Professional Documents
Culture Documents
สาหรับการเกิดปฏิกิริยารีดอกซ์ที่สมบูรณ์ต้องเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและปฏิกิริยารีดักชันขึ้น
พร้อมๆ กัน ดังภาพที่ 4.1 เมื่อนาแผ่นโลหะทองแดง (Cu) จุ่มลงในสารละลาย AgNO3 พบว่าที่แผ่น
โลหะ Ag มี ข องแข็ ง สี ข าวปนเทามาเกาะอยู่ ที่ผิว และพบว่ าโลหะ Cu เกิดการสึกกร่อ น ส่ว นสีข อง
สารละลาย AgNO3 เปลี่ยนจากสารละลายใสไม่มีสีเป็นสารละลายสีฟ้า
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อธิบายได้ว่าการที่โลหะทองแดงสึกกร่อนเป็นเพราะโลหะทองแดง
(Cu) เกิดการเสียอิเล็กตรอนเปลี่ยนเป็น Cu2+ ซึ่งมีสีฟ้าและเมื่อ Ag+ รับอิเล็กตรอนเข้ามาจะกลายเป็น
Ag0 (โลหะเงิน) มาเกาะอยู่ที่แผ่นโลหะทองแดง โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น สามารถเขียนในรูปสมการได้ดังนี้
ปฏิกิริยาออกซิเดชัน : Cu(s) Cu2+(aq) + 2e-
ปฏิกิริยารีดักชัน : 2Ag+(aq) + 2e- 2Ag(s)
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแต่ละสมการ เรียกว่า ครึ่งปฏิกิริยา ซึ่งการเกิดการถ่ายเทอิเล็กตรอนจะเกิดขึ้น
ได้สมบูรณ์ต่อเมื่อต้องนาครึ่งปฏิกิริยาทั้งสองมารวมกัน ดังปฏิกิริยา
Cu(s) + 2Ag+(aq) Cu2+(aq) + 2Ag(s)
Cu เป็น ตัวรีดิวซ์ (reducing agent) ทาหน้าที่เป็นตัวให้อิเล็กตรอน (เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน)
Ag+ เป็น ตัวออกซิไดซ์ (oxidizing agent) ทาหน้าที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอน (เกิดปฏิกิริยารีดักชัน)
จากปฏิกิริยาดังกล่าว เราสามารถกล่าวได้ว่า Cu ถูกออกซิไดซ์โดย Ag+ และในทานองเดียวกัน
Ag+ ถูกรีดิว ซ์โดย Cu ดัง นั้นจึ ง เรีย กตั ว รีดิว ซ์ ว่ าเป็ นตัว ถูกออกซิไดซ์ (oxidized agent) และเรีย กตั ว
ออกซิไดซ์ ว่าเป็น ตัวถูกรีดิวซ์ (reduced agent)
1 M Cu(NO3)2 1 M AgNO3
ภาพที่ 4.1 เซลล์เคมีไฟฟ้า
จากตั ว อย่ างข้ างต้ น สรุป ได้ว่ า การเกิดปฏิกิริย ารีดอกซ์ จ ะต้อ งประกอบไปด้ว ยครึ่งปฏิกิริย า
ออกซิ เ ดชั น และครึ่ ง ปฏิ กิ ริ ย ารี ดั ก ชั น โดยสารที่ ท าหน้ า ที่ ใ ห้ อิ เ ล็ ก ตรอน (ตั ว รี ดิ ว ซ์ ) เกิ ด ปฏิ กิ ริ ย า
ออกซิเดชัน (มีค่าออกซิเดชันเพิ่มขึ้น) ส่วนสารที่ทาหน้าที่รับอิเล็กตรอน (ตัวออกซิไดซ์) เกิดปฏิกิริยา
รีดักชัน (มีค่าออกซิเดชันลดลง) จานวนอิเล็กตรอนที่ตัวออกซิไดซ์ได้รับจะต้องเท่ากับจานวนอิเล็กตรอน
ที่ตัวรีดิวซ์ให้ไปเสมอ ดังนั้นการเข้าใจค่าออกซิเดชันและการดุลสมการรีดอกซ์จึงเป็นขั้นตอนที่สาคัญ
สาหรับการศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยารีดอกซ์ และการนาหลักการรีดอกซ์ไปใช้ในการวิเคราะห์ เชิงปริมาณที่
เรียกว่าการไทเทรตปฏิกิริยารีดอกซ์ (redox titration)
4.1.1 เลขออกซิเดชัน
เลขออกซิเดชัน (oxidation number) หรือค่าออกซิเดชัน (oxidation state) คือค่าประจุของแต่ละ
อะตอมในโมเลกุลหรือสูตรเคมี หลักในการกาหนดค่าออกซิเดชันดังนี้
1) อะตอมของธาตุต่างๆ ในสภาวะอิสระ กาหนดให้ค่าออกซิเดชันเท่ากับศูนย์ ไม่ว่าธาตุนั้นจะ
อยู่ในรูปที่เป็นอะตอมเดี่ยวหรือหลายอะตอม ตัวอย่างเช่น Zn, Ag, Hg, Cl2, H2
2) ไอออนที่มีอะตอมเดี่ยว มีค่าออกซิเดชันเท่ากับประจุของไอออนนั้น เช่น
Al3+ มีค่าเลขออกซิเดชันเท่ากับ +3
S2- มีค่าเลขออกซิเดชันเทากับ -2
Cl- มีค่าออกซิเดชันเท่ากับ -1
3) ค่าออกซิเ ดชั นของธาตุ หมู่ 1A (โลหะแอลคาไล) และหมู่ 2A (โลหะแอลคาไลเอิ ร์ท ) ใน
สารประกอบต่างๆ มีค่าเท่ากับ +1 และ +2 ตามลาดับ
4) ค่าออกซิเดชันของออกซิเจน (O) ในสารประกอบโดยส่วนใหญ่มีค่าออกซิเดชันเท่ากับ -2
ยกเว้ น (1) ในกรณี ข องสารประกอบเปอร์ อ อกไซด์ (peroxide) ออกซิ เ จนมี ค่ า
ออกซิเดชันเท่ากับ -1 เช่น H2O2 และ Na2O2
(2) ในสารประกอบประเภทซุ ป เปอร์ อ อกไซด์ (superoxide) ออกซิ เ จนค่ า
ออกซิเดชันเท่ากับ -½ เช่น KO2
(3) ออกซิเจนอาจมีค่าออกซิเดชันเท่ากับ +2 เช่น OF2
5) ค่ า ออกซิ เ ดชั น ของไฮโดรเจน (H) ในสารประกอบส่ ว นมากมี ค่ า เท่ า กั บ +1 ยกเว้ น ใน
สารประกอบพวกไฮโดรไอออนิก ซึ่งไฮโดรเจนมีค่าออกซิเดชันเท่ากับ -1 เช่น LiAlH4 และ NaBH4
6) ผลรวมของค่าออกซิเดชันของอะตอมทั้งหมดในสูตรเคมีใดๆ จะมีค่าเท่ากับประจุสุทธิสาหรับ
กลุ่มของอะตอมที่เขียนแสดงในสูตรนั้นๆ
(1) ในกรณีโมเลกุลที่เป็นกลาง ผลรวมของค่าออกซิเดชันเท่ากับ 0 เช่น ผลรวมของค่า
ออกซิเดชันของ H2SO4, HNO3, CH4 เท่ากับ 0
(2) ในกรณี โมเลกุล ที่ มี ป ระจุ (ไอออน) ผลรวมของค่าออกซิ เ ดชั น เท่ า กับ ประจุ ข อง
โมเลกุลนั้น เช่น ค่าออกซิเดชันของ MnO4- เท่ากับ -1, CO32- เท่ากับ -2, NH4+ เท่ากับ +1 เป็นต้น
การดุลสมการรีดอกซ์โดยวิธีเลขออกซิเดชัน
เป็นการดุลสมการรีดอกซ์โดยอาศัยค่าการเปลี่ยนแปลงของเลขออกซิเดชันของตัวรีดิวซ์และตัว
ออกซิไดซ์ มาคูณไขว้กันเพื่อให้จานวนค่าออกซิเดชันที่เปลี่ยนแปลงของแต่ละครึ่งปฏิกิริยาเท่ากัน แล้ว
จึงดุลจานวนอะตอมทั้งหมดสมการให้เท่ากัน
4.1.3 เซลล์เคมีไฟฟ้า
เซลล์เคมีไฟฟ้า (electrochemical cell) เป็นอุปกรณ์ที่ต่อครบวงจรเพื่อแสดงให้เห็นว่าภายใน
เซลล์มีการให้และรับอิเล็กตรอน เซลล์เคมีไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1) เซลล์เคมี (chemical cell) เป็นเซลล์เคมีไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานเคมีให้เป็นพลังงาน
ไฟฟ้า ซึ่งกระแสไฟฟ้าเกิดจากการทาปฏิกิริยาเคมีของสารภายในเซลล์ สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
เซลล์กัลวานิก (galvanic cell) และเซลล์ความเข้มข้น (concentration cell)
2) เซลล์ อิเล็ กโทรไลต์ (electrolytic cell) เป็ นเซลล์ไฟฟ้ าที่เปลี่ย นพลังงานไฟฟ้ าเป็ น
พลังงานเคมี ซึ่งต้องผ่านกระแสไฟฟ้าภายนอกเข้าไปในเซลล์แล้วจึงเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น เซลล์แยกน้า
ด้วยไฟฟ้าหรือการชุบโลหะด้วยไฟฟ้า เป็นต้น
โดยทั่ว ไปแล้ ว ส่ ว นประกอบหลั กของเซลล์ เคมี ไฟฟ้ า จะประกอบด้ว ย ขั้ ว ไฟฟ้ า (electrode)
จานวน 2 ขั้ว คือขั้วแอโนดและแคโทด ที่อยู่ในสารละลายที่เรียกว่าอิล็กโทรไลต์ (electrolyte)
เซลล์กัลวานิก
เซลล์ กั ล วานิ ก (galvanic cell) หรื อ เซลล์ โ วลตาอิ ก (voltaic cell) เป็ น เซลล์ ที่ ท าหน้ า ที่ ส ร้ า ง
กระแสไฟฟ้าจากการเกิดปฏิกิริยาเคมี ซึ่งส่วนสาคัญของเซลล์ต้องประกอบด้วยขั้วไฟฟ้า หรือเรียกว่าขั้ว
อิเล็ กโทรด (electrode) จ านวน 2 ขั้ ว ที่ จุ่ ม อยู่ ในสารละลายอิเล็กโทรไลต์ (อาจเป็ นสารละลายชนิ ด
เดียวกันหรือต่างชนิดกัน) ต่อครึ่งเซลล์ด้วยสะพานเกลือเพื่อรักษาสมดุลของไอออน โดยลักษณะสาคัญ
ของเซลล์กัลวานิกคือการถ่ายเทอิเล็กตรอนผ่านตัวกลางที่เป็นลวดไฟฟ้าที่ต่อระหว่างขั้วอิเล็กโทรดทั้ง 2
ขั้ว การที่สารที่ ทาหน้าที่ ให้อิเล็ กตรอน (ตัวรีดิวซ์) และสารที่ทาหน้าที่รับอิเล็กตรอน (ตัวออกซิไดซ์)
สัมผัสกันโดยตรงจะไม่สามารถแสดงกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นกระแสไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีลวด
ตัวนาไฟฟ้าต่อเชื่อมเข้าไประหว่างขั้วไฟฟ้าของครึ่งเซลล์ที่ให้อิเล็กตรอน (oxidation half-cell) และครึ่ง
เซลล์ที่รับอิเล็กตรอน (reduction half-cell) และสะพานเกลือ (salt bridge) ต่อเชื่อมระหว่างครึ่งเซลล์ทั้ง
สอง เพื่อให้สามารถวัดกระแสไฟฟ้าระหว่างครึ่งเซลล์ทั้งสองได้ โวลต์มิเตอร์ต่อเชื่อมกับลวดตัวนาไฟฟ้า
ดังภาพที่ 4.2 อิเล็กตรอนจะถูกถ่ายโอนผ่านตัวกลางภายนอกจากขั้วไฟฟ้าที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั น
(ขั้วแอโนด) ไปยังขั้วไฟฟ้าที่เกิดปฏิกิริยารีดักชัน (ขั้วแคโทด) จึงทาให้เกิดกระแสไฟฟ้าผ่านโวลต์มิเตอร์
ขั้วแอโนด (anode) คือขั้วไฟฟ้าที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน
ขั้วแคโทด (cathode) คือขั้วไฟฟ้าที่เกิดปฏิกิริยารีดักชัน
สะพานเกลือ
สะพานเกลือ
จากตัวอย่างปฏิกิริยารีดอกซ์ในเซลล์กัลวานิก จะได้ว่า
- ขั้วที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เรียกว่า ขั้วแอโนด (anode) คือ ขั้ว Zn
- ขั้วที่เกิดปฏิกิริยารีดักชัน เรียกว่า ขั้วแคโทด (cathode) คือ ขั้ว Cu
- อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่จากขั้ว แอโนดไปยังแคโทด (ขั้ว Zn ไปยังขั้ว Cu) ดังนั้น ขั้ว Zn จึง
เป็นขั้วลบ ส่วนขั้ว Cu จึงเป็นขั้วบวก
การเขียนแผนภาพเซลล์เคมีไฟฟ้าแบบเซลล์กัลวานิก
1) เขียนครึ่งเซลล์ออกซิเดชันไว้ด้านซ้าย และครึ่งเซลล์รีดักชันไว้ด้านขวา
2) เขียนเครื่องหมาย || แทนสะพานเกลือ คั่นระหว่างครึ่งเซลล์ออกซิเดชันและครึ่งเซลล์รีดักชัน
3) ส่วนครึ่งเซลล์ออกซิเดชัน ให้เขียนขั้วแอโนดก่อน (ซ้าย) และตามด้วยไอออนในสารละลาย
(ขวา) โดยคั่นด้วยเครื่องหมาย | เช่น Zn(s) | Zn2+(aq)
4) ส่วนครึ่งเซลล์รีดักชัน ให้เขียนไอออนในสารละลายก่อน (ซ้าย) และตามด้วยขั้วแคโทด โดย
คั่นด้วยเครื่องหมาย | เช่น Cu2+(aq) | Cu(s)
5) หากต้องการระบุความเข้มข้นให้เขียนไว้ในวงเล็บแล้ววางหลังไอออนในสารละลาย เช่น
Zn(s) | Zn2+(aq)(0.1 M) || Cu2+(aq)(0.1 M) | Cu(s)
6) สาหรับครึ่งเซลล์ที่ประกอบด้วยโลหะกับแก๊ส ใช้เครื่องหมาย | ขีดคั่นระหว่างขั้วไฟฟ้ากับแก๊ส
และระหว่างไอออนในสารละลายเช่น Pt(s) | H2(g,1 atm) | H+(aq)
7) สาหรับครึ่งเซลล์ที่มี สถานะเดียวกันมีมากกว่า 1 ชนิด ให้ใช้เครื่องจุลภาค (,) คั่นระหว่ าง
ไอออนทั้งสอง เช่น Fe(s) | Fe2+(aq), Fe3+(aq) || Cu2+(aq) | Cu(s)
8) หากมีความดันเกี่ยวข้อง ให้ระบุความดันในวงเล็บ แล้ววางหลังแก๊สนัน้ เช่น
Pt(s) | H2(atm) | H+(aq)(0.1 M) || Ag+(aq) | Ag(s) (เกิดออกซิเดชัน)
Ag(s) | Ag+(aq) || H+(aq)(0.1 M) | H2(atm) | Pt(s) (เกิดรีดักชัน)
เซลล์อิเล็กโทรไลต์
เซลล์อิเล็กโทรไลต์ (electrolytic cell) มีส่วนประกอบเหมือนกับเซลล์กัลวานิก แต่ต้องมีแหล่ง
พลังงานไฟฟ้า โดยที่ขั้วแอโนด (anode) เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ส่วนขั้วแคโทด (cathode) เกิดปฏิกิริยา
รีดักชัน การต่อขั้วไฟฟ้ากับขั้วแบตเตอรี่ โดยให้ขั้วแคโทดต่อกับขั้วลบของแบตเตอรี่ และขั้วแอโนดต่อกับ
ขั้วบวกของแบตเตอรี่ ดังภาพที่ 4.3
ขั้วไฟฟ้า
ขั้ ว ไฟฟ้ า หรื อ ขั้ ว อิ เล็ กโทรด (electrode) เป็ น ขั้ ว ไฟฟ้ า ที่จุ่ ม ในสารละลายอิ เล็ กโทรไลต์ซึ่ ง จะ
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันหรือรีดักชันในเซลล์ เคมีไฟฟ้า ขั้วไฟฟ้าที่ใช้ในเซลล์กัลวานิกแบ่งออกเป็น 2
ประเภทคือ
1. ขั้วที่ว่องไวต่อปฏิกิริยา (active electrode) คือขั้วไฟฟ้าที่มีส่วนในการเกิดปฏิกิริยาที่อาจเป็น
ปฏิกิริยาออกซิเดชั นหรือ รีดักชั น เช่นครึ่งเซลล์ Zn/Zn2+ ถ้าโลหะ Zn เป็นฝ่ายที่ให้อิเล็กตรอน (เกิด
ออกซิเดชัน) โลหะ Zn จะค่อยๆ กร่อนลงไป แต่ถ้า Zn2+ เป็นฝ่ายรับอิเล็กตรอน (เกิดรีดักชัน) จะเกิด
โลหะ Zn เกาะที่ขั้ว ขั้วไฟฟ้าประเภทนี้เป็นขั้วโลหะทั่วๆ ไป
เช่น ขั้วโลหะ Zn จุ่มในสารละลายที่ประกอบด้วยเกลือของสังกะสีที่ละลายได้ Zn(s)/Zn2+
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นที่ขั้ว เขียนในรูปปฏิกิริยารีดักชัน Zn2+ + 2e- Zn(s)
เขียนในรูปปฏิกิริยาออกซิเดชัน Zn(s) Zn2+ + 2e-
2. ขั้วที่ไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยา (inert electrode) คือขั้วไฟฟ้าที่ทาหน้าที่เพียงให้อิเล็กตรอนไหล
ผ่านเท่านั้น โดยไม่มีส่วนร่วมใดๆ ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีกับไอออนในสารละลาย เช่นขั้ว Pt หรือขั้ว C
(แกรไฟต์) เช่นขั้ว Pt จุ่มในสารสารละลายที่ประกอบด้วย Fe3+และ Fe2+
Pt(s) / Fe3+, Fe2+
ขั้วไฮโดรเจนมาตรฐาน
ขั้วไฮโดรเจนมาตรฐาน (standard hydrogen electrode, SHE) หรือขั้วไฮโดรเจนปกติ (normal
hydrogen electrode, NHE) จัดเป็นขั้วแก๊ส โดยปฏิกิริยาของขั้วไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับ อนุมูลของแก๊ส H2
ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นที่ผิวของโลหะแพลตินัม (Pt) ทาหน้าที่ให้อิเล็กตรอนไหลผ่าน ขั้ว SHE ประกอบด้วย
แผ่นโลหะแพลตินัมบางที่มีผงโลหะแพลตินัมดา (black platinum) ที่ละเอียดมากเคลือบอยู่เป็นชั้นบางๆ
โดยแพลตินัมดาท าหน้าที่เป็ นตัว เร่งปฏิกิริยา (catalyts) ดังภาพที่ 4.4 โดยปฏิกิริยาของครึ่งเซลล์ ขั้ ว
ไฮโดรเจนมาตรฐานที่ความดัน 1 atm ในขณะที่ขั้วไฟฟ้าจุ่มสัมผัสกับสารละลาย H+ ที่มี activity เท่ากับ
1 (เทียบได้เท่ากับความเข้มข้นประมาณ 1 mol/L) ศักย์ไฟฟ้าของขั้วไฮโดรเจนมาตรฐานมีค่าเท่ากับ
0.000 V ปฏิกิริยาของครึ่งเซลล์ขั้วไฮโดรเจนมาตรฐานมีดังนี้
2H+(aq) + 2e- H2(g) E0 = 0.000 V
แผนภาพเซลล์ไฟฟ้า Pt(s) I H2(g,1 atm), H+(aq,1 M)
ลวดทองแดง
(ก) (ข)
ภาพที่ 4.5 เซลล์กัลวานิก (ก) SHE ต่อกับขั้วไฟฟ้า Zn/Zn2+ และ (ข) SHE ต่อกับขั้วไฟฟ้า Cu/Cu2+
4.2.2 ศักย์ไฟฟ้ารีดักชันมาตรฐาน
ค่าศักย์ ไฟฟ้ ารีดักชั นมาตรฐาน (standard reduction potential) เขี ย นแทนด้ว ย E0red หรือ E0
เป็นค่าที่แสดงความสามารถในการรับอิเล็กตรอนของครึ่งเซลล์ โดยเทียบกับ ขั้วไฮโดรเจนมาตรฐาน
(SHE) การวัดค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์ไฟฟ้า (E0cell) ใดๆ ทาได้โดยการนา SHE ต่อกับครึ่งเซลล์
ที่สนใจ ค่า E0cell คานวณจากสมการ (4.1)
การเขียนทิศทางของปฏิกิริยาขั้วไฟฟ้าและเครื่องหมายของศักย์ไฟฟ้าในปัจจุบันนี้อาศัย หลัก
ตามข้อเสนอแนะโดยสหพันธ์เคมีบริสุทธิ์และเคมีประยุกต์นานาชาติ (IUPAC) ดังนี้
1) เขียนครึ่งปฏิกิริยารีดอกซ์ให้อยู่ในรูปของปฏิกิริยารีดักชัน เช่น
Cu2+ + 2e- Cu
Zn2+ + 2e- Zn
+
H +e - ½H2
2) เขียนเครื่องหมายของศักย์ไฟฟ้าเป็นบวก (+) เมื่อ สารเป็นตัวออกซิไดซ์ที่ดีกว่า H+ แต่ถ้า H+
เป็นตัวออกซิไดซ์ที่ดีกว่าต้องเขียนเครื่องหมายของศักย์ไฟฟ้าเป็นลบ (-)
3) ศักย์ไฟฟ้ามาตรฐาน (E0) เป็นศักย์ไฟฟ้าที่วัดได้เมื่อสารแต่ละตัวที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยามีค่า
activity เป็ น 1 ถ้ า สารที่ เ ข้ า ท าปฏิ กิ ริ ย าละลายอยู่ ใ นตั ว ท าละลายใดถื อ ได้ ว่ า activity มี ค่ า เท่ า กั บ
ประมาณค่าความเข้มข้นของสารนั้นเป็น mol/L ถ้าสารตั้งต้นอยู่ในรูปของของแข็งหรือของเหลวบริสุทธิ์
ถือได้ว่าค่า activity เป็น 1 เพราะความเข้มข้นของสารในภาวะที่บริสุทธิ์นั้นคงที่และไม่ขึ้นกับปริมาณ
ประโยชน์ของค่า E0
1) ใช้เปรียบเทียบความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์ (ทาหน้าที่ให้อิเล็กตรอน) และตัวออกซิไดซ์
(ทาหน้าที่รับอิเล็กตรอน) ได้ดีกว่ากัน กล่าวคือ
สารที่มี E0 ต่ากว่า ทาหน้าที่ให้อิเล็กตรอน (ตัวรีดิวซ์) ได้ดีกว่าสารที่มี E0 สูงกว่า
หรือ สารที่มี E0 สูงกว่า ทาหน้าที่รับอิเล็กตรอน (ตัวออกซิไดซ์) ได้ดีกว่าสารที่มี E0 ต่ากว่า
เช่น Zn2+(aq) + 2e- Zn(s) E0 = -0.76
Ag+(aq) + e- Ag(s) E0 = 0.80
พิจารณา E0 Zn2+ < E0 Ag+
ดังนั้น Zn2+ เป็นตัวรีดิวซ์ที่ดีกว่า Ag+
Ag+ เป็นตัวออกซิไดซ์ที่ดีกว่า Zn2+
2) ใช้คานวณค่าศักย์ไฟฟ้าของเซลล์และครึ่งเซลล์
E0cell = E0cathode – E0anode
= E0ขั้วบวก – E0ขั้วลบ
= E0สูง - E0ต่า
ประโยชน์ของค่า E0cell
E0cell > 0 ปฏิกิริยาเกิดได้
E0cell < 0 ปฏิกิริยาเกิดไม่ได้ (เกิดในทิศตรงข้าม)
E0cell = 0 ปฏิกิริยาเกิดไม่ได้แน่นอน
ตารางที่ 4.1 ค่าศักย์ไฟฟ้าครึ่งเซลล์มาตรฐานที่ 25C ที่ 1 atm
ปฏิกิริยาครึ่งเซลล์รีดกั ชัน E0 (V)
F2(g) + 2e– 2F–(aq) +2.87
2+ –
Ag (aq) + e Ag+(aq) +1.99
Co3+(aq) + e– Co2+(aq) +1.82
H2O2(aq) + 2H (aq) + 2e–
+
2H2O +1.77
PbO2(s) + SO42–(aq) + 4H+(aq) + 2e– PbSO4(s) +2H2O +1.685
Au+(aq) + e– Au(s) +1.68
Ce4+(aq) + e– Ce3+(aq) +1.61 +1.70, 1-F HClO4
+1.44, 1-F H2SO4
MnO4–(aq) + 8H+(aq) + 5e– Mn2+(aq) + 4H2O +1.51
3+ –
Au (aq) + 3e Au(s) +1.5
Cl2(g) + 2e– 2Cl–(aq) +1.358
Cr2O72– + 14H+(aq) + 6e– 2Cr3+(aq) + 7H2O +1.33
+ –
MnO2(s) + 4H (aq) + 2e Mn2+(aq) + 2 H2O +1.23
+ –
O2(g) + 4H (aq) + 4e 2H2O +1.229
Pt2+(aq) + 2e– Pt(s) +1.2
Br2(l) + 2e– 2Br–(aq) +1.066
– –
AuCl4 + 3e Au(s) + 4Cl–(aq) +1.00
2+ –
Pd (aq) + 2e Pd(s) +0.987
NO3–(aq) + 4H+(aq) + 3e– NO(g) + 2H2O +0.96
2Hg2+(aq) + 2e– Hg22+(aq) +0.92
Hg2+(aq) + 2e– Hg(l) +0.855
+ –
Ag (aq) + e Ag(s) +0.7994
Hg22+(aq) + 2e– 2Hg(l) +0.789
Fe3+(aq) + e– Fe2+(aq) +0.771 +0.700, 1-F HCl
+0.68, 1-F H2SO4
O2(g) + 2H+(aq) + 2e– H2O2(aq) +0.682
I2(s) + 2e– 2I–(aq) +0.535
Cu+(aq) + e– Cu(s) +0.521
Cu2+(aq) + 2e– Cu(s) +0.337
–
HgCl2(s) + 2e 2 Hg(l) + 2Cl–(aq)+ +0.27
AgCl(s) + e– Ag(s) + Cl–(aq) +0.222
SO4 (aq) + 4H (aq) + 2 e–
2– +
SO2(g) + 2H2O +0.200
Cu2+(aq) + e– Cu+(aq) +0.153
Sn4+(aq) + 2e– Sn2+(aq) +0.15
2H+(aq) + 2e– H2(g) 0.00
Pb2+(aq) + 2e– Pb(s) -0.126
Sn2+(aq) + 2e– Sn(s) -0.154 -0.14, 1-F HCl
Ni2+(aq) + 2e– Ni(s) -0.25
Co2+(aq) + 2e– Co(s) -0.28
PbSO4(s) + 2e– Pb(s) + SO42–(aq) -0.356
2+ –
Cd (aq) + 2e Cd(s) -0.403
2+ –
Fe (aq) + 2e Fe(s) -0.44
Cr3+(aq) + 3e– Cr(s) -0.74
Zn2+(aq) + 2e– Zn(s) -0.763
2H2O(l) + 2e– H2(g) + 2OH-(aq) -0.8277
Mn2+(aq) + 2e– Mn(s) -1.18
Al3+(aq) + 3e– Al(s) -1.66
Mg2+(aq) + 2e– Mg(s) -2.37
Na+(aq) + e– Na(s) -2.714
Ca2+(aq) + 2e– Ca(s) -2.87
K+(aq) + e– K(s) -2.925
Li+(aq) + e– Li(s) -3.045
ตัวอย่าง 4.13 เมื่อนาครึ่งเซลล์ Ag I Ag+ ต่อกับครึ่งเซลล์ของ Pt I H2 I H+ พบว่าเข็มโวลต์มิเตอร์เบน
เข้าหาขั้ว Ag และวัดค่าศักย์ไฟฟ้าเท่ากับ 0.80 V จงคานวณศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของครึ่งเซลล์ Ag
วิธีคิด เมื่อเข็มโวลต์มิเตอร์เบนเข้าหาขั้ว Ag แสดงว่าครึ่งเซลล์ของ Ag I Ag+ ทาหน้าที่รับอิเล็กตรอน
(เกิดรีดักชัน) จึงเป็น E0cathode ส่วนครึ่งเซลล์ของ Pt I H2 I H+ ทาหน้าที่ให้อิเล็กตรอน (เกิดออกซิเดชัน)
จึงเป็น E0anode
E0cell = E0cathode – E0anode
0.80 = E0cathode – 0
ดังนั้น E0cathode = E0Ag = 0.80
ความหมาย ศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของปฏิกิริยารีดักชัน Ag+ + e- Ag E0 = 0.80 V
การคานวณศักย์ไฟฟ้าของขั้วไฟฟ้า
การคานวณหาศักย์ไฟฟ้าของขั้วไฟฟ้าที่จุ่มในสารละลายที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน โดยอาศัย
สมการเนินสท์
คานวณศักย์ไฟฟ้าของเซลล์เคมีไฟฟ้า
การคานวณหาศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน โดยอาศัยสมการเนินสท์