Professional Documents
Culture Documents
พันธะของคาร์ บอน
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายการเกิดพันธะของธาตุคาร์บอนและธาตุชนิดอื9นในสารประกอบอินทรี ยไ์ ด้
2. อธิบายเหตุผลที9ทาํ ให้มีสารอินทรี ยเ์ ป็ นจํานวนมากได้
3. เขีย นสู ตรโครงสร้ างแบบต่างๆ ได้แก่ ลิว อิส แบบย่อ แบบผสมและแบบใช้เส้น และมุมของสารประกอบ
อินทรี ยช์ นิดต่างๆ ได้
4. เขียนไอโซเมอร์โครงสร้างของสารประกอบอินทรี ยไ์ ด้
5. ทําการทดลองและอธิบายเกี9ยวกับการจัดเรี ยงอะตอมของคาร์บอนในสารประกอบอินทรี ยไ์ ด้
โครงสร้ างลิวอิส
ชืCอสาร สูตรโมเลกุล
แบบจุด แบบเส้ น
H H
H H
อีเทน C2H6 H C C H H C C H
H H
H H
H H H H
อีทีน (เอทิลีน) C2H4 C C C C
H H
H H
H
H
เมทานอล CH3OH H C O H H C O H
(เมทิลแอลกอฮอล์)
H
H
H O H O H
โพรพาโนน CH3COCH3 H C C C H H C C C H
(แอซีโตน)
H H H H
H
H
คลอโรมีเทน CH3Cl H C Cl H C Cl
(เมทิลคลอไรด์)
H
H
H H H
อะมิโนมีเทน CH3NH2 H C Cl H C N
H H
H
H
H
มีเทนไทออล CH3SH H C S H H C S H
H
H
H O H
H O H
เมทิลเอทาโนเอต C3H6O2 O C H H C C O C H
H C C
H H H H
การเขียนสูตรโครงสร้ างของสารประกอบอินทรีย์
สูตรโครงสร้ างของสารเป็ นสูตรทีCแสดงการจัดเรี ยงอะตอมของธาตุองค์ประกอบทีCมีอยู่ใน 1 โมเลกุลของสารนันW
สําหรับสารประกอบอินทรี ย์ทีCมีโมเลกุลขนาดใหญ่ การเขียนโครงสร้ างลิวอิสแสดงโครงสร้ างโมเลกุลของสารเหล่านันทํ
W าได้
ไม่สะดวก จึงอาจเขียนแสดงด้ วยสูตรโครงสร้ างแบบย่อ โดนแสดงเฉพาะพันธะคูห่ รื อพันธะสามระหว่างอะตอมของ
คาร์ บอน ส่วนอะตอมของธาตุอืCนทีCสร้ างพันธะกับอะตอมของคาร์ บอน ให้ เขียนไว้ ข้างคาร์ บอนและไม่ต้องแสดงพันธะแล้ ว
เขียนตัวเลขแสดงจํานวนอะตอมกํากับไว้ ถ้ ามีกลุ่มอะตอมเหมือนกันมากกว่า 1 หมู่ให้ เขียนไวในวงเล็บและระบุจํานวน
กลุ่มอะตอมไว้
สูตรโมเลกุลและสูตรโครงสร้ างของสารประกอบอินทรีย์บางชนิด
H H H H H
2– เมทิลบิวเทน
(ไอโซเพนเทน) H H H H H (CH3)2CHCH2CH3
C5H12 H C C C C C H
H H H H
H C H
เพนทีน
C5H10 CH2=CHCH2CH2CH3
H H H H
C C C C C H
H H H H H
ไซโคลเฮกเซน
C6H12 H H
H
H2
H C
C
H C C H
H2C CH2
H C C H
H C H H2C CH2
H H C
H2
ไซโคลเฮกซีน
C6H10 H H H2
H C H C
H C C H2C CH
H C C H2C CH
H C H C
H H H2
H H
เอทานอล
C2H6O H H CH3CH2OH
H C C O H
H H
นอกจากนี Wอาจเขียนสูตรโครงสร้ างจากสารประกอบอินทรี ย์เป็ นแบบเส้ นและมุม โดยใช้ เส้ นตรงแสดงพันธะระว่างคาร์ บอน
ถ้ ามีจํานวนคาร์ บอนต่อกันมากกว่า 2 อะตอมให้ ใช้ เส้ นต่อกันแบบซิกแซกแทนสายโซ่ของคาร์ บอนทีCปลายเส้ นตรงและแต่
ละมุมของสายโซ่ แทนอะตอมของคาร์ บอนต่ออยู่กับไฮโดรเจนในจํานวนทีCทําให้ คาร์ บอนมีเว้ เลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8 ถ้ าใน
โมเลกุลมีหมู่ของอะตอมแยกออกมาจากสายโซ่ของคาร์ บอน ให้ ลากเส้ นต่อออกมาจากสายโซ่และให้ จุดตัดของเส้ นแทน
อะตอมของคาร์ บอน ส่วนโมเลกุลทีCมีโครงสร้ างแบบวงให้ เขียนแสดงพันธะตามรูปเหลีCยมนันW
CH2=CHCH2CH3 เขียนเป็ น
H
H C H
เขียนเป็ น
H
CH2 CH3
H2
C
H2C CH
เขียนเป็ น
H2C CH
C
H2
H C H
C C
C C เขียนเป็ น
H C H
H H H H H
H C C C C C H CH3CH2CH=CHCH3
H H H
H
CH3
H C H O
H O BrCH CCH2COCl หรื อ
Br
Br C C C C Cl BrCH = C(CH3)CH2COCl Cl
H H
H C H
H
H C H H C H
H H H H
(CH3)3CCH2CH(CH2CH3)2
H C C C C C C H
H H H H H
H C H
H
H H H2
H C H C
H C C H2C CH2
H C C H2C CH2
H C H C
H H H2
H H
H2C CH2
C C
H H
H H
C C H2C CH2
N H N
H
H N
H
H H
อีเทน
H C C H
C2H6
H H
H H H
โพรเพน
H C C C H
C3H8
H H H
H H H H
บิวเทน
H C C C C H
C4H10
H H H H
H
2–เมทิล โพรเพน H C H
(ไอโซบิวเทน) H H
C4H10 H C C C H
H H H
H
H C H
เบนซีน C C
C6H6 C C
H C H
ทีCมา: http://www.promma.ac.th/chemistry/organic_chemistry
ทีCมา:ทีCมา: http://www.promma.ac.th/chemistry/organic_chemistry
H H H H O H
H C C H H C O H H C C C H
H H H H H
4. Partially extended structural formula บางครังW ต้ องการแสดงหมู่ฟังชันหรื อโครงสร้ างให้ เด่นชัด จะใช้ ขีดแสดงพันธะโค
เวเลนซ์ระหว่างคาร์ บอนกับคาร์ บอนหรื อระหว่างคาร์ บอนกับหมูฟ่ ั งก์ชนั ส่วนไฮโดรเจนยังคงเขียนรวมไว้ ทางขวาของ
คาร์ บอนหรื อธาตุอืCน เช่น
โครงสร้ างโซ่ ตรง (Straight chain) เป็ นโครงสร้ างทีCอะตอมของคาร์ บอนต่อกันเป็ นสายยาว โดยยึดอะตอมของ
คาร์ บอนเป็ นสายของโซ่ ส่วนอะตอมของธาตุอืCน ๆ เป็ นส่วนประกอบของโซ่ ไม่ถือว่าเป็ นกิCง
H H H H H
H H H H H H H C C C C C H
1 H C C C C C C H 2 H H H H
H H H H H H H C H
H
H
H H
H C H
H H H H C H H C H
3 H C C C C H 4 H H
H H H H C C C C H
H C H
H H H H
H
โครงสร้ างโซ่ กB ิง (Branched chain) เป็ นโครงสร้ างทีCหมู่อะตอมของคาร์ บอนต่อแยกจากสายยาว เกิดเป็ นกิCง
ขึ Wน โดยสายของอะตอมคาร์ บอนทีCยาวทีCสดุ เรี ยกว่าโซ่หลัก และอะตอมคาร์ บอนทีCแยกออกไปเรี ยกว่าโซ่กิCง
H
H H H C H
H C H H C H H H H H H
1 H H H H H H 2 H C C C C C C H
H C C C C C C C C H H H H H H
H H H H H H H H H C H
H
CH3
ไอโซเมอร์ ริซึม
จากโครงสร้ างลิวอิสและแบบจําลองโมเลกุล พบว่าสารประกอบอินทรี ย์บางชนิดมีสตู รโมเลกุลเหมือนกันแต่มี
สูตรโครงสร้ างได้ มากกว่า 1 แบบเช่น สารทีCมีสตู รโมเลกุล C4H10 จัดเรี ยงตัวแตกต่างกันได้ 2 แบบ ดังนี W
CH3
– 159.4 – 11.7 0.551
CH3 CH CH3
เมืCอพิจารณาโครงสร้ างของC4H10 พบว่าแบบแรกอะตอมของคาร์ บอนต่อกันเป็ นสายยาวโครงสร้ างแบบนี Wเรี ยกว่า
โซ่ตรง ส่วนแบบทีC 2 มีหมู่ -CH3 ต่อกับอะตอมของคาร์ บอนทีCเป็ นสายยาว โครงสร้ างแบบนี Wเรี ยกว่า โซ่กิCง สายทีCมีโครงสร้ าง
แบบโซ่ตรงหรื อโซ่กิCงรวมเรี ยกว่า โซ่เปิ ด
สําหรับสมบัติของสารทังW สามพบว่าโครงสร้ างแบบโซ่ตรงมีจุดหลอมเหลว จุดเดือด และความหนาแน่นสูงกว่า
แบบโซ่กิCง แสดงว่าสมบัติของสารประกอบอินทรี ยข์ ึ Wนอยู่กับโครงสร้ างของโมเลกุลด้ วย
ปรากฏการณ์ทีCสารประกอบอินทรี ย์มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่มีสมบัติแตกต่างกัน เรี ยกว่า
ไอโซเมอร์ ริซึม และเรี ยกสารแต่ละชนิดว่า ไอโซเมอร์ สําหรับไอโซเมอร์ ทีCมีสตู รโมเลกุลเหมือนกันแต่จดั เรี ยงตัวของอะตอม
ในตําแหน่งทีCต่างกันหรื อมีสตู รต่างกัน จะเรี ยกว่าไอโซเมอร์ โครงสร้ าง
หลักการเขียนไอโซเมอร์
w. พิจารณาจากสูตรโมเลกุลก่อนว่าเป็ นสารประเภทใด
ƒ. เมืCอทราบว่าเป็ นสารประเภทใดแล้ วจึงนํามาเขียนไอโซเมอร์
v. ถ้ าเป็ นสารพวกโซ่เปิ ด (Open chain หรื อ Acyclic) มักจะเริCมเขียนไอโซเมอร์ จากตัวทีCมี C ต่อกันเป็ นสายตรงยาวทีCสุด
ก่อน หลังจากนันจึW งลดความยาวของ C สายตรงลงครังW ละอะตอม
™. ในกรณีทีCเป็ นไฮโดรคาร์ บอนแบบวง (Cyclic chain) มักจะเริC มจากวงทีCเล็กก่อน คือเริC มจาก C v อะตอม แล้ วจึงเพิCมเป็ น
™ อะตอม ตามลําดับ
H
H
H H
H C H
H H H H C H H C H
3 H C C C C H 4 H H
H H H H C C C C H
H C H
H H H H
H
ข) ถ้ าสูตรโครงสร้ างต่างกัน จะเป็ นเป็ นไอโซเมอร์ กัน เช่น สารทีCมีสตู รโมเลกุลเป็ น C5H12 มี v ไอโซเมอร์ ดังนี W
CH3
CH3
CH3 CH2 CH2 CH2 CH3 CH3 C CH3
CH3 CH CH2 CH3
CH3
สําหรับสารทีCมีสตู รโมเลกุลเป็ น C5H10 มีไอโซเมอร์ ทีCเป็ นโซ่เปิ ด 6 ไอโซเมอร์ โดยเป็ นโซ่ตรง ƒ ไอโซเมอร์ และ
โซ่กิCง v และแบบวงอีก w ไอโซเมอร์ ดังนี W
H H H H H H H H H
H
1 C C C C C H 2 H C C C C C H
H
H H H H H H
H H
H C H H C H
H H H H
3 H 4 H
C C C C H C C C C H
H H
H H H H
H
H H
H C H
H C H
H C C H
5 H H H 6
C C
H C C C C H
H H
H H
H H
หมู่ฟังก์ ชB นั
จุดประสงค์ การเรียนรู้
1. อธิบายความหมานของหมู่ฟังก์ชนั ได้
2. เรี ยกชืCอหมู่ฟังก์ชนั ของสารประกอบอินทรี ย์ชนิดต่างๆได้
3. จําแนกประเภทของสารประกอบอินทรี ย์ โดยใหมู่ฟังก์ชนัC และชนิดขแงธาตูทีCเป็ นองค์ประกอบเป็ นเกณฑ์ พร้ อม
ทังยกตั
W วอย่างได้
4. ทําการทดลองและอธิบายเกีCยวกับสมบัติและปฏิกิริยาบางประการของเอทานอลและกรดอซิติก รวมทังW เขียน
สมการเคมีแสดงปฏิกิริยาทีCเกิดขึ Wนได้
CH3–CH2–OH
เอทานอล
แอลกอฮอล์
(เอทิลแอลกอฮอล์)
–OH ไฮดรอกซิล
H
C
HC C OH
ฟี นอล ฟี นอล HC CH
C
H
ประเภทของ ตัวอย่างสารประกอบ
หมู่ฟังก์ชนั ชืCอหมู่
สารประกอบ ชืCอ สูตรโครงสร้ าง
O เมทิลเอทาโนเอต O
แอลคอกซีคาร์ บอนิล เอสเทอร์
C O R (เมทิลแอซีเตต) CH3 C O CH3
O O
คาร์ บอกซาลดีไฮด์ แอลดีไซด์ เมทานาล
C H H C H
O O
คาร์ บอนิล คีโตน โพรพาโนน
C CH3 C CH3
O O
เอไมด์ เอไมด์ เมทานาไมด์
C NH2 H C NH2
สารประกอบไฮโดรคาร์ บอน
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายและจําแนกประเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนได้
2. เขียนสู ตรทัว9 ไป สู ตรโมเลกุลและสู ตรโครงสร้าง พร้อมทัOงเรี ยกชื9อแอลเคน แอลคีน แอลไคน์
ไซโคลแอลเคน และไซโคลแอลคีนได้
3. อธิบายความแตกต่างระหว่างไอโซเมอร์โครงสร้างกับไอโซเมอร์เรขาคณิ ต
4. อธิบายสมบัติและการเกิดปฏิกิริยาของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที9มีจาํ นวนอะตอมของคาร์บอนเท่ากันแต่
ชนิดของพันธะในโมเลกุลต่างกัน พร้อมทัOงบอกเหตุผลได้
5. ระบุชนิดของไอโซเมอร์เรขาคณิ ตของสารประกอบแอลคีนได้ว่าเป็ นแบบซิสหรื อ
แบบทรานส์
6. อธิ บายแนวโน้มความสัมพันธ์ระหว่างจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของแอลเคนไซโคลแอลเคน แอลคีนและ
แอลไคน์กบั จํานวนอะตอมของคาร์บอนได้
7. บอกประโยชน์หรื ออันตรายของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่างๆ ได้
8. ทําการทดลองเพื9อ เปรี ยบเที ยบสมบัติและปฏิกิริยาบางประการของสารประกอบไฮโดรคาร์ บ อนประเภท
ต่างๆ พร้อมทัOงเขียนสมการเคมีแสดงปฏิกิริยาที9เกิดขึOนได้
CH3CH2CH2CH2CH2CH3
เฮกเซน (C6H14)
CH2=CH(CH2)3CH3
เฮกซีน (C6H12)
H C H
C C
C C
H C H
H
เบนซีน (C6H6)
2
. การเผาไหม้ สารประกอบไฮโดรคาร์ บอนสามารถลุกไหม้ โดยเกิดปฏิกิริยากับแก๊ สออกซิเจน ได้ ผลิตภัณฑ์เป็ นแก๊ ส
คาร์ บอนไดออกไซด์และไอนําW
2 C6H14(g) + 19 O2(g) ¾
¾® 12 CO2(g) + 14 H2O(g)
C6H12(g) + 9 O2(g) ¾
¾® 6 CO2(g) + 6 H2O(g)
การเรียกชืBอสารประกอบไฮโดรคาร์ บอน
M. การเรียกชืBอสามัญ (Common name) ใช้ เรี ยกชืCอสารประกอบอินทรี ย์ทีCมีโมเลกุลขนาดเล็ก ๆ และ
โครงสร้ างโมเลกุลเป็ นแบบง่าย ๆ ไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอน เช่น กรดฟอร์ มิก (HCOOH) กรดแอซีติก (CH3COOH) ซึCงการ
เรี ยกชืCอสามัญจะตังW ชืCอตามแหล่งกําเนิดของสารประกอบ หรื อตามชืCอของผู้ค้นพบ เมืCอการค้ นพบสารประกอบอินทรี ย์มาก
ขึ WนเรืC อย ๆ การเรี ยกชืCอสาทัญอาจทําให้ เกิดความสับสน
_. การเรียกชืBอระบบ IUPAC เป็ นระบบการเรี ยกชืCอสารประกอบทีCนกั เคมีได้ จดั ระบบขึ Wนในปี พ.ศ.ƒƒvœ
(ค.ศ.w•žƒ) เรี ยกระบบนีวW ่า International Union of Pure and Applied Chemistry หรื อ IUPAC จะเรี ยกตามจํานวน
อะตอมโดยใช้ จํานวนนับในภาษากรี ก ซึCงประกอบด้ วย v ส่วน คือ ส่วนทีC w โครงสร้ างหลัก ส่วนทีC ƒ คําลงท้ าย ส่วน v คํา
นําหน้ า
2.M) โครงสร้ างหลัก เป็ นส่วนทีCแสดงลักษณะโครงสร้ างหลักของคาร์ บอนทีCต่อกันเป็ นสายยาวทีCสุด การเรี ยกชืCอ
โครงสร้ างหลักจะเรี ยกตามจํานวนอะตอมของคาร์ บอนทีCต่อกันเป็ นสายยาวทีCสดุ โดยกําหนดการเรี ยกชืCอดังนี W
1 = (meth-) มีทหรื อเมท 2 = (eth-) อีทหรื อเอท
3 = (prop-) โพรพ 4 = (but-) บิวท
5 = (pent-) เพนท 6 = (hex-) เฮกซ
7 = (hep-) เฮปท 8 = (oct-) ออกท
9 = (non-) โนน 10 =(dec-) เดกค
ประเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์ บอน
สารประกอบไฮโดรคาร์ บอนแบ่งออกตามลักษณะโครงสร้ างได้ 2 ประเภทคือ ประเภทแอลิแฟติกและประเภท
อะโรมาติก
แอลิแฟติกไฮโดรคาร์ บอน(aliphatic hydrocarbon) คือไฮโดรคาร์ บอนทีCไม่มีหมู่เบนซีนหรื อวงแหวนเบนซีน แอ
ลิเฟติกไฮโดรคาร์ บอนยังแบ่งได้ เป็ น แอลเคน แอลคีน แอลไคน์ ส่วนแอโรมาติกโดรคาร์ บอน(aromatic hydrocarbon) มี
วงแหวนเบนซีนอยู่อย่างน้ อย 1 วง
แอลเคน ( alkane)
สมบัติของแอลเคน
สมบัติทางกายภาพ
w. เป็ นโมเลกุลไม่มีขวั W ไม่ละลายนํ Wา แรงยึดเหนีCยวระหว่างโมเลกุลเป็ นแรงลอนดอน จุดหลอมเหลว–จุดเดือดจึง
ตํCามาก ซึCงเพิCมขึ Wนตามจํานวนอะตอมของคาร์ บอนทีCเพิCมขึ Wน
ƒ. ทีCอุณหภูมิห้อง (ƒ£OC) แอลเคนทีCมี C 1-4 อะตอม มีสถานะเป็ นแก๊ ส £–wœ อะตอม เป็ นของเหลว และ w•
อะตอมขึ Wนไปเป็ นของแข็ง
v. ความหนาแน่นน้ อยกว่านํ Wา
™. เป็ นสารประกอบทีCไม่มีสี ไม่มีกลิCน เมืCอนํามาใช้ เป็ นเชื Wอเพลิงต้ องเติมสารทีCมีกลิCนลงไป เช่น butyl mercaptan
เพืCอตรวจสอบการรัCวของแก๊ ส
สมบัติทางเคมี
ปฏิกิริยาของแอลเคน
โดยทัวC ไป แอลเคน จัดว่าเป็ นสารทีCไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยามากนักแต่ภายใต้ สภาวะทีCเหมาะสมก็สามารถ
เกิดปฏิกิริยาได้ หลายแบบ รวมทังปฏิ
W กิริยาการเผาไหม้ และเป็ นปฏิกิริยาทีCคายความร้ อนสูง
2.ปฏิกิริยาการแทนทีB
ปฏิกิริยาเฮโลจิเนชัBนของแอลเคน
แอลเคนเป็ นสารประกอบไฮโดรคาร์ บอนอิCมตัว ซึCงหมายถึงมีพนั ธะระหว่างอะตอมคาร์ บอนเป็ นพันธะเดีCยว
สามารถเกิดปฏิกิริยากับเฮโลเจน (halogen : F , Cl , Br , I) ได้ ในทีCมีแสงสว่าง โดยเกิดปฏิกิริยาแทนทีC (substitution
reaction) หรื อปฏิกิริยาเฮโลจิเนชันC ของแอลเคน คือการ แทนทีCไฮโดรเจนอย่างน้ อย 1 อะตอม ด้ วยเฮโลเจนอะตอม เมืCอ
ผสมมีเทนกับคลอรี นแล้ วทําให้ ร้อนขึ Wนจนอุณหภูมิสงู กว่า 100◦C หรื อฉายแสงทีCมีความยาวคลืCนพอเหมาะ จะเกิด
เมทิลคลอไรด์ขึ Wนดังสมการ
CH4(g) + Cl2(g) CH3Cl(g) + HCl(g)
หลักฐานจากการทดลองเชืCอว่า ขันตอนแรกของการเกิ
W ดปฏิกิริยาเกิดขึ Wนดังนี W
Cl2(g) + พลังงาน Cl· + Cl·
การเรียกชืBอแอลเคน
การเรี ยกชืCอแอลเคนในระบบ IUPAC จะเรี ยกตามจํานวนอะตอมของคาร์ บอนเป็ นภาษากรี กและลงท้ ายด้ วย
เสียง เ-น(-ane)
ส่วนพวกแอลเคนทีCเป็ นโซ่กิCงต้ องเรี ยกชืCอตามกฎเกณฑ์ โดยหมู่อะตอมทีCแยกออกมาจากสายโซ่ของคาร์ บอนเป็ น
โมเลกุลของแอลเคนทีCสูญเสียไฮโดรเจน 1 อะตอม หมู่อะตอมนี Wเรี ยกว่าหมู่แอลคิล
การเรียกชืBอหมู่แอลคิล
ชืCอหมู่แอลคิล เรี ยกโดยตัด -ane ของชืCอ แอลเคนออก แล้ วเติม -yl เข้ าไปเนืCองจากหมู่แอลคิลถือเป็ นหมู่แอลเคน
ทีCเอา ไฮโดรเจนออกไป 1 อะตอม มีสูตรทัวC ไปเป็ น CnH2n+1 และใช้ R-เป็ นสูตรทัCวไปแทนสูตรแอลคิล ตัวอย่างเช่น CH3-
เป็ นชิ Wนส่วนของมีเทนเรี ยกว่า หมู่ methyl, CH3-CH2- เรี ยกหมู่ ethyl, CH3-CH2-CH2 เรี ยกหมู่ propyl, และ CH3-CH2-
CH2-CH2- เรี ยกหมู่ butyl ในกรณีทีCหมู่แอลคิลมีจํานวนอะตอมมากกว่า 2อะตอม จะมีหมู่แอลคิลได้ มากกว่า 1 หมู่ เช่นใน
กรณีของโพรพิลคลอไรด์ (proply chloride) จะมี 2 ไอโซเมอร์ คือ นอร์ มอล-โพรพิลคลอไรด์ (n-propyl chlirideX และไอโซ
โพรพิลคลอไรด์ (isopropyl chloride) ดังนันหมู W ่โพรพิล (propyl grouo) มี2 แบบซึCงแตกต่างกันทีCตําแหน่งทีCต่อกับคลอรี น
อะตอม ถ้ าตําแหน่งทีCต่ออยู่ทีCคาร์ บอนตัวริ ม เรี ยกนอร์ มอล-โพลพิล (n-propyl) แต่ถ้าต่อทีCตําแหน่งคาร์ บอนตัวกลาง เรี ยก
ไอโซโพรพิล (iso-propyl)
ดังรูป
CH3 CH3
CH3--CH2--CH-- CH3--C--CH3
sec-butyl gr. tert-butyl gr.(t-butyl gr. )
ตําแหน่งรองสุดท้ าย
Sec- ย่อมาจาก secondary ใช้ นําหน้ าชืCอหมู่แอลคิลชนิดทีCมีจุดต่ออยู่ตรงตําแหน่งทีCเป็ น secondary คาร์ บอน เช่น
CH3
CH3--CH2--CH--
ถ้ า คาร์ บอนทีCเป็ นจุดต่อ เป็ น tertiary คาร์ บอนอะตอม ก็เรี ยกเป็ น tert- หรื อ t-alkyl เช่น
CH3
CH3--CH2--CH--
CH3
การเรียกชืBอแอลเคนทีBเป็ นโซ่ กB งิ
1. นับจํานวนคาร์ บอนทีCต่อกันเป็ นโซ่ทีCยาวทีCสดุ เป็ นโซ่หลัก แล้ วพิจารณาให้ ส่วนทีCเหลือคือหมู่แอลคิลเป็ นกิCงสาขาทีCมา
แทนทีCไฮโดรเจนในโซ่หลัก อ่านชืCอสูตรหลักตามหลักการเรี ยกชืCอเป็ นแบบแอลเคนโซ่ตรงคืออ่านชืCอสูตรหลักตามจํานวน
คาร์ บอน ลงท้ ายด้ วย (ane-) เป็ นชืCอหลัก ดังนี W
CH3
CH3--CH--CH2--CH2--CH2 สูตรหลักมี 5 ตัว = pentane
CH2-CH3
CH3--CH2--CH2--CH2--CH2--CH2--CH3 3- ethyl-3- methylheptane
1 2 CH3 4 5 6 7
การเรียกชืBอสามัญ
แอลเคนทีCมีคาร์ บอนน้ อยนิยมเรี ยกชืCอสามัญ โดยเรี ยกตามลักษณะการจัดตัวของคาร์ บอนอะตอมด้ วยคํานําหน้ า
เช่น n-, iso-, neo- ซึCงคํานําหน้ าเหล่านี Wจะบอกถึง structure isomers เช่นเดียวกับการเรี ยกชืCอแอลคิล ตัวอย่างเช่น
CH3 CH3
CH3--CH2--CH2--CH2--CH3 CH3--CH2--CH2--CH3 CH3--C--CH3
CH3
n-pentane iso-pentane neo-pentane
นอกจากแอลเคนทีCมีโครงสร้ างเป็ นโซ่เปิ ดแล้ ว ยังมีแอลเคนทีCมีโครงสร้ างเป็ นแบบวง โดยประกอบด้ วย คาร์ บอน
ตังแต่
W 3 อะตอมขึ Wนไปสร้ างพันธะเดีCยวต่อกันเป็ นรูปเหลีCยมต่างๆ เช่น สามเหลีCยม สีCเหลีCยม ห้ าเหลีCยม หกเหลีCยม เป็ นต้ น
ซึCงเรี ยกว่า ไซโคลแอลเคน การเรี ยกชืCอของไซโคลแอลเคนทําได้ เช่นเดียวกับการเรี ยกชืCอของแอลเคน แต่นําหน้ าด้ วยคําว่า
ไซโคล ตัวอย่างเช่น
H2 H2C CH2
H2 H2C CH2 C
C
H2C CH2 H2C CH2
ประโยชน์ ของแอลเคน
1. CH4 ใช้ เป็ นเชื Wอเพลิงในโรงไฟฟ้า และโรงงานต่าง ๆ ใช้ เป็ นวัตถุดิบในการผลิตเคมีภณ
ั ฑ์ต่าง ๆ เช่น เมทานอล
(CH3OH)
ƒ. อีเทน (C2H6) และโพรเพน (C3H8) ใช้ ในการผลิตเอทิลีน (C2H4) และโพรพิลีน (C3H6) เพืCอเป็ นสารตังW ต้ นในการ
ผลิตเม็ดพลาสติก
v. แก๊ สผสมระหว่างโพรเพน (C3H8) กับบิวเทน (C4H10) ใช้ เป็ นแก๊ สเชื Wอเพลิงหุงต้ ม แก๊ สทังสองได้
W จากการกลันC
ปิ โตรเลียมและแก๊ สธรรมชาติ เมืCอบรรจุในถังเหล็กภายใต้ ความดันสูง จะมีสถานะเป็ นของเหลว จึงเรี ยกว่า “แก๊ สปิ โตรเลียม
เหลว” (Liquefied Petroleum Gas หรื อ LPG)
™. เฮกเซน ใช้ เป็ นตัวทําละลายในอุตสาหกรรมการสกัดนํ Wามันพืช และนํ Wาหอม
£. ไซโคลเฮกเซน ใช้ เป็ นตัวทําละลายในการทําเรซินและแลกเกอร์ ใช้ ล้างสี ใช้ เป็ นสารตังต้
W นในการผลิตสารประกอบ
อินทรี ย์ เช่น เบนซีน
°. แอลเคนทีCมีมวลโมเลกุลสูง ๆ เช่น พาราฟิ น ใช้ เคลือบผักและผลไม้ เพืCอรักษาความชุ่มชื Wนและยับยังการเจริ
W ญเติบโตของ
เชื Wอรา นอกจากนี W ยังใช้ แอลเคนเป็ นสารตังต้
W นในอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น อึตสาหกรรมผลิตผงซักฟอก เส้ นใย สารเคมี
ทางการเกษตร และสารกําจัดศัตรูพืช
โทษของแอลเคน
แอลเคนเป็ นโมเลกุลไม่มีขวั W จึงละลายสารประกอบอินทรี ย์ทีCไม่มีขวั W เช่น ไขมันและนํ Wามัน ได้ ดี การสูดดมไอ
ของแอลเคนเป็ นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ โดยแอลเคนไปละลายไขมันในผนังเซลล์ของปอด หรื อถ้ าผิวหนังสัมผัส
กับตัวทําละลาย เช่น เฮกเซน จะทําให้ ผิวหนังแห้ งและแตก เพราะไขมันถูกชะล้ างออกไป
แอลคีน(alkene)
จํานวน
สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้ าง ชืCอ จุดหลอมเหลว (OC) จุดเดือด (OC)
อะตอม C
2 C2H4 CH2=CH2 อีเทน – 169.1 – 103.7
3 C3H6 CH2=CHCH3 โพรพีน – 185.2 – 47.7
4 C4H8 CH2=CHCH2CH3 1–บิวเทน –185.3 – 6.3
5 C5H10 CH2=CH(CH2)2CH3 1–เพนทีน – 165.2 30.0
6 C6H12 CH2=CH(CH2)3CH3 1–เฮกซีน – 139.8 63.5
7 C7H14 CH2=CH(CH2)4CH3 1–เฮปทีน – 119.0 93.6
8 C8H16 CH2=CH(CH2)5CH3 1–ออกทีน – 101.7 121.3
H H H CH3
C C C C
ด"านเดียวกัน ด"านตรงข"ามกัน
ไอโซเมอร์ แบบซิส (cis–) ไอโซเมอร์ แบบทรานส์ (trans–)
จุดหลอมเหลว –138.9OC จุดเดือด v.œOC จุดหลอมเหลว –105.5OC จุดเดือด ˜.•OC
การเรียกชืBอแอลคีน
การเรี ยกชืCอของแอลคีนมีหลักเดียวกันกับการเรี ยกชืCอของแอลเคนแต่ลงท้ ายเสียงเป็ น (-ene)
การเรียกชืBอสามัญ
การเรี ยกชื9อสามัญนีOทาํ ได้โดยการเปลี9ยน -ane ของชื9อสามัญของแอลเคนเป็ น -ylene แต่การเรี ยกชื9อสามัญ
ของแอลคีนนัOนนิยมเรี ยกเพียงไม่กี9ชนิด ตัวอย่างเช่น
สูตรโครงสร้ าง ชืBอสามัญ
CH2=CH2 เอทิลีน (ethylene)
CH2=CH–CH3 โพรพิลีน (propylene)
CH2=CH–CH2–CH3 บิวทิลีน (butylenes)
CH2 C CH3
ไอโซบิวทิลีน (isobutylene)
CH3
การเรียกชืBอตามระบบ IUPAC
มีหลักเช่นเดียวกับการเรี ยกชื9อแอลเคนแต่ลงท้ายเสี ยงเป็ น (-ene) ดังนีO
w.เรี ยกชือC โครงสร้ างหลักตามจํานวนอะตอมคาร์ บอน โดยใช้ หลักเกณฑ์เดียวกับการเรี ยกชืCอแอลเคน แต่ลงท้ ายเสียงเป็ น –
อีน (–ene)
ƒ.แสดงตําแหน่งจองพันธะคู่ระหว่างอะตอมคาร์ บอนซึCงเริCมต้ นจากปลายโซ่ด้านใดก็ได้ ทีCทําให้ ตําแหน่งของพันธะคู่เป็ นตัว
เลขทีCน้อยทีCสุด แล้ ะวเขียนตัวเลขไว้ หน้ าชืCอของแอลคีน ยกเว้ น อีทีน และโพรพีน ไม่ต้องแสดง
CH2=CH2 อีทีน
CH2=CHCH3 โพรพีน
CH2=CHCH2CH3 1–บิวทีน
CH3CH =CHCH3 2–บิวทีน
CH3CH =CHCH2CH3 2–เพนทีน
ส่วน จีโอเมตริกไอโซเมอร์ (geometrical isomers) ใช้ คํานําหน้ าว่า cis- , trans- เพืCอบ่งบอกลักษณะของหมู่ทีC
ต่อทีCพนั ธะคู่ของคาร์ บอนทังสอง
W เช่น
H H H CH3
C C C C
H3C H
H H
C C C C
H2
H2 C
H2 H2C CH2 C H2C CH
C
H2C CH2
HC CH H2C CH
HC CH
HC CH C
H2
ไซโคลโพรพีน ไซโคลบิวทีน ไซโคลเพนทีน ไซโคลเฮกซีน
สมบัติของแอลคีน
สมบัติทางกายภาพ
w) แอลคีนทีCโมเลกุลเล็ก ๆ มีจํานวนอะตอม C 2–4 อะตอมจะมีสถานะเป็ นแก๊ ส เมืCอขนาดโมเลกุลใหญ่ขึ Wน C 5–8 อะตอม
เป็ นของเหลว ถ้ าขนาดใหญ่กว่านี Wจะเป็ นของแข็ง
ƒ) เป็ นโมเลกุลโคเวเลนต์ไม่มีขวั W จึงไม่ละลายในตัวทําละลายมีขวั W เช่น นํ Wา แต่ละลายได้ ดีในตัวทําละลายทีCไม่มีขวั W เช่น
benzene toluene
v) ไม่นําไฟฟ้าในทุกสถานะ มีกลิCนเฉพาะตัว เช่น C2H4 เมืCอดมมาก ๆ อาจสลบได้
4) มีความหนาแน่นน้ อยกว่านําW เมืCอมวลโมเลกุลเพิCมขึ Wน ความหนาแน่นจะเพิCมขึ Wน
5) จุดหลอมเหลว จุดเดือดตํCา เพราะแรงยึดเหนีCยวระหว่างโมเลกุลเป็ นแรงลอนดอน
6)สมบัติเกีCยวกับจุดเดือดและจุดหลอมเหลวของแอลคีน มีค่าสูงขึนW เมืCอจํานวนอะตอมของคาร์ บอนเพิCมขึ Wนเช่นเดียวกับแอ
ลเคนแต่การเกิดปฏิกิริยาต่างจากแอลเคน
สมบัติทางเคมี
ปฏิกิริยาของแอลคีน
w. ปฏิกิริยาการเผาไหม้ แอลคีนติดไฟได้ ง่าย เป็ นปฏิกิริยาคายความร้ อนทีCบรรยากาศปกติจะเกิดเขม่าหรื อมี
ควัน แต่ถ้าผาในบริเวณทีCมีแก๊ สออกซิเจนจํานวนมากเกินพอ จะเกิดปฏิกิริยาสมบูรณ์ ไม่มีเขม่า ได้ CO2 และ H2O
ตัวอย่างปฏิกิริยา เช่น
C2H4(g) + 3 O2(g) ¾
¾® 2 CO2(g) + 2 H2O(g)
C3H8(g) + 5 O2(g) ¾
¾® 3 CO2(g) + 4 H2O(g)
H H H H H H H
H
C C C C H + Br2 ¾
¾® H C C C C H
H Br Br H H
H H
1–butane 1,2–dibromo butene
2.2 ปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจน (Addition of Hydrogen) เป็ นปฏิกิริยาการเติม Br2 หรื อเรี ยกว่า
hydrogenation แอลคีนจะรวมตัวกับ H2 ได้ เป็ นแอลเคน โดยมี Pt , Ni หรื อ Pd เป็ นตัวเร่งปฏิกิริยา
H H H H H H H H
C C C C H + H2 ¾
¾® H C C C C H
H H H H H H H
1–butane butane
2.3 Hydroxylation หรื อ Glycol formation แอลคีนสามารถฟอกจางสีหรื อทําปฏิกิริยากับสารละลาย
KMnO4 ในสารละลายกรด ได้ ผลิตภัณฑ์เป็ นไกลคอล (glycol) และมีตะกอนสีนํ Wาตาลดําของแมงกานีส (IV) ออกไซด์
เกิดขึ Wน ไกลคอลเป็ นสารประกอบประเภทแอลกอฮอล์ทีCมีหมู่ –OH เกาะอยู่กับ C ƒ อะตอมติดกัน
H H H H H H H H
C C C C H H C C C C H
+ KMnO4 + H2O ¾
¾® + MnO2 + KOH
H H H OH OH H H
1 – butene glycol
การเติมรี เอเจนต์ทีCไม่สมมาตร(มีขว)
ั W เข้ าทีCแอลคีนจะเข้ าในทิศทางทีCให้ คาร์ โบแคทไอออนทีCมีความเสถียรมากกว่า
ดังนี W
Cl
+ + -
CH3--CH=CH2 + H CH3--C --CH3 + Cl CH3--CH--CH3
H
Br
+ + -
(CH3)C=CHCH3 + H (CH3)2C --CH2CH3 + Br (CH3)2C--CH2--CH3
สมบัติและปฏิกิริยาของไซโคลแอลคีน
ไซโคลแอลคีน มีสมบัติต่าง ๆ คล้ ายกับแอลคีน เช่น การลุกไหม้ การดกิดปฏิกิริยาแบบเติมหรื อรวมตัวกับ
เฮโลเจน เช่น ฟอกจางสีโบรมีน เกิดปฏิกิริยากับสารละลายโพแทสเซียมเปอร์ แมลกาเนต
Br
+ Br2 ¾
¾®
Br
ไซโคลเฮกซีน ไดโบรโมไซโคลเฮกซีน
แอลไคน์ (Alkynes)
จํานวน จุดหลอมเหลว
สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้ าง ชืCอ จุดเดือด (OC)
อะตอม C (OC)
2 C2H2 CHºCH อีไทน์ – 80.8 – 84.0
3 C3H4 CHºCCH3 โพรไพน์ – 102.7 – 23.2
4 C4H6 CHºCCH2CH3 1–บิวไทน์ –125.7 8.0
5 C5H8 CHºC(CH2)2CH3 1–เพนไทน์ – 105.7 40.2
6 C6H10 CHºC(CH2)3CH3 1–เฮกไซน์ – 131.9 71.3
7 C7H12 CHºC(CH2)4CH3 1–เฮปไทน์ – 81.0 99.7
8 C8H16 CHºC(CH2)5CH3 1–ออกไทน์ – 79.3 125.2
การเรียกชืBอแอลไคน์
การเรี ยกชืCอแอลไคน์นนสามารถเรี
ัW ยกได้ 2 ระบบเหมือนกับแอลเคน และ แอลคีน คือเรี ยกตามระบบสามัญ (
สําหรับแอลไคน์เรี ยกเป็ นอนุพนั ธ์ของอะเซทิลีน) โดยเรี ยกชืCอหมู่ของแอลคิลทีCเข้ าแทนทีCไฮโดรเจนนหน้ านําหน้ าและลงท้ าย
ด้ วยอะเซทิลีน ส่วนการเรี ยกชืCอตามระบบ IUPAC นันมีW หลักเดียวกันกับการเรี ยกชืCอของแอลเคน แต่ลงท้ ายเสียงเป็ น
(-yne) และบอกตําแหน่งของพันธะสามด้ วยตัวเลขไว้ หน้ าชืCอหลักเหมือนกับแอลคีน การเรี ยกชืCอสารประกอบต่อไปนี Wเป็ น
ตัวอย่างของทังW 2 ระบบ
CH3
H--C≡C--CH2--CH3 CH3--C≡C--CH3 CH3--C≡C--CH--CH3
Ethylacetylene Dimethylacetylene methylisopropyleacetylene
1-butyne 2-butyne 4-methyl-2-pentyne
CH≡C-CH2-CH2-OH HOCH2-C≡C-CH2-OH
3-butyne-1 -yne 2-butyne-1,4-diol
ถ้ าในโมเลกุลของสารประกอบไฮโดรคาร์ บอนมีทงพั
ั W นธะคู่และพันธะสามให้ ใช้ แอลไคน์เป็ นชืCอลงท้ ายพร้ อมทังใส่
W
เลขบอกตําแหน่งของพันธะสามด้ วยเลขน้ อยตามลักษณะการเรี ยงของตําแหน่งพันธะเหล่านันW จากขาวไปซ้ าย
CH3-CH=CH-C≡CH HC≡C-CH2-CH=CH2
3-penten-1-yne 1-penten-4-yne
สมบัติของแอลไคน์
สมบัติทางกายภาพ
w. แอลไคน์เป็ นสารโคเวเลนต์ไม่มีขวั W จึงไม่ละลายนํ Wา
2. มีความหนาแน่นน้ อยกว่านํ Wา
v. จุดเดือด–จุดหลอมเหลวตํCา เพิCมขึ Wนตามจํานวนอะตอม C เมืCอเปรี ยบกับแอลเคน แอลคีน และแอลไคน์ ทีCมีจํานวน
อะตอมคาร์ บอนเท่ากัน จะมีจุดเดือด–จุดหลอมเหลวเรี ยงลําดับดังนี W
แอลไคน์ > แอลเคน > แอลคีน
สมบัติทางเคมี
เนืCองจากแอลไคน์มีหมู่ฟังก์ชนั เป็ นพันธะสามดังนันปฏิ
W กิริยาของแอลไคน์จึงเป็ นปฏิกิริยา ทีCคล้ ายๆกับแอลคีน
ดังนี W
w. ปฏิกิริยาการเผาไหม้ (Combusion) การเผาไหม้ ในบรรยากาศปกติ หรื อมีออกซิเจนน้ อยจะให้ เขม่ามากกว่าแอลคีน
แต่ถ้าเผาในบริเวณทีCมีออกซิเจนมากจะไม่มีเขม่า เมืCอเกิดปฏิกิริยาจะได้ แก๊ ส CO2 และ H2O
ƒ. ปฏิกิริยาการเติม (Addition reaction) แอลไคน์เป็ นสารประกอบไฮโดรคาร์ บอนไม่อิCมตัว จึงเกิดปฏิกิริยาการเติมเฮโล
เจน
2.M ปฏิกิริยาการเติมเฮโลเจน แอลไคน์ฟอกจางสีสารละลายโบรมีนได้ โดยไม่ต้องใช้ ตวั เร่ ง ปฏิกิริยาหรื อ
แสงสว่าง
Br Br
Br R
Br2 Br2
R C C R ¾¾¾® C C ¾¾¾® R C C R
R Br
Br Br
ดังสมการ
FeBr3
CH3(CH2)3C≡H+ HBr CH3(CH2)3CBr=CH2
ปฏิกิริยาการเติมบนแอลไคน์จะว่องไวต่อรี เอเจนต์น้อยกว่าแอลคีน
ƒ) ปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจน หรื อ hydrogenation แอลไคน์สามารถเกิดปฏิกิริยากับไฮโดรเจนโดยมี Pt , Ni ,
Pd เป็ นตัวเร่งปฏิกิริยาได้ แอลคีนและแอลเคนตามลําดับ
Pt,Pd,Ni
R-C≡C-R + 2H2 R-CH2=CH2-R
ปฏิกิริยาเกิดเป็ นขันๆ
W ดังนี W
CH≡CH + 2H2 CH2=CH2 ∆H◦ = -41.9 kJ/mol
CH2=CH2 + H2 CH3-CH3 ∆H◦ = -42.7 kJ/mol
H R H H
H2
R C C R ¾¾
¾®
H2 C C ¾¾
¾® R C C R
R H
H H
2.} ปฏิกิริยาฟอกจางสี KMnO4 ปฏิกิริยาระหว่างแอลไคน์กับ KMnO4 พบว่าในโมเลกุลทีCมีตําแหน่งของ
พันธะสามต่างกันผลิตภัณฑ์ทีCเกิดขึ Wนจะต่างกันด้ วย โดยแอลไคน์ทีCมีพนั ธะสามอยู่ทีCอะตอมของ C ตําแหน่งทีC w เมืCอ
เกิดปฏิกิริยาแล้ วจะเขียนสมการได้ ดังนี W
แอลไคน์ทีCมีพนั ธะสามอยู่ทอีC ะตอมของ C ตําแหน่งทีC ƒ เป็ นต้ นไป เมืCอเกิดปฏิกิริยาแล้ วจะเขียนสมการได้ ดงั นี W
3 R– C º C– R + 4 KMnO4 + 2 H2O 3 R-CO-COR + 4 MnO2 + 4 KOH
ประโยชน์ ของแอลไคน์
w. แอลไคน์ทีCร้ ูจักกันทัวC ไปคืออีไทน์ (ethyne) ชืCอสามัญคืออะเซทิลีน (C2H2) เตรี ยมได้ จากปฏิกิริยาระหว่าง
แคลเซียมคาร์ ไบด์ทําปฏิกิริยากับนํ Wา
CaC2(s) + 2 H2O(l) Ca(OH)2(aq) + C2H2(g)
ƒ. ในทางอุตสาหกรรมสามารถเตรี ยม C2H2 ได้ จาก CH4 โดยการให้ ความร้ อนสูง ๆ ในเวลาทีCสั Wนมาก ๆ
2CH4(g) C2H2(g) + 2 H2(g)
v. แก๊ สผสมระหว่าง C2H2 กับ O2 ในอัตราส่วนทีCเหมาะสมเรี ยกว่า oxy-acetylene ให้ เปลวไฟทีCร้อนสูงถึง v˜˜˜OC ใน
เชืCอมโลหะและตัดโลหะได้ นอกจากนี W C2H2 ยังใช้ เป็ นแก๊ สเชื WอเพลิงทีCให้ สงสว่าง
™. ใช้ C2H2 เพืCอเร่งการออกดอกของพืช และเร่งการสุกของผลไม้ ให้ เร็วขึ Wน
สารประกอบอะโรมาติก
ในปี ค.ศ. 1826 ไมเคิลฟาราเดย์(Michael Faraday) ได้ แยกสารตัวหนึCงออกจากแก๊ สทีCใช้ ในการจุดไฟให้ สว่าง
ปั จจุบนั เรี ยกว่าเบนซีน
H C H
C C
C C
H H
C
H H
H C H H H
C C
C C
H H H H
C
H H
เบนซีน
(Benzene) 5.5 80.1
C6H6
แนฟทาลีน
C10H8 80.3 217.9
สมบัติของอะโรมาติกไฮโดรคาร์ บอน
จากโครงสร้ างของสารประกอบอะโรมาติก จะเห็นว่ามีพนั ธะคู่อยู่หลายแห่ง แต่จากการศึกษาสมบัติทางเคมี
พบว่าพันธะคู่ในอะโรมาติกไฮโดรคาร์ บอนเสถียรมาก จึงไม่เกิดปฏิกิริยาทีCพนั ธะคู่ เช่น ไม่ฟอกจางสีของ KMnO4 ไม่
เกิดปฏิกิริยาการเติมกับ H2 หรื อ Br2 ภายใต้ สภาวะเดียวกับแอลคีน ปฏิกิริยาส่วนใหญ่คล้ ายแอลเคนคือเกิดปฏิกิริยา
แทนทีC (Substitution reaction) ซึCงพอสรุปได้ ว่าอะโรมาติกไซโรคาร์ บอนมีโครงสร้ างคล้ ายแอลคีน แต่เกิดปฏิกิริยาคล้ ายแอ
ลเคน จึงแยกออกมาเป็ นกลุ่มต่างหาก
สมบัติทางกายภาพ
เป็ นของเหลวใสไม่มีสีจนถึงสีเหลืองอ่อน ๆ มีความหนาแน่นน้ อยกว่า ไม่ละลายนําW มีกลิCนเฉพาะตัว
สมบัติทางเคมี
M. ปฏิกิริยาการเผาไหม้ อะโรมาติกไฮโดรคาร์ บอนติดไฟให้ เขม่าและควันมาก ได้ แก๊ สคาร์ บอนไดออกไซด์และ
ไอนํ Wาดังสมการ
2 C6H6(l) + 15 O2(g) 12 CO2(g) + 6 H2O(g)
_. ปฏิกิริยาแทนทีB
2.M ปฏิกิริยาแทนทีBด้วยเฮโลเจน (Halogenation) เบนซีนจะทําปฏิกิริยากับ Cl2 หรื อ Br2 โดยมีผงเหล็ก
หรื อ FeCl3 เป็ นตัวเร่ งปฏิกิริยา เกิดปฏิกิริยาแทนทีCได้ แก๊ สไฮโดรเจนเฮไลด์ เช่น
Chlorination
FeCl3
C6H6 + Cl2 C6H5Cl + HCl
+ Cl2 + HCl
+ Br2 + HCl
2.2 ปฏิกิริยาไนเตรชัน
Nitration
C6H6 + HONO2 C6H5NO2 + H2O
+ HNO3 / H2SO4
2.4 แอลคิลเลชัน
Alkylation
AlCl3
C6H6 + CH3Cl C6H5CH3 + HCl
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เขียนสู ตรทัว9 ไปและสู ตรโครงสร้างของแอลกอฮอล์ ฟี นอล อีเทอร์ แอลดีไฮด์ คีโตน กรดคาร์บอกซิ ลิกและ
เอสเทอร์ได้
2. เขียนไอโซเมอร์ของสารประกอบอินทรี ยท์ ี9มีธาตออกซิเจนเป็ นองค์ประกอบได้
3. สรุ ปสมบัติทวั9 ไปของแอลกอฮอล์ ฟี นอล อีเทอร์ แอลดีไฮด์ คีโตน กรดคาร์บอกซิลิกและเอสเทอร์ได้
4. สรุ ปความสัมพันธ์ระหว่างจํานวนอะตอมของคาร์ บอนในแอลกอฮอล์ แอลดีไฮด์ คีโตน กรดคาร์ บอกซิ ลิก
และเอสเทอร์ กับการละลายในนํOาและแนวโน้มของจุดเดือดได้
5. เปรี ยบเทียบจุดเดือดของสารประกอบอินทรี ยช์ นิดต่างๆ ที9มีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกันได้
6. เรี ยกชื9อสารประกอบอินทรี ยช์ นิดต่างๆ ที9มีธาตุออกซิเจนเป็ นองค์ประกอบได้
7. ทํา การทดลองเพื9 อศึ ก ษาปฏิกิ ริ ยาระหว่ างกรดคาร์ บ อกซิ ลิ ก และแอลกอฮอล์ และปฏิ กิริ ยาของเอสเทอร์
รวมทัOงเขียนสมการเคมีแสดงปฏิกิริยาที9เกิดขึOนได้
สารประกอบอินทรี ย์ทีCมีคาร์ บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน เป็ นองค์ประกอบ มีหลายชนิด เช่น แอลกอฮอล์ ฟี นอล
อีเทอร์ แอลดีไฮด์ คีโตน กรดคาร์ บอกซิลิก และเอสเทอร์
แอลกอฮอล์
เป็ นสารประกอบอินทรี ยท์ ี9เป็ นอนุพนั ธ์ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดหนึ9งซึ9ง H ถูกแทนที9ดว้ ยหมู่ฟังก์ชนั
–OH มีสูตรทัว9 ไปเป็ น R–OH มีหมู่ไฮดรอกซิล (hydroxyl group ; –OH) เป็ นหมู่ฟังก์ชน ั
การเรียกชืBอแอลกอฮอล์
ชืBอสามัญ ใช้ เรี ยกแอลกอฮอล์โมเลกุลเล็ก ๆ ทีCโครงสร้ างโมเลกุลไม่ซบั ซ้ อน เรี ยกชืCอหมู่แอลคิล (R) ทีCต่ออยู่กับ
หมู่ –OH ก่อน แล้ วลงท้ ายด้ วยแอลกอฮอล์ ตัวอย่างเช่น
CH3OH เมทิลแอลกอฮอล์ (methyl alcohol)
CH3CH2OH เอทิลแอลกอฮอล์ (ethyl alcohol)
CH3CH2CH2OH โพรพิลแอลกอฮอลล์ (propyl alcohol)
CH3CH2CH2CH2OH บิวทิวแอลกอฮอล์ (butyl alcohol)
CH3CH2CH2CH2CH2OH เพนทิลแอลกอฮอล์ (pentyl alcohol)
ชืBอระบบIUPAC
w. เลือกโครงสร้ างหลักทีCมีคาร์ บอนต่อกันยาวทีCสดุ และมีหมู่ –OH อยู่ด้วย เป็ นโซ่หลัก
2. กรณีทีCเป็ นโซ่กิCง นับตําแหน่งให้ คาร์ บอนทีตC ่อกับหมู่ไฮดรอกซิลเป็ นตําแหน่งทีC 1 บอกตําแหน่งและอ่านชืCอหมู่ทีCมาเกาะ
ตามแบบแอลเคนใส่ตําแหน่งของหมู่ไฮดรอกซิลหน้ าชืCอไฮโดรคาร์ บอนโซ่หลัก
v. ชืCอโครงสร้ างหลักให้ เรี ยกตามจํานวนอะตอม C แล้ วลงท้ ายเสียงเป็ น –อานอล (–anol)
สมบัติของแอลกอฮอล์
สมบัติทางกายภาพ
เมืCอแอลกอฮอล์ละลายนํ Wา หมู่ –OH ในแอลกอฮอล์จะไม่แตกตัวเป็ นไฮดรอกไซดฺไอออน (OH–) เช่นเดียวกับ
OH– ในโลหะไฮดรอกไซด์ เช่น NaOH เนืCองจากพันธะระหว่างหมู่ –OH กับหมู่แอลคิลในแอลกอฮอล์เป็ นพันธะโคเวเลนต์
แต่พนั ธะระหว่างหมู่ OH– กับโลหะไอออนเป็ นพันธะไอออนิก โมเลกุลของแอลกอฮอล์มีทงส่
ั W วนทีCมีขวคื
ั W อหมู่ –OH และส่วน
ทีCไม่มีขวคื
ั W อหมู่แอลคิล
w. จุดเดือด
จุดเดือดของแอลกอฮอล์จะเพิCมขึ Wนตามจํานวนอะตอมคาร์ บอนทีCเพิCมขึ Wน เพราะเมืCอจํานวนอะตอมคาร์ บอน
เพิCมขึ Wนมีผลให้ มวลโมเลกุลมีค่าสูงขึ Wน แรงยึดเหนีCยวระหว่างโมเลกุลจึงสูงขึ Wนด้ วย เนืCองจากแอลกอฮอล์เป็ นโมเลกุลมีขวั W จึง
มีทงแรงลอนดอนและแรงดึ
ัW งดูดระหว่างขัวW เป็ นแรงยึดเหนีCยวระหว่างโมเลกุล นอกจากนี Wหมู่ –OH สามารถเกิดพันธะ
ไฮโดรเจนยึดเหนีCยวระหว่างโมเลกุลของแอลกอฮอล์ได้
การเกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลของแอลกอฮอล์
ทีCมา: http://www.promma.ac.th/chemistry/organic_chemistry
สมบัติทางเคมี
w. ปฏิกิริยาการเผาไหม้
แอลกอฮอล์สามารถติดไฟได้ ดี ไม่มีเขม่าและควัน ได้ ผลิตภัณฑ์เป็ นแก๊ สคาร์ บอนไดออกไซด์และนํ Wา เป็ น
ปฏิกิริยาคายพลังงาน ดังสมการ
CH3CH2OH(l) + 3 O2(g) 2 CO2(g) + 3 H2O(g)
ƒ. ปฏิกิริยากับโลหะทีBว่องไว
แอลกอฮอล์ไม่เกิดปฏิกิริยากับ NaHCO3 จึงไม่แสดงสมบัติเป็ นกรด แต่สามารถเกิดปฏิกิริยากับโลหะทีCว่องไว
(Active metal) เช่น Na โดยโลหะจะเข้ าไปแทนทีCอะตอมของ H ในหมู่ –OH จะได้ แก๊ สไฮโดรเจน ดังสมการ
สมบัติและปฏิกิริยาของแอลกอฮอล์ บางชนิด
w. เมทานอล (Methanol) เป็ นแอลกอฮอล์ทีCมีจํานวนอะตอมคาร์ บอนน้ อยทีCสดุ เตรี ยมได้ จากการเผาไม้ ทีC
อุณหภูมิสงู ในภาวะทีCปราศจากอากาศ ในอุตสาหกรรมเตรี ยมได้ จากปฏิกิริยาระหว่างคาร์ บอนมอนอกไซด์กับไฮโดรเจน
ภายใต้ อุณหภูมิและความดันสูง โดยมีโลหะออกไซด์ เช่น Fe2O3 , ZnO / Cr2O3 เป็ นตัวเร่งปฏิกิริยา ดังสมการ
CO + H2 CH3OH
ประโยชน์ของเอทานอล
w. ใช้ เป็ นตัวทําละลายในการผลิตนําW หอมและยา
ƒ. ใช้ เป็ นสารฆ่าเชื Wอโรค
v. เอทานอลผสมกับนํ Wามันเบนซินออกเทน žw ในอัตราส่วนเอทานอล w ส่วน กับนํ Wามันเบนซิน ž ส่วน เป็ นนํ Wามันแก๊ ส
โซฮอล์
4.เป็ นสารตังต้W นในการผลิตสีย้อม ยา เครืC องสําอาง และใช้ ผลิตสารประกอบอินทรี ย์ชนิดอืCน เช่น กรดแอซีติก
(CH3COOH)
ฟี นอล (Phenol)
ฟี นอล เป็ นสารประกอบอินทรี ย์ทีCมีหมู่ไฮดรอกซิล (–OH) ต่ออยู่กับหมู่แอริล (Ar) มีสูตรทัวC ไปคือ ArOH
การทีCหมู่ –OH ต่ออยู่กับหมู่แอริ ล ทําให้ สมบัติส่วนใหญ่ของฟี นอลต่างจากแอลกอฮอล์ทัCวไป ตัวอย่างของสารประกอบ
อินทรี ย์ในกลุ่มนี W เช่น ฟี นอล มีสตู รเป็ น C6H5OH
สารประกอบของฟี นอลทีCพบในธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดเป็ นนํ Wามันหอมระเหย เช่น ยูจีนอล พบใน
กานพลู บางชนิดนํามาใช้ เป็ นสารฆ่าเชื Wอโรคในห้ องผ่าตัด ใช้ เป็ นสารตังต้
W นในการสังเคราะห์สารประกอบอินทรี ย์หลายชนิด
ใช้ เป็ นสารกันหืนในอาหารทีCมีนํ Wามันหรื อไขมันเป็ นองค์ประกอบ เช่น BHT (butylated hydroxytoluene) และ BHA
(butylated hydroxyanisole)
ทีCมา: http://www.promma.ac.th/chemistry/organic_chemistry
อีเทอร์ (Ether)
อีเทอร์ เป็ นสารประกอบอินทรี ย์ทีCมีหมู่ฟังก์ชนั เป็ น หมู่แอลคอกซี (alcoxy , R–O–R’) มีสตู รทัวC ไปเป็ น ROR’
เมืCอ R และ Ŕ แอลคิลหรื อเอริ ล เกิดจากปฏิกิริยาการควบแน่นของแอลกอฮอล์
ปฏิกิริยาการควบแน่น(condensation reaction) เป็ นปฏิกิริยาทีC 2 โมเลกุลเข้ าเชืCอมต่อกันและมีการขจัด
โมเลกุลเล็กโมเลกุลหนึCง(ซึCงมักจะป็ นนํ Wาออกไป)
H2SO4
CH3OH + HOCH3 CH3OCH3 + H2O
การเรียกชืBออีเทอร์
การเรี ยชืCออีเทอร์ นนเรี
ั W ยกชืCอเช่นเดียวกับสารประกอบชนิดอืCน คือเรี ยกชืCอสามัญและเรี ยกชืCอตามระบบ IUPAC
แต่นิยมเรี ยกชืCอสามัญมากกว่า
การเรียกชืBออีเทอร์ แบบสามัญ
การเรี ยกชืCอสามัญจะเรี ยกชืCอหมู่ทีCต่อกับออกซิเจนทังสองหมู
W ่แล้ วลงท้ ายด้ วยอีเทอร์ แต่ถ้าทังW สองหมู่เหมือนกันให้
เติม (di) ไว้ หน้ าชืCอหมู่แล้ วลงท้ ายด้ วยอีเทอร์ ตัวอย่างเช่น
CH3-O-CH3 CH3CH2-O-CH2CH3 (CH3)2CHOCH(CH3)2
Dimethyl ether ether methyl ether diisopropyl ether
การเรียกชืBอแบบ IUPAC การเรี ยกชืCอตามระบบ IUPAC ค่อนข้ างซับซ้ อน คือเรี ยกเป็ นหมู่แอลคอกซีแอลเคน
CH3-O-CH2CH3 CH3-O-CH3
CH3CH2-O-CH(CH3)CH2CH2CH3
Methoxy benzene 2-ethoxy pentane
สมบัติของอีเทอร์
w. เป็ นโมเลกุลไม่มีขวั W ไม่ละลายนํ Wา ติดไฟได้ ง่าย
ƒ. จุดหลอมเหลว จุดเดือดตํCา
v. ความหนาแน่นน้ อยกว่านํ Wา
ประโยชน์ ของอีเทอร์
w. ใช้ เป็ นตัวทําละลายสารอินทรี ย์
ƒ. ในอดีดใช้ เอทอกซีอีเทน (CH3CH2OCH2CH3) เป็ นยาสลบ ซึCงนิยมเรี ยกสารนี Wว่าอีเทอร์ โดยสารนี Wจะออกฤทธิ¹กด
ประสาทส่วนกลางจนทําให้ หมดสติ
v. ใช้ เอทอกซีอีเทน (CH3CH2OCH2CH3) เป็ นตัวทําละลายสารในห้ องปฏิบตั กิ ารและในอุตสาหกรรม เนืCองจากอีเทอร์
สามารถละลายสารประกอบอินทรี ย์ได้ หลายชนิด เกิดปฏิกิริยากับสารอืCนได้ ยาก และแยกออกได้ ง่ายเมืCอสิ Wนสุดปฏิกิริยา
เนืCองจากอีเทอร์ มีจุดเดือดตํCา
แอลดีไฮด์ และคีโตน
O O O
R H R R'
แอลดีไฮด์
แอลดีไฮด์ (Aldehyde) เป็ นสารประกอบอินทรี ย์ทีCหมู่ฟังก์ชนั เป็ นหมู่คาร์ บอกซาลดีไฮด์ (Carboxaldehyde :
หรื อ –CHO) มีสตู รทัวC ไปเป็ น หรื อ RCHO หรื อ CnH2nO เมืCอ R , R’ เป็ นหมู่แอลคิลหรื อหมู่
แอริล
การเรียกชืBอแอลดีไฮด์
เรี ยกตามจํานวนอะตอมคาร์ บอน แล้ วลงท้ ายเสียงด้ วย –อานาล (–anal)
สมบัติของแอลดีไฮด์
จุดเดือดและสภาพละลายได้ ทBี _•OC ของแอลดีไฮด์ บางชนิด
คีโตน
คีโตน (Ketone) เป็ นสารประกอบอินทรี ย์ทีCมีหมู่ฟังก์ชนั เป็ นหมู่คาร์ บอนิล (Carbonyl group : หรื อ
–CO–)สูตรทัวC ไปของคีโตนคือ หรื อ RCOR’ หรื อ CnH2nO เมืCอ R , R’ เป็ นหมู่แอลคิลหรื อหมู่แอริ ลคีโตน
เป็ นไอโซเมอร์ โครงสร้ างกับแอลดีไฮด์ โดยคีโตนตัวแรกจะเริCมต้ นทีCคาร์ บอน v อะตอม
การเรียกชืBอคีโตน
การเรี ยกชืCอคีโตน จะตามจํานวนอะตอมคาร์ บอนเหมือนแอลดีไฮด์ แล้ วลงท้ ายเสียงด้ วย –อาโนน (–anone)
4 CH3COCH2CH3 บิวทาโนน
5 CH3COCH2CH2CH3 เพนทาโนน
6 CH3COCH2CH2CH2CH3 เฮกซาโนน
สมบัติของคีโตน
w. คีโตนเป็ นไอโซเมอร์ โครงสร้ างกับแอลดีไฮด์ เช่น
ƒ. แอลดีไฮด์ทีCใช้ ในวงการศึกษา ได้ แก่ เมทานาล (HCHO) มีชืCอสามัญว่า ฟอร์ มาลดีไฮด์ (formaldehyde) มี
สถานะเป็ นแก๊ สทีCอุณหภูมิห้อง มีกลิCนฉุน ละลายนําW ได้ ดี สารละลายฟอร์ มาลดีไฮด์เข้ มข้ น ™˜% เรี ยกว่าสารละลาย
ฟอร์ มาลิน (formalin) ใช้ ดองสัตว์เพืCอไม่ให้ เน่าเปืC อย ใช้ เป็ นสารตังต้
W นในอุตสาหกรรมพอลิเมอร์ สําหรับผลิตสิCงทอ ฉนวน
พรม วัสดุทีCใช้ แทนไม้ และใช้ เป็ นตัวทําละลายพลาสติก ฟอร์ มาลินมีพิษ ทําให้ ระคายเคืองตา จมูก ผิวหนัง ปวดศีรษะและ
มึนงงได้
v. ในอุตสาหกรรมเตรี ยมฟอร์ มาลดีไฮด์ได้ จากปฏิกิริยาระหว่างเมทานอลกับออกซิเจนภายใต้ อุณหภูมิสงู โดย
มีโลหะเงินเป็ นตัวเร่งปฏิกิริยา ดังสมการ
™. คีโตนทีCใช้ มาก ได้ แก่ โพรพาโนน (propanone : CH3COCH3) มีชืCอสามัญคือแอซีโตน (acetone) เป็ นคี
โตนทีCมีจํานวนอะตอม C น้ อยทีCสุด เป็ นของเหลวใสไม่มีสี มีกลิCนอ่อน ๆ ระเหยง่าย ละลายในนํ Wาได้ ดี จึงใช้ เป็ นตัวทํา
ละลายพลาสติกและแลกเกอร์ แอซีโตนสามารถละลายสารประกอบอินทรี ย์อืCน ๆ ได้ ดี แอซีโตนเป็ นสารทีCไวไฟมาก จึงต้ อง
ใช้ ด้วยความระมัดระวัง ถ้ าสูดดมเข้ าไปมาก ๆ จะทําให้ มึนงง ซึม และหมดสติ
£. การบูร ผลิตได้ จากต้ นการบูร ใช้ เป็ นสารไล่แมลง เป็ นส่วนผสมของยาดม ยาหม่อง และเครืC องสําอาง
กรดคาร์ บอกซิลิก เป็ นสารประกอบอินทรี ย์ทีCประกอบด้ วยธาตุ C H และ O โดยมีหมู่ฟังก์ชนั คือหมู่คาร์ บอก
ซิล (carboxyl : หรื อ ) มีสตู รทัวC ไปเป็ น RCOOH หรื อ หรื อ RCO2H
หรื อ CnH2nO2 เมืCอ R เป็ นหมู่แอลคิล หมู่แอริ ล หรื อไฮโดรเจน
การเรียกชืBอกรดคาร์ บอกซิลิก
ชืBอสามัญ
w) ชืCอสามัญของกรดคาร์ บอกซิลิก มักจะตังตามชื
W CอของสิCงมีชีวิตหรื อสิCงของทีCพบกรดชนิดนันW เช่น กรดฟอร์ มกิ
(formic acid) มาจากคําว่า fomica ในภาษาละตินทีCมีความหมายว่า “มด” กรดแอซีติก (acetic acid) มาจากคําว่า
acetumในภาษาละตินทีCมีความหมายว่า “เปรี ยW ว”
ƒ. การเรี ยกชืCอสามัญของกรดคาร์ บอกซิลิกจะใช้ อักษรกรี ก เช่น แอลฟา (a) บีตา (b) และแกมมา (g) ระบุ
ตําแหน่งของคาร์ บอนทีCต้อกับหมู่คาร์ บอกซิลตําแหน่งทีC w , ƒ และ v ตามลําดับ เช่น
ดังนันW กรดแอลฟาไฮดรอกซี จึงหมายกรดคาร์ บอกซิลกทีCมีหมู่ไฮดรอกซิล () ต่ออยู่กับอะตอมของคาร์ บอนทีCตําแหน่ง
แอลฟา
ชืBอระบบ IUPAC
การเรี ยกชืCอกรดคาร์ บอกซิลิกทีCเป็ นโซ่ตรง ให้ เรี ยกตามจํานวนอะตอมคาร์ บอน แล้ วลงท้ ายเสียงเป็ น –อาโนอิก (–
anoic acid) เช่น
สมบัติของกรดคาร์ บอกซิลิก
w. กรดอนินทรี ย์ทีCเป็ นกรดแก่ซึCงเป็ นอิเล็กโทรไลต์แก่ เมืCอละลายในนํ Wาสามารถแตกตัวได้ อย่างสมบูรณ์ สําหรับ
กรดคาร์ บอกซิลิกเป็ นกรดอ่อน แตกตัวได้ บางส่วนจึงยังเหลือโมเลกุลส่วนทีCไม่แตกตัวอยู่มาก ให้ ไฮโดรเนียมไอออน
(H3O+) น้ อย หรื อแตกตัวไม่สมบูรณ์ เช่น ถ้ าให้ กรด แอซีติก (CH3COOH) เป็ นตัวแทนของกรดคาร์ บอกซิลิก การแตก
ตัวของกรดแอซีติก แสดงได้ ดังนี W
Ka =
= 1.8 x 10–5
ทีCมา: http://www.promma.ac.th/chemistry/organic_chemistry
เอสเทอร์ (Ester)
ฟั งก์ชนั มีสูตรทัCวไปเป็ น หรื อ R’COOR หรื อ R’CO2R เมืCอ R แทนหมู่แอลคิลหรื อหมู่แอริ ลของกรดคาร์
บอกซิลิก
เอสเทอร์ เป็ นผลิตภัณฑ์ทีCเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกรดคาร์ บอกซิลิกกับแอลกอฮอล์ เรี ยกปฏิกิริยาการเตรี ยม
เอสเทอร์ ว่า “เอสเทอริฟิเคชัน” หรื อ Esterification เช่น ปฏิกิริยาระหว่างกรดแอซีติกกับเอทานอล ทีCอุณหภูมิสูง โดยมีกรด
ซัลฟิ วริก (H2SO4) เป็ นตัวเร่งปฏิกิริยา ดังสมการ
สามารถเขียนสมการทัCวไปแสดงการเกิดปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันได้ ดงั นี W
การเรียกชืBอเอสเทอร์
สมบัติของเอสเทอร์
w. เอสเทอร์ กับกรดคาร์ บอกซิลิกเป็ นไอโซเมอร์ โครงสร้ างกัน โดยเอสเทอร์ จะมีจุดเดือดตํCากว่ากรดคาร์ บอกซิลิก
เนืCองจากเอสเทอร์ ไม่มีพนั ธะไฮโดรเจนยึดเหนีCยวระหว่างโมเลกุล แรงยึดเหนีCยวระหว่างโมเลกุลจึงน้ อยกว่ากรดคาร์ บอกซิ
ลิก
ปฏิกิริยาเคมีของเอสเทอร์
เอสเทอร์ สามารถเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส (hydolysis) ซึCงเป็ นปฏิกิริยาเอสเทอร์ สลายตัวแยกออกเป็ นกรดคาร์
บอกซิลิกและแอลกอฮอล์ ซึCงเป็ นปฏิกิริยาย้ อนกลับของปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน โดยมีกรดซัลฟิ วริ กเป็ นตัวเร่ งปฏิกิริยาทีC
อุณหภูมิสงู เช่น ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสเอทิลแอซีเตต
ประโยชน์ ของเอสเทอร์
w. เอสเทอร์ เป็ นสารทีCมีกลิCนหอม ซึCงพบในผลไม้ หรื อดอกไม้ ต่าง ๆ ซึCงให้ กลิCนต่าง ๆ เช่น
กรด แอลกอฮอล์ เอสเทอร์ ชืCอ กลิCน
CH3COOH CH3CH2OH CH3COOCH2CH3 นํ Wายาล้ าง
เอทิลเอทาโนเอต
เล็บ
CH3COOH C4H9OH CH3COOC4H9 บิวทิลเอทาโนเอต กล้ วย
CH3COOH C5H11OH CH3COOC5H11 ดอก
เพนทิลเอทาโนเอต
นมแมว
C3H7COOH CH3OH C3H7COOCH3 เมทิลบิวทาโนเอต แอปเปิ ล
C3H7COOH CH3CH2OH C3H7COOCH2CH3 เอทิลบิวทาโนเอต สับปะรด
CH3COOH CH3(CH2)6OH CH3COOCH2(CH2)6CH3 ออกทิลเอทาโนเอต ส้ ม
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เขียนสู ตรทัว9 ไปและสู ตรโครงสร้างของเอมีนได้
2. สรุ ปสมบัติทวั9 ไปของเอมีนได้
3 .สรุ ปความสั มพันธ์ ระหว่างจํานวนอะตอมของคาร์ บ อนในเอมีนกับการละลายในนํOาและแนวโน้มของจุ ด
เดือดของเอมีนได้
4. เปรี ยบเทียบจุดเดือดของเอมีนกับสารประกอบอินทรี ยช์ นิดอื9นๆ ที9มีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกันได้
5. บอกประโยชน์และอันตรายของสารประกอบเอมีนบางชนิดได้
เอมีน (Amine)
เอมีน เป็ นสารประกอบอินทรี ย์ทีCเกิดจากหมู่แอลคิลหรื อหมู่แอริ ลเข้ าแทนทีCไฮโดรเจนในโมเลกุลของแอมโมเนีย
ซึCงมีหมู่ฟังก์ชนั คือหมู่อะมิโน (–NH2)
เอมีนแบ่งเป็ น v ชนิด สูตรทัวC ไปของเอมีนเขียนได้ ดังนี W
เอมีนทีCศึกษาในระดับชันนี
W WจะศึกษาเฉพาะเอมีนทีCเกิดจากหมู่แอลคิล w หมู่ แทนทีCไฮโดรเจน w อะตอมในโมเลกุล
ของแอมโมเนีย หรื อ Primary amine
การเรียกชืBอเอมีน
การเรี ยกชืCอเอมีน ให้ เรี ยกตามจํานวนอะตอมคาร์ บอน แล้ วลงท้ ายด้ วยคําว่าเอมีน –อามีน(– anamine) เช่น
สมบัติของเอมีน
w. จุดเดือดเพิCมขึ Wนตามจํานวนอะตอมคาร์ บอนทีCเพิCมขึ WนเนืCองจากมวลโมเลกุลเพิCมขึ Wน
ส่วนทีCไม่มีขวั W ส่วนทีCมีขวั W
v. เอมีนละลายได้ ในนํ Wาและตัวทําละลายมีขวั W สารละลายของเอมีนในนํ Wามีสมบัติเป็ นเบส เนืCองจากไนโตรเจนมีอิเล็กตรอน
คู่โดดเดีCยวซึCงรับโปรตอนจากนํ Wาได้ เกิดเป็ นแอลคิลแอมโมเนียมไอออน (alkyl ammonium ion) [RNH3]+ และไฮดรอกไซด์
ไอออน (OH–) ดังสมการ
CH3– CH2 – CH2 – NH2 + H2O [CH3– CH2 – CH2 – NH3]+ + OH–
โพรพานามีน โพรพิลแอมโมเนียมไอออน ไฮดรอกไซด์ไอออน
CH3– CH2 – CH2 – CH2 – NH2 + HCl [CH3– CH2 – CH2 – CH2 – NH3]+Cl–
โพรพานามีน บิวทิลแอมโมเนียมคลอไรด์
ประโยชน์ และโทษของเอมีน
w. เอมีนทีCมโี มเลกุลขนาดเล็ก มีสถานะเป็ นแก๊ ส ละลายนํ Wาได้ ดี
ƒ. เอมีนหลายชนิดเป็ นพิษ มีกลิCนเหม็น การสูดดมเอมีนหรื ออยู่ในบริเวณทีCมีเอมีนเข้ มข้ นมาก ๆ จะทําให้ เกิดการระคาย
เคืองต่อเนื WอเยืCอต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง และตา
v. เอมีนหลายชนิดใช้ ผลิตสารกําจัดแมลง สารกําจัดวัชพืช ยาฆ่าเชื Wอ ยา สีย้อม สบู่ เครืC องสําอางต่าง ๆ
™. เอมีนทีCเป็ นอัลคาลอยด์ พบในส่วนต่าง ๆ ของพืชบางชนิด เช่น เมล็ด เปลือก ใบ ราก เช่น
มอร์ ฟีน สกัดได้ จากฝิC น ใช้ เป็ นยาบรรเทาปวด
โคดิอีน เป็ นสารสกัดได้ จากฝิC น ใช้ เป็ นส่วนประกอบในยาแก้ ไอ มีฤทธิ¹กดประสาทส่วนกลาง
นิโคตินเป็ นสารเสพติดทีCพบในใบยาสูบ ทําให้ ความดันโลหิตและอัตราการเต้ นของหัวใจเพิCมขึ Wน
£. เอมีนบางชนิดพบในร่างกาย เช่น อะดรีนาลิน เป็ นฮอร์ โมนทีCเพิCมอัตราการเต้ นของหัวใจ ทําให้ นํ WาตาลในเลือดเพิCมขึ Wน
°. แอมเฟตามีน เป็ นเอมีนสังเคราะห์ มีฤทธิ¹กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ใช้ เป็ นส่วนประกอบในเครืC องดืCมบํารุงกําลัง
และสารเสพติดทีCชืCอยาบ้ า ยาอี ยาไอซ์
RO
O
N
CH3
R'O
ถ้ า R = R’ = H; จะเป็ นมอร์ ฟีน
ถ้ า R = CH3 R’ = H จะเป็ นมอร์ ฟีน
N
N CH3
นิโคติน
OH H
HO N
CH3
NH2
HO
อะดรี นาลิน แอมเฟตามีน
เอไมด์ (Amide)
O O
R C NH2 หรื อ RCONH2 C NH2
สูตรทัวC ไป หมู่ฟังก์ชนั (หมู่เอไมด์)
H R'
การเรียกชืBอเอไมด์
การเรี ยกชืCอเอไมด์ ให้ เรี ยกตามจํานวนอะตอมของคาร์ บอน แล้ วเปลีCยนเสียงลงท้ ายเป็ น –อานาไมด์
(–anamide) เช่น
สมบัติของเอไมด์
w. เอไมด์เป็ นโมเลกุลมีขวั W และเกิดพันธะไฮโดรเจนได้
ƒ. จุดเดือดของเอไมด์ มีแนวโน้ มเพิCมขึ Wนตามจํานวนอะตอมของคาร์ บอน เอไมด์ส่วนใหญ่มีสถานะเป็ นของแข็งทีC
อุณหภูมิห้อง และจุดเดือดสูงกว่าเอมีนทีCมีมวลโมเลกุลใกล้ เคียงกัน เพราะแรงยึดเหนีCยวระหว่างโมเลกุลของเอไมด์สงู กว่า
O H
H N
O R
C
C O
R H
N H
H
O N H
H N
O C
H O C
C R O
R R
N H
C
R
H N H
H
พันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลของเอไมด์
ทีCมา:ทีCมา: http://www.promma.ac.th/chemistry/organic_chemistry
v. เอไมด์ทีCมีโมเลกุลขนาดเล็กละลายนํ Wาได้ แต่สภาพละลายได้ จะลดลงมืCอจํานวนอะตอมคาร์ บอนเพิCมขึ Wน จนถึงไม่ละลาย
นํ Wา สารละลายของเอไมด์มีสมบัติเป็ นกลาง เนืCองจากอะตอมของออกซิเจนในหมู่คาร์ บอนิลดึงดูดอิเล็กตรอนจากอะตอม
ของไนโตรเจนในหมู่อะมิโน เป็ นผลทําให้ ไนโตรเจนมีสภาพขัวไฟฟ้
W าค่อนข้ างบวก จึงไม่สามารถรับโปรตอนจากนํ Wาได้
™. เอไมด์สามารถเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส ในสารละลายกรด หรื อสารละลายเบส ได้ ผลิตภัณฑ์เป็ นกรดคาร์ บอกซิลิก และเอ
มีน ดังสมการ
O R' O R'
ตัวเร&งปฏิกิริยา
R C N + H2O R C OH + R N R''
ความร0อน
Amide R'' Carboxylic acid Amine
O H O H
ตัวเร&งปฏิกิริยา
CH3 C N + H2O CH3 C OH + H N H
ความร0อน
ethanamide H ethanoic acid Ammonia
ประโยชน์ ของเอไมด์
เอไมด์ทีCใช้ มาก ได้ แก่ อะเซตามิโนเฟน หรื ออีกชืCอหนึCงคือพาราเซตามอล หรื อไทลินอล ใช้ ผสมในยาบรรเทา
ปวดและลดไข้
ยูเรี ย เป็ นเอไมด์ทีCพบในปั สสาวะของสัตว์เลี Wยงลูกด้ วยนม เป็ นผลิตภัณฑ์ทีCได้ จากการสลายโปรตีน ซึCงปกติคน
จะขับถ่านยูเรี ยวันละประมาณ ƒ˜–v˜ กรัมต่อวัน ยูเรี ยเป็ นสารประกอบอินทรี ย์ชนิดแรกทีCสงั เคราะห์ขึ Wนจากแอมโมเนียมไซ
ยาเนต ซึCงเป็ นสารอนินทรี ย์ ยูเรี ยใช้ เป็ นปุ๋ ย และวัตถุดิบในการผลิตพลาสติกประเภทพอลิยูเรี ยฟอร์ มาลดีไฮด์ ในทาง
อุตสาหกรรมเตรี ยมยูเรี ยได้ จากปฏิกิริยาระหว่าง CO2 กับ NH3 ดังสมการ