Professional Documents
Culture Documents
โครงงานวิทยาศาสตร์2
โครงงานวิทยาศาสตร์2
โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์ หมายถึง การทากิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ชนิดหนึ่ง ที่ผู้ทาโครงงานจะต้องนาเอา
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (science process) มาใช้เพื่อ
ศึกษาหาทางแก้ปัญหาเรื่องใหม่ ๆ หรือประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ โดยผู้ทาโครงงาน เป็นผู้คิดเรื่องหรือ เลือกเรื่อง
ที่ต้องการศึกษา มีการวางแผนดาเนินการ (ลงมือปฏิบัติ ) บันทึกผล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล และเสนอผลงาน
ด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้นจนสาเร็จทุกขั้นตอน
ประเภทโครงงานวิทยาศาสตร์
1. โครงงานประเภทสารวจ หมายถึง การสารวจข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็น เพื่อนามาประกอบ
การศึกษาหรือการจาแนกเป็นหมวดหมู่ ทั้งนี้ไม่ต้องคานึงถึงตัวแปรต่าง ๆ การเก็บข้อมูลโดยการออกไปสารวจ
นอกห้องปฏิบัติการหรือที่เรียกว่า สารวจภาคสนามหรือบางครั้งอาจจะนาส่วนต่าง ๆ นั้นมาศึกษาใน
ห้องปฏิบัติการด้วยก็ได้
2. โครงงานประเภทการทดลอง หมายถึง โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลองเป็นโครงงานที่มีการออกแบบ
การทดลองเพื่อศึกษาผลของตัวแปรอิสระที่มีผลต่อตัวแปรตาม โดยควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่จะมี อิทธิพลต่อผล
การทดลอง
3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่ประยุกต์หลักการหรือทฤษฎีต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ มา
ประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ที่เป็นประโยชน์ในการใช้สอย อาจคิดประดิษฐ์ของใหม่ ๆ หรือ
ปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
4. โครงงานประเภททฤษฏี เป็นโครงงานที่เสนอทฤษฏี หลักการใหม่ ตามแนวคิดของตนเอง หรือการอธิ บาย
แนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตรสมการ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีเหตุผล
ลาดับขั้นตอนการทาโครงงาน
1. สารวจและตัดสินใจเลือกเรื่องที่จะโครงงาน
2. ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทาจากเอกสารและแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
3. วางแผนการทดลอง การใช้วัสดุอุปกรณ์และระยะเวลาในการดาเนินงาน
4. เขียนเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์
5. ลงมือศึกษาทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล
6. เขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์
7. เสนอผลงานของโครงงานวิทยาศาสตร์
ที่มา http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=201
ส่วนประกอบเค้าเล่มโครงงาน
บทคัดย่อ
กิตติกรรมประกาศ
บทนา
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
อุปกรณ์และวิธีดาเนินงาน
ผลการศึกษาทดลอง
สรุป อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ
เอกสารอ้างอิง
แหล่งเรียนรู้
ผู้จัดทา
รูปภาพและเกียรติบัตร
ขั้นตอน โครงงานวิทยาศาสตร์
ขั้นที่ 1 การคิดและเลือกชื่อเรื่องหรือปัญหาที่จะศึกษา
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่สาคัญที่สุดและยากที่สุ ด ตามหลักการแล้วนักเรียนควรจะเป็นผู้คิดและเลือกหัวข้อ
เรื่องที่จะศึกษาด้วยตนเอง แต่ครูอาจมีบทบาทหรือมีส่วนช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถคิดหัวข้อเรื่องได้ด้วย
ตนเอง ดังจะได้กล่าวต่อไป
ขั้นที่ 2 การวางแผนในการทาโครงงาน
ได้แก่ การวางแผนวิธี ดาเนินงานในการศึกษาค้นคว้าทั้งหมด เช่น วัสดุอุปกรณ์ ที่จาเป็นต้องใช้ในการ
ออกแบบการทดลอง และควบคุมตัวแปร วิธีดาเนินการรวบรวมข้อมูล การวางแผนปฏิบัติงานอย่างคร่าว ๆ ว่าจะ
ดาเนินการอย่างไรบ้างเป็นขั้นตอน แล้วนาเสนออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอคาแนะนาเพิ่มเติม และขอ ความ
เห็นชอบ
ขั้นที่ 3 การลงมือทาโครงงาน
ได้แก่ การลงมือปฏิบัติตามแผนงานที่ได้วางไว้ล่วงหน้าแล้วในขั้นที่สองนั่นเอง ประกอบด้วยการเก็บ
รวบรวมข้อมูล การสร้างหรือการประดิษฐ์ การปฏิบัติการทดลอง ซึ่งสุดแล้วแต่จะเป็นโครงงานประเภ ทใดและ
การค้นคว้าจากเอกสารต่าง ๆ แล้วดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูล แบ่งความหมายของข้อมูล และสรุปผลของ
การศึกษาค้นคว้า
ขั้นที่ 4 การเขียนรายงาน
เป็นการเสนอผลของการศึกษาค้นคว้าเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเป็นเอกสาร เพื่ออธิบายให้ผู้อื่นทราบ
รายละเอียดทั้งหมดของการทาโครงงาน ซึ่งจะประกอบด้วยปัญหาที่ทาการศึกษาวัตถุประสงค์ของการศึกษา
วิธีดาเนินการศึกษาค้นคว้า อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ ข้อมูลต่าง ๆ ที่รวบรวมได้ ผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า
ตลอดจนประโยชน์และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้จากการทาโครงงานวิทยาศาสตร์นั้น ๆ วิธีเขียนรายงาน
โครงงานวิทยาศาสตร์ก็มีลักษณะและแนวทางในการเขียน เช่นเดียวกับการเขียนรายงานผลการวิจัยทาง
วิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์นั่นเอง
ขั้นที่ 5 การแสดงผลงาน
เป็นการเสนอผลงานที่ได้ศึกษาค้นคว้าสาเร็จลงแล้วให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจ ซึ่งอาจกระทาได้หลาย
รูปแบบ เช่น การจัดนิทรรศการ การสาธิตแสดงประกอบการรายงานปากเปล่า ฯลฯ
ในการจัดแสดงผลงานของการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ครูอาจกระทาได้ในหลายระดับ เช่น
- การจัดเสนอผลงานภายในชั้นเรียน
- การจัดแสดงนิทรรศการภายในโรงเรียนเป็นการภายใน
- การจัดแสดงนิทรรศการในงานประจาปีของโรงเรียน
- การส่งโครงงานเข้าร่วมในงานแสดงหรือประกวดภายนอกโรงเรียนในระดับต่าง ๆ เช่น ระดับกลุ่ม
โรงเรียน ระดับจังหวัด ระดับเขตการศึกษา และระดับชาติ เป็นต้น
ตัวอย่างขั้นตอนการทาโครงงานวิทยาศาสตร์
รายชื่อผู้จัดทา
1. นายตาตั้ม มนตลักษณ์
2. นางสาวศิริรัตน์ พันธุ์อธิคม
3. นางสาวรัชดาภรณ์ เพชรวงศ์
อาจารย์ที่ปรึกษา
1. อาจารย์มาฆะ ทิพย์คีรี
2. อาจารย์วิมลศรี สุวรรณรัตน์
3. อาจารย์ณัฐจรีย์ ธรรมทัศนานนท์
ที่มาและความสาคัญและปัญหา
จากการที่มีการเลี้ยงกุ้งกัน ทาให้มีการแพร่กระจายของเกลือจากนากุ้ง ออกสู่พื้นที่ใกล้เคียงทาให้เกิดผล
กระทบกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ผู้ทาโครงงานเห็นว่ามีพืชบางชนิดสามารถเจริญเติบโตได้บริเวณดินเค็มริม
ฝั่งทะเล จึงคิดว่าน่าจะนาพืชเหล่านั้นมาดูดซั บเกลือที่แพร่กระจายออกมาจากนากุ้งได้ซึ่งจะแก้ปัญหา
สิ่งแวดล้อมได้
จุดมุ่งหมายของการศึกษา
1. เพื่อศึกษาหาชนิดและปริมาณของพืชทะเล นามาลดมลพิษจากแพร่กระจายของเกลือ
2. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพ การดูดซับความเค็มของผักบุ้งทะเลและถั่วทะเล โดยใช้ดินที่ได้จากนากุ้ง
3. เพื่อศึกษาการปลูกผักบุ้งทะเล และถั่วทะเลบริเวณว่างเปล่าริมนากุ้งเพื่อลดความเค็ม
4. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพ การดูดซับความเค็มของผักบุ้งทะเลและถั่วทะเล โดยใช้ดินเลนจากก้นบ่อกุ้ง
5. เพื่อศึกษาหาปริมาณเกลือในต้นผักบุ้งทะเลที่บริเวณชายฝั่งทะเล เปรียบเทียบกับผักบุ้งทะเลที่อยู่ หา่ งไกล
ชายฝั่งทะเล
สมมติฐาน
พืชที่เจริญได้ดีบริเวณชายฝั่งทะเล สามารถลดมลพิษจากการแพร่กระจายของเกลือที่เกิดจากการทานากุ้ง
ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
- ตัวแปรต้น พืชทะเลบางชนิด
- ตัวแปรตาม การลดความเค็มของดิน
- ตัวแปรควบคุม ภาชนะที่ใช้ในการทดลอง, ปริมาณดินที่ใช้ในการทดลอง
วิธีการวิเคราะห์ความเค็ม
1. วิเคราะห์โดยการสังเกตการเจริญเติบโตของเมล็ดข้าวในดินเค็ม ถ้าข้าวไม่เจริญแสดงว่าดินเค็ม ถ้าข้าวเจริญ
แสดงว่าดินไม่เค็ม
2. วิเคราะห์จากการหาปริมาณ AgNO3 ที่ใช้ในการทาปฏิกิริยา ถ้ามีปริมาณ AgNO3 มาก แสดงว่ามีเกลือมาก
วิธีการทดลอง
1. สารวจชนิด และปริมาณพืชที่ขึ้นบริเวณชายฝั่งทะเล เพื่อจะคัดเลือกพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในบริเวณชายฝั่ง
ทะเลมาลดมลพิษการแพร่กระจายของเกลือ
2. ทดลองศึกษาประสิทธิภาพในการดูดซับความเค็มของผักบุ้งทะเลและถั่วทะเลโดยใช้ดินจากนากุ้ง
3. ทดลองปลูกผักบุ้งทะเลและถั่วทะเลบริเวณที่ว่างเปล่าริมนากุ้ง
4. ทดลองศึกษาประสิทธิภาพในการดูดซับความเค็มของผักบุ้งทะเลและถั่วทะเลโดยใช้ดินเลนจากก้นบ่อกุ้ง
5. ทดลองศึกษาปริมาณเกลือในต้นผักบุ้งทะเลที่ขึ้นบริเวณชายฝั่งทะเลเปรียบเทียบกับผักบุ้งทะเลที่ขึ้นบริ เวณ
ดินปกติ (ปกติ คือ ดินที่อยู่ห่างไกลจากทะเล)
ผลการวิเคราะห์และวิจารณ์ผล
1. พืชทะเลมี 10 ชนิด คือ ผักบุ้งทะเล, ถั่วทะเล, งับพริก, คดดินสอ, แพงพวย, ปอทะเล, บุกรอ, หูกวาง, แห้ว
หมู, หญ้าหนวดกุ้ง และพบว่า ผักบุ้งทะเลและถั่วทะเลเจริญเติบโตได้ดีจึงนาพืชทั้ง 2 ชนิดมาดูดซับเกลือ
2. การนาผักบุ้งทะเลและถั่วทะเลดูดซับเกลือในปล้องบ่อได้จริง ในระยะเวลา 120 วัน
ประโยชน์ของโครงงาน
จากการศึกษาพบว่าพืชทั้ง 2 ชนิด คือ ผักบุ้งทะเลและถั่วทะเล สามารถลดความเค็มของดินได้จริงดังนั้น
ผู้ทาโครงงานจึงคิดว่า ควรจะนาไปใช้ประโยชน์ได้ 2 อย่าง คือ
1. นาไปลดความเค็มของดินบริเวณนาที่มีการเลี้ยงกุ้ง
2. อาจนาไปลดความเค็มของดินที่แพร่กระจายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้ (แต่ยังไม่มี
การทดลอง)
ที่มา : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ตัวอย่างโครงงานวิทยาศาสตร์อนื่ ๆ
- โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ยางกล้วยช่วยเพ็ นท์ผ้า
- โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง "พริกขี้หนูสู้กับมด"
- โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง เปลวไฟลอยน้า
- โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง เทียนไขกระหายน้า
- โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ครีมขัดเครื่องเงินและเครื่องทอง
- โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การทาขี้ผึ้งบาล์ม (ยาหม่อง)
- โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การทาดินน้ามันอย่างง่าย
- โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สารสกัดจากข่าและพริกไทยปราบแมลง
ที่มา http://entertain.tidtam.com/data/12/0056-1.html