป็นโครงผลึก (ไม่อยู่ในรูปของโมเลกุล)
ตัวอย่างเช่น
สูตรเคมีของสารประกอบไอออนิก
โครงสร้างของไอออนิกมีลักษณะเป็นผลึก ไม่สามารถแยกเป็นโมเลกุลได้
ดังนั้นสูตรจึงอยู่ในรูปอัตราส่วนอย่างต่ำหรือเรียกว่าสูตรเอมพิริคัล (โดยผลรวมประจุต้องเป็นศูนย์)
ตัวอย่างชือ่ ไอออน
ประจุบวก ให้เติมคำว่าไอออนได้เลย เช่น Na+ (sodium ion) , Ca2+ (calcium ion)
ประจุลบ เปลี่ยนตัวท้ายเป็น ไ-ด์ (ide) แล้วเติมไอออน เช่น Cl- คลอไรด์ไอออน (chloride ion)
S2- ซัลไฟด์ไอออน (sulfide ion)
O2- ออกไซด์ไอออน (oxide ion)
ไอออนบางชนิดเกิดจากกลุ่มอะตอม การเขียนสูตรสารประกอบใช้หลักการเดียวกัน
เช่น NH4+ กับ SO42-
กลุ่มไอออน ชื่อกลุ่มไอออน
NH4+ แอมโมเนียมไอออน (ammonium ion)
OH- ไฮดรอกไซด์ไอออน (hydroxide ion)
CN- ไซยาไนด์ไอออน (cyanide ion)
NO2- ไนไทรต์ไอออน (nitrite ion)
NO3- ไนเทรตไอออน (nitrate ion)
HCO3- ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน (hydrogen carbonate ion)
CO32- คาร์บอเนตไอออน (carbonate ion)
HSO4- ไฮโดรเจนซัลเฟตไอออน (hydrogen sulfate ion)
SO42- ซัลเฟตไอออน (sulfate ion)
S2O3- ไทโอซัลเฟตไอออน (thiosulfate ion)
HPO4- ไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (hydrogen phosphate ion)
H2PO4- ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (dihydrogen phosphate ion)
PO43- ฟอสเฟตไอออน (phosphate ion)
ธาตุโลหะแทรนซิชันและโลหะบางชนิดสามารถเกิดประจุได้หลายค่า เช่น
Cr2+ Cr3+ Mn2+ Mn3+ Fe2+ Fe3+ Co2+ Co3+ Cu+ Cu2+ Sn2+
ดังนั้นชื่อของสารประกอบเหล่านีต้ ้องระบุเลขออกซิเดชันเป็นเลขโรมันในวงเล็บ
เช่น Cu+ copper(I)ion กับ S2- sulfide ion
การอ่านชือ่ ของสารประกอบไอออนิก
การอ่านชื่อให้อ่านไอออนบวกแล้วตามด้วยไอออนลบโดยตัดไอออนทิ้ง (ไม่คำนึงถึงตัวเลขห้อย)
ตารางตัวอย่างการอ่านชื่อของสารประกอบไอออนิกบางชนิด
ตัวอย่างการอ่านชื่อของสารประกอบไอออนิกที่เกิดจากโลหะที่มีเลขออกซิเดชันหลายค่า
Cu2+ กับ S2- ได้เป็น CuS อ่านว่า copper(II)sulfide
Ti3+ กับ Cl- ได้เป็น TiCl3 อ่านว่า titanium(III)chloride
Ti4+ กับ Cl- ได้เป็น TiCl4 อ่านว่า titanium(IV)chloride
Fe2+ กับ OH- ได้เป็น Fe(OH)2 อ่านว่า iron(II)hydroxide
โดยปกติสูตรของสารประกอบไอออนิกจะขึ้นด้วยไอออนบวกและตามด้วยไอออนลบ ยกเว้นสารบางชนิด
เช่น เกลือของสารอินทรีย์จะเขียนสลับกันได้ ได้แก่ CH3ONa (CH3O- + Na+)
แบบฝึกหัด
1. ข้อใดไม่ใช่สารประกอบไอออนิกทั้งหมด
ก. NaBr , Li2S ข. SrCl2 , SiC ค. CaO , Na2S ง. MgCl2 , KBr
40
2. ธาตุ 20 A สามารถเกิดสารประกอบธาตุ 35
17B สารประกอบที่เกิดขึ้นจะมีสูตรเป็นข้อใด
ก. AB ข. AB2 ค. A2B ง. A3B2
8. อ่านชื่อสารประกอบไอออนิกต่อไปนี้
8.1 LiF ______________________ 8.2 CuBr ______________________
8.3 NaCl ______________________ 8.4 KOH ______________________
8.5 NaCl ______________________ 8.6 AgI ______________________
8.7 HgCO3 ______________________ 8.8 CaCl2 ______________________
8.9 Cu(CN)2 ______________________ 8.10 Mg(OH)2 _____________________
8.11 NaHCO3 ______________________ 8.12 Na2CO3 ______________________
8.13 Sn(OH)2 ______________________ 8.14 Pb(NO3)2 _____________________
8.15 ZnS ______________________ 8.16 AlCl3 ______________________
8.17 Fe2O3 ______________________ 8.18 NaNO2 ______________________
9. เขียนสูตรเคมีของสารประกอบต่อไปนี้
9.1 sodium sulphate __________ 9.2 copper(I)oxide__________
9.3 magnesium chloride __________ 9.4 potassium carbonate __________
9.5 aluminium oxide __________ 9.6 silver (I) sulfide __________
9.7 ammonium nitrate __________ 9.8 iron (II) sulfide __________
9.9 ammonium phosphate __________ 9.10 hydrogen cyanide __________
9.11 lead (II) sulphate __________ 9.12 sodium hydrogen carbonate ______
9.13 zinc oxide __________ 9.14 sodium nitrite __________
9.15 magnesium bromide __________ 9.16 iron (II) oxide __________
9.17 tin (IV) hydroxide __________ 9.18 aluminium hydroxide __________
พลังงานกับการเกิดสารประกอบไอออนิก
การเกิดสารประกอบไอออนิกประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้
การ
พลังงาน
ขั้นที่ การเปลี่ยนแปลง ชื่อพลังงาน เปลี่ยนแปลง
(kJ/mol)
พลังงาน
พลังงานการระเหิด
1 Na(s) Na(g) 107 ดูด
(heat of sublimation)
พลังงานไอออไนเซชัน
2 Na(g) Na+(g) + e- 496 ดูด
(ionization energy)
Cl2(g) 2Cl(g) 242 พลังงานพันธะ
3 1 ดูด
Cl2(g) Cl(g) (121) (bond energy)
2
แต่เนื่องจากการเกิด NaCl ประกอบด้วย Cl- 1 โมลไอออน พลังงานจึงเป็นครึ่งหนึ่งของพลังงานพันธะ
พลังงานสัมพรรคภาพ
4 Cl(g) + e- Cl-(g) -349 อิเล็กตรอน คาย
(electron affinity energy)
พลังงานโครงผลึก
5 Na+(g) + Cl-(g) NaCl(s) EL คาย
(Lattice energy)
วัฏจักรบอร์น-ฮาเบอร์
แบบฝึกหัด
1
1. ปฏิกิริยา Ns(s) + Br2(g) NaBr(s) มีการคายพลังงานออกมา 359.5 kJ/mol
2
และกำหนดข้อมูลของปฏิกิริยาขั้นต่างๆ ให้ดังนี้
เมื่อ Na(s) Na(g) +125.25 kJ/mol
Br2(g) 2Br(g) +194 kJ/mol
Na(g) Na+(g) + e- y kJ/mol
Br(g) + e- Br-(g) -343 kJ/mol
Na+(g) + Br-(g) NaBr(s) -732 kJ/mol
จงหาค่าของ y ในหน่วย kJ/mol
2. ข้อใดเป็นสมการแสดงการเกิดสารประกอบ NaBr
1
ก. Na(s) + Br2(l) NaBr(s) ข. Na(s) + Br(g) NaBr(s)
2
1
ค. Na(g) + Br(g) NaBr(g) ง. Na(g) + Br2(g) NaBr(g)
2
การเปลี่ยนแปลงพลังงานในขั้นตอนใดเป็นการคายพลังงานและดูดพลังงาน ตามลำดับ
ก. I และ II ข. IV และ III
ค. V และ VI ง. IV และ V
สมบัตขิ องสารประกอบไอออนิก
สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่เป็นผลึกแข็ง
เนื่องจากเกิดการยึดเหนี่ยวที่แข็งแรงระหว่าง ไอออนบวกและไอออนลบ
แต่ผลึกมีความเปราะ และแตกหักง่าย (จุดเด่นของไอออนิก)
การนำไฟฟ้าของสารประกอบไอออนิก
สารประกอบไอออนิกมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง ส่วนใหญ่ละลายน้ำได้
สภาพละลายได้ใน สมบัติความเป็น
สารประกอบ สถานะ จุดหลอมเหลว (°C) จุดเดือด (°C)
น้ำที่ 20 °C กรด-เบส
CaO ของแข็ง 2572 2850 1.19 g/L เบส
NaCl ของแข็ง 801 1465 35.9 กลาง
CaCl2 ของแข็ง 772 1600 74.5 กลาง
Al2O3 ของแข็ง 2054 2980 ไม่ละลาย -
การละลายน้ำของสารประกอบไอออนิก
ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน
1. สารประกอบไอออนิกสลายตัวเป็นสถานะแก๊ส
AB(s) A+(g) + B-(g) ∆H = +X ….พลังงานแลตทิช
2. ไอออนในสถานะแก๊สถูกล้อมรอบด้วยโมเลกุลของน้ำ
A+(g) + B+(g) A+(aq) + B+(aq) ∆H = -X ….พลังงานไฮเดรชัน
จากแผนภาพ
1. จงระบุพลังงานแลตทิชและพลังงานไฮเดรชัน
2. แผนภาพใดเป็นกระบวนการดูดพลังงานและแผนภาพใดเป็นกระบวนการคายพลังงาน
แบบฝึกหัด
1. เมื่อละลาย LiBr และ KBr ในน้ำ อุณหภูมิของน้ำก่อนละลายและหลังการละลายเป็นดังนี้
อุณหภูมิ (°C)
สารประกอบไอออนิก
น้ำ สารละลาย
LiBr 28 33
KBr 28 24
1.1 การละลายของทั้งสองสารมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงของพลังงานอย่างไร
1.2 สารใดมีพลังงานแลตทิชมากกว่าไฮเดรชัน
5.1 การละลายน้ำของสารใดเป็นกระบวนการดูดพลังงาน
5.2 การละลายน้ำของสารใดเป็นกระบวนการคายพลังงาน
5.3 สารใดมีพลังงานแลตทิชมากกว่าพลังงานไฮเดรชัน
5.4 สารใดเมื่อละลายน้ำแล้วอุณหภูมิสูงขึ้น
6.2 การละลายน้ำของซิลเวอร์ไนเทรตเป็นกระบวนการดูดพลังงานหรือคายพลังงานปริมาณเท่าใด
การบอกความสามารถในการละลายของสารแบ่งเป็น 3 ระดับ
1. ละลายได้ดี หมายถึง ละลายได้มากกว่า 1 กรัมต่อน้ำ 100 กรัม
2. ละลายได้เล็กน้อย หมายถึง ละลายได้ 0.1-1 กรัมต่อน้ำ 100 กรัม
3. ไม่ละลาย หมายถึง ละลายได้น้อยกว่า 0.1 กรัมต่อน้ำ 100 กรัม
หลักการพิจารณาการละลายน้ำของสารประกอบไอออนิก
สารประกอบที่ละลายน้ำ
- โลหะหมู่ที่ 1 และ NH4+
- สารประกอบประจุ -1 ต่างๆ เช่น NO3- , ClO3- , ClO4- , CH3COO- เป็นต้น
สารประกอบที่ไม่ละลายน้ำ
- สารประกอบ Cl- , Br- , I- จับกับ Ag+, Pb2+ , Hg22+ เช่น AgCl , PbI2
- โลหะหมู่ที่ 2 รวมกับไอออนประจุ -2 หรือ -3 เช่น CaCO3 , BaSO4 (ยกเว้น MgSO4)
- ไอออน +2 +3 รวมกับไอออน -2 หรือ -3
สมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิ
แบบฝึกหัด
1. จากสารที่กำหนดให้ต่อไปนี้
KCl Na2SO4 CaSO4 BaCO3 Mg(OH)2 MgSO4
AgNO3 BaCl2 NaHCO3
1.1 สารชนิดใดไม่ละลายน้ำ
2. ตะกอนที่กำหนดให้ได้จากการผสมสารละลายใดได้บ้าง
2.1 Ag3PO4
2.2 MgCO3
2.3 PbBr2
สรุปสมบัตทิ ี่สำคัญของไอออนิก
1. ไอออนิกเกิดจากโลหะกับอโลหะรวมกัน (เป็นส่วนใหญ่) เนื่องจากมีค่า IE EA และ EN ต่างกันมาก
2. ไอออนิกไม่มีโมเลกุลที่แท้จริงเพราะอยู่ในรูปของผลึก จึงใช้สูตรอย่างง่าย หรือสูตรเอมพิริคัลแสดง
อัตราส่วนอย่างต่ำ
3. การเขียนสูตรไอออนิกระวังประจุที่สามารถทำเป็นลงตัวอย่างต่ำได้เช่น Ca2+ + S2- ได้เป็น CaS
4. การอ่านชื่อไม่ต้องคำนึงถึงตัวเลขห้อย แต่ระวังการอ่านตัวที่มีประจุมากกว่า 1 ค่า เช่น Fe2+ Fe3+
ให้ระบุเป็นตัวเลขโรมัน (I,II,IV,VII) เป็นต้น
5. สมบัติสำคัญของไอออนิกคือจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง มีสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ไม่นำไฟฟ้า
เมื่อเป็นของแข็ง แต่จะนำไฟฟ้าได้เมื่อหลอมเหลวหรือนำไปละลายน้ำ
6. กระบวนการเกิดสารประกอบไอออนิกมี 2 ขั้นตอนที่เป็นลบคือ ขั้นการรับอิเล็กตรอน (EA) และขั้นการ
รวมกันของไอออน (พลังงานแลตทิช)
7. พลังงานแลตทิชในกระบวนการเกิดไอออนิกมีค่าเป็นลบ แต่แลตทิชในการละลายมีค่าเป็นบวก
พันธะโคเวเลนต์
ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
HF ClO2
โมเลกุล O2
โมเลกุล N2
สาร โครงสร้างลิวอิส
แก๊สคลอรีน (Cl2) Cl Cl Cl Cl
แก๊สออกซิเจน (O2) O O O O
แก๊สไนโตรเจน (N2) N N N N
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) O C O O C O
อะเซทิลีน (C2H2) H C C H H C H C
H N H H N H
แอมโมเนีย (NH3)
H H
พันธะโคออร์ดเิ นตโคเวเลนต์
ข้อยกเว้นสำหรับกฎออกเตต
1. สารที่ไม่ครบออกเตต เช่น Be , B และ Al
2. สารที่เกินออกเตต คือมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนมากกว่า 8 ได้แก่ สารประกอบในคาบที่ 3 หมู่ที่ 4 เป็นต้นไป
เช่น PCl5 และ SF6 เป็นต้น
ไม่ครบออกเตต เกินกฏออกเตต
หลักการเขียนสูตรแสดงพันธะของโมเลกุลโคเวเลนต์
1. เขียนอะตอมกลาง โดยเป็นอะตอมที่มีแขนมากที่สุด
อะตอมที่มี 1 แขน H F Cl Br I
อะตอมที่มี 2 แขน O S (บางกรณี S อาจมี 6 แขนเช่น SF6)
อะตอมที่มี 3 แขน N P (บางกรณี P อาจมี 5 แขน)
อะตอมที่มี 4 แขน C Si
2. วางตำแหน่งอะตอมทั้งหมด เขียนสูตรแบบเส้นและจุด โดยให้แต่ละอะตอมมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8
(ยกเว้น H มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 2)
แบบฝึกหัด
1. เขียนโครงสร้างลิวอิสตามกฎออกเตต พร้อมทั้งระบุจำนวนอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ และจำนวนอิเล็กตรอน
คู่โดดเดี่ยวในโมเลกุลต่อไปนี้
1.1 I2 1.2 NF3
1.5 H2O2
2. เขียนโครงสร้างลิวอิสแสดงการเกิดพันธะในโมเลกุลที่เป็นไปตามกฎออกเตตจากธาตุที่กำหนดให้ต่อไปนี้
2.1 H กับ F 2.2 S กับ H
3. เขียนโครงสร้างลิวอิสของโมเลกุลหรือไอออนต่อไปนี้ พร้อมทั้งระบุว่าเป็นไปตามกฎออกเตตหรือไม่
3.1 BeH2 3.2 ClF3
การอ่านชือ่ สารประกอบโคเวเลนต์
จำนวนอะตอมในภาษากรีกที่ใช้ในการเรียกชื่อสารโคเวเลนต์
จำนวน
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
อะตอม
คำระบุ mono di tri tetra penta hexa hepta octa nona deca
การอ่านสารประกอบโคเวเลนต์แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ
1. อะตอมตัวแรกห้อยด้วย 1 เช่น CO อ่านว่า carbonmonoxide (อ่านตัวแรกและอ่านเลขห้อยของตัวที่ 2)
2. อะตอมตัวแรกห้อยด้วยเลขอื่นๆ เช่น Cl2O7 อ่านว่า dichlorine heptaoxide (อ่านเลขห้อยทั้งหมด)
H2S อ่านว่า dihydrogen monosulfide
สารบางชนิดอาจไม่เป็นไปตามหลักการ เช่น HCl นิยมเรียกว่า hydrogen chloride
(อย่าลืมอ่านตัวเลขห้อยของตัวหลังด้วยเสมอ)
แบบฝึกหัด
1. จงเขียนสูตรเคมีของสารประกอบต่อไปนี้
1.1. disulfur dichloride ____________ 1.2. iodine monochloride ____________
1.3 nitrogen triiodie _____________ 1.4 sulfur tetrafluoride _____________
1.5 disulfur difluoride ____________ 1.5 silicon dioxide _____________
2. จงอ่านชื่อสารประกอบต่อไปนี้
2.1 As2O5 ___________________________ 2.2 SeO3 ________________________
2.3 I4O9 ____________________________ 2.4 Cl2O5 ________________________
2.5 CS2 _________________________ 2.6 P2O5 ________________________
3. เขียนสูตรโมเลกุลตามกฎออกเตตและเรียกชื่อสารโคเวเลนต์ที่เกิดขึ้นระหว่างธาตุต่อไปนี้
3.1 As กับ Cl
3.2 Si กับ F
ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์
แรงดึงทำให้พลังงานศักย์ลดลง แต่แรงผลักทำให้พลังงานศักย์เพิ่มขึ้น
แทน H อะตอม
ระยะระหว่างนิวเคลียส (pm)
เรโซแนนซ์
เกิดจากการที่สารสามารถเขียนสูตรได้หลายแบบ เช่น O3
โครงสร้างเรโซแนนซ์ โครงสร้างเรโซแนนซ์ผสม
จากการวัดความยาวพันธะในโครงสร้างสารที่เกิดเรโซแนนซ์พบว่ามีภายในสารมีความยาวเท่ากัน
แสดงว่าเป็นพันธะชนิดเดียวกัน อธิบายได้ว่า อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ 1 คู่ เคลื่อนย้ายไปมา
ความยาวพันธะ
พันธะเดี่ยว > พันธะคู่ > พันธะสาม
พลังงานพันธะ
พันธะสาม > พันธะคู่ > พันธะเดี่ยว
การคำนวณพลังงานของปฏิกริ ยิ า
พลังงานของปฏิกิริยาใช้สัญลักษณ์ ∆H
ปฏิกิริยาเคมีเกี่ยวกับการสร้างพันธะและการสลายพันธะ
โดยที่การสลายพันธะเป็นการดูดพลังงาน E1 มีค่าเป็นบวก
การสร้างพันธะเป็นการคายพลังงาน E2 มีค่าเป็นลบ
จะได้ว่า ∆H = E1 – E2
ตัวอย่าง
ปฏิกิริยาการเผาไหม้แก๊สมีเทน (CH4) ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และไอน้ำ (H2O)
ดังสมการ
CH4(g) + 2O2(g) CO2(g) + 2H2O(g)
ปฏิกิริยานี้ดูดพลังงานหรือคายพลังงานต่อโมลของแก๊สมีเทนเป็นเท่าใด (-808 kJ)
กำหนดให้
พลังงานพันธะของ C-H = 414 kJ/mol
พลังงานพันธะของ O=O = 498 kJ/mol
พลังงานพันธะของ C=O = 804 kJ/mol
พลังงานพันธะของ H-O = 463 kJ/mol
แบบฝึกหัด
1. เปรียบเทียบความยาวพันธะและพลังงานพันธะระหว่างอะตอมในโมเลกุลหรือไอออนที่กำหนดให้ต่อไปนี้
1.1 พันธะระหว่าง C กับ O ของ CO และ CO2
1.2 พันธะระหว่าง O กับ O ของ O2 และ H2O2
1.3 พันธะระหว่าง N กับ N ของ N2 และ N2H4
1.4 พันธะระหว่าง C กับ C ของ C2H2 และ C2H4
1.5 พันธะระหว่าง C กับ O ของ CO32- และ COCl2
2. คำนวณพลังงานของปฏิกิริยาการเผาไหม้ของแก๊สเอทิลีน (C2H4) ดังสมการ
C2H4(g) + 3O2 2CO2(g) + 2H2O(g)
(พลังงาน C=C = 614 kJ/mol)
3. กำหนดค่าพลังงานพันธะดังนี้
พันธะ H-F H-Cl Cl-Cl
พลังงาน (kJ/mol) 567 431 242
จากปฏิกิริยา HF(g) + Cl2 HCl(g) + ClF(g) เป็นปฏิกิริยาดูดพลังงาน 120 kJ/mol
คำนวณพลังงานพันธะของ Cl-F
แบบทดสอบ
ตอนที่ 1 เลือกคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดี่ยว
1. กลุ่มของสารในข้อใดมีแต่พันธะโคเวเลนต์
ก. C2H6 , H2O , BF3 ข. H2O, H2S, Al2O3
ข. MgO, F2, Br2 ง. Ne, Ar, K
ใช้ตารางธาตุต่อไปนี้ในการตอบคำถามข้อ 2-3
2. กลุ่มของสารใดที่จะเป็นโมเลกุลโคเวเลนต์
ก. QZ, Z2 และ M2 ข. RY, LY3 และ XY3
ค. YZ, EX และ QW ง. MZ4, XZ3 และ X4
3. ธาตุ J สร้างพันธะโคเวเลนต์กับธาตุ M และ X จะมีสูตรเคมีเป็นอย่างไร
ก. MJ4 และ XJ2 ข. MJ4 และ XJ5
ค. MJ4 และ XJ3 ง. MJ และ XJ
4. เมื่อเขียนสูตรโครงสร้างแบบจุดลิวอิสของ NO2+ ข้อใดถูกต้อง
ก. มี 2 พันธะคู่ และ 8 อิเล็กตรอนที่ไม่เกิดพันธะ
ข. มี 1 พันธะคู่ 1 พันธะเดี่ยว และ 12 อิเล็กตรอนที่ไม่เกิดพันธะ
ค. มี 1 พันธะคู่ 2 พันธะเดี่ยว และ 12 อิเล็กตรอนที่ไม่เกิดพันธะ
ง. มี 1 พันธะคู่ 1 พันธะเดี่ยว และ 8 อิเล็กตรอนที่ไม่เกิดพันธะ
5. กำมะถันทำปฏิกิริยากับซัลไฟด์ไอออนได้ S22- ข้อใดแสดงสูตรแบบจุดของลิวอิสของ S22- ไอออน
ก. ข.
ค. ง.
ค. ง.
ค. ง.
8. ไอออนในข้อใดมีสูตรแบบจุดของลิวอิสคล้ายกัน
ก. NO3- , SO32- ข. NO3- , ClO3-
ค. CO32- , SO32- ง. CO32- , NO3-
9. สูตรเคมีใดที่ไม่เป็นไปตามกฎออกเตตทั้งหมด
ก. NH3, SiCl4, CCl4 ข. SF4, PCl5, BCl3
ค. PBr5, SO2, CF4 ง. BeF2, CO2, PCl5
10. สูตรแบบจุดลิวอิสของ CO2 ข้อใดถูกต้อง
ก. ข.
ค. ง.
11. สูตรโครงสร้างแบบจุดลิวอิสข้อใดไม่เป็นไปตามกฎออกเตต
ก. ข.
ค. ง.
12. จากสูตรโครงสร้างต่อไปนี้
X ควรเป็นธาตุใด
ก. F ข. C
ค. N ง. O
13. ธาตุ 17X รวมตัวกับธาตุ Y ได้สารประกอบโคเวเลนต์มีสูตร YX ข้อใดไม่ควรเป็นเลขอะตอมของธาตุ Y
ก. 9 ข. 35
ค. 53 ง. 85
ก. NO2 ข. NO2+
ค. NO2- ง. ทัง้ NO2+ และ NO2-
17. C2O42- มีจำนวนเวเลนซ์อิเลกตรอนเท่าใด
ก. 10 ข. 32 ค. 34 ง. 44
18. จากสูตรโครงสร้างต่อไปนี้ X, Y และ M น่าจะเป็นธาตุใดตามลำดับ
ข้อ X Y M
ก. C Cl N
ข. N Cl B
ค. N Cl C
ง. B Cl N
19. ธาตุ X และ Y มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น [Ne] 3s2 3p3 และ [Ne] 3s2 3p5 สูตรที่เป็นไปได้ของ X
และ Y ควรเป็นไปดังข้อใด
ก. XY ข. XY3
ค. X3Y ง. X5Y7
20. จากสูตรโครงสร้างลิวอิสของ ClO4n- n ควรมีค่าเท่าใด
ก. 0 ข. 1
ค. 2 ง. 3
รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
รูปร่างโมเลกุล
ให้ A แทนอะตอมกลาง B แทนอะตอมข้างเคียง และ E แทน lone pair e-
สูตรทัว่ ไป รูปร่างโมเลกุล ตัวอย่างโมเลกุล
เส้นตรง
AB2 BeH2 , CO2
(linear)
สามเหลี่ยมแบนราบ
AB3 BCl3 , BI3
(trigonal planar)
มุมงอ
AB3E SO2 , O3
(bent)
ทรงสี่หน้า
AB4 CCl4 , NH4+
(tetrahedral)
พีระมิดฐานสามเหลี่ยม
AB3E NH3 , PH3
(trigonal pyramidal)
มุมงอ
AB2E2 H2O , H2S
(bent)
พีระมิดคู่ฐานสามเหลี่ยม
AB5 (trigonal AsF5
bipyramidal)
ทรงสี่หน้าบิดเบี้ยว
(distorted
AB4E SF4 , TeCl4
tetrahedral , see-
saw)
รูปตัวที
AB3E2 ClF3 , BrF3
(T-shape)
เส้นตรง
AB2E3 XeCl2 , [ICl2]-
(linear)
ทรงแปดหน้า
AB6 SF6 , TeF6
(octahedral)
พีระมิดฐานสี่เหลี่ยม
AB5E BrF5 , IF5
(square pyramidal)
สี่เหลี่ยมแบนราบ
AB4E2 XeF4 , [ICl4]-
(square planar)
หมายเหตุ
ธาตุที่มี 2 อะตอมเช่น H2 , Cl2 , HF มีเพียง 1 พันธะ จะมีรูปร่างเป็นเส้นตรง แต่ไม่มีมุมระหว่างพันธะ
แบบฝึกหัด
1. จงระบุรูปร่างโมเลกุลของสารที่มีสูตรโมเลกุลต่อไปนี้
1.1 N2O 1.2 NO3-
2. ธาตุ 4X , 14Y และ 34Z เมื่ออยู่ในรูปสารประกอบคลอไรด์มีสูตร XCl2, YCl4, และ ZCl2 ควรมีรูปร่าง
โมเลกุลอย่างไร ตามลำดับ
ก. เส้นตรง, ทรงสี่หน้า, เส้นตรง ข. เส้นตรง, ทรงสี่หน้า, มุมงอ
ค. มุมงอ, สี่เหลี่ยมแบนราบ, เส้นตรง ง. มุมงอ, ทรงสี่หน้า, มุมงอ
3. สารใดมีรูปร่างโมเลกุลไม่เหมือนกัน
ก. O3 และ SBr2 ข. NOCl และ COS
ค. HCl และ CS2 ง. CI4 และ POCl3
4. เปรียบเทียบมุมพันธะในโมเลกุลแต่ละคู่ต่อไปนี้
4.1 SiH4 กับ BH3 4.2 H3O+ กับ H2O
5. ข้อใดที่เรียงมุมของพันธะไฮโดรเจนกับอะตอมกลางจากน้อยไปมาก
ก. CH4 < NH3 < H2O ข. H2O < CH4 < NH3
ค. NH3 < CH4 < H2O ง. H2O < NH3 < CH4
6. มุมพันธะระหว่างโมเลกุลในข้อใดมีค่ามากที่สุด
ก. H2S ข. NH3 ค. CH4 ง. BF3
7. กำหนดโครงสร้าง
สภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์
กรณีไม่มีขั้ว
กรณีมีขั้ว
การรวมเป็นเนือ้ เดียวกัน
สารที่มีขั้วจะละลายในสารที่มีขั้ว เช่น CH3OH ละลายใน H2O
สารที่ไม่มีขวั้ จะละลายในสารที่ไม่มขี ั้ว เช่น Cl4 ละลายใน CCl4
ถ้าเอาสารที่มีขั้วกับไม่มีขั้วมาผสมกันสารจะ________________________
แบบฝึกหัด
1. ระบุรูปร่างโมเลกุลและแสดงทิศทางขั้วของพันธะและทิศทางขั้วของโมเลกุล พร้อมระบุว่าเป็นโมเลกุล
โคเวเลนต์มีขั้วหรือไม่ลงในตารางให้ถูกต้อง
1 H2O
2 OF2
3 CBrN
4 PH3
5 CBr4
ก. F Cl ข. C H ค. S H ง. C Cl
4. โมเลกุลใดมีสภาพขั้วมากที่สุด
ก. HF ข. HCl ค. HBr ง. HI
5. โมเลกุลในข้อใดเป็นโมเลกุลไม่มีขั้วทั้งหมด
ก. P4, SO3, และ SiH4 ข. N2H4, C2H2 และ CH2O
ค. HCl, CO2 และ CH2Cl2 ง. H2O2, NH3 และ CF2Cl2
6. โมเลกุลในข้อใดเป็นโมเลกุลไม่มีขั้วทั้งหมด
ก. HF, SiH4, PCl5, SF6 ข. CO2, SiH4, PCl5, H2O
ค. H2, O2, F2, CHCl3 ง. H2, O2, F2, CO2
7. ความเป็นขั้วของสารประกอบ CH3F, NF3, BCl3, และ BrCl เรียงลำดับดังนี้
ก. ไม่มีขั้ว, มีขั้ว, มีขั้ว, ไม่มีขั้ว ข. มีขั้ว, มีขั้ว, ไม่มีขั้ว, ไม่มีขั้ว
ค. มีขั้ว, มีขั้ว, ไม่มีขั้ว, มีขั้ว ง. มีขั้วทุกตัว
8. โมเลกุลในข้อใดต่อไปนี้ เป็นโมเลกุลมีขั้ว
ก. XeF2 ข. XeF4 ค. I3- ง. SF4
9. โมเลกุลโคเวเลนต์ในข้อใดเป็นโมเลกุลมีขั้วทุกชนิด
ก. CO2, H2O ข. BF3, HF ค. H2O, CaCl2 ง. NH3, CHCl3
10. ข้อใดเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว
ก. CCl4 และ CH3Cl ข. SF6 และ BCl3
ค. BCl3 และ NCl3 ง. HCN และ CO2
แรงยึดเหนีย่ วระหว่างโมกุล
แรงภายในโมเลกุล
(พันธะโคเวเลนต์)
แรงระหว่างโมเลกุล
°C °C
เปรียบเทียบแรง
ลอนดอน < แรงดึงดูดระหว่างขั้ว < พันธะไฮโดรเจน < พันธะโคเวเลนต์
แบบฝึกหัด
1. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่กำหนดให้ต่อไปนี้
1.1 มีเทน (CH4)
1.2 ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S)
1.3 กรดไฮโดรคลอริก (HCl)
1.4 กรดแอซิติก (CH3COOH)
1.5 คาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะของแข็งหรือน้ำแข็งแห้ง (CO2)
2. เปรียบเทียบจุดเดือดระหว่างสารที่กำหนดให้ พร้อมอธิบายเหตุผล
2.1 H2 กับ Br2
2.2 HF กับ HI
2.3 NH3 กับ NF3
2.4 SiH4 กับ SnH4
2.5 CH3Cl กับ CH3OH
3. เมทานอล (CH3OH) กับไตรคลอโรมีเทน (CH3Cl) สารหนึ่งละลายน้ำ ส่วนอีกสารหนึ่งไม่ละลายเพราะ
เหตุใด
4. แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของสารใดเป็นชนิดแรงลอนดอน
ก. H2O ข. HCN ค. N2 ง. NaCl
5. สารประกอบในข้อใดต่อไปนี้ มีแรงยึดเหนี่ยวโมเลกุลอย่างเดียวกัน
ก. H2S, NO และ CHCl3 ข. O2, N2 และ CHCl3
ค. CH4, HF และ NH3 ง. Ne, CCl4 และ H2S
6. สารในข้อใดไม่มีพันธะไฮโดรเจน
ก. H2S ข. NH3 ค. CH3COOH ง. CH3OH
7. สารประกอบ 2 ชนิดในข้อใด ที่แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีค่ามากที่สุด
ก. HI, CCl4 ข. HCl, SiH4 ค. CH4, PH3 ง. H2O, HF
8. สารประกอบของคาร์บอนต่อไปนี้ สารใดมีจุดเดือดต่ำสุด
ก. CH3CH2CH2CH3 ข. CH3CH2OH
ค. CH3CH2COOH ง. HCOOH
สารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่าย
เนื่องจากพันธะโคเวเลนต์ในเพรชและแกรไฟต์มีการเชื่อมต่อกันอย่างต่อเนื่องเป็น
โครงร่างตาข่าย
เพชรและแกรไฟต์ เป็นอัญรูปของคาร์บอน
(อัญรูป (allototrope) คือธาตุเดียวกันแต่มีการจัดเรียงตัวในอะตอมต่างกัน)
พันธะโลหะ
สมบัตขิ องโลหะ
1) จุดหลอมเหลว จุดเดือดสูง เนื่องจากมีแรงยึดเหนี่ยวกันอย่างต่อเนื่องทุกอะตอม
2) ผิวมันวาว สะท้อนแสงได้ เมื่อแสงกระทบกับกลุ่มเวเลนซ์อิเล็กตรอน อิเล็กตรอนจะปล่อยคลื่นแสงออกมา
3) โลหะสามารถตีแผ่นและดึงเป็นเส้นหรือดัดให้โค้งงอได้
ไม่นำเมื่อเป็น
ส่วนใหญ่ไม่นำ ยกเว้นตัวที่มีขั้ว
ของแข็ง
การนำไฟฟ้า แรงมากเชน HF , HCl , HBr, นำไฟฟ้าทุกสถานะ
นำเมื่อหลอมเหลว
HI , H2SO4
หรือละลายน้ำ
แบบฝึกหัดท้ายบท
1. พิจารณาสมบัติของสาร A B C และ D ต่อไปนี้
จุดหลอมเหลว การนำไฟฟ้า
สาร จุดเดือด (°C) การละลายน้ำ
(°C) เมื่อเป็นของแข็ง เมื่อหลอมเหลว
A 1330 681 ละลาย ไม่นำ นำ
B 2562 1085 ไม่ละลาย นำ นำ
C -100 -127 ไม่ละลาย ไม่นำ ไม่นำ
D 2230 1713 ไม่ละลาย ไม่นำ ไม่นำ
2. กำหนดธาตุสมมติในตารางธาตุดังนี้
IA IIA IIIA IVA VA VIA VIIA VIIIA
A B C D
E F G H
2.1 เขียนไอออนที่เสถียรของธาตุทั้งหมด
2.2 ธาตุไนโตรเจนรวมกับธาตุใดบ้างแล้วเกิดพันธะโคเวเลนต์
ประเภทของสาร
ธาตุ สูตร ชื่อสาร
สารโคเวเลนต์ สารประกอบไอออนิก
F กับ O
Li กับ F
Be กับ Cl
Ca กับ O
Cl กับ Cs
4. เขียนสูตรและชื่อสาร พร้อมทั้งระบุชนิดของสารประกอบที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุต่อไปนี้กับธาตุ
คลอรีน
4.1 ธาตุลิเทียม
4.2 ธาตุโบรอน
4.3 ธาตุไนโตรเจน
4.4 ธาตุแมกนีเซียม
4.5 ธาตุอะลูมิเนียม
5.2 จุดหลอมเหลวและจุดเดือด
5.3 การนำไฟฟ้าของสารเมื่อมีสถานะเป็นของเหลว
7. เมื่อให้พลังงานแก่แก๊สไฮโดรเจนจนกลายเป็นอะตอมไฮโดรเจนดังสมการ
H2(g) + 436 kJ/mol 2H(g)
พิจารณาว่าข้อใดผิด ข้อใดถูก พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลประกอบ
7.1 เมื่ออะตอมไฮโดรเจนรวมตัวกันเกิดเป็นโมเลกุลแก๊สไฮโดรเจน จะมีการดูดพลังงาน
7.2 โมเลกุลแก๊สไฮโดรเจนมีสเถียรภาพต่ำกว่าอะตอมของไฮโดรเจน
9.1 BCl3
9.2 AsCl5
9.3 SiCl4
9.4 CH2Cl2
9.5 Cl2O
10. เรียงลำดับสภาพขั้วของพันธะต่อไปนี้จากน้อยไปมาก
N-H F-H B-H C-H O-H S-H
11. ระบุชนิดของพันธะและแรงยึดเหนี่ยวที่สำคัญระหว่างโมเลกุลหรืออนุภาคของสารต่อไปนี้
11.1 Fe
11.2 HF
11.3 CO2
11.4 H2O
11.5 KCl
11.6 NCl3
12. เพราะเหตุใดจึงสามารถตีทองคำแท่งให้เป็นเส้นทองคำได้
13. สารประกอบไอออนิกและโลหะเมื่อหลอมเหลวสามารถนำไฟฟ้าได้แตกต่างกับเมื่อเป็นของแข็งหรือไม่
อย่างไร