You are on page 1of 4

1

นิราศภูเขาทอง

แปล นิราศภูเขาทอง

๑. ถึงเดือน ๑๑ ซึ่งออกจากการจำพรรษาแล้ว เมื่อรับกฐินอย่างยินดีเสร็จแล้ว ก็ต้องลงเรือไปด้วยความ


เศร้าโศก ออกจากวัดก็มองดูวัดที่เคยอาศัย เมื่อปี ที่ผ่านมาได้อยู่อาศัย อีกทั้ง ๓ ฤดูที่อยู่มาก็ไม่มีอะไรมากวนใจ
อีกทั้งวัดราชบุรณะพระวิหารนี้คงอีกนานกว่าจะได้มาเห็น นึกแล้วเศร้าใจยิ่งนักทั้งนี้เป็นเพราะมีคนพาลมารังแก
ใส่ร้าย คิดจะนำผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือท่านก็ไม่มีความยุติธรรม จึงต้องอำลาวัดไปจนต้องมาอ้างว้างอยู่กลางสายน้ำ
๒. ถึงหน้าวังก็เศร้าโศกมาก คิดถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยผู้ซึ่งมีพระคุณกับสุนทรภู่
อย่าง มาก เมื่อก่อนเคยเข้าเฝ้ าท่านอย่างใกล้ชิดและบ่อยครั้ง เมื่อพระองค์สวรรคตก็เหมือนกับสุนทรภู่ตายไปด้วย
เพราะไม่มีญาติหรือคนคอย ช่วยเหลือชีวิตจึงยากแค้นแสนเข็ญ อีกทั้งมีโรคมีกรรมเข้ามารุมล้อม ไม่เห็นใครที่จะ
พึ่งพาได้ จึงได้บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่รัชกาลที่ ๒ ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมตลอดเวลา เพื่อเป็นสิ่งทดแทน
คุณพระองค์ แม้เกิดชาติใดใดก็ขอให้เป็นข้ารับใช้พระองค์ตลอดไป
๓. เมื่อถึงหน้าแพก็เห็นเรือพระที่นั่ง คิดถึงเมื่อก่อนก็เศร้าจนน้ำตาไหล เคยหมอบกราบรัชกาลที่ ๒ กับ
พระจมื่นไวย แล้วก็ลงไปในเรือบัลลังก์ทอง เคยแต่งแปลงบทความ เคยรับราชโองการอ่านในงานฉลอง จนเรือ
ที่มาทอดกฐินหมดแล้วก็ยังมิได้ทำให้พระองค์ขัดใจแต่อย่างใดเคยหมอบ กราบใกล้จนได้กลิ่นหอมจากพระวรกาย
กลิ่นหอมนั้นหอมจนติดจมูก แต่เมื่อพระองค์สวรรคตก็สิ้นกลิ่นหอมไปด้วย อีกทั้งยังเหมือนวาสนาของสุนทรภู่ก็
สิ้นตามกลิ่นไปด้วย
๔. มองไปในวังยังเห็นหอที่เก็บพระอัฐิของรัชกาลที่ ๒ ก็ตั้งสติถวายส่วยบุญสวยกุศล ทั้งส่งส่วนกุศล
ไปให้รัชกาลที่ ๓ ให้พ้นภัยในการปกครองบ้านเมือง
๕. ถึงวัดประโคนปักก็มองไปไม่เห็นเสาหินที่ลือกัน เป็นเสาที่สำคัญในแผ่นดิน ถึงจะไม่เห็นก็ขอเดชะ
พระพุทธคุณช่วย ขอให้อายุยืนหมื่นๆปี เท่าดังเสาศิลา อยู่คู่ฟ้ าดินได้ตลอดไป พอเรือล่องเลยวัดก็มองดูริมท่าน้ำ มี
แพมาจอดขายของอยู่เรียงราย มีขายทั้งผ้าแพรสีม่วงและสีอื่นๆ ทั้งสิ่งของทีมาจากเมืองจีน
๖. ถึงโรงเหล้าก็มีควันออกมาจากเตากลั่นมากมาย มีเครื่องตักน้ำผูกไว้ปลายเสา สุนทรภู่เคยดื่มน้ำเหล้า
จนเมาเหมือนคนบ้า จึงได้บวชเพื่อจะได้พ้นจากอบายมุข ขอให้ได้ตรัสรู้ดังพระพุทธเจ้า แต่เหล้าเคยทำให้รอด
ชีวิตดังนั้นจะเมินไปก็เกินไป ถึงจะไม่เมาเหล้าแต่ยังเมารักอยู่ หักห้ามจิตใจไม่ให้รักไม่ได้ การเมาเหล้านั้นพอรุ่ง
ขึ้นก็หายไป แต่การเมารักนี้จะเป็นทุกๆคืน
๗. ถึงบางจากไม่อยากได้ยินคำว่าจาก เพราะสุนทรภู่จากหลายๆอย่างมา ต้องมีใจมัวหมองเพราะรักนั้น
ไม่ยืนยาว จึงต้องจากเมืองพรากมา
๘. ถึงบางพลูคิดถึงนางจันเมื่อแต่งงานกัน เคยส่งหมากพลูโดยใส่ซองให้ทั้งหมดเป็นใบเหลืองซึ่งอร่อย
มาก ถึงบางพลัดก็ไม่อยากได้ยินคำว่าพลัดเพราะได้พลัดจากนางจัน ทั้งยังพลัดจากเมืองและอื่นๆอย่างร้อนรน
๙. ถึงบางโพก็คิดถึงต้นโพธิ์ ให้ร่มเงา ให้ความร่มเย็นทั้งยังทำให้โคนต้นไม้งอกงามได้ ขอเดชะของ
พระพุทธเจ้า ให้พ้นภัยพาลตลอดไป
๑๐. ถึงบ้านญวนเห็นมีโรงแลมากมาย มีคนค้าขายของเช่นกุ้งหรือปลาโดยการขังไว้ในข้อง ข้างหน้าโรง
วางที่สำหรับดักปลาวางเรียงไว้ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาจับจ่ายซื้อของ จะมองกลับไปยังประเทศบ้านเกิดก็ทรมาน
เหมือนโดนไฟไหม้ จิตใจก็หม่นหมอง ล่องเรือมาจนถึงวัดเขมา ก็รู้ว่าพึ่งเลิกงานฉลองไปเมื่อวานซืน
2
นิราศภูเขาทอง
๑๑. คิดถึงเมื่อก่อนซึ่งรัชกาลที่ ๒ ได้มาตัดหวายลูกนิมิต ได้ชมพระพิมพ์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ องค์ซึ่งเท่ากับ
จำนวนพระธรรมที่อยู่ในพระไตรปิ ฎกที่อยู่ริมผนัง แต่ครั้งนี้ไม่ได้เห็นการเล่นฉลองเพราะสุนทรภู่ต้องหมดวาสนา
และลำบาก เป็นเพราะบุญน้อยก็นึกเศร้า แต่แล้วเรือก็ติดน้ำวน มองเห็นน้ำวิ่งเชี่ยวหมุนเป็นเกลียว พุ่งไปมาตัดกัน
บางส่วนก็พุ่งวนเหมือนกงเกวียน ดูเวียนๆเป็นเหมือนพายุวน ทั้งหัวท้ายเรือได้รับแจวเรือดังนั้นเรือจึงหลุดน้ำวน
ออกมาได้ แต่ถึงเรือจะพ้นน้ำวนมาแล้วแต่ใจก็ยังไม่พ้นจากความรัก
๑๒. ถึงตลาดแก้วแต่ไม่เห็นมีตลาดตั้งขายของทั้งสองฝั่งเห็นแต่ต้นไม้พืชพันธุ์ ต่างๆ ได้กลิ่นดอกไม้
หอมไปเรื่อยๆตลอดทางและกลิ่นเหมือนผ้าแพรที่ย้อมด้วยมะเกลือ เห็นต้นโศกใหญ่และต้นระกำเป็นแผงแต่
แปลกที่มีต้นรักขึ้นแซมอยู่ด้วย เหมือนความโศกเศร้าระกำใจที่สุนทรภู่ต้องเป็นเพราะรักแม่จัน
๑๓. ถึงจังหวัดนนทบุรีก็เห็นมีตลาดน้ำ มีแพอยู่ซึ่งขายเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม มีทั้งเรือจอดอยู่เพื่อขายผลไม้
จากสวนแท้ มีทั้งผู้หญิงผู้ชายมาประชุมซื้อของกันทุกวันทุกคืน
๑๔. มาถึงหมู่บ้านบางธรณีก็โศกเศร้ามากขึ้นมาก เพราะตอนลำบากพาให้ใจสะอื้นมาก ทั้งที่แผ่นดิน
หนาขนาดสองแสนสี่หมื่นโยชน์แต่เมื่อถึงคราวลำบากแม้แต่แผ่น ดินก็ไม่มีที่อาศัย เหมือนโดนหนามเสียดแทง
เจ็บแสบมาก เหมือนกับนกไม่มีรังที่จะอาศัยต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ
๑๕. ถึงตำบลปากเกร็ดซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวมอญอพยพมา ตามธรรมเนียมผู้หญิงมอญจะเกล้าผม แต่สมัย
นี้ผู้หญิงมอญมาถอนไรผมเหมือนตุ๊กตา ทั้งยังใช้เครื่องสำอาง ใช้แป้ งผัดหน้าซึ่งเหมือนกับชาวไทย ทำให้เห็นได้
ว่าสมัยนี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความเที่ยงแท้ เหมือนดังที่ชาวมอญละทิ้งประเพณีวัฒนธรรมของตนเองแล้วจะนับ
ประสาอะไรกับจิต ใจของคน ซึ่งไม่มีใครมีใจเดียวแต่มีหลายใจ
๑๖. ถึงหมู่บ้านบางพูดสุนทรภู่ก็นึกถึงคำว่าพูด ดังว่า ถ้าใครพูดดีก็จะมีคนรัก แต่ถ้าพูดไม่ดีก็อาจจะเป็น
ภัยต่อตนเองได้อีกทั้งยังไม่มีใครคบ ไม่มีเพื่อนสนิทมิตรสหาย ทั้งการจะดูว่าใครดีไม่ดีดูได้จากการพูด
๑๗. ถึงหมู่บ้านบ้านใหม่สุนทรภู่ก็คิดอยากจะได้บ้านซักหลังตามที่ต้องการโดยขอ กับเทวดาให้สมดัง
ปรารถนา เพราะ การมีบ้านใหม่จะได้มีความสุขและมีที่อาศัยอย่างปลอดภัย
๑๘. ถึงหมู่บ้านบางเดื่อก็คิดถึงลูกมะเดื่อที่ภายนอกนั้นดูสวยงามน่ารับประทาน แต่ภายในกลับมีแมลงมี
หนอนชอนไชอยู่ เหมือนกับคนพาลที่ปากพูดดีแต่ในใจคิดทำอันตราย
๑๙. ถึงบางหลวงเหมือนจากนางจันมานานแล้วเราต้องสละจากยศถาบรรดาศักดิ์เพื่อมาบวช เพื่อจะได้
พ้นจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ถึงจะมีนางฟ้ ามายั่วก็ไม่สนใจ
๒๐. ถึงสามโคกก็คิดถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยซึ่งพระองค์ปกครอง เมืองกรุงเทพฯ
พระองค์ได้พระราชทานนามเมืองจากสามโคกซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นสามเป็นเมือง ปทุมธานีเป็นเพราะมีบัวเยอะ ถึง
พระองค์จะเสด็จสวรรคตไปแล้วแต่ชื่อปทุมธานีคงอยู่ตลอดไป แต่ทำไมชื่อของสุนทรภู่ชื่อขุนสุนทรโวหารที่ได้
รับพระราชทานนามมาแต่กลับไม่ มีชื่อในแผ่นดินหลังจากพระองค์สวรรคตเลยซึ่งต่างกับปทุมธานี สุนทรภู่ต้อง
เร่ร่อนหาที่อาศัยเพราะขณะนี้ไม่มีบ้าน สุนทรภู่ขอให้เกิดทุกชาติได้เป็นข้ารับใช้พระองค์ตลอดไป พอพระองค์
สวรรคตสุนทรภู่ก็ขออยากตายตามบ้างเพื่อจะได้รับใช้และพึ่งพระองค์ เดี๋ยวนี้ก็เศร้าโศกใจทุกข์ระทมอย่างทวีคูณ
มาก ต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆชีวิตไม่มีจุดมุ่งหมาย

๒๑. ถึงหมู่บ้านบ้านงิ้วก็เห็นมีแต่ต้นงิ้วซึ่งไม่มีนกหรือสัตว์อื่นๆอยู่บนกิ่ง เลยเพราะต้นงิ้วมีหนามขึ้นอยู่


มากมายนึกถึงก็น่ากลัวหนามเพราะถ้าโดนคงเจ็บ มาก แต่งิ้วในนรกยาวถึง ๑๖ ข้อนิ้วแหลมเหมือนกับไม้ไผ่เหลา
ทำกับดัก ซึ่งใครมีชู้เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปปี นต้นงิ้วในนรก แต่สุนทรภู่เกิดมาอายุมากแล้วแต่ยังครองตัวอยู่ในศีล
ธรรมไม่มีชู้ แต่ทุกวันนี้ผู้คนวิปริตมีชู้กันมากคงต้องไปปี นต้นงิ้วในนรกกันบ้าง
3
นิราศภูเขาทอง
๒๒. ทั้งหมดที่คิดมานั้นสุนทรภู่สามารถตัดขาดได้แต่การตัดความรักนั้นยากยิ่งนัก นั่งนึกอนาถใจไป
จนเย็นก็ถึงเกาะใหญ่ราชคราม มองไปเห็นบ้านเรือนต่างๆอยู่ห่างจากสองฝั่งมาก ในที่นี้ต้องระวังจระเข้จะทำร้าย
ทั้งที่นี่ยังเป็นที่อยู่ของผู้ร้ายซึ่งมาคอยดักตีเรือ สุนทรภู่คิดแล้วน่าเบื่อยิ่งนัก
๒๓. เมื่อพระอาทิตย์ตกก็มีเมฆมืดครึ้ มมาจนดูมืดมัวไปทุกทิศทุกทาง พายเรือถึงทางลัดซึ่งเป็นทางตัด
กลางนาก็เห็นมีต้นแฝกต้นคาต้นแขมต้นกกขึ้น ปะปนกันอยู่มากมาย เงาของต้นพวกนี้ทอดลงน้ำทำให้ดูเวิ้งว้างดู
กว้างขวางเหลียวมองทีไรก็รู้สึก ขวัญหายทุกที มองเห็นเงาของหญิงชายทั้งยังมีเสียงคุยกัน เรือของพวกเขาเพรียว
เล็กและมีปลาอยู่บนเรืออีกด้วย พวกเขาถ่อเรือคล่องแคล่วเดินทางไปอย่างรวดเร็ว แต่เรือของสุนทรภู่ไปช้ามาก
ช่างน่าสงสารลูกศิษย์ที่ต้องถ่อเรืออย่างเหน็ด เหนื่อยทั้งๆที่ไม่เคยเส้นทาง บางทีเรือก็เสยเข้าพงหญ้ารกรุงรัง จะ
ถอยหลังก็ถอยยาก เรือก็โคลงจนกระโถนใส่หมากหก พอเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงสัตว์เลยซักตัว มีแต่น้ำค้างตก
เพราะลมพัด มองไปไม่เห็นคลองเลยต้องค้างอยู่กลางทุ่ง แต่พอหยุดเรือหยุดก็มารุมกัดเจ็บเหมือนโดนทรายซัด
เลยไม่ได้นอนเพราะต้องนั่งตบยุง
๒๔. สุนทรภู่รู้สึกอ้างว้างมาก มองไปในทุ่งกว้างเห็นมีแต่ต้นแขมขึ้นอยู่ปะปนกัน จนดึกก็มีดาวอยู่กลาง
ท้องฟ้ า มีนกกระเรียนบินร่อนและร้องก้องเมื่อตอนเที่ยงคืน มีเสียงกบเขียดร้องเรื่อยๆ มีลมพัดเฉื่อยๆ สุนทรภู่
รู้สึกวังเวงก็คิดรำพึงเมื่อตอนมียศถาบรรดาศักดิ์ ได้หัวเราะเฮฮากับเพื่อน มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ แต่ยามลำบาก
เห็นแต่หนูพัดลูกชายคอยช่วยนั่งปัดยุงให้จนพระจันทร์ขึ้นก็เห็น ต้นกระจับจอก มีดอกบัวเผื่อนขึ้นมากเมื่อคืน
เดือนหงาย มองเห็นคลองทั้งสองด้านหัวท้ายเรือก็รีบถ่อเรือลงคลอง จนพระอาทิตย์ขึ้นก็เห็นพันธุ์ผักดูน่ารักส่ง
เกสรแก่กัน มีบัวเผื่อนอยู่สองข้างทางที่เรือพายไป มีต้นก้ามกุ้งขึ้นอยู่กับสาหร่ายใต้น้ำ มีต้นสายติ่งขึ้นสลับกับต้น
ตับเต่าเป็นกลุ่มๆมองไปเหมือนกับดาวบนท้องฟ้ า เหล่านี้ถ้าผู้หญิงได้มาเห็นก็คงจะลงเล่นกลางทุ่ง ที่มีเรือก็คงจะ
พายไปเก็บสายบัว ถ้าสุนทรภู่มีโยมผู้หญิงก็คงไม่นิ่งเฉยให้อายดอกไม้ คงจะใช้ให้ศิษย์ไปเก็บของฝากเท่าที่ทำได้
ในตอนนี้ แต่นี่จนใจไม่มีเงินซักนิด ทั้งยังขี้เกียจเก็บจึงเลยมา พอมีแสงอ่อนๆของพระอาทิตย์ก็ถึงกรุงศรีอยุธยา
สุนทรภู่รู้สึกเศร้าใจ
๒๕. เมื่อถึงหน้าจวนของเพื่อนของสุนทรภู่ สุนทรภู่ก็คิดถึงเมื่อก่อนจนน้ำตาไหล สุนทรภู่ตั้งใจจะแวะ
หาถ้ายังเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน แต่ถ้าหากว่าท่านแปลกไปก็คงจะโดนหัวเราะเยาะจะต้อง
อายมาก รู้สึกไม่กล้าใฝ่ สูงเป็นเพื่อนได้ จึงได้เดินทางต่อไปยังเจดีย์ภูเขาทอง
๒๖. จอดเรือที่ข้างวัดพระเมรุซึ่งริมวัดมีเรือจอดเรียงอยู่ บางลำมีคนร้องเล่นเต้นสำราญ บางลำก็ร้อง
เพลงเกี้ยวกัน บางลำฉลองผ้าป่ าด้วยการขับเสภา ทั้งยังมีคนตีระนาดซึ่งตีเก่งเหมือนนายเส็ง (คนเก่งระนาดสมัย
สุนทรภู่) มีโคมแขวนอยู่เรียงรายเหมือนอยู่สามเพ็ง เมื่อคราวเคร่งในพระศาสนาก็ไม่ได้ดู มีเรือลำหนึ่งกลอนมัน
มาก ร้องกลอนยากลากเลื้อยฟังแล้วเหนื่อยหู กลอนลดเลี้ยวเหมือนทางงู จนลูกคู่บอกว่าง่วงนอน ได้การละเล่น
ต่างๆที่ข้างวัดพอดึกก็นอน ประมาณสามยามก็มีโจรขึ้นเรือ พอมีเสียงกุกกักสุนทรภู่ก็ลุกขึ้นโวยวาย โจรก็รีบดำ
น้ำไปอย่าง

ว่องไว มองไปไม่เห็นหน้าลูกศิษย์ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกด้วยความกลัวแต่หนูพัดจุด เทียนส่องดูว่ามีอะไรหายไป


บ้าง แต่ไม่มีเลยแม้แต่เครื่องอัฐบริขาร ทั้งนี้ด้วยเดชะตบะบุญและพระพุทธ ทำให้ชนะมารได้
๒๗. วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันพระซึ่งจะได้บูชาพระธรรม ได้ไปเจดีย์ภูเขาทองซึ่งดูสูงเสียดฟ้ า อยู่กลางทุ่งดู
โดดเด่นมีน้ำใสอยู่รอบๆที่ฐานพื้นที่เป็นรูปกลีบบัวถัดจาก บันไดมีน้ำไหลล้อมรอบเป็นขอบ มีเจดีย์มีวิหารมีลาน
วัด มีกำแพงกั้นอยู่ การย่อเหลี่ยมไม้ ๑๒ มุมอย่างสวยงาม มีเป็นสามชั้นอย่างงดงาม บันไดมี ๔ ด้าน คณะของ
สุนทรภู่ชวนกันขึ้นไปชั้น ๓ ตั้งใจเดินวนขวา ๓ รอบจนครบก็กราบเจดีย์ มีห้องที่เป็นถ้ำสำหรับจุดเทียนเพราะ
ลมจะพัดแรงพาธูปเทียนดับ ตอนนั้นบังเกิดสิ่งอัศจรรย์มีลมพัดเวียนขวาราวกับจะเวียนเทียนด้วย ทุกวันนี้พระ
4
นิราศภูเขาทอง
เจดีย์เก่าและทรุดโทรมมาก ที่ฐานร้าวถึงเก้าแฉก ที่ยอดก็หัก องค์พระเจดีย์ก็ทรุด เป็นเพราะเจดีย์ไม่มีคนคอยดูแล
นึกแล้วเสียดายจนน่าร้องไห้ แล้ววจะเทียบอะไรกับชื่อเสียงเกียรติยศของมนุษย์ ก็คงหมดไปในไม่นาน เหมือน
กับเป็นผู้ดีแล้วลำบาก เป็นคนมั่งมีแล้วยากจน คิดแล้วทุกอย่างไม่แท้เที่ยง
๒๘. ขอเดชะแห่งเจดีย์ภูเขาทองซึ่งบรรจุพระบรมสาริกธาตุ สุนทรภู่ขอให้ที่ได้มากราบในครั้งนี้ให้เป็น
บุญเพื่อเป็นอานิสงส์ให้พ้นภัย ต่างๆ ถ้าจะเกิดชาติไหนๆก็ขอให้ตนบริสุทธิ์ ทั้งกายและใจ ทั้งความทุกข์ความโศก
อย่าได้มาใกล้ สบายไปตลอดกาล ทั้งความโลภ โกรธ หลง ขอให้ตนชนะได้ ขอให้มีสติปัญญาหลักแหลม ให้มี
ศีลธรรมอยู่ในใจ ทั้งผู้หญิงร้ายและผู้ชายชั่วก็ขอให้อย่าได้รู้จักคบหากัน ขอให้สมดังหวังแม้แต่ชาติหน้าก็ขอให้
เป็นดังหวัง
๒๙. พอก้มลงกราบพระพุทธรูปเงยขึ้นมาก็เห็นดอกบัวและก็เห็นพระบรมสารีริกธาตุอยู่ ในเกสรก็ดีใจ
มากและช้อนประคองลงเรือ พอหนูพัดกราบไว้เสร็จแล้วก็ใส่พระบรมสารีริกธาตุไว้ในขวดแก้วแล้วก็วางไว้ ใกล้
ศีรษะเมื่อนอน ตั้งใจว่าจะไปนอนที่กรุงศรีอยุธยาและรุ่งเช้าจะบูชาพระบรมสารีริกธาตุแต่พอ ตื่นมามองไม่เห็น
พระบรมสารีริกธาตุก็ตกใจอย่างมากทั้งที่วางไว้ใกล้ศีรษะ สุนทรภู่ว่าเป็นเพราะบุญตนน้อยทำให้พระธาตุลอยน้ำ
ไปไกล สุนทรภู่คิดว่าไม่สามารถอยู่ที่เจดีย์ภูเขาทองต่อได้เพราะจะยิ่งเศร้าโศกและ ร้อนใจยิ่งขึ้น พอเช้าตรู่
พระอาทิตย์ขึ้นส่องฉาย ก็ล่องเรือถึงกรุงเทพฯโดยใช้เวลาเดินทาง ๑ วัน
๓๐. ถึงหน้าวัดอรุณก็ค่อยสร่างจากความเศร้าเพราะได้กราบพระพุทธรูป นิราศภูเขาทองของสุนทรภู่
เรื่องนี้ไว้เป็นที่อ่านเมื่อเศร้าจะได้มีความสุข เพราะได้ไปกราบไว้พระพุทธรูป ทั้งกราบไว้พระบรมสารีริกธาตุ
เพราะคนที่นับถือศาสนาพุทธเมื่อไม่สบายใจก็จะกราบไหว้พระพุทธรูปเพื่อให้ สบายใจ ตอนนี้สุนทรภู่ใช่ว่าจะมี
คนรักหรือพึ่งจะจากรักมา แต่ที่กล่าวถึงผู้หญิงก็เพราะเป็นธรรมเนียมการแต่งนิราศแต่โบราณ เหมือนแม่ครัวจะ
ปรุงอาหารประเภทพะแนงนอกจากจะใส่เครื่องปรุงและเนื้อสัตว์ แล้วยังต้องใส่พริกไทยใบผักชีเพื่อเพิ่มความน่า
รับประทานแก่อาหาร และผู้หญิงก็เหมือนพริกไทยใบผักชีเพื่อนให้นิราศนี้น่าอ่าน ขอให้ทราบความจริงทุกๆอย่าง
ว่าสุนทรภู่ไม่ได้มีผู้หญิงเลยขออย่าได้นินทาให้ เสียหาย เพราะคนที่มีความสามรถในเชิงกลอนจะนั่งๆนอนๆเฉยๆ
ก็จะน่าเบื่อและเศร้าใจ จึงจะต้องแต่งกลอนเพื่อคลายเหงาและคลายความเศร้าใจ และให้ได้ผลงานเป็นที่ประจักษ์
………………………………………………

You might also like