Professional Documents
Culture Documents
THA1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561 - เอ็มเจช
THA1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561 - เอ็มเจช
1. คนแตกต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ อย่างไร
(1) คนมีสมอง แต่สัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่มีสมอง
(2) คนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ดีกว่าสัตว์
(3) คนสามารถพูดจาโต้ตอบกันได้ด้วยภาษา
(4) คนมีจิตใจ แต่สัตว์ไม่มีจิตใจ
ตอบ 3
สัตว์สังคมทุกชนิดยกเว้นมนุษย์จะสื่อสารกันด้วยอวัจนภาษา (ภาษาที่ไม่ใช้คํา
พูด)แต่มนุษย์จะสื่อสารกันได้ทั้งวัจนภาษา (ภาษาที่เป็นภาษาพูด) และอวัจนภาษา
จึงเห็นได้ว่า มนุษย์สามารถสื่อสารกันได้ดีกว่าสัตว์ประเภทอื่นมาก ด้วยเหตุที่
มนุษย์แตกต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ คือ สามารถพูดจาโต้ตอบกันได้ด้วยภาษา
นั้นเอง
3. การสื่อสารด้วยการพูดมีข้อดีอย่างไร
(1) มีโอกาสฟังซํ้าได้
(2) ผู้พูดสามารถพิสูจน์ผลของการพูดนั้น ๆ ทันที
(3) ผู้พูดสามารถเลือกพูดในสิ่งที่ดีได้
(4) ผู้พูดสามารถพัฒนาบุคลิกภาพได้ทันที
ตอบ 2
การสื่อสารด้วยคําพูดมีข้อดี ดังนี้
1. ทําให้ผู้ฟังเข้าใจได้รวดเร็ว เพราะเป็นการสื่อสารสองทาง 2. เป็นเครื่องมือสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ที่ได้ผลดีที่สุด 3. สามารถพิสูจน์ผลของการพูดได้ทันที โดยสังเกต
จากปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้ฟังในขณะที่พูด 4. สามารถดัดแปลงแก้ไขคําพูดหรือ
ยืดหยุ่นให้เหมาะกับเวลา โอกาส หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
4. ทําไมสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จึงสอนวิชาที่เกี่ยวกับการพูด
(1) นักพูดหรือพิธีกร เป็นอาชีพที่มีรายได้ดี
(2) ปัจจุบันผู้คนพิสูจน์กันด้วยการพูดมากกว่าความสามารถ
(3) ต้องการสอนมารยาท และความเหมาะสมในการพูด
(4) วิชาความรู้ต้องใช้ควบคู่กับศิลปะในการพูด
ตอบ 4
ในสถาบันการศึกษาชั้นสูงจํานวนมากมักจะมีการสอนวิชาการพูดโดยเฉพาะการ
พูดต่อหน้าชุมชนกันอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นวิชาความรู้ที่ต้องใช้ควบคู่กับ
ศิลปะในการพูด เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการพูด และฝึกฝนให้ผู้ศึกษาเป็นนัก
พูดที่ดี ให้รู้จักพูดในสิ่งที่ควรพูด คือ สอนให้พูดแต่ดี ไม่ใช่ดีแต่พูด
7. ข้อใดบอกจุดมุ่งหมายของการพูดได้ครบถ้วน
(1) ให้ความรู้ โน้มน้าวใจ และพูดเพื่อความบันเทิง
(2) ให้ความรู้ พูดเพื่อตอบคําถาม และพูดเพื่อชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ
(3) ให้ความรู้ โน้มน้าวใจ สร้างความบันเทิง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ และชี้แนะเรื่อง
ราวต่าง ๆ
(4) ให้ความรู้โน้มน้าวใจ สร้างความบันเทิง พูดเพื่อตอบคําถาม และชี้แนะเรื่องราว
ต่าง ๆ
ตอบ 4
จุดมุ่งหมายในการพูดโดยทั่วไป มีดังนี้ 1. ให้ความรู้หรือข้อเท็จจริง 2. โน้มน้าว
จิตใจผู้ฟัง 3. สร้างความบันเทิง เพลิดเพลิน หรือจรรโลงใจ 4. แก้ปัญหาหรือตอบ
คําถามต่าง ๆ 5. แนะนําและชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ
9. ข้อใดที่ไม่ควรกระทําอย่างยิ่งในการใช้คํานําเพื่อการพูด
(1) ถ่อมตน
(2) ดูถูก ก้าวร้าวผู้ฟัง
(3) ออกตัวว่าไม่รู้เรื่องที่จะพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ข้อบกพร่องในการใช้คํานําเพื่อการพูด มีดังนี้
1. อย่าพูดนอกเรื่องหรือพูดอ้อมค้อม 2. อย่าออกตัว เช่น เตรียมมาพูดไม่พร้อม
กะทันหัน เป็นผู้รู้น้อยไม่รู้เรื่องที่จะพูด ฯลฯ 3. อย่าขอโทษ 4. อย่าถ่อมตน 5. อย่า
ดูถูกหรือก้าวร้าวผู้ฟังด้วยคําพูด ท่าที่หรือท่าทาง อย่าทะเลาะ โต้เถียง ขุ่นมัวกับผู้
ฟัง
10. ข้อใดเป็นยุทธการสําคัญของการพูด
(1) การเลือกเรื่องที่จะพูด
(2) การเตรียมโครงเรื่องในการพูด
(3) การเตรียมข้อมูลในการพูด
(4) การสร้างบุคลิกภาพและความพร้อมในการพูด
ตอบ 2
การเตรียมโครงเรื่องในการพูด เป็นยุทธการสําคัญของการพูด ซึ่งถ้าหากวาง
โครงเรื่องดี การพูดจะดี มีความต่อเนื่องเป็นระเบียบ และผู้ฟังไม่เบื่อหน่าย ดังนั้น
จึงควร ยึดหลักในการวางโครงเรื่อง ดังนี้ 1. วางโครงเรื่องตามลําดับเวลา 2.
วางโครงเรื่องตามลําดับสถานที่หรือภูมิศาสตร์ 3. วางโครงเรื่องตามลําดับ
เนื้อหา 4. วางโครงเรื่องตามลําดับข้อความหรือเรื่อง 5. วางโครงเรื่องให้มีเงื่อน
งําแก่ผู้ฟัง
11. การฝึกพูดเกี่ยวข้องกับการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของการพูดอย่างไร
(1) พูดดีเป็นศรีแก่ปาก
(2) การพูดสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้
(3) ผู้ฝึกหัดเห็นความสามารถของตนเอง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การพูดจะมีประสิทธิภาพเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้พูดเอง คือ ผู้
พูดต้องมีความสามารถหลายอย่างประกอบกัน และต้องหมั่นฝึกฝนตนเองอยู่
เสมอ เพราะการฝึกพูดเกี่ยวข้องกับการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ นั่นคือ การพูด
สามารถเรียนรู้และฝึกฝนทักษะได้ ยิ่งฝึกมากความชํานาญในการพูดยิ่งพัฒนาขึ้น
ตามลําดับ
13. นักพูดมือใหม่ควรใช้วิธีฝึกพูดแบบใดดีที่สุด
(1) ใช้ตําราประกอบ
(2) มีผู้เชี่ยวชาญแนะนํา
(3) ฝึกพูดหน้ากระจก
(4) บันทึกภาพและเสียงซํ้า ๆ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง
ตอบ 2 การฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา คือ มีพี่เลี้ยงหรือครูอาจารย์ดี ๆคอยแนะนําให้
เป็นการส่วนตัว หรือจัดเป็นกลุ่ม มีการฝึกพูดกันเป็นประจําหรือสมัครเข้ารับการ
อบรมหลักสูตรการพูด จัดเป็นวิธีฝึกพูดที่ประสบความสําเร็จและได้ผลดีที่สุด โดย
เฉพาะ นักพูดมือใหม่ที่ฝึกพูดครั้งแรก เพราะผู้แนะนําจะชี้แจงข้อบกพร่องและให้ข้อ
แนะนําวิธีพูดที่ถูกต้อง ซึ่งจะทําให้ทราบว่าผู้พูดยังบกพร่องในเรื่องใด และควร
ปรับปรุงแก้ไขตนเองในข้อใด
14. ข้อใดเกี่ยวข้องกับหลักปฏิบัติในการฝึกพูดน้อยที่สุด
(1) หัดสร้างพลังใหม่ ๆ
(2) หัดทําสมาธิ
(3) หัดแสวงหาเครื่องแต่งตัวที่สวยงาม
(4) ฝึกระงับอารมณ์ต่าง ๆ
ตอบ 3
หลักปฏิบัติในการฝึกพูด มีดังนี้ 1. ฝึกตนเองให้รู้จักแสวงหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่
เสมอ (เช่น ฝึกนิสัยรักการอ่าน รักการฟัง ฝึกจิตให้มีสมาธิ ฯลฯ) 2. ฝึกการพูดให้
เป็นสําเนียงภาษาพูด 3. ฝึกความเชื่อมั่นในตัวเอง 4. ฝึกตนให้มีความอดทนอด
กลั้นต่ออารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น ฝึกระงับอารมณ์ต่าง ๆ ฝึกสร้างพลัง
ใหม่ ๆ ฯลฯ) 5. ฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด
17. ภาษามือมีประโยชน์ในการพูดอย่างไร
(1) บอกขนาด หรือทิศทาง
(2) ประกอบการพูดอย่างเป็นทางการ
(3) ช่วยให้การพูดน่าสนใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การใช้ภาษามือควรใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพูดมากที่สุด และใช้ให้เป็นธรรมชาติใช้
ให้เป็นจังหวะ เหมาะกับเรื่องและโอกาส เพื่อบอกจํานวน ขนาด รูปร่าง และทิศทาง
ซึ่งจะทําให้การพูดมีนํ้าหนักมากยิ่งขึ้น แต่อย่าใช้ภาษามือมากเกินไปหรือใช้อยู่
ตลอดเวลาเหมือนกับการแสดงละคร นอกจากนี้การพูดในบางโอกาสห้ามใช้มือ
ประกอบ เช่น การกล่าวรายงานอย่างเป็นพิธีการ การให้โอวาท การกล่าวเปิดงาน
และการอ่านข่าวทางโทรทัศน์ เป็นต้น
18. เมื่อผู้พูดใช้เสียงตํ่าเป็นการพูดในลักษณะใด
(1) โน้มน้าวใจคนฟัง
(2) แสดงความเสียใจ
(3) แสดงการท้าทาย
(4) อธิบายหรือให้ความรู้
ตอบ 2
การใช้เสียงต้องให้เหมาะกับเนื้อหาและอารมณ์ โดยพิจารณาว่าเนื้อหาที่พูดเป็น
อย่างไร ควรจะใช้เสียงอย่างไรจึงจะเหมาะกับเรื่อง ได้แก่ การบรรยายธรรมดาหรือ
อธิบาย ความรู้ให้ใช้เสียงเรียบ ๆ ธรรมดา, ถ้าต้องการโน้มน้าวจิตใจควรใช้เสียงที่
เชิญชวน, ถ้าพูดเรื่อง ที่มีอารมณ์ต่าง ๆ ต้องใช้เสียงให้ถูกต้อง เช่น การพูดที่
แสดงการท้าทายให้ใช้นํ้าเสียงแข็งกร้าว แต่ถ้าแสดงความเสียใจให้ใช้เสียงตํ่า ฯลฯ
19. ข้อใดถูกต้อง
(1) การตื่นเวทีจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่ฝึกซ้อมการพูดมาอย่างดี
(2) การตื่นเวทีระดับ Audience Fear มีประโยชน์
(3) การตื่นเวทีทุกชนิดไม่ช่วยให้การพูดดีขึ้น
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การตื่นเวที่จะไม่เกิดขึ้นกับคนที่ฝึกซ้อมการพูดมาอย่างดีโดยเฉพาะการฝึกพูดในที่
สาธารณะ ซึ่งเป็นวิธีเอาชนะความสะทกสะท้าน และยังเป็นการปลูกฝังเสริมสร้าง
ความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นในตนเองที่ดีที่สุด เพราะผู้พูดสามารถ ควบคุม
ความกลัวและความเก้อเขินเอาไว้ได้ นอกจากนี้การตื่นเวทีในระดับ Audience
Tension ยังมีประโยชน์ เพราะเป็นสัญชาตญาณในการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้า
กับการท้าทายที่ไม่คุ้นเคย
20. วิธีการไหนสามารถแก้ไขอาการตื่นเวทีได้ดีที่สุด
(1) สร้างความมั่นใจให้กับตนเอง
(2) เขียนโน้ตย่อให้ชัดเจน
(3) ซ้อมการพูดจนมั่นใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
ข้อแนะนําเมื่อเกิดอาการตื่นเวที มีดังนี้
1. เตรียมตัวให้พร้อม ฝึกซ้อมการพูดจนมั่นใจ ถือเป็นวิธีป้องกันแก้ไขอาการตื่น
เวทีที่ดีที่สุดเพราะถ้าเตรียมสองประการนี้ไม่ดีก็เท่ากับประสบความล้มเหลวก่อน
ขึ้นเวที่เสียแล้ว
2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง พยายามคิดว่าผู้ฟังทุกคนเป็นมิตรกับเรา
3. สร้างทัศนคติที่ดี ต้องคิดว่าเรามีความรู้ในเรื่องที่จะพูดมากเพียงพอ
4. สูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ เพื่อผ่อนคลาย แล้วนึกถึงคําพูดแรก ๆ ในการพูด
21. การพูดแบบไหนที่มีผลต่อการใช้ชีวิตของคนเรามากที่สุด
(1) การพูดจาทักทาย
(2) การพูดแบบไม่เป็นทางการ
(3) การพูดแบบเป็นทางการ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 การพูดแบบไม่เป็นทางการ คือ การสื่อสารระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
แต่ไม่ควรเกิน 1 – 5 คน ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดแบบตัวต่อตัว ซึ่งมีผลต่อการใช้ ชี
วิตประจําวันของคนเรามากที่สุด แบ่งออกได้ดังนี้
1. การทักทาย 2. การแนะนําตัว 3. การสนทนา
4. การเล่าเรื่อง 5. การพูดโทรศัพท์ 6. การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ
22. ข้อใดหมายถึงการสนทนาที่ถูกต้อง
(1) พยายามแลกเปลี่ยนความคิด
(2) พูดเป็นและฟังเป็น
(3) พยายามเล่าเรื่องที่ตนเองประสบมา
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2
การสนทนาเป็นกิจกรรมการพูดระหว่างบุคคล 2 คน หรือมากกว่านั้น ซึ่งถือเป็น
ศิลปะอย่างหนึ่ง โดยการสนทนาที่ถูกต้องไม่ได้หมายถึงการพูดเท่านั้น แต่หมาย
ถึง การฟังด้วย ดังนั้นผู้สนทนาที่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่พูดเป็นอย่างเดียว แต่ต้องฟังเป็น
ด้วย คือ ตั้งใจฟัง ยอมรับฟัง และทนฟังผู้อื่นได้ ซึ่งก็จะใช้หลักการพูดทั่ว ๆ ไป
นั่นเอง คือ ต้องพิจารณาผู้ฟัง จุดประสงค์ในการพูด โอกาสและเรื่องที่จะพูด
27. วิธีการพูดแบบใดที่เหมาะกับทุกโอกาส
ตอบ 4
การพูดจากความทรงจํา ถือเป็นการพูดจากใจและจากความรู้สึกที่แท้จริงของผู้
พูด จึงเป็นวิธีการพูดที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับการพูดในทุกโอกาส โดยมักจะใช้ได้ดี
กับการเล่าเรื่องจากประสบการณ์ที่ตนเองได้ประสบมา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จริง ๆ ซึ่งคนที่จะพูดแบบนี้ได้ดีจะต้องเป็นตัวของตัวเอง มีความจําดี จดจําทุกสิ่ง
ทุกอย่างไว้ในสมองมีปฏิภาณไหวพริบ มีความรอบรู้ และสามารถนําเรื่องราวต่าง
ๆ มาประสานกันได้เป็นอย่างดี
29. การพูดแบบใดเหมาะกับการกล่าวรายงานหรือประกาศ
ตอบ 1
การพูดแบบบอกเล่าหรือบรรยาย มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ฟังเกิดความรู้และความเข้าใจ
ต้องการให้ผู้ฟังได้รับทราบเรื่องราวต่าง ๆ หรือเป็นการสาธิตการทําสิ่งของบาง
อย่าง โดยทั่วไป จะเป็นการพูดแบบอบรม ชี้แจง ปฐมนิเทศ บรรยายสรุป การกล่าว
รายงาน ประกาศ การพูดแถลงการณ์ การบรรยายหรือสอนในชั้นเรียน ฯลฯ
34. การพูดในที่สาธารณะมีลักษณะเป็นรูปแบบไหน
(1) วงกลม
(2) คู่ขนาน
(3) ปฏิกิริยาโต้กลับ
(4) แล้วแต่สถานการณ์
ตอบ 1 การพูดในที่สาธารณะโดยทั่วไป ผู้พูดมักจะคิดว่ามีลักษณะการสื่อสารเป็น
เส้นตรง คือ เป็นแบบที่ผู้พูดส่งสารทางเดียว แต่ความจริงแล้วมีลักษณะการ
สื่อสารเป็นวงกลมมากกว่า เป็นเส้นตรง คือ ผู้ฟังจะต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา
ด้วย ซึ่งเรียกว่า การตอบสนองหรือผลที่เกิดจากการพูด คือ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจาก
ที่ผู้พูดถ่ายทอดสารมาให้ผู้ฟัง
42. ข้อใดเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม
(1) บํารุงเรียกภรรยาใหม่ของพ่อว่า “คุณน้า”
(2) บําราศเรียกพี่สาวว่า “น้อง” เพราะเป็นชื่อเล่น
(3) ดํารัสขานรับคุณครูว่า “จ้า” เมื่อคุณครูเรียก
(4) ดํารงขานรับว่า “ขอรับ” เมื่อภรรยาใหม่ของคุณพ่อเรียก
ตอบ 1
การใช้ภาษาในสังคมไทยมีความสอดคล้องกับวัฒนธรรม ได้แก่ การพูดกับบุคคล
ที่อาวุโส คนไทยนิยมใช้คําสรรพนามแทนบุคคลที่อาวุโสกว่าในลักษณะที่ยกย่อง
เช่น เรียกว่า พี่ ป้า ลุง ยาย คุณน้า (ในกรณีที่มีอายุอ่อนกว่าแม่ตัวเอง) ฯลฯ แต่ถ้า
บุคคลนั้นอายุน้อยกว่าก็เรียกว่า น้อง เป็นต้น
51. การประชุมที่จัดขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งและร่วมแสดงความเห็น
เรียกว่าอะไร
(1) Work Shop
(2) Debate
(3) Panel
(4) Seminar
ตอบ 3
การประชุมคณะอภิปราย หรือการประชุมแบบแผง (Panel) คือ การประชุมที่บุคคล
คณะหนึ่งจัดให้มีขึ้นด้วยเจตนาร่วมกันที่จะพิจารณาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และนํา
ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนั้นขึ้นมากล่าวเป็นประเด็น เพื่อช่วยกันแสดงความคิดเห็นหรือ
แก้ไขปัญหา
52. การประชุมแบบใดที่สถาบันจัดขึ้นและเอื้อความสะดวกด้านวัสดุ
(1) Work Shop
(2) Debate
(3) Panel
(4) Seminar
ตอบ 1
การประชุมปฏิบัติงาน (Work Shop) คือ การประชุมที่สถาบันจัดให้มีขึ้น และจัดอํา
นวยความสะดวกในด้านวัสดุและอุปกรณ์การศึกษาให้พร้อม เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้
ใช้ แก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ และให้ได้ร่วมปฏิบัติการหรือลงมือทําเพื่อให้
ได้ผลงาน ตามที่กําหนดไว้
53. การอภิปรายแบบใดที่สมาชิกทุกคนมีโอกาสได้เห็นหน้ากัน
(1) แบบฟิลิปส์ 66
(2) แบบเวียนรอบ
(3) แบบระดมสมอง
(4) แบบโต๊ะกลม
ตอบ 4
การอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table Discussion) คือ การปรึกษาหารือกันใน
ระหว่างสมาชิกอย่างใกล้ชิด โดยสมาชิกทุกคนมีสิทธิ์ในการอภิปราย และมีการจัด
โต๊ะเป็นรูปวงกลมเพื่อให้เห็นหน้ากันได้ชัดเจน จึงทําให้การประชุมแบบนี้เกิดความ
คิดได้มากเพราะว่าเห็นหน้ากันถนัด และทุกคนมีสิทธิ์พิจารณาอย่างเท่าเทียมกัน
54. ประโยชน์ของการจัดประชุมหรือการจัดอภิปรายข้อใดไม่เกี่ยวข้อง
(1) มีโอกาสพบปะพูดจาสังสรรค์
(2) เรียนรู้มารยาทและการมีมนุษยสัมพันธ์
(3) สามารถสร้างความสามัคคีในหน่วยงาน
(4) มีโอกาสและส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
ตอบ 3
ประโยชน์ของการจัดประชุมหรือการจัดอภิปราย มีดังนี้
1. ทําให้มีโอกาสพบปะพูดจาสังสรรค์กัน 2. ทําให้รู้จักเรียนรู้มารยาทและการมี
มนุษยสัมพันธ์ 3. ทําให้มีโอกาสปรึกษาหารือกันอยู่เสมอ และมีส่วนร่วมในการ
แสดงความคิดเห็น ฯลฯ
56. ข้อใดคือวลีฆาตกร
(1) เธอคิดมากเกินไปหรือเปล่า
(2) อย่าทําแบบนี้อีกนะ
(3) คนอื่นเขาไม่คิดว่าเธอไม่ดีหรอก
(4) ไม่มีใครเขาทําแบบเธอหรอก
ตอบ 4
อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ได้เรียกการใช้ภาษาที่จะทําลายบรรยากาศอันดีในที่
ประชุม และทําลายความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าประชุมว่า “วลีฆาตกร” (Killer
Phrases) คือ การใช้ภาษาที่อาจทําให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบในทางปฏิปักษ์ นอกจาก
นี้วลีฆาตกรยังสามารถ เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจําวัน หากเป็นการใช้วาจาที่ก้าวร้าว
ไม่สุภาพ จนก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เช่น ไม่มีใครเขาทํา
แบบเธอหรอก เป็นต้น
57.
(1) สมชายอ่านหนังสืออย่างขมีขมันเพื่อจะสอบเข้านายร้อย
(2) สมหญิงกุลีกุจอช่วยคุณยายห่อขนมนําไปขายที่ตลาด
(3) สมสุขเปิดเผยความในใจว่า ชอบทานอาหารแบบใด
(4) สมจินตนาชอบทานขนมจุบจิบโดยไม่กลัวนํ้าหนัก
ตอบ 1
ประโยคในตัวเลือกข้อ 1 ใช้คําไม่ถูกต้องตรงความหมาย หรือใช้คําผิดความหมาย
เพราะคําบางคํามีความหมายคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกัน แต่ละคํามีความหมาย
โดยตรงที่ใช้เฉพาะความหมายคํานั้น จึงควรใช้คําให้ถูกต้องตรงความหมาย โดย
ใช้คําว่า “ขะมักเขม้น” = ตั้งใจทําอย่างรีบเร่งเพื่อให้แล้วเสร็จไป ก้มหน้าก้มตาทํา
(ส่วนคําว่า “ ขมีขมัน” = รีบเร่งในทันทีทันใด)
58.
(1) ขุนแผนสืบเสาะหาของดีติดตัวก่อนออกผจญภัย
(2) คุณยายวรนาฏดูออกจะจุกจิกขี้บ่นกับหลาน ๆ
(3) ภาพพจน์นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ ขยันและอดทน
(4) เปรี้ยวพูดจาขัดนวลตลอดเวลาจนทําให้นวลโกรธ
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ) ประโยคในตัวเลือกข้อ 3 ควรใช้คําว่า“ภาพ
ลักษณ์” – ภาพที่เกิดจากความนึกคิดหรือที่คิดว่าควรจะเป็นเช่นนั้น จินตภาพก็ว่า
(ส่วนคําว่า “ภาพพจน์” = คําพูดที่เป็นสํานวนโวหารทําให้นึกเห็นเป็นภาพ)
59.
(1) คอนโดมิเนียมขึ้นอย่างหนาแน่นริมสถานีรถไฟฟ้า
(2) ตํารวจกําลังสอบปากคํานายดําที่ไปลักขโมยของ
(3) ดาวเรืองกําลังสอบถามกับพนักงานเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ
(4) ขุนไกรรู้สึกทราบซึ้งในความรักของดาวเรือง
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ) ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 ควรใช้คํา
ว่า“ซาบซึ้ง” = อาการที่รู้สึกจับใจอย่างลึกซึ้ง หรืออาการที่รู้สึกปีติปลาบปลื้ม
(ส่วนคําว่า “ทราบซึ้ง” = รู้หรือเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว)
60.
(1) ไออุ่นรู้สึกวางใจในทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
(2) กําภูจนมุมที่จะทําให้ไกรขวัญ หันมาคืนดี
(3) วรุณยุพาตั้งใจจะเผยแผ่คําสอนพระพุทธเจ้าให้โลกรับรู้
(4) การสนทนานี้ดูจะยืดยาวไม่รู้จักจบสิ้นในคืนนี้
ตอน 2
(ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ) ประโยคในตัวเลือกข้อ 2 ควรใช้คําว่า “จนใจ” =
หมดทางที่จะได้อย่างคิด (ส่วนคําว่า “จนมุม” = ไม่มีทางหนี หมดทางสู)้
61. ขั้นตอนในการเตรียมเพื่อการพูดและการเขียนข้อใดมาก่อนลําดับแรก
(1) การเตรียมเนื้อหา
(2) การเขียนโครงเรื่อง
(3) การเลือกหัวข้อเรื่อง
(4) การขยายความคิด
ตอบ 3
ก่อนที่จะพูดหรือเขียน เราต้องเลือกหัวข้อเรื่องที่จะพูดหรือเขียนก่อนสิ่งอื่นใดซึ่ง
การเลือกหัวข้อเรื่อง หมายถึง การพิจารณาเนื้อหาสาระของเรื่องว่ามีความเหมาะ
สมที่จะ นํามากล่าวหรือไม่ ดังนั้นการเลือกหัวข้อเรื่องจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกับประโยค
ใจความ และไม่ได้หมายถึง การเลือกชื่อเรื่องหรือการตั้งชื่อเรื่องให้โก้เก๋ แต่ต้องคํา
นึงถึงเนื้อหาหรือสาระสําคัญของเรื่องเป็นหลัก
63. ที่มาของเรื่องที่เขียนหรือพูดมักมาจากแหล่งใดที่สําคัญที่สุด
(1) การพูด
(2) การฟัง
(3) การอ่าน
(4) การเขียน
ตอบ 3
แหล่งที่มาของหัวข้อเรื่องอาจได้มาจากหลายทาง เช่น จากการอ่าน การฟัง การ
สังเกต การคิดนึกตรึกเอา หรือได้มาจากประสบการณ์ตรง ฯลฯ แต่หัวข้อเรื่อง
ส่วนใหญ่มักได้มาจากการอ่านหนังสือต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นแหล่งที่มาของหัวข้อเรื่อง
ที่สําคัญที่สุด เพราะการอ่านเป็นการสั่งสมความรู้ที่ดีที่สุด และยังเป็นการพัฒนา
ตนเองในด้านความรู้ได้เร็วและรวบรัดที่สุดอีกด้วย
65. การแบ่งระดับหัวข้อย่อยในโครงเรื่องนิยมใช้แบบใดมากที่สุด
(1) แบบตัวอักษรย่อ
(2) แบบตัวเลข
(3) แบบตัวเลขสลับอักษรย่อ
(4) แบบใดก็ได้ขึ้นอยู่กับผู้เขียน
ตอบ 1
การเเบ่งระดับหัวข้อย่อยในโครงเรื่องนิยมใช้แบบตัวอักษรย่อมากที่สุด หรือใช้แบบ
ตัวเลขผสมกับตัวอักษรย่อสลับกันไป หรืออาจใช้หัวข้อย่อยแบบตัวเลขล้วน ๆ โดย
ใช้ เครื่องหมายมหัพภาค (.) เป็นเครื่องช่วยสังเกตประเด็นใหญ่และประเด็นย่อย แต่
มีข้อควรระวัง คือ ถ้าเลือกหัวข้อประเด็นแบบใดก็ให้ใช้แบบนั้นตลอดไป อย่าใช้ปน
กันหลาย ๆ แบบ
67. โครงเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนนิยมใช้กันมากนัก
ตอบ 3
โครงเรื่องแบบย่อหน้า ประกอบด้วยกลุ่มประโยคหลายกลุ่มประโยครวมกันในรูป
ของย่อหน้า โดยไม่ต้องแยกเป็นหัวข้อลงในบรรทัดใหม่ แต่จะกล่าวถึงทุกประเด็น
ปนกันไปในย่อหน้าเดียวกัน เนื่องจากโครงเรื่องแบบนี้ไม่แยกประเด็นความคิดของ
เนื้อหาออกอย่างชัดเจน จึงไม่เป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป
68. โครงเรื่องที่นิยมตอนถูกเชิญให้เป็นคนกล่าวเวลากะทันหัน
ตอบ 1
โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง จะเขียนอย่างคร่าว ๆ ด้วยคําหรือวลีแบบหยาบ ๆ เพื่อ
วางแนวเรื่องสั้น ๆ หรือเรื่องที่จะต้องพูดหรือเขียนอย่างทันควันในเวลา อันจํากัด
โดยไม่จําเป็นต้องคํานึงถึงระเบียบแบบแผนใด ๆ เพียงแต่ต้องการให้เรื่องที่จะกล่าว
เรียงลําดับกันไม่สับสนเท่านั้น เช่น การเตรียมตอบคําถามหรือทําข้อสอบแบบ
อัตนัย หรือการถูกเชิญให้กล่าวในเวลาอันกะทันหัน ฯลฯ
69. โครงเรื่องที่บอกประเด็นการเขียนที่ชัดเจน
ตอบ 4
โครงเรื่องแบบประโยค จะเขียนด้วยข้อความที่เป็นประโยคสมบูรณ์และชัดเจน มีเลข
หรืออักษรย่อกํากับทุกประโยคที่เป็นประเด็นของเรื่องนั้น จึงเป็นโครงเรื่องที่บอก
ขอบข่ายและรายละเอียดของแต่ละประเด็นไว้ครบถ้วน ง่ายต่อการนําไปเขียนขยาย
เป็นย่อหน้าหรือเนื้อความ จึงเหมาะสําหรับผู้เริ่มหัดเขียน และมักใช้กับเรื่องที่มีราย
ละเอียดมากซึ่งต้องใช้เวลานานในการศึกษาค้นคว้า เช่น การทํารายงานทาง
วิชาการ การวิจัย ฯลฯ
70. โครงเรื่องที่เหมาะสําหรับผู้ที่เริ่มฝึกเขียน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ
71. ประโยคในส่วนประกอบของย่อหน้าประโยคใดจะมีหรือไม่มีก็ได้
(1) ประโยคสรุป
(2) ประโยคสนับสนุน
(3) ประโยคใจความ
(4) ประโยคส่งความ
ตอบ 4
ประโยคส่งความหรือประโยคเชื่อมความ เป็นประโยคที่เชื่อมเนื้อหาจากย่อหน้าหนึ่ง
ไปยังย่อหน้าต่อไป ซึ่งมักจะปรากฏในกรณีที่มีย่อหน้าตั้งแต่ 2 ย่อหน้าขึ้นไป แต่ถ้า
หากมีเพียงย่อหน้าเดียวก็ไม่จําเป็นต้องมีประโยคส่งความ
76. ข้อความหมายเลข 1
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 1
ประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ คือ ข้อความที่เป็นตอนนําซึ่งเป็นส่วนที่มีความ
หมายครอบคลุมข้อความทั้งหมดในย่อหน้า หรือเป็นส่วนที่มีความหมาย เด่นชัด
และมีนํ้าหนักมากที่สุด โดยจะกล่าวถึงสาระสําคัญของเนื้อความในย่อหน้านั้นทั้ง
หมดหรือจํากัดขอบข่ายประเด็นที่จะพูดถึงในย่อหน้า ทั้งนี้อาจมีตําแหน่งอยู่ในตอน
ต้น ตอนกลาง หรือตอนปลายของย่อหน้าก็ได้ (ข้อความที่ให้มาข้างต้นเป็น
ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า)
77. ข้อความหมายเลข 2
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2
ประโยคสนับสนุนหลัก คือ ข้อความส่วนที่เป็นตอนอภิปราย หรือประเด็นความคิด
หลัก ซึ่งจะทําหน้าที่นํารายละเอียดของเนื้อหาไปสนับสนุนหรือขยายประโยค
ใจความ ของย่อหน้า ดังนั้นการเขียนประโยคชนิดนี้จึงต้องวิเคราะห์ประโยค
ใจความ และจํากัดความคิดที่จําเป็นต้องนํามาสนับสนุนใจความในย่อหน้าเสียก่อน
78. ข้อความหมายเลข 3
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3
ประโยคสนับสนุนรอง คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือความคิดย่อยใน
ประเด็นความคิดหลัก ซึ่งทําหน้าที่ให้รายละเอียดหรือขยายความในประเด็นความ
คิดหลัก
หรือประโยคสนับสนุนหลัก (ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ)
79. ข้อความหมายเลข 4
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ
80. ข้อความหมายเลข 5
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ
81. ข้อความหมายเลข 6
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ
82. ข้อความหมายเลข 7
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4
ประเด็นความคิดที่อยู่นอกขอบข่ายเนื้อหา คือ รายการความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับ
ประโยคใจความ ประโยคสนับสนุนหลัก และประโยคสนับสนุนรอง เพราะเมื่อปนเข้า
มาก็จะทําให้เนื้อความของเรื่องหรือของย่อหน้านั้นเสียไป
83. ข้อความหมายเลข 8
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ
84. ข้อความหมายเลข 9
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ
85. ข้อความหมายเลข 10
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ
86. ข้อความหมายเลข 11
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ
87. ข้อความหมายเลข 12
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ
88. ข้อความหมายเลข 13
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ
89. ข้อความหมายเลข 14
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ
90. ข้อความหมายเลข 15
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ
91. ข้อใดมีจํานวนพยางค์มากที่สุด
(1) นาฏดนตรี
(2) นาวิกโยธิน
(3) บูรพคณาจารย์
(4) ภูมิปัญญาประดิษฐ์
ตอบ 3
พยางค์ คือ เสียงที่เปล่งออกมา 1 ครั้ง จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
ซึ่งพยางค์เกิดจากการเปล่งเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ตามกันออกมา
อย่างกระชั้นชิด จนฟังดูเหมือนกับเปล่งเสียงออกมาในครั้งเดียวกัน เรียกว่า การ
ประสมเสียงในภาษา ดังนั้น เสียงที่เกิดจากการประสมเสียงจึงเรียกว่า “พยางค์”
เช่น คําว่า บูรพคณาจารย์ (6 พยางค์), นาวิกโยธิน/ภูมิปัญญาประดิษฐ์ (5
พยางค์), นาฏดนตรี (4 พยางค์) เป็นต้น
93. ข้อใดใช้คําได้ถูกต้องตามระเบียบของภาษา
(1) สุดามีกรมธรรม์หลายเล่ม
(2) เขายื่นใบสมัครแก่เจ้าหน้าที่
(3) หน้าตาของเขาเหมือนอย่างราวกับพ่อ
(4) ลูกศิษย์ของฉันคนนี้มีสติปัญญาแหลมคมมาก
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 ใช้คําถูกต้องตามระเบียบของภาษา (หลักภาษาหรือ
ไวยากรณ์) คือ ระเบียบของถ้อยคําที่กําหนดไว้ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรใช้คําให้ถูก
ต้องตามระเบียบของภาษา โดยใช้ว่า สุดามีกรมธรรม์หลายฉบับ, เขายื่นใบสมัคร
ต่อเจ้าหน้าที่,หน้าตาของเขาเหมือนกับพ่อ)
94. ข้อใดใช้ภาษาเขียนได้ถูกต้อง
(1) นักแข่งจักรยานทีมชาติไทยประสบอุบัติเหตุในการแข่งขัน
(2) การกินอาหารมังสวิรัติมีประโยชน์มาก ทําให้หุ่นเพรียวลมสมส่วน
(3) การทํากิจกรรมเดิม ๆ ซํ้า ๆ ทําให้ดูน่าเบื่อหน่าย
(4) มัคคุเทศก์พาคณะนักศึกษานั่งรถชมวิวก่อนกลับบ้าน
ตอบ 1
การใช้คําในภาษาเขียนย่อมพิถีพิถันมากกว่าภาษาพูด โดยเฉพาะภาษาเขียนใน
ระดับแบบแผนด้วยแล้ว ผู้เขียนย่อมทบทวนกันอย่างละเอียดเพื่อที่จะใช้คําได้อย่าง
หมดจด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําที่เป็นภาษาพูด)
95. ข้อใดคือความหมายของพยางค์
(1) มีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
(2) เปล่งออกมาแล้วต้องมีความหมาย
(3) ประกอบด้วย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ
96. ข้อใดต่อไปนี้ไม่มีคําพ้องรูปพ้องเสียง
(1) ดูเสียก่อนว่าอาหารบูดหรือไม่ ลองชิมดูซิ
(2) ไปกันหรือยัง เพื่อน ๆ กลุ่มนั้นเขากันที่ไว้รอเรานะ
(3) รีบ ๆ มาช่วยกันขัด ไม่มีใครมาช่วยเราขัดหรอกนะ
(4) คุณลูกค้าไม่ต้องตกใจ ทางร้านขอรับรองว่าผ้าชิ้นนี้สีไม่ตก
ตอบ 3
ประโยคในตัวเลือกข้อ 3 ไม่มีคําพ้องรูปพ้องเสียง เพราะคําว่า “ขัด” ทั้ง 2 คํามี
ความหมายเหมือนกัน คือ ถูให้เกลี้ยง ถูให้ขึ้นเงา (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําพ้องรูป
พ้องเสียง แต่ความหมายต่างกัน ได้แก่ ดูเสียก่อนว่าอาหารบูดหรือไม่ ลองชิมดูซิ,
ไปกันหรือยัง เพื่อน ๆกลุ่มนั้นเขากันที่ไว้รอเรานะ, คุณลูกค้าไม่ต้องตกใจ ทางร้าน
ขอรับรองว่าผ้าชิ้นนี้สีไม่ตก)
98. ข้อความที่กําหนดให้มีคําผิดกี่คํา
สุกานดาจบปริญญาตรีนิเทศน์ศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เธอ
เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ชอบทํางานผลัดวันประกันพรุ่งและเปลี่ยนงาน
มาหลายบริษัท ล่าสุดเธอทํางาน เป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธุ์ที่คลินิคแถวถนน
ประชาอุทิศน์ (1) 3 คํา
(2) 4 คํา
(3) 5 คํา
(4) 6 คํา
ตอบ 3 ข้อความที่กําหนดให้มีคําที่สะกดผิด 5 คํา ได้แก่ นิเทศน์ศาสตร์บัณฑิต ผัด
วันประกันพรุ่ง ประชาสัมพันธุ์ คลินิค ประชาอุทิศน์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ นิเทศศาสตร
บัณฑิต ผัดวันประกันพรุ่ง ประชาสัมพันธ์ คลินิก ประชาอุทิศ
99. ข้อใดใช้ภาษาแบบแผน
(1) การมุ่งเอาชนะกันโดยปราศจากความรับผิดชอบ ก่อให้เกิดผลเสียเป็นอย่างยิ่ง
(2) การเตะถ่วงมิใช่พฤติการณ์ของการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
(3) การนําเทคโนโลยีมาช่วยในการเกษตรกําลังเป็นที่สนใจของเกษตรกร
(4) ถ้ามิใช่ทําเพื่อพวกพ้อง แล้วเหตุไฉนจึงตัดสินใจอย่างฉุกละหุกลุกลี้ลุกลน
ตอบ 3
ภาษาระดับแบบแผน คือ คําที่ใช้ในระดับทางการ ซึ่งเป็นคําที่เลือกสรรใช้อย่าง
ประณีต มีความถูกต้องทั้งในด้านหลักภาษา ความชัดเจน และมารยาท ในการใช้
โดยสมบูรณ์ ได้แก่ ภาษาเขียนเชิงวิชาการและการเขียนเป็นทางการจะนิยมใช้ภาษา
แบบแผนและคําศัพท์บาลี สันสกฤต หรือเขมร แทนคําไทยที่เป็นภาษาพูด แต่ไม่นิยม
ใช้คําซํ้า
100. ข้อใดเว้นวรรคถูกต้อง
(1) หนังสือเป็นเสมือนคลังทรัพย์แห่งปัญญา/ที่ใครก็ปล้นไปไม่ได้และใช้ไม่รู้หมด/
ดังนั้นทุกคนจึงควรอ่านหนังสือ
(2) หนังสือ/เป็นเสมือนคลังทรัพย์แห่งปัญญา/ที่ใครก็ปล้นไปไม่ได้และใช้ไม่รู้หมด/
ดังนั้นทุกคนจึงควรอ่านหนังสือ (3) หนังสือเป็นเสมือนคลังทรัพย์แห่งปัญญาที่
ใครก็ปล้นไปไม่ได้ และใช้ไม่รู้หมด/ดังนั้นทุกคนจึงควรอ่านหนังสือ
(4) หนังสือเป็นเสมือนคลังทรัพย์แห่งปัญญาที่ใครก็ปล้นไปไม่ได้และใช้ไม่รู้หมด/ดัง
นั้นทุกคนจึงควรอ่านหนังสือ
ตอบ 3
การรู้จักเว้นจังหวะในการพูด เป็นการเว้นวรรคตอนตรงข้อความที่ควรจะหยุดซึ่ง
การเว้นจังหวะโดยทั่วไป คือ การหยุดพูดเมื่อพูดจบหัวข้อหนึ่ง ๆ ก่อนที่จะพูดใน
หัวข้อใหม่ ต่อไป นอกจากนี้ก็ให้หยุดท้ายคําถาม หยุดท้ายกลุ่มคํา หยุดก่อนที่จะ
กล่าวคําหรือเรื่องสําคัญและหยุดเมื่อถึงคําสันธาน เช่น กับ, และ, อนึ่ง, อย่างไรก็ดี
ฯลฯ
101. ข้อใดเป็นประโยคสองส่วน
(1) นกกางเขนสีสวยขนยาวบินสูงเสียดฟ้า
(2) นกกางเขนป้อนเหยื่อให้ลูกน้อย
(3) ลูกนกบินเกาะกินหนอน
(4) ลูกนกถูกแมวกัด
ตอบ 1
ข้อสังเกตเกี่ยวกับประโยค อาจมีลักษณะดังนี้
1. ประโยค 2 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น นก
กางเขนสีสวยขนยาวบินสูงเสียดฟ้า ฯลฯ 2. ประโยค 3 ส่วน ได้แก่ ประธาน +
กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น นกกางเขนป้อนเหยื่อให้ลูกน้อย,
ลูกนกบินเกาะกินหนอน, ลูกนกถูกแมวกัด ฯลฯ
102. ฉันตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือทุกเช้า
ตอบ 1 หน้า 124 ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค) คือ ประโยคเล็ก ๆ หรือ
ประโยคสามัญที่มีความหมายอย่างเดียว หรือมีความหมายเฉพาะอย่างหนึ่ง มักมี
โครงสร้างประกอบด้วย ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) หรือ
ประกอบด้วย ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น ฉันตื่น
ขึ้นมาอ่านหนังสือทุกเช้า เป็นต้น
103. คนที่กตัญญย่อมมีความเจริญในชีวิต
ตอบ 3
ประโยคความซ้อน หรือประโยคปรุงแต่ง (สังกรประโยค) หมายถึง ประโยคความ
เดียวที่มีประโยคยอยเข้ามาแทรกอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อแยกประโยคความซ้อนออกจาก
กันสองประโยคจะมีนํ้าหนักไม่เท่ากัน กล่าวคือ ประโยคความเดียวที่เป็นประโยค
หลัก (มุขยประโยค) จะมีใจความสําคัญเพียงประโยคเดียว และมีประโยคย่อย (อนุ
ประโยค) มาช่วย ขยายความ เช่น คนที่กตัญญย่อมมีความเจริญในชีวิต/ฉันนอน
เฝ้าคุณพ่อที่นอนป่วยมาตลอด ทั้งคืน (ประโยคย่อยขยายนาม “คน/คุณพ่อ” โด
ยมีคําว่า “ที่” เป็นคําเชื่อมแทนคํานามที่อยู่ ข้างหน้า) เป็นต้น
106. สุนัขตัวโปรดของฉันไม่สบายจึงร้องครวญครางเสียงดัง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 104. ประกอบ
107. ข้อใดใช้ภาษากํากวม
(1) เขาอยู่ไม่ได้ไปแล้ว
(2) คนที่อยู่ก็ต้องรับผิดชอบ
(3) จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สําคัญ
(4) อย่าอยู่อย่างอยาก
ตอบ 1
ประโยคในตัวเลือกข้อ 1 ใช้คําไม่ชัดเจนหรือไม่กระจ่าง ทําให้สื่อความหมายกํากวม
และตีความหมายได้หลายทาง จนก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไขว้เขว ดังนั้นจึงควรเขียน
ให้ชัดเจนและกระจ่าง โดยใช้ว่า เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ลาออกไปแล้ว/เขาอยู่บ้าน ไม่ได้ไป
เที่ยวแล้ว
108. ข้อใดวางคําขยายได้ถูกต้อง
(1) ไฟดับลงก่อนที่บ้านทั้งชุมชนจะไหม้หมดด้วยฝีมือของตํารวจ
(2) เมื่อคุณแม่ซื้อของเสร็จในห้างสรรพสินค้าก็เดินทางกลับบ้าน
(3) คุณแม่ขับรถมาส่งฉันถึงโรงเรียน ฝากบอกกับคุณครูมอบให้ฉันอยู่ในความ
ดูแลของท่าน
(4) ฉันชอบดื่มกับธรรมชาติ ส่งสายตามองดูนกที่กําลังโผผินบินพรูออกจากรัง
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 วางคําขยายถูกต้อง เพราะตําแหน่งของคําขยายย่อมอยู่
ใกล้กับคําที่ต้องการขยายความ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรเรียงลําดับคําขยายให้ถูก
ต้อง โดยใช้ว่าด้วยฝีมือของตํารวจไฟดับลงก่อนที่บ้านทั้งชุมชนจะไหม้หมด, เมื่อ
คุณแม่ซื้อของในห้างสรรพสินค้าเสร็จก็เดินทางกลับบ้าน, คุณแม่ขับรถมาส่งฉัน
ถึงโรงเรียน บอกกับคุณครูฝากมอบให้ฉันอยู่ในความดูแลของท่าน)
109. ข้อใดเป็นประโยคฟุ่มเฟือย
(1) คุณแม่ทําอาหารด้วยฝีมือของท่านเองทุกวัน
(2) เท่าที่ดูด้วยตาก็รู้ว่าเธอยังทํางานบกพร่องอยู่
(3) คนไทยทุกคนควรช่วยกันประหยัดพลังงานเพื่ออนาคตของประเทศ
(4) คุณพ่อดีใจที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานบริษัท
ตอบ 2
ประโยคในตัวเลือกข้อ 2 เรียงคําไม่กระชับ ใช้ประโยคฟุ่มเฟือย หรือใช้คําอย่างไม่
ประหยัด เพราะคําบางคํามีความหมายสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว จึงไม่จําเป็นจะต้อง ใช้
คําขยายมาเพิ่มเติมอีก เนื่องจากจะทําให้ประโยคยืดยาด ดังนั้นจึงควรใช้คําอย่าง
ประหยัด เพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่า เท่าที่ดูก็รู้ว่าเธอยังทํางานบกพร่องอยู่
110. ประโยคใดไม่ใช่สํานวนต่างประเทศ
(1) คุณมี 6 สิทธิ์ ในการแลกซื้อของ
(2) ความฟุ่มเฟือยนํามาซึ่งความลําบากในอนาคต
(3) ภายใต้การนําของรัฐบาลชุดนี้น่าจะทําให้เศรษฐกิจดีขึ้น
(4) นายกรัฐมนตรีขอร้องให้ประชาชนทุกคนประหยัดเพื่อประเทศชาติ
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 เรียงคําเป็นสํานวนภาษาไทย ไม่ใช่ประโยคที่เลียนแบบสํา
นวนพันทางหรือสํานวนต่างประเทศ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรเรียงคําให้เป็นสํานว
นภาษาไทย โดยใช้ว่า คุณมีสิทธิ์ 6 สิทธิ์ ในการแลกซื้อของ, ความฟุ่มเฟือยทําให้
เกิดความลําบากในอนาคต, รัฐบาลชุดนี้เป็นผู้นําน่าจะทําให้เศรษฐกิจดีขึ้น)
111. พจนานุกรมไทยที่จัดทําโดยราชการในข้อใดที่เรียงลําดับถูกต้อง
(1) พ.ศ. 2493 พ.ศ. 2525 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2554
(2) พ.ศ. 2493 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2554 พ.ศ. 2558
(3) พ.ศ. 2498 พ.ศ. 2525 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2554
(4) พ.ศ. 2500 พ.ศ. 2525 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2554
ตอบ 1
เมื่อมีการจัดตั้งราชบัณฑิตยสถาน เป็นหน่วยงานที่รับโอนงานพจนานุกรมหรือ
ปทานุกรมจากกรมตํารา กระทรวงธรรมการ นํามาชําระเพิ่มเติมคํา และตีพิมพ์เป็น
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493, พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2542 และ พ.ศ.
2554 ซึ่งเป็นฉบับปรับปรุงใหม่ล่าสุดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
114. คําในข้อใดสะกดถูกต้องทุกคํา
(1) กัณเทศน์ เทศนา
(2) คริสต์กาล คริสต์ศาสนิกชน
(3) ชะม้อย ชม้าย
(4) เซปักตะกร้อ เซลเซียส
ตอบ 4 คําที่สะกดผิด ได้แก่ กัณเทศน์ คริสต์กาล ชะม้อย ซึ่งที่ถูกต้องคือ กัณฑ์
เทศน์ คริสตกาล ชม้อย
115. ตัวสะกดในข้อใดที่มีรูปต่างกันแต่มีเสียงเดียวกัน
(1) ญ ณ ร
(2) ย ค ช
(3) ญ ช ฎ
(4) ป ณ ภ
ตอบ 1
พยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีเพียง 8 เสียงเท่านั้น คือ
1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
2. แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส
3. แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ
4. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ
5. แม่กง ได้แก่ ง
6. แม่กม ได้แก่ ม
7. แม่เกย ได้แก่ ย
8. แม่เกอว ได้แก่ ว
117. ข้อใดอ่านถูกต้อง
(1) กฤดาญชลี อ่านว่า กริ-ดาน-ชะ-สี
(2) กฤดยาเกียรณ อ่านว่า กริด-ยา-เกียน
(3) กฤษฎาญชลี อ่านว่า กริด-สะ-ดาน-ยะ-ชะ-ลี
(4) กฤดายุค อ่านว่า กะ-ร-ดา-ยุก
ตอบ 1 คําในตัวเลือกข้อ 2 – 4 อ่านผิด ซึ่งที่ถูกต้องคือ กฤดยาเกียรณ (กริด-ตะ-
ยา-เกียน), กฤษฎาญชลี (กริด-สะ-ดาน-ชะ-ลี), กฤดายุค (กริ-ดา-ยุก)
119. ข้อใดมีความหมายต่างจากข้ออื่น
(1) ทิพากร
(2) รัตติกร
(3) รัชนีกร
(4) นิศากร
ตอบ 1 คําที่มีความหมายว่า “พระจันทร์ ได้แก่ รัตติกร รัชนีกร นิศากร (ส่วนคําว่า
“ทิพากร” = พระอาทิตย์)