Professional Documents
Culture Documents
4-5-6 ฉบับละเอียดต่อไปครับ)
๒ บทที่
R ea + l
ระบบจํานวนจริง
จํานวนที่มนุษย์คิดขึน้ ใช้ครั้งแรกในอดีต คือจํานวน
สําหรับนับสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า จํานวน
ธรรมชาติ (Natural Number) หรือ จํานวนนับ
(Counting Number) ได้แก่ 1, 2, 3, 4, ... สัญลักษณ์
แทนเซตของจํานวนนับคือ N = {1,2, 3, 4,...}
นอกจากจํานวนนับแล้ว ยังมีจํานวนชนิดอื่น ๆ อีกหลายชนิดที่จะได้ศึกษาใน
บทเรียนนี้ โดยเรียกรวมกันว่า “จํานวนจริง” และความรู้พื้นฐานที่สําคัญ
ที่สุดอย่างหนึ่งของวิชาคณิตศาสตร์ก็คือ การดําเนินการเกี่ยวกับจํานวนจริง
(เช่น การบวกลบคูณหาร ไปจนถึงการแก้สมการหรืออสมการ) นั่นเอง
จากที่กล่าวมาสามารถสรุปว่า เซตจํานวนนับเป็นสับเซตของเซตจํานวนเต็ม
(N I ) และเซตจํานวนเต็มเป็นสับเซตของเซตจํานวนตรรกยะ ( I Q )
50 Math E-Book
Release 2.7pre
ข้อควรทราบ
1. เศษส่วนของจํานวนเต็ม จะเขียนเป็นทศนิยมซ้ําได้เสมอ
จึงกล่าวในอีกแง่ได้ว่า “จํานวนตรรกยะคือจํานวนใด ๆ ที่เขียนเป็นทศนิยมซ้ําได้”
ตัวอย่างเช่น 5 5.0 51 0.42 0.420 50 21 1.3333... 1.3 4
3
2. จํานวนที่เป็นทศนิยมไม่ซ้ํา จะไม่สามารถเขียนในรูปเศษส่วนของจํานวน
เต็มได้ เรียกว่า จํานวนอตรรกยะ (Irrational Number) โดยถ้าให้เอกภพสัมพัทธ์
เป็นเซตของจํานวนจริง จะเขียนสัญลักษณ์แทนเซตของจํานวนอตรรกยะได้ด้วย Q'
ตัวอย่างของจํานวนอตรรกยะ เช่น
2 1.41421.. 3 1.73205.. 3.14159..
3
2 1.25992..
ในการคํานวณมักแทนจํานวนอตรรกยะเหล่านี้ด้วยค่าประมาณ
มีค่าประมาณ 2.71828..
3. เซตจํานวนนับ N มีสมบัติปิดสําหรับการบวกและการคูณ
เซตจํานวนเต็ม I และจํานวนตรรกยะ Q มีสมบัติปิดสําหรับการบวก ลบ และคูณ
..แต่เซตจํานวนอตรรกยะ Q' นั้นไม่มีสมบัติปิดแบบใดเลย
K ๏๏ จํแต่านวนอตรรกยะก็
เป็นจํานวนจริง เพราะสามารถเปรียบเทียบมากน้อยร่วมกับจํานวนอื่นได้
ไม่เป็นจํานวนจริง เพราะไม่มีค่าเท่านีอ้ ยูจ่ ริง ไม่มีใครสามารถไปถึงหรือสัมผัสได้
R
Im
Q' Q
I QI
แผนผังแสดงโครงสร้าง
I- I0
I หรือ N ของจํานวนประเภทต่าง ๆ
หมายเหตุ
สัญลักษณ์ Im แทนเซตของจํานวนจินตภาพ และ C แทนเซตของจํานวนเชิงซ้อน
จํานวนทั้งสองประเภทนี้จะยังไม่ได้ศึกษาในบทนี้
ก. เซตของจํานวนนับ N
ตอบ A ถูก เพราะไม่วา่ จะยกจํานวนนับจํานวนใดมาบวกกัน ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นจํานวนนับ
B ถูก เพราะไม่วา่ จะยกจํานวนนับจํานวนใดมาคูณกัน ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นจํานวนนับ
C ถูก เพราะจํานวนนับทุกจํานวนเป็นจํานวนตรรกยะ
D ถูก เพราะจํานวนนับทุกจํานวนเป็นจํานวนเต็ม
ข. เซตของจํานวนอตรรกยะ
ตอบ A ผิด เพราะมีจาํ นวนอตรรกยะบางจํานวน ที่บวกกันแล้วกลายเป็นจํานวนตรรกยะ
เช่น 2 บวกกับ 2 แล้วได้ 0
B ผิด เพราะมีจาํ นวนอตรรกยะบางจํานวน ที่คณ ู กันแล้วกลายเป็นจํานวนตรรกยะ
เช่น 2 2 2
C ผิด เพราะเซตของจํานวนตรรกยะและอตรรกยะ เป็นคอมพลีเมนต์กัน
D ผิด เพราะสมาชิกของเซตนี้ทกุ จํานวนไม่ใช่จํานวนเต็ม
ค. {x | x < 0}
ตอบ A ถูก จํานวนลบหรือจํานวนศูนย์ เมื่อนํามาบวกกันย่อมยังเป็นจํานวนลบหรือศูนย์แน่นอน
B ผิด เพราะจํานวนลบคูณกันย่อมได้ผลลัพธ์เป็นจํานวนบวกเสมอ
C และ D ผิด เพราะมีจาํ นวนลบบางจํานวนไม่ใช่จํานวนตรรกยะ (และจํานวนเต็ม) เช่น 2
52 Math E-Book
Release 2.7pre
ง. {1.414, 22}
7
ตอบ A และ B ผิด เพราะเมื่อนําจํานวนจากเซตนี้มาบวกหรือคูณกัน ผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ในเซตนี้
C ถูก เพราะเลขทศนิยม และเศษส่วนของจํานวนเต็ม เป็นจํานวนตรรกยะเสมอ
หมายเหตุ ค่า 1.414 ไม่เท่ากับ 2 และค่า 22 7
ก็ไม่ได้เท่ากับ (แต่เป็นเพียงค่าประมาณ)
D ผิด เพราะสมาชิกของเซตนี้ไม่ใช่จํานวนเต็ม
จ. {1, 0, 1}
ตอบ A ผิด เพราะเมือ่ นําบางจํานวนมาบวกกัน ผลลัพธ์ที่ได้ไม่อยู่ในเซตนี้ เช่น 1 1 2
B ถูก เพราะไม่วา่ จะนําจํานวนใดมาคูณกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังอยู่ในเซตนีเ้ สมอ
C และ D ถูก เพราะสมาชิกทุกตัวเป็นจํานวนเต็ม และจํานวนเต็มใด ๆ ถือเป็นจํานวนตรรกยะ
ฉ. { 10 x | x I }
ตอบ เซตนี้เขียนแจกแจงสมาชิกได้เป็น {0, 10, 20, 30, ...} ดังนัน้
A และ B ถูก เพราะไม่ว่าจะนําจํานวนใดจากเซตนี้มาบวกหรือคูณกัน ผลลัพธ์ที่ได้ยังอยู่ในเซตนี้
C และ D ถูก เพราะสมาชิกทุกตัวเป็นจํานวนเต็ม และจํานวนเต็มใด ๆ ถือเป็นจํานวนตรรกยะ
๒.๑ สมบัติของจํานวนจริง
เอกลักษณ์ เอกลักษณ์ (Identity) คือจํานวนที่ไปดําเนินการกับจํานวนจริง a ใดก็ตาม
และอินเวอร์ส แล้วได้ผลลัพธ์เป็นจํานวน a เดิม นั่นคือ ถ้าให้ e คือเอกลักษณ์ จะได้
ae ea a
เนื่องจาก a 0 0 a a ..เอกลักษณ์การบวกของจํานวนจริงใด ๆ จึงเป็น 0
และเนื่องจาก a 1 1 a a ..เอกลักษณ์การคูณของจํานวนจริงใด ๆ จึงเป็น 1
ข. ให้หาอินเวอร์สของ a สําหรับการดําเนินการนี้
วิธีคิด เนื่องจากเอกลักษณ์ของการดําเนินการนี้คอื 2
ดังนัน้ a i 2 จะได้ a i 2 2 ..นั่นคือ i 4a
(หรือคิดจาก i a 2 ก็จะได้ i 4 a เช่นกัน)
สรุปว่าอินเวอร์สของ a ในข้อนี้คอื 4 a
สมบัติของการเท่ากัน
[1] สมบัติการสะท้อน (Reflexive Property)
a a เสมอ
[2] สมบัติการสมมาตร (Symmetric Property)
ถ้าหาก a b จะสรุปได้ว่า b a ด้วย
[3] สมบัติการถ่ายทอด (Transitive Property)
ถ้า a b และ b c แล้ว จะได้ว่า a c
[4] สมบัติการบวกหรือคูณด้วยจํานวนที่เท่ากัน
ถ้า a b แล้ว a c b c เสมอ
ถ้า a b แล้ว a c b c เสมอ
สมบัติเกี่ยวกับการบวกและการคูณ
[1] สมบัติการมีเอกลักษณ์
เอกลักษณ์การบวกของจํานวนจริงใด ๆ คือ 0
เอกลักษณ์การคูณของจํานวนจริงใด ๆ คือ 1
[2] สมบัติการมีอินเวอร์ส
อินเวอร์สการบวกของจํานวนจริง a คือ –a
อินเวอร์สการคูณของจํานวนจริง a (ที่ไม่ใช่ 0) คือ a1
[3] สมบัติปิด (Closure Property)
ถ้า a และ b เป็นจํานวนจริง แล้ว ผลบวก a+b ย่อมเป็นจํานวนจริง
ถ้า a และ b เป็นจํานวนจริง แล้ว ผลคูณ ab ย่อมเป็นจํานวนจริง
[4] สมบัติการสลับที่ (Commutative Property)
a b b a และ ab b a
[5] สมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม (Associative Property)
a (b c) (a b) c (และสามารถเขียนเป็น a b c )
a (b c) (ab) c (และสามารถเขียนเป็น abc)
[6] สมบัติการแจกแจง (Distributive Property)
a (b c) ab a c และ (a b) c a c b c
[7] สมบัติเกี่ยวกับการเป็นจํานวนจริงบวก
“ถ้าจํานวนจริง a 0 แล้ว a R หรือ a R เสมอ”
สมบัติข้อนี้จะได้นําไปใช้ในเรื่องค่าสัมบูรณ์ ซึ่งเป็นหัวข้อหนึ่งในบทนี้ด้วย
การลบ ทฤษฎีบทเกี่ยวกับการลบ
และการหาร [1] บทนิยามของการลบ
a b a (b) (การลบ คือ การบวกด้วยอินเวอร์สการบวก)
[2] การแจกแจงสําหรับการลบ
a (b c) ab a c และ (a b) c a c b c
ทฤษฎีบทเกี่ยวกับการหาร
ในแต่ละข้อต่อไปนี้ จะต้องมีเงื่อนไขไม่ให้ตัวหาร (หรือตัวส่วน) เป็น 0
เพราะการหารด้วย 0 ในระบบจํานวนจริงนั้นไม่นิยาม
[1] บทนิยามของการหาร (b ต้องไม่เท่ากับศูนย์)
a b a b1 (การหาร คือ การคูณด้วยอินเวอร์สการคูณ)
หรืออาจกล่าวว่า “ a b c ก็ต่อเมื่อ c เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ a b c ”
บทนิยามนี้จะถูกกล่าวถึงอีกครั้งในหัวข้อทฤษฎีจํานวน ในตอนท้ายของบทนี้
[2] อินเวอร์สการคูณไม่เป็นศูนย์เสมอ (a ต้องไม่เท่ากับศูนย์)
a1 0
[3] อินเวอร์สการคูณของเศษส่วน (a, b ต้องไม่เท่ากับศูนย์)
ba
1
b
a
kanuay.com
55
แบบฝึกหัด ๒.๑
(1) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(1.1) 0.343443444... เป็นจํานวนตรรกยะ
(1.2) 0.112112112... เป็นจํานวนอตรรกยะ
(1.3) ถ้า a2 เป็นจํานวนคู่ แล้ว a ต้องเป็นจํานวนคู่
(1.4) ถ้า a2 เป็นจํานวนคี่ แล้ว a ต้องเป็นจํานวนคี่
56 Math E-Book
Release 2.7pre
(3) เซตในข้อใดมีสมบัติปิดของการบวกและการคูณ
ก. เซตของจํานวนเต็มลบทั้งหมด ข. เซตของจํานวนเฉพาะที่ไม่ใช่ 2
ค. เซตของจํานวนตรรกยะที่ไม่ใช่จํานวนเต็ม ง. เซตของจํานวนเต็มที่หารด้วย 4 ลงตัว
(4) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(4.1) เซตของจํานวนจริง มีสมบัติปิดของการลบ
(4.2) เซตของจํานวนจริง มีสมบัติการเปลี่ยนกลุ่มของการลบ
(4.3) เซตของจํานวนจริงที่ไม่ใช่ 0 มีสมบัตปิ ิดของการหาร
(4.4) เซตของจํานวนจริงที่ไม่ใช่ 0 มีสมบัติการเปลี่ยนกลุ่มของการหาร
ข. 6x2 13x 5 0
ค. 2x2 4x 1 0
สมการนี้ไม่สามารถแยกตัวประกอบเป็นจํานวนเต็มหรือเศษส่วนของจํานวนเต็มได้
จึงอาจใช้วิธหี าคําตอบดังต่อไปนี้ (เพราะสองวิธีนี้ใช้ได้กับสมการกําลังสองทุกสมการ)
วิธีคิด1 ย้ายข้างสมการเป็น 2x2 4x 1 ..นัน่ คือ 2(x2 2x) 1
ทําให้เป็นกําลังสองสมบูรณ์โดย 2(x2 2x + 1) 1 + 2
(ฝั่งซ้ายเติม +1 แต่ฝั่งขวาต้องเติม +2 เนื่องจากฝั่งซ้ายมี 2 คูณอยู่ทวี่ งเล็บด้วย)
จะได้ 2(x 1)2 1 ..จากนัน้ ย้าย 2 ไปหารฝั่งขวาเป็น 21
จึงสรุปได้ว่า x 1 12 หรือ x 1 12
แสดงว่าเซตคําตอบคือ {1 12 , 1 12 }
หมายเหตุ ถ้าฝั่งขวามือเป็นจํานวนติดลบ แสดงว่าไม่มีคําตอบที่เป็นจํานวนจริง
2
วิธีคิด2 ใช้สูตรสําเร็จในการหาคําตอบ คือ x B B 4AC
2A
4 42 4 (2)(1)
จะได้ x 1 1
.. แสดงว่าเซตคําตอบคือ {1 12 , 1 12 }
2(2) 2
หมายเหตุ ถ้าภายในรูท้ เป็นจํานวนติดลบ แสดงว่าพหุนามนัน้ แยกตัวประกอบไม่ได้
และสมการจะไม่มีคําตอบที่เป็นจํานวนจริง
K 1.2. ถ้ทฤษฎี
าต้องการหารด้วยพหุนามดีกรีมากกว่า 1 จะต้องใช้วธิ ีหารยาวตามที่ได้ศึกษาในระดับ ม.ต้น
บทนี้ใช้สําหรับหาค่าเศษเท่านั้น ไม่สามารถหาผลหารได้ ถ้าต้องการหาผลหาร จะต้องใช้
วิธีตงั้ หารยาว หรือ ซึ่งมีความสะดวกยิ่งขึน้ ดังทีจ่ ะได้แสดงตัวอย่างไว้ใน
ตอนท้ายของหัวข้อนี้
หมายเหตุ
1. ไม่จําเป็นต้องเรียงลําดับตัวประกอบตามนี้ แต่จะต้องมีตัวประกอบ 3 วงเล็บนีอ้ ยูค่ รบถ้วน
2. ถ้าหากเปลี่ยนโจทย์เป็นการแก้สมการพหุนาม 2x3 x2 25x 12 0
ก็จะได้คาํ ตอบทัง้ หมด 3 คําตอบ ได้แก่ x 3 หรือ 21 หรือ –4
หมายเหตุ
ไม่จําเป็นต้องเรียงลําดับตัวประกอบตามนี้ แต่จะต้องมีตวั ประกอบ 3 วงเล็บนีอ้ ยูค่ รบถ้วน
62 Math E-Book
Release 2.7pre
K ข้เช่อนควรระวั
งคือ หากจํานวน k ไม่ใช่จํานวนตรรกยะ จะใช้ทฤษฎีบทนี้ไม่ได้
พหุนาม x2 2
หากอ้างทฤษฎีบทนี้ ค่า k ที่เป็นไปได้คือ 1, –1, 2, –2 เท่านัน้
เมื่อตรวจสอบจะพบว่าไม่มีคา่ ใดถูกต้องเลย แต่ยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าแยกตัวประกอบไม่ได้
เพราะอันทีจ่ ริงแล้วพหุนามนี้สามารถแยกได้เป็น (x 2)(x 2) (ซึ่ง k ไม่ใช่จํานวนตรรกยะ)
ผลลัพธ์
วิธีคิด หากไม่ต้องการใช้ทฤษฎีบทเศษเหลือ 1 2 0 7 6
ก็สามารถใช้วธิ ีตงั้ หารสังเคราะห์ ได้ผลดังนี้ 2 2 5
..แสดงว่า ผลหารเป็น 2x2 2x 5 และเหลือเศษ 11 2 2 5 11
หมายเหตุ
1. ลําดับของตัวหารไม่จาํ เป็นต้องเหมือนกับในตัวอย่าง (อาจใช้ 2 ไปหารก่อนก็ได้)
2. เมื่อดําเนินการจนถึงขั้นตอนทีผ่ ลหารเป็นพหุนามกําลังสอง อาจไม่ต้องหารสังเคราะห์ตอ่
แต่สามารถกลับไปใช้วิธีแยกตัวประกอบในใจอย่างเดิม หรือจะใช้สตู รสําเร็จก็ได้
64 Math E-Book
Release 2.7pre
แบบฝึกหัด ๒.๒
(12) ถ้าหาร 4x3 21x2 26x 17 ด้วย x 4 แล้วเหลือเศษ a
และหาร 3x3 13x2 11x 5 ด้วย x 3 แล้วเหลือเศษ b แล้วให้หาค่าของ ba
(13) ถ้า x1 หาร x2 2a และ x 2 หาร xa แล้วเหลือเศษเท่ากัน ค่า a เท่ากับเท่าใด
(17) ให้หาเซตคําตอบของสมการต่อไปนี้
(17.1) x3 7x 6 0
(17.2) x3 4x2 x 6 0
(17.3) 6x3 11x2 4x 4 0
(17.4) x4 x3 11x2 5x 30 0
(17.5) 3x5 13x4 7x3 17x2 6x 0
(17.6) x 6 2x 5 14x 4 40x 3 11x 2 38x 24 0
(17.7) x 6 x 5 7x 4 9x 3 6x 2 28x 24 0
K ยัถ้งาไม่หารสัสามารถเขี
งเคราะห์ด้วยเศษส่วน เช่น 2/5 แล้วใช้ได้ (เศษเป็น 0) แสดงว่าตัวประกอบคือ “x – 2/5”
ยนเป็น “5x – 2” ได้ จนกว่าจะมีการดึงสัมประสิทธิ์ 5 จากวงเล็บอืน่ มาคูณ
๒.๓ อสมการพหุนาม
อสมการ (Inequality) คือประโยคที่มีตัวแปรและกล่าวถึงการไม่เท่ากัน
(ได้แก่ > < หรือ ) การแก้อสมการก็คือการหาค่าที่เป็นไปได้ทั้งหมดของ
ตัวแปร ซึ่งทําให้ประโยคนั้นเป็นจริง หรืออาจกล่าวว่าเป็นการหา “เซตคําตอบของ
อสมการ” ก็ได้เช่นกัน
ก่อนจะได้ศึกษาเทคนิคการหาคําตอบของอสมการ ควรทําความรู้จักกับ
รูปแบบของเซตซึ่งเรียกว่า “ช่วง” และทราบสมบัติของจํานวนจริงที่เกี่ยวกับการไม่
เท่ากัน (มากกว่า, น้อยกว่า) เสียก่อน
สมบัติของ สมบัติของการไม่เท่ากัน
จํานวนจริง [1] บทนิยามของการมากกว่า และน้อยกว่า
a bเมื่อ b a R
a b เมื่อ a b R
[2] สมบัติการถ่ายทอด (Transitive Property)
ถ้า a b และ b c แล้ว จะได้ว่า a c
[3] สมบัติการบวกหรือคูณด้วยจํานวนที่เท่ากัน
ถ้า a b แล้ว a c b c เสมอ
a c b c เมื่อ c 0
ถ้า a b แล้ว
a c b c เมื่อ c 0
K ปลายของเส้
เพราะ กับ
นจํานวนคือ กับ
ซึง่ ต้องใช้สญ
ั ลักษณ์วงเล็บแบบโค้ง (ปลายเปิด) เสมอ
ไม่เป็นจํานวนจริง (ไม่ได้อยู่ในเซตจํานวนจริง ) R
เนื่องจากช่วงถือเป็นอีกรูปแบบของเซต จึงนิยมตั้งชื่อช่วงด้วยตัวอักษรใหญ่
เช่น A, B, C และยังสามารถใช้สัญลักษณ์การดําเนินการ ยูเนียน, อินเตอร์เซกชัน,
ผลต่าง, คอมพลีเมนต์ กับช่วงได้เช่นเดียวกับเซตอื่น ๆ ด้วย โดยพิจารณาขอบเขต
ของผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนจากเส้นจํานวน
และได้ BA –2 1 3
ค. ถ้า x (2, 5)
จะเห็นว่า x มีคา่ เป็น 0 ด้วย เมือ่ นําไปยกกําลังสอง ค่าต่าํ สุดทีเ่ ป็นไปได้จึงเป็น 0
ส่วนค่าสูงสุด เลือกค่าที่มากกว่ากันระหว่าง 4 และ 25
..สรุปว่าค่า x2 อยู่ในช่วง [0, 25)
ง. ถ้า x (5, 2) ก็ยังได้คา่ x2 อยู่ในช่วง [0, 25)
2
ค่า x y เลือกจากผลคูณ 0, 0, 9, 45 ..ดังนั้นค่า x2y อยู่ในช่วง [9, 45)
..และจะได้ว่า ค่า x2y อยู่ในช่วง [0, 45)
3. การยกกําลังสองทั้งสองข้าง
ทําได้เมื่อมั่นใจว่าเป็นบวกทั้งสองข้าง หรือติดลบทั้งสองข้างเท่านั้น
(โดยกรณีติดลบต้องพลิกด้านเครื่องหมายด้วย)
๏ ถ้ามี a b (เมื่อ a, b 0 ) จะได้ a2 b2
(เมื่อ a, b 0 ) จะได้ a2 b2
4. การกลับเศษเป็นส่วน การคูณไขว้ ถ้าไม่จําเป็นไม่ควรทํา
เพราะเครื่องหมายอาจผิด (ในบางครั้งไม่ทราบแน่ชัดว่าต้องพลิกด้านหรือไม่)
หมายเหตุ
1. ถ้าเปลี่ยนอสมการเป็น x2 x 6 0 จะได้ช่วงคําตอบเป็น (2, 3)
2. ถ้าเปลี่ยนอสมการเป็น x2 x 6 > 0 จะได้ช่วงคําตอบเป็น (, 2] [3, )
และถ้าเปลี่ยนอสมการเป็น x2 x 6 < 0 จะได้ช่วงคําตอบเป็น [2, 3]
เนื่องจากจุดที่เพิ่มมาเป็นจุดที่ทําให้เครื่องหมาย “เท่ากับ” เป็นจริงนั่นเอง
เทคนิคการแก้อสมการพหุนามดีกรีสองขึ้นไป
การพิจารณาเครื่องหมายของแต่ละวงเล็บทีละช่วง ๆ ดังที่ได้แสดงตัวอย่างไว้
นั้น ถือเป็นพื้นฐานที่สําคัญ แต่ในทางปฏิบัตนิ ั้นไม่สะดวกอย่างยิ่ง ถ้าเราได้พิจารณา
แนวโน้มของช่วงคําตอบของหลาย ๆ อสมการจากเส้นจํานวน ก็จะพบได้ชัดเจนว่าช่วง
ขวาสุดนั้นจะทําให้ผลคูณเป็นบวกเสมอ และช่วงถัด ๆ มาทางซ้าย จะทําให้ผลคูณติด
ลบ, เป็นบวก, ติดลบ, ฯลฯ สลับกันไปแบบนี้เสมอ (เพราะเครื่องหมายบวกลบจะถูก
70 Math E-Book
Release 2.7pre
เปลี่ยนไปทีละหนึ่งวงเล็บ) ดังนั้นเมื่อเราแยกตัวประกอบแล้วเขียนเส้นจํานวน จะ
สามารถบอกช่วงคําตอบของอสมการได้เลยทันที โดยอาศัยหลักการเช่นนี้เอง
กล่าวสรุปขั้นตอนการแก้อสมการพหุนามได้ดังนี้
1. จัดอสมการให้ฝั่งหนึ่งเป็น 0 โดยที่สัมประสิทธิ์นํา (หน้า x กําลังสูงสุด) ไม่ติดลบ
(หากติดลบให้คูณทั้งสองข้างของอสมการด้วย –1 และเครื่องหมายจะพลิกด้านด้วย)
แล้วแยกตัวประกอบของพหุนาม ทั้งเศษและส่วน (ถ้ามี)
(x c1)(x c2)(x c3)... 2
จะได้ผลสําเร็จในรูป เช่น (x 3)(x 31) > 0
(x d1)(x d2)... x (x 2)
–3 0 1 2
K สํเช่านหรัสมการ
บสมการ เราสามารถสรุปคําตอบว่า “แต่ละวงเล็บเป็น 0” ได้
(x–2)(x–3) = 0 จะได้ x = 2 หรือ 3 คล้ายการย้ายข้าง ..แบบนี้ถูกต้อง
แต่ถ้าเป็นอสมการ (x–2)(x–3) < 0 จะย้ายข้างเป็น x < 2 หรือ 3 !
ต้องพิจารณาช่วงคําตอบจากการเขียนเส้นจํานวนเท่านั้น!
หมายเหตุ
1. หากมีจุดซ้ํากันเกิน 2 จุด (มีวงเล็บที่ยกกําลังมากกว่า 2)
ถ้าเป็นกําลังคู่สามารถเขียนจุดเพียง 2 จุด แต่ถ้าเป็นกําลังคี่ก็เขียนจุดเพียงจุดเดียว
เนื่องจากในตอนท้าย ช่วงที่ได้จากจุดที่ซ้ํากันเหล่านี้จะถูกยุบรวมและได้ผลไม่ต่างกัน
kanuay.com
71
พหุนามย่อยนั้นจะมีค่าเป็นบวกเสมอ ทําให้ไม่ส่งผลต่อความจริงเท็จของอสมการ
เราจึงสามารถละทิ้งได้ทันที ไม่ต้องเขียนลงบนเส้นจํานวน
2
เช่นอสมการ (x 2)(x 5)(x 2x 2) < 0
x3
– + – +
จะได้ช่วงคําตอบบนเส้นจํานวนดังนี้ –2 3 5
+ – + – +
–5 3 3 2
จะได้เซตคําตอบเป็น (, 5) ( 3, 3) (2, )
วิธีคิด เป็นสมการจึงสามารถย้ายข้างคูณได้ทันที
(แต่ต้องกํากับเงือ่ นไขของตัวส่วนคือ x 4 0 x4 ด้วย)
จะได้สมการเป็น x 2 2x 19 4(x 4)
จากนั้นย้ายทางขวามาลบเป็น x 2 2x 3 0
ซึ่งสามารถแยกตัวประกอบได้ (x 1)(x 3) 0
ดังนัน้ เซตคําตอบของสมการนี้คอื {1, 3}
72 Math E-Book
Release 2.7pre
x 2 2x 19
ข. อสมการ x4
< 4
แบบฝึกหัด ๒.๓
(22) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(22.1) ถ้า (a b)(b c)(c d) 0 แล้ว a b c d
(22.2) ถ้า a b และ n N แล้ว an bn
ab
(22.3) ถ้า a 0 , b 0 และ a b แล้ว ab
2
b a 1 1
(22.4) ถ้า a 0, b 0 และ a b แล้ว 2
2
a b a b
kanuay.com
73
(28) ให้หาเซตคําตอบของอสมการต่อไปนี้
(28.1) x2 < x 2
(28.2) x (2x 1) > 1
(28.3) 6x3 11x2 2x 0
(31) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
ก. ผลบวกของค่าสัมบูรณ์ของคําตอบที่เป็นจํานวนเต็มของ 20 3x 2x2 > 0 คือ 13
2
ข. ค่าสัมบูรณ์ของผลบวกของคําตอบที่เป็นจํานวนเต็มของ 3x 7x 30 0 คือ 7
(36) ให้หา
x (x 1)(x 2)
(36.1) เซตคําตอบของอสมการ 0
(x 1)(x 2)
(36.2) เซต (A ' B ') ' เมื่อ A เป็นเซตคําตอบของ (x 2)(x 3)(x 1)4 0
และ B เป็นเซตคําตอบของ (x 4)(x 3)(x 2)3 > 0
(x 4)(x 1)(x 2)3
(36.3) ผลบวกค่าสัมบูรณ์ของจํานวนเต็มที่ไม่ได้อยู่ใน {x | > 0}
x (x 5)2
2x 5
(37) ถ้า A เป็นเซตคําตอบของอสมการ > 0
x 2
2x 1
และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ 1
x 5
แล้ว ให้หาผลบวกของจํานวนเต็มที่มากที่สุดและน้อยที่สุด ที่อยู่ในเซต B A'
x1
(38) ให้ S เป็นเซตคําตอบของ 2
x 2
และ a เป็นขอบเขตบนน้อยสุดของ S แล้ว ค่าของ a2 1 เป็นเท่าใด
(40) ให้หาเซตคําตอบของอสมการต่อไปนี้
1 2 1 2x 1
(40.1) (40.3)
x1 3x 1 x 2 2
1 x 4 2
(40.2) > (40.4) >
x1 x8 x 2 x1
(41) ให้หาขอบเขตบนน้อยสุดของแต่ละเซตที่กําหนดให้
(41.1) { x | x2 7 } (41.3) (2, 6] (3, 8]
(41.2) { 1, 5, 7, 9 } [6, ) (41.4) { x 2n | n I }
kanuay.com
75
n
(42) ถ้า a เป็นขอบเขตบนน้อยสุดของเซต A {x | x , n I }
n1
1
และ b เป็นขอบเขตล่างมากสุดของเซต B {x | x , n I }
n
แล้ว ให้หาค่า ab
๒.๔ ค่าสัมบูรณ์
นิยามของ “ค่าสัมบูรณ์ (Absolute Value หรือ Modulus) ของจํานวนจริง a” ใช้
ค่าสัมบูรณ์ สัญลักษณ์ว่า a มีความหมายเชิงเรขาคณิตบนเส้นจํานวนคือ “ค่าของ a เท่ากับ
ระยะห่างระหว่างจุดที่แทนจํานวน a กับจุด 0” และ “ค่าของ a b เท่ากับ
ระยะห่างระหว่างจุดที่แทนจํานวน a กับจุดที่แทนจํานวน b”
เช่น 5 เท่ากับ 5 เนื่องจากระยะระหว่างจุด 5 กับ 0 เท่ากับ 5 หน่วย
3 เท่ากับ 3 เนื่องจากระยะระหว่างจุด 3 กับ 0 เท่ากับ 3 หน่วย
7 1 เท่ากับ 6 เนื่องจากระยะระหว่างจุด 7 กับ 1 เท่ากับ 6 หน่วย
1 7 ก็มีค่าเป็น 6 เหมือนกัน เพราะหมายถึงระยะระหว่างจุด 1 กับ 7 เช่นกัน
ที่กล่าวมานี้เป็นความหมายเชิงเรขาคณิต ส่วนความหมายในระบบจํานวน
จริง หรือการถอดค่าสัมบูรณ์สําหรับใช้คํานวณนั้น นิยามของค่าสัมบูรณ์จะเป็นดังนี้
a เมื่อ a > 0
a
a เมื่อ a 0
เช่น 5 5 ถอดค่าได้ทันทีเพราะสิ่งที่อยู่ในค่าสัมบูรณ์มีค่าเป็นบวก
3 (3) 3 จะเห็นได้ว่า เมื่อสิ่งที่อยู่ภายในค่าสมบูรณ์มีค่าติดลบ จะไม่
สามารถถอดค่าสัมบูรณ์ออกเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อถอดแล้วต้องใส่เครื่องหมายลบ
ลงไปอีกครั้งด้วย เพื่อให้ค่าที่อยู่ภายในนั้นถูกกลับเป็นค่าบวก
ข. 3
ค. 1 2
ง. x4
จ. 2x 1
หมายเหตุ
ข้อ ง. และ จ. สามารถหาเงื่อนไขจุดแบ่งค่า x ได้โดยตั้งอสมการ ให้ “สิ่งที่อยู่ภายใน
ค่าสัมบูรณ์” มากกว่าหรือน้อยกว่า 0 เช่น เมื่อ 2x 1 > 0 จะได้ x > 1/2 เป็นต้น
ทฤษฎีที่เกี่ยวกับค่าสัมบูรณ์
[1] ค่าสัมบูรณ์ต้องไม่ติดลบ a > 0 เสมอ
[2] ภายในค่าสัมบูรณ์ไม่คํานึงถึงเครื่องหมายลบ a a
ab ba
[3] ค่าสัมบูรณ์กระจายได้ สําหรับการคูณหาร ab a b
n
an a
a a
(โดย b 0)
b b
2
[4] ยกกําลังคู่ ไม่ต้องใส่ค่าสัมบูรณ์ก็ได้ a2 a a2
[5] ค่าสัมบูรณ์กระจาย สําหรับการบวกลบ ab < a b
ab > a b
a เมื่อ n จํานวนคู่
[6] นิยามการถอดรากที่ n ของกําลัง n n an
a เมื่อ n จํานวนคี่
K ให้เช่นทาํ ความเข้าใจกัเป็บนข้ประโยคที
a2 a
อสุดท้ายนี้ให้ดีครับ เพราะมักเป็นจุดที่ผิดพลาดกันได้งา่ ย
่ผดิ เพราะ a อาจจะเป็นจํานวนติดลบก็ได้ ..ที่ถูกคือ a2 a
ดังนัน้ สมการ (x 3)2 1 ก็ไม่ได้กลายเป็น x3 1 ..แต่จะต้องกลายเป็น x3 1
kanuay.com
77
ข. อสมการ 3x 2 > 4
ข. อสมการ 3 x < 1
การแก้สมการและอสมการที่มีค่าสัมบูรณ์ รูปแบบที่ 2
(คือติดตัวแปร x ทั้งสองด้าน แต่ไม่มีการบวกลบอยู่ภายนอกค่าสัมบูรณ์)
เราจะพยายามยกกําลังสองทั้งสองข้าง เพื่อให้ค่าสัมบูรณ์หายไป ตามหลักว่ายกกําลัง
เลขคู่ไม่จําเป็นต้องเขียนค่าสัมบูรณ์ แต่การยกกําลังสองทั้งสองข้างอาจกระทําไม่ได้
เสมอไป เพราะจะต้องมั่นใจว่าเป็นบวกทั้งสองข้างก่อน
[1] สมการ p(x) q(x)
และอสมการ p(x) q(x) หรือ p(x) q(x)
เหล่านี้ล้วนสามารถยกกําลังสองทั้งสองข้างได้ (เพราะมั่นใจว่าเป็นบวกทั้งสองข้าง)
จากนั้นควรย้ายข้างมาลบกัน เป็นผลต่างกําลังสอง เพื่อไม่ต้องแยกตัวประกอบเอง
[2] สมการ p(x) q(x) และอสมการ p(x) q(x)
ยังคงยกกําลังสองทั้งสองข้างได้เช่นกัน แต่ ด้วยเสมอ
เพราะอาจมีบางคําตอบที่ทาํ ให้ q(x) ติดลบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้
(ถ้าตรวจคําตอบไม่สะดวก ให้หาเงื่อนไขที่ q(x) > 0 มาอินเตอร์เซกกับคําตอบก็ได้)
[3] อสมการ p(x) q(x) จะต้องแยกคิดสองกรณี ได้แก่
๏ กรณี q(x) > 0 จะใช้วิธียกกําลังสองทั้งสองข้างเช่นเดิม (ต้องตรวจคําตอบด้วย)
๏ กรณี q(x) 0 อสมการจะเป็นจริงเสมอ
แล้วนําเซตคําตอบที่ได้จากทั้งสองกรณีมายูเนียนกัน
หมายเหตุ
วิธีคํานวณของรูปแบบนี้ใช้กับโจทย์รูปแบบที่ 1 ได้ด้วยเช่นกัน
หมายเหตุ
ถ้าเปลี่ยนโจทย์เป็น 2x 1 3x 2 จะได้เซตคําตอบของสมการเป็น {3, 1/5}
(เนื่องจากตรวจคําตอบพบว่าใช้ได้ทั้งสองคําตอบ)
kanuay.com
79
หมายเหตุ
ถ้าเปลี่ยนโจทย์เป็น 3x 2 < 4x 1 จะไม่มีเงือ่ นไขใดเกิดขึน้ เลย
ช่วงคําตอบของอสมการจึงเป็น (, 3/ 7] [1, ) ได้
การแก้สมการและอสมการที่มีค่าสัมบูรณ์ รูปแบบที่ 3
(คือมีการบวกลบอยู่นอกค่าสัมบูรณ์ และไม่สามารถจัดรูปให้เป็นแบบที่ 1 หรือ 2 ได้)
จะต้องคํานวณโดยใช้นิยามของค่าสัมบูรณ์ นั่นคือแยกกรณีเพื่อถอดค่าสัมบูรณ์ออก
ขั้นตอนการคํานวณด้วยวิธีถอดค่าสัมบูรณ์ตามนิยาม เป็นดังนี้
1. กําหนดค่า x ที่ทําให้ค่าสัมบูรณ์แต่ละพจน์มีค่าเป็น 0 ลงบนเส้นจํานวน ให้ครบ
ทุกจุดโดยเรียงตามลําดับน้อยไปมาก เส้นจํานวนจะถูกแบ่งออกเป็นช่วงย่อย ๆ ซึ่งแต่
ละช่วงเป็นเงื่อนไขของค่า x ในการถอดค่าสัมบูรณ์นั่นเอง
80 Math E-Book
Release 2.7pre
เช่น สมการ 2x 1 x 2 x 3
มีค่าสัมบูรณ์อยู่ 2 พจน์ จึงกําหนดจุดบนเส้นจํานวน 2 จุด ได้แก่ –1/2 และ 2
และทําให้ได้ช่วงย่อยเป็น x 1/2 , 1/2 < x 2 และ x > 2
–1/2 2
K ในหนังสือเล่มนี้จะเขียนเครื่องหมายเท่ากับรวมกับเครื่องหมายมากกว่า
ให้ตรงตามนิยามของการถอดค่าสัมบูรณ์ เพื่อความเป็นระเบียบ
..แต่อนั ทีจ่ ริง แม้ให้เครือ่ งหมายเท่ากับอยูก่ ับเครื่องหมายน้อยกว่า ก็ได้ผลลัพธ์ไม่ตา่ งกัน
–1/2 2
(2x 1) (x 2) x 3 (2x 1) (x 2) x 3 (2x 1) (x 2) x 3
x3 x3 3x 1 x 3 x3 x3
x 3 x 2 0 0
3. ตรวจสอบคําตอบที่ได้ของแต่ละช่วงย่อย ให้ใช้คําตอบเฉพาะที่อยู่ในช่วงนั้นจริง ๆ
โดยการอินเตอร์เซกกับขอบเขตของช่วงย่อยนัน้ ๆ แล้วขั้นตอนสุดท้ายจึงรวมคําตอบ
ที่ได้จากแต่ละช่วงย่อยเข้าด้วยกันโดยการยูเนียน เพื่อเป็นคําตอบโดยสรุปของสมการ
–1/2 2
x 3 x > 2
หมายเหตุ
วิธีคํานวณในลักษณะนี้อาศัยนิยามเบื้องต้นของค่าสัมบูรณ์ จึงใช้ได้ครอบคลุมกับ
โจทย์ทกุ ลักษณะ รวมถึงรูปแบบที่ 1 และ 2 ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน แต่เป็นวิธีที่
ค่อนข้างยุ่งยาก หากไม่จําเป็นจึงควรแก้ด้วยวิธีของรูปแบบที่ 1 และ 2 ก่อน
x3
ตัวอย่าง 2.23 จากอสมการ > 4
x1 2
กรณีที่สอง เมือ่ x 1
x3 x3
จะถอดค่าสัมบูรณ์ได้เป็น > 4 4 > 0
(x 1) 2 x 1
x 3 4x 4 5x 7 5x 7
รวมให้เป็นเศษส่วนเดียวกัน > 0 > 0 < 0
x 1 x 1 x1
พิจารณาจากเส้นจํานวน ได้ชว่ งคําตอบเป็น [7/5, 1)
นําไปอินเตอร์เซกกับเงื่อนไข ก็ยงั คงได้คําตอบเป็น [7/5, 1)
แบบฝึกหัด ๒.๔
(44) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(44.1) ถ้า n I และ n 1 จะได้ n an a
(44.2) ถ้า a, b 0 แล้ว ab a b
(47) ให้หาคําตอบของสมการต่อไปนี้
(47.1) x2 6 x 8 0
(47.2) x 1 x 1 2
(47.3) x 4 x 3 1
(50) ถ้า A { x I | x2 3x 3 2x 3 }
5 3x
และ B {x I | 2}
x2
2
(51) ให้หาคําตอบทั้งหมดของสมการ ( x )x x 3
(52) ให้หาคําตอบของอสมการต่อไปนี้
3
(52.1) 2x 1 3x 2 (52.4) < x
x1 2
x
(52.2) 3 x 2 6 (52.5) < 2
x 1
1
(52.3) x 0 และ x2 x 2 0
x
x2
(53) ถ้า A เป็นเซตคําตอบของอสมการ x < 4
2
และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ x x7 แล้วให้หาเซต (A B) '
4x 5
(54) ถ้า A {x R | x < 5} แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
2
(54.1) ถ้า a, b A แล้ว (a b)/2 A
(54.2) ถ้า a, b เป็นขอบเขตบนน้อยสุดและขอบเขตล่างมากสุดของ A แล้ว ab A
1
(55) ถ้า A { x R | x2 2 14 } และ B {x R | 1 0}
x
แล้ว มีจํานวนเต็มใน A B' กี่จํานวน
kanuay.com
83
(57) ให้หาคําตอบของอสมการต่อไปนี้
(57.1) 3x 2 4x 1 (57.4) x 1 x 3 x 5
x 2 x2 5x 4
(57.2) 2 (57.5) > 1
x1 x2 x 2
(57.3) x 7 5 5x 25
(58) ให้หาคําตอบของอสมการ x 3 x 2
๒.๕ ทฤษฎีจํานวนเบื้องต้น
ทฤษฎีจํานวนเป็นสาขาของคณิตศาสตร์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับจํานวนเต็ม และ
สมบัติของจํานวนเต็ม แต่ในระดับชั้นนี้เราจะศึกษาเกี่ยวกับการหารของจํานวนเต็ม
ได้แก่ การหารลงตัว, การหารที่มีเศษเหลือ, ห.ร.ม. และ ค.ร.น. เท่านั้น
ข้อควรระวัง
ข้อความ “n หาร m” จะมีความหมายเดียวกับคําว่า “m หารด้วย n”
นั่นคือ m เป็นตัวตั้ง และ n เป็นตัวหาร (จะได้เศษส่วน m/n)
บทนิยามของการหารจํานวนเต็มลงตัว
สําหรับจํานวนเต็ม m, n (โดยที่ n 0 )
จะได้ว่า “ n m ก็ต่อเมื่อ มีจํานวนเต็ม q ที่ทําให้ m n q ”
(ซึ่ง q ในที่นี้ก็คือผลหาร หรือค่าของ m/n นั่นเอง)
84 Math E-Book
Release 2.7pre
สมบัติที่เกี่ยวกับการหารลงตัว มีดังนี้
[1] สมบัติการถ่ายทอด ถ้า a b
และ b c แล้ว a c
[2] ตัวหารที่ลงตัวย่อมน้อยกว่าตัวตั้ง ถ้าa b แล้ว a < b เสมอ
[3] การหารผลรวมเชิงเส้นลงตัว ถ้าa b และ a c แล้ว a (bx cy)
เมื่อ x และ y เป็นจํานวนเต็มใด ๆ
[4] เกี่ยวกับการคูณ (หรือยกกําลังด้วยจํานวนนับ n)
ถ้า a b แล้ว a bc (ดังนั้น ถ้า a b แล้ว a bn )
ถ้า ac b แล้ว a b และ c b (ดังนั้น ถ้า an b แล้ว a b )
หมายเหตุ
“ผลรวมเชิงเส้น (Linear Combination) ของ b กับ c”
คือจํานวนที่อยู่ในรูป b x c y
(โดยในเรื่องทฤษฎีจํานวน ค่า x และ y จะต้องเป็นจํานวนเต็มด้วย)
K ข้อความที
1. ถ้า
่ 1. ถึง 4. ต่อไปนี้เป็นจริงทั้งหมด และเป็นสิง่ ทีค่ วรทราบ
a bและ a c
แล้ว a (b c) 3. ถ้า a b
แล้ว a bn
n
2. ถ้า a b แล้ว a (b c) 4. ถ้า a b แล้ว a b
ในทางกลับกัน ข้อความเหล่านี้อาจจะไม่เป็นจริงก็ได้
ดังนัน้ ข้อความที่ 5. ถึง 8. จึงไม่ได้เป็นจริงเสมอ ควรพิจารณาให้รอบคอบ
5. ถ้า a (b c) แล้ว a b และ a c (ไม่จริง.. เช่นกรณี 2 (3 5) )
6. ถ้า a (b c) แล้ว a b (ไม่จริง.. เช่นกรณี 6 (2 3) )
7. ถ้า a bn แล้ว a b (ไม่จริง.. เช่นกรณี 4 62 )
8. ถ้า a b แล้ว an b (ไม่จริง.. เช่นกรณี 2 6 )
ตัวอย่าง 2.25 ให้พสิ ูจน์ว่า ถ้า a4 (3x 2y) และ a (4x y) แล้ว a 22 x
วิธีที่ 1 พิสูจน์จากสมบัติ
จากสมบัติเกี่ยวกับการยกกําลัง ..ถ้า a4 (3x 2y) ย่อมได้ว่า a (3x 2y)
จากสมบัติเกี่ยวกับผลรวมเชิงเส้น ..ถ้า a (3x 2y) และ a (4x y)
ย่อมได้วา่ a ((3x 2y) 2(4x y)) ..นัน่ คือ a 11 x
และจากสมบัติเกีย่ วกับการคูณ จึงสรุปได้วา่ a 22 x ด้วย
kanuay.com
85
วิธีที่ 2 พิสูจน์จากบทนิยามการหารลงตัว
จาก a4 (3x 2y) แสดงว่า 3x 2y a4m .....(1) (เมื่อ m เป็นจํานวนเต็มจํานวนหนึ่ง)
จาก a (4x y) แสดงว่า 4x y an .....(2) (เมื่อ n เป็นจํานวนเต็มจํานวนหนึ่ง)
นําสมการที่ (1) 2 (2) ; จะได้ 11 x a4m 2an
นั่นคือ 11 x a (a3m 2n)
เมื่อคูณสมการด้วย 2 จะได้ 22 x a (2a3m 4n)
ซึ่งค่าทีอ่ ยู่ในวงเล็บย่อมเป็นจํานวนเต็ม (จาก สมบัติปิดการบวกและการคูณ ของเซตจํานวนเต็ม)
..ดังนัน้ จึงสรุปได้ว่า a 22 x
บทนิยามของการหารจํานวนเต็มใด ๆ
สําหรับจํานวนเต็ม m, n (โดยที่ n 0 )
จะได้ว่า “มีจํานวนเต็ม q, r ชุดเดียวเท่านั้นที่ทําให้ m n q r โดย 0 < r n ”
เรียก q ว่า ผลหาร (Quotient) และเรียก r ว่า เศษเหลือ (Remainder)
ของการหาร m ด้วย n
เช่น ถ้านํา 5 หาร 17 จะเขียนได้เป็น 17 5 (3) 2
หมายความว่า ผลหารเท่ากับ 3 และมีเศษเหลือเท่ากับ 2
ข้อสังเกต
ตัวตั้ง ตัวหาร และผลหาร สามารถมีค่าติดลบได้ แต่
เช่น ถ้านํา 5 หาร –17 เศษจะต้องเป็นจํานวนเต็มบวกที่น้อยกว่า 5
จึงเขียนได้เป็น 17 5 (4) 3 (ผลหารเป็น –4 และมีเศษเหลือเท่ากับ 3)
หรือถ้านํา –5 หาร 17 เศษก็ยังคงต้องเป็นจํานวนเต็มบวกที่น้อยกว่า 5
จึงเขียนได้เป็น 17 5 (3) 2 (ผลหารเป็น –3 และมีเศษเหลือเท่ากับ 2)
สมบัติที่เกี่ยวกับจํานวนเฉพาะ มีดังนี้
[1] จํานวนเฉพาะกับการหารลงตัว
สําหรับจํานวนเฉพาะ p ถ้า p mn แล้ว p m หรือ p n
(สมบัตินี้จะไม่เป็นจริงถ้าหาก p ไม่ใช่จํานวนเฉพาะ)
[2] ทฤษฎีบทหลักมูลเลขคณิต (หลักการมีตัวประกอบชุดเดียว)
“สําหรับจํานวนเต็มใด ๆ ที่มากกว่า 1
จะเขียนให้อยู่ในรูปผลคูณของจํานวนเฉพาะได้เพียงชุดเดียวเท่านั้น”
เช่น 16 2 2 2 2 2 4
210 2 3 5 7
5445 3 3 5 11 11 32 5 112
หมายเหตุ
จํานวนซึ่งเป็นจํานวนเฉพาะอยู่แล้ว จะไม่สามารถแยกตัวประกอบให้เป็น
ผลคูณของจํานวนเฉพาะที่น้อยลงได้ เช่นตัวประกอบของ 73 ก็คือ 73
การพิจารณาว่าจํานวนนับที่กําหนดให้เป็นจํานวนเฉพาะหรือไม่ ตรวจสอบ
ได้โดยนําจํานวนเฉพาะบวกที่น้อยกว่าจํานวนนั้นมาหาร ถ้าไม่มีจํานวนใดหารลงตัว
เลย ก็แสดงว่าจํานวนนั้นเป็นจํานวนเฉพาะ เช่น จํานวน “97” เนื่องจากทดลองนํา
2, 3, 5, 7 มาหารแล้วพบว่าไม่มีจํานวนใดที่หารได้ลงตัวเลย แสดงว่า “97” ไม่ใช่
จํานวนประกอบ (ไม่สามารถแยกตัวประกอบได้) “97” จึงเป็นจํานวนเฉพาะ
การหารตรวจสอบนี้ เราใช้จํานวนเฉพาะทุกตัวที่มีค่าไม่เกินรากที่สองของ
97 (โดยประมาณ) ก็เพียงพอ นั่นคือ จํานวนเฉพาะที่มีค่าไม่ถึง ≈10 โดยไม่
จําเป็นต้องใช้จํานวนเฉพาะที่น้อยกว่า 97 ให้ครบทั้งหมด เนื่องจากถ้าจํานวนที่
มากกว่า 10 นั้นหารได้ลงตัว ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมเป็นจํานวนเต็มที่มีค่าไม่ถึง 10
ค. 2431
เป็นจํานวนเฉพาะ ..ตรวจสอบได้โดยนํา 2, 3, 5, 7, 11, 13, …, 43, 47 ไปหาร
พบว่า 11 (หรือ 13 หรือ 17) สามารถหารได้ลงตัว
ง. 4201
เป็นจํานวนเฉพาะ ..ตรวจสอบได้โดยนํา 2, 3, 5, 7, 11, 13, …, 59, 61 ไปหาร
พบว่าล้วนหารไม่ลงตัวทั้งสิน้
หมายเหตุ
ถ้า (m, n) 1 จะเรียก m และ n เป็น จํานวนเฉพาะสัมพัทธ์ (Relative Primes)
ซึ่งหมายถึงไม่มีตัวประกอบร่วมกันเลย (ดังนั้นโดยลําพัง m และ n ไม่จําเป็นต้อง
เป็นจํานวนเฉพาะก็ได้) เช่น (8, 15) 1 ดังนั้น 8 และ 15 เป็นจํานวนเฉพาะ
สัมพัทธ์ (ระหว่างกันและกัน)
หมายเหตุ
วิธีของยุคลิดใช้ในการหา ห.ร.ม. เท่านั้น ส่วนการหา ค.ร.น. จะต้องทราบ ห.ร.ม.
ก่อน แล้วคํานวณโดยอาศัยสมบัติ (a, b) [a, b] a b
ผลคูณของสองจํานวนนั้น
นั่นคือ ค.ร.น. จะเท่ากับ เสมอ
ห.ร.ม.
ตัวอย่าง 2.27 ให้หา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของจํานวน 192 และ 276
วิธีคิด (276) (192) 1 (84) .....(1)
(192) (84)2 (24) .....(2)
(84) (24) 3 (12) .....(3)
(24) (12)2
ตัวอย่าง 2.28 จากตัวอย่างทีแ่ ล้ว เราทราบว่า ห.ร.ม. ของ 192 และ 276 เท่ากับ 12
ให้เขียน 12 ในรูปผลรวมเชิงเส้นของ 192 และ 276 ซึ่งมีตัวคูณเป็นจํานวนเต็ม
วิธีคิด จะเริ่มเขียนสมการเดิมในรูป “เศษ = .........” ก่อน
จาก (1) จะเขียนใหม่ได้เป็น (84) (276) (192)(1) .....(4)
จาก (2) จะเขียนใหม่ได้เป็น (24) (192) (84)(2) .....(5)
จาก (3) จะเขียนใหม่ได้เป็น (12) (84) (24)(3) .....(6)
แบบฝึกหัด ๒.๕
(60) เศษของการหาร (19)3(288)2 ด้วย 5 เป็นเท่าใด
(65) ถ้า ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของ x กับ 128 เป็น 16 และ 384 แล้วค่า x เป็นเท่าใด
90 Math E-Book
Release 2.7pre
เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ผิดทุกข้อ (25.3) (3, 2/ 3) (48) [2/ 3, 0)
(2) ข้อ (2.3) ถูก นอกนั้นผิด (26) อยู่ในช่วง [7.5, 10) ซม. (49) –8
(3) ง. (27) 2, 4 (50) 90
(4) ข้อ (4.1) และ (4.3) ถูก (28.1) [1, 2] (51) 1, 6
(5) ถูกทุกข้อ (28.2) (, 1] [1/2, ) (52.1) (1/5, )
(6) ง.
(28.3) (, 2) (0, 1/6) (52.2) (4, 1) (5, 8)
(7) 6 5 และ 1
(29) 2 (52.3) (1, 2) {0}
(8) ค.
(9) ง. (30) 2 3 21
(52.4) (1, 3) [ , )
(10) จริง (31) ถูกทุกข้อ 2
(11.1) ผิด (32) ถูกทุกข้อ (52.5) (, 2] (1, 1) [2, )
(11.2) ถูก (33) a (, 2) (3, ) (53) (2, )
(12) 1 (34) [2, 1] [2, ) (54) ถูกทุกข้อ
(13) –3 (35) –5 (55) 7
(14) –81 (36.1) (, 1) (0, 1) (56.1) 2, 3, 5
(15) 7 หรือ –39/7 (36.2) [4, ) {1} (56.2) 1, 1, 9
(16) 27 (36.3) 11 (57.1) (, 3) (1, )
(17.1) {1, 2, 3} (37) 0 7
(17.2) {1, 2, 3} (38) 5 (57.2) (, 4) (0, )
(17.3) {2, 1/2, 2/ 3} (39) 0 (57.3) (2, 4) (6, 12)
(40.1) (, 1) (1/ 3, 1) (57.4) (1, 3)
(17.4) {3, 2, 5, 5}
(40.2) (8, 2] (1, 4] (57.5) ((, 1] [ 31 , 3]) {2, 1}
(17.5) {1, 0, 2, 3, 1/ 3}
(40.3) (2, 5/2) (58) (, 1/2) (5/2, )
(17.6) {4, 1, 1, 2, 3}
(40.4) (2, 8] (59.1) (, 1) (1, 1)
(17.7) {3, 1, 2}
(41.1) 7 (59.2) (1, )
(18) (x 2)(x 4)(x 5)(3x 1)(x 1)
2
(41.2) ไม่มี
(19) (x 1)(x 2) (60) 1
(41.3) 8 (61) 2 (252)(5) (34)(37)
(20) (x 1)(x 2)(x 3)(x 2)(x 4) (41.4) ไม่มี (62) 2 (504)(4) (38)(53)
(21.1) {b, b} (42) 0
(43) 5/2 (63) 256
(21.2) {0} (64) 251
(21.3) {0, 2b} (44) ผิดทุกข้อ
(45.1) 3.5 (65) 48
(21.4) {a 1, a 1} (66) 21
(45.2) 17/3
(22) ข้อ (22.1) และ (22.2) ผิด (45.3) 96 (67) 3
(23) ข้อ (23.4) ผิด นอกนั้นถูก (46) [0, 12) (68) 105, 165
(24.1) (6, 46) (69) 495, 513
(47.1) 2, 2, 4, 4
(24.2) (252, 180) (70) 210
(47.2) [1, 1]
(25.1) (18, 4) (71) ข้อ (71.2) และ (71.4) ถูก
(47.3) [3, 4]
(25.2) (9, 4)
92 Math E-Book
Release 2.7pre
เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคิด)
(1.1) ผิด ทศนิยมไม่ซ้ํา เป็นจํานวนอตรรกยะ (5) จาก A { x | x เป็นจํานวนนับ และ x
(1.2) ผิด ทศนิยมซ้ํา เป็นจํานวนตรรกยะ เป็นจํานวนตรรกยะ } {1, 4, 9, 16, 25, 36, ...}
(1.3) ผิด เช่น ถ้า a 2 พบว่า A ก็คือเซตของจํานวนนับยกกําลังสองนั่นเอง
จะได้วา่ a2 เป็นจํานวนคู่ แต่ a ไม่ใช่จํานวนคู่ ..และ B N A เป็นเซตของจํานวนนับอื่น ๆ ที่
(1.4) ผิด เช่น ถ้า a 3 ไม่ได้อยู่ใน A
จะได้วา่ a2 เป็นจํานวนคี่ แต่ a ไม่ใช่จํานวนคี่
(5.1) A มีสมบัติปิดการคูณ ..เพราะจํานวนนับยก
กําลังสองคูณกัน ย่อมยังเป็นจํานวนนับยกกําลังสอง
ส่วน B นั้นไม่มสี มบัติปิดการคูณ
(2.1) ผิด ..หาก a 0 แล้ว b จะเป็นเท่าใดก็ได้ ..เช่น 2 2 4 แต่ 4 B ข้อนี้จงึ ถูก
(2.2) ผิด ..ต้องเป็น a 0 หรือ b 0
(ไม่จําเป็นต้องเป็น 0 พร้อมกันทัง้ คู่) (5.2) A ไม่มีสมบัติปิดการบวก
(2.3) ถูก (ตามกฎการคูณเข้าทั้งสองข้างของ ..เช่น 1 1 2 แต่ 2 A
สมการ ซึง่ สามารถทําได้เสมอ เมือ่ นํา b ไปคูณ และ B ก็ไม่มีสมบัติปิดการบวก
ก็จะได้ a c ) ..เช่น 2 2 4 แต่ 4 B ข้อนีจ้ ึงถูก
(2.4) ผิด ..หาก a 0 แล้ว b กับ c ไม่จําเป็น
ต้องเท่ากัน
(6) ก. ไม่จริง ..เช่น ถ้า x 2
จะไม่มี y ที่เป็นจํานวนเต็ม ทีท่ ําให้ xy 1
(3) ก. มีสมบัตปิ ิดการบวก แต่ไม่มีสมบัติปิดการ ข. ไม่จริง ..เช่น ถ้า x 0
คูณ (เพราะจํานวนลบคูณกันย่อมได้จํานวนบวก) จะไม่มี y ที่เป็นจํานวนจริง ทีท่ าํ ให้ xy 1
ค. ไม่จริง ..เพราะถ้า xy 1 นั้น จะทําให้
ข. ไม่มีสมบัติปดิ การบวก (เช่น 3 5 8 แต่ 8 xy A แน่นอน (1 ไม่ใช่จํานวนอตรรกยะ)
ไม่ได้อยู่ในเซตนี)้ และไม่มสี มบัตปิ ิดการคูณ (เช่น ง. จริง ..ไม่วา่ x เป็นจํานวนตรรกยะใด จะหา y ที่
3 5 15 ซึ่งไม่ได้อยู่ในเซตนี้) ทําให้ xy 1 ได้เสมอ และ y ที่ได้นี้ก็เป็นจํานวน
ตรรกยะเสมอด้วย (โดยในทีน่ ี้ x, y ไม่เป็น 0)
ค. ไม่มีสมบัตปิ ดิ การบวกและคูณเลย
(เช่น 3 (3) 0 และ 3 4 1 เป็นต้น)
4 4 4 3
(7) ๏ อินเวอร์สการคูณของ a คือ 1/a ..ดังนัน้
ง. มีทั้งสมบัติปดิ การบวกและคูณ เพราะจํานวนที่ อินเวอร์สการคูณของ 1
คือ 6 5
หารด้วย 4 ลงตัว เมื่อบวกหรือคูณกันก็ยังคงหาร 6 5
(22.3) ถูก
(18) สามารถหารสังเคราะห์ลงตัวด้วยจํานวน พิสจู น์ จาก (a b)/2 ab จัดรูปใหม่ได้ดังนี้
2, 4, –5, –1/3 (สลับลําดับก่อนหลังได้) a b 2 ab a2 2ab b2 4ab
และเหลือผลหารเป็น 3 0 3 ซึง่ หมายถึง 3x2 3 (ยกกําลังสองได้เพราะทราบว่าเป็นบวกทัง้ สองข้าง)
ไม่สามารถแยกตัวประกอบจํานวนจริงต่อไปได้แล้ว a2 2ab b2 0 (a b)2 0
พบว่าเป็นจริงเสมอ เมือ่ a b
..จึงสรุปเป็น (x 2)(x 4)(x 5)(x 1/3)(3x2 3)
นั่นคือ (x 2)(x 4)(x 5)(3x 1)(x2 1) (22.4) ถูก
3 3
พิสจู น์ จาก b 2 2a
ba
จัดรูปใหม่ได้ดังนี้
ab ab
(19) แยกตัวประกอบแต่ละพหุนาม (โดยการหาร b3 a3 ab (b a)
สังเคราะห์) จะได้ (คูณไขว้ได้เพราะทราบว่าตัวที่ถกู ย้ายนัน้ เป็นบวก)
x3 7x 6 (x 1)(x 2)(x 3) (b a)(b2 ab a2) ab(b a)
3x3 7x2 4 (x 1)(x 2)(3x 2) (ตัดทิ้งได้เพราะทราบว่าตัวที่ถกู ตัดทิ้งนั้นไม่เป็น 0)
4 3
x 3x 6x 4 (x 1)(x 2)(x 2)(x 2) b2 2ab a2 0 (b a)2 0
ห.ร.ม. คือตัวประกอบร่วมที่มากที่สดุ พบว่าเป็นจริงเสมอ เมือ่ a b
ดังนัน้ ห.ร.ม. คือ (x 1)(x 2) x2 3x 2
+ – +
(25.1) ขอบเขตของค่า xy เลือกได้จากผลคูณทัง้ สี่ –1 1/2
ได้แก่ 12, 18, 4, 6 ..ช่วงคําตอบคือ (18, 4) ดังนัน้ เซตคําตอบคือ ช่วง (, 1] [1/2, )
(25.2) ขอบเขตของค่า x y เลือกได้จากผลลบ
ทั้งสี่ ได้แก่ 8, 9, 4, 5 ..ช่วงคําตอบ (9, 4) (28.3) แยกตัวประกอบ.. x (x 2)(6x 1) 0
(25.3) ขอบเขตของค่า x/ y – + – +
เลือกได้จากผลหารทัง้ สี่ ได้แก่ 3, 2, 1, 2/ 3 –2 0 1/6
..ช่วงคําตอบคือ (3, 2/ 3) ดังนัน้ เซตคําตอบคือ ช่วง (, 2) (0, 1/6)
+ – + + – +
–3/2 7/3 –2 3
ดังนัน้ m 1 0 1 2 2 ..ดังนัน้ ค่า a ต้องอยู่ในช่วง (, 2) (3, )
อสมการที่สอง ย้ายฝั่งมารวมกันได้เป็น
6x2 x 2 0 (3x 2)(2x 1) 0
(34) แยกตัวประกอบ (x 1)(x 2)(x 2) > 0
+ – + – + – +
–1/2 2/3
–2 1 2
จํานวนเต็มที่ไม่อยู่ในช่วงคําตอบคือ 0 เท่านัน้
เซตคําตอบคือ [2, 1] [2, )
ดังนัน้ n 0 ..และคําตอบข้อนีค้ ือ m n 2
2x 1 2x 1 x 5
จากนั้นรวมเศษส่วนเข้าด้วยกัน
เซต B; 1 0 0 3x 1 2x 2 (x 1)
x5 x5 0 0
(x 1)(3x 1) (x 1)(3x 1)
x 6 + – +
0
x 5 –5 6 – + – +
–1 1/3 1
B A ' B A [2, 5/2)
1
และผลบวกจํานวนเต็มที่ตอ้ งการคือ 2 (2) 0 เซตคําตอบคือ (, 1) ( , 1)
3
x 1 x 1 2x 4 1 x
(38) 2 0 0 (40.2) ใช้วิธีย้ายข้างลบกัน.. > 0
x2 x2 x 1 x8
x 5 x5 จากนั้นรวมเศษส่วนเข้าด้วยกัน
0 0
x2 x 2 x 8 x2 x x2 2x 8
> 0 > 0
+ – + (x 1)(x 8) (x 1)(x 8)
–5 –2 x2 2x 8 (x 4)(x 2)
< 0 < 0
ดังนัน้ a 2 ..และได้คําตอบ 2
a 1 5 (x 1)(x 8) (x 1)(x 8)
+ – + – +
–8 –2 1 4
3
(39) เซต A; สัมประสิทธิห์ น้า x ติดลบ จึงต้อง เซตคําตอบคือ (8, 2] (1, 4]
คูณด้วย 1 เพื่อให้กลายเป็น x3 2x2 0
จากนั้นแยกตัวประกอบได้เป็น x2 (x 2) 0
(40.3) การยกกําลังสองทั้งสองข้าง ข้อนีท ้ ําได้
– + – + เพราะทั้งสองฝั่งเป็นเครือ่ งหมายรูท้ มีคา่ บวกเสมอ
0 0 2 1 2x 1 1 2x 1
0
x2 2 x2 2
เซต B; ย้าย 1 มาลบฝั่งซ้าย และรวมเศษส่วนกัน (ย้ายข้างมาลบกัน จากนั้นรวมเศษส่วนเข้าด้วยกัน)
2
x 2x 2 x 2 2 (2x 1)(x 2) 2x2 5x
ได้เป็น < 0 0 0
x 2 2(x 2) 2(x 2)
x 2 3x 4 2x2 5x x (2x 5)
< 0 0 0
x2 2(x 2) 2(x 2)
ซึ่งพหุนาม x 2 3x 4 นัน้ ไม่สามารถแยกเป็น – + – +
จํานวนจริงได้ (ใช้สูตรแล้วพบว่าในรู้ทติดลบ) 0 2 5/2
จึงเพิกเฉยไม่ต้องนํามาเขียนลงบนเส้นจํานวน
– + แต่เนือ่ งจากในโจทย์มี x 2 ปรากฏอยู่
2
(และเป็นตัวส่วน ห้ามเป็น 0)
จึงต้องเพิ่มเงือ่ นไขว่า x 2 0 x 2
B A {0}
นอกจากนัน้ ยังมี 2x 1 ปรากฏอยู่
ในเซตนี้มีสมาชิกที่เป็นจํานวนเต็มคือ 0 เท่านั้น นั่นคือเงือ่ นไข 2x 1 > 0 x > 1/2 ด้วย
..เมื่อรวมเงื่อนไขทั้งหมด จะได้ชว่ งคําตอบ (2, 5/2)
98 Math E-Book
Release 2.7pre
โจทย์กาํ หนด 2 x 6
นั่นคือ 31 2x 1 1 2x 31
(42) เนื่องจาก A { 21 , 23 , 43 , ... }
5 2 6 17
ยิ่งเขียนแจกแจงไปเรื่อย ๆ จะพบว่าสมาชิกมีคา่ x 3
ค่า m x
น้อยทีส่ ุดที่ทาํ ให้ x 5 m ก็คือ 173
2
มากขึน้ และยิง่ เข้าใกล้ 1 (แต่ไม่มที างถึง 1)
จึงได้ขอบเขตบนค่าน้อยสุดของเซตนี้เป็น 1
และเนือ่ งจาก B { 1, 12 , 13 , ... } (45.3) โจทย์กาํ หนด 6 x 5 6
พบว่าสมาชิกที่มคี ่าน้อยที่สดุ ของเซตนีค้ ือ 1 นั่นคือ 11 x 1 ..พยายามจัดรูปได้ดงั นี้
จึงได้ขอบเขตล่างมากสุดเป็น 1 0 < x2 121 25 < x2 25 96
..ดังนัน้ a b 1 (1) 0 ค่า m ทีน่ ้อยที่สดุ ทีท่ ําให้ |x2 25| m ก็คอื 96
kanuay.com
99
และถอดค่าสัมบูรณ์ได้ ( x)x x3 x x x3
2 1 2
2 ช่วงคําตอบคือ (4, 1) (5, 8)