Professional Documents
Culture Documents
โครงสรางรับแรงดึง
Tension Members
ดร.ศิริชัย ตันรัตนวงศ
☺โครงสรางทีร่ บั แรงดึงตรงปลายทั้ง2ขาง โดยกระทํา
ผานศูนยถวงของรูปตัด
☺ชิ้นสวนของโครงสะพาน หอสูง ค้ํายัน ระบบเคเบิล้
☺การออกแบบหนาตัดคอนขางงาย เนื่องจากไมตอง
ระวังเรื่องการโคงโกงงอ ที่จะทําใหชิ้นสวนไรความ
มีเสถียรภาพ
☺ตองพิจารณาเกี่ยวกับการทํารอยตอที่ปลายของสวน
โครงสราง
T T
T
A ft
หนวยแรงดึงที่เกิดขึ้น : ft = T/A
แรงดึงที่สวนโครงสรางรับได : T = FtA
A: เนื้อที่หนาตัดบนรูปตัด
P : แรงดึงทั้งหมดที่กระทําตั้งฉากบนรูปตัด
ft : หนวยแรงดึงที่เกิดขึ้นแผกระจายสม่ําเสมอตลอดเนื้อที่หนาตัดดังนั้น หรือใน
Ft :หนวยแรงดึงที่สวนโครงสรางจะสามารถรับได
การคํานวณออกแบบโครงสรางสวนรับแรงดึง
มักพิจารณารวมกันกับการออกแบบทํารอยตอที่ปลายชิ้นสวน
ซึ่งอาจตอโดยการเชื่อมหรือโดยใชตัวยึด
หากทราบเกี่ยวกับลักษณะของการตอปลาย
จะชวยใหการออกแบบและเลือกใชสวนโครงสรางที่รับแรงดึงงายขึ้น
รูปตัดของโครงสรางสวนรับแรงดึง
การเลือกใชรูปตัดของโครงสรางสวนที่รับแรงดึง ขึ้นอยูกับชนิด
หรือแบบของการตอปลายมากกวาอยางอื่น
ลักษณะการวิบัติของโครงสรางสวนรับแรงดึง
• การคราก (yielding): แรงดึงที่กระทําบนหนาตัดทั้งหมด(gross area : Ag)
ของชิ้นสวนมีคาสูงมากเกินกวากําลังที่จุดครากของเหล็ก (Fy)
ทําใหชิ้นสวนถูกดึงยืดออกจนทําใหโครงสรางโดยรวมเสียรูปรางไป
ปองกัน
• เปลี่ยนขนาดรูปตัดใหญขึ้น
• เปลี่ยนเหล็กที่มีกําลังจุดครากสูงขึ้น
ทั้งนี้เพื่อใหหนวยแรงดึงที่กระทํามีคาไมเกินกวาหนวยแรงที่กําหนด
• การฉีกขาด (fracture): แรงดึงที่กระทําตรงหนาตัดที่มีรูเจาะเพื่อทํารอยตอ
หรือที่เรียกวา หนาตัดสุทธิ (net area : An) ซึ่งมีหนาตัดนอยกวาหนาตัดทั้งหมด
หนวยแรงดึงที่กระทําตรงหนาตัดสุทธิมีคาสูงมากกวาปกติ
และเมื่อมีคาสูงเกินกวากําลังตานทานแรงดึง(minimum tensile strength : Fu)
ของเหล็ก ชิ้นสวนจะฉีกขาดออกจากกัน
ปองกันไดโดยการจัดระยะหางระหวางเจาะรูและระยะที่ปลายชิ้นสวน
ใหมีคามากขึ้น เพื่อใหไดเนื้อที่หนาตัดสุทธิมากขึ้น
ซึ่งเปนการลดหนวยคาแรงดึงมิใหเกินกวาหนวยแรงดึงที่กําหนด
หรือเปลี่ยนใชเหล็กทีม่ ีกําลังตานทานแรงดึงสูงขึ้น
การวิบัติเนื่องจาการฉีกขาด อาจเกิดขึ้นกับชิ้นสวนตรงรอยตอ
จากการกระทํารวมกันระหวางแรงดึงและแรงเฉือน เรียกวา Block Shear
โดยหนาตัดของชิ้นสวนที่ตั้งฉากกับแนวแรงจะรับแรงดึง
สวนหนาตัดของชิ้นสวนที่ขนานกับแนวแรงจะรับแรงเฉือน
ทําใหชิ้นสวนอาจเกิดการวิบัติ
2 ลักษณะ
• ชิ้นสวนถูกดึงขาด
ในขณะที่เกิดการคราก
ที่ดานรับแรงเฉือน
• ชิ้นสวนถูกเฉือนขาด
ในขณะที่เกิดการคราก
ที่ดานรับแรงดึง
หนาตัดสุทธิ (Net Section)
ขนาดรูเจาะมาตรฐานของตัวยึด
• ∅ ตัวยึด <กวา 24 มม. : 2 มม.
• ∅ ตัวยึด ≥ กวา 24 มม. : 3 มม.
ถาให Ag เปนเนื้อที่หนาตัดทั้งหมด = (Wg) (t)
(Gross cross-sectional area)
Ahole เปนเนื้อที่หนาตัดของรูเจาะ = (dh)(t)
เมื่อ Wg เปนความกวางทั้งหมดของเหล็กแผนที่ตั้งฉากกับแรงดึง
t เปนความหนาแนนของเหล็กแผน
dh เปนขนาดเสนผานศูนยกลางของรูเจาะ
B
gage (g)
E D
•ระยะหางระหวางศูนยกลางของรูเจาะในแนวขนานกับแนวแรง: Pitch = s
•ระยะหางของรูเจาะในแนวตัง้ ฉากกับแนวแรง: Gage = g
ในการคํานวณออกแบบ ตองพิจารณาหาความกวางสุทธิ
หลาย ๆ แนวแลวนําคานอยที่สุดมาใชคํานวณหากําลังแรงดึง
หนาตัดสุทธิประสิทธิผล (Effective Net Cross-sectional Area)
เมื่อทํารอยตอที่ปลายของสวนโครงสรางรับแรงดึงโดยการใชตัวยึดหรือโดยการ
เชื่อม หากทําการยึดตอหรือเชื่อมตอเพียงบางสวนของรูปตัดเชน ยึดตอเหล็กรูป
ตัดฉากเดี่ยวที่ขาขางใดขางหนึ่งเพียงขางเดียวการรับและถายแรงจะไมแผ
กระจายอยางสม่ําเสมอขาของดานที่ถกู ยึดติดจะรับแรงกระทํามากกวาขาของ
ดานที่ไมถูกยึดเปนผลใหรอยตอตองรับแรงเยื้องศูนยที่เรียกวา Shear Lag ทําให
กําลังหรือประสิทธิภาพของการรับแรงดึงลดลง
มาตรฐาน AISC กําหนดใหพิจารณาการรับและถายแรงดึง
บนหนาตัดสุทธิประสิทธิผล(Ae)
ซึ่งเปนเนื้อที่หนาตัดของสวนโครงสรางที่ถูกลดคาลง
จากผลของการตอปลาย โดยอาศัยตัวคูณลดคา (reduction factor : U)
เมื่อ x = ระยะจากระนาบรับแรงเฉือนถึงจุดศูนยถวงของรูปตัดที่นํามาตอ
L = ความยาวของรอยตอในทิศที่ขนานกับแรงกระทํา
มาตรฐาน AISC/ASD/LRFD
ก) สําหรับเหล็กรูปพรรณที่มีรูปตัดตัว W, M, S, T
• ถาสงถายแรงดึงผานรอยเชื่อมที่อยูตั้งฉากกับแนวแรงอยางเดียว:
Ae = พื้นที่ที่เชื่อมตอ
• ถาสงถายแรงดึงผานสลักเกลียวหรือตัวยึด :
\ ใชสลักเกลียวทํารอยตอที่ปกชิ้นสวนในแนวของแรงกระทํา≥ 3 ตัว/แถว
& ชิ้นสวนมีอัตราสวนความกวางของปก:ความลึก ≥ 2/3: U = 0.9
\ ใชสลักเกลียวในแนวของแรงกระทํา ≥ 3 ตัว/แถว แตไมตรงตามเงื่อนไข
ขางตน: U = 0.85
\ ใชสลักเกลียวในแนวของแรงกระทํา= 2 ตัว/แถว: U = 0.75
ข) สําหรับเหล็กแผนหรือทอนเหล็ก ที่ทํารอยเชื่อมขนานกับแนวแรง
\ ความยาวของรอยเชื่อมทั้งหมด> 2 เทาของระยะหางระหวางรอยเชื่อม:
U = 1.0
\ ความยาวของรอยเชื่อมทั้งหมดอยูระหวาง 2 - 1.5เทาของระยะหาง
ระหวางรอยเชื่อม: U = 0.87
\ความยาวของรอยเชื่อมทั้งหมดอยูระหวาง 1 - 1.5 เทาของระยะหาง
ระหวางรอยเชื่อม: U = 0.75
การออกแบบโครงสรางสวนรับแรงดึง – มาตรฐาน AISC
การออกแบบโดยวิธี ASD
1. โครงสรางรับแรงดึงทั่วไป (ยกเวนทอนเหล็ก&เหล็กแผนเจาะรูทําขอตอ)
ใชคานอยของหนวยแรงดึงที่ยอมให ตอไปนี้
• หนวยแรงดึงที่ยอมใหบนหนาตัดทั้งหมด: Ft = 0.6Fy
• หนวยแรงดึงที่ยอมใหบนหนาตัดสุทธิประสิทธิผล: Ft = 0.5Fu
2. สําหรับทอนเหล็กหรือเคเบิ้ลรับแรงดึง
• หนวยแรงดึงที่ยอมให: F1 = 0.33Fu
3. ขอตอแบบหมุนไดในเหล็กแผน (pin-connected plate) /รูหมุดตาไก (pin hole)
ใชคานอยของหนวยแรงดึงที่ยอมใหตอไปนี้
• หนวยแรงดึงที่ยอมใหบนหนาตัดทั้งหมด: Ft = 0.6Fy
• หนวยแรงดึงที่ยอมใหบนหนาตัดสุทธิที่ผานรูเจาะ: Ft = 0.45Fy
• หนวยแรงกดตรงรูเจาะที่ยอมให: Fp = 0.9Fy
4. โครงสรางที่รับแรงดึงรวมกับแรงเฉือน
(block shear)
2. ทอนเหล็กหรือเคเบิ้ลรับแรงดึง
• กําลังรับแรงดึงประลัย = 0.75 (0.75FuAb) (φt=0.75)
3. ขอตอแบบหมุนไดในเหล็กแผน (pin-conneced plate)/รูหมุดตาไก (pin hole)
ใชคานอยของกําลังรับแรงประลัย (φPn) ตามสภาวะของการวิบัติ
• เมื่อหนาตัดทั้งหมดเกิดการคราก :
กําลังรับแรงดึงประลัย = 0.9FyAg (φt=0.9)
• เมื่อหนาตัดสุทธิประสิทธิผลเกิดการฉีกขาด :
กําลังรับแรงดึงประลัย = 0.75FuAe (φt=0.75)
• เมื่อรับแรงกดประลัยตรงรูเจาะ :
กําลังรับแรงกดประลัย = 0.75(1.8FyApb) (φt=0.75)
• เมื่อรับแรงเฉือนขาด :
กําลังรับแรงเฉือนประลัย = 0.75(0.6FuAsf) (φsf=0.75)
4. โครงสรางที่รับแรงดึงรวมกับแรงเฉือน (block shear)
หากําลังรับแรงดึงประลัยจากขอกําหนด ตอไปนี้
Ab = เนื้อที่หนาตัดของทอนเหล็กหรือเคเบิ้ล
Apb = เนื้อที่ที่รับแรงกด
Asf = เนื้อที่ที่รับแรงเฉือน
Agt = หนาตัดทั้งหมดที่รับแรงดึง
Agv = หนาตัดทั้งหมดที่รับแรงเฉือน
อัตราสวนความชะลูด
แมวาจะไมตองระวังเรื่องการโกงงอในโครงสรางสวนที่รับแรงดึง
แตเมื่อโครงสรางสวนนั้นมีรูปรางเรียวหรือชะลูด นั่นคือมี stiffness นอย
ก็อาจหยอนตกทองชาง เนื่องจากน้ําหนักของสวนโครงสรางเองหรือเกิด
การแกวงหรือโกงทางดานขาง (Lateral deflection) หรือสั่นไหวตัว
(vibration) เนื่องจากแรงลม
AISC/ASD/LRFD:
KL ≤ 300 (ยกเวนทอนเหล็กกลม rod)
r
K = ตัวประกอบความยาวประสิทธิผล (=1.00)
L = ชวงความยาวของสวนโครงสรางรับแรงดึง ซม.
r = รัศมีไจเรชั่นทีน่ อยทีส่ ุด (= √I/A) ของสวนโครงสรางรับแรงดึง ซม.
I = โมเมนตอินเนอรเชียของหนาตัดของสวนโครงสรางรับแรงดึง ซม.4
A = เนื้อที่หนาตัดของสวนโครงสรางรับแรงดึง ซม.2
3. เลือกขนาดรูปตัดจากคามากของ Ag ที่ไดในขอ1หรือขอ2
ใหเหมาะสมกับงานโดยคํานึงถึงแบบการตอปลายโครงสราง
(โดยการเชื่อมหรือใชตัวยึด)
4. หาหนวยแรงดึงที่เกิดขึ้นจริง ตามมาตรฐานกําหนดถาหนวยแรง
ดึงเกิดขึ้นจริงมากกวาที่กําหนดใหเลือกรูปตัดทีใ่ หญกวาถัดไป
5. ตรวจสอบอัตราสวนความชะลูด ซึ่งตองไมเกินกวา 300
วิธี LRFD
ถา Pu เปนแรงดึงที่ไดจากน้ําหนักบรรทุกใชงานที่เพิ่มคาแลว
ตามวิธี ASD
0.6FyAg = 0.6(2500) (12.69) = 19035 กก.
0.5FuAe = 0.5(4050) (9.9) = 20047.5 กก.
ตามวิธี LRFD
0.9FyAg = 0.9(2500) (12.69) = 28552 กก.
0.75FuAe = 0.75(4050) (9.9) = 30071 กก.
ตามวิธี ASD
Anv = 12.5(1) – 2.5(1.0)(1.6 + 0.2) = 8 ตร.ซม. (2.5 รูเจาะ)
Ant = 4(1) – 0.5(1.0)(1.6 + 0.2) = 31 ตร.ซม. (0.5 รูเจาะ)
กําลังรับแรงดึงใชงาน Tbs = (0.3FuAnv + 0.5FuAnt)
= 0.3(4050)(8) + 0.5(4050)(3.1) = 15997.5 กก.
ตามวิธี LRFD