You are on page 1of 267

จิตจักรพรรดิ

ตอน มาเฟียพลังจิต

ดังตฤณ

แจกจ่ายฟรีได้ทุกรูปแบบโดยไม่ต้องขออนุญาต
ห้ามนำาไปใช้ทางการค้าไม่ว่ากรณีใดๆก่อนได้รับอนุญาต
สารบัญ
บทที่ ๑
บทที่ ๒
บทที่ ๓
บทที่ ๔
บทที่ ๕
บทที่ ๖
บทที่ ๗
บทที่ ๘
บทที่ ๙
บทที่ ๑๐
บทที่ ๑
๕ โมงเย็น
แทนการใช้จิตสัมผัสประกอบพลังคำา อัน
เป็นไปเพื่อเปลี่ยนชีวิตลูกค้าดังเคย มะแมกำาลัง
จะต้องใช้สมองประกอบคำาชี้แจง อันเป็นไปเพื่อ
เปลี่ยนใจคอลัมนิสต์คนหนึ่ง ที่เพิ่งเขียนด่าหล่อน
ลงนิตยสาร "มีเธอ" มาไม่นาน
แต่ก็ไม่แน่ ทุกการสัมภาษณ์ที่ผ่านมา ผู้
สัมภาษณ์จะ "ขอแถม" เสมอ หล่อนจึงมักเหนื่อย
เป็นสองเท่า ใช้ทั้งสมองและทั้งจิตสัมผัสประกอบ
กัน
มะแมเลือกเวลาเลิกงานมาให้สัมภาษณ์ ไม่
ว่าจะเป็นสื่อมวลชนรายใด เพราะแสงยังไม่หมด
ถ่ายรูปได้สบาย แล้วก็ไม่เบียดเบียนเวลาการ
ทำางานตามปกติ กับทั้งยืดหยุ่นได้นานตามความ
เหมาะสม จะมีข้อเสียคือหล่อนอาจอ่อนล้า หรือ
หน้าตาไม่สดชื่นไปบ้าง
ด้วยเหตุนั้น มะแมจึงกำาหนดเวลานัดเป็น
๑๗:๑๕ เพื่อให้ตนเองมีเวลาหายใจหายคอ
หล่อนพักดื่มน้ำาและมานั่งหลับตา พักเท้า พักมือ
พักหน้า ลากลมหายใจยาว ช้า แล้วผ่อนออกสู่
การพักลมนาน กับทั้งมีความสม่ำาเสมอ ขจัดคลื่น
รบกวนในหัวออกจนเหลือแต่จิตใจที่ปลอดโปร่ง
สว่างสบาย
เพียงด้วยช่วงเวลาพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ
สั้นๆ พลังความสดชื่นก็ถูกเรียกกลับคืนมา เกือบ
เท่ากับคนทั่วไปพักผ่อนนอนหลับมาทั้งคืนทีเดียว
บรรยากาศในที่ทำางานของมะแมสมกับ
ความเป็นมืออาชีพ หล่อนอายุยังน้อย จึงใช้ชุด
สูทกระโปรงสีขาวในเวลาทำางาน เพื่อให้ดูเป็น
ผู้ใหญ่ ส่วนสถานที่เป็นโฮมออฟฟิศหนึ่งคูหา ใกล้
ทางด่วนย่านชานเมือง ตกแต่งภายในด้วย
เฟอร์นิเจอร์ทันสมัย และให้อารมณ์คล้ายสถาน
ที่พักผ่อน มากกว่าจะเป็นที่ทำางานเคร่งขรึม ไร้
กองแฟ้มเอกสารตั้งเกะกะสายตา
หล่อนจ้างเด็กไว้คนหนึ่งในราคาแพง เพียง
ให้แน่ใจว่ามีลูกมือซื่อๆ ใช้งานได้ทุกอย่าง ตั้งแต่
ทำาความสะอาด รับโทรศัพท์นัดหมาย ต้อนรับ
ลูกค้า จัดคิวหน้าห้อง สภาพความเป็นออฟฟิศจึง
เต็มรูปแบบ
ขณะนั้นเอง เด็กลูกจ้างซึ่งกำาลังทำาหน้าที่
เลขาหน้าห้อง ส่งสัญญาณอินเตอร์คอมเป็นการ
เตือนว่าถึงเวลานัด มะแมเปิดเปลือกตาขึ้น และ
ส่งสัญญาณตอบว่าพร้อมแล้ว จากนั้นเพียงอึดใจ
หญิงวัยเกินสี่สิบคนหนึ่งก็เดินเข้ามา พร้อมชาย
ร่างอ้วนกลมแบกกล้องใหญ่กับขาตั้งครบชุดมา
ด้วย
มะแมเป็นฝ่ายพนมมือไหว้ทักอย่างอ่อน
โยน
"สวัสดีค่ะ พี่ชลิกาใช่ไหมคะ?"
ชลิกาเป็นผู้หญิงตาขวาง คล้ายพร้อมจะ
โกรธโลกอยู่ตลอดเวลา ใครเห็นก็น่าจะสัมผัสได้
ง่ายๆว่าหล่อนเป็นพวกหมกมุ่นครุ่นคิดยุ่งเหยิง
แต่ด้วยความชำานาญในอาชีพของมะแม
ทำาให้สัมผัสได้ลึกกว่านั้น หล่อนรู้สึกถึงกระแสชี
วิตทึบๆ ร้อนๆ แรงๆของชลิกา กับทั้งแปลได้ถูก
ว่าฝ่ายนั้นเริ่มต้นจากกำาเนิดที่ยากลำาบาก ขาด
ความอบอุ่น แถมโตขึ้นต้องแบกภาระอย่างไม่
เป็นธรรม จึงรู้สึกว่าโลกมีแต่แง่ร้ายให้มอง
ในแวบแรกนั่นเอง มะแมได้ข้อสรุปรวบ
ยอดเกี่ยวกับตัวตนของชลิกา ฝ่ายนั้นอัดแน่นไป
ด้วยความคับแค้น และถูกบีบให้เชี่ยวชาญในการ
จับผิดคนอื่น หลงลืมข้อดีของใครๆได้ง่าย บางที
รุกรานคู่สนทนาโดยไม่ทันตั้งใจ และว่างๆก็นั่ง
เป็นทุกข์ได้ด้วยไฟริษยาที่จุดเอง ร้อนเอง แค่เข้า
ใกล้ก็น่ารำาคาญแล้ว
แต่เมื่อต้องโอภาปราศรัย ชลิกาก็ยิ้มแย้ม
รับไหว้ พูดจาอ่อนหวานได้แบบไม่ฝืน
"สวัสดีค่ะน้องมะแม พี่ปุ๋ยขอบคุณนะคะที่
สละเวลาให้นิตยสารเล็กๆของเรา"
ชลิกาใช้สรรพนามแทนตนด้วยชื่อเล่น
เป็นการขอผูกสนิท มะแมยิ้มนิดๆ พินิจกิริยา
ตีสนิทของฝ่ายนั้นอย่างเห็นทะลุ คนพวกนี้เขียน
เก่ง ด้วยความที่สั่งสมสำานวนจิกกัดแสบๆคันๆ
มาหลายสิบปี จนพิสดารขนาดให้คนจำาขี้ปากไป
ใช้ ขณะเดียวกันก็หวานเป็น ให้ตบหัวแล้วลูบ
หลัง หรือลูบหลังแล้วค่อยตบหัว อย่างไรก็คล่อง
หมด
"ต้องขอบคุณนิตยสารดีๆของพี่ปุ๋ยที่ให้
เกียรติมะแมมากกว่าค่ะ" ปฏิสันถารตอบแล้ว
หล่อนก็ผายมือไปทางชุดโซฟารับแขก "นั่งตรง
โน้นกันนะคะ"
มะแมเลือกจุดนั้นเพราะเห็นว่าคงมีการถ่าย
รูประหว่างสัมภาษณ์ ถ้าเป็นชุดรับแขกจะดูสบาย
และถ่ายได้หลายมุมกว่าโต๊ะทำางาน ทั้งสอง
เคลื่อนมานั่งเข้าที่ และหลังจากเด็กลูกจ้างตาม
เอาน้ำาสองแก้วเข้ามาให้แขกเสร็จ ชลิกาก็เกริ่น
พลางเปิดเครื่องบันทึกเสียงสนทนา กับเตรียม
กระดาษปากกาสำาหรับโน้ตข้อความสำาคัญ
"วันนี้เราจะคุยกันสบายๆนะคะ อาจเข้า
เรื่องส่วนตัวของน้องมะแมบ้าง"
"ยินดีค่ะ"
ช่างกล้องเริ่มจัดอุปกรณ์ กางขาตั้ง ขณะ
นั้นชลิกาก็ยิงคำาถามแรก
"ชื่อมะแม แปลว่าเกิดปีมะแมสิคะ?"
"เปล่าค่ะ"
"เอ๊ะ! แล้วทำาไมได้ชื่อนี้?"
"เป็นความฝังใจเศร้าๆของคุณพ่อคุณแม่น่
ะค่ะ ในปี ๒๕๒๒ พวกท่านมีลูกคนแรก และตั้งชื่อ
ตามปีนักษัตรว่า 'มะแม' แต่เธออายุสั้น อยู่แค่ไม่
ถึง ๗ ปีก็จากไป"
ชลิกาเบิกตากว้าง ท่าทีนั้นประกาศให้
ทราบว่าไม่เคยทราบที่มาที่ไปของชื่อมะแม
"อย่างนั้นหรือคะ พวกท่านมีลูกคนเดียว?"
"ค่ะ! ปีต่อมาหลังจากหายโศกเศร้าแล้ว
พวกท่านก็อยากมีลูกด้วยกันอีก และเพราะเห็น
หน้าตาคล้ายกันตั้งแต่วันคลอด แถมรักไม่ต่าง
จากลูกสาวคนแรก เลยตัดสินใจตั้งชื่อเดิมเอาไว้
เป็นอนุสรณ์ โดยเชื่อว่าลูกสาวคนเดิมกลับมาเกิด
ใหม่ เพื่อไม่ให้ต้องคิดถึงอีกต่อไป"
"อือม์..." ชลิกาครางอย่างสนใจ "แล้วน้อง
มะแมเชื่อ หรือระลึกได้ว่าเป็นลูกสาวคนเดิมของ
พวกท่านบ้างไหม?"
"มะแมว่าไม่ใช่นะคะ"
หญิงสาวตอบด้วยสำาเนียงปฏิเสธจากส่วน
ลึก ชลิกาพยักหน้ารับทราบ ก้มลงจดยิก แล้วเงย
หน้าแย็บหยั่งเชิง
"ชอบเรื่องลึกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?"
"ไม่ชอบเลยค่ะ ไม่อยากถามตัวเองว่า
กำาลังโดนแหกตาอยู่หรือเปล่า"
"เอ๊ะ! แล้วอาชีพที่น้องมะแมเลือกนี้มันไม่
ลึกลับหรอกหรือคะ?"
"มะแมพูดในสิ่งที่ลูกค้ารู้อยู่แล้วว่าจริงหรือ
ไม่จริง อาชีพของมะแมจึงเปิดเผย พิสูจน์ได้ง่าย
เฉพาะตัวคนฟัง"
หล่อนตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาแปลกใจใน
คำาถาม แล้วก็ไม่ต้องครุ่นคิดหาคำาตอบ นั่นย้อน
กลับไปทำาให้ชลิกาทึ่งได้ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนคิด
ถามจี้ต่อได้
"งั้นเรียกว่าน้องมะแมใช้ความสามารถที่
ลึกลับได้ไหม?"
"วัดความลึกลับจากอะไรคะ?"
"ก็เช่นที่ลูกค้าน้องมะแมต้องถามบ่อยๆว่า
'รู้ได้ยังไง?' ซึ่งแปลว่าพวกเขาฉงนสนเท่ห์ อด
สงสัยไม่ได้ว่าน้องมะแมใช้วิธีไหนในการรู้สิ่งที่คน
ทั่วไปไม่รู้"
"ถ้ามองแง่นั้น ก็เรียกว่าเป็นความสามารถ
พิเศษดีกว่าค่ะ ความสามารถพิเศษที่จะสนใจ
สังเกตความจริง ต่างจากคนทั่วไปที่จ้องจะ
บิดเบือนความจริง"
"แปลว่าคนทั่วไปมองไม่เห็นความจริงกัน
เลยหรือคะ?"
"จากการสังเกต มะแมพบว่าคนทั่วไป
พยายามเพ่งเล็ง แต่ไม่ได้พยายามมองให้เห็น"
"แหม! ใช้กระดาษจดคำาสัมภาษณ์น้อง
มะแมไม่ได้เลยนะคะนี่"
"ทำาไมคะ?"
"พี่จดๆอยู่ เจอคำาคมของน้องมะแม
กระดาษเกือบขาดแควกแน่ะค่ะ!"
สองหญิงต่างวัยหัวเราะพร้อมกันใน
บรรยากาศเป็นกันเองกว่าเดิม
"บอกตรงๆ มาอยู่ใกล้น้องมะแมแล้วพี่ปุ๋ยรู้
สึกแปลกๆ"
"ยังไงคะ?"
"คือ... น้องมะแมออกจะน่ารักไม่เหมือน
พวกเล่นพลังจิต เอ... แต่ดูอีกทีก็นิ่งๆ ชวนให้
ขนลุกเหมือนกันนะ เหมือนนางเอกหนังที่ทำาให้
เราแอบหนาวสันหลังได้"
มะแมหัวเราะอารมณ์ดีกับคำาชมที่ฟังยากว่า
จะเอาไงแน่ แค่จะบอกว่าน่ารักยังเป็นน่ารัก
เหมือนยังไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดชอบกล แต่หล่อนไม่
ถือสานัก เพราะตระหนักว่ากำาลังนั่งอยู่กับคอลัม
นิสต์ที่เจอโลกด้านมืดมามาก เห็นโลกไม่ถูกต้อง
ไปหมด แต่ละคำาที่ออกจากปากจึงคล้ายแฝงใบ
มีดบาดหูเสมอ จะจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม
ระหว่างการสนทนา ตากล้องก็ลั่นชัตเตอร์
ถ่ายรูปไปด้วย มะแมคุ้นกับกระบวนการทั้งหมดดี
พอเลือกเก็บมุมสวยขณะทำาการสัมภาษณ์ได้มาก
พอ ตากล้องส่วนใหญ่จะพักรอถ่ายอีกครั้งเป็นท่า
ยืนหรือท่าเดินเก๋ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่มะแมรู้สึก
ประหลาดคล้ายต้องจำาใจแกล้งทุกที สู้ให้คุยไป
ตามธรรมดาแล้วเลือกถ่ายเอาเองอย่างเดี๋ยวนี้ไม่
ได้
"มะแมก็ไม่ถือว่าตัวเองเป็นนักพลังจิตนะคะ
แค่มีสัมผัสทางใจนิดหน่อยตามอาชีพเท่านั้น เมื่อ
เป็นมืออาชีพในด้านไหน คนเราก็มีสัมผัสพิเศษ
ทางนั้นกันทุกคน"
แม้คำาพูดจะออกมาจากใจจริง แต่ชลิกาก็
อดรู้สึกไม่ได้ว่านั่นเป็นการดัดจริตถ่อมตัว เพียง
แต่เนียนได้แบบไม่น่าหมั่นไส้ และความรู้สึกนั้นก็
ขับให้ชลิกาโพล่งคำาถามที่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อน
"น้องมะแมคิดจะไปเป็นดาราบ้างหรือเปล่า
คะ?"
"ไม่หรอกค่ะ" หญิงสาวตอบทันที ฟังรื่น
ไหลต่อเนื่อง "มะแมแสดงเป็นแต่ตัวเองได้บท
เดียว"
"แล้วบทบาทแบบมะแมนี่ พูดให้สั้นที่สุด
คือ...?"
"แกล้งแสดงให้ดูดีไม่เป็น!"
คำาพูดราบเรียบสม่ำาเสมอของสาวนัยน์ตา
คม มีผลให้ชลิกาชะงักและยิ้มเจื่อนลง
"น้องมะแมพอใจกับอาชีพของตัวเอง และ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองที่สุดแล้วใช่ไหมคะ?"
"ค่ะ! มะแมจบตรีจิตวิทยาการปรึกษา และ
ที่เลือกเรียนสาขานี้ ก็เพราะรู้ว่าหน้าที่หลักใน
อาชีพคือให้คำาแนะนำา ช่วยลูกค้าแต่ละคนให้
ทราบว่าควรทำาอะไร จึงเหมาะกับตัวเองที่สุด ถ้า
มะแมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่านี่ใช่แล้วหรือยัง
อาชีพของมะแมก็ล้มเหลวตั้งแต่แรก"
"ตกลงอาชีพของน้องมะแมคืออะไรกันแน่
คะ?"
"นักจิตวิทยา ที่ปรึกษาปัญหาชีวิต หรือจะ
เรียกอะไรก็คงสุดแล้วแต่ใครมองค่ะ"
"ว่ากันว่าถ้าใครเลือกอาชีพอย่างรู้ตัวว่ารัก
จะทำาอะไร คนๆนั้นต้องอยากเห็นอะไรดีๆเกิดขึ้น
สักอย่างด้วยน้ำามือตน น้องมะแมอยากเห็นอะไร
เกิดขึ้นจากอาชีพของตัวเองบ้างคะ?"
เป็นครั้งแรกที่นักจิตวิทยาสาวใช้เวลาคิด
เล็กน้อยก่อนตอบ
"มะแมเคยถามตัวเองว่า ถ้า 'ทุกคน' ใน
โลกนี้ทำาสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง หรือทำาในสิ่งที่ควร
จะทำา รู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่มะแมทำาอยู่ทุก
วันนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการอยากดูคำาตอบของ
จริง ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมะแมช่วยให้หลายคน
ทำาในสิ่งที่พวกเขาควรทำา ไม่ใช่ทำาในสิ่งที่กิเลส
ครอบงำาให้ทำา"
"ฟังดูดีจังค่ะ สรุปคือน้องมะแมเป็นนัก
จิตวิทยาที่ปรึกษา?"
"ค่ะ!"
"ไม่ใช่หมอดู?"
"หมอดูเน้นคำาพยากรณ์ มะแมเน้นคำา
แนะนำา ภาพรวมเป็นคนละเรื่อง"
"แต่จุดแจ้งเกิดของน้องมะแมก็มาจากการ
พยากรณ์นี่คะ ทำานายเหตุการณ์ระดับประเทศ ถึง
ได้ดังระดับประเทศ ใครๆก็จำาว่าน้องมะแมเป็น
หมอดูแม่นๆกันทั้งนั้น"
"อย่างที่มะแมประกาศกับทุกคนแต่วันแรก
จนถึงวันนี้ ว่าการเห็นครั้งนั้นไม่ใช่ญาณหยั่งรู้ แต่
เป็นฝันสังหรณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ให้ทำาใหม่
มะแมก็ทำาไม่ได้"
ชลิกาทำาทีหัวเราะๆแบบแกล้งงง
"เวลาลูกค้าชวนกันมาหาน้องมะแม เขา
บอกว่ามาหาหมอดู หรือว่ามาหาที่ปรึกษาปัญหา
ชีวิตคะ?"
"หมอดูค่ะ!"
"นั่นไง!" ชลิกาเผลอโพล่งดังๆอย่างได้ที
ก่อนลดเสียงลงเป็นปกติ "แล้วน้องมะแมจะ
ปฏิเสธฐานะอาชีพของตัวเองได้ยังไง พี่ว่านะคะ
ในไทยเราติดปากกับคำานี้แหละ หมอดู! ถาม
ตรงๆว่าน้องมะแมอยากสร้างหมวดหมู่อาชีพใหม่
เป็นที่ปรึกษาพลังจิต หรือนักพลังจิตอะไรทำานอง
นี้หรือเปล่า ถึงไม่ยอมรับกับทุกคนว่าเป็นหมอดู"
"เปล่าค่ะ" มะแมยังคงย้ิมละไมให้กับคำา
ถามจี้จุด "คนอ่ืนจะมองแล้วให้คำานิยามว่าเรา
เป็นอะไร ไม่มีผลกับเราในทางปฏิบัติ แต่ถ้าเรา
นิยามตัวเองผิด จะมีผลกับวิธีปฏิบัติหน้าที่ของ
เราไปเร่ือยๆ"
"วิธีปฏิบัติหน้าที่ของน้องมะแม ต่างจาก
หมอดูยังไงคะ?"
"มะแมบอกตัวเองผ่านการประกาศให้คน
ทั่วไปรับรู้ ว่ามะแมเป็นที่ปรึกษา ใจมะแมก็เล็งไป
ที่การให้คำาปรึกษา ไม่ว่าจะต้องใช้ความสามารถ
ด้านไหน งานนักจิตวิทยาในเมืองไทยเป็นของ
ใหม่ เป็นงานอิสระ เป็นแนวทางเฉพาะตัว แล้วก็
ไม่ต้องให้ยาคนไข้อยู่แล้ว รูปแบบจึงไม่เคร่งครัด
ไม่ต้องซ้ำากับใคร ถึงแม้จะต้องใช้สัมผัสพิเศษ
ก็ตาม!"
ชลิกานิ่งฟังในท่ารักษามารยาท แต่แววตา
ส่อแววจับผิดเต็มที่ อย่างไรหล่อนก็เห็นมะแมเป็น
เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงที่หาทางสร้างจุดขายแปลก
ใหม่ให้ตัวเองเท่านั้น
"ง้ันคงต้องให้น้องมะแมลำาดับความเป็นมา
ของตัวเองนะคะ เพ่ือให้คนที่ยังไม่รู้จักได้ทราบว่า
กำาลังทำาอะไรอยู่ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์เชิง
จิตวิทยา ปนนักพลังจิตเชิงทำานายทายทัก หรือ
ผสมกันเป็นแนวใหม่อย่างไรแน่"
"ตั้งแต่เด็กๆ คนชอบมาระบายความอัดอั้น
ตันใจให้มะแมฟัง เหมือนพากันบังคับให้มะแมคิด
ว่าจะช่วยพวกเขาอย่างไรดี และมะแมก็พบว่าตัว
เองจะปลื้มเหมือนประสบความสำาเร็จในชีวิต ถ้า
ช่วยเขี่ยผงในตาให้พวกเขาเห็นความจริงตรง
หน้าได้"
"แปลว่าแต่ละคนมืดบอด มองไม่เห็นความ
จริงตรงหน้ากันเลย และน้องมะแมเกิดมาก็มีหน้า
ที่ช่วยให้ทุกคนตาสว่างตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?"
คำาถามนั้นอ่อนไหว ตอบให้ฟังดียาก แต่
ตอบผิดหูคนส่วนใหญ่ง่าย หล่อนทราบว่าถ้า
เผลอพยักหน้านิดเดียว ชลิกาจะนำาคำาพูดของตัว
เองมายัดใส่ปากหล่อนทันที จึงทำาสีหน้าเรียบเฉย
และพยายามเฟ้นถ้อยคำาให้ลงตัว
"เวลาใจห่อเหี่ยวด้วยปัญหาหนัก ตาของ
ทุกคนจะถูกกดให้หรี่ลง และต้องการใครสักคน
มาช่วยพูดให้รู้สึกดี มีแก่ใจลืมตามองสิ่งที่อยู่ตรง
หน้าซ้ำาอีกหนด้วยวิธีใหม่ มะแมสั่งสมความถนัด
ในทางนั้นมา แล้วก็ตัดสินใจรับจ้างทำาหน้าที่นั้น
มะแมฝึกตัวเองมาช่วยฉุดคนล้มให้ลุกขึ้นยืน
ไม่ใช่เผลอเหยียบคนล้มแม้ด้วยสายตาดูถูก"
"โอเคค่ะ! แล้วอาชีพที่ปรึกษา ซึ่งมีหน้าที่
ทำาให้คนตาสว่าง จบคณะจิตวิทยาซึ่งเป็นสาย
วิทยาศาสตร์ ไหงเกิดฝันสังหรณ์ ทำานายเรื่อง
แผ่นดินไหวได้จนดังระเบิดอย่างนี้คะ?"
"มะแมต้องตอบซ้ำาไปจนตายค่ะว่า 'ไม่รู้'
โลกเราเกิดแผ่นดินไหวขึ้นปีละเป็นพันๆครั้ง และ
ครั้งหนึ่งในปีนั้น ก็มาเข้าฝันมะแม บีบให้มะแม
อยากป่าวร้อง เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ซึ่งนั่น
ไม่ใช่วิชาความรู้ ไม่ใช่ความสามารถทำานายทาย
ทักแต่อย่างใด"
"ขนาดพวกหมอดูระดับประเทศหรือคนที่
อวดอ้างว่ามีตาทิพย์ ยังไม่เคยบอกถูกเผงอย่างนี้
มาก่อนเลยนะคะ"
"ก็อาจมีค่ะ แต่คงรู้กันในวงแคบ ไม่ใช่เอา
มาป่าวประกาศแบบมะแม"
"เออ! นั่นสิ การเอาเรื่องใหญ่มาป่าว
ประกาศบนอินเตอร์เน็ต ก็น่าคาดหมายได้นี่คะว่า
ต้องเป็นที่รู้จักในวงกว้าง น้องมะแมเตรียมรับมือ
กับชื่อเสียงไว้อย่างไรหรือเปล่า?"
"มะแมไม่ได้อยากดัง ฝันที่ทำาให้ตกใจตื่น
ในกลางดึกของคืนนั้น ไม่ทำาให้มะแมคิดอะไร
มากไปกว่าตั้งใจเตือนคนที่อาจเชื่อ"
"กลัวพลาดไหมคะ?"
"ถ้าพลาดไป อย่างมากก็โดนเพื่อนหัวเราะ
เยาะว่าฝันเพ้อเจ้อแล้วตื่นตูมให้คนอื่นตกใจ แต่
ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ก็หมายถึงมีคนรอดตาย โดย
เฉพาะเพื่อนๆของมะแมที่เรียนอยู่แถวนั้น"
"คืนนั้นเป็นเวลาอะไรนะคะ ใกล้ตีสาม?"
"ค่ะ!" หล่อนตอบซ้ำาไปซ้ำามากับสื่อเกิน
ร้อยรอบ จึงเล่าทวนได้เหมือนสายน้ำาริน "มะแม
หลับตามปกติ แล้วก็ฝันอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ เห็น
ป้ายชื่อจังหวัด เห็นนาฬิกาบอกเวลาสิบเอ็ดโมง
เจ็ดนาที จากนั้นก็เห็นภาพโศกนาฏกรรมที่ทุกคน
รู้ๆกันอยู่แล้ว มะแมเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึก
วิชามาจากไหน ไม่รู้ว่าตัวเองฝันแม่นได้ยังไง แต่
ฝันชัดทีไร เกิดเรื่องขึ้นจริงๆทุกที โดยเฉพาะครั้ง
นั้น มันฝันชัดจนเหมือนลืมตาตื่นอยู่แท้ๆ ก็
เลย..."
"ลุกจากที่นอนมาป่าวร้องทางเน็ตกลาง
ดึก" ชลิกาช่วยพูดต่อให้เร็วๆ จะได้ตัดบทไปถาม
เรื่องอื่นที่เตรียมไว้ "ตอนแรกเห็นว่ามีคนเข้ามา
ด่าเยอะ หาว่าสติไม่ดี เป็นเด็กเลี้ยงแกะ เป็น
คนไข้ศรีธัญญาหนีมาเล่นกระทู้ ตอนนั้นน้อง
มะแมเสียใจไหม?"
"คือ... จริงๆมะแมกะจะบอกทางเฟซบุ๊คกับ
ทวิตเตอร์เท่านั้น เพราะเพื่อนที่รู้จักมะแมจะทราบ
ว่าเราไม่ใช่พวกกระต่ายตื่นตูม แล้วหลายคนก็
เคยประจักษ์ว่าฝันของมะแมแม่นยังไง เผอิญมี
เพื่อนที่ออนไลน์คนหนึ่งตกใจ แล้วก็เชื่อมะแม
มากๆ รีบยุว่าต้องตั้งเป็นกระทู้ในบอร์ดสาธารณะ
ให้กว้างๆนะ อย่ามัวกลัวถูกด่า เพราะถ้าเป็นแค่
ฝันเหลวไหลก็ถือว่าเราตั้งใจช่วยให้คนรอดจาก
หายนะ แต่ถ้าเป็นฝันที่แม่นยำา นี่ก็คือการยื่นมือ
เข้าไปช่วยชีวิตคน โดยไม่ยืนนิ่งดูดายเฉยๆ"
"สรุปคือเชื่อลูกยุของเพื่อน แล้วก่อนเที่ยง
วันต่อมามะแมเลยดัง"
มะแมยิ้มเงียบ ชลิกาจึงพูดต่อ
"เอาล่ะ ไม่ได้ตั้งใจดังก็ได้ดังแล้ว ชีวิตพลิก
ผันกันในชั่วข้ามคืนอย่างนี้ ช่วงนั้นปรับตัวทัน
ไหมคะ?"
"ไม่ค่อยทันค่ะ แม้แต่คนในศูนย์เตือนภัย
ระดับชาติก็ติดต่อมา ตอนนั้นเรากลัวมาก
พยายามบอกทุกคนว่าเราเปล่า เราไม่รู้ มันฝัน
เอง แต่คนก็ไม่ฟัง นึกว่าถ่อมตัว ต้องย้ำาอยู่นาน
กว่าจะเริ่มเชื่อ เริ่มเข้าใจ"
"ที่เริ่มเชื่อเพราะอะไร?"
"เพราะถามกี่ทีเราก็บอกว่าไม่รู้ๆ อย่างเช่น
โลกจะแตกเมื่อไหร่ น้ำาจะท่วมจริงไหม โรค
ระบาดจะคร่าชีวิตคนไปกี่สิบล้าน... มะแมฝันเห็น
เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่ความรู้สึกมันแบบ
เลื่อนลอย ไม่รู้ชัดถึงตำาแหน่งสถานที่ ไม่รู้สึกถึง
ตำาแหน่งเวลา พูดง่ายๆว่าเป็นฝันลมแล้ง ใครๆก็
ฝันได้ แล้วเดี๋ยวนี้ก็ฝันกันบ่อย ฝันกันหลายคน
เสียด้วย"
"สรุปคือมันจะเกิดขึ้นจริง แต่ไม่รู้เมื่อ
ไหร่?"
มะแมแอบขำาอยู่ในใจ ชลิกาเหมือนต่อต้าน
เรื่องญาณหยั่งรู้ล่วงหน้า แต่ขณะเดียวกันก็อยาก
รู้อยากเห็นไม่ต่างจากคนทั้งหลายนั่นเอง
"อนาคตของโลกเป็นเรื่องใหญ่เกินขอบเขต
รับรู้ของมะแมจริงๆค่ะพี่ปุ๋ย มะแมตั้งกฎเหล็กให้
ตัวเองข้อหนึ่ง ถ้าไม่แน่ใจแม้แต่นิดเดียวจงอย่า
พูด เพราะยิ่งพูดในสิ่งที่รู้คลุมเครือมากขึ้นเท่า
ไหร่ สัมผัสโดยทั่วไปของเราจะยิ่งมัวมนลง
เท่านั้น"
"แล้วเรื่องอะไรบ้างคะที่อยู่ในขอบเขตรับรู้
หรือสัมผัสพิเศษของน้องมะแม"
"ก็เรื่องปัญหาส่วนบุคคล หรือครอบครัว
แบบที่มานั่งตรงหน้าให้จับต้องได้น่ะค่ะ"
"เรียนรู้วิธีใช้สัมผัสพิเศษมาจากไหน?"
"ตอนเรียนจิตวิทยามะแมทำาวิจัยและ
ออกแบบสอบถามมาเยอะ จึงเข้าใจลึกซึ้งว่าทุก
คนมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ แต่การเข้า
ให้ถึงปัญหาของแต่ละคน บางทีใช้การพูดคุย
ธรรมดาไม่ได้ เพราะคนเรามีกลไกปกป้องตัวเอง
แค่ไม่ให้ความร่วมมือกับเรา ข้อมูลจากปากเขา
ทั้งหมดก็เป็นหมัน มะแมจึง..."
"เรียนรู้เรื่องสัมผัสพิเศษ"
นักสัมภาษณ์ชอบพูดตัดหน้า แต่มะแมก็ไม่
ถือสา ใบหน้าของชลิกาดูมีอายุแล้ว แต่ความ
ใจร้อนไม่ช่วยให้ดูเป็นผู้อาวุโสเอาเลย
"ค่ะ... มะแมศึกษาจากตำารา ค้นคว้า
เปรียบเทียบจากอินเตอร์เน็ต รวมทั้งเดินทางไป
พบอาจารย์ที่เชื่อกันว่ามีความสามารถทาง
พลังจิตจริงหลายท่าน เราเองมีทุนอยู่ก่อน พอ
ร่ำาเรียนจริงจังเลยเกิดสัมผัสไม่ยากนัก"
"ตอนนี้เหมือนเสือติดปีก ทั้งรู้หลักวิเคราะห์
แก้ปัญหาชีวิต แล้วก็มีสัมผัสพิเศษด้วย พอเอามา
รวมกัน ช่วยให้น้องมะแมทำางานจริงยังไง?"
"มะแมใช้ 'ใจ' สัมผัสมากกว่าตาดูและหูฟัง
คือสัมผัสด้วยใจว่าใครมีเรื่องอะไรเป็นปัญหา
ใหญ่กันแน่ หลายครั้งเจ้าของปัญหาไม่รู้ชัดด้วย
ซ้ำาว่าปมปัญหาอยู่ตรงไหน ทำานองเดียวกับผง
เข้าตา เขี่ยเองไม่ออก หาเองไม่เจอ"
"แล้วตอนไขปัญหาให้ น้องมะแมใช้สมอง
หรือจิตสัมผัสคะ?"
"ทั้งสองอย่างค่ะ แต่มะแมฝึกให้ตัวเองหา
ทางลัดด้วยจิตสัมผัสนำา คือ เมื่อสัมผัสถึงปัญหา
เห็นด้วยใจว่าตัวปัญหาเหมือนนิมิตความมืด
มะแมจะลองนึกถึงความสว่าง ถ้านึกออกแปลว่า
ปัญหานั้นแก้ได้ด้วยพฤติกรรมด้านสว่างบาง
อย่าง หักลบหักล้างกับพฤติกรรมด้านมืดของเขา
ได้"
ชลิกาหัวเราะหึหึ
"สนุกดีนะคะ นอกจากโลกนี้มีสมการ
คณิตศาสตร์ เอาค่าเอ็กซ์ค่าวายมาลบกันให้ได้
ศูนย์ ยังมีสมการนิมิต เอานิมิตสว่างมาหักล้าง
นิมิตมืดได้ด้วย"
"ไม่สนุกเสมอไปหรอกค่ะ บางทีก็ต้องใช้วิธี
คิดวิเคราะห์เอาตามธรรมดาเหมือนกัน"
"แล้วทราบอย่างไรคะว่าแนะไปแล้วจะได้
ผล?"
"มะแมจะ 'ทำานาย' ให้ลูกค้านึกออกด้วย
สามัญสำานึก ว่าถ้าทำาอย่างที่เขาเคยชินต่อไป
อะไรจะเกิดขึ้น แล้วถ้าทำาอย่างที่มะแมแนะ จะได้
ผลต่างกันอย่างไร"
"พูดก็พูดเถอะ พี่อยากเขียนถึงความ
สามารถของน้องมะแมจากประสบการณ์ตรง
มากกว่าจะเขียนจากเรื่องที่รับฟังจากน้องมะแม
อย่างเดียว ลองสาธิตด้วยการดูพี่ให้หน่อยได้
ไหม?"
ชลิกาเริ่มรุก มะแมยิ้มมุมปากเพราะรู้สึกได้
ถึงเจตนาลองของมากกว่าจะอยาก "ดูหมอฟรี"
"ได้ค่ะ!"
"แล้วพี่ต้องทำายังไงบ้าง? ได้ข่าวว่าน้อง
มะแมไม่มีรูปแบบในการดูที่แน่นอน"
"ค่ะ! แต่ละคนเป็นต้นแหล่งสัญญาณข้อมูล
ที่ส่งมาถึงเครื่องรับทางใจของมะแมต่างกัน
มะแมเรียนรู้ที่จะไม่ผูกมัดอยู่กับวิธีใดวิธีหนึ่ง
ตายตัว พอคุยๆกันสักพัก มะแมจะทราบเองว่า
ควรเข้าถึงคนที่นั่งตรงหน้าอย่างไร"
"แปลว่าตอนนี้น้องมะแมก็ต้อง 'รับ
สัญญาณ' จากพี่ปุ๋ยมาพอจะให้คำาปรึกษาได้ทันที
แล้ว?"
"ค่ะ!"
"งั้นพี่ไม่ถามอะไรน้องมะแมเลยจะได้ไหม?
เหวี่ยงไปกว้างๆนี่แหละว่าจะมีคำาแนะนำาให้ชีวิตพี่
ดีขึ้นได้ยังไง"
"ก็พอไหวนะคะ" ในท่านั่งหลังตรง มะแม
พิศคนอยากลองของด้วยสายตาตรงครู่หนึ่ง ก่อน
ตัดสินใจเลือกวิธี "เอาอย่างนี้ สำาหรับพี่ปุ๋ย
มะแมขอรูปคนรู้จักของพี่ปุ๋ย ๓ คน แล้วมะแมจะ
บอกว่าพี่ปุ๋ยคิดอย่างไรกับ ๓ คนนั้น แล้ว ๓ คน
นั้นคิดอย่างไรกับพี่ปุ๋ย ดีไหม?"
บางสิ่งบางอย่างในน้ำาเสียงของหญิงสาว
ต่างไป ชลิกาสำาเหนียกถึงพลังในตัวอีกฝ่ายที่เข้ม
ขึ้นแบบปุบปับ เหมือนอากาศรอบตัวของมะแม
เปลี่ยนแปลงฉับพลัน ราวกับที่ผ่านมาอยู่ในโหมด
คุยเล่น แต่ขณะนี้เริ่มเข้าโหมดเอาจริง แม้กระทั่ง
ช่างกล้องก็คงรู้สึกอยากเก็บอิริยาบถใหม่แปลก
ตาออกไป เพราะเห็นเปิดฝา กดปุ่มเปิดอีกครั้ง
หลังจากปิดวางกล้องและนั่งพักมาเดี๋ยวเดียว
"ตายจริง! พี่ไม่มีรูปใครติดตัวมาเลย"
ชลิกาทำาเสียงสูงและหางเสียงแปร่ง ยิ่ง
ทำาให้มะแมยิ้มกว้างขึ้น
"ในมือถือของพี่ปุ๋ยไม่มีเหรอคะ?"
ม่านตาของชลิกาขยายด้วยอาการครึ่ง
อยากรู้ ครึ่งอยากลา แต่ไหนๆก็ไหนๆ มาถึงขั้นนี้
แล้วควรลองเสียหน่อย ถ้ามีอะไรน่าตะครั่นตะค
รอเกินฝืน ก็ค่อยขอยุติกลางคันคงไม่สาย
"อ้อ! เออ... จริงด้วย" ชลิกาควักเอามือถือ
จากกระเป๋าสะพายออกมากดๆก่อนส่งให้มะแม
"ดูคนนี้ซิคะ เอ้อ! เต่าจ๊ะ พี่ขอเป็นการคุยส่วนตัว
สักสิบนาทีได้ไหม ช่วยออกไปรอข้างนอกหน่อย
คุยเสร็จจะเรียกมาถ่ายต่อ"
"ครับพี่ปุ๋ย"
ตากล้องหนุ่มรับคำา ยกขาตั้งพร้อมกล้องไป
วางหลบที่มุมหนึ่งก่อนเดินดุ่มออกจากห้องไป
ง่ายๆ
มะแมก็รับโทรศัพท์มือถือจากชลิกามา ก้ม
หน้าลงทอดตามองนิ่ง รูปนั้นมีชลิกายืนคู่กับผู้
หญิงวัยใกล้เกษียณคนหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม ขณะ
ที่ชลิกายิ้มแป้น
"น้องมะแมว่าเจ้านายพี่ปุ๋ยเป็นยังไงมั่ง
คะ?"
มะแมกะพริบตาทีหนึ่ง ช้อนมองคนถาม
ด้วยแววรู้ทัน
"ความรู้สึกแรกของมะแมคือพี่ปุ๋ยมีใจ
จดจ่อรอคำาตอบจากผู้หญิงคนนี้อย่าง
กระวนกระวาย ความจดจ่อชนิดนี้จาก
ประสบการณ์ทางสัมผัสของมะแม มันคือการ
คอยคำาตอบเข้าทำางานด้วย ฉะนั้น ถ้าจะเรียกให้
ถูก ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็น 'ว่าที่เจ้านาย' มากกว่า
'เจ้านาย' นะคะ"
ชลิกาทำาหน้าตื่น ชูคอเหมือนลูกเป็ดขี้ตกใจ
ก่อนร้องเสียงสูง
"หือ? รู้ด้วย!"
"ถ้าไม่รู้จะกล้านั่งอยู่ตรงนี้หรือคะ... อยาก
ให้บอกไหมคะว่าเธอคิดรับพี่ปุ๋ยเข้าทำางานหรือ
เปล่า?"
"อยากสิคะ!"
"ถ้ามะแมต้องพูดตรงไปตรงมา พี่ปุ๋ยห้าม
โกรธตกลงไหม?"
ชลิกาอึกอักเล็กน้อย
"ใครจะไปโกรธน้องมะแมได้ลงคอคะ"
"เธอชื่ออะไร?"
"กิ่งกาญจน์"
"อารมณ์ในรูปนี้ คุณกิ่งกาญจน์ไว้ตัว ไม่
เต็มใจ และรู้สึกแข็งๆกับพี่ปุ๋ย แล้วความรู้สึก
แบบนั้นก็ยังไม่หายไปในวินาทีนี้ด้วย เพราะ
ฉะนั้น..."
มะแมทอดเสียงแบบจงใจให้รู้คำาตอบที่ควร
จะตามมาเอาเอง
"เอ๊ะ! แต่คุณกิ่งกาญจน์คุยกับพี่ดีมากเลย
นะคะ แล้วก็ท่าทางพอใจพี่ด้วย ตอน... เอ่อ..."
"ตอนพี่ปุ๋ยเลียบเคียงเสนอตัวขอทำางาน"
ที่ปรึกษาพลังจิตต่อคำาให้ และนั่นก็ชักมีผล
ให้ชลิกากระอักกระอ่วน
"พี่แค่พูดแบบเด็กที่พร้อมจะรับใช้ผู้ใหญ่
ท่านมีอะไรให้รับใช้พี่ยินดีเสมอ"
"มะแมเดาว่าพี่ปุ๋ยพูดยินดีรับใช้แบบระบุ
สรรพคุณของตัวเองเกินหนึ่งนาทีแน่ๆเลย"
"ก็..." ชลิกาพูดค้าง แล้วตัดสินใจระงับ
ความกระสับกระส่ายด้วยการเปลี่ยนเรื่อง "เอา
รูปต่อไปดีไหมคะ?"
"ได้ค่ะ"
นักสัมภาษณ์ยื่นมือไปรับโทรศัพท์อย่าง
พยายามควบคุมไม่ให้สั่น หล่อนกดเลือกอยู่พัก
หนึ่งก็กลั้นใจยื่นส่งคืนที่ปรึกษาพลังจิต
"คนนี้ล่ะ?"
มะแมวางสีหน้าเรียบเฉยขณะเหลือบลง
มองรูปใหม่ ซึ่งเป็นหนุ่มวัยสามสิบเศษ น่าจะอ่อน
กว่าชลิกาประมาณสิบปี กระแสชีวิตของเขาที่
หล่อนสัมผัสได้คือความอับจน กลุ้มใจ รู้สึกแย่
แม้กระทั่งจะยิ้มสดใสให้ชลิกาถ่ายรูปยังดูเค้น
ออกมาจากความฝืน
"พี่ปุ๋ยเอ็นดูเขามากนะคะ น่าจะเป็นรุ่นน้อง
ที่ออฟฟิศ"
"เอ่อ..." สุ้มเสียงของชลิกาเคอะเขิน
ประดักประเดิด "เขาเป็นคนดี ใครๆก็ต้องเอ็นดู
เป็นธรรมดา"
"จากรูป มะแมรู้สึกถึงความเก็บกดฝืนใจ
และจากสัมผัสความอัดอั้นตันใจชนิดนั้น มะแม
เดาว่าเขายืมเงินพี่ปุ๋ยไปรอบหนึ่งแล้ว และกำาลัง
ชั่งใจว่าจะมีรอบใหม่ดีไหม"
ชลิกาสะดุ้งเหมือนถูกจิ้มสะดือ ชาเห่อไปทั้ง
ใบหน้า
"พี่เป็นคนยื่นข้อเสนอให้เขาเอง เขาไม่เคย
เอ่ยปากยืมแม้แต่คำาเดียว"
"แต่พี่ปุ๋ยก็เป็นคนที่เขาเจาะจงระบายให้ฟัง
เกี่ยวกับปัญหาทางการเงินใช่ไหมล่ะ?"
ชลิกาเริ่มสร้างกำาแพงปกป้อง "น้องชาย"
ของหล่อนด้วยวิธีสั่นหน้า
"คืองี้นะน้องมะแม นายติ๊บเนี่ยเป็นคน
ร่าเริง คุยสนุก ชอบเย้าแหย่คนโน้นคนนี้ แต่จู่ๆก็
ทำาหน้าเศร้า มันเป็นหน้าที่ของพี่ที่ต้องไถ่ถาม
สารทุกข์สุขดิบ เขาก็ไม่ได้โอดครวญขอความ
เห็นใจอะไรเท่าไหร่เลย มันเป็นข้อเสนอของพี่
เอง"
น้ำาเสียงเรียก "นายติ๊บ" ที่ออกจากปาก
ของชลิกานั้น เปี่ยมไปด้วยสัมผัสใกล้ชิดแนบ
แน่น ขนาดกระตุ้นให้เกิดมโนภาพผุดสว่างขึ้นใน
ใจมะแม เห็นสามฉากไล่ตามกันมา ฉากแรกคือ
การนั่งปรับทุกข์ในร้านอาหาร ฉากที่สองคือการ
ก้มหน้าร้องไห้ที่ท่าน้ำาของบ้านฝ่ายชายโดยมีฝ่าย
หญิงโอบปลอบ ส่วนฉากที่สามแวบเข้ามานิด
เดียวมะแมก็เซ็นเซอร์ทิ้งทันที
"อยากรู้ใช่ไหมคะ ว่าพี่ปุ๋ยกับเขาจะลงเอย
กันยังไง?"
มะแมถามเข้าจุดแบบไม่อยากเสียเวลา
อ้อมค้อม ชลิกากลืนน้ำาลายเอื๊อก ก่อนพยักหน้า
ติดกันสองทีโดยไม่มีเสียงขัดขืนเลยสักแอะ
"บ้านของเขาน่าจะอยู่ริมเจ้าพระยา พี่ปุ๋ย
ชอบบรรยากาศที่นั่น มันดูเหมือนหลุมหลบภัย
เป็นส่วนตัว แล้วก็ทำาให้พี่ปุ๋ยลืมโลกภายนอกกับ
ชีวิตที่เหลือได้ทั้งหมด พี่ปุ๋ยใจกว้างนะคะ ไม่คิด
ผูกมัดเขา ขอแค่ได้ไปอยู่ในความฝันชั่วคราว ถึง
แม้ว่าวันหนึ่งเขาจะเอ่ยปากทิ้งพี่ พี่ก็เตรียมใจจะ
ไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว"
ชลิกานิ่งซึม หยาดน้ำาหยดหนึ่งเตรียมจะ
ไหลลงจากหางตา แต่เมื่อรู้สึกตัวก็เม้มปากสะกด
กลั้นและกะพริบตาถี่ๆ
"ใช่!" หญิงวัยใกล้แล้งน้ำาหล่อเลี้ยงความ
สาวยอมรับ "เขาทำาให้พี่รู้ว่าความสุขที่จะอยู่
ติดใจเราไปจนตายเป็นอย่างไร พี่ไม่จำาเป็นต้อง
เรียกร้องสิ่งอื่นอีก"
"พี่ปุ๋ยคะ สิ่งที่คนเราจะรู้ได้คือใจตัวเองใน
วันนี้ ไม่ใช่ใจตัวเองในวันหน้าหรอกนะ"
"น้องมะแมหมายความว่า?"
"ยิ่งช่วย ยิ่งผูกพัน ยิ่งใกล้ชิด ความรู้สึก
เป็นเจ้าข้าวเจ้าของจะค่อยๆก่อตัวหนักแน่นขึ้น
ภายในเร็ววันพี่จะหวงเขายิ่งกว่าจงอางหวงไข่
และจะบาดใจเกินทน เพียงแค่เห็นเขาคุยกับผู้
หญิงที่สาวกว่าพี่ปุ๋ย พี่ปุ๋ยจะลืมความตั้งใจไม่
โกรธเขาไปอย่างสนิท ถึงวันนั้นความดูดดื่มใน
บรรยากาศแสนดีทั้งหลายจะหายไป เหลือแต่
ความขมขื่นของการเป็นศัตรูกันท่าเดียว"
"แล้วจะให้พี่ทำายังไง?"
"ถามตัวเองเดี๋ยวนี้ว่าอยากให้สิ่งที่เกิด
เพียงครั้งสองครั้ง คงอยู่ในความทรงจำาว่าเป็น
ฝันดีตลอดไป หรือจะให้มันค่อยๆเผยตัวว่าเป็น
ความจริงที่โหดร้ายขึ้นทุกที?"
ยังฟังไม่ทันจบ ชลิกาก็ยกฝ่ามือขึ้นซบหน้า
สะอึกสะอื้นอย่างหมดอาย บางสิ่งเกิดขึ้นครั้ง
เดียวคือฝันดี แต่เกิดขึ้นหลายครั้งคือฝันร้าย
หล่อนรู้ เพราะอยู่มาจนป่านนี้ผ่านร้อนผ่านหนาว
มามาก ทำาไมจะไม่เข้าใจ
"ตอนนี้เหตุผลยังอยู่เหนืออารมณ์ พี่ปุ๋ยก็รู้
ได้ชัดๆว่าเขาไม่ใช่คู่ อย่างไรก็ไปไม่รอด แต่เมื่อ
ไหร่ผูกพันจนอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล พี่ปุ๋ยจะ
อยากเชื่อว่าเขาคือคนสุดท้าย ทึกทักว่าเขาจะรัก
จะภักดี และจะอยู่กับพี่ตลอดไป เดาถูกไหมว่าถ้า
พี่ทึกทักอย่างนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?"
พลังในน้ำาเสียงที่ทั้งสว่าง ทั้งนุ่มเย็นของ
มะแม ก่อให้เกิดความเข้าใจแก่คนสดับฟังอย่าง
ประหลาด ชลิกาหยุดร้องไห้และเงยหน้าเหมือน
ตื่นจากฝัน
"พี่คงเป็นอีแก่ ไม่ใช่แม่พระเหมือนวันนี้ใช่
ไหม?"
"คำาแนะนำาของมะแมคืออย่าไปหาเขา
อย่างนั้นอีก อย่าสร้างความเคยชินให้เขาเห็นพี่
เป็นตู้เอทีเอ็ม เพราะจะพอกความด้านชาให้เขา
หมดความละอาย คนดีเปลี่ยนเป็นคนร้ายได้ก็
เพราะความด้านชานี่แหละ ถ้าอยากเห็นเขาเป็น
คนดี เป็นลูกผู้ชาย ก็ให้เขากัดฟันสู้ด้วยตัวเอง
อย่าเผลอเอาน้ำาใจเราไปละลายความดีของเขา
แบบที่รู้ตัวอีกที ก็เห็นเขากลายเป็นพวกเกาะผู้
หญิงกิน และที่แย่กว่านั้น คือลงจากหลังเราไม่ได้
แล้ว!"
หัวอกชลิกาว่างโล่งอย่างน่าอัศจรรย์ ถึงขั้น
ต้องกะพริบตาถี่ๆด้วยความงงตัวเอง
"ขอบคุณน้องมะแมมากนะคะ" สุ้มเสียง
เปลี่ยนไปเป็นคนละคน "เดี๋ยวพี่เรียกเต่ามาถ่าย
รูปน้องมะแมต่อดีกว่า ขอบคุณจริงๆสำาหรับคำา
แนะนำา"
"เดี๋ยวก่อนค่ะ" ยกมือห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่าย
ทำาท่าจะลุกดังพูด "ขออีกรูปหนึ่งให้ครบสาม
เถอะ"
ชลิกาย่นคิ้ว เพราะความรู้สึกคือจุกมาถึง
คอหอยแล้ว เหนื่อยเกินพอแล้วกับการได้เห็น
ความน่าจะเป็น น่าจะไปแห่งชีวิตตน
"ไม่เป็นการรบกวนน้องมะแมมากเกินไป
หรือคะ?"
"มะแมรู้สึกว่ารูปสุดท้ายสำาคัญที่สุด มัน
อาจเปลี่ยนชีวิตพี่ปุ๋ยได้"
ได้ยินคำาตอบเช่นนั้น คอลัมนิสต์หญิงถึงกับ
อึ้ง พอสบตากันและเห็นรอยยิ้มปรานีของมะแม
แทนที่จะรู้สึกดี กลับอยากลองดีขึ้นมาอีกรอบ
"ค่ะ!" แล้วหล่อนก็คว้าโทรศัพท์ที่มะแมวาง
ไว้บนโต๊ะมาเลือกรูปครู่หนึ่งก่อนส่งคืน "นี่ค่ะ"
มะแมชำาเลืองมองแล้วอมยิ้มขำา มันคือรูป
แมวจ๋องๆตัวหนึ่ง ไม่สวย ดูไม่มีราคา แล้วก็ไม่
น่าจะมีความหมายต่อชีวิตของชลิกาเอาเลย
แมวกระจอกตัวหนึ่งจะมาเปลี่ยนชีวิตของผู้
หญิงวัยสี่สิบได้อย่างไรเล่า?
"อือม์..." มะแมครางทั้งยิ้มอยู่ในหน้า "แก่
แล้วนะคะเจ้าเหมียวนี่ ตอนถ่ายรูปพี่ปุ๋ยอยู่ใน
อารมณ์ผูกพันแบบหนึ่ง ประมาณเห็นมันแล้วอยู่ๆ
ก็นึกขึ้นมาว่าถ่ายเสียหน่อย พอมันตายไปจะได้
เอาไว้ดูเล่น ไหนๆก็เคยป้วนเปี้ยนขอข้าวพี่กินมา
นาน"
ชลิกาขมวดคิ้วเพ่งมองสาวสวยตรงหน้า
อย่างสุดทึ่ง ความจริงตอนเลือกรูปแมว หล่อนว่า
หล่อนไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย แต่พอฟังมะแมพูด
นิดเดียว ก็นึกได้ว่าตนมีความผูกพันกับมันมิใช่
น้อย จึงยอมรับ
"พี่รู้สึกอย่างนั้นตอนถ่ายรูปมันจริงๆค่ะ
แต่ละรูปนี่บอกอารมณ์คนถ่ายได้ด้วยหรือคะ
น้องมะแมรู้ได้ยังไง?"
"กรณีนี้ มะแมแค่สมมุติว่าตัวเองเป็นพี่ปุ๋ย
ขณะถ่ายรูปในวาระนั้น พี่ปุ๋ยรู้สึกอย่างไร มะแมก็
รู้สึกตามด้วยค่ะ"
"น่าทึ่งจริงๆ แล้วเอ่อ... ว่าแต่ว่าแมวตัวนี้มี
ความสำาคัญกับพี่ยังไงหรือคะ?"
"มันมาๆไปๆ ขออาหารบ้าง ขอพักใต้
ชายคาบ้านพี่ปุ๋ยบ้าง เอาแน่เอานอนไม่ได้ใช่ไหม
คะ?"
"ค่ะ"
"วันไหนถ้าพี่ปุ๋ยเหลือเศษอาหารอร่อยๆที่
มันชอบ พี่ปุ๋ยก็จะนึกถึงมัน และบางวันตอนอยู่ใน
ห้าง พี่ปุ๋ยก็นึกอยากซื้อขนมแมวมาเผื่อแผ่มัน แต่
ไม่มีอะไรผูกมัดจริงจัง เพราะเห็นว่ามันก็ตระเวน
ขอส่วนแบ่งจากหลายบ้าน หรือคุ้ยของจากข้าง
ทางอยู่แล้ว ใช่ไหม?"
ชลิกาอึ้ง คราวนี้ไม่ใช่ทึ่งในความสามารถ
ของมะแม แต่ประหลาดใจใน "เรื่องเล็กๆน้อยๆ"
ที่เกิดขึ้นกับตัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่ากลับไม่เคย
รู้สึกตัว ไม่เคยเห็นภาพความผูกพันระหว่างตน
กับแมวเหมือนเช่นที่มะแมบรรยายเลย
"ใช่ค่ะน้องมะแม พี่รู้สึกเหมือนต่างคนต่าง
อยู่กับมัน ถ้ามันถูกรถทับตาย พี่ก็อาจเอาศพของ
มันทิ้งขยะโดยไม่อาลัยไยดีนัก นอกจากนานๆที
จะคิดซื้อขนมให้มันบ้าง ก็ไม่เคยมีมันอยู่ในใจเลย
ด้วยซ้ำา แค่นี้ถือว่ามีความสำาคัญกับพี่ปุ๋ยแล้วหรือ
คะ?"
"มีค่ะ! มีมากด้วย มันอาจไม่สำาคัญต่อใจพี่
ปุ๋ย แต่มีความหมายกับชีวิตของพี่อย่างคาดไม่
ถึงทีเดียว!"
ชลิกาโน้มตัวมาข้างหน้านิดหนึ่ง บอก
ตนเองว่าไม่เคยมีใครจับความสนใจของหล่อนไป
เต็มๆได้เท่านี้มานานแล้ว
"น้องมะแมหมายความว่าพี่กับแมวเคยเป็น
ญาติกันมาแต่ชาติปางก่อนหรือเปล่า?"
"เปล่า..." มะแมตอบกลั้วหัวเราะ "คือจะ
เป็นญาติกันแต่ปางไหน มะแมไม่เห็น แล้วก็ไม่
คิดว่าเป็นเรื่องสำาคัญ เพราะผ่านไปแล้ว และจะ
ไม่กลับมาให้ใช้ประโยชน์ได้อีก เรื่องสำาคัญคือสิ่ง
ที่พี่ปุ๋ยทำากับมันอยู่เดี๋ยวนี้ต่างหาก เพราะสิ่งที่พี่
ปุ๋ยกำาลังทำากับมันนั่นแหละ คือตัวบอกว่าพี่ปุ๋ย
เป็นอะไรกับมัน และได้อะไรจากมันบ้าง"
"พี่ได้อะไรจากมัน? พี่ว่ามีแต่มันจะได้อะไร
จากพี่"
"ลองตอบมะแมเป็นข้อๆนะคะ พี่ปุ๋ยตั้งชื่อ
เรียกให้มันบ้างหรือเปล่า?"
"พี่เรียกมันว่าไอ้กุด เพราะนิ้วเท้าหลังมัน
กุดไปนิ้วหนึ่ง"
"เวลาเรียกแล้วมันขาน หรือแสดงการ
ยอมรับว่าเป็นชื่อมันบ้างหรือเปล่า?"
"มันจะร้องเมี้ยว หรือเดินเข้ามาหาพี่ หรือ
อย่างน้อยที่สุดก็มองมาทางพี่"
"นั่นคือการยอมรับชื่อนั้น พี่เป็นเจ้านาย
หรือเจ้าของชีวิตมัน ด้วยความเต็มใจของมัน
จากการให้ข้าวให้น้ำา และจากการตั้งชื่อเรียก"
ชลิกาพยักหน้าและนึกออกตามทันที
"เป็นสิ่งที่พี่นึกไม่ถึงค่ะ และพี่คิดว่าละแวก
บ้านคงไม่มีใครเหลียวแลมันจนตั้งชื่อให้เหมือนพี่
อีกหรอก"
"แล้วพี่ปุ๋ยเคยคิดหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำากัด
อิสรภาพของมันไหม?"
"ไม่เคยเลย"
"นั่นแหละคือความผูกพันที่ดีที่สุด พบกัน มี
สัมพันธ์ในทางดี แล้วก็ไม่จำากัดอิสรภาพกันและ
กัน ผลที่เก็บไว้ในใจ จึงมีแต่ความรู้สึกดีๆ แล้ว
ความรู้สึกดีๆน่ะ หายากหรือหาง่าย?"
"ยาก!"
"ตอนพี่ปุ๋ยซื้อของกินให้ตัวเอง แล้วนึก
อยากซื้อของกินไปเผื่อแผ่ให้ไอ้กุด พี่ปุ๋ยเคยนึก
อยากได้อะไรตอบแทนจากมันไหม?"
"ไม่เคยค่ะ มันจะมาตอบแทนอะไรพี่ได้ พี่มี
แต่จะให้"
"ตอนเทอาหารใส่จาน เห็นมันกิน พี่ปุ๋ย
เป็นสุขหรือเป็นทุกข์"
"ก็... สบายใจ รู้สึกดี เรียกว่ามีความสุขใช่
ไหม?"
ชลิกาตอบแล้วกะพริบตาถี่ๆ นี่เป็นแง่มุม
ชีวิตที่เกิดขึ้น แต่เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลยใน
ความรู้สึกหรือรับรู้...
ความรู้สึกดีๆเป็นของ 'หายาก' แต่ 'สร้าง
ง่าย' ขอให้รู้วิธีเถอะ!
"ค่ะ! คราวนี้สำาคัญ พี่ปุ๋ยเคย 'ได้' ความ
รู้สึกดีๆจากการ 'ให้เปล่า' กับมนุษย์ด้วยกัน บ้าง
ไหม?"
ชลิกาสะอึกอั้น ถ้าจะให้อะไรใคร เป็นต้อง
กลัวโดนหาว่าโง่เสมอ หรือไม่ก็คำานวณตลอดว่า
จะได้อะไรคืนเป็นการตอบแทน
"ก็จริงนะ ขนาดให้แม่ บางทีพี่ยังอดคิดไม่
ได้ว่าให้มากไปหรือเปล่า แม่ขอมากไปหรือ
เปล่า"
อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชลิกาค่อยๆ
นึกออกว่าชีวิตคือทะเลทราย และไอ้กุดคือบ่อน้ำา
เล็กๆที่หล่อนได้อาศัยจุ่มมือจุ่มเท้าลงไปรับความ
ชุ่มชื่นบ้าง เหลือเชื่อที่ความชุ่มชื่นนั้นโดนดูถูกว่า
"ไม่มีค่า"
"ตอนมันมาคลอเคลียพี่ปุ๋ย มะแมเดาว่า
แรกๆพี่ปุ๋ยรังเกียจเพราะมันดูสกปรก ไม่ใช่แมวมี
สกุลรุนชาติ ถูกไหม?"
"ค่ะ!"
"แต่พอหลายครั้ง พอคุ้นๆกัน พี่ปุ๋ยค่อย
รู้สึกถึงสัมผัสที่อ่อนโยน รู้สึกถึงความอยากออด
อ้อนพี่ปุ๋ยด้วยความรัก และพี่ปุ๋ยก็ไม่นึกรังเกียจ
มันอีกต่อไป ใช่ไหมคะ?"
"ค่ะ!"
"การให้เปล่าคือการได้เปล่า มันช่วยให้เรา
รักเป็น ยิ่งรักเป็นมากขึ้นเท่าไร ชีวิตจะยิ่งสว่าง
จากภายในมากขึ้นเท่านั้น ปัญหาใหญ่ของพี่ปุ๋ย
ทุกวันนี้คือขี้เหงา คาดหวังจากคน แล้วก็ร้อนรน
จากความไม่ได้อย่างใจ ลองคิดดูว่าถ้าเปลี่ยน
ใหม่ พี่ปุ๋ยคาดหวังความสุขทางใจหลังให้ทาน
โดยไม่มีเงื่อนไข ชีวิตจะแตกต่างไปหรือเหมือน
เดิม?"
บทที่ ๒
มะแมตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่ง ลุกขึ้นมาเล่น
โยคะ กับวิ่งสายพานบริหารร่างกาย แล้วบริหาร
ดวงจิตด้วยการลงนั่งปิดเปลือกตาเข้าสมาธิกสิณ
สร้างภาพวงกลมสีขาวขึ้นตรงหน้า และรักษาการ
เห็นภาพทางใจไว้ให้นานจนเส้นรอบวงมีความ
เสถียร ขอบคม กลมดิกไม่บูดเบี้ยว
จริงๆมะแมไม่ถึงขั้นเป็นนักเลงสมาธิ คือ
กำาลังสมาธิไม่กล้าแข็งนัก เพราะเดิมเป็นพวก
หวั่นไหวง่าย คิดมาก อยากนู่นอยากนี่ แต่หล่อน
ก็ฝึกหัดวันต่อวัน ลดข้อเสียต่างๆที่จะเป็น
อุปสรรคกับสมาธิ ผลจึงเป็นความคืบหน้าไปตาม
ลำาดับ
การฝึกให้เกิดความพร้อมทั้งกายและใจ
ตั้งแต่เช้ามืดนี้ มีส่วนช่วยในการ "อ่านชีวิต"
ของลูกค้าเป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่าระหว่างวัน
หล่อนจะอ่านขาดหรือไม่ขาด ก็ขึ้นอยู่กับวินัยใน
การบริหารจิตบริหารกายช่วงเช้านี่แหละ
หลังออกจากสมาธิ มะแมจะลงมาทำา
กับข้าวร่วมกับเด็กลูกจ้างชื่อหยิม ระหว่างนั้น
หล่อนมักพูดคุยกับหยิมทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง
ที่หยิมอยากรู้ อยากถาม อยากทำาความเข้าใจ
และยิ่งหยิมเข้าใจชีวิตมากขึ้นเท่าไร มะแมก็ยิ่งได้
คนสนิทที่รู้ใจหล่อนมากขึ้นเท่านั้น
หยิมเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้มะแมรู้จักตัว
เองดีขึ้น หล่อนเป็นคนประเภทที่ภูมิใจกับการยก
ระดับมนุษย์ ถ้าหยิมขึ้นมาใกล้กับหล่อนได้
หล่อนถือเป็นผลงาน ไม่ใช่ความผิดพลาด เช่น
ให้หยิมเรียกตนว่า "พี"่ แทน "คุณผู้หญิง" กิน
ข้าวเช้าโต๊ะเดียวกันตั้งแต่วันแรกที่รับเข้าทำางาน
และที่โต๊ะทานข้าวหล่อนมักอ่านข่าวจาก
หนังสือพิมพ์เจ้าประจำาสามฉบับ โดยแบ่งให้หยิม
อ่านอย่างไม่เกี่ยงว่าจะต้องรอหล่อนอ่านเสร็จ
ก่อน
ช่วงเช้าวันนั้นมะแมรับลูกค้าจนถึงเที่ยง
โดยปราศจากจังหวะเว้นวรรค พอพักเที่ยงก็
เตรียมรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งปกติหยิมจะ
ไปซื้อจากปากซอย และยกมาให้ถึงบนห้อง
"จดหมายค่ะพี่"
หยิมยื่นให้กับมือ มะแมรับมามองแล้วเลิก
คิ้วนิดหนึ่ง งานของหล่อนไม่ต้องข้องเกี่ยวกับ
จดหมายโฆษณาหรือการเชิญชวนใดๆนัก ถ้ามี
มาก็มักเป็นจดหมายจากคนรู้จักจริงๆ แบบนานที
ปีหน เพราะโดยมากการสื่อสารกับคนรู้จักจะผ่าน
โทรศัพท์มือถือแทบทั้งสิ้น
ซองสีขาวจ่าหน้าชื่อที่อยู่ของหล่อนด้วย
ลายมืออ่อนช้อยแบบผู้หญิง มะแมฉีกขอบซอง
และคีบกระดาษข้างในออกมา จดหมายไม่มีการ
ขึ้นต้น ไม่มีการลงท้าย มีแค่เนื้อความเป็นลายมือ
หวัดแกมบรรจง

เก้าสิบเก้ารายที่ตัดใจจากคนรักได้ อาจมี
ชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นในโลกนี้ แต่อีกหนึ่งรายที่สิ้นหวัง
จากคนรัก อาจต้องไปมีชีวิตใหม่ที่แย่ลงในโลก
หน้า คนเราไม่เหมือนกัน ขอให้ดูดีๆ บางคน
อ่อนแอเกินกว่าจะได้รับคำาแนะนำาให้ตัดใจ

อ่านจบสองรอบด้วยความมึนงง ข้อแรกคือ
ไม่เข้าใจว่าเจ้าของจดหมายต้องการบอกอะไร
ข้อสองคือสัมผัสได้ว่าเจ้าของลายมือกับ
"เจ้าของเนื้อความ" เป็นคนละคนกัน
เจ้าของลายมือเป็นผู้หญิงธรรมดา พลัง
ชีวิตระดับธรรมดา ส่วนเจ้าของเนื้อความนั้น เป็น
ใครอีกคนที่มะแมสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา
อยากคิดว่าเป็นการเล่นตลกของคนมือบอน
สมัยนี้พวกร้อนวิชาอยู่ไม่สุขเยอะจะตาย แล้วก็ไม่
จำาเป็นต้องกระจอกตกงานมาแต่ไหน อาจถึงขั้น
เป็นไฮโซงานยุ่งที่อยากเล่นบ้าๆขึ้นมาเป็นพักๆ
เพื่อหลบหนีความซ้ำาซากจำาเจที่น่าเบื่อก็ได้
วางจดหมาย หันมานั่งทานข้าวคนเดียว
อย่างคลายอารมณ์ แต่คลื่นรบกวนจากจดหมาย
กลับติดตามมาเป็นระยะ พอจัดการมื้อกลางวัน
เสร็จ มะแมจึงตัดสินใจให้เวลานั่งตรวจต้นแหล่ง
คลื่นรบกวนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
วัตถุกับเจ้าของวัตถุมีความเชื่อมโยงกัน
ปกติแค่มะแมจับตามองหรือใช้ฝ่ามือสัมผัสวัตถุ
นั้น ก็จะทราบว่าผู้เป็นเจ้าของมีจิตมืดหรือสว่าง
ชีวิตเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ตัววัตถุจะช่วยรายงาน
ให้รู้ไปถึงจิตของผู้ครอบครองได้ใกล้เคียงกับที่
หล่อนเจอหน้าพวกเขาเองเลยทีเดียว
วางใจเฉย อ่านทวนข้อความในจดหมายอีก
ครั้งอย่างจะเล็งลึกไปถึง "เจ้าของข้อความ"
โดยตรง แต่สัมผัสไปไม่ถึง คล้ายมือกำาลังจะยื่น
จับวัตถุได้ แล้วเจอแก้วหนาๆกั้นขวางเสียก่อน
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง มะแมปิด
เปลือกตาลง ลากลมหายใจยาว ปรับกายปรับใจ
เป็นปกติ นึกสร้างดวงกสิณขาว ซึ่งตอนแรกโย้ไป
เย้มาไม่เต็มวง ตามกระแสคลื่นความคิดฟุ้งซ่าน
แต่ภายใน ๕ นาทีก็เข้าที่เข้าทาง หน่วงนึกได้เห็น
เป็นขอบคมกลมดิก และเสถียรอยู่เกินหนึ่งนาที
ก่อนจะพร่าเลือนลง
สาวพลังจิตลืมตาขึ้นด้วยความมั่นใจว่า
ยามนั้นสัมผัสของตนใช้งานได้แน่ จึงอ่าน
จดหมายใหม่เพื่อหยั่งความรู้สึกลงไปถึงเจ้าของ
เนื้อความ ถ้าเป็นในภาวะปกติ หล่อนอาจ "เห็น
หน้า" เขาหรือเธอได้ทีเดียว
แต่แล้วอ่านยังไม่ทันจบ กำาลังใจของมะแม
ก็ลดถอยลงเฉยๆ เหมือนอยู่ๆก็ถอนความสนใจ
ขี้เกียจใช้จิตสัมผัสเสียอย่างนั้นเอง ถามตนเองว่า
นี่หล่อนจะมานั่งเสียเวลากับจดหมายยั่วความ
สงสัยฉบับนี้ไปทำาไม เปลืองแรง เปลืองใจเปล่าๆ
หลังๆมะแมเก่งในทางเลิกคิดถึงเรื่องไม่เป็น
เรื่อง ก็แค่หันความสนใจมาหาเรื่องเฉพาะหน้า
จิตก็มีที่หมายให้ดูดติดใหม่ ผละจากที่หมายเก่า
ได้ง่ายๆ
มานอนเอกเขนกในมุมที่จัดไว้ฟังเครื่อง
เสียงชุดใหญ่โดยเฉพาะ หล่อนชอบดนตรี
ประเภทกระทบโสตแล้วสามารถปรับพลังทั่วร่าง
จากปั่นป่วนให้กลับคืนสู่ความสมดุลผ่อนคลาย
เห็นผลได้จากที่ลมหายใจยาวขึ้น ลากเข้าและ
ผ่อนออกช้าลง โดยไม่ต้องจงใจพยายาม
นั่นเป็นวิธีพักกลางวันง่ายๆของมะแม ส่วน
ใหญ่ขยะทางอารมณ์ที่ตกค้างมาจากการอ่าน
ชีวิตลูกค้าช่วงเช้าจะถูกกวาดทิ้งได้เกือบหมด
เหมือนหลับเต็มอิ่ม แล้วตื่นอย่างสดชื่นด้วยความ
พรักพร้อมจะทำางานราวกับเป็นเช้าวันใหม่
บ่ายโมงตรง ลูกค้ารายแรกเป็นหนุ่มมา
ปรึกษาเรื่องการเปลี่ยนงาน เบื่อการเป็นพนักงาน
กินเงินเดือน อยากทำาอะไรของตัวเองบ้าง แต่
เหลือเชื่อที่คนมักไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร และจะ
ประสบความสำาเร็จด้วยการทุ่มเทให้หนทางเส้น
ไหน มะแมแค่ถามง่ายๆว่าถ้าไม่มีเงินตอบแทน
เขาจะเต็มใจทำางานอะไรบ้าง เขาต้องคิดอยู่ครึ่ง
นาทีก่อนตอบว่า "ไม่มี" และหล่อนต้องเป็นคน
บอกว่า "มี" โดยเตือนให้ระลึกได้ว่าเคยซื้อตำารับ
ตำาราถ่ายรูปมาเล่นกล้องใหญ่ กับทั้งอาสาถ่าย
รูปวันรับปริญญาและวันแต่งงานให้เพื่อนสนิท
ฟรีๆ เขาจึงค่อยเห็นว่ามีใจให้กับงานถ่ายรูป กับ
ทั้งเป็นไปได้ที่จะอยู่บนเส้นทางตากล้องอิสระ
บ่ายโมงครึ่ง ลูกค้าของหล่อนเป็นคุณป้า
หน้าตาอิดโรย มาปรึกษาเรื่องลูก เรื่องผัว โดย
รวมอยากมาเล่าๆๆระบายทุกข์ ระบายความอัด
อั้น มะแมต้องใช้น้ำาเสียงและความสามารถใน
การพูดจูงคุณป้าให้เกิดสติ เข้าใจคู่ชีวิต เข้าใจลูก
หลานอย่างที่พวกเขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่ป้าอยาก
ให้เป็น
บ่ายสองโมงเศษ ช้ากว่าเวลานัดเกือบห้า
นาที เพราะมะแมมัวแต่รับคำาสรรเสริญและ
อวยพรไม่เลิกของคุณป้า หลังจากต้อนคุณป้า
ออกจากห้องด้วยตนเองได้ มะแมก็พบกับหญิง
สาวที่แต่งหน้าแต่งตัวสวยเช้งคนหนึ่ง สาวงาม
นางนั้นฝืนยิ้มหน้ามุ่ย เห็นได้ชัดว่าการรอคอย
ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยสำาหรับเจ้าหล่อน
"คุณมะแมจะบวกเวลา ๕ นาทีให้แจ๊บด้วย
ไหมคะนี่?"
"แน่นอนค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ผิด
เวลานิดหนึ่ง แต่ถ้ามะแมต่อเวลาให้ใคร คนถัด
มาก็ต้องได้ต่อเวลาเช่นกัน"
หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า "แจ๊บ" คลาย
สีหน้าลง
"แจ๊บกำาลังไม่สบายใจเรื่องแฟนค่ะ"
มะแมยิ้มๆ หน้าตาขี้หงุดหงิดตลอดศกแบบ
นี้ แฟนของคุณเธอก็คงหาโอกาสสบายใจได้ยาก
เหมือนกันแหละ
จากสัมผัสที่ได้นั่งเผชิญหน้าในระยะใกล้
กระแสชีวิตของสาวแจ๊บปั่นป่วนรวนเรสิ้นดี
สะท้อนถึงความคิดยุ่งเหยิง สับสน อยากนั่น
อยากนี่ตลอดเวลา ขนาดเพิ่งใกล้กันแค่ครึ่งนาที
มะแมยังอยากปิดตา เบือนหน้าไปทางอื่น เอาใจ
ใส่กับสิ่งอื่นแทน
แต่เห็นหน้าหงิกหน้างอขนาดนี้ ส่งคลื่น
รบกวนได้ตลอดวันอย่างนี้ก็เถอะ ผู้ชายยังยอม
ตื๊อ ยอมเป็นพ่อบุญทุ่มไม่อั้นกันอยู่ดี มะแมรู้
เพราะเห็นนิมิตผู้ชายมากหน้าหลายตารุมล้อม
แจ๊บ ในแบบมีใจยื่นมาพยายามเชื่อมให้ติด
คล้ายกระต่ายหมายปองจันทร์ด้วยความทะยาน
อยากแม้เกินเอื้อม
"คุณแจ๊บช่วยยืนขึ้นหน่อยได้ไหม?"
"ได้สิคะ"
แจ๊บทราบล่วงหน้าว่ามะแมอ่านคนด้วยวิธี
พิสดารไม่ซ้ำากัน จึงลุกยืนง่ายๆ มะแมสำารวจชุด
แซกเขียว มีแขน กระโปรงแค่เข่า แล้วมองเล็งไป
ที่สร้อยคอ เหลือบมองกำาไลข้อมือขวา จากนั้นจึง
มาหยุดที่นาฬิกาข้อมือซ้าย
"ช่วยถอยหลังไปนิดหนึ่ง... อีกนิด... เอา
เป็นถอยไปติดผนังเลยแล้วกันค่ะ"
แจ๊บเริ่มมองคนออกคำาสั่งด้วยหางตา แต่
เก็บความสงสัยไว้ ถอยเท้าไปยืนติดผนังแบบอิด
เอื้อนเล็กๆ
"มะแมจำาเป็นต้องดูคุณแจ๊บทั้งตัวค่ะ จะหา
จุดสังเกตสำาคัญบางอย่าง"
เมื่อได้ยินคำาอธิบายบ้าง แจ๊บจึงค่อยยืนนิ่ง
ให้มะแมสำารวจหุ่นด้วยความเต็มใจขึ้น
"ต้องกางแขนกางขาแลบลิ้นด้วยไหมคะ?"
มะแมหัวเราะขำา แจ๊บมีเสน่ห์อยู่ในความเจ้า
โทสะ แม้สุ้มเสียงประชดก็ยังฟังน่ารัก
"ไม่ต้องค่ะ กลับมานั่งได้แล้ว ขอบคุณมาก
นะคะ"
แจ๊บถอนใจเฮือกอย่างไม่เข้าใจอะไร ได้แต่
ท่องไว้ว่ายายนี่ดัง ยายนี่เก่ง คงไม่แกล้งใช้ให้ไป
ยืนเก้อเอาสนุกหรอกกระมัง
มะแมกำาลังอยู่ในโหมดกวาดหา แต่ยังหา
สิ่งที่ต้องการไม่เจอบนร่างแจ๊บ แต่ในที่สุดก็
เหลือบไปสะดุดกับกระเป๋าถือที่แจ๊บวางไว้ตรง
หน้าหล่อน
"อ้อ! อยู่นี่เอง" อุทานเบาๆก่อนขออย่าง
สุภาพ "ส่งกระเป๋าให้มะแมดูหน่อยได้ไหมคะ
รับรองไม่เปิดค้น ไม่ละลาบละล้วงใดๆทั้งสิ้น"
แจ๊บย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ทำาตามที่มะแม
ต้องการ หยิบกระเป๋าถือตรงหน้ายื่นให้โดยดี
มันเป็นกระเป๋าถือแบรนด์เนม หนังแท้สี
ซิลเวอร์เมทาลิกสะดุดตา ทรงเก๋ ดูหรู ให้สัมผัส
อ่อนนุ่มอย่างมีระดับ ไม่มีทางเป็นของทำาเทียม
เด็ดขาด ราคากี่หมื่นไม่รู้ รู้แต่ว่าแจ๊บไม่ได้ซื้อเอง
แน่นอน เพราะกระแสความรัก ความหวงแหน
และความรู้สึกวาบหวามประจุรวมอยู่ในกระเป๋า
อย่างท่วมท้น ถ้าซื้อเองจะไม่มีอารมณ์ปลื้มของ
ขวัญจากผู้ชายให้สัมผัสแบบเลย
มะแมจับๆดูไม่นานนัก รายละเอียดเกี่ยว
กับ "คนให้" ก็กระทบใจหล่อนจังๆ ที่หล่อนจับ
สัญญาณได้เป็นอันดับแรกคือเจตนาซื้อกระเป๋า
ใบนี้ให้สาวแจ๊บด้วยความหลงพิศวาส อยากเห็น
แจ๊บดีใจ
เพียงจับกระแสเจตนาได้ ตัวตนของเขาก็
ค่อยๆปรากฏขึ้นในห้วงมโนทวารของมะแม และ
ความแรงของตัวตนนั้น เมื่อทวีขึ้นก็กลายเป็น
รายละเอียดพรั่งพรูไม่หยุด ราวกับน้ำาทะลักจาก
เขื่อนแตก ขนาดที่สาวพลังจิตต้องรีบคว้า
กระดาษกับปากกามาเขียนหวัดๆลงไปกันลืม

จิตใจอ่อนไหวกับผู้หญิง
เรียนเก่งจบสูง
อัศจรรย์ใจแรกเจอ
หลงเสน่ห์ลืมไม่ได้
ผูกพัน
ไปต่างประเทศ
ว้าวุ่นใจเป็นเป้าแก่งแย่ง
ถูกระแวง
ภาระซับซ้อน
รำาคาญ
อยากได้อิสรภาพ
สงสาร
สองจิตสองใจ
เกิดเรื่อง
ตกลงใจ!

นอกจากเป็นบันทึกกันลืม มะแมยังเรียนรู้
จากประสบการณ์ตรงว่าการแปลงมโนภาพออก
มาเป็นคำาๆเช่นนี้ ช่วยแตกกิ่งก้านสาขาของราย
ละเอียดอื่นๆให้กว้างขวางขึ้น แม้แต่การใส่
อัศเจรีย์หรือเครื่องหมายตกใจในตอนท้าย ก็ช่วย
ตอกย้ำาว่าสัมผัสสุดท้ายที่ได้มีความหนักแน่นควร
แก่การมั่นใจขนาดไหน!
พอสาวแจ๊บยื่นหน้ามาดูด้วยความอยากรู้
อยากเห็นว่าหล่อนจดอะไรบ้าง มะแมก็รวบ
กระดาษลงมาวางบนตักซ่อนจากสายตาเสีย
"กระเป๋าใบนี้เนื่องในโอกาสวันเกิดหรือวัน
วาเลนไทน์?"
แจ๊บมองคนถามด้วยสายตาตรง ความเป็น
ผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกันทำาให้เกิดอารมณ์อยากลอง
ของ จึงใช้น้ำาเสียงขุ่นๆคล้ายผิดหวังในความ
สามารถทายทักของมะแม
"ถ้าแจ๊บบอกว่าซื้อเองล่ะคะ?"
"มะแมจะไม่คิดเงินคุณแจ๊บ แล้วแถมค่าน้ำา
มันให้คุณแจ๊บเดี๋ยวนี้เลย!"
แจ๊บยิ้มเผล่อย่างชักเลื่อมใส ท่าทางชื่อ
เสียงของมะแมคงไม่ได้สร้างขึ้นจากจิตวิทยาเดา
ทางลูกค้าแน่แล้ว
"วาเลนไทน์!" ตอบอ่อนโยนแบบลดการ์ด
ลง "แจ๊บอยากรู้ว่าเขาใช่เนื้อคู่ของแจ๊บหรือเปล่า
และถ้าใช่ เมื่อไหร่เขาจะขอแต่งเสียที"
มะแมเอนหลังพิงพนัก ภายนอกวางสีหน้า
เรียบเฉย แต่ภายในคิดหนักว่าจะพูดให้แจ๊บ
เข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างไรดี
"เขาชื่ออะไรคะ เอาชื่อเล่นก็ได้"
"ชื่อปาย"
แค่ฟังแจ๊บเรียกชื่อแฟนตัวเอง มะแมก็
ทราบทันทีว่าแจ๊บทั้งหลงรัก ทั้งคลั่งไคล้หนุ่มปาย
ขนาดไหน ขืนให้คำาตอบตรงไปตรงมามีหวังดิ้น
พราดๆอยู่ตรงนี้เอง
ที่สุดก็ก้มหน้าชำาเลืองมองกระดาษคล้าย
แอบดูโพยตอนทำาข้อสอบ ทุกอย่างง่ายขึ้นเมื่อ
เรียบเรียงคำาพูดจากจุดเริ่มต้น ในแบบชวนคุย
เรื่อยเปื่อย
"คุณปายนี่เป็นพวกหนึ่งในพันหนึ่งในหมื่น
เลยนะคะ เหมือนเกิดมาให้ผู้หญิงทั้งโลกแข่งกัน
จ้องจะเอามาเป็นถ้วยรางวัล พิสูจน์ว่าชัยชนะจะ
อยู่ในมือใคร"
แม้ไม่มองหน้า มะแมก็รู้ว่าแจ๊บลอบยิ้ม
ภูมิใจ ฝ่ายนั้นน่าจะทะนงมานานว่าตัวเองต้อง
ชนะสาวทั้งแผ่นดินแน่!
"แล้วคุณปายนี่นะ..." มะแมร่ายต่อ "เจอ
กันง่ายๆไม่โดนใจเขาหรอก ต้องเจอกันแบบ
แปลกๆถึงจะเก็บไปฝัน ให้มะแมทายนะ คุณสอง
คนต้องพบกันแบบเหลือเชื่อ ราวกับฝันไป ไม่ใช่
แค่ประทับใจธรรมดา"
ที่จริงมะแมเห็นภาพๆหนึ่ง แต่ไม่กล้าเสี่ยง
พูด เพราะเห็นไม่ชัดนัก ปกติหล่อนจะตีค่าความ
แจ่มชัดของสัมผัสออกมาเป็นคะแนน ถ้าภาพใน
ใจมีมิติ ทรงชีวิตชีวา ตลอดจนให้ความรู้สึกเป็น
จริงเป็นจังว่าใช่แน่ อย่างนั้นถือเป็นคะแนนความ
มั่นใจเต็มร้อย แต่ถ้ากำ้ากึ่ง ภาพเบลอ หรือ
เหมือนมีหมอกมัวบดบัง ก็ตีเป็นคะแนนความน่า
เชื่อถือได้ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งท่านั้นหล่อน
จะรอดูองค์ประกอบอื่นก่อนพูด
"ค่ะ!" แจ๊บยอมรับด้วยเสียงคมใส "แจ๊บ
ว่าต้องไม่มีคู่ไหนในโลกได้เจอกันแบบเราแน่ วัน
นั้นแจ๊บรีบเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อนช่วยไปส่งที่ห้าง
ไอ้เราผลุนผลันลงจากรถพร้อมถุงหลายใบ เลย
ลืมกระเป๋าถือของตัวเอง เพื่อนก็รีบออกรถเพราะ
เป็นที่จอดชั่วคราว พักหนึ่งแจ๊บถึงรู้ตัว แทบเป็น
ลมเลย เพราะทั้งกุญแจรถ โทรศัพท์ และเงินทอง
อยู่ในนั้นหมด โชคดีเผอิญเหลือเศษเหรียญอยู่
เลยตรงเข้าไปใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะของห้าง
แต่จำาเบอร์เพื่อนไม่ได้ถนัด เพราะไม่เคยต้องกด
เอง"
"คุณแจ๊บเลยกดผิด ไปเข้าเบอร์ของเขา
แล้วก็บังเอิญที่สุดในโลก เขากำาลังยืนจับตามอง
คุณแจ๊บอยู่ด้วยความสะดุดตาก่อนหน้านั้นอยู่
พอดี!"
มะแมรีบต่อให้อย่างนึกเสียดาย ที่ไม่เป็น
ฝ่ายชิงเล่าออกมาเสียก่อนหน้านี้ หล่อนเห็นภาพ
ต่อโทรศัพท์ผิด และคนรับโทรศัพท์ก็ยืนอยู่ใกล้ๆ
นั่นเอง เครื่องยืนยันความถูกต้องคือเสียงหัวเราะ
เอิ๊กอ๊ากตบมือลั่นของแจ๊บ
"ใช่ๆๆ!" มันเป็นการเล่าที่วนไปเวียนมานับ
ร้อยรอบ แจ๊บจึงดีใจที่มะแมช่วยทุ่นแรง ไม่ต้อง
ให้หล่อนฉายจุดสุดยอดซ้ำาด้วยตนเอง "เหลือเชื่อ
จริงๆคุณมะแมว่าไหม? ทุกคนฟังเรื่องแล้วฟันธง
เลยว่าเทวดาหรือบุญเก่าแต่ปางไหนส่งเรามาเจอ
กันแน่ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย"
"เขาอาสาไปส่งคุณแจ๊บ?"
"ไปส่งที่รถเพื่อนน่ะค่ะ บรรยายไม่ถูกเลย
ว่ารสชาติของวันนั้นมันหวานแหวว แล้วก็
ประหลาดล้ำาลึกขนาดไหน"
แจ๊บทำาตาลอยฝันๆ
"ร้อยปีน่าจะมีแบบคุณแจ๊บคู่เดียว" มะแม
ช่วยเสริมให้อีกฝ่ายได้ฟูฟ่องเต็มที่ "ทางคุณปาย
ก็หลงคุณแจ๊บแบบออกอาการหนักเหมือนกันนะ
เจอกันไม่กี่วัน ผูกพันเหมือนคบกันมาสิบปี เขา
เรียนดอกเตอร์ยังไม่จบ แทบไม่อยากกลับไป
เรียนต่อเลยทีเดียว"
คราวนี้แจ๊บเบิกตากว้าง อ้าปากค้างอยู่
นานก่อนหัวเราะดังๆแบบเปิดหมดเปลือก เพราะ
ไม่เหลือความสงสัยในความสามารถของมะแม
อีกแล้ว
"เก่งค่ะ! ตอนเจอกันพี่ปายเขากลับเมือง
ไทย ต้องมาหาข้อมูลอะไรของเขาช่วงหนึ่ง เขา
พูดเองเลยว่าถ้าไม่ใช่เพราะเหลืออีกปีเดียวน่าจะ
จบ เขาจะไม่กลับไป จะอยู่แต่งงานกับแจ๊บเดือน
นั้นเลย"
มะแมหัวเราะเอื่อยเพื่อให้เข้ากับเสียงเล่า
หวานๆของแจ๊บ ชักนึกสงสารจนไม่อยากพูด
อะไรต่อ อยากปล่อยให้ล่องลอยอยู่กับ "ความ
ฝันที่เคยเป็นจริง" ตามทาง
"เป็นความสุขที่น่าอิจฉามากค่ะ"
"เหรอคะ? แจ๊บถือว่าเป็นคำาทำานายแล้วนะ
เขาจะกลับมาแต่งกับแจ๊บเมื่อไหร่? นี่ก็ตั้งปีกว่า
แล้ว ไม่ทันใจเลยจริงๆ"
มะแมถอนใจยาว เบือนหน้าไปอีกทาง ไม่
อยากเห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายนับแต่นั้นเลย
"เสียดายนะคะ ระยะทางที่ห่างไกล ทำาให้
ใจของคุณแจ๊บร้อนรนไปหน่อย คุณแจ๊บมั่นใจใน
เสน่ห์ของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็ระแวงว่าเขา
จะมีใครอื่นไปเรื่อย"
ความสุขที่กระจายมาจากแจ๊บหายวูบแบบ
เฉียบพลัน
"ก็เขายอมรับนี่คะว่าก่อนหน้านั้น เขามี
แหม่ม มีหมวย มีสาวแขกมาติดพันเยอะแยะ ที่
ว่ามีนี่มีอะไรกันด้วยนะ ไม่ใช่แค่มีมาเกาะแกะ"
"เขาขอให้คุณแจ๊บไว้ใจ แต่คุณแจ๊บก็ไม่
เคยไว้ใจเขา เผลอพูดซักไซ้ทุกวันใช่ไหมล่ะ?"
"ก็ช่วยไม่ได้นี่!"
แจ๊บก้มหน้าจีบปากพูด พยายามทำาเสียง
อู้อี้ให้ฟังน่ารัก แต่มะแมรู้ดีว่าตอนแจ๊บสอบเค้น
แฟน น้ำาเสียงจะไม่ใช่แบบนี้ และมันก็จะค่อยๆ
เพิ่มความบีบคั้นหัวใจได้หนักหน่วงเข้าขั้นผู้คุม
นักโทษในที่สุด
มะแมระบายลมหายใจช้าๆ กี่คู่หวานต่างก็
ค้นพบตรงกันหมด แต่ไม่ค่อยเอาไปบอกต่อ หรือ
ไม่ค่อยอยากรับสารภาพ...
แรกพบสบตาแค่มายา ปัญหาที่ตามมาสิ
ของจริง!
"คุณแจ๊บเคยบินไปหาเขาครั้งหนึ่งด้วยนี่ใช่
ไหม? ตอนนั้นเขาหัวปั่นน่าดูเลยนะ เพราะกำาลัง
วุ่นเรื่องงาน เรื่องเรียนอย่างหนัก แล้วต้องมาเทค
แคร์คุณแจ๊บอีก มันทำาให้ภาระของเขาซับซ้อน
สุดขีด ทั้งหมดนั่นก็เพียงเพื่อแลกกับที่คุณแจ๊บได้
สบายใจว่าเขาไม่ซุกซ่อนใครไว้จริงๆ"
หน่วยตาแจ๊บเบิกกว้าง
"คุณมะแมรู้ขนาดนี้เลยเหรอ?"
มะแมเบนหน้ากลับมาสบตาตรง ไม่ตอบ
คำาถาม แต่พูดเข้าเรื่อง
"ความผิดพลาดที่สุดของผู้หญิงเรา ไม่ใช่
ตอนส่งเสียงวี้ดบาดแก้วหู แต่เป็นการส่งคลื่น
รบกวนจิตใจไม่เลิกรา บางทีคลื่นรบกวนก็มากับ
คำาพูดหรือเมสเสจที่ฟังดูดีนี่แหละ เสน่ห์ของเรา
อาจทำาให้เขาทนได้นาน แต่วันหนึ่งการจับผิด
ซ้ำาๆจะเปลี่ยนแรงดึงดูดของเราให้กลายเป็นแรง
กดดัน ผลักไสเขาออกห่าง ขนาดที่เราต้องใจ
หายเมื่อรู้ตัวในภายหลัง"
"เอ่อ... นี่หมายความว่า...?"
"วิธีการเหนี่ยวรั้ง บางครั้งมันยิ่งกว่าการ
ผลักไส"
แจ๊บหน้าร้อนผ่าว ชักหนาวๆสันหลัง
"แต่แจ๊บพยายามเอาใจเขาทุกอย่าง อยาก
ได้อะไรให้หมด เขาเป็นคนแรกที่ได้แจ๊บด้วย
ถือว่าแลกกันแล้วนี่"
"คนเราไม่จำาว่าได้อะไรมาจากใคร แต่ฝังใจ
ว่าเสียอะไรไปให้คนอื่น โดยเฉพาะสำาหรับคน
ธรรมดาคนหนึ่งแล้ว การถูกจับผิดอยู่ตลอดเวลา
คือการเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทั้งหมด
หรือเท่ากับไม่มีชีวิตเป็นของตัวเองอีกเลย ถาม
ตัวเองสิคะว่าถ้าคุณปายให้สิ่งมีค่าบางอย่างมา
โดยมีข้อแม้ว่าคุณแจ๊บต้องยกทั้งชีวิตทั้งหมดให้
เขาไป คุณแจ๊บจะยอมไหม?"
"ยอม!"
แจ๊บตอบสวนทันควัน
"มะแมกำาลังพูดถึงยกชีวิต 'ทั้งหมด' ซึ่ง
รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดด้วยนะคะ แต่ที่ผ่านมา
กะแค่ยอมไว้ใจเขายังไม่ได้เลย"
"แจ๊บเชื่อว่าแจ๊บกับพี่ปายเป็นคู่แท้" คนมา
ขอคำาปรึกษาเน้นเสียงหนักแน่นอย่างไม่ยอมแพ้
"คู่แท้ควรจะเห็นใจกันไม่ใช่หรือ? แค่จับผิดนิด
จับผิดหน่อยจะอะไรนักหนา เขาน่าจะใจกว้าง
เข้าใจว่าเราหวงก็เพราะรัก"
"คืออย่างนี้นะคะคุณแจ๊บ พอคอยจ้อง
จับผิดคนอื่น เราจะเริ่มทำาอะไรผิดๆโดยไม่รู้ตัว
และมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีถึงขั้นทำาให้คนถูกจับผิด
นึกว่าเราประสงค์ร้ายก็มี"
นั่นเหมือนหนามตำาให้แจ๊บสะดุ้งได้ แต่ยัง
ปากแข็ง
"อะไร... แจ๊บทำาผิดยังไง?"
"ก็ไม่ต้องอะไรมาก แค่เผลอไปเพ่งบ่อยๆ
ว่าคู่ของเราไม่ได้อย่างใจตรงไหนบ้าง แล้วคาด
คั้นบ่อยๆว่าจงเป็นอย่างใจฉันให้ได้เดี๋ยวนี้ นั่น
แหละผิดทางสร้างคู่แท้ เข้าทางสร้างคู่เวรแล้ว"
แจ๊บเริ่มหน้าหงิก ชักรู้สึกเหมือนมานั่งให้
คนไม่รู้จักต่อว่าเอาฝ่ายเดียว ขนาดเพื่อนสนิท
หรือแม้แต่พ่อแม่หล่อนยังไม่ฟังเลย แล้วยายคน
นี้เป็นใคร?
"คุณมะแมสรุปว่าแจ๊บกับพี่ปายลงเอยกัน
ยังไงคะ"
แจ๊บถามเป็นสัญญาณบอกการหมดความ
อดทนฟังเทศนาต่อ มะแมไม่เข้าใจตัวเองเหมือน
กันว่าทำาไมจึงเลือกใช้ไม้แข็ง อาจจะเพราะอ่าน
ออกทะลุปรุโปร่งว่ายายตัวแสบตรงหน้านี่เห็นแก่
ตัวอย่างร้ายกาจขนาดไหน เลยไม่ค่อยมีแก่ใจ
ประเล้าประโลมเท่าไรนัก
"สิ่งที่คุณแจ๊บทำาไปทั้งหมด นำาไปสู่การ
ลงเอยโดยตัวของมันเอง มะแมมีหน้าที่แค่ค่อยๆ
ฉายภาพให้คุณแจ๊บดู"
สองสาวประสานตากันนิ่ง แล้วมะแมก็เป็น
ฝ่ายรู้สึกตัวว่าทั้งน้ำาเสียงและสายตาของตนชัก
กระด้างผิดปกติไปหน่อย จึงปรับระดับให้นุ่มนวล
ลง แต่ยังคงเป็นถ้อยคำาแบบชกตรงเหมือนเดิม
"จากที่มะแมสัมผัสได้ พอคุณแจ๊บกลับ
เมืองไทยได้พักหนึ่ง น่าจะเคยเมา แล้วก็เผลอ
อาละวาด ถามถึงวันกลับจากแฟนซ้ำาแล้วซ้ำาอีก
ฝ่ายเขาก็อึกอักอยู่นั่นเอง คุณแจ๊บถึงจุดเดือดขึ้น
มาเลยขาดสติ ด่าเขา แช่งเขา ลำาเลิกที่เขาเคย
ได้คุณแจ๊บมาแล้วจะมาทิ้งขว้างกันไม่ได้ พอ
ทะเลาะหนักเข้า คุณแจ๊บก็ลามถึงพ่อถึงแม่เขา
มะแมไม่รู้ว่าคุณแจ๊บใช้คำาแรงๆอะไรไปบ้าง รู้แต่
ว่ามันเสียดแทงมาก แล้วก็ทำาให้เขาเข็ดขยาด
หรือประมาณกลัวๆคุณแจ๊บอย่างถาวรไปเลย"
คราวนี้แจ๊บนั่งตัวแข็งทื่อ เงียบกริบ ไม่
เถียงสักคำา...
"เข้าใจหรือยังคะ คำาพูดที่ขาดสติของคุณ
แจ๊บนั่นเองคือจุดลงเอยของความสัมพันธ์ แต่
ด้วยความที่คุณปายทั้งรัก ทั้งสงสาร เขาเลย
พยายามถนอมน้ำาใจคุณแจ๊บเรื่อยมา"
ริมฝีปากของแจ๊บสั่นระริกอย่างไม่อาจ
ควบคุม คล้ายลำาคอถูกยัดด้วยนุ่นหนา จะเปล่ง
คำาก็เปล่งไม่ออก มะแมเห็นแล้วเกือบใจอ่อน คิด
เปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่นเป็นการชักแม่น้ำาทั้งห้า
สักพัก แต่อีกใจก็รู้สึกว่าถ้าขาดความต่อเนื่อง
ลูกค้ารายนี้ก็จะหลงประเด็น แล้วจับแพะชนแกะ
มั่ว เลยตัดสินใจเผยความจริงให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
"เขาเรียนจบแล้วค่ะ และดูเหมือนรับปาก
หรือเซ็นสัญญาทำางานที่โน่นไปแล้วด้วย น่าจะ
เป็นเวลาหลายปี ถ้าเดาไม่ผิดทางบริษัทต้องจ่าย
เงินชดเชยให้หน่วยงานที่ส่งเขาไปเรียนมากโข
เขาก็กำาลังรอจังหวะดีที่สุดที่จะบอกคุณแจ๊บ ถึง
คุณแจ๊บจะบินไปหาอีก ก็อาจพบว่าเขาไม่ได้อยู่ที่
เดิมแล้ว และก็ไม่แน่ว่าเขาจะใจอ่อนยอมบอกที่
อยู่ใหม่หรือเปล่า"
ม้วนเดียวจบตามความตั้งใจ มะแมค่อยโล่ง
ไปเปลาะ หล่อนคุ้นเคยกับบรรยากาศข้นหนัก
แบบนี้ดี ตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวค่อยปลอบด้วยถ้อยคำา
ทุ้มนุ่มเป็นเหตุเป็นผล ดึงใจให้ฝ่ายรับฟังได้กลับ
สติขึ้นใหม่ และกลายเป็นอีกคนที่รู้คิดกว่าเดิม
"ทำาไม... เขา... คุณมะแมแน่ใจหรือคะ?"
แจ๊บเสียงสั่นเครือ เอ่ยตะกุกตะกักเหมือน
เด็กหลงทางที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกผู้ใหญ่ทอดทิ้ง ไม่เอา
ไปด้วยแล้ว...
มะแมสงสารจับใจขึ้นมาก็คราวนี้ จริงๆแจ๊
บน่าจะสงสัยอยู่ก่อนว่าคนรักไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อ
ไป ไม่ใช่แค่ปล่อยให้มองหาแล้วใจหาย ที่มาหา
หล่อนก็หวังเพียงให้ช่วยตามคนรักกลับมา ไม่ได้
คาดฝันว่าจะพบการตอกย้ำาความจริงสะเทือน
สำานึกลึกยิ่งขึ้นอีก
"คุณแจ๊บคะ มะแมว่าบุญเก่าของพวกคุณ
ทำากันมาดีพอ ถึงจูงมาพบ มาคบกัน แต่บุญใหม่
ช่วยสร้างกันไม่ถึงไหน ต่างฝ่ายต่างรักษากันและ
กันไว้ไม่ได้ แต่มะแมรับรองว่าเร็วๆนี้..."
ยังไม่ทันขาดคำา มะแมก็เจอประสบการณ์
ครั้งแรก ที่ลูกค้าลุกขึ้นกลับหลังหัน ปึงปัง
พรวดพราดออกจากห้องไปด้วยกิริยาเกรี้ยว
กราด ลืมแม้กระทั่งจ่ายเงินค่าปรึกษาให้
มะแมก็ช็อคเป็นเหมือนกัน นิ่งงันอย่างทำา
อะไรไม่ถูก ไม่ทราบจะเอาอย่างไรดี ระหว่างวิ่ง
ตามไปปลอบหรือปล่อยให้ฝ่ายนั้นสงบอารมณ์
เอาเองตามบุญตามกรรม
มั่นใจว่าสามารถกล่อมให้แจ๊บระงับโทสะได้
แต่ก็รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ แข้งขาไม่อยากขยับ
อย่างไรไม่ทราบ หล่อนมีข้ออ้างที่ดีคือยังมีลูกค้า
คนต่อไปรออยู่ หากจะปลอบแจ๊บต้องใช้เวลาไม่
ต่ำากว่าหนึ่งชั่วโมงเป็นแน่แท้ แม้ฝืนดันทุรังตาม
ออกไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีเวลาพออยู่ดี
คิดเช่นนั้นแล้ว มะแมก็ถอนใจเฮือก บอก
ตนเองว่าเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนกินน้ำากินท่าดี
กว่า
บทที่ ๓
วงจรชีวิตยังคงเป็นไปตามปกติเมื่อครบ
รอบ มะแมเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มครึ่ง ปิดตาเข้าสู่
ความหลับสนิท ด้วยอาการของคนที่พร้อมจะทิ้ง
ขยะทางอารมณ์ ไม่เอาเข้าไปร่วมในนิทราสวัสดิ์
ด้วย
หกชั่วโมงผ่านไป นาฬิกาชีวะปลุกให้มะแม
ตื่นเองตอนตีสี่ครึ่งพอดีเหมือนทุกวัน จะแตกต่าง
บ้างก็คือก่อนตื่นไม่กี่อึดใจ หล่อนฝันว่ากลับเป็น
เด็กนักเรียนอีกครั้ง และทำาข้อสอบผิด มารู้ตัวก็
เมื่ออ่านเฉลยในภายหลัง พอตื่นขึ้นเลยรู้สึกแย่
นิดหน่อย แต่ฝันก็คือฝัน หล่อนขี้เกียจค้นหา
ต้นตอของฝันไม่ดี เพราะอาจขุดลงไปเจอข้อผิด
พลาดที่ผ่านมาแล้ว และพลอยทำาให้เสียความ
มั่นใจในการทำางานวันใหม่ไป
ทุกเช้าหล่อนมีกติกากับตนเองว่าจะต้องตื่น
ขึ้นกับความเชื่อมั่นว่าชีวิตตนสุกสว่าง และพร้อม
จะกระจายรัศมีความสว่างต่อไปให้คนอื่น ประดุจ
เปลวเทียนต่อเปลวเทียน หล่อนเรียนรู้ข้อผิด
พลาดทุกชนิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในวันที่มันเกิด กับ
ทั้งตั้งใจควบคุมอย่างดีไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก จึง
ไม่มีความจำาเป็นต้องทบทวนความผิดพลาดใดๆ
ให้ใจหม่นหมองซ้ำาซาก
เล่นโยคะ วิ่งสายพาน นั่งสมาธิ ทำากับข้าว
ระหว่างทำาก็สอนโน่นสอนนี่ให้หยิมฟัง กินข้าวเช้า
ร่วมกัน อ่านหนังสือพิมพ์ ขึ้นไปอาบน้ำาเตรียมพบ
กับลูกค้ารายแรกของวัน ทุกสิ่งเข้าที่เข้าทางตาม
กิจวัตรไม่สะดุด
ลูกค้าช่วงเช้าผ่านไปทีละคนด้วยความราบ
รื่นยิ่ง ถึงเวลาพักกลางวันมะแมจึงเต็มอิ่มด้วย
ความภาคภูมิกับการเปลี่ยนชีวิตของลูกค้า ๖ คน
มากบ้าง น้อยบ้างตามเหตุปัจจัย แค่ลูกค้าปรับ
ความเข้าใจในชีวิตให้ดีขึ้นได้แม้แต่นิดเดียว
หล่อนก็นับว่านั่นคือความสำาเร็จแล้ว
หน้าที่ของหล่อนคือเปลี่ยนใจคน เพราะถ้า
ไม่เปลี่ยนใจ ชีวิตก็ไม่มีทางเปลี่ยน
อิ่มเอมเปรมปลื้มอยู่ดีๆ สิ่งรบกวนจิตใจชิ้น
ใหม่ก็ลอยมาแปะหน้า
"จดหมายค่ะพี่"
มะแมหุบยิ้ม แต่หยิมไม่ทันเห็นว่านั่นคือ
ความผิดปกติ พอจัดสำารับอาหารบนโต๊ะกลาง
เสร็จก็เดินออกจากห้องโดยไม่ทักอะไร
สาวพลังจิตลากลมหายใจยาว ก่อนผ่อน
ออกอย่างพยายามไม่เครียด แกะซองดึงกระดาษ
จดหมายออกอ่านด้วยอาการเป็นปกติ ยอมรับว่า
ใจแป้วชอบกล ความรู้สึกไม่ต่างจากการต้องเข้า
ฟังเทศนาของผู้หลักผู้ใหญ่ก็ว่าได้

ถ้ายุ่งกับเรื่องของตำารวจ ระวังจะตกอยู่ใน
อันตราย

ขนลุกเกรียว คล้ายดังบรรทัดข้อความนั้น
เป็นธารน้ำาแข็งยะเยียบ หลั่งราดจากสมองลงไป
ถึงไขสันหลัง มันเป็นจดหมายลายมือผู้หญิงเช่น
เดิม ส่วนเจ้าของข้อความตัวจริง ก็สื่อสารให้
พิศวงงงงวยตามเคย
พอรู้สึกตัวว่าลมหายใจหยาบและสั้น มะแม
ก็ระงับความกระวนกระวายที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อย
ลากลมหายใจยาวอย่างผ่อนคลายกว่าเดิม
พยายามบอกตัวเองว่าเจอตลกร้ายอีกแล้ว ไม่มี
อะไรน่ากลุ้มจริงหรอก
กินข้าวเสร็จพักผ่อนด้วยดนตรีคลาย
อารมณ์ดังเคย แต่มะแมรู้ตัวว่าความวิตกคืบ
คลานรุกล้ำาเข้ามาไม่หยุด จดหมายลึกลับที่มีแต่
การสั่งสอนและการเตือนภัยนี้ คงไม่ใช่แค่วิธี
โฆษณาขายประกันอันแหวกแนวของบริษัทใด
เป็นแน่
ถ้าใครตั้งใจแกล้งเล่นงานหล่อนให้
กระวนกระวาย ก็นับว่าประสบความสำาเร็จเป็น
อย่างสูง ตอนนี้หล่อนกำาลังคิดหนัก วันๆมีแต่
ลูกค้ามาขอคำาปรึกษาเรื่องความรัก และส่วน
ใหญ่หน้าที่ของหล่อนคือบอกวิธี "ตัดใจซะ"
แน่นอนจดหมายฉบับเมื่อวานย่อมก่อความละล้า
ละลัง โดยเฉพาะตอนเจอกรณีสาวแจ๊บ ที่หุนหัน
พลันแล่นอย่างน่ากลัว แค่รู้ว่าโดนแฟนทิ้งแน่ก็
ฟาดงวงฟาดงาต่อหน้าต่อตาหล่อนแล้ว ป่านนี้ยัง
ไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนจะไปจัดการกับชีวิตตัวเองท่า
ไหน
มาถึงจดหมายฉบับล่าสุด อ่านผ่านๆ
เหมือนการข่มขู่ดีๆนี่เอง ที่แท้ "เขา" อยากให้
หล่อนเลิกอาชีพที่ปรึกษาปัญหาชีวิตหรืออย่างไร
เจ้าของจดหมายเป็นใครกันนะ แล้วเขาต้องการ
อะไรจากหล่อนกันแน่?
ไม่เป็นอันนอนฟังดนตรี มะแมปิดเครื่อง
เสียงแล้วลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา พยายามให้
สัมผัสกระทบที่เท้าแย่งใจมาจากคลื่นความ
ฟุ้งซ่านในหัว กระทั่งคลื่นค่อยๆสงบระงับ รู้สึก
สบายใจได้บ้าง
กลับมาที่โต๊ะและอ่านจดหมายอีกครั้ง
หล่อนจับกระแสเจตนาของผู้ส่งจดหมายลึกลับไม่
ถูก ยิ่งลองจ้องเข้าไปแรงๆอย่างจะสัมผัสถึงตัว
เจ้าของข้อความให้ได้ ก็ยิ่งตระหนักว่าตนกำาลัง
เล่นกับเครื่องขวางที่มีปฏิกิริยาต้านกลับ ทำาให้
เกิดผลข้างเคียง ปวดหัวตึบ หน้ามืดวูบวาบอีก
ต่างหาก
เมื่อวานส่องดูตามปกติแล้วเปลี้ยเพลีย นึก
คร้านจะมองให้เห็น คล้ายออกแรงผลักกำาแพง
แล้วโดนกำาแพงต้านกลับให้ใจฝ่อ แต่วันนี้จ้องจะ
ดูให้ได้ ผลถึงกับปวดหัวตะครั่นตะครอ ราวยิง
หมัดชกกำาแพงเต็มแรง เจ็บทั้งหมัด ร้าวถึงไหล่
สะเทือนถึงตัวทั่วไปหมด
นี่มันอะไรกัน?
อันเนื่องจากมะแมยังละอ่อนในเชิง
ประสบการณ์กีฬาพลังจิต จึงไม่สามารถตัดสินแม้
กระทั่งว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่า หล่อนครุ่นคิด
ใหม่ เลิกใส่ใจตัวตนเจ้าของข้อความ แต่หันมา
พินิจพิเคราะห์เนื้อหาในจดหมายแทน
ดูเหมือนฉบับล่าสุดนี้เป็นการเตือนให้
ระมัดระวัง อย่าเข้าไปพัวพันกับคดีหรืองานของผู้
พิทักษ์สันติราษฎร์ มะแมทบทวนย้อนไป แน่ใจว่า
ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา คำาปรึกษาของหล่อนไม่
เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมใดๆเลย จะมีบ้างก็คดี
ฟ้องหย่า ซึ่งหล่อนมีหน้าที่แค่พูดถึงปมเหตุ วิธี
คลายปม ตลอดจนการเตรียมรับมือกับผลที่จะ
ตามมา จึงมองไม่เห็นว่าหล่อนจะสร้างความ
เดือดร้อนทางกฎหมาย หรือกระทั่งเข้าไปยุ่งเกี่ยว
กับงานของตำารวจที่ตรงไหน
แปลว่าเรื่องยังไม่เกิดขึ้น และกำาลังจะเกิด
ขึ้นในอนาคตอันใกล้กระนั้นหรือ?
หล่อนไม่ใช่พวกรู้อนาคตแบบอยู่ๆตอบได้
หมดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ถ้าจะรู้ล่วงหน้า
เกี่ยวกับอะไร ก็ต่อเมื่อเห็นว่าอะไรนั้นกำาลังเป็น
เช่นใดอยู่เดี๋ยวนี้ เหมือนนักพืชศาสตร์ที่อาจ
ทำานายถูกในทันทีที่เห็นเมล็ดพันธุ์ ว่ามันจะเติบ
ใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาขึ้นมาเป็นต้นไม้แบบไหน
แคระแกร็นหรือสูงใหญ่ได้เพียงใดในดิน น้ำา อา
กาศหนึ่งๆ
สรุปคือเมื่อหล่อนไม่รู้ ก็เลยตัดสินไม่ถูกว่า
เจ้าของจดหมายรู้จริงหรือมั่วนิ่ม และเมื่อไม่รู้ว่า
เจ้าของจดหมายมั่วหรือเปล่า หล่อนจะมานั่งกลุ้ม
หาอะไร?
กระวนกระวายกับข้อความในจดหมาย
ลึกลับ จะมีหน้าไปเปิดทางออกให้ชีวิตใครได้
เล่า?
บอกตนเองซ้ำาๆว่าสบายใจแล้ว ไม่เอาแล้ว
ไม่คิดถึงจดหมายลึกลับชวนสนเท่ห์นี่อีกแล้ว
บ่ายโมงตรง เป็นลูกค้าชายคนหนึ่งที่กำาลัง
เข้าตาจน ชีวิตวกวนอยู่กับการถูกใส่ไคล้ จะ
ทำางานก็ถูกขัดแข้งขัดขา ไม่ก้าวหน้าเสียที มะแม
ให้คำาแนะนำาไปง่ายๆว่า คนดีตัดสินคุณจากผล
งาน คนพาลตัดสินคุณจากเสียงลือ ถ้าเขาจะต้อง
ระเห็จออกจากงานก็เหมาะเลย จะได้ไม่ต้องอยู่
ท่ามกลางคนพาลไง แล้วเขาก็มีงานถนัดรออยู่
ด้วย เหนื่อยหน่อยถ้าต้องทำาเอง เสี่ยงหน่อยถ้า
ต้องกู้บ้าง แต่หล่อนเอาเครดิตเป็นประกันว่าเขา
จะประสบความสำาเร็จยิ่งใหญ่
บ่ายโมงครึ่ง เป็นลูกค้านักศึกษาชายเพิ่ง
เรียนจบ และพบว่าวิชาความรู้ที่ร่ำาเรียนมาไม่ใช่
สิ่งที่เขาอยากอยู่กับมัน มะแมหนักใจอยู่บ้าง
เพราะนายคนนี้เป็นพวกเฉื่อย อยากงอมืองอเท้า
ไม่สนใจอะไรจริง ช่วยกวาดหาสิ่งที่น่าจะดึงดูดใจ
ก็พบแต่เกม หนังโป๊ และการเที่ยวกลางคืน
หล่อนได้แต่ให้คติว่า ชีวิตคนสั้นอยู่แล้ว อย่าให้
มันสั้นลงไปอีกด้วยความว่างเปล่าของวันนี้ ที่
ไม่รู้จะทำาอะไรดี เขาจากไปพร้อมกับความทึ่งที่
หล่อนรู้จักเขายิ่งกว่าตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คำาตอบว่า
ตัวเองคือใคร ควรทำาสิ่งใดอยู่ดี
บ่ายสองโมง เป็นลูกค้าหญิงหน้าเศร้าวัย
กลางคน ท่าทางเปล่าเปลี่ยว หัวเดียวกระเทียม
ลีบ รู้สึกเหมือนเกิดมาไม่มีใคร และจะตายไป
อย่างไม่มีใคร ทั้งนี้เพราะเป็นโรคหวาดระแวง
เฝ้าแต่นึกอยู่ว่าคนรอบข้างคอยจ้องทำาร้าย
ตนเอง มะแมทายเหตุการณ์ตั้งแต่เจ้าหล่อนยัง
เป็นเด็กมาจนถึงบัดนี้ แล้วสรุปขมวดท้ายว่า ต่อ
ให้เป็นศัตรูตัวฉกาจ ก็ไม่อาจทำาร้ายคุณได้บ่อยๆ
มีแต่ความคิดในหัวตัวเองเท่านั้นที่ทำาร้ายคุณได้
ทุกนาที เจ้าหล่อนจึงสีหน้าชุ่มชื่นขึ้น ดูดีพอจะ
ทำาให้คนรอบข้างสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ได้บ้าง
บ่ายสองโมงครึ่ง เป็นลูกค้าที่ทำาให้มะแม
ชะงักแบบประสาทรวนไปนิดหนึ่ง หนุ่มหน้าใสที่
โผล่พรวดเข้ามาเป็นเพื่อนเก่าสมัยมัธยมเมื่อครั้ง
เรียนอยู่ต่างจังหวัด และเป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียว
ที่เคยได้หอมแก้มหล่อน วันนี้มาให้แปลกใจใน
ฐานะลูกค้าที่นัดหมายและจ่ายค่าปรึกษาตาม
ปกติ เขาเล่าว่าติดตามข่าวคราวของหล่อนตลอด
มา และอยากให้ช่วยทำานายว่ามีภาพเขากับ
หล่อนร่วมทางกันในอนาคตไหม ซึ่งมะแมก็สยาย
ยิ้มหวาน และตอบด้วยเสียงเป็นกันเองฉันเพื่อน
สนิทว่า... ไม่มี!
บ่ายสามโมง เป็นลูกค้าสาวที่ได้ลัดคิว
พิเศษ มะแมรู้ว่าลัดคิวเพราะหยิมเล่าให้ฟังว่าเพิ่ง
โทร.มาเมื่อวาน ในจังหวะที่ลูกค้าอีกรายเพิ่งขอ
ยกเลิกนัดไปหยกๆ เจ้าหล่อนกำาลังกลัดกลุ้มกับ
ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต คือไปทำาแท้งมา
ฝันร้ายติดกันสองคืน อยากย้อนเวลากลับไปใจ
แทบขาด จะกลับไปตอนเอาเด็กออกก็ได้ หรือจะ
กลับไปก่อนมีอะไรกับแฟนแบบไม่ควบคุมให้ดี
ก็ได้ มะแมปลอบว่า ผิดพลาดครั้งแรกอย่าเพิ่ง
โทษตัวเอง เอาไว้ค่อยตัดสินโทษฐานพลาดซ้ำา
เยี่ยงคนไม่รู้จักบทเรียนดีกว่า แถมท้ายด้วยการ
ทายพฤติกรรมที่ผ่านมา ฉายย้อนให้เห็นว่าเจ้า
หล่อนเคยทำาคุณงามความดีมาเพียงใด ตราบาป
ใหญ่ๆแผลเดียวหรือจะไปสู้กองบุญที่สะสมมา
แล้ว รวมทั้งบุญกองภูเขาข้างหน้า ที่กำาลังจะ
ตั้งใจสร้างขึ้นกลบแผลเก่าอีกไม่รู้เท่าไร
บ่ายสามโมงครึ่ง เป็นลูกค้าหนุ่มใหญ่วัย
ฉกรรจ์ มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำาเพลง ถามตรงๆว่า
งานที่เขาตั้งใจทำาร่วมกับเพื่อนจะสำาเร็จไหม
เมื่อไรจึงสำาเร็จ มะแมขอดูกระเป๋าเงินและใช้มือ
สัมผัสธนบัตรในกระเป๋านั้น ก็ทราบทันทีว่าเขา
กำาลังจะเปลี่ยนจากสุจริตชนเป็นอาชญากรตัว
กลั่น ภายใต้การชักจูงหว่านล้อมจากญาติห่างๆ
หล่อนจึงแนะนิ่มๆว่า ทางลัดมีอยู่สองแบบ แบบที่
หนึ่งคือพาไปสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น แบบที่สองคือ
ลากไปลงเหวโดยไม่ให้ตั้งตัวได้ทัน จากนั้นทาย
เป็นขั้นๆว่าชีวิตการเงินการงานของเขาเป็นมา
อย่างไร ตบด้วยการทำานายเป็นฉากๆว่าถ้าเลือก
ทางทุจริตจะต้องประสบกับหายนะร้ายแรงขนาด
ไหน
บ่ายสี่โมง หยิมเข้ามาบอกว่าลูกค้าไม่มา
ตามนัดโดยไม่มีการแจ้งยกเลิก แต่ลูกค้าบ่ายสี่
โมงครึ่งมารอแล้ว จะให้เข้ามาเลยไหม มะแม
ตัดสินใจรับ และคิดเผื่อว่าถ้าลูกค้าสี่โมงมา ก็
ค่อยให้นั่งรอไปเป็นรอบสี่โมงครึ่งแทน
ลูกค้ารายนี้ขอเป็นกรณีพิเศษ ปรึกษาเรื่อง
เดียว แต่มาพร้อมกันสองคน เพราะอยากฟังด้วย
กัน ไม่ต้องไปเถียงกันทีหลังว่าหล่อนให้คำา
ปรึกษาอย่างไรแน่ ซึ่งมะแมก็ไม่เกี่ยง เพราะก็แค่
สองผัวเมียละเหี่ยใจ อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่
ตกลงกันไม่ได้สักเรื่อง อยากหาคนกลางตัดสิน
เท่านั้น ไม่หนักหนาอะไร
คนเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ต่อให้พูด
อธิบาย บางทีก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่นี่ยังแถมมีทิฐิ
ประชดประชันกันอีก เมื่อไรถึงจะเชื่อกันเล่า?
มันเป็นเรื่องง่ายๆสำาหรับมะแม ทว่าเปลี่ยน
นรกให้เป็นสวรรค์ได้ทีเดียวสำาหรับสามีภรรยา ที่
อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี แต่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยรู้ใจ
กันเลย พอมานั่งตรงหน้ามะแมสิบนาที สาว
พลังจิตแค่ไล่ลำาดับให้ฟัง ว่าฝ่ายชายเคยคิด
อย่างไร ฝ่ายหญิงเคยหวังดีขนาดไหน แล้วต้อง
มาผิดใจ ต้องมาเกี่ยงงอน ต้องมาทะเลาะเบาะ
แว้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างไร ปมลับปมซ่อน
ทั้งหลายก็คลี่คลายออกได้
แค่เข้าใจ แค่รู้ใจ แค่ไม่เห็นกันและกันเป็น
อื่น ปัญหาก็กลายเป็นอื่นแทน
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นผัวเมียกอดกันร้องไห้
โฮต่อหน้าหล่อน มะแมยิ้มๆ ไม่ว่าอะไรเมื่อทั้งคู่
อยู่เกินเวลาจนเกือบถึง ๕ โมง ออกจะโล่งด้วยซ้ำา
เพราะตลอดช่วงบ่ายนี้ หล่อนใจเต้นทุกครั้งเมื่อ
ลูกค้าใหม่โผล่หน้าเข้ามา ด้วยความระแวงว่าจะ
นำาหล่อนไปพัวพันกับตำารวจบ้างหรือไม่ เมื่อ
ลูกค้าคู่สุดท้ายกลายเป็นสองสามีภรรยาที่ใจจริง
แสนจะรักกัน มะแมจึงนั่งพิงพนักด้วยความผ่อน
คลายเป็นที่สุด
ลูกค้ามีเงินสดติดกระเป๋าอยู่เกือบหมื่น ทั้ง
คู่มีมติเป็นเอกฉันท์ในอันที่จะยกให้มะแมทั้งหมด
เป็นค่าเสียเวลาเกินกำาหนด แม้มะแมปฏิเสธ ทั้ง
คู่ก็ยืนกรานและลุกขึ้น หันหลังเดินจากไปแบบไม่
ให้โอกาสปฏิเสธซ้ำา
มะแมระบายยิ้มอ่อนในหน้าขณะเดินมาส่ง
สองสามีภรรยาขึ้นรถ กระแสความขัดแย้ง
ระหว่างทั้งสองสิ้นสุดลง กลายเป็นฟื้นฟูสายใย
เดิมกลับมาเชื่อมติดเข้ากันได้ ปรองดองประดุจ
รักใหม่ นี่คือฉากจบของงานวันนี้
กอดอกถอนใจเฮือกขณะสายตามองตาม
ท้ายรถที่ห่างออกไปทุกที ไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่มี
สิ่งใดเกิดขึ้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจดหมายลึกลับมี
อิทธิพลกับจิตใจของหล่อนเพียงใด มะแมขบฟัน
นิดๆ ตั้งใจว่าเมื่อใดจดหมายลึกลับฉบับต่อไปมา
ถึง หล่อนจะโยนทิ้งถังผงทันทีโดยไม่เปิดอ่านอีก!
บทที่ ๔
โฮมออฟฟิศ ๓ ชั้นของมะแมอยู่ต้นๆถนน
บางนา-ตราด อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆห้างใหญ่ใน
ย่านนั้น หล่อนเลือกเป็นที่ทำางานพร้อมอยู่อาศัย
เสร็จ เพราะค่าเช่าไม่แพง เข้าซอยไม่ลึก ใกล้
ทางด่วนและถนนวงแหวน แถมสร้างอย่างมี
คุณภาพ อยู่สบาย ไม่เป็นแบบโครงการสุกเอา
เผากิน
แต่สิ่งแวดล้อมในซอย ปะปนกันระหว่างดี
กับแย่ ถนนบางช่วงเรียบ บางช่วงเป็นหลุมเป็น
บ่อ กับทั้งเป็นย่านชุมชนที่คละกันระหว่างมั่งมีกับ
ยากจน
ชื่อเสียงจากการทำานายแผ่นดินไหวของ
มะแม แม้ล่วงเลยมาเกือบสองปีก็ยังมีคนจำาได้
แต่นั่นไม่สำาคัญเท่าความน่าเชื่อถือที่ลือกันแบบ
ปากต่อปาก หล่อนเป็นที่ปรึกษาพลังจิตในคราบ
นักจิตวิทยาปริญญาตรี แถมจบจากมหาวิทยาลัย
อันดับหนึ่งของประเทศ ฉะนั้น ถึงแม้จะอยู่ย่าน
ชานเมือง ก็ยังคงมีความเป็นแม่เหล็กดึงดูด
ลูกค้าจากทางไกล ให้โทร.มาจองคิวล่วงหน้า
หลายเดือนได้อยู่ดี
มะแมเพิ่งถอยแจ๊ซป้ายแดงมาไม่กี่อาทิตย์
ยังสนุกกับการได้ขับไปไหนมาไหนบ้าง และคืน
นั้นก็นึกอยากกินข้าวเย็นนอกบ้าน จึงตั้งใจพาห
ยิมไปที่ร้านข้าวต้มเจ้าประจำาหน้าปากซอย
"พี่มะแมคะ หยิมขอถามอะไรหน่อยได้
ไหม"
เด็กสาวผมสั้นเอ่ยตั้งแต่ก่อนออกรถ เพราะ
เห็นนายสาวกำาลังสาละวนพิมพ์ข้อความทางมือ
ถืออยู่
"ได้สิ ว่ามาเลย"
มะแมอนุญาตขณะสายตายังจับอยู่ที่หน้า
จอจิ๋ว สองนิ้วโป้งยังพิมพ์ตอบข้อความทักทาย
ของเพื่อนเก่าไม่หยุด
"หยิมพยายามไม่โกรธ พยายามคิดดีกับ
ยายหนุนที่ตลาด แต่แกก็ไม่ค่อยจะพูดดีกับหยิม
เลย ไม่รู้หยิมเคยไปทำาอะไรให้แต่ชาติปางไหน
ซื้อของจากแกทีไร มีเรื่องให้แค้นใจแทบทุกที วัน
นี้จู่ๆแกก็ถามค่ะ ว่าหน้าตาจุ๋มจิ๋มแบบนี้ไม่ลอง
ขายตัวบ้างหรือ"
หญิงสาวหัวเราะขำาคำาพูดของเด็กใน
ปกครอง
"หยิมก็ดูไว้นะ จะสร้างมิตรต้องคิดกันมาก
หน่อย แต่สร้างศัตรูนั้นง่ายนิดเดียว แค่พูดทุกคำา
ที่คิดก็พอ"
"ใช่ค่ะ! แล้วหยิมอยู่กับพี่มะแม ก็กลายเป็น
ศัตรูที่จ๋องๆกับฝ่ายตรงข้ามไปเสียแล้ว จะด่า
ตอบเหมือนเมื่อก่อนก็รู้สึกผิด อึดอัดจริงๆ ไม่
ทราบจะตอบโต้อย่างไรดี"
"คราวหลังหยิมก็ถามยายหนุนนิ่มๆสิว่า
ตัวหยิมนี่ขายได้เท่าไหร่"
"อุ๊ย! ทำาไมพี่มะแมยุให้หยิมพูดอย่างนั้นล่ะ
คะ?"
มะแมกดปุ่มส่งข้อความ เก็บโทรศัพท์เข้า
กระเป๋าถือ ก่อนหันมามองหยิมเต็มตา
"ก็ยายหนุนแกอาจจะไม่ได้ตั้งใจดูถูกหยิม
แกพูดแบบนั้นเพราะอยู่ในโลกแบบนั้น เราก็
ทำาให้รู้เสียว่าเราอยู่คนละโลก โดยทำาให้เข้าใจว่า
ค่าตัวของเราไม่ได้อยู่ที่ราคาเท่าไหร่ แต่อยู่ที่เรา
ขายไหม ถ้าเลือกจะไม่ขาย ต่อให้แสนนึงก็ซื้อ
ศักดิ์ศรีของหยิมไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว!"
หากเป็นเมื่อสองปีก่อนหยิมอาจสวนทันที
ด้วยความซุกซนคะนองปากว่า "ตอนหิวๆให้
ทอดมันถุงหนึ่งก็ขายแล้วค่ะ ศักดิ์ศรี" แต่นาทีนี้
รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นอีกคน มีค่า รู้คิด รัก
เกียรติ และไม่คิดแม้จะพูดเล่นเรื่องขายศักดิ์ศรี
ความเป็นลูกผู้หญิง
"แกบอกเหมือนกันค่ะว่าอย่างหยิมนี่ถ้า
แต่งหน้าแต่งตัวดีๆ มีสิทธิ์ได้ครั้งละเป็นพัน
ทำาท่าเหมือนจะเป็นแม่เล้า หรือเป็นนายหน้าให้
แม่เล้างั้นแหละ"
มะแมเอื้อมมือลูบศีรษะเด็กสาวอย่างอ่อน
โยน
"เรื่องผ่านมาแล้ว อย่าหงุดหงิดขมวดคิ้ว
นิ่วหน้าเลย ยายหนุนอาจนอนตีพุงทำาอะไรอยู่ที่
บ้านแก ไม่ได้มาพูดอะไรกับหยิมตอนนี้เสียหน่อย
แกอยู่ส่วนของแก เราอยู่ส่วนของเรา อภัยแก
ตอนนี้ เราก็สบายตอนนี้นะ"
ปลอบเสร็จก็สับเกียร์ เหยียบคันเร่งออกรถ
หยิมฟังแล้วหัวเราะถอนฉิว
"พี่มะแมชอบสอนให้หยิมอภัย อภัย บางที
หยิมก็คิดไม่ออกจริงๆนะคะว่าอภัยแล้วจะได้อะไร
มีแต่เสียเปรียบชาวบ้านวันยังค่ำา ปล่อยให้เขาทำา
ข้างเดียว"
"ตอนนี้อึดอัดมากไหม?"
"อึดอัดสิคะ"
"แล้วร้อนรุ่มกลุ้มใจแค่ไหน?"
"มากเลยค่ะ ยิ่งคิดยิ่งอยากด่าคนแก่ เดี๋ยว
พรุ่งนี้อาจอดใจไม่ไหว"
"พี่รู้สึกนะ ตอนนี้เหมือนหยิมโดนขังอยู่ใน
เตาอบ ทั้งอึดอัด ทั้งร้อน"
ขณะพูด มะแมสร้างมโนนึกขึ้นภาพหนึ่ง
เห็นเหมือนคนข้างตัวนั่งอยู่ในห้องขังอุณหภูมิสูง
จัด เป็นการขยายภาวะความจริงที่กำาลังเกิดขึ้น
และเหนี่ยวนำาให้เด็กสาวรู้สึกตามได้อย่างแจ่มชัด
"ก็จริงนะคะ"
"นั่นแหละ! ฉะนั้นนะ อย่าถามว่าอภัยแล้ว
จะได้อะไรมา ให้ถามว่าอภัยแล้วเป็นอิสระจากคุ
กร้อนๆจะเอาไหม?"
หยิมเบิกตานิดหนึ่ง ความร้อนในอกหายวูบ
คิดยกโทษให้ยายหนุนหมดใจได้อย่างน่า
อัศจรรย์!
มะแมรู้สึกถึงความสงบระงับนั้น จึงเอ่ยสืบ
มา
"อันนี้เหมือนคาถานะ ต้องท่องบ่อยๆ ไม่
งั้นลืม ท่องไว้... เอาไหม อภัยแล้วหายร้อน"
หยิมมองนิ่งไปข้างหน้าครู่หนึ่ง ก่อนรับคำา
เสียงแผ่ว
"ค่ะ..."
ขณะนั้นเอง รถกระบะสองตอนคันหนึ่งขับ
สวนมา โดยเปิดไฟสูงไม่หรี่ให้ตามมารยาทของ
การวิ่งสวนกันบนถนนสองเลน แถมคนขับยัง
หลบหลุมบ่อ เบี่ยงหัวรถกินเลนคล้ายจะเข้ามาชน
หล่อน ยังผลให้หญิงสาวกระตุกวูบ หักหลบซ้าย
ทันควัน ต่างฝ่ายต่างผ่านกันไปได้แบบเฉียดฉิว
แน่นอนรถใหญ่ย่อมเฉยๆ แต่รถเล็กถึงขั้นใจหาย
ใจคว่ำาที่เกือบต้องพุ่งหลาวลงข้างทาง
มะแมย่นคิ้วหน่อยๆ สัมผัสถึงความกร่าง
แบบนักเลงโตเจ้าถนนของคนขับ การหลบหลุม
แบบไม่สนใจว่าจะก่ออันตรายให้รถสวนหรือไม่
นั้น นับว่าเห็นแก่ตัว ส่อความกักขฬะ ก้าวร้าว ไม่
เกรงใจใคร หญิงสาวจึงอดโมโหไม่ได้
แต่ด้วยความที่เพิ่งสอนเด็กมาหยกๆ มะแม
จึงยิ้มฝืดๆอย่างตลกตัวเอง ความจริงหล่อนมี
เรื่องให้น่าโกรธมากมายในระหว่างวัน เพราะ
ลูกค้าแต่ละคนมาพร้อมกับปัญหาและอาการจะ
เอาให้ได้อย่างใจ แต่อาจจะเพราะหล่อนอาศัย
ลูกค้าเป็นเครื่องฝึกใจมานาน จึงมีกำาแพงของ
ความใจเย็นไว้ตั้งรับ เลยเหมือนวางความโกรธ
ได้แล้ว ไม่โกรธมานานแล้ว
ต่อเมื่อลดการ์ดลง และต้องเผชิญกับ
เหตุการณ์รุกล้ำาสวัสดิภาพกันท่านี้ จึงเป็นโอกาส
ดีที่ได้เห็นว่ายังโกรธได้ และที่ดีที่สุดคือเห็นว่า
โกรธแล้วหายเร็วเพียงใด เพียงเมื่อรู้สึกถึงความ
ร้อนในใบหน้า โทสะก็ลดอุณหภูมิลงให้รู้สึกได้
เกือบจะในทันทีเช่นกัน
เหลือบมองทางกระจกหลัง เห็นไฟท้ายรถ
กระบะค่อยๆห่างไป แล้วโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ มะแม
ก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของคนขับ มันช่าง
หยาบช้าสามานย์ผิดมนุษย์นัก
หญิงสาวหุบยิ้มทันใด กะพริบตาถี่ๆ สำารวจ
จนแน่ใจว่าการตัดสินดีชั่วให้คนอื่นในคราวนี้
มิใช่เพราะปนเปื้อนอยู่ด้วยโทสะจากเรื่องส่วนตัว
แน่ใจว่าใจหล่อนมีสติเยือกเย็นแล้ว กับทั้งเกิด
ภาวะจิตสัมผัสเต็มกำาลัง ไม่ต่างจากขณะนั่งอยู่ใน
เวลาทำางานระหว่างวันด้วย
โทสะแบบนั้นมันโทสะของโจรชัดๆ โทสะที่
พร้อมจะทำาร้าย โทสะที่พร้อมจะฆ่าแกงสุจริตชน
ได้โดยไม่มีความละอายแม้แต่นิดเดียว คุณพระ
ช่วย! หล่อนเพิ่งขับรถสวนกับอาชญากรที่กำาลัง
จะเดินทางไปก่อเรื่องโหดเหี้ยมหรือนี่?
มะแมใจเต้น ถึงกับต้องชะลอรถจอดแอบ
ข้างทาง
"มีอะไรหรือคะพี่?"
หยิมถามอย่างเป็นห่วง นึกว่าหล่อนไม่
สบายกะทันหัน
"เปล่า..."
ปากตอบ แต่นัยน์ตาดำาคู่งามก็ตวัดไปหาก
ระจกมองหลังอีกครั้ง คราวนี้สัมผัสชัดว่ารถ
กระบะคันนั้นหุ้มห่อไปด้วยความมุ่งร้ายหมาย
ชีวิต และความรับรู้ต่อมาคือเหยื่อแห่งความคิด
มุ่งร้าย ก็ถูกคุมตัวมาในรถนั่นเอง ที่ทราบก็
เพราะสัมผัสถึงความอัดอั้นทางปาก ความขยับ
ไม่ได้ของมือไม้ ซึ่งคงหมายถึงการถูกมัดปาก
มัดมือมัดเท้าแน่นหนา
นอกจากนั้นยังปนเปื้อนด้วยกระแสความ
กลัว ร่ำาร้องเรียกหาอิสรภาพด้วยความสิ้นหวัง
ซึ่งก็คงเพราะเดาชะตาในอนาคตอันใกล้ของตน
ได้ถูกว่าจะลงเอยเช่นไร
ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงของเหยื่อในรถ
ที่กระทบใจมะแม ค่อยปรากฏรายละเอียดความ
เป็นเขาในระลอกต่อมา เขารักความเป็นธรรม
เขาเสียสละความสุขและความปลอดภัยส่วนตัว
เพื่อส่วนรวม และเขาก็ทำาใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวัน
นี้อาจต้องมาถึง
น้ำาใจเสียสละรูปนั้น ไม่น่าเป็นอื่นนอกจาก
น้ำาใจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แท้ๆคนหนึ่ง!
มะแมได้ข้อสรุปกับตนเองอย่างรวดเร็ว
ตำารวจดีๆกำาลังจะถูกเชือดภายในไม่กี่นาทีข้าง
หน้า ความสงสารโจมจับหัวใจรุนแรง เขาทำาเพื่อ
ประชาชน รู้ทั้งรู้ว่าถ้าตัวเองเข้าตาจน จะไม่มี
ประชาชนคนไหนเหลียวแล...
หากเปรียบรสของจิตสัมผัสเหมือนน้ำาผลไม้
คราวนี้ก็เข้มข้นจัดเหมือนน้ำามะนาวที่ปราศจาก
น้ำาเชื่อม ปราศจากน้ำาจืดช่วยเจือจาง จึงเปรี้ยว
จี๊ดขึ้นสมอง ปรากฏความขมแหลมคมทิ่มแทง
สำานึกให้มะแมรีบทำาสิ่งใดสิ่งหนึ่งทันที ก่อนจะทัน
คิดถึงผลที่ตามมาด้วยซ้ำา!

"เฮ้ย! พี่โต แจ๊ซคันนั้นมันกลับรถตาม


เรามาว่ะ!"
ชายหน้าเสี้ยมผู้ทำาหน้าที่สารถีส่งเสียงเป็น
สัญญาณเตือนภัย หลังจากเห็นทางกระจกมอง
หลังว่ารถที่เพิ่งสวนกันยูเทิร์นตามมาอย่างผิด
ปกติ ด้วยความที่ถนนว่างโล่งและเป็นทางตรง
เขาจึงเห็นทุกสิ่งถนัดจากระยะไกล
"ฮื้อ! แน่ใจเหรอะ?" คนนั่งข้างขมวดคิ้ว
แบบสงสัยว่าคนขับตื่นตูมไปเองหรือเปล่า "เมื่อกี้
กูเห็นมึงขับหลบหลุมเกือบขวิดมันตกทางน่ะ มัน
โมโหแล้วจะตามมาเอาเรื่องมั้ง?"
"ฉันสังหรณ์ว่าไม่ใช่นะ ความรู้สึกอย่างกับ
แม่งเป็นตำารวจ"
โตไม่หันกลับไปมองหลัง สีหน้าผ่อนคลาย
ลงด้วยความเชื่อว่าลูกน้องคิดมากไปเอง พออุ้ม
ตำารวจ เลยนึกว่าเพื่อนตำารวจจะมาช่วย
"ตอนนี้ทั้งตัวมันเหลือแต่กางเกงลิงตัว
เดียว แล้วมึงก็ทิ้งมือถือมันไปแล้ว จะหาสัญญาณ
ตามตัวได้จากไหนอีก?" แต่เพื่อความไม่ประมาท
ระหว่างพูดโตก็กดเบอร์มือถือถึงลูกน้องที่รังไป
ด้วย "ไอ้ฮั่น! กูกำาลังจะไปถึงนะ ภายในนาทีสอง
นาทีนี้แหละ แต่ไอ้แป๊กสงสัยว่ามีคนตามหลังเรา
มา เป็นรถแจ๊ซ มึงพาคนออกมาซุ่มที่หน้าปาก
ซอยให้ที ถ้ามีเค้าว่าจะใช่พรรคพวกมันจริงก็หา
ทางลากมาด้วย"
พอสั่งการแล้วโตก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาเอง
ก่อนกดปุ่มวางสายจึงกำาชับเสียงเครียด
"อย่าเสือกทำาโฉ่งฉ่างล่ะ หาจังหวะให้ดีๆ
หน่อย!"

ลึกเข้ามาในซอย ไฟยังคงสว่าง ข้างทาง


มีทั้งหมู่บ้าน ตลอดจนโรงงานต่างๆเรียงราย มิใช่
เขตรกร้าง รถวิ่งผ่านมาผ่านไปเป็นระยะ มะแมจึง
คิดว่าการที่รถคันหนึ่งจะวิ่งตามรถอีกคันมา ไม่
น่าเป็นเรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด
และสำาหรับหยิม เมื่อเจ้านายอยากทำาอะไร
ก็ต้องปล่อยให้ทำา หาใช่วิสัยที่บ่าวจะขอค้าน แต่
บรรยากาศยามนั้นดูอึมครึมผิดสังเกตชอบกล
กระทั่งหยิมอดถามด้วยความหวาดแปลกๆไม่ได้
"พี่มะแมตามเขามาทำาไมคะ คนรู้จักเห
รอ?"
มะแมไม่อยากให้เด็กสาวตื่นกลัว ขณะ
เดียวกันก็ไม่อยากโกหก จึงเลี่ยงว่า
"ขอดูให้แน่ใจหน่อยก็แล้วกัน พี่อาจคิดไป
เองก็ได้"
ก่อนทะลุออกถนนลาซาล รถกระบะที่วิ่งนำา
หน้าก็เลี้ยวขวาเข้ากิ่งซอยแยก ซึ่งเห็นได้จาก
ระยะไกลว่าสุดกิ่งซอยประมาณ ๕๐ เมตรมีบ้าน
เดี่ยวอยู่เพียงหลังเดียวบนที่ดินรกร้างรอบด้าน
มะแมซึ่งขับตามมาไกลๆ เห็นเช่นนั้นก็
ชะลอลงจอดห่างประมาณหนึ่งเสาไฟฟ้า เมื่อรถ
กระบะหายเข้าไปในรั้วบ้าน หล่อนก็ไม่สามารถ
เห็นสิ่งใดด้วยตาเปล่าได้อีก อย่างมากก็ใช้สัมผัส
พิเศษ ล่วงรู้ว่ามีการลากถูลู่ถูกัง มีการขัดขืน มี
ความวุ่นวาย และมีการเจ็บเนื้อเจ็บตัวตามมา
สาวพลังจิตกุมพวงมาลัยเม้มปากแน่น มา
ถึงที่แล้วเอาไงต่อ?
ถามตัวเองง่ายๆ ถ้าเห็นคนกำาลังจะจมน้ำา
ต่อหน้าต่อตา จะช่วยไหม แน่นอนตอบได้ทันทีว่า
ต้องช่วย แต่ถ้าเห็นคนกำาลังจะถูกกระทำาทารุณ
ด้วยสัมผัสทางจิตล่ะ ให้ทำาอย่างไรถึงจะไม่ต้อง
รู้สึกผิดไปจนวันตาย?
ฉับพลัน มะแมก็นึกถึงคำาเตือนในจดหมาย
ลึกลับ ราวกับแว่วเสียงตัวจริงมาเองเลยทีเดียว

อย่ายุ่งกับเรื่องของตำารวจ ไม่อย่างนั้นจะ
ตกอยู่ในอันตราย!

ขนลุกเป็นระลอก ใจหนึ่งอยากเอาตัวรอด
หล่อนกับเด็กลูกจ้างเป็นแค่ผู้หญิงไร้พิษสง และ
ไม่ใช่หนูในนิทานที่กัดบ่วงแร้วนายพรานให้
ราชสีห์หลุดรอดได้ไหว ทำาไมจะต้องฝืนเล่นบท
พระเอก เพียงเพื่อพบผลสุดท้ายว่าช่วยอะไร
ตำารวจเคราะห์ร้ายไม่ได้อยู่ดี?
เปลี่ยนจากเม้มปากเป็นกัดปาก นาทีที่
สมองเกือบสั่งเท้าให้เหยียบคันเร่ง หัวใจก็ตะโกน
ห้ามไว้ ในตัวมนุษย์มีแรงดันแบบหนึ่งที่ทำาให้ทน
ไม่ได้ กับการปล่อยคนดีๆให้ตกตายไปเฉยๆ
และแรงดันชนิดนั้นเอง ที่ไม่ยอมให้มะแมเอาแต่
นั่งนิ่ง
คิดอะไรไม่ออกเกือบครึ่งนาที คล้ายในหัว
อึงอลด้วยเสียงทะเลาะระหว่างคนสองคน แต่แล้ว
ก็ทำาตาโตอย่างนึกออก ปีก่อนหล่อนเคยมีลูกค้า
คนหนึ่งเป็นสารวัตร สน. บางนา เขากับภรรยา
พากันมาหาหล่อนและกลับไปด้วยความประทับ
ใจยิ่ง โดยได้ทิ้งเบอร์ไว้ บอกว่าถ้ามีปัญหาดึกดื่น
ค่อนคืนแค่ไหนให้โทร.เรียกได้ไม่ต้องเกรงใจ เขา
จะมาช่วยจัดการด้วยตนเอง
แน่นอน ผู้หญิงตัวคนเดียวที่มีเด็กสาว
ลูกจ้างเป็นเพื่อน ย่อมต้องเก็บเบอร์นายตำารวจ
คนนั้นเข้ามือถือไว้เป็นหลักประกันความอุ่นใจ ซึ่ง
ยามนี้มะแมก็นึกขอบคุณตัวเองเมื่อปีกลายยิ่ง
กับทั้งภาวนาให้สารวัตรคนนั้นยังไม่ย้ายไปไหน
และสะดวกพอจะรับโทรศัพท์หล่อนเดี๋ยวนี้ด้วย
เถิด
เพียงพิมพ์ในช่องค้นหาว่า "สาร" หน้าจอก็
แสดงผลบรรทัดแรกของบัญชีรายนามเป็น
"สารวัตรกฤษฎา" ทันที ชื่อนั้นดูสุกสว่างเกินจริง
จนก่อความสุขล้นอก เชื่อมั่นว่านี่คือการทำาดีที่สุด
เท่าที่จะทำาได้แล้ว ส่วนผลออกมาสำาเร็จหรือล้ม
เหลว ก็พ้นจากความรับผิดชอบของหล่อนอย่าง
สิ้นเชิง
"ฮัลโหล"
เสียงห้าวใหญ่ดังมาแบบคนอารมณ์ดี
"สารวัตรคะ จำามะแมได้ไหม ที่สารวัตร
เคย..."
"อ๋อ! น้องมะแมเหรอ จำาได้ๆ!" เสียงของ
คนรับร่าเริงยิ่ง "เป็นไงมั่ง นี่พี่แนะนำาเพื่อนไป
หลายคนแล้วนะ"
"ขอบพระคุณค่ะพี่... เอ่อ..."
ปลายเสียงของมะแมแผ่วหายไปในลำาคอ
ได้ยินเสียงเคาะกระจกก๊อกๆ และเมื่อเหลือบตาดู
ก็พบชายฉกรรจ์ ๓ คน ซึ่งโผล่มาจากไหนไม่
ทราบ ล้อมรถหล่อนไว้ในขณะนี้
หยิมร้อง "อุ๊ย!" ออกมาดังๆ ห่อตัวเหลือบ
ซ้ายแลขวาด้วยความตกใจ มะแมเองก็ตระหนก
วูบงงงัน สมองถึงกับไม่สั่งการใดๆไปชั่วขณะ
"น้องมะแม มีอะไรหรือเปล่า?"
เสียงของผู้กองร้องถามมาอย่างสำาเหนียก
ถึงความผิดปกติ แต่ไม่ทันตอบอะไร คนเคาะ
เรียกเบาๆเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นตบกระจกปังๆ ส่ง
พลังกระแทกคุกคาม แขนขวาของมะแมถึงกับ
กระตุกขึ้นป้องศีรษะและเอี้ยวหลบในอาการสะดุ้ง
มือซ้ายปล่อยโทรศัพท์ร่วงหล่นลงตักโดยไม่รู้ตัว
"ขอคุยด้วยหน่อยซิ!"
เสียงดังฟังชัดนั้นทะลุผ่านกระจกเข้ามา
มะแมละล้าละลัง ความรู้สึกคืออยากเข้าเกียร์
เหยียบคันเร่งหนีออกไปให้เร็วที่สุด จะไม่ยุ่งเกี่ยว
อะไรด้วยแล้ว แต่ความกลัวอีกชนิดก็แล่นขึ้นมา
ยับยั้งไว้ หล่อนอาจถูกยิงจากข้างหลัง แทนที่จะ
ไม่โดนอะไรเลยถ้ายอมพูดดีๆเสียแต่แรก
ไม่รู้ทำาไปได้อย่างไร แต่ก็พบว่ากระจก
ไฟฟ้าลดระดับลงด้วยมือหล่อนเอง เปิดรับความ
ข้นหนักของอากาศภายนอกเข้ามาเต็มๆ หน้าตา
ถมึงทึงนั้นเอาเรื่องแน่ๆถ้าหล่อนช้ากว่านี้
"มีอะไรหรือคะ?"
ยังดีที่แก้วเสียงยังใสพริ้ง ซึ่งยินเสียง
ตนเองเช่นนั้นเลยทำาให้มะแมใจชื้น พอจะยิ้มแบบ
ใจดีสู้เสือไหว
"เมื่อกี๊คุยกับใคร? ส่งโทรศัพท์มานี่!"
มะแมตัวแข็ง หมดกำาลังใจสู้เสือทันที บอก
ตนเองว่าหล่อนพลาด ถูกจับได้ และจะต้องรับ
โทษหนัก กลืนน้ำาลายด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้
ค่อยๆเลื่อนมือไปกดปุ่มตัดสัญญาณโทรศัพท์บน
หน้าตักทิ้ง แต่อิดเอื้อนไม่ยอมส่งของเข้ามือโจร
หน้าเหี้ยมตามคำาสั่ง
"จะให้ใช้กำาลังหรือเปล่า? นี่พูดดีๆแล้วนะ"
หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้อง สบตาฝ่าย
คุกคามขวัญด้วยใจเต้นระทึก สีหน้าซีดเซียว
อย่างน่าสงสาร รู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หล่อนก็
จำาต้องยื่นมือถือส่งให้หมอนั่นจนได้
นักเลงโตผู้ตั้งท่าเหมือนแมงดารังแกผู้หญิง
กระชากโทรศัพท์มาได้ก็กดดูหมายเลขล่าสุด
ทันที พอเห็นชื่อ "สารวัตรกฤษฎา" เท่านั้นก็พยัก
ยิ้ม โน้มร่างสูงลงมาเกาะขอบประตูมองมะแม
ด้วยแววประกาศชัย ประมาณว่าเสร็จฉันล่ะ เธอ
เป็นนักโทษของฉันแล้ว
ขณะนั้นสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น นักเลง
กล้ามใหญ่เหลือบดูเห็นเป็นชื่อนายตำารวจกฤษฎา
โทร.กลับมา ก็กดปุ่มออฟค้างเพื่อปิดเครื่องหนี
แล้วสั่งว่า
"เปิดประตูหลังให้พี่เข้าไปนั่งหน่อยซิ"
"พี่มะแม! อย่าเปิดนะคะ!"
หยิมหวีดร้องเสียงหลง
"ลองร้องแสบแก้วหูกูอีกทีนะมึง..."
เสียงนั้นเยียบเย็นพอจะสะกดให้สองสาว
ยุติอาการแข็งขืนปฏิเสธใดๆ มะแมสำาเหนียกได้
ถึงความคิดอำามหิตบางอย่างในอีกฝ่าย จึงรีบละ
ล่ำาละลักบอก
"เปิดเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ!"
นักโทษสาวกุจีกุจอปฏิบัติตามที่พูด หล่อน
ต้องหันรีหันขวางค้นหาอยู่ชั่วอึดใจว่าปุ่มเปิดล็อค
ตอนหลังอยู่ตรงไหน เนื่องจากยังไม่คุ้นรถใหม่
ขึ้นใจ แถมกำาลังอยู่ในภาวะไม่ปกติเข้าให้อีก
คนเป็นลูกพี่ใหญ่ในที่นั้นหันมาสั่งลูกน้อง
"ป่อง! มึงเอารถกลับ ส่วนไอ้ตุ่ยมากับกู"
"แล้วพี่ฮั่นจะไปไหนล่ะ?"
ป่องถาม และฮั่นก็ตอบพลางเปิดประตูแจ๊ซ
ตอนหลัง
"รังแปด! เดี๋ยวกูโทร.บอกพี่โตให้ย้ายที่
ตามไปเอง งานนี้ไม่ธรรมดาแล้ว แม่งหาพวกเรา
เจอได้ยังไงก็ไม่รู้ คงต้องรีดกันหน่อยล่ะ แต่
ท่าทางไม่ยากหรอก!"
ป่องพยักหน้าและเดินแยกไปขึ้นรถกระบะ
มิตซูบิชิ ซึ่งตนขับสวนทางมาจอดต่อท้ายแจ๊ซ
โดยมะแมไม่ทันสังเกต เนื่องจากเมื่อครู่กำาลัง
ว้าวุ่น กดโทรศัพท์เรียกหาตำารวจอยู่
ฮั่นกับตุ่ยขึ้นรถโดยเจ้าของไม่ได้เชื้อเชิญ
กับทั้งไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนั่งได้ก็บอก
ราวกับสั่งแท็กซี่
"ขับตรงไปเลยน้องสาว ถึงลาซาลแล้ว
เลี้ยวขวานะจ๊ะ"
เขาพูดปกติ ไม่ได้กระโชกโฮกฮากขู่ขวัญ
แต่อย่างใด แต่มะแมฟังเป็นคำาสั่งบังคับให้ทำา
เรื่องฝืนใจที่สุดในชีวิต ส่วนหยิมนั่งตัวเกร็ง นี่ถ้า
ปวดฉี่กว่านี้อีกนิดเดียวคงปัสสาวะราดแน่ๆ อด
รนทนไม่ได้กับประสบการณ์ชวนขี้ขึ้นสมองหนัก
เข้า ก็หันมาร้องถามเสียงกระเส่า
"พวกพี่เข้าใจผิดหรือเปล่า หนูกับเจ้านาย
จะออกมากินข้าวเย็นกันเฉยๆนะ"
ฮั่นเอาปืนสั้นมาจากไหนไม่รู้ รู้แต่หวดด้าม
ปืนใส่ศีรษะหยิมโป๊กใหญ่
"โอ๊ย!"
หยิมร้องสุดเสียงเหมือนถูกยิง ยกสองมือ
กุมขมับแน่น มึนงงเกือบสลบล้มคอพับ ฮั่นยิ้มมุม
ปากนิดๆด้วยความสะใจ
"อันนี้เขาเรียกด้ามปืน แต่เดี๋ยวจะแนะนำา
ให้รู้จักลูกปืนถ้าไม่เข็ด" แล้วฮั่นก็สั่งมะแมเสียง
เฉียบ "ออกรถได้แล้ว!"
หญิงสาวใช้มือชุ่มเหงื่อสับเกียร์แล้วแตะ
เท้าลงที่คันเร่ง ด้วยความรู้สึกคล้ายกำาลังเดิน
ทางไปสู่นรก หล่อนกำาลังอยู่ในมือโจรที่กล้าตบตี
ผู้หญิง คงไม่ฉลาดนักถ้าจะทำาอะไรเป็นการยั่วยุ
โทสะ
"คิดเสียว่างูจ่อหลังเตรียมฉกน้องอยู่นะจ๊ะ
ขับไปตามคำาสั่ง ทำาตัวนิ่งๆ อย่าตุกติก แล้วใน
ที่สุดงูก็จะคลานหายไป เคยดูหนังใช่ไหม?"
ตุ่ยซึ่งนั่งเบาะซ้าย มองเสี้ยวหน้ามะแมจาก
มุมทะแยงแล้วอยากมีส่วนร่วม ด้วยการแกล้งพูด
กระซิบกระซาบแบบจงใจให้คนนั่งตอนหน้าได้ยิน
"หน้าตาวอนถูกข่มขืนจริงๆว่ะพี่"
"คนไหน?"
ฮั่นถามดังๆ ไม่ทำาเป็นกระซิบตาม
"ทั้งสองคนแน่ะ!"
ตุ่ยตอบดังๆบ้าง แล้วสองทุรชนคนบาปก็
หัวเราะแบบเถื่อนๆเป็นการเขย่าขวัญเหยื่อในมือ
ซ้ำา และนั่นก็ถึงกับทำาให้เหยื่อสาวทั้งสอง
เงียบกริบ
"พวกพี่ไม่ทำาอะไรน้องหรอก" ฮั่นเอ่ย
เอื่อยๆเมื่อรู้สึกได้ว่าข้างหน้ากำาลังเครียดกัน
สุดขีด "แต่น้องต้องให้ความร่วมมือกับพวกพี่ดีๆ
อย่าโวยวาย อย่าตอแหล อย่าคิดหาทางตามพ
วกมาช่วย ไม่งั้นจะพบว่าพวกเราชอบซ้อมก่อน
เรียงคิวแก้โมโห แทนที่จะกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ใน
ฮาเร็มสวาทกันเฉยๆ"
ตุ่ยหัวเราะชอบใจกับสำาบัดสำานวนของลูกพี่
ขณะที่คนตกเป็นเบี้ยล่างไม่มีทางขำาได้ออกกับ
ภาพเลวร้ายที่ถูกวาดไว้นั้น
คนถือไพ่เหนือริบโทรศัพท์หยิมมาอีกคน
และระหว่างทางเมื่อฮั่นเห็นจังหวะเหมาะ เจอคูน้ำา
ก็ลดกระจกขว้างอุปกรณ์สื่อสารทั้งของมะแมและ
หยิมทิ้ง เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ถ้าคิดว่านี่เป็น
สายตำารวจ โอกาสโดนติดตามตัวผ่านอุปกรณ์ที่
ติดตั้งไว้ในมือถือก็มีสูง
มะแมถูกสั่งให้ขับไปสู่ทางพิเศษสาย
บางพลี-สุขสวัสดิ์ เวลาผ่านไป ได้ยินเสียงหยิม
แอบร้องไห้กระซิกๆแล้ว ใจหนึ่งหญิงสาวก็อยาก
ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากผู้คนข้างทาง
หรือไม่ก็ลองขับรถพุ่งชนสิ่งกีดขวางอะไรสักอย่าง
รถมีแอร์แบก อย่างมากก็เจ็บตัวทุลักทุเลกัน
หน่อย เดี๋ยวคงได้คนมาช่วยเอง
แต่จนแล้วจนรอดก็ได้แต่ขับรถตัวทื่อ ไม่
กล้าลงมือทำาอะไร เพราะจิตใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับ
ตัวดี คิดอะไรไปสารพัดโดยไม่แน่ใจว่าผลของ
การทำาตามความคิดจะออกหัวออกก้อยท่าไหน
ฮั่นติดต่อทางโทรศัพท์กับพรรคพวก วาง
จากคนหนึ่งต่อสายถึงอีกคน ยังคุยไม่จบก็สลับ
ไปคุยสายอื่นอีก มะแมพยายามเงี่ยหูฟังแต่ไม่
ค่อยรู้เรื่อง ได้ยินคำาสำาคัญเช่นรังแปด เจ้านาย
อยู่ไหน ตำารวจคายความลับหรือยัง นังนี่สวยไม่
เหมือนพวกตำารวจเลยจริงๆพับผ่าเถอะ
ยิ่งห่างออกมา เส้นทางยามราตรียิ่งโล่งขึ้น
ต้องชะลอรถหรือหลีกหลบรถน้อยลง ความคิด
โง่ๆที่เรียงขบวนผ่านมาในหัวก็เริ่มซาลงตามกัน
และพอคิวความคิดโง่ๆหมดไป ความคิดฉลาดๆ
ก็เริ่มทยอยตัวกลับมาแทน
อันดับแรกคือตระหนักว่าสถานการณ์ถึง
เลือดถึงเนื้อครั้งนี้จะไม่ผ่านไปโดยง่าย ไม่ใช่แค่
ร้องโหวกเหวกแล้วจบ กับทั้งจะไม่มีปาฏิหาริย์ใด
จากนอกรถมาช่วยแน่ๆ
ลากลมหายใจยาว เมื่อรู้สึกถึงความ
ละเอียดประณีต มะแมก็ทราบว่าสติกลับมาเต็ม
ร้อยแล้ว จึงใช้ความคิด กับทั้งเริ่มเชื่อความคิด
สถานการณ์ร้ายแรงขนาดนี้ มองแล้วเห็นแต่
ปาฏิหาริย์แห่งความใจเย็นของตนเองเท่านั้น ที่
จะมากอบกู้สถานการณ์ ผ่อนหนักเป็นเบา หรือ
เปลี่ยนร้ายเป็นดีได้
ชีวิตคนแย่ๆหล่อนยังช่วยพลิกมาแล้ว
มากมายหลายครั้ง ก็แล้วชะตาแย่ๆของตนเอง
ครั้งเดียว ทำาไมจะไม่ลองพลิกดูให้รู้กันเล่า?
เมื่อรถมุ่งไปตามป้ายสู่สมุทรสงคราม ฮั่นก็
เลิกคุยโทรศัพท์ แล้วหันมาเปิดฉากสัมภาษณ์
"สายตำารวจคนสวย" แทน
"เอ่อ... น้องชื่ออะไรครับ?"
ทำาเสียงหล่อเหมือนพระเอกหนังรุ่นที่นิยม
เสียงพากย์สุดกลมกล่อม
"มะแมค่ะ"
หญิงสาวตอบสั้น สุภาพ และฟังเป็นปกติ
"น้องตามเรามาถูกได้ยังไงครับนี่ มีเครื่อง
มือสื่อสารในตัวคุณตำารวจวิชัย ที่พวกเราหาไม่
พบหรืออย่างไร?"
"มะแมไม่รู้จักคุณตำารวจวิชัย แล้วก็ไม่รู้จัก
เครื่องมือติดตามตัวด้วย มะแมเป็นชาวบ้าน
ธรรมดา ขับสวนกับกระบะคันนั้นแล้วเห็นคนถูก
มัดมือมัดเท้าบนที่นั่งตอนหลัง ก็คิดเรียกคนรู้จัก
ที่เป็นตำารวจมาช่วยเท่านั้น"
เล่าตรงไปตรงมา ไม่โกหกแม้แต่คำาเดียว
แต่ก็มีผลให้ฮั่นขมวดคิ้ว เสียงหล่อหายไป เสียง
เครียดมาแทน
"รถมันติดฟิล์มดำาปี๋ แถมไอ้ตำารวจก็โดน
มัดนอนอยู่ จะไปเห็นได้ยังไง?"
"ไม่ได้เห็นด้วยตา"
มะแมโต้ตอบราบเรียบคงเส้นคงวา เกือบ
ขยายความต่อเนื่อง แต่คิดว่าให้อีกฝ่ายสงสัย
และถามเองดีกว่า ซึ่งทางนั้นก็สงสัยและเค้นถาม
จริงๆ
"ไม่ได้เห็นด้วยตาแล้วเห็นด้วยอะไร?"
"สงสัยเห็นด้วยนม"
ลูกน้องขี้เล่นสอดเบาๆอย่างนึกสนุก ฮั่น
สะดุดกึก ทีแรกเผลอหัวเราะพรืดเดียว แต่แล้ว
พอจินตนาการตามก็ลากยาว แยกย้ิมกว้าง
หัวเราะพุงกระเพื่อมเป็นนานสองนานกว่าจะยุติ
ได้
"ไอ้เปรต! กูกำาลังซักผู้ต้องหาเป็นงาน
เป็นการ เสือกชักใบให้เรือเสีย มือไม่พายยังเอา
เท้ามาแยงตูดกูเล่นอีก" แต่แล้วก็เล่นเสียเองด้วย
การทำาเป็นกระซิบกระซาบ "ว่าแต่หน้าตาแบบนี้
มึงว่านมสวยไหม?"
ไอ้เปรตหัวเราะก๊าก
"ไม่สวยให้ถีบ! อาจจะสวยกว่านมน้องเมีย
พี่อีก!"
"อ้าว! ทำาไมลามปามถึงน้องเมียกู... แต่
เออ! คิดดูก็น่าจะจริงของมึง"
คนพาลสองคนคุยกันได้ออกรสเห็นภาพ
แจ่มแจ๋ว แล้วแข่งกันหัวเราะกระหึ่ม ส่วนคนฟัง
แล้วขำาไม่ออกคือหญิงสาวผู้ได้รับการวิพากษ์
วิจารณ์ในทางมิดีมิร้าย แต่ด้วยความที่ตั้งหลักได้
แล้ว มะแมจึงวางเฉย ควบคุมแม้อาการหน้าแดง
ให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว ตลอดจนทำาใจว่า
นาทีนี้คงหวังการให้เกียรติจากใครไม่ได้ ต้องทำา
หูทวนลมเสีย
ฮั่นเอียงคอมองมะแมด้วยหางตา อากา
รนิ่งๆแบบแกล้งทำาเป็นไม่ได้ยินนั้น ยิ่งทำาให้เขา
ระแวง เพราะเหมือนคนผ่านการฝึกรับ
สถานการณ์ฉุกเฉินหน้าสิ่วหน้าขวานมาอย่างดี
"เอาล่ะ! เรามาคุยกันต่อนะครับคุณน้อง
มะแม ตอนนี้พี่อารมณ์ดีแล้วก็อย่าทำาให้มันเสีย
อีกล่ะ ตอบมาตรงๆว่าคุณน้องมะแมรู้ได้อย่างไร
ว่าไอ้เจ้าวิชัยตัวแสบมันอยู่ในรถพวกเรา"
"มะแมรู้สึก"
ฮั่นชักหน้าตึงขึ้นมาอีกรอบ
"พี่ก็รู้สึก! รู้สึกว่าน้องมะแมกวนโมโหพี่อยู่
และพี่ก็ชักจะโกรธแล้วด้วย!"
"มะแมรู้สึกจริงๆค่ะ เหมือนกับที่รู้สึกว่าพี่
ฮั่นอยู่ข้างหลังมะแม กำาลังถลึงตาแยกเขี้ยวใส่
มะแมอยู่ โดยที่มะแมไม่จำาเป็นต้องหันกลับไปดู"
ฮั่นกับตุ่ยหันมองสบตากันในเงาสลัวด้วย
อารมณ์ทะแม่ง
"นี่จะให้พี่เชื่อว่าน้องมีอภินิหารหรือ?"
"พี่ฮั่นจะเรียกมันว่าอภินิหารหรืออย่างไร
ก็ตามใจ สำาหรับมะแม มันคือผลของการฝึกฝน
แล้วก็ทำาเป็นอาชีพอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน"
ตุ่ยแทรกด้วยความหมั่นไส้
"อาชีพอะไร? ก็สายให้ตำารวจน่ะสิ! แม่คุณ
เอ๊ย! เห็นหน้าทีแรกนึกว่าเป็นดาราซะอีก"
"เปล่า!" หญิงสาวปฏิเสธด้วยเสียงเรียบคง
เส้นคงวา "มะแมเป็นที่ปรึกษาให้กับคนทั่วไป ไม่
เกี่ยวข้องกับตำารวจเลยแม้แต่นิดเดียว"
ฮั่นยิ้มเลี่ยน ชักนึกสนุกไปกับสาวลึกลับที่
นั่งเบื้องหน้าแค่เอื้อม
"ไหนให้คำาปรึกษาหน่อยซิ พี่กับน้องตุ่ยนี่
จะเป็นคู่เกย์กันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า เสียง
ครหามันเยอะเหลือเกิน"
"อย่ามาหลอกมะแมเลย พี่ฮั่นกับพี่ตุ่ยไม่ได้
เป็นอะไรแบบนั้น" หญิงสาวตอบอย่างมั่นใจ
"ความรู้สึกของพี่ฮั่นคือครึ่งเอ็นดูครึ่งรำาคาญพี่
ตุ่ย ที่เอ็นดูเพราะชอบความขี้เล่นรักสนุก ทำางาน
ด้วยแล้วเบาสมอง แต่ขณะเดียวกันก็รำาคาญ
ความเป็นพวกชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องเข้ามาทำา
เสียงอ้อน ไถเงินพี่ฮั่นเป็นประจำา"
ฮั่นเบิกตาโตด้วยความพิศวง แต่ด้วยความ
ไม่อยากถูกเด็กเมื่อวานซืนแหกเนตร จึงถามซัก
เป็นปกติ
"น้องมะแมรู้ได้ยังไง?"
"ใจเราจะมีความรู้สึกที่แท้จริงกับคนรู้จัก
ตกค้างอยู่ อย่างของพี่ฮั่นเวลานึกถึงพี่ตุ่ย พูดถึง
พี่ตุ่ย สิ่งที่เด่นชัดคือความเอ็นดู รักเหมือนน้อง
ส่วนหนึ่งเพราะพี่ตุ่ยชอบเฮฮา ปล่อยมุขให้คน
ใกล้ตัวได้ขำาบ่อยๆ อีกส่วนหนึ่งคือพี่ฮั่นไว้ใจพี่ตุ่ย
มากกว่าใครในแก๊ง พี่ตุ่ยผิดพลาดอะไรก็ยอม
ออกหน้ารับให้"
"อือ... แล้วที่รำาคาญเรื่องยืมตังค์ล่ะ รู้ได้
ไง?"
"ความรำาคาญมีต้นเหตุติดอยู่กับตัวมัน
เสมอค่ะ ถ้าเรารู้สึกถึงความรำาคาญของใครได้
จริงๆ นิมิตต้นเหตุความรำาคาญของเขาก็ปรากฏ
ต่อใจเราได้ อย่างเช่นรำาคาญยุงกวนก็เห็นเหมือน
มีอะไรเล็กๆวี้ๆให้สะบัดมือปัด รำาคาญคน
ปากมากก็เห็นเหมือนมีเสียงพ่นกรอกหู รำาคาญ
คนชอบไถเงินก็เห็นเหมือนมีคนเข้ามาแบมือขอ"
ตุ่ยทำาเสียงขุ่น
"แต่ฉันไม่เคยแบมือนะ ขยับปากอย่าง
เดียว"
"นิมิตทางใจเป็นแค่สัญลักษณ์ อาการจริงๆ
ของเจ้าตัวไม่จำาเป็นต้องเหมือนนิมิตหรอกค่ะพี่
ตุ่ย แต่ลองคิดดูนะ ถึงพี่ตุ่ยจะไม่ได้แบมือ ใจมัน
ก็แบอยู่ไง"
ทั้งฮั่นและตุ่ยอึ้งงันอย่างชักสนใจ หลังจาก
เงียบเป็นนาน ตุ่ยจึงค่อยโพล่งอย่างนึกอะไรบาง
อย่างออก
"นี่เธอใช่คนที่เคยทำานายแผ่นดินไหวหรือ
เปล่า?"
"ใช่!"
มะแมรับตรงๆ และคราวนี้ฮั่นกับตุ่ยก็ต้อง
เป็นฝ่ายเกร็งเนื้อเกร็งตัวบ้าง เมื่อทราบว่าขึ้นรถ
มากับใคร สองทรชนหันสบตากันเองอีกครั้ง สื่อ
ความหมายรู้กันว่าเรื่องชักยังไงๆเสียแล้ว
"หมายความว่าเธอไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับ
ตำารวจที่ชื่อวิชัย แต่ก็จะช่วยเหลือ เพียงเพราะขับ
รถสวนกันแล้วรู้ว่าหมอนั่นกำาลังเดือดร้อนงั้น
หรือ?"
ฮั่นซัก
"เขาไม่ใช่แค่คนแปลกหน้า สัมผัสในวูบ
เดียวของมะแมเหมือนบอกว่าที่เขาต้องเข้าตาจน
ขนาดนี้ ก็ด้วยเพราะน้ำาใจเสียสละสวัสดิภาพของ
ตัวเอง มาปกป้องสวัสดิภาพของประชาชนอย่าง
มะแม ดังนั้น เขาจึงมีความเกี่ยวข้อง คล้ายมะแม
ติดหนี้บุญคุณเขาอยู่"
สำาเนียงตื้นตันใจลึกซึ้ง สะกดฮั่นกับตุ่ยให้
สะอึกไปเป็นครู่
"แล้วสารวัตรกฤษฎาล่ะมาเกี่ยวอะไรด้วย?
รายนั้นน่ะคุมทั้งย่านนี้เลยนะ"
"เขาเป็นลูกค้าคนหนึ่งของมะแม" หล่อน
รีบอธิบาย "มะแมแค่นึกถึงเขาได้อยู่คนเดียว
เชื่อเถอะ เขาไม่มีส่วนรู้เห็นหรือไหว้วานใช้งาน
มะแมเลย"
"ยังไงเธอกับยายนกหวีดนี่ก็เป็นตัวแสบ
ของงานนี้ไปแล้ว เดี๋ยวสารวัตกฤษฎาก็ต้องควาน
หาตัวเธอให้ควั่ก"
นั่นคือการพูดเป็นนัยว่าโอกาสรอดของพวก
หล่อนคงต่ำา ซึ่งมะแมก็คิดๆอย่างปลงตกอยู่ก่อน
หล่อนกำาลังพยายามเอาตัวรอดแบบไม่หวังรอด
แค่อยากได้ชื่อว่าพยายามแล้วเท่านั้น
"เมื่อกี๊พีุ่ต่ยพูดถึงน้องเมียพี่ฮั่น มะแมขอ
อนุญาตคุยต่อหน่อยได้ไหม เพราะเสียงเหมือน
เล่น แต่ใจน่าจะเอาจริง"
ฮั่นถึงกับหูผึ่ง แต่ก็บังคับเสียงไม่ให้ตื่นเต้น
"เอาซี! จะแนะอะไรก็ว่ามา"
"ความคิดของพี่ที่มีกับน้องเมีย มันครึ่งๆ
อยู่ระหว่างอยากห้ามใจกับอยากตามใจตัวเอง
อยากให้มะแมทำานายไหมว่ามันจะลงเอยยังไง?"
"ก็อยากอยู่!"
"ในที่สุดพี่ฮั่นจะสมหวัง ได้ทั้งพี่ ได้ทั้งน้อง
ยกครัว!"
"ฮ้า!"
"มะแมตัดสินอย่างนี้เพราะเห็นปัจจัยผลัก
ดันให้พี่ฮั่นพุ่งไปมากกว่าถอยกลับ ความรู้สึกทาง
เพศที่เกิดกับคนใกล้ตัว แถมต้องตาต้องใจ มัน
เหมือนน้ำาเชี่ยวที่ต้านยาก โดยเฉพาะถ้าฝ่ายหญิง
ทำาท่ามีใจให้เรา ก็ยิ่งเหมือนเราพุ่งเองไม่พอ ยังมี
แรงช่วยฉุดอีกต่างหาก"
"อือ..."
"ทุกวันนี้มีเบรกอยู่ตัวเดียว คือพี่ฮั่นรักเมีย
มาก สงสาร แล้วก็ไม่อยากให้เสียใจ ถ้ามีอะไร
กับผู้หญิงนอกบ้านคงไม่ว่า แต่ถ้ากับน้องสาว
ร่วมบ้านที่ตัวเองรัก..."
มะแมทอดเสียงละไว้แบบเป็นที่เข้าใจ ฮั่น
ซึมไปหน่อยหนึ่ง ฝืนถามว่า
"อาการรักเมียมาก ไม่อยากให้เสียใจนี่
หน้าตาเป็นยังไง เธอดูออกได้ยังไง?"
"เวลาคนเรารู้สึกผิดตอนคิดจะทำาบาป จะ
เหมือนมีแรงเสียดทานอยู่ในอก คนเราไม่ทำาบาป
กันมั่วก็เพราะแรงเสียดทานตัวนี้แหละ และที่
มะแมรู้ว่าพี่ฮั่นรักเมียมาก ก็เพราะมีอาการนึกถึง
หัวอกเขา มีความเห็นใจ และมีความอยากรักษา
น้ำาใจ อยากให้เขานับถือ ไม่อยากให้เขาชิงชัง ให้
เดานะ คงเพราะเขาทำาอะไรให้พี่ฮั่นมามาก กอด
คอร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ทอดทิ้งกันมานาน แม้ใน
เวลาที่พี่ฮั่นลำาบาก ถึงมีโอกาสเขาก็ไม่หนีไป
ไหน"
ฮั่นเกือบกลืนน้ำาลายไม่ลง การโดนแทงใจ
ตรงจุดอย่างต่อเนื่องมีผลให้จุกเสียดตีบตันมาถึง
คอหอย แถมมะแมใช้น้ำาเสียงทอดอ่อนแบบ
ตัดพ้อแทนลูกผู้หญิงด้วยกัน กระทบโสตแล้ว
สะเทือนถึงใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกผิดชนิดปวด
แสบปวดร้อน เรียกความทรงจำาด้านดีของเมียรัก
ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ระลึกได้กระทั่งว่าที่ยอมเข้า
แก๊งชั่วนี่ก็เพราะอยากให้เธออยู่ดีกินดีกว่าเดิมนั่น
แหละ
"เขาเป็นคนดี..."
สุ้มเสียงของฮั่นแผ่วมาก
"เธอไม่รู้ด้วยซ้ำาใช่ไหมคะว่าพี่ฮั่นมาอยู่กับ
แก๊งแบบนี้ พี่คงโกหกว่าได้งานดีอะไรสักอย่าง
ถึงมีเงินมีทองมากขึ้น"
"อือ..."
"ให้มะแมทายต่อนะคะ น้องเมียพี่เพิ่งโต
เป็นสาวรุ่นขึ้นมา แต่ก่อนไม่รู้สึกอะไรเพราะยัง
เด็กอยู่"
คำาตอบคือความเงียบ ซึ่งแปลว่าใช่ และ
หลังจากทวนภาพอดีตให้เกิดความยอมรับ มะแม
ก็กระทุ้งฮั่นด้วยภาพอนาคตที่ชวนหดหู่เข้าไปอีก
"ข่าวดีคือต่อไปพี่ฮั่นจะมีเมียที่เคยกัดฟัน
ทนทุกข์มาด้วยกันคนหนึ่ง แล้วก็มีเมียเด็กที่
ทำาความกระชุ่มกระชวยให้อีกคนหนึ่ง แต่ข่าว
ร้ายคือความสุขในระยะสั้นของพี่ฮั่น จะเป็นแผล
สดในระยะยาวของผู้หญิงสองคน หนักกว่านั้นคือ
พี่ฮั่นกับเมียเก่าจะไม่ตายจากกันด้วยความรัก
แถมพี่ฮั่นจะตกอยู่ในสภาพเหมือนตายทั้งเป็นกับ
ความเอาแต่ใจของเมียใหม่"
ตุ่ยชักผิดสังเกต เห็นฮั่นทำาหน้าเศร้ายาวก็
แซวขำาๆแบบจะปลุกอารมณ์ว่า
"อ๊ะ! เปลี่ยนใจหรือชั่งใจอยู่เนี่ย?"
นึกว่าฮั่นจะกลับคึกคักทะลึ่งตึงตัง ช่วยเขา
รุมเหยื่อสาวคนสวยกันอีกรอบ แต่กลายเป็นฝ่าย
นั้นยังคงซึมยาวไม่พูดไม่จาอยู่นั่นเอง เยี่ยงคนจม
อยู่กับอารมณ์หนักอึ้งจริงๆ ตุ่ยจึงฮึดด้วยความ
อยากลองของบ้าง
"บอกได้ไหมเมื่อไหร่ฉันจะรวยซะที?"
ความคึกของตุ่ยชำาแรกบรรยากาศเซื่องซึม
ได้ คล้ายอำานาจการควบคุมจะกลับมาอยู่กับคน
นั่งหลังอีกครั้ง แต่นาทีนี้มะแมใจชื้นแล้ว ไม่รู้สึก
ด้อยกว่าอีกแล้ว จึงโต้ตอบสบายๆเหมือนคุยเล่น
กับคนกันเอง
"รวยยังไงคะ หมายถึงมีสักสิบล้านหรือ
เปล่า?"
"สิบล้านสมัยนี้แค่ซื้อรถให้ตัวเองกับเมีย
น้อยก็เกลี้ยงฉาด เอาร้อยล้านเลยดีกว่า บอกซิ
ชาตินี้ฉันจะมีกับเขาได้ไหม?"
ตุ่ยพ่นส่งเดช เห็นเป็นเล่นมากกว่าจริงจัง
แค่อยากดูว่ามะแมจะกล่อมเขาท่าไหน
แต่กระแสจิตคิดเพ้อเจ้อของตุ่ยนั่นเอง ได้
ก่อมโนภาพชัดเจนสว่างวาบขึ้นมาในใจมะแม
เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่สว่าง แจ่มกระจ่าง และให้
ความรู้สึกเชื่อมั่นว่าเห็นจริงเท่ากับหรือเผลอๆยิ่ง
กว่าดูด้วยตาเปล่าเสียอีก
หล่อนเห็นภาพเด็กนักเรียนชายหัวเกรียน
ถูกล้อเลียน แล้วเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นพยายามเข้า
ทำางานตลกคาเฟ่ แล้วเห็นหนุ่มวัยสามสิบถูกไล่
กระทืบหลังหมดตัวจากบ่อน แล้วเห็นหนุ่มตกอับ
เข้าหาเจ้าพ่อเพื่อเป็นหลักคุ้มกะลาหัว และที่สุด
คือเห็นตุ่ยแบบที่เป็นอยู่ ชอบวิจารณ์เรื่องเล็ก
เรื่องน้อยไม่เลิก แม้กระทั่งเข้าไปกินข้าวที่ไหน ก็
มักสอดส่องรายละเอียดเล็กน้อยหยุมหยิม ทั้ง
รสชาติและการตกแต่งร้าน
นั่นคือการย่อชีวิตทั้งหมดของตุ่ยลงมา
เหลือเป็นนิมิตไม่กี่ภาพ รอยยิ้มชนิดหนึ่งจุดขึ้นใน
ใบหน้ามน สาวพลังจิตรู้ทันทีว่าจะพูดอะไร
"พี่ตุ่ยมีเป็นร้อยล้านได้ค่ะ สาบานว่าไม่ได้
พูดเล่น แต่เพราะเห็นความเป็นไปได้จริงๆ!"
กระแสของการเงี่ยหูอย่างแรงเกิดขึ้นให้
มะแมสัมผัส ไม่เฉพาะตุ่ย ทั้งฮั่นและแม้แต่หยิม
ซึ่งเงียบมาตลอดก็สนใจใคร่ฟังด้วย
"มันจะเป็นไปได้ยังไง?"
ตุ่ยถามอย่างไม่เชื่อ แต่ขณะเดียวกันก็เลิก
เห็นมะแมเป็นแค่วัตถุทางเพศในบัดนั้น
"เป็นไปได้ด้วยความเชื่อของพี่ตุ่ยเอง พี่ตุ่ย
ต้องรื้อฟื้นความเชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมาใหม่ให้ได้
ก่อน"
"ฉันก็เชื่อมั่นในตัวของฉันเองมาตลอด จะ
ต้องรื้อฟื้นทำาไมกัน?"
"งั้นมะแมทบทวนให้นะคะ ตั้งแต่เด็กๆพี่ตุ่ย
รู้สึกว่าตัวเองฉลาดและคิดได้มากกว่ารุ่นเดียวกัน
แต่ทั้งเพื่อนและครูต่างก็ชอบล้อเลียน เหมือนเห็น
พี่ตุ่ยเป็นตัวตลกอยู่ตลอด เวลาออกความเห็น
หรือแม้แต่คิดริเริ่มอะไรจริงจัง ทุกคนก็มองเป็น
เรื่องเล่น ไม่เชื่อถือ ไม่ช่วยกันพิจารณาไอเดีย
ของพี่ตุ่ยเลย และตั้งแต่ช่วงเด็กนั่นเอง ความ
ฉลาดของพี่ตุ่ยก็ถูกเก็บซ่อนไว้ ในเมื่อทุกคนไม่
เชื่อ พี่ตุ่ยก็ไม่เชื่อไปกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน"
สีหน้าของตุ่ยเย็นชา อ่านยากด้วยตาเปล่า
"เหลวไหล! ที่เธอพูดมาทั้งหมดนั่นน่ะ
ไม่ใช่เลย!"
"ขอโทษนะคะที่เดาผิด งั้นคงไม่ต้องพูดต่อ
กันล่ะว่าถ้าอยากรวยร้อยล้านให้ได้จริง พี่ตุ่ยจะ
ต้องทำายังไง"
ตุ่ยเผลอขยับตัวทำาเสียงแข็ง
"ก็พูดต่อไปซิ ฉันชักติดใจชอบฟังเธอโม้
แล้ว เดี๋ยวอาจจะบอกวิธีอึออกมาเป็นทองก็ได้"
มะแมซ่อนยิ้ม แกล้งทำาเป็นนิ่งไม่พูด
กระทั่งตุ่ยกระสับกระส่าย และที่สุดก็ขยับท่าขยับ
ทางฮึดฮัด
"อย่าลูกไม้ลีลาแกล้งทำาเป็นเฉยเลยน่า
บอกมาสิว่าต้องทำายังไง"
"ถ้าจะให้มะแมบอก พี่ตุ่ยก็ต้องยอมรับ
ก่อนว่าเมื่อกี๊มะแมทายถูก เรื่องตอนเด็กๆของพี่
ตุ่ยน่ะ"
"บ๊ะ! มันสำาคัญด้วยเหรอะ?"
"สำาคัญสิคะ มะแมจำาเป็นต้องมั่นใจก่อนว่า
ช่วยรื้อถอนอุปสรรคให้พี่ตุ่ยได้เป็นเปลาะๆอย่าง
ถูกต้อง นี่กะแค่ต้นทางชีวิตของพี่ตุ่ยมะแมยังอ่าน
ผิด แล้วที่เหลือจะน่าเชื่อได้ยังไง"
ตุ่ยเอนหลังทำาหน้าหงาย ก่อนดึงตัวกลับ
มายอมรับแบบหัวเสีย
"เออ! นั่นแหละ เมื่อกี๊เอ็งพูดถูกหมดเลยอี
น้อง ปัดโธ่! ทำาเป็นบังคับให้ยอมรับเหมือนเด็กๆ
ไปได้"
"ที่ผ่านมาพี่ตุ่ยใช้วิธีซื้อหวยรอรวยอย่าง
เดียว ซึ่งก็เคยมีครั้งสองครั้งที่ถูกจังๆ เหมือนจะ
รวยขึ้นทันตา แต่พี่ตุ่ยก็เอาไปลงกับผู้หญิง เหล้า
และการพนันจนหมด"
"เรื่องแบบนี้ดูหน้าเอาก็รู้ ไม่ต้องมาสอน
หรอก ขอเนื้อๆได้ไหม วิธีรวยร้อยล้านน่ะ?"
"ถ้าพี่ตุ่ยทำาท่ากระฟัดกระเฟียดใส่มะแมอีก
มะแมจะไม่พูดด้วยแล้วนะคะ"
ตุ่ยอ้าปากค้างแบบเขยื้อนกรามไม่ถูก รู้สึก
ว่าควรจะโมโห แต่กลับเป็นหัวเราะหึหึและโกรธ
ไม่ลง ชักกลัวใจผู้หญิงคนนี้ตงิดๆ รู้ทั้งรู้ว่าหล่อน
ใช้เสน่ห์ผูกมิตรสร้างความเป็นกันเอง ทำาให้เขา
เกรงใจราวกับสนิทมาแต่ปางไหน ทว่าก็อดรู้สึกดี
ด้วยไม่ได้ หลงเข้าทางหล่อนหมด
"เอาเถอะแม่คุณ ข้าเจ้าขอยอมฟังแต่โดยดี
พูดมาเลย เผยให้หมดนะ ต่อไปจะไม่ขัดคุณน้อง
แล้ว"
"ไอเดียของพี่ตุ่ยตอนมีเงิน คือการรวยลัด
ด้วยวิธีใช้เงินต่อเงินในบ่อน ความฉลาดของพี่ตุ่ย
เลยจำากัดอยู่แค่เอายังไงให้เร็ว โกงยังไงให้สำาเร็จ
แท้จริงมันไม่ใช่เส้นทางการใช้ความฉลาดแบบพี่
ตุ่ยเลย"
ตุ่ยทนฟังนิ่งๆ บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่า
มะแมอาจให้คำาแนะนำาเขาได้จริงๆ
"แล้วความพยายามเข้าคณะตลกคาเฟ่ก็
ไม่ใช่เส้นทางใช้ความฉลาดของพี่ตุ่ยด้วยนะ
เพราะนั่นจะยิ่งตอกย้ำาให้พี่ตุ่ยรู้สึกว่าทั้งโลกดูถูก
และหัวเราะเยาะพี่ตุ่ยไม่เลิก พี่ตุ่ยต้องฟื้นความ
รู้สึกที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กขึ้นมาให้ได้ก่อน นั่น
คือพี่ตุ่ยฉลาดกว่าใครๆ ไม่อยากยอมเป็นที่สอง
รองใคร อย่าว่าแต่จะให้อยู่เกือบที่โหล่เหมือนทุก
วันนี"้
ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะแทงใจตุ่ยจังๆ
เป็นครั้งแรก มะแมสัมผัสถึงการระงับความ
กระวนกระวายลงแบบปัจจุบันทันด่วน และ
เปลี่ยนเป็นอาการสลดซึมไปแทน
"ทุกวันนี้พี่ตุ่ยเหมือนมีสองคนข้างในที่ค้าน
กัน คนหนึ่งบอกว่าอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่ผิดที่ผิด
ทาง แต่อีกคนหนึ่งแอบกระซิบเบาๆตลอดเวลาว่า
ทุกวันนี้ถึงไม่รู้สึกผิด ก็ไม่ได้แปลว่ารู้สึกดีกับตัว
เอง"
นั่นเป็นการลักไก่เล็กๆ มะแมแทรกความ
คิดที่ตุ่ยไม่อาจแน่ใจว่าเป็นความคิดเดิมของตน
หรือเป็นความคิดที่เพิ่งรับมาสดๆร้อนๆกันแน่
"เมื่อไม่รู้สึกดีกับตัวเองถึงที่สุด การนับถือ
ความคิดของตัวเองก็ไม่เกิดขึ้น สิ่งที่พี่ตุ่ยปล่อย
ให้เกิดมาตลอดจึงเป็นการยอมความคิดที่ไม่เคย
ใช่ตัวตนของพี่เองเลย"
"แล้วความคิดแบบไหนล่ะ ที่ใช่?"
"พี่ตุ่ยมีความสนใจที่แอบซ่อนอยู่อย่างหนึ่ง
แต่ไม่เคยให้ความสำาคัญกับมัน อันนี้พี่ฮั่นช่วย
เป็นพยานให้มะแมได้"
ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว โจรทั้งสองตั้งหน้า
ฟัง จ้องมะแมเขม็งอย่างอยากรู้ว่าจะพูดอะไร
"ตอนไปนั่งกินข้าว โดยเฉพาะร้านหมู
กระทะหรือร้านบุพเฟ่ต์ไหนๆ พี่ตุ่ยชอบบ่น ชอบ
วิจารณ์ บางทีถึงขั้นไปยืนแสดงความเห็นกับเด็ก
ในร้านยาวๆ ฝากถึงเจ้าของร้านอย่างนั้นอย่างนี้
ทีเดียว จริงไหม?"
"จริง!"
ฮั่นซึ่งเงียบฟังเฉยๆมาพักหนึ่งเป็นฝ่ายหลุด
ปากตอบให้ แทนเจ้าตัวที่นิ่งขึงเหมือนถูกแช่แข็ง
และพอฝ่ายตรงข้ามยอมรับ มะแมจึงค่อยสานต่อ
"คนเรายอมเสียเวลา หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่
กับเรื่องไหนมากๆ แปลว่าจะเก่งจริงในเรื่องนั้น
ทันทีที่ลงมือทำาเป็นอาชีพ!"
ตุ่ยขมวดคิ้ว ทบทวนตัวเองแล้วเห็นจริง
ตามนั้น เขาเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับ
อาหารมาตลอด สามารถบันดาลจานเด็ดขึ้นมา
ได้จากส่วนประกอบอาหารที่มีเพียงจำากัด คนอื่น
มีทั้งเครื่องปรุงกับอุปกรณ์ได้เปรียบหลายขุม ยัง
ทำาออกมาอร่อยสู้ไม่ได้ เอาแค่ไข่เจียวธรรมดานี่
แหละ
"ถ้าใครเป็นได้ทั้งกุ๊กตัวยง และเป็นได้ทั้ง
ลูกค้าเรื่องมากในคนเดียว นั่นแหละคือเชื้อไข
สำาคัญของเจ้าของธุรกิจร้านอาหารที่ประสบ
ความสำาเร็จอย่างสูง"
ชายสองคน นั่งฟังผู้หญิงคนหนึ่งอบรมเรื่อง
หลักการตั้งเนื้อตั้งตัวด้วยความตั้งอกตั้งใจ ชนิด
ที่ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตเทียบเท่า
"รู้ไหมคะว่ารายได้ เฉพาะกำาไรสุทธิของ
ร้านหมูกระทะใหญ่ๆ วันหนึ่งเท่าไหร่? ตัวเลขหก
หลักค่ะ! เจ้าของร้านบางรายเก็งถูกทั้งทำาเลที่ตั้ง
ทั้งรายการอาหาร ทั้งรสชาติ แล้วก็ฝึกเด็กเป็น
เลี้ยงเด็กเป็น บริการลูกค้าได้น่าพอใจ เท่าที่
มะแมรู้ หลังจากเขาเปิดหลายสาขาทั้งในและ
นอกกรุงเทพฯ ชั่วระยะเวลาเพียงไม่ถึง ๕ ปี
ปัจจุบันเขารวยพอจะ 'ช่วย' ซื้อกิจการเจ้านาย
เก่าที่เขาเคยเป็นเด็กเสิร์ฟ เท่ดีไหมล่ะ?"
"อือ..."
ตุ่ยครางแผ่วอยู่ในลำาคอ แต่รู้สึกเหมือนตัว
ตนหนึ่งซึ่งแข็งแรง ได้คืบคลานออกมาจากเงามืด
ค่อยๆเปิดเผยความกล้าหาญในเขตสว่างขึ้นทุกที
"แก๊งของพี่ตุ่ยในวันนี้ กำาลังมีเรื่องกับ
ตำารวจ พอมะแมเห็นบ้านที่พวกพี่ใช้เป็นรังใน
ซอยลาซาล รู้ไหม สิ่งแรกที่ปรากฏในใจมะแมคือ
อะไร? มันคือภาพการฆ่าฟันกันไป ฆ่าฟันกันมา
วันนี้พี่ฆ่าเขา วันหน้าเขาก็พยายามมาฆ่าพี่คืน
พลาดวันไหน พี่จะตาไม่หลับด้วยความสงสัยไม่
เลิก ว่าชาตินี้เอาดีได้แค่เป็นโจรที่ถูกตำารวจยิง
ตายจริงๆหรือ?"
มะแมเค้นน้ำาเสียงแข็งขึ้นอย่างมีอำานาจ
แบบนาย กดความรู้สึกตุ่ยให้อ่อนเปียกเหมือน
กำาลังรับฟังข้อหาที่ไปทำาผิดมา ชั่วขณะนั้นตุ่ย
สงสารตัวเอง นึกด่าตัวเองที่ดักดานอยู่กับเส้น
ทางของความมักง่าย ทิ้งเวลาแห่งการสร้างเนื้อ
สร้างตัวไปเป็นสิบๆปีได้อย่างไร
"คราวนี้ฟังคำาทำานายนะคะ ด้วยเงินเก็บ
ของพี่ฮั่น และด้วยไอเดียของพี่ตุ่ย พี่ทั้งสองคน
เปลี่ยนชื่อแซ่ แอบไปเปิดร้านหมูกระทะเล็กๆที่
จังหวัดไหนก็ได้ เอาแบบไกลๆ อย่าให้ใครตาม
เจอ ร่วมมือร่วมใจ เอาข้อดีที่อีกคนไม่มีมาช่วย
กัน หกเดือนแรกพวกพี่จะได้ทุนคืนและขยับขยาย
ร้านได้ หนี่งปีต่อมาพี่จะมีร้านเพิ่มได้สองหรือสาม
สาขา ในปีที่ห้าพี่ทั้งสองคนจะมีกิจการเกี่ยวกับ
ร้านอาหารหลากหลาย มีชื่อเสียงติดปากคนไป
ทั่ว ถึงเวลานั้นจะรวยเป็นร้อยล้านโดยไม่ต้องทำา
ผิดกฎหมายแม้แต่ข้อเดียว!"
บทที่ ๕
เที่ยงคืนเศษ มะแมขับรถกลับถึงบ้านด้วย
ความเหนื่อยอ่อน ตลอดทางหล่อนกับหยิมไม่ได้
พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำาเดียว
ตุ่ยเป็นคนคิดแผน โดยให้หล่อนไปส่งตน
กับฮั่นที่บ้านไร้คนหลังหนึ่ง ไม่ใช่ "รังแปด" ตาม
นัดเดิมกับพรรคพวก เพื่ออ้างในภายหลังว่ารู้สึก
กลัดมันเต็มฟัด ทนไม่ไหว อยากปลุกปล้ำาหล่อน
กับหยิมกลางทาง จึงเข้ารังเล็กเพื่อความเป็นส่วน
ตัว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของแก๊ง
จากนั้นเขากับฮั่นจะกินยานอนหลับชนิด
แรง และออกอุบายนัดแนะคนในแก๊งมาพบตอน
เช้า เป็นการจัดฉากว่าโดนหล่อนตลบหลัง ใช้
ความสามารถของสาวแสบ วางยาแล้วริบเงิน
พวกเขาไปจนหมดกระเป๋า เป็นการแก้ลำาที่ถูกจับ
ตัวมาข่มขืน
สองนายบ่าวเข้าบ้าน กลับเข้าสู่สภาพชีวิต
ปกติ หลังจากก้าวผ่านฝันร้ายมาได้โดย
สวัสดิภาพ มะแมลงนั่งบนโซฟารับแขก หยิมเดิน
ไปรินน้ำาจากตู้เย็นมาให้อย่างรู้หน้าที่ แล้วอ้อมไป
บีบไหล่ นวดศีรษะให้นายสาวด้วยกิริยาภักดี
สาวพลังจิตผู้ปราบโจรร้ายด้วยคำาพูด ดื่ม
น้ำาจากแก้วจนหมดแล้วปิดเปลือกตาลง รับสัมผัส
บีบนวดจากลูกจ้างด้วยความผ่อนคลาย แต่พอ
เกือบหลับก็ได้ยินคนนวดเปรย
"หยิมนึกว่าไม่รอดแล้ว"
"อือ... ทีแรกพี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน"
หล่อนพึมพำาตอบ
"พี่มะแมของหยิมนี่ยอดหญิงจริงๆ"
ประกายตาทอแววชื่นชมขณะทอดมอง "คำาพูด
ดีๆนี่ทำางานได้ยิ่งกว่ากระสุนตำารวจอีกนะคะ"
"เราสองคนโชคดีด้วย ที่เจอโจรที่ยังเป็น
คนธรรมดา ไม่ใช่โจรที่กลายเป็นสัตว์ร้ายไป
แล้ว"
"หยิมว่าสองคนนี่ก็เหี้ยมนะคะ น่าจะทำา
เรื่องเลวๆมาเยอะเชียวล่ะ... ว่าแต่เสียดาย
โทรศัพท์จัง เบอร์สำาคัญๆของพี่มะแมหายหมด"
"อ๋อ... อันนั้นไม่เท่าไหร่หรอก พี่เก็บฐาน
ข้อมูลไว้ในคอมพ์ พรุ่งนี้ซื้อโทรศัพท์ใหม่มาซิงก์ก็
สิ้นเรื่อง"
หยิมไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีนัก ได้แต่เป็นคน
ป้อนข้อมูลเก็บ แต่ไม่เคยทราบว่ามันถ่ายเข้า
โทรศัพท์ใหม่ได้
"เหรอคะ งั้นก็โล่งไป"
มะแมยกมือขึ้นจับมือเด็กสาว ซึ่งกำาลังบีบ
นวดไหล่ตนอย่างขมีขมัน
"หยิม"
"คะ?"
"มานั่งคุยกันหน่อย" เมื่อเด็กสาวเดินอ้อม
มานั่งฝั่งตรงข้าม มะแมก็เปิดเปลือกตาขึ้นมอง
ด้วยแววทอดอ่อน "เที่ยงของพรุ่งนี้พี่จะไปกดเงิน
มาให้หยิมก้อนหนึ่ง หยิมกลับไปตั้งหลักที่บ้าน
ต่างจังหวัดได้เลย"
หยิมทำาหน้าตกใจ
"ทำาไมล่ะคะ พี่มะแมจะเลิกดูหมอหรือ?"
มะแมส่ายหน้า
"พี่ยังอยู่นี่แหละ แต่ไม่อยากให้หยิมต้องมา
เสี่ยงด้วย"
หยิมขมวดคิ้วนิ่วหน้า
"เสี่ยงอะไรคะ?"
"พี่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับโจรที่อยู่ซอย
เดียวกัน ความคิดแบบโจรไว้ใจไม่ได้ ข้ามวันก็
อาจกลับลำา ไม่ประมาทไว้จะดีกว่า นับแต่นี้ชีวิตพี่
อาจไม่ปลอดภัย เลยอยากให้หยิมขนของกลับ
ต่างจังหวัดไปเสีย หยิมเองเคยบอกไว้นานแล้ว
ไม่ใช่หรือว่าอยากเปิดร้านเสริมสวยที่บ้านเดิม"
"ใครบอกคะ หนูเปลี่ยนใจมานานแล้ว" น้ำา
เสียงธรรมดา แต่แววตาบ่งบอกความหมายตาม
ที่พูดเป็นประกายแรงกล้า "หนูจะอยู่รับใช้พี่
มะแมตลอดไปต่างหาก แล้วถ้าใครมันคิดเอา
ชีวิตพี่ ก็สาบานเลยว่าหนูจะยอมตายก่อน!"

เช้าวันใหม่แสนสดใส มะแมนึกว่าตัวเองจะ
หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจตื่นขึ้นมา
ทำางานเสียอีก แต่ตรงข้าม เช้านั้นหล่อนทำาสมาธิ
ได้ดีเยี่ยม รู้สึกสดชื่นตื่นเต็ม และเชื่อมั่นใน
ตนเองเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
เห็นจากประสบการณ์ตรงอย่างแจ่มชัด ถ้า
เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีไม่ได้ เรื่องร้ายๆจะ
เปลี่ยนคนให้ค่อยๆร้ายตามมัน แต่ตรงข้าม หาก
เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้ทุกเรื่อง คนๆ
หนึ่งจะเข้าใจว่า "มองโลกในแง่ดี" นั้น อาจเป็น
จริงตลอดทั้งชีวิตได้อย่างไร
เพิ่งประสบเรื่องร้ายแรงขั้นคอขาดบาดตาย
แต่กลับรู้สึกเหมือนจบปริญญาใบใหม่ และหล่อน
ก็จะเลือกฉลองรับปริญญาอันทรงเกียรตินั้น ด้วย
การทำางานช่วยคนตามปกตินี่เอง!
ไม่มีการยกเลิกนัด ไม่มีการปรับเปลี่ยน
ตารางเวลาใดๆ มะแมใช้ให้หยิมออกไปจัดการ
เรื่องแจ้งโทรศัพท์หายในช่วงเช้า โดยตัวเองทำา
หน้าที่จัดคิวและต้อนรับลูกค้าแทน
ขณะทำางาน พอเล็งดูลูกค้าก็รู้เห็นทุกสิ่งคม
ชัด แม่นยำา และเต็มไปด้วยรายละเอียด เปรียบ
ไปคงประมาณเดียวกับนักกีฬาขณะเล่นได้ดีที่สุด
อะไรๆก็ดีไปหมด ถูกไปหมด ชนะไปหมด
หยิมกลับมาถึงก่อนเที่ยง เอาก๋วยเตี๋ยวเจ้า
อร่อยมาฝากเป็นมื้อกลางวัน
"เอ้อ! ดีจริง เหมือนรู้ใจเลยนะ กำาลังอยาก
กินหมี่แห้งอยู่พอดี... เรื่องโทรศัพท์เรียบร้อย
ไหม?"
"เรียบร้อยค่ะ ตอนนี้ของพี่มะแมก็โทร.เข้า
ออกได้แล้ว" แล้วหยิมก็ยื่นอะไรอย่างหนึ่งให้
"จดหมายค่ะพี่"
มะแมชะงักนิ่งเหมือนถูกไฟดูด และนั่นก็
เป็นครั้งแรกที่หยิมเริ่มเอะใจสงสัย
"จดหมายนี่มาจากใครหรือคะพี่ มาได้ทุก
วัน พี่มะแมถูกใครว่าร้ายหรือข่มขู่รึเปล่า?"
หญิงสาวชั่งใจอยู่นาน ก่อนยกมือเสยผม
สั่งเด็กสาวด้วยเสียงอ่อนโรยว่า
"ฝากเอาไปทิ้งถังขยะให้ทีนะหยิม"
"ได้ค่ะพี่"
หยิมปฏิบัติตามโดยไม่ซักไซ้ยืดเยื้อ แค่
แน่ใจว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลในจดหมาย
ทำาความระคายให้เจ้านายเกินจะรับ และหล่อนก็
มีหน้าที่กำาจัดทุกความระคายให้นายตน โดย
เลือกเดินออกนอกห้องมาทิ้งไกลๆให้พ้นหูพ้นตา
ด้วย
มะแมปิดตาลง นั่งทำาความรู้สึกถึงลม
หายใจที่ลากยาวแช่มช้า ครู่หนึ่งพอหายฟุ้งซ่าน
สบายใจขึ้น ก็ลุกขึ้นมานั่งรับประทานอาหาร
กลางวันตามปกติ สั่งตนเองอย่างเด็ดขาดว่าอย่า
สนใจจดหมายอีก แม้เชื่อแล้วว่า "คำาทำานาย"
ในจดหมายเป็นของจริง ไม่ใช่เรื่องหลอก ไม่ใช่
การเล่นตลก แต่ขณะเดียวกันประสบการณ์ตรงก็
บอกอยู่ ว่าถึงรู้อนาคตไปไม่ใช่จะช่วยให้อะไรดี
ขึ้น รังแต่จะกระทบใจให้กังวลล่วงหน้าเปล่าๆ
หล่อนแค่ใช้ความสามารถ ใช้ปฏิภาณ ใช้
ญาณสัมผัส เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พยายาม
เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีด้วยตนเอง ก็น่าจะ
เพียงพอแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาช่วยอีก
ตรวจสอบและถ่ายฐานข้อมูลเข้าโทรศัพท์
เครื่องใหม่ แล้วนึกได้ว่าควรโทร.หาสารวัตร
กฤษฎาเสียหน่อย เมื่อคืนหล่อนคงทำาให้เขาห่วง
น่าดู พอโทร.ติดก็ได้ยินฝ่ายนั้นโหวกเหวก ซัก
ถามหล่อนด้วยเสียงห่วงใยยิ่ง เขางงมากว่าเกิด
อะไรขึ้น มาดูที่บ้านก็ไม่พบร่องรอยใดๆ มะแมได้
แต่รายงานว่าเมื่อคืนเกิดเหตุร้ายบางอย่างต่อ
หน้าต่อตา แต่หล่อนก็จัดการไปด้วยตนเองแล้ว
ขอโทษที่โทร.รบกวนและทำาให้ตกใจ
ตกบ่ายมะแมทำางานต่ออย่างปลอดโปร่ง
วันนี้มีแต่ลูกค้าน่ารัก ราวกับเรียงหน้ากันมาร่วม
ฉลองปริญญาใบใหม่ให้กับหล่อนฉะนั้น
แต่แปลกที่เวลายิ่งผ่านไป ใจกลับยิ่งเป็น
กังวล บอกไม่ถูกว่ากังวลอะไรหรือนึกห่วงใคร
ทราบแต่เกิดคลื่นรบกวนกระทบจิต และคลื่น
รบกวนนั้นก็ไม่จางหายไป แถมทวีความแรงขึ้น
ตามลำาดับด้วย
มะแมไม่ใจดีต่อเวลาให้ลูกค้ารายสุดท้าย
แม้เขาจะทำาท่าอิดออดขอถามต่ออีกหน่อย หล่อน
รีบขอตัว บอกมีธุระต้องสะสาง และลุกขึ้นยิ้ม
สุภาพในท่าทีเชื้อเชิญให้กลับได้
พอลูกค้าซึ่งเป็นหนุ่มหน้าตี๋ออกจากห้องไป
มะแมก็ลงนั่งสมาธิกับเก้าอี้ทำางานทันที ไม่ย้าย
ไปอีกห้องที่จัดไว้สำาหรับเล่นโยคะและทำาสมาธิ
โดยเฉพาะ
สำารวจจิต เห็นความกังวลยังปรากฏอยู่ แต่
ไม่มีกำาลังสติมากพอจะรู้ว่ากังวลเรื่องใด จึงหน่วง
นึกถึงนิมิตวงกลมสีขาว เริ่มจากเห็นโยกโย้เลือน
ราง ค่อยๆชัดเด่นแจ่มใสขึ้นตามลำาดับ กระทั่ง
เห็นเป็นเส้นคมกลมดิก มะแมจึงค่อยย้อนกลับมา
พินิจร่องรอยความกังวลใหม่
ทันทีนั้น ความรู้สึกกังวลก็แปรเป็นนิมิต
ซองจดหมาย ซองจดหมายที่ปรากฏในห้วงมโน
ทวารคราวนี้ ให้ความรู้สึกเป็นของสำาคัญที่ถูก
หล่อนละเลยไป
พอสัมผัสได้ถึงความสำาคัญ มะแมก็
พยายามจ้องมองนิมิตจดหมาย โดยทำาความรู้สึก
เข้าไปในเรื่องราวที่แฝงอยู่ แต่คล้ายมีกำาแพงขุ่น
มัวขวางกั้น ไม่ให้จิตแตะเข้าไปถึง "ความลับ"
ข้างในได้ จึงทราบว่าญาณสัมผัสของตนมีกำาลัง
ไม่พอ อย่างมากก็แค่รู้ว่า "สำาคัญ" และต้องเปิด
อ่านเอาเองด้วยตาเปล่าเท่านั้น
ลากลมหายใจเข้ายาว ผ่อนลมหายใจออก
ยาว เปิดเปลือกตาลุกจากที่นั่งด้วยราศีสงบเยี่ยง
คนเพิ่งถอนจากสมาธิ มะแมเดินไล่หาถังผงทีละ
ถัง เพื่อค้นดูว่าหยิมนำาจดหมายไปทิ้งไว้ในถังใด
แต่เมื่อค้นคุ้ยทุกถังในบ้านก็พบว่าว่างเปล่า
ทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าหยิมทิ้งลงถังใหญ่ไปแล้ว
มะแมจึงเดินต่อมาที่หน้าบ้านด้วยท่าทีร้อนรนขึ้น
เปิดฝาถังขยะหน้าบ้านแล้วใจหายที่เห็นว่า
ว่างอีก รถขยะคงมาเอาไปเรียบร้อย
ขณะเดินคอตกกลับเข้าบ้านด้วยความสิ้น
หวังจะได้รู้ "เรื่องสำาคัญ" ในจดหมาย มะแมก็ได้
ยินเสียงทักจากเบื้องหลัง
"หาจดหมายเหรอคะพี่มะแม?"
หยิมลงจากจักรยาน หล่อนเพิ่งไปซื้อ
กับข้าวที่ปากซอย เห็นแต่ไกลว่าเจ้านายก้มๆ
เงยๆอยู่กับถังขยะหน้าบ้าน ก็เดาถูกว่าต้องการ
สิ่งใด พอมาถึงจึงถามไล่หลัง
"ใช่..." มะแมหันมาตอบเนือยๆ "รถขยะ
มาเอาไปแล้วใช่ไหม?"
"ค่ะ! มาเอาไปตั้งแต่สักบ่ายสองมั้ง"
มะแมรับฟังแล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
"ช่างเถอะ"
"พี่มะแมต้องการรู้เนื้อความในจดหมาย
แล้วใช่ไหมคะ?"
หญิงสาวแปรสายตาจับลูกจ้างคนเก่งด้วย
ประกายมีความหวัง
"ใช่! หยิม! พี่ต้องการรู้แค่ว่าเขาเขียน
อะไร"
"ถ้าทราบว่าหยิมแอบแกะอ่านด้วยความ
อยากรู้อยากเห็นจนทนไม่ไหว พี่มะแมจะเฆี่ยน
หยิมไหมนี่?"
"ไม่เลยหยิม!" มะแมละล่ำาละลัก แทบเขย่า
ไหล่ทั้งสองข้างของคนช่างขยัก "นอกจากจะไม่
เฆี่ยนตีแล้ว พี่ยังต้องขอบคุณหยิมเป็นที่สุด
ด้วย!"
เด็กสาวผมสั้นอมยิ้มปลื้ม
"จดหมายเขียนว่า อย่าเสียใจ คนฆ่าตัว
ตายกันทุกวัน แต่ถ้าอยากรู้สึกดีขึ้น ก็ลองช่วยคน
ที่ยังฆ่าตัวตายไม่สำาเร็จเป็นการชดเชย ประมาณ
นี้นะคะ จำาเป๊ะๆไม่ได้หรอก"
เมื่อพบว่าคำาพูดของตนมีผลให้เจ้านาย
ทำาท่าคล้ายจะเป็นลม ก็รีบเสริมความเห็นส่วนตัว
เข้าไปทันที
"คนเขียนเป็นบ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ หนู
ว่าเพ้อเจ้อมาก"
มะแมฟังคำาของหยิมไม่จบ พอรวบรวมสติ
ได้ก็ถลันเข้าบ้าน ในอาการตะลีตะลานชนิดที่เด็ก
สาวไม่เคยเห็นมาก่อน
อกร้อนเป็นไฟ เข้าถึงคอมพิวเตอร์ชั้นล่าง
ซึ่งหยิมใช้กรอกเก็บข้อมูลลูกค้า มะแมค้นย้อนไป
สองวันที่ผ่านมา เจาะจงสืบหาข้อมูลลูกค้าชื่อ
"แจ๊บ" ซึ่งเทคโนโลยีก็ยื่นคำาตอบให้โดยพลัน
สาวพลังจิตเอากระดาษปากกาใกล้มือมา
จดเบอร์โทรศัพท์ของแจ๊บ แล้วผลุนผลันวิ่งขึ้น
บันไดสู่ชั้นบนแบบก้าวทีละสองขั้น คล้ายบางสิ่ง
ที่อยู่ชั้นบนไม่อาจรอเวลาสายได้แม้แต่ชั่วลม
หายใจเฮือกเดียว
คว้ามือถือจากโต๊ะทำางาน กดเบอร์สาวแจ๊
บอย่างเร่งด่วน ลนลานเหมือนไม่อยากหายใจ
หายคอกันอีกต่อไป สัญญาณเรียกสายดังขึ้นใน
ลำาโพงจิ๋ว มะแมรอคอยการตอบรับด้วยดวงตา
เบิ่งโต อกใจเต้นระทึกยิ่งกว่ารอผลตัดสินจำาคุก
ของศาล ว่าโดนกี่ปี หรือจะไม่โดนเลย
"ฮัลโหล..."
เสียงอ่อยเอื่อยดังขึ้นที่ปลายสาย มะแม
เหลือบตาขึ้นข้างบน สยายยิ้มกว้างด้วยความ
รู้สึกคล้ายตายแล้วเกิดใหม่ ตอนนี้รู้แล้วว่าพวก
เต็มใจวิ่งแก้บนรอบสนามฟุตบอลสิบรอบเป็น
อย่างไร
"คุณแจ๊บหรือคะ สวัสดีค่ะ นี่มะแมนะคะ"
"อ้อ! คุณมะแม สวัสดี"
"คุณแจ๊บคะ มะแมอยากคุยกับคุณค่ะ ขอ
เวลาสักหน่อยได้ไหม จะให้มะแมไปหาที่ไหน
ก็ได้"
"แจ๊บก็อยากคุยกับคุณมะแมค่ะ แต่คุยกัน
ทางนี้แหละ เพราะแจ๊บอยู่ไกลหน่อย"
"คุณแจ๊บอยู่ไหนคะ?"
"เชียงใหม่"
"ไปนั่งชมวิวคนเดียวหรือ?"
"ค่ะ ทำาไมรู้ล่ะ... เอ้อ! ลืมไปว่าคุยอยู่กับ
ใคร ไม่น่าถามเลย แจ๊บมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่
นี่น่ะค่ะ"
"ไปคนเดียวหรือคะ?"
"ค่ะ! คนเดียว... เสียดายเหมือนกันที่ไม่ใช่
สองเหมือนครั้งก่อน..."
"ครั้งนี้คิดเสียว่ามะแมอยู่เป็นเพื่อนได้
ไหม?"
แจ๊บหัวเราะนิ่มๆ
"คุณมะแมนี่ใจดีจังนะ นึกยังไงถึงโทร.หา
แจ๊บคะ?"
"มะแมอยากคุยเรื่องอนาคตของคุณแจ๊บ
วันก่อนมะแมยังพูดไม่จบ คุณแจ๊บก็หนีออกมา
ก่อน"
"ขอโทษจริงๆค่ะ เวลาหน้ามืดแจ๊บควบคุม
อารมณ์ไม่ได้เลย พอออกจากห้องคุณมะแมแล้ว
ถึงนึกได้ว่ายังไม่จ่ายเงิน แย่จริงๆ"
"มะแมไม่ได้โทร.มาเรื่องนั้นค่ะ ไม่สนใจ
เลย แค่ย้อนกลับไปคิดถึงวันที่คุยกับคุณแจ๊บ
แล้ว... รู้สึกว่าอาจจะยังพูดไม่ดีที่สุดเท่าที่จะพูด
ได้"
"ไม่ดียังไงคะ กระชากแจ๊บออกจากฝันลมๆ
แล้งๆ ตื่นขึ้นมาเจอความจริงได้ ถือว่าดีที่สุด
แล้ว"
"คุณแจ๊บคุยกับแฟนแล้วหรือ?"
"พอกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่แจ๊บทำาคือ
พยายามโทร.หาพี่ปาย..." แจ๊บเล่า "โทร.เท่า
ไหร่เขาก็ไม่รับ เข้าเฟซบุ๊ครอนานแค่ไหนก็ไม่
ออนไลน์ เลยต้องเขียนเมลนั่นแหละถึงจะยอม
ตอบกลับ"
มะแมระบายลมหายใจยาว
"คุณแจ๊บเขียนไปถามขอคำายืนยันตามที่
มะแมเผยให้คุณรู้หรือคะ?"
"ค่ะ... แจ๊บถาม และเขาก็ตอบหมด ตรง
กับที่คุณมะแมบอกทุกอย่าง แถมท้ายด้วยคำาขอ
ให้ถอยไปคนละก้าว... เขาขอเลิกกับแจ๊บค่ะคุณ
มะแม!"
ปลายเสียงนั้นร้าวรานจนมะแมเจ็บปวด
ตาม
"ถอยคนละก้าว ต่างกับเลิกกันให้ขาดนะ
คะ"
ปลอบทั้งรู้ว่าใจผู้ชายไม่เอาด้วยแน่ๆแล้ว
"พี่ปายมีคนใหม่แล้วใช่ไหมคะ?"
"ไม่รู้ค่ะ แต่ช่างเขาเถอะคุณแจ๊บ แค่รู้ไว้
เถอะว่าคู่ของคุณกำาลังจะมาถึงในไม่ช้า"
คนอกหักฟังแล้วนิ่งไปนาน ก่อนถามแบบ
ทอดอาลัย
"คู่ของแจ๊บจะทำาให้แจ๊บรักเขาได้เท่าพี่ปาย
หรือเปล่า?"
มะแมอึกอัก ไม่อยากฝืนตอบด้วยวิธีโกหก
ในความรู้สึกของหล่อน คู่ที่จะอยู่ร่วมกันจริง
เทียบไม่ได้เลยกับคนที่เพิ่งหักอกแจ๊บหมาดๆ
ระดับนายปายนั้น ถ้าผ่านไปแล้วจะไม่ผ่านมาอีก
เป็นอะไรที่มีได้ครั้งเดียวในชีวิตของแจ๊บจริงๆ แค่
น่าเสียดายแทนแจ๊บที่รักษาเขาไว้ไม่ได้
แต่นักจิตวิทยาสาวก็หาคำาพูดดีๆและตรง
กับความจริงได้สำาเร็จ
"ถึงคุณแจ๊บจะหลงเขาไม่เท่าคุณปาย แต่ก็
จะรักเขาอย่างสบายใจ รวมทั้งเข้าใจวิธีรักษา
ความรักให้ยั่งยืนด้วย มันเป็นการยกชั้นขึ้นมา
จากความลุ่มหลงนะ ดีกว่ากันเยอะ"
"คบกับพี่ปาย แจ๊บแน่ใจแล้วนะว่าแจ๊บรู้จัก
ความรัก แล้วก็พยายามทำาความเข้าใจวิธีรักษา
มันอยู่"
แจ๊บค้านแบบดื้อไม่เลิก มะแมกลั้นใจไปครู่
ถ้าโกหกเป็น หล่อนจะบอกว่าหล่อนเชื่อ หรือไม่ก็
ทำาเป็นชม ทำาเป็นเชียร์ แต่แนวทางช่วยคนของ
หล่อนไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าฝืนเชียร์มั่วไปครั้งหนึ่ง ก็
จะมีครั้งหน้า แล้วติดเป็นนิสัย มะแมจึงไม่ยอมมี
ข้อยกเว้นให้ใครมาตลอด รวมทั้งแจ๊บในครั้งนี้
ด้วย
"พยายามแค่ไหนก็พลาดได้ถ้ายังไม่พร้อม
จริง คู่ของเราแท้ๆมักมาตอนเราพร้อมจะไม่
พลาดแล้วนะคะ"
"บางความพลั้งพลาด แจ๊บลืมมันไปแล้ว
ด้วยซ้ำา แต่ไม่นึกว่ามันคือจุดแตกหัก จนกระทั่ง
คุณมะแมบอกแจ๊บเมื่อวันก่อน และได้รับคำา
ยืนยันจากพี่ปาย"
"พลาดอะไรหรือคะ?"
มะแมถามพลางนึกทวน
"พี่ปายสารภาพว่าตัดใจถอยจากแจ๊บ ตั้ง
แต่แจ๊บเมาแล้วด่าเขา แช่งเขา และลามปามถึง
พ่อแม่เขา"
"อ๋อ!"
"พี่ปายรักพ่อแม่มาก เขาทนไม่ได้กับการ
ลามปามถึงพวกท่าน แล้ว... แล้วตอนแจ๊บเมา
แจ๊บพูดได้ยังไงไม่รู้ ประมาณว่าคอยดูนะ ถ้าทิ้ง
แจ๊บ แจ๊บจะฆ่าพ่อแม่เขา จะเผาบ้านเขาให้วอด
โธ่เอ๊ย! คนอย่างแจ๊บเนี่ยนะจะทำาอย่างนั้นได้
แจ๊บไม่ได้หมายความตามนั้นเลย ทำาไมเขาถึงไม่
ให้อภัย ทำาไมไม่เข้าใจว่าแจ๊บเมา มันมีอะไรให้
ต้องกลัวกันจริงๆเหรอ?"
มะแมอึ้ง คิดในใจว่าเขาไม่ได้กลัวคุณหรอก
แต่กลัววิธีเมาของคุณนั่นแหละ!
"แล้วคุณแจ๊บจะกลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่คะ?
จริงๆมะแมอยากคุยกับคุณแจ๊บแบบเห็นหน้า
มากกว่า"
แจ๊บนิ่งไปนาน นานจนมะแมต้องถามย้ำา
"คุณแจ๊บคะ ยังฟังอยู่หรือเปล่า?"
"เมื่อสองสามเดือนก่อนตอนจองเวลามา
คุยกับคุณมะแม แจ๊บอยากคุยเรื่องงานมากกว่า
นะ เรื่องพี่ปายไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่ เพราะนึกว่า
รู้หมดแล้ว"
แจ๊บพูดแบบคนคิดอะไรสับไปสับมาหลาย
เรื่อง แต่มะแมก็รีบรับลูก
"แล้วทำาไมถึงมาเน้นเรื่องคุณปายล่ะคะ?"
"เมื่ออาทิตย์ก่อนเป็นวันเกิดแจ๊บ พี่ปายไม่
สนใจเลย แค่ส่งรูปการ์ดให้ทางเน็ตกับคำาอวยพร
สั้นๆ มันทำาให้รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
นั่นแหละที่ทำาให้แจ๊บอยากรู้ใจพี่ปายว่ายังอยู่กับ
แจ๊บหรือเปล่า"
"สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะคะคุณแจ๊บ"
มะแมปรุงเสียงให้สดใสชัดถ้อยชัดคำา
หล่อนชำานาญการอวยพรให้คนฟังรู้สึกดี
"ไม่เห็นจะเป็นสุขเลยค่ะ ทำาไมคนเราต้อง
กะเกณฑ์ให้เป็นสุขในวันเกิดกันนักก็ไม่รู้ มันก็แค่
อีกวัน ที่เราอาจเจอเรื่องแย่ๆ ฝืนใจให้ร่าเริงไม่
ไหว"
"ก็จริงนะคะ แต่ละวันเกิดของมะแม มะแม
จะถามตัวเองว่า วันนี้ชีวิตบอกให้คิดอะไรบ้าง"
แจ๊บหัวเราะขรึม
"สำาหรับแจ๊บ วันเกิดล่าสุดบอกให้แจ๊บคิด
ว่า ยิ่งผ่านวันเกิดมากขึ้นเท่าไร ใจเรายิ่งคุ้นกับ
วันตายมากขึ้นเท่านั้น!"
มะแมฟังแล้วขนลุก
"เอ่อ... แต่สำาหรับมะแม วันเกิดที่ผ่านมาบ
อกให้มะแมคิดค่ะว่า วันเกิดที่ดีที่สุด คือวัน
ธรรมดาที่เราใช้ชีวิตอย่างมีค่าที่สุด!"
"ชีวิตของคุณมะแมน่ะมีค่า แต่ชีวิต
แจ๊บเนี่ย เฮ้อ! วันๆหมดไปให้กับความคิดมากท่า
เดียวเลย"
"เคล็ดลับความเข้าใจมีอยู่นิดเดียวค่ะคุณ
แจ๊บ ที่คิดมากเพราะไม่ได้คิด แต่ไปติดอยู่กับ
อารมณ์ฟุ้งซ่านวกวนไม่รู้จบ หมั่นคิดถึงสิ่งที่อยู่
ตรงหน้า แล้วคุณจะไม่เป็นคนคิดมาก"
"แต่แจ๊บเหงา..."
"มะแมก็เคยเหงา แล้วมะแมได้ค้นพบ
ความจริงอย่างหนึ่ง คือ แค่อยากไปทำาให้เด็ก
อนาถาหายเหงาสักวัน เขายังไม่ทันหายเหงา
ความเหงาก็หายไปจากเราแล้ว"
"อือม์... ฟังดูน่าลองจังค่ะ"
"ให้มะแมพาไปก็ได้นะ"
หล่อนเสนอตัว ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าขอ
ให้แจ๊บรับปากอะไรเถอะ หล่อนจะยอมเหนื่อยทุก
ประการ แม้จะต้องโดนกระโดดเกาะหลังยืดเยื้อ
ก็ตาม
"เหมือนคุณมะแมรู้เลยว่าแจ๊บกำาลังจะจม
น้ำา ไม่กลัวแจ๊บกอดคอคุณมะแมเป็นตุ๊กแกหรือ
คะ?"
มะแมเกือบสะดุ้ง เพราะแจ๊บพูดราวกับรู้ว่า
หล่อนคิดอะไร
"ไม่หรอกน่า..." มะแมเค้นหาความรู้สึก
ที่แท้จริง แล้วก็พบว่าตนพูดได้เต็มปากเต็มคำา
อย่างสบายใจ "ให้มะแมเป็นเพื่อนคุณแจ๊บได้
ไหม มาคุยเปิดอกกัน วันแรกเราอาจจะคุยกัน
ตามหน้าที่ วันนี้ให้มะแมพูดจากใจจริง มะแม
อยากเป็นเพื่อนกับคุณแจ๊บ และเชื่อว่าต่อไปเรา
จะมีความผูกพันที่ดีต่อกันได้"
"มิบังอาจ คุณมะแมน่ะ เหมือนแม่หรือพี่
สาวของแจ๊บเลย"
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า บางทีมะแมก็วาง
ฟอร์มตามหัวโขนไปอย่างนั้นเอง ตัวจริงเป็นผู้
หญิงธรรมดาทุกอย่าง และจากสายตาของมะแม
ก็เชื่อว่าเราสองคนมีบางสิ่งที่เข้ากันได้"
"ตรงไหน? คุณมะแมใจเย็นเป็นน้ำา ส่วนแจ๊
บน่ะร้อนเหมือนไฟ"
"คนเก่งก็งี้แหละ ให้เดานะ คุณแจ๊บจบ
เกียรตินิยมชัวร์ มะแมก็เหมือนกัน เดิมทีมะแม
ไม่ใช่คนใจเย็นนะ อาจร้อนยิ่งกว่าคุณแจ๊บอีก"
"ไม่เชื่อหรอก!"
"จริงจีง...!" ลากเสียงยาวแบบคะยั้นคะยอ
ให้เชื่อ "แต่สวมหัวโขนไหนไปนานๆ คนก็นึกว่า
เราเป็นอย่างนั้น พอถอดหัวโขนออก เราก็รู้ตัวว่า
ไม่ได้มีดีอะไรเลย"
"แล้วมะแมเคยมีแฟนไหม?"
แจ๊บตัดสรรพนาม "คุณ" ออกไป แสดง
ความใกล้ชิดตามมะแมเสนอ แล้วก็ชักเห็นจริงว่า
ความสนิทสนมกับมะแมก่อตัวขึ้นในใจได้อย่าง
รวดเร็ว
"เคย!"
"ยังเป็นแฟนกันอยู่หรือเปล่า?"
"เคยหวานแหววช่วงมัธยมปลายน่ะ พอ
เรียนมหา'ลัย ต่างคนต่างแยกย้าย มะแมไม่ค่อย
มีเวลาให้ เพราะต้องทำางานส่งตัวเองเรียนไปด้วย
เขาก็ไปเจอคนใหม่"
"ไม่ได้เลิกเพราะทะเลาะกัน?"
"ก็... ประมาณว่ามะแมเห็นเขานั่งในรถกับ
ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คุยกันหนุงหนิง"
"มะแมเลยขอเลิก?"
"ไม่ได้พูดอะไรชัดหรอก แค่เมลไปบอกว่า
ไม่ต้องมาแล้ว"
แจ๊บยิ้มด้วยความปลอดโปร่งขึ้น เหมือน
คุยกับเพื่อนที่สนิทกันมานาน
"แสดงว่าเขาไม่ค่อยมีความหมายกับมะแม
เท่าไหร่ ไม่เคยมีอะไรกับเขาใช่ไหม?"
"มะแมให้มากสุดก็หอมแก้ม เกินกว่านั้น
ห้ามขาด"
"หึหึ เขาคงงุ่นง่านน่าดูนะ หุ่นอย่า
งมะแมเนี่ย ได้หอมแก้มก็ต้องน้ำาลายหก อยาก
ทำาอะไรต่อ"
"ช่วยไม่ได้! พอดีมะแมยี้ๆกับเรื่องพวกนี้
มันรังเกียจ"
"สงสัยเกิดผิดยุค"
"ถ้าแจ๊บได้ทำาวิจัย ทำาแบบสอบถามมากๆ
อย่างมะแม จะรู้ว่าคนสมัยนี้ไม่ได้ติดใจหรือเห็น
เซ็กส์เป็นเรื่องขาดไม่ได้ ตามๆกันไปหมดหรอก
นะ"
"ก็รู้ แต่ถ้าหน้าตาดี หุ่นยั่วน้ำาลายผู้ชาย
แบบพวกเรา ก็มักหนีไม่พ้นเจอข้อเสนอเอานู่น
เอานี่มาประเคน โดนขอสนิท โดนขอเข้าใกล้ ใน
ที่สุดเราก็ทนไม่ได้ ไม่รู้จะหวงไปทำาไม เพื่อนๆมัน
ก็ตามใจตัวเองกันหมด เห็นเป็นธรรมดาของยุค
นี้"
"มะแมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอยาก
ทำางานทั้งวันมาหลายปีแล้ว เลยไม่ค่อยมีคิวให้
ใครมาเข้าใกล้"
"ทำาไมถึงรักงานขนาดนั้น การช่วยคนมัน
สนุกมากเหรอ? แต่ว่าที่จริง แจ๊บแอบอิจฉามะแม
มากเลยรู้ไหม เป็นตัวของตัวเอง มีค่า ไม่ต้อง
พึ่งพาความอบอุ่นจากผู้ชาย"
มะแมเชิดหน้านิดหนึ่ง
"วันๆมีแต่ผู้ชายมาขอความอบอุ่นจากมะ
แมน่ะสิ! ตอนนี้เห็นผู้ชายเป็นเด็กอมมือ ไม่รู้จัก
โตไปหมด สงสัยชาตินี้ได้ขึ้นคานตลอดชีวิตนั่น
แหละ"
"ขนาดนั้น?"
"ขนาดนั้น!"
"อย่างนี้เป็นแบบมะแมก็ไม่ดีน่ะสิ"
"แล้วเป็นแบบไหนถึงจะดี?"
แจ๊บทอดสายตามองไกล ขอบฟ้ากว้าง ทิว
เมฆสะท้อนแสงหลากสี ตะวันใกล้จะตกดินอยู่
รอนๆ สายลมเย็นโชยพัดเส้นผมหล่อนปลิวไหว
"เออนะ อย่างไหนล่ะถึงจะดี... มีคู่เพื่อจะ
หวานใส่กัน แล้วมาเปลี่ยนเป็นทะเลาะกัน จบลง
ที่ทิ้งกัน มันดีตรงไหน"
ขอบตาล่างซ้ายของมะแมขยิบนิดหนึ่ง
"แจ๊บ! พูดอย่างเพื่อนนะ ตัวเองน่ะสวย
ขนาดนี้ มาช่วยกันเสียดายคนที่เขาไม่ได้เธอไป
ครองดีกว่า วันนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายอกหัก
นั่นก็เพราะยอมเป็นฝ่ายถูกทิ้งทางกายข้างเดียว
ทำาไมไม่หัดให้เขาเป็นฝ่ายถูกทิ้งด้วยใจเราดู
บ้าง?"
"ขอบใจมากมะแม เราปลื้มและรู้สึกเป็น
เกียรติมากที่เธอลดตัวลงมาเป็นเพื่อน ถ้ามีเพื่อน
ดีอย่างเธอมาก่อนหน้านี้สักสิบปี เราอาจจะอยาก
มีค่าให้มากๆแบบเธอบ้างก็ได้ ไม่ปล่อยให้ตัวเอง
ไร้ค่าจนสายไปแบบนี้"
"คำาว่าสายไปมีไว้ใช้กับคนตายเท่านั้นแห
ละแจ๊บ!"
"อือ..."
ความเงียบเข้าปกคลุม มะแมสัมผัสถึง
ความเหม่อลอยแปลกๆของอีกฝ่าย ก็เรียกให้
ขานรับบ้าง
"แจ๊บ..."
"หือ?"
"จะกลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่?"
เป็นคำาถามซ้ำา และแจ๊บก็ไม่ตอบอีก เสพูด
มาอีกทาง
"ก่อนมะแมโทร.มา แจ๊บกำาลังเลือกอยู่เลย
ว่าจะโทร.หาใครดี ใกล้เวลาพระอาทิตย์จะตกดิน
แล้ว..."
คราวนี้มะแมมือเย็นเฉียบ เกิดมาไม่เคย
หนาวไปทั้งตัวขนาดนั้นมาก่อน
"แจ๊บ! เธออย่าทำาอะไรบ้าๆนะ!" เผลอส่ง
เสียงเกือบเป็นตวาด แปลกที่รู้สึกสนิทกับแจ๊บอ
อกมาจากส่วนลึก คล้ายคุ้นมานานแสนนาน
กระทั่งลืมตัว ใช้เสียงเกรี้ยวและคำาแรง "ถามตัว
เองซิ ตอนนี้มีดีอะไรไปตายบ้าง?"
"ขอบใจเธอมากนะมะแม เธอดีกับคน
แปลกหน้าอย่างฉันได้ยิ่งกว่าคนเคยกอดคอ
บอกรักฉันตรงนี้เสียอีก"
"แจ๊บ! ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งทำาอะไร ให้มะแม
บินไปหาเดี๋ยวนี้ก็ได้ ไหว้ล่ะ!"
แจ๊บมองหุบเหวกว้างใหญ่ที่เริ่มครึ้มสลัว
น้ำาตารินผ่านร่องแก้ม สัมผัสเหมือนหลุมดำาที่ทรง
พลังเกินต้าน คล้ายเสียงเพรียกแห่งดนตรีมรณะ
ทำานองหวานเศร้า หรือขุมแม่เหล็กยักษ์จากแกน
กลางโลกที่ส่งแรงดึงดูดอันน่าพิสมัยมาดึงตัว ใจ
รู้แต่ว่าหล่อนต้องกระโจนลงไปหามันในนาทีนี้
แล้ว
"มะแม... ขอบคุณที่ทำาให้แจ๊บตาสว่าง
และขอบคุณสำาหรับความเป็นเพื่อนที่แสนดีใน
นาทีสุดท้าย รู้ว่ามะแมอยากช่วย แจ๊บอยากทำา
อะไรตอบแทนบ้าง แต่ขอเป็นชาติหน้านะ ชาตินี้
แจ๊บทนมีชีวิตต่อไปไม่ไหวจริงๆ"
"แจ๊บ!"
"ฝากบอกพี่ปายด้วยว่าขอโทษ ทำาไมแจ๊บ
ถึงรักเขาขนาดนี้ก็ไม่รู้..."
"แจ๊บ! อย่า!!"
มะแมกรีดร้องสุดเสียง วินาทีแห่งการ
เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น คล้ายละครฉากจบ
สะเทือนวิญญาณที่ถูกบังคับให้ดู ทั้งที่ไม่เคย
เต็มใจ
เสียงทางโทรศัพท์เหมือนแว่วผ่านมาจาก
มิติลี้ลับที่ไม่ควรมีใครได้ยิน ครั้งแรกเป็นเสียง
เปรียะแตกของกระจก อึดใจต่อมาตามด้วยเสียง
กระแทกโครมหนักๆ เว้นช่วงจากนั้นอีกครู่ ก็
กลายเป็นโครมครามซ้ำาไปซ้ำามา หลอนหูราวกับ
เสียงรัวกลองใหญ่ในนรก!
มะแมอยากขว้างโทรศัพท์ทิ้ง อยากกรีด
ร้องคลุ้มคลั่ง แต่เจ้ากรรม จิตกลับแข็งทื่อ ตัวนิ่ง
ขึงดุจถูกสาปว่าอย่างไรก็ต้องดูละครฉากสุดท้าย
ให้จบ ไม่ดูไม่ได้
การพูดคุยกับแจ๊บมาพักหนึ่ง ทำาให้กระแส
จิตผูกกับฝ่ายนั้นแน่นเหนียว และคลื่นจิตระหว่าง
มะแมกับแจ๊บก็จูนกันติดดีเสียด้วย แจ๊บรู้สึก
อย่างไรในวาระสุดท้าย มะแมก็รู้สึกตามนั้นไม่มี
ผิด!
จิตใจของแจ๊บขณะดิ่งเหวแน่นิ่ง ไม่
กระวนกระวาย เหมือนอยู่ในสุญญากาศอันสร้าง
ขึ้นด้วยเจตนาดับชีวิตอย่างสงบ มะแมติดตามได้
ตั้งแต่วินาทีแรกทีเดียวว่าแจ๊บหลับตาเหยียบคัน
เร่งอย่างไม่กลัวการพบมัจจุราชที่สยายเขี้ยวรอ
อยู่เบื้องล่าง ไม่มีการกรีดร้องออกมาแม้แต่แอะ
เดียว เพราะไม่เห็นอะไรเลย เอาแต่ปิดตารอนาที
ลงดาบด้วยความเลือดเย็นกับชีวิตตน
คะเนจากระยะห่างระหว่างเสียงสุดท้ายของ
แจ๊บ กับเสียงสุดท้ายของการบดขยี้รถเป็นเศษ
เหล็ก หน้าผาจะต้องสูงชัน รถจะต้องกระแทก
อะไรระหว่างทาง ก่อนลอยละลิ่วลงมาปะทะโขด
หินเบื้องล่างแล้วม้วนหลายตลบก่อนสงบนิ่ง
และในการม้วนตลบท้ายๆนั่นเอง สัญญาณ
ก็ถูกตัดไป แสดงให้เห็นว่าโทรศัพท์ของแจ๊บน่าจะ
ป่นปี้บี้แบนไปแล้ว แต่มะแมยังถือโทรศัพท์ของ
ตนค้าง ราวกับจะอาศัยมันเป็นอุปกรณ์ถ่ายทอด
สดรายการ "ชีวิตข้ามชาติ" อย่างต่อเนื่อง
ระหว่างคงสภาพความเป็นมนุษย์ แม้แจ๊บ
จะเหม่อบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง ห่อเหี่ยวบ้าง ก็ยังคงมี
ภาวะของจิตปรากฏชัด ไม่ต่างจากเปลวเทียนที่
ยืนตัวส่องแสงอยู่ตลอด แค่โดนบดบังเป็นเงามืด
เงามัว เงาสลัวบ้าง พอยกเครื่องบดบังออก
ความสว่างก็ฉายใหม่
แต่ขณะจะดับเพื่อเคลื่อนจากภพเดิม จิต
ของแจ๊บปรากฏเหมือนเปลวเทียนที่โดนสายลม
พัด ป้อแป้ร่อแร่ แล้วกลับตั้งขึ้นใหม่ แล้วซวนเซ
ปัดเป๋ไปมาหลายรอบ ทำาท่าจะดับมิดับแหล่ก็ไม่
ดับในทีเดียว คงเพราะอาการ "ตายคาที่" ของ
แจ๊บไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง
และในสภาพล้มลุกแบบเปลวเทียนจวนดับ
นั้น สิ่งที่บังเกิดซ้อนขึ้นมาอีกชั้นให้มะแมสัมผัส
คือกงจักรไร้ตน มันหมุนติ้วไม่หยุด
เทียบไปคงคล้ายมองหน้าใครที่กำาลังฟุ้ง
ซ่านหนักๆแล้วเห็นเหมือนกงล้อปั่นอยู่ในหัวของ
เขา แต่กงจักรไร้ตนที่มะแมกำาลังเห็นนี้ ไม่ได้มีที่
ตั้งอยู่ในสมอง มันเป็นเอกเทศต่างหากจากมิติ
ทางกาย กับทั้งปั่นแรงกว่าคนฟุ้งซ่านหลายเท่า
ภาวะนี้กระมัง ขณะแห่งการเกิดนิมิตพฤติกรรมที่
ทำามาระหว่างมีชีวิต ซึ่งคนผ่านประสบการณ์
เฉียดตายมักเล่าตรงกัน มะแมเล็งลึกลงไปในการ
หมุนของกงจักรด้วยความอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ แต่
ก็ไม่เห็น เพราะเกินความสามารถระดับหล่อน
ปรากฏการณ์ตายคาที่ของคนไปไม่ดี บอก
มะแมว่าเรื่องคอขาดบาดตายอันเป็นที่สุดมิได้
เกิดขึ้นกับกาย ทว่าเกิดกับจิตต่างหาก พอกาย
ยุติการทำางานก็แน่นิ่งไม่ต่างจากเศษอิฐเศษปูนที่
มีของเหลวไหลซึมออกมา แต่การดับจิตนั้น มี
อะไรให้ดูต่อ มีอะไรให้น่าแสดงความเสียใจอย่าง
แท้จริง ยิ่งกว่าทุกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างมีชีวิต
พอแจ๊บเคลื่อนจากภพแห่งมนุษย์ไปแล้ว มี
พลังบางชนิดที่ยิ่งใหญ่ ควบคุมให้เกิดการสร้าง
จิตดวงใหม่ขึ้นสืบทอดทันที มะแมบอกตนเองว่า
พลังยิ่งใหญ่นั้น คงเป็นพลังกรรมกระมัง คล้าย
พอไส้เทียนหมด เปลวเทียนก็ดับหาย แต่มิใช่
สาบสูญ เพราะไฟไปปรากฏในเทียนเล่มใหม่โดย
อะไรอย่างหนึ่ง ที่ไม่ยอมให้ความร้อนสิ้นสุด
การก่อภพใหม่ของแจ๊บเริ่มจากพลังมืด
คล้ายมนต์ดำารวมตัวขึ้นได้ก่อน แล้วจึงเนรมิต
สภาพของจิตที่แตกต่างจากความเป็นมนุษย์ขึ้น
มา
จิตใหม่ของแจ๊บมิใช่จิตที่รับรู้หรือคิดอ่าน
ได้ทันที เปรียบเหมือนมะแมเห็นแจ๊บถูกลอบฟาด
ศีรษะจากด้านหลัง สลบเหมือดกะทันหัน ทั้งสติ
สำานึกคิดอ่าน และความทรงจำาตอนเต็มตื่นหาย
ไป แปรเป็นสภาพไม่รู้ไม่เห็นใดๆ
ความตายปรากฏคล้ายภาวะขาดช่อง
ทางการติดต่อ จะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ถ้า
ต้องการพูดคุยสื่อสารกับแจ๊บ การอยู่คนละโลก
มันเป็นอย่างนี้เอง อยากช่วยอะไรก็สายเกินไป
แล้ว
นับว่าแจ๊บใจร้ายกับหล่อนเอาการ ลืมคิด
ไปหรืออย่างไรว่าการตายให้ใครดูมันสั่นประสาท
กันขนาดไหน สำาหรับมะแม หล่อนรู้เดี๋ยวนั้นเลย
ว่าจะเป็นแผลบาดลึกลงไปถึงก้นบึ้งความทรงจำา
และไม่อาจลบเลือนได้ตลอดชีวิต
มนุษย์ได้อะไรมาจากความรักบ้าง? คนเรา
ไม่เคยพร้อมจะตายเพื่อบูชารักเลย แต่จะเป็นจะ
ตายเมื่อความรักไม่ได้อย่างใจมากกว่า
มนุษย์เป็นสัตว์มีเหตุผล ทว่าก็อาจเอาแต่ใจ
และใช้อารมณ์ได้รุนแรงที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้ง
ปวง
มนุษย์มักใช้ชีวิตอย่างคนอวดดี แต่ก็ไม่
ค่อยมีดีไปตายกัน!
นี่แหละมนุษย์...
บทที่ ๖
มะแมเดินลงมาข้างล่างหงอยๆ หยิมกำาลัง
จัดข้าวจัดของ ความจริงหยิมได้ยินเสียงกรีดร้อง
ของมะแม แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างไร
หรือเปล่า เลยคอยเงี่ยหูสังเกตการณ์อยู่ที่ด้าน
ล่างเฉยๆก่อน
เมื่อหันไปมองนายสาว ก็พบว่านัยน์ตาคู่
งามของฝ่ายนั้นทอแววช้ำา แต่ยังคุมกิริยาด้วยสติ
ที่สมบูรณ์ ก็ทราบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หยิมจึง
ถามตามหน้าที่โดยไม่แสดงความห่วงใยเป็น
พิเศษ
"พี่มะแมหิวหรือยังคะ จะกินเลยหรือ
เปล่า?"
"หยิม... ในจดหมายเขียนว่ายังไงนะ ขอฟัง
ชัดๆอีกทีเถอะ"
หางเสียงคนถามสั่นพร่า
"อ๋อ! จดหมายเหรอคะ เขาเขียนว่า 'อย่า
เสียใจ คนฆ่าตัวตายทุกวัน ถ้าอยากรู้สึกดีขึ้นก็
ไปช่วยคนที่กำาลังจะฆ่าตัวตาย เป็นการไถ่ชีวิต
ด้วยชีวิต' อะไรประมาณนี้นะคะ ขอโทษจริงๆ
หยิมไม่แน่ใจว่าจำาถูกหมดหรือเปล่า"
เด็กสาวออกตัว จำาเนื้อความในจดหมาย
เป็นคำาเป๊ะๆไม่ได้ แค่ถ่ายทอดครั้งแรกกับครั้งนี้ก็
น่าจะต่างกันแล้ว
"ขอบใจนะ หยิมช่วยพี่ได้มากแล้ว เมื่อกี๊
ตอนฟังทีแรกพี่เก็บความไม่ครบเอง เลยเข้าใจ
ผิดนิดหน่อย"
"ค่ะ"
หยิมมองผู้เป็นนายตาแป๋ว เดาว่าคงเป็น
ลูกค้าคนใดคนหนึ่งฆ่าตัวตาย แต่ไม่เฉลียวคิด
เลยสักนิดว่าความตายเพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ไม่กี่
นาทีที่ผ่านมานี่เอง
"พี่จะออกไปทำาธุระข้างนอกหน่อย หยิมกิน
ข้าวเย็นไปคนเดียวแล้วกันนะ"
"มีอะไรให้หยิมช่วย หรือให้หยิมออกไป
เป็นเพื่อนไหมคะ? ถ้าจะไม่ได้กินข้าวเย็นก็ไม่
เป็นไรนะ"
มะแมยิ้มเซียว เดินเข้ามาดึงตัวหยิมกอด
เต็มอ้อมเป็นครั้งแรก ใช้มือตบศีรษะเบาๆก่อน
คลายอ้อมกอด
"มันเป็นงานที่พี่ต้องทำาคนเดียวน่ะ ขอบใจ
นะ"
"ค่ะ! แต่ถ้าพี่มะแมขับรถสวนกะโจร อย่า
ขับตามไปแบบเมื่อคืนอีกนะคะ"
หยิมพูดด้วยแววตาจงรักภักดี
"จ้ะ! ไม่มีองครักษ์คนเก่งไปด้วย พี่ไม่กล้า
ซ่าหรอก!"

หนึ่งทุ่มเศษในห้างเซ็นทรัลบางนา ผู้คน
หนาตา เหมาะที่สุดที่จะค้นหาใครสักคนมาชำาระ
ล้างความรู้สึกผิดออกจากใจ มะแมสัมผัสสำารวจ
ทุกคนที่เดินสวนหล่อน โดยเฉพาะคนเดินช้า
อ้อยอิ่งแบบหมดอาลัยตายอยาก
ชั่วระยะเวลาอันสั้นที่สวนกัน ไม่เพียงพอให้
มะแมรับรู้อะไรได้ลึกนัก แต่ละคนหลงเหม่ออยู่ใน
โลกของตัวเอง แม้รู้ว่าจะขยับกายไปทางไหน แต่
ก็เหมือนไม่ค่อยรู้ว่าชีวิตกำาลังเดินไปทางใด
พวกมาห้างแบบไม่มีสตางค์ ต่างก็เหม่ออยู่
บนฐานความสุขที่ได้เดินทอดน่องรับไอเย็นฉ่ำา
ฟรีๆ ส่วนพวกมาห้างแบบมีเงินล้นกระเป๋า ต่างก็
เหม่ออยู่บนฐานความอยากดูสิ่งล่อตาล่อใจ เพื่อ
ชั่งใจว่าจะปล่อยเงินในกระเป๋าหรือในบัตรเครดิต
ออกไปดีหรือไม่
พวกมาห้างแบบเดี่ยวๆมักพ่วงพาความ
เหงาเป็นเงาตามจิตมาด้วย ส่วนพวกมาห้างเป็น
คู่ๆ หรือมารอพบคู่ตามนัด ก็มีทั้งอารมณ์สำาราญ
และรำาคาญใจ บางคู่มาด้วยกันแต่ก็เหม่อลอยไป
คนละทิศคนละทางราวกับอยู่คนละโลก แค่อยู่ใน
ห้าง ๒๐ นาที มะแมพบสารพัดคู่ สารพัดรูปแบบ
ความสัมพันธ์ทางใจ จนเห็นหญิงชายจับคู่กัน
เลือกวิธีเป็นทุกข์เฉพาะตน ไม่ใช่แค่มองตื้นๆด้วย
ตาเปล่าว่า "เขาเป็นแฟนกัน"
พวกไม่มีเงินกับพวกเจ็บจากรัก มักถูกมอง
ว่ามีสิทธิ์ฆ่าตัวตาย มะแมก็อาศัยสามัญสำานึก
ตรงนั้นเป็นเกณฑ์ส่องสำารวจว่าใครเข้าข่ายบ้าง
แต่ก็พบความจริงอย่างหนึ่ง คือต่อให้เข้าตาจน
แต่ยังมีแก่ใจมาเดินรับไอเย็นในห้าง หรือแม้ระ
หองระแหงกับแฟนแต่ยังจูงมือกันมาดูหนังอยู่ ก็
ไม่มีใครอยากลาโลกภายในวันนี้พรุ่งนี้หรอก
ผ่านหน้าผ่านตา สัมผัสจิตคนเดินสวนมา
จากสิบเป็นร้อย มะแมชักเริ่มมึนงง เหมือนเล่น
เกมที่ต้องเก็บรายละเอียดให้ได้มากในเวลาอัน
สั้น ถ้าแค่ครั้งสองครั้งพอทน แต่เป็นร้อยนี่ชัก
เกินความสามารถ
หิวข้าว หิวน้ำา มะแมตัดสินใจแวะพักกิน
ก่อน เพราะถึงฝืนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาตอนกำาลัง
ใกล้จะหน้ามืดวิงเวียนรอมร่อ
ขณะนั่งจัดการอาหารเย็นตามลำาพังในศูนย์
อาหาร มะแมก็ครุ่นคิดถึงวิธีกวาดหาเป้าหมายที่
อาจเข้าข่ายอยากฆ่าตัวตายและลงมือจริง การ
เดินสวนแล้วสัมผัสตรวจเอาทีละคนน่าจะไม่ใช่วิธี
ที่ฉลาดนัก พอจับความเครียดหนักๆของบางคน
ได้ แต่แอบสะกดรอยตามไปครู่หนึ่ง ก็พบว่า
ความเครียดนั้นคลายตัวลง สรุปคือแค่เครียด
หนักแบบวูบวาบ ไม่ใช่ยืดเยื้อ คนจะอยากฆ่าตัว
ตายต้องซึมเศร้าอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำากว่า ๒
อาทิตย์ขึ้นไป
หล่อนควรหาวิธีรู้ให้ได้แน่นอนและรวดเร็ว
กว่านั้น เมื่อข้าวหมดจาน ดื่มน้ำาจนท้องอิ่มสบาย
พอ มะแมก็เริ่มกวาดสายตาจากจุดที่นั่งอยู่ และ
ค้นพบว่าการตรวจกวาดเป้านิ่งสะดวกกว่าเดินหา
แม้การเดินสวนกันจะได้พลังปะทะจังๆ รับสัมผัส
แรงจากระยะใกล้ แต่ช่วงเวลาก็สั้นเกินไป สู้นั่ง
กวาดหาเป้านิ่งเอาจากมุมกว้างอย่างนี้ไม่ได้ ใช้
เวลาได้นานตามต้องการ
ค่อยๆกวาดมองโดยรอบอย่างละเอียด แม้
หลายคนเป็นโรคสงสารตัวเองขั้นรุนแรง แม้
หลายคนจมอยู่กับความทุกข์ที่ข้นหนัก แม้หลาย
คนประสบปัญหาขั้นวิกฤต แม้หลายคนเก็บซ่อน
ความระทมขมขื่นแน่นอกไว้ภายใต้สีหน้าปกติ
และแม้หลายคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางพ้นจาก
ปัญหาใหญ่ไปจนชั่วชีวิต...
แต่ก็ไม่มีใครคิดฆ่าตัวตายในวันนี้ หรือใน
เร็ววันนี้เลยสักคน!
เมื่อมีชีวิตทุกคนจะรักชีวิต ไม่ว่าชีวิตจะ
ปรากฏเป็นเรื่องน่าเริงรื่นหรือขื่นขม ธรรมชาติ
ของคนทั่วไปจะไม่ปล่อยให้ตัวเองซึมเศร้าต่อ
เนื่อง ถึงเวลาก็ดูหนัง ดูละคร หาคนเจ๊าะแจ๊ะ
เรื่อยเปื่อย จึงมีช่วงผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่กดดัน
รุนแรงขนาดทะลุขีดความอดกลั้นง่ายๆ
ตั้งสติถามตัวเองว่าหล่อนกำาลังหาเป้า
หมายแบบไหน ที่จะมาชดเชยความรู้สึกล้มเหลว
ในการช่วยแจ๊บ คนกำาลังอยากฆ่าตัวตายวันน้ี
หรือคนที่มีแนวโน้มจะเบ่ือชีวิตสุดทนในเร็ววัน?
ถ้าตั้งใจฆ่าตัวตายเด๋ียวน้ีเลยก็อ่านง่ายอยู่
หรอก เพราะความรู้สึกอยากทำาลายชีวิตจะก่อ
กระแสจิตแบบหนึ่ง ที่สัมผัสแล้วทราบได้ว่าคนๆ
นั้นปฏิเสธการดำารงอยู่ของตนเอง แตกต่างจาก
สิ่งมีชีวิตทั่วไปที่หวงแหนและยึดมั่นการมีตัวตน
เหนือส่ิงอื่นใด
แต่จะหาได้สักก่ีคนที่อยากทิ้งชีวิตแล้วมา
เดินเสพสุขตามห้าง? ศูนย์การค้าเป็นแหล่งรวม
คนหวงชีวิต ไม่ใช่อยากท้ิงชีวิต แม้เคยมีข่าวคน
โดดลงมาจากที่จอดรถบ้าง หรือมีแหวกแนวโดด
กลางห้างบ้าง ก็หายากพอๆกับงมหินเล็กในสระ
ใหญ่ หล่อนจะต้องเดินไปกี่เดือนหรือกี่ปีกว่าจะ
บังเอิญเจอประเภทนั้น?
เมื่อคิดจะลดสเปกลง เพื่อหาเป้าหมายให้
พบได้ง่ายขึ้น โจทย์ข้อใหม่ก็ตามมาอีก คือหล่อน
จะเข้าไปแนะนำาตัวอย่างไร ดิฉันอยากช่วยให้คุณ
ไม่ต้องคิดฆ่าตัวตายในอนาคตอันใกล้งั้นหรือ?
ในแง่ของการเสนอตัวช่วย คนกำาลังจะฆ่า
ตัวตายเดี๋ยวนี้เท่านั้น ที่เป็นเป้าเหมาะ!
ความคิดสะดุดลง เมื่อมะแมพบว่าตนมักไป
รบกวนคนกำาลังก้มหน้าก้มตาทานข้าวให้เงยขึ้น
เหลียวมาตามแรงปะทะของกระแสตาที่หล่อนส่ง
ไปอยู่เรื่อย พอชักเกรงใจประชาชน หล่อนก็ลุก
ขึ้นด้วยความคิดว่าน่าจะหาทำาเลตรวจสัมผัสใหม่
ดีกว่า
ขณะยื่นคืนคูปองให้พนักงานที่โต๊ะแลก
เปลี่ยน มะแมก็ชะงัก เมื่อสัมผัสได้ถึงแผลใหญ่ใน
ใจสาวหลังช่องกระจกคนนั้น ใบหน้าแสดงความ
หมกมุ่น หมักหมมความเคร่งเครียดอย่างต่อ
เนื่องมานาน เข้าขั้นอกไหม้ไส้ขม แม้มือยื่นแลก
เปลี่ยนคูปองกับลูกค้า ก็เป็นกิริยาดุจหุ่นยนต์ไร้
ชีวิต
สัมผัสใจ ภายในของเจ้าหล่อนเต็มไปด้วย
อาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทั้งฝืนทน ทั้งด่ากราด
ทั้งเร่งร้อนอยากให้มหันตทุกข์ที่เผชิญอยู่ทุกเมื่อ
เชื่อวันสิ้นสุดลงเสียที
มะแมไม่แสดงอาการผิดปกติ เมื่อรับเงินมา
ก็ถอยไปทางหนึ่ง เลือกที่นั่งไม่ห่าง แต่ก็ไม่ใกล้ผู้
หญิงจมทุกข์คนนั้นเกินไปนัก ยังกำาเหรียญ ๕
บาทที่ได้รับทอนมาไว้ในอุ้งมือ สิ่งที่ได้รับจาก
สัมผัสกระทบโดยตรงขณะเจ้าหล่อนยื่นเหรียญให้
คือความหมกมุ่น เคียดแค้น ชิงชัง มะแมก็เริ่ม
โฟกัสที่ตรงนั้น
หลังจากใช้ปลายนิ้วคลึงเหรียญอึดใจหนึ่ง
มโนภาพก็ปรากฏเป็นฉากๆ เริ่มจากการถูกตาม
ตื๊อโดยผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งที่เจ้าหล่อนมีแฟนอยู่
แล้ว ตามด้วยภาพการโอนอ่อน ทนลูกตื๊อไม่ไหว
ถัดมาเป็นภาพการย้ายไปอยู่ห้องเดียวกัน แล้ว
จบด้วยการที่ชายเจ้าชู้ไปมีหญิงอื่น!
รักสามเส้าและการนอกใจเกิดขึ้นทุกหนทุก
แห่ง และเหมือนการแพร่ลามของเชื้อโรคร้าย
มะแมเก็บเหรียญลงกระเป๋า เจ้าหล่อนคนนั้น
กำาลังตกนรกแห่งความเสียดายและความชิงชัง
คนรักเก่ามีค่าเหมือนเพชรพลอยหล่อนทิ้งขว้าง
แต่คนรักปัจจุบันเหมือนไส้เดือนกิ้งกือกลับไปคว้า
มา
ในหัวเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยคำาหยาบคาย
บรรดามี เท่าที่มนุษย์จะสรรคิดกันขึ้นมา หนัก
ที่สุดคือคำาสาปแช่งและความอาฆาตอีนังผู้หญิง
หน้าใหม่ ประมาณว่าถ้ายืนอยู่ด้วยกันริมถนน ก็
พร้อมจะหน้ามืดถีบลงไปให้รถชนกระเด็นได้
ง่ายๆ
เรื่องแย่ของหญิงพนักงานแลกเงิน อยู่ตรงที่
ไม่รู้จะลงเอยอย่างไร จบดีหรือจบร้าย ต้องฆ่าฟัน
หรือทนเอา แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีภาพสะท้อนความ
คิดฆ่าตัวตายเลย คุณเธอไม่ได้อยากตายด้วยซ้ำา
ถ้าอยากให้คนอื่นตายค่อยว่าไปอย่าง
สรุปคือเธอคนนี้ก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่หล่อน
ค้นหา มะแมลุกขึ้นเดินผละออกมา สายตามอง
กราดรอบตัว ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยมนุษย์ที่มี
ชีวิตชีวา
อดคิดถึงแจ๊บไม่ได้ วันนี้เดินผ่านผู้หญิงมา
ไม่รู้เท่าไร ยังไม่เจอใครสักคนที่สวยเด่นเท่าแจ๊บ
แต่ในบรรดาสาวธรรมดานับร้อยนับพัน ไม่มีใคร
สักคนที่ทุรนทุรายกระหายความตายเหมือนอย่าง
แจ๊บ!
ทดลองขึ้นไปยืนเกาะราวกั้นของชั้นสอง
เหลือบมองฝูงชนที่เดินขวักไขว่อยู่กับชั้นแรก พอ
มองปักลงมาจากมุมสูง ครอบพ้ืนที่กว้างแล้วค่อย
เห็นคลุมผู้คนเยอะหน่อย บางคนเดิน บางคนนั่ง
บางคนคุยโทรศัพท์ บางคนหวานจี๋อยู่กับแฟน
ระยะข้าวใหม่ปลามัน แต่ละคนทำาในสิ่งที่สนใจจะ
ทำา...
และหล่อนก็กำาลังสนใจคนที่เลิกสนใจทุกสิ่ง
แม้กระทั่งความมีชีวิต!
ถามตนเองซ้ำา นี่หล่อนมายืนผิดที่หรือ
เปล่า?
แวบหนึ่งที่คิดถึงคนไข้ในโรงพยาบาล
ประสาท หล่อนเคยสัมผัสคนเหล่านั้นมา และ
ทราบว่าถ้าถึงขั้นคลุ้มคลั่งจะฆ่าตัวตาย ขนาด
ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลจ่ายยาจากจิตแพทย์
แบบนั้นก็เกินความสามารถจะพลิกชีวิตกันด้วย
คำาพูด
แล้วถ้าเป็นโรงพยาบาลธรรมดาล่ะ
ประเภทนอนพะงาบๆ ร่ำาร้องขอการุณยฆาต
อยากตายให้พ้นภาวะทรมาน หล่อนควรจะไป
ช่วยให้พวกนั้นกลับใจไหม?
แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้ว คนกำาลังทรมานแสน
สาหัสจากภาวะเจ็บปวดทางกาย หล่อนจะไป
อ้อนวอนให้เขาทนต่อด้วยข้ออ้างไหนดี?
หล่อนจะอยากพูดกับคนไข้ที่ร้องขอความ
ตาย ก็มีกรณีเดียวคือรู้แน่ว่ามีวิธีฆ่าตัวตายให้ไป
ดี!
แต่ขนาดบังคับให้หลับฝันดียังยาก แล้ว
บังคับให้ตายดี ประกันว่าจะเกิดภาวะใหม่ดีๆมาร
องรับ จะมีสักกี่คนที่ทำาได้?
ความคิดกระโดดทางโน้นทีทางนี้ที และวก
ไปวนมาจนเหนื่อยใจ กวาดตามองผู้คนด้านล่าง
แบบคลุมๆ หล่อนก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้น มีแขน
มีขา มีหัว มีตัว แล้วก็มีความทุกข์เฉพาะตน
แสวงหาความสุขเฉพาะทาง ใครจะช่วยใครได้
จริง?
สลัดหน้า เริ่มคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลบ้าง
จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิตที่มะแมติดตามเป็น
ระยะ ปัจจุบันมีคนไทยฆ่าตัวตายสำาเร็จวันละ ๑๒
ราย หมายความว่าถ้าวันนี้หล่อนเดินตระเวนรอบ
ประเทศ ก็ต้องปะหน้าคนมากกว่า ๕ ล้าน ถึงจะ
เจอใครสักคนที่กำาลังคิดฆ่าตัวตายและทำาได้
สำาเร็จ
ขณะเดียวกัน ข้อมูลชุดนั้นก็บอกเป็นนัย
ด้วยว่าภายใน ๒ ชั่วโมงนี้ ณ ที่ใดที่หนึ่งในราช
อาณาจักรไทย กำาลังมีคนคิดฆ่าตัวตาย แล้วก็
ทำาได้อย่างที่คิด หล่อนแค่ไม่รู้ว่าเป็นใคร อยู่
ที่ไหน ต้องดั้นด้นเดินทางไปหาอย่างไรจึงทัน
การณ์
ค่อยๆเห็นชัดขึ้นทีละน้อยว่าแจ๊บเป็น "หนึ่ง
ในบุคคลหายาก" นอกจากตัดช่องน้อยแต่พอตัว
หลีกลี้หนีไปสู่ปรโลกสำาเร็จ คุณเธอยังเป็นพวกไม่
ต้องรอเวลาหมักหมมความซึมเศร้าเนิ่นนานนัก
แค่รู้ตัวว่าถูกทิ้งขว้าง สองวันต่อมาก็ด่วนตัดอายุ
อย่างไม่มีเยื่อใยแล้ว
นี่คงเป็นอาการคลั่งรักรุนแรงขั้นสูงสุด
จริงๆ...
อดถามตนเองไม่ได้ มันเป็นคำาถามตกค้าง
ในลักษณะของตะกอนที่นอนก้นอยู่เฉยๆ แต่กวน
เมื่อไรก็ขุ่นเมื่อนั้น...
หล่อนมีส่วนทำาให้แจ๊บคิดสั้นด้วยหรือ
เปล่า?
ในวันที่แจ๊บนั่งอยู่ตรงหน้า หากหล่อนเลือก
ใช้ไม้นวม ค่อยๆพูด ค่อยๆชักแม่น้ำาทั้งห้า ไม่ใช้
ไม้แข็งตั้งแต่ยังไม่ทันไร แจ๊บอาจจะค่อยๆปรับใจ
อาจจะค่อยๆรับรู้เหตุผลอันควรแก่การตาสว่าง
ทำาใจได้ว่าของดีหลุดมือไปแล้ว เพื่อให้เก็บไว้เป็น
บทเรียน รอรักษาของดีชิ้นใหม่ที่จะมาถึง
การทำางานในฐานะที่ปรึกษาปัญหาชีวิตของ
มะแม สองปีที่ผ่านมาคือความสำาเร็จ แต่ความ
ล้มเหลวครั้งเดียวมันทำาลายความเชื่อมั่นที่สั่งสม
มาทั้งหมดให้พังครืนลงได้ในชั่วข้ามวัน!
เหมือนย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นกันใหม่ และ
เห็นความสามารถของตนเป็นแค่การโยนเหรียญ
สองด้าน ที่ผ่านมาอาจเก่งพอจะเอาชนะ
ธรรมชาติ บังคับให้ออกหัวได้ตลอด แต่ในที่สุดก็
พ่ายแพ้ เมื่อธรรมชาติพอใจจะบังคับให้ออกก้อย
เสียบ้าง แม้หล่อนไม่ยอมเชื่อสายตา แม้หล่อนจะ
ร่ำาร้องอยู่ข้างในว่า "ไม่จริงๆๆ" แทบอกแตกสัก
กี่ครั้ง เหรียญก็แสดงด้านก้อยตำาตาอยู่อย่างนั้น
แจ๊บตายไปแล้ว และเป็นรสขมในปาก
หล่อน บางขณะเช่นยามนี้ มะแมพยายามโทษว่า
เป็นเพราะฝ่ายนั้นมักง่ายเอง สิ้นคิดเอง ทำาเรื่อง
โง่ๆเอง และพลอยลากหล่อนให้ต้องรู้สึกแย่กับ
ตัวเองไปด้วย
ทว่าอีกใจก็ตำาหนิตัวเอง สารภาพกับตนเอง
หล่อนปล่อยให้ความหมั่นไส้แบบผู้หญิงๆ
ครอบงำา เล่นไม้แข็งแทนที่จะใช้ไม้นวม และที่
สำาคัญคือ "มือไม่ถึง" เมื่อจำาเป็นต้องพลิก
สถานการณ์ให้ทัน
แจ๊บเป็นแค่คนว่ายน้ำาไม่เป็น ที่พลัดตกจาก
เรือลงไปจมน้ำาตายด้วยความมือไม่ถึงของหล่อน!
มือสั่นนิดๆขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิด
หน้าจอ มะแมเลือกเข้าไปที่ส่วนแสดงเบอร์
โทร.ล่าสุด ซึ่งก็คือเบอร์ของแจ๊บ มันเป็นร่องรอย
เดียวของฝ่ายนั้นที่หล่อนมีติดตัวในยามนี้ เอานิ้ว
โป้งไปแตะปุ่มโทร.ออก มันเป็นอุปเท่ห์ทางจิต
ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้รู้สึกถึงแจ๊บแจ่มชัดราวกับ
กำาลังจะโทร.ไปคุยกับฝ่ายนั้น คล้ายได้อุปกรณ์
ขยายสัญญาณทั้งภาครับและภาคส่งทางจิต
สัมผัสให้แรงขึ้น แทนที่จะเป็นขีดเดียว ก็อาจเพิ่ม
เป็นสองหรือสามขีด
จิตของแจ๊บในภพใหม่ หลังจากชั่วโมงเศษ
บนโลกมนุษย์ผ่านไป ยังคงอยู่ในอาการสลบ
เหมือดไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนเดิม แน่ใจว่าตนเอง
กำาลังสัมผัสและรับรู้ความเป็นไปในปรโลกของแจ๊
บอยู่จริงๆ
แล้วโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ มะแมก็น้ำาตาไหล
ยกมือซ้ายขึ้นซบหน้าร้องไห้เงียบๆ แต่พอเวลา
ผ่านไป ก็เพิ่มระดับความแรงขึ้นเป็นร้องจนตัว
โยน เกลียดแจ๊บ เกลียดตัวเอง เกลียดวิถีโลก
เกลียดข้อจำากัดของมนุษย์
หล่อนกลายเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่
ปรารถนาความอนุเคราะห์จากใครหรือสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ได้ มาช่วยขจัดปัดเป่าความ
ทุกข์ให้ ชีวิตหนึ่งล่วงลับดับแล้ว หล่อนจะเอาคืน
กลับมาได้อย่างไรกัน?
นานเท่าไรไม่ทราบ เสียงผู้ชายคนหนึ่งดัง
ขึ้นที่ด้านข้าง
"คุณครับ"
ทีแรกมะแมไม่คิดว่านั่นเป็นเสียงทักเรียก
หล่อน แต่พอเขาทักอีกพร้อมทั้งสะกิดต้นแขน
มะแมก็ข่มสะอื้น ดึงตัวตรงและเหลียวมาทางต้น
เสียง
"คะ?"
ทักตอบงงๆพลางปาดสองแก้มให้แห้ง ไม่
อยากให้ใครเห็นใบหน้าหล่อนเปื้อนน้ำาตา
คนทักคือ รปภ. ของห้าง ทีแรกมะแมนึกว่า
จะเข้ามาถามหล่อนว่ามีอะไรให้ช่วยไหม แต่ก็ผิด
ถนัด
"ผู้หญิงคนหนึ่งฝากจดหมายให้คุณ"
ลมหายใจขาดห้วง ภาพตรงหน้าคล้าย
ทองคำาอร่ามเรือง มะแมจ้องมองตะลึงตะไลไปชั่ว
วูบ และอารามดีใจเหมือนเห็นพระมาโปรด ทำาให้
หล่อนเผลอกระชากซองมา ราวกับเกรงว่า รปภ.
จะเปลี่ยนใจไม่ยอมยกให้
ซองนั้นไม่มีการจ่าหน้าใดๆ แต่หญิงสาว
ทราบดีว่าข้างในต้องมีอะไรดีอยู่แน่นอน หล่อน
ลนลานหยิบธนบัตรสีแดงในกระเป๋ายื่นให้ รปภ.
เป็นการขอบคุณ ซึ่งทีแรก รปภ. นายนั้นก็อิด
เอื้อนเหลือบซ้ายแลขวา แต่พอได้ยินการ
คะยั้นคะยอให้รับ เขาก็กำาแบงก์ร้อยของหญิง
สาวไว้ในมือเขินๆ และคิดในใจว่าโชคดีจริงๆ คน
ฝากส่งให้สินน้ำาใจมา ๕๐๐ คนรับยังแถมให้อีก
ตั้งร้อยแน่ะ
มะแมเหลือบรอบตัว ทั้งรู้ว่าไม่มีทางได้เจอ
ใครยืนประกาศตนว่าเป็นคนส่งจดหมาย แต่
หล่อนไม่สนใจนัก เมื่อ รปภ. เดินจากไป ก็แกะ
ซองดึงไส้ในออกมาคลี่อ่านทันที
14.385685
100.553618
23:07

กลุ่มเลขในกระดาษขาวไร้เส้นบรรทัด เป็น
ตัวพิมพ์จากเครื่องพรินเตอร์ มะแมเห็นตัวเลข
เหล่านั้นสว่างจ้าราวกับใครเปิดสปอตไลต์ทะลุ
กระดาษขึ้นมาแทงตา จนต้องยิ้มร่าตาพราว เงย
หน้ามอง "เบื้องบน" และพนมมือเอ่ยพอได้ยิน
กับหูตน
"ขอบพระคุณค่ะท่าน"
มันคือสถานที่และเวลา ซึ่งมะแมมั่นใจว่า
"ท่าน" คำานวณมาให้แล้วว่าหล่อนจะต้องไปทัน
นัยน์ตาดำาสนิทเป็นประกายคมกล้าด้วยแสงเฉิด
ฉายแห่งความหวังอันเรืองรอง เดี๋ยวพอเอาพิกัด
ลองติจูด-ละติจูด ไปป้อนใส่เครื่องนำาทางระบบ
GPS ซึ่งหล่อนมีไว้ประจำาช่องเก็บหน้ารถตลอด ก็
จะรู้ว่าเป็นที่ไหน
ไม่ว่าเป็นที่ไหน ต้องบุกน้ำาลุยไฟอย่างไร
หล่อนก็จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้!
ในความมืดใต้ไม้ใหญ่ เด็กหญิงอายุไม่
เกิน ๙ ขวบคนหนึ่งกำาลังยืนแหงนหน้าพูดกับต้น
ลั่นทม ด้วยแววตาและน้ำาเสียงคล้ายเด็กพูดกับ
ปู่ย่าตายาย
"ท่านเจ้าขา ช่วยพาอิ๊กไปอยู่กับพ่อแม่ทีนะ
คะ ท่านจะเอาตัวอิ๊กไว้รับใช้สักพักก็ได้ โลกนี้ไม่มี
ใครอยากเลี้ยงอิ๊กแล้ว และอิ๊กก็ไม่อยากอยู่กับ
พวกเขาแล้วเหมือนกัน"
พูดจบก็ยืนก้มหน้าสลด ราวกับจะไว้อาลัย
ให้ชีวิตตัวเอง หรือไม่ก็รวบรวมความกล้าหาญที่
จะจากโลกนี้ไป จนกว่าขาที่สั่นจะกลับแข็งพอ
ห้าทุ่มกับอีกเจ็ดนาที คล้ายมีพลังจากโลก
ใหม่มาเรียกตัวและเสริมกำาลังขาให้เด็กน้อย
มั่นคงขึ้น เธอยกมือเช็ดน้ำาตาป้อย เม้มปากเก็บ
เสียงกระซิก ก่อนเชิดหน้า ส่องไฟฉายก้าวเข้าไป
หาลั่นทมพร้อมเชือกมะนิลาในมือ
ถึงโคนต้น อิ๊กก็ใช้มือเหนี่ยวตัวขึ้นไป
ลั่นทมต้นนั้นมีกิ่งก้านสาขาใหญ่ปีนง่าย เด็กหญิง
หมายตาไว้หลายวันแล้วว่าควรใช้กิ่งไหนเป็น
เครื่องประหาร และเธอก็ซ้อมปีนไว้จนชำานาญ
เสียแต่ว่าเมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริง ทั้งความมืด ทั้ง
ความกลัว ค่อนข้างเป็นเครื่องถ่วงไว้ไม่ให้ดำาเนิน
การได้รวดเร็วเหมือนอย่างที่เคยทำาใจกล้าฝึก
ซ้อมตอนกลางวัน
แต่พอมานั่งบนคาคบไม้ อิ๊กก็คล่องแคล่ว
ขึ้น เพราะผูกเงื่อนเก่ง เธอเอาปลายด้านหนึ่ง
พันๆเสียบไปเสียบมาครู่เดียวก็สำาเร็จเสร็จเป็น
เงื่อนรับน้ำาหนักที่แน่นหนา จากนั้นก็นำาปลาย
เชือกอีกด้านพับเป็นบ่วงและผูกเงื่อนกระตุก
ภายในอึดใจเดียว
ขั้นตอนสุดท้ายนั่นแหละช้าที่สุด อิ๊กตกลง
กับตัวเองแล้วว่าเอาแน่ แต่นาทีสุดท้ายของชีวิต
ต้องการความใจถึงมากกว่าที่คิด กล้ามเนื้อทั่ว
ร่างของเธอหดเกร็ง แข้งขาเป็นเหน็บชาอย่างจะ
ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ถึงแม้กลั้นใจปิดตาแน่น
กัดริมฝีปากแทบห้อเลือด สั่งให้ตัวเองโดด แต่ก็
ไม่รู้สึกว่าทำาได้ ตรงข้าม กลับจะยิ่งอยากเลิกล้ม
ความตั้งใจมากขึ้นทุกที
หายใจหอบ หัวใจเต้นตุบตับราวกับจะตีแผ่
นอกให้พัง ขณะนั้นเอง สายลมดึกก็โชยกลิ่นทุ่ง
นามากระทบจมูก ทำาให้นึกถึงใบหน้าพ่อแม่
จิตใจกลับสงบเย็นลงได้อย่างประหลาด อาจจะ
เพราะมันทำาให้อิ๊กระลึกถึงเทพารักษ์ ระลึกถึงรอย
ยิ้มของพ่อแม่ที่อยากเห็นอีกใจจะขาดมานานนับ
เดือน
จังหวะที่ความสว่างโล่งและความสบายใจ
บังเกิดขึ้น น้ำาตาที่นองหน้าก็คล้ายเหือดแห้งสนิท
อิ๊กกลืนน้ำาลายเป็นครั้งสุดท้าย บอกตนเองว่าเธอ
กำาลังทำาในสิ่งที่กล้าหาญ พ่อแม่จะต้องชมเชย
ตัดใจหย่อนตัวลงมา คราวนี้มันง่ายยิ่งกว่า
ง่าย เมื่อร่างหลุดจากคบไม้เสี้ยววินาทีแรก ก็ไม่
เห็นมีอะไรแตกต่างจากตอนเล่นซนกระโดดจาก
กิ่งไม้เลย เหมือนไร้น้ำาหนักไปชั่วขณะ แต่พ้นจาก
ขณะนั้น ทุกอย่างก็ต่างไป มีการกระตุกจากบ่วง
เชือกอย่างแรง จนรู้สึกคล้ายกระดูกคอต่อทำาท่า
จะเคลื่อนออกจากกัน แต่เพราะเส้นเชือกที่ไม่ยาว
และน้ำาหนักตัวของอิ๊กยังเบา ความรุนแรงจาก
การกระตุกจึงไม่อาจทำาให้คอหักได้
ไม่มีเสียงจากเด็กน้อยแม้แต่อ๊อกเดียว เธอ
สัมผัสถึงขุยหยาบของเชือกที่บาดคอ บ่วงกระตุก
ทำาหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างซื่อสัตย์ คือ
รัดคอเด็กน้อยแน่น จนเธอรู้สึกเหมือนถูกบีบคอ
ด้วยคีมใหญ่ เค้นหนัก โหดเหี้ยม และเอาจริง ไม่
ปรานีปราศรัย
ทีแรกเด็กน้อยรู้สึกถึงการแกว่งของขาสอง
ข้างที่ห้อยโตงเตง แต่ความหน้ามืดและความ
อึดอัดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนค่อยๆทวีตัวขึ้น ก็
กระตุ้นให้เตะขาไปมา ลูกนัยน์ตาของเธอถลนปูด
โปนออกมาเหมือนจะแตก แสบร้าวไปทั้งกะโหลก
ภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวและวูบไหวน่ากลัว ทั้งนี้ก็
ด้วยอาการดิ้นรนถีบอากาศ ด้วยความพยายาม
หลบหนีการบีบรัดของบ่วงเชือก จนร่างหมุน
สะบัดตีวงคว้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อาจหลุดรอด
ไปได้เลย
รู้ตัวว่าเปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว อิ๊กพยายาม
แหกปากขอความช่วยเหลือ แต่เหมือนไม่มีแก้ว
เสียงของตนเองอีกต่อไป คล้ายกลายเป็นหุ่นที่ทำา
ขึ้นจากยางตัน และยางตันก็กำาลังหดตัวขยุ้มเป็น
ก้อนเล็กทึบแน่นมากขึ้นทุกที ไม่มีเรี่ยวแรงยก
แขนขึ้นจับสายเชือกอย่างสิ้นเชิง ความจริงเธอ
ไม่รู้สึกว่าเหลือแขนขาแล้วด้วยซ้ำา ถึงตอนนี้หนัง
หัวร้อนฉ่าเหมือนไฟไหม้ และคล้ายในโพรง
กะโหลกถูกอัดด้วยแก๊สความดันสูง กลายเป็น
ลูกโป่งใกล้ระเบิดรอมร่อ
ชั่ววินาทีแห่งความพยายามตะกายขอ
อากาศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเอง อิ๊กก็สำาเหนียกว่า
มีความแตกต่างในทางดีขึ้น เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ฟังคำาขอและให้อากาศแก่เธอ เด็กน้อยตะกาย
หายใจ แล้วพบว่าหายใจได้ ร่างกายจัดการสูบ
ลมเข้าเองด้วยความตะกรุมตะกราม ลมหายใจ
กลายเป็นสิ่งล้ำาค่าที่สุดในชีวิต ล้ำาค่าอย่างไม่เคย
พบเคยเห็นมาก่อน แม้จะเป็นของติดตัวมาแต่
เกิดก็ตาม

มะแมเข้าเขตอยุธยาตั้งแต่ชั่วโมงเศษ
ก่อนหน้า แต่ก็ถึงจุดประกอบอัตวินิบาตกรรมช้า
ไปนิดหนึ่ง ทั้งนี้ก็เนื่องจากตำาแหน่งดังกล่าวไม่
อยู่ในเส้นทางของระบบ GPS แถมละแวกนั้นยัง
เต็มไปด้วยร่มไม้ใหญ่ครึ้มบดบังสัญญาณ
ดาวเทียม เมื่อลงจากรถมาเดินเท้า ตัวชี้ตำาแหน่ง
ของระบบรุ่นเก่าจึงเลื่อนไปเลื่อนมา หาความน่า
เชื่อถือมิได้
รอบบริเวณยังมืดมิด หล่อนลืมนึกว่าควร
เตรียมไฟฉายมาด้วย จึงมะงุมมะงาหรา จับทิศ
จับทางไม่ถูก ได้แต่ออกเสี่ยงเดินไปในอาณา
บริเวณกว้าง คอยเงี่ยหูฟังเสียงหรือจับตามองเงา
ความเคลื่อนไหวให้เฉียบไวที่สุดเท่านั้น
เดชะบุญ หันไปเห็นแสงไฟฉายตกจากที่สูง
ลงพื้นพอดี มะแมจึงดีดตัวแล่นลิ่วเป็นนาง
กระต่าย แข่งกับเวลาจากระยะห่างร่วมสองร้อย
เมตร หลบหลีกดงหญ้า ฝ่าพื้นแข็งเป็นหลุมเป็น
บ่อ ตัดตรงเข้าหาเป้าหมายโดยไม่สนใจว่ากำาลัง
จะต้องเจอใคร เป็นชายหรือหญิงวัยไหน
แม้ถึงช้าทว่าทันการณ์ เห็นเงาตะคุ่มห้อย
โตงเตงจากกิ่งไม้ใหญ่ แสดงความเคลื่อนไหว
ของชีวิต ไม่ใช่ความนิ่งทื่อของศพ มะแมรีบฉวย
ไฟฉายซึ่งกำาลังสาดแสงฟ้องจุดตกของมันอยู่ พอ
ฉายไฟขึ้นสูงก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ ภาพดิ้นรนเตะ
อากาศของคนผูกคอตายในความมืดที่มีแสงส่อง
จากมุมเงยนั้น ชวนขนพองสยองเกล้าเอาเรื่อง
แต่ขณะเดียวกันก็โล่งอกเมื่อพบว่านั่นเป็น
เด็กหญิงร่างเล็ก แถมเลือกกิ่งไม้เตี้ยสุด เมื่อรวม
ความยาวเส้นเชือกกับส่วนสูงของแม่หนูน้อยแล้ว
ปลายเท้าก็ห่างพื้นเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตร ซึ่ง
หมายความว่ามะแมแค่ใช้อ้อมแขนรวบขาเด็กยก
ขึ้น เธอก็รับอากาศหายใจเบื้องต้น รอดตายได้
ยินเสียงสำาลักหายใจเฮือกๆกระหืดกระ
หอบเกือบครึ่งนาที และก่อนแขนของมะแมจะล้า
หล่อนก็รับรู้ว่าเด็กน้อยตะเกียกตะกายคว้าเส้น
เชือก จึงร้องสั่ง
"ยืนบนบ่าของพี่ก่อน"
จับเท้าน้อยทั้งสองข้างมาวางบนบ่าตน ซึ่ง
เด็กก็รู้เรื่อง หยัดฝ่าเท้าจับหลักยืน พอเธอตั้งตัว
ได้เป็นแนวตรงมั่นคงแล้ว เส้นเชือกก็หย่อนลง
คลายการรัดให้หายใจหายคอสะดวกตามปกติ
อิ๊กมือไม้สั่น อาการหน้ามืดตกค้างไม่อาจ
เอาชนะความกลัวตาย เธอตั้งสติสุดกำาลัง คลำา
หาปมเชือกบนคอแล้วรูดคลายเงื่อนปรูด มือหนึ่ง
ยกบ่วงพ้นจากศีรษะ อีกมือโหนเส้นเชือกไว้กัน
หงายหลัง
มะแมโล่งอกอีกรอบที่เด็กหญิงฉลาดและไว
พอ ฝ่ายนั้นย่อร่างลงอย่างรวดเร็ว ใช้มือยึดจับ
ศีรษะหล่อน แล้วโน้มร่างลงโอบกอดรอบคอ ทิ้ง
เท้าลงพื้นโดยสวัสดิภาพ
พอลงพื้นได้ อิ๊กก็ป้อแป้ไปพิงหลังเข้ากับต้น
ลั่นทมอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ปวดหัวหนัก
หายใจผิดจังหวะ และมีอาการประสาทกระตุก
ตามแขนขาเป็นระยะ
มะแมก็หมดแรงด้วยเหมือนกัน แต่มีแก่ใจ
ฉายไฟส่องสำารวจทั่วตัวเด็ก ก่อนนั่งแปะลงกับ
พื้น เงยหน้ายิ้มกับฟ้ามืด ราวกับจะส่งคำา
ขอบคุณไปให้ใครสักคนบนนั้น
ยุพินกำาลังเปลี่ยนช่องโทรทัศน์เมื่อเสียง
กริ่งเรียกจากอาคันตุกะยามวิกาลดังขึ้น หล่อน
ขมวดคิ้ว ใบหน้าที่เหมือนพร้อมจะหาเรื่องคนอยู่
แล้ว ยิ่งดูบึ้งตึงหนักขึ้น
"ใครวะ?" รำาพึงพลางมองนาฬิกาบนผนัง
"เที่ยงคืนแล้ว ถ้ากดผิดบ้านแม่จะด่าให้"
ลุกจากเบาะ เดินข้ามสามีพุงหลามที่นอน
ขวางทางอยู่ หล่อนรู้ทันว่าเขาตื่นขึ้นมาด้วยเสียง
กริ่ง แต่ไม่อยากเป็นธุระเลยทำาเป็นหลับไม่รู้เรื่อง
กดสวิทช์เปิดไฟรั้ว เลื่อนประตูกระจก ยื่น
หน้าไปส่องสำารวจว่าใครยืนอยู่หน้าบ้าน แสง
นีออนจากเสาส่องให้เห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่
ไม่รู้จัก เห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกว่าเข้าทางที่นึกๆอยู่
ก่อน
"มาหาใครจ๊ะ?"
ตะโกนถาม ลงท้ายจ๊ะจ๋าแต่ตาเขียว
"มาหาคุณยุพินค่ะ"
เป็นเสียงตอบใสนุ่มมาจากประตูหน้า ยุพิ
นทำาปากจิ๊กจั๊ก ไม่ผิดตัวท่านี้สงสัยเป็นธุระด่วน
หล่อนเกลียดธุระด่วนกลางดึกเป็นที่สุด เพราะมัน
มักหมายถึงความเดือดร้อนบางอย่างที่ญาติหรือ
คนใกล้ตัวไปสร้างไว้
เดินมาไขกุญแจประตูรั้ว พอเห็นเด็กหญิงอิ๊
กก็อ้าปากหวอ
"นังอิ๊ก!"
ทำาท่าเหมือนจะเข้าไปคว้ามาหวด แต่มะแม
ดันตัวเด็กหญิงอิ๊กไปหลบข้างหลัง เอาตนเป็น
กำาแพงบัง
"ดิฉันแวะมาเรียนให้ทราบว่าน้องอิ๊ก
ปลอดภัยดี หลังจากพยายามผูกคอตายแต่ไม่
สำาเร็จ เพราะดิฉันมาช่วยไว้ได้ทันเสียก่อน"
"หือ? อะไรกันนี่ มันหนีออกไปเมื่อไหร่ฉัน
ยังไม่รู้เรื่องเลย หนอย! จะไปผูกคอตายเหรออี
เด็กเวร" แล้วก็หันมาพูดกับสาวแปลกหน้าเสียง
อ่อนลง "ขอบใจนะที่พามาส่ง"
"ดิฉันไม่ได้จะพามาส่ง แต่แวะมาเก็บของ
เพื่อพาน้องอิ๊กไปอยู่ด้วย"
คราวนี้ยุพินยกมือเท้าเอว เสียงเริ่มดังขึ้น
"มันยังไงนี่ ขบวนการค้าเด็กหรือยะหล่อน
เธอน่ะเป็นใคร?"
"คุณยุพินเองก็ไม่ได้เต็มใจเลี้ยงอิ๊กอยู่แล้ว
นี่คะ ดิฉันเป็นใครจะแปลกอะไร"
"แปลกสิ!" แล้วก็ลดเสียงลงเป็นซุบซิบ
แบบเสนอราคาลับๆ "เด็กหน้าตาแบบนี้น่ะขาย
แพงนะ"
"ดีค่ะ! พรุ่งนี้ดิฉันจะส่งตำารวจพร้อม
ทนายความมาเจรจาเรื่องราคาเด็กก็แล้วกัน แต่
ก่อนพูดเรื่องราคา คงต้องคุยเรื่องคุณป้าใจร้าย
เฆี่ยนตีเธอจนหลังลายทั้งที่ไม่มีความผิด กับเรื่อง
ที่คุณลุงขี้เมาปลุกปล้ำาทำาอนาจารขณะเธออายุยัง
ไม่ถึง ๑๕ มีหลักฐานเป็นอวัยวะเพศฉีกขาด
ชัดเจน ดิฉันคิดว่าคนในบ้านนี้อาจต้องเข้าคุก
เป็นสิบปี ก่อนจะพ้นโทษออกมารับค่าตัวเด็กนะ
คะ!"
เมื่อเอาตำารวจกับทนายมาขู่ ทุกอย่างก็ง่าย
ขึ้น มะแมกับอิ๊กเข้าไปเก็บสมบัติข้าวของที่จำาเป็น
ซึ่งมีไม่กี่ชิ้นโดยสะดวก ส่วนนางยุพินกับนาย
นิพนธ์สามี ก็ได้แต่ยืนซุบซิบกันห่างๆ ไม่กล้าขัด
ขวางหรือทำาอะไร ด้วยความเข้าใจว่ามะแมเป็น
คนของพวกคุ้มครองสิทธิเด็กและสตรี หรือไม่อีก
ทีก็เป็นตำารวจ!
บทที่ ๗
มะแมอ่อนเพลียจนเผลองีบขณะจอดรถเติม
น้ำามัน กระทั่งเด็กปั๊มต้องเคาะกระจกเรียกเพื่อ
เก็บค่าน้ำามัน
มันเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยต่อเนื่องอย่าง
แท้จริง ปกติหล่อนจะได้พักผ่อนหลังเลิกงาน ๕
โมงเย็น และเข้านอนตั้งแต่ ๔ ทุ่มเศษ แต่วันนี้ ๕
โมงเย็นคือการเริ่มภาระหนักหน่วงยิ่งกว่าชั่วโมง
ทำางานปกติเสียอีก นับจากกรณีของแจ๊บ ที่ต้อง
เสียแรงอ้อนวอน ต้องเสียใจที่ช่วยไม่สำาเร็จ ต่อ
ด้วยการขับรถมาอยุธยา ตามหาคนฆ่าตัวตาย
ท่ามกลางความมืด แล้วจบด้วยการสวมบทแข็ง
เจรจากับหญิงร้ายชายเลวคู่หนึ่ง
มะแมจ่ายค่าน้ำามันแล้วเลื่อนรถมาจอดหน้า
มินิมาร์ท ๒๔ ชั่วโมงของปั๊ม หันไปถามอิ๊กด้วย
ยิ้มปรานี
"หิวอะไรไหม?"
แม่หนูน้อยสั่นศีรษะ ยังคงจับตามองมะแม
ด้วยความฉงนงงงวยไม่เลิก นับแต่นาทีแรกจน
กระทั่งบัดนี้
เพิ่งมีโอกาสสบตากันชัดๆในภาวะปกติ
มะแมเอียงคอยิ้มหวาน พินิจหน้าผากโค้งมน
แก้มยุ้ยน่ารัก และนัยน์ตากลมโตใสแจ๋วที่ทอ
ประกายระแวงภัย นึกเอ็นดูยิ่งขึ้นทุกที บอกตัว
เองว่าเด็กคนนี้มีดี และจะโตขึ้นอย่างคนที่เป็นคุณ
ไม่ใช่เป็นโทษกับโลก ยิ่งถ้าอยู่ในมือหล่อน หล่อน
จะปั้นให้ "เกินของเดิม" สักแค่ไหนก็ได้
ชักสนุกกับการเลี้ยงคน ไม่รู้สึกเป็นภาระ
ไม่รู้สึกกระทั่งแปลกหน้า รู้สึกแต่ว่าหล่อนกับอิ๊ก
เข้ากันได้ และเป็นการเข้ากันได้เกินกว่าผู้
อุปการะกับเด็กในอุปการะ จากการสัมผัสรู้
หล่อนยังลงรายละเอียดมากไม่ได้ รู้แต่ว่าเด็กคน
นี้จะตอบแทนหล่อนยิ่งกว่าลูกตอบแทนแม่!
อย่างน้อยที่สุดเริ่มต้นขึ้นมา การรอดชีวิต
ของอิ๊กก็ยิ่งกว่าชดเชยความเสียใจที่ช่วยชีวิต
แจ๊บไม่สำาเร็จ คล้ายทำาพลอยเม็ดงามหลุดมือ
ร่วงหล่นกระแทกพื้นแตกกระจาย แต่ก็ได้แก้ว
วิเศษจากเบื้องบนมาแทนกัน หล่อนมองทะลุเศษ
ฝุ่นหนาเตอะเข้าไปเห็นความแพรวใสจากภายใน
ของเด็กคนนี้ และรู้ดีว่านี่แหละ ที่เรียกค่าควร
เมือง!
"อิ๊กสงสัยอยู่หรือเปล่า ว่าทำาไมพี่มะแม
ต้องมาช่วย?"
สาวพลังจิตอ่านใจและทักออกไป อิ๊กพยัก
หน้า อาการตัวลีบคลายลงนิดหน่อย
"แล้วอิ๊กสงสัยด้วยใช่ไหมว่าพี่มะแมเป็น
ใคร ทำาไมถึงรู้ ทำาไมถึงมาทัน?"
อิ๊กพยักหน้าอีก ความจริงเธอไม่ใช่เด็กไร้
เดียงสา ดูจะฉลาดเกินวัยด้วยซ้ำา แต่ความตาย
พร้อมกันของพ่อแม่ ประกอบกับการเลี้ยงเยี่ยง
ทาสของป้ากับลุง มีผลให้สมองและความคิดอ่าน
มืดมัวลง จนมองโลกในแง่ร้ายไปหมด
"พี่มะแมทำางานให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็น
ใครคนหนึ่งที่เชื่อว่า ให้เปล่าจะได้เปล่า" หล่อน
แนะนำาตัวเองและยังคงยิ้มหวานไม่เลิก "ไม่ต้อง
เข้าใจที่พี่มะแมพูดตอนนี้ แต่อยู่กับพี่มะแมแล้
องอิ๊กจะค่อยๆเข้าใจไปเอง"
"หมายความว่าตอนนี้จะไม่ให้อิ๊กเข้าใจ
อะไรเลยหรือคะ?"
"ใช่! ไม่ต้องเข้าใจอะไรเลย แค่ไว้ใจความ
รู้สึกของตัวเองก็พอ อิ๊กรู้ดีว่าพี่มะแมไม่ใช่คนร้าย
แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาทำาร้ายอิ๊กด้วย!"
ความใสแพรวของแก้วเสียง กับความหนัก
แน่นของน้ำาคำา ฟังอบอุ่นจนเด็กหญิงเบะปาก ยก
สองมือเช็ดน้ำาตา ส่งเสียงสะอื้นฮัก อย่างเพิ่งเชื่อ
ว่าตนพ้นจากภยันตรายมาได้จริงๆ
มะแมเอื้อมมือไปลูบศีรษะกลมมนอย่าง
แสนรักแสนอาทร
"ตอนขามา พวกเราร้องไห้ได้เองโดยไม่
ต้องเรียนจากใคร ก่อนถึงขาไป ก็น่าจะเรียนจาก
ใครสักคนที่เขารู้วิธีหยุดร้องไห้แล้ว... อย่าคิด
ตายทั้งน้ำาตาอีกนะลูกนะ"
สัมผัสยิ่งใหญ่ประดุจแม่หยุดเสียงร้องขอ
งอิ๊กได้ แต่เธอยังคงปิดตานิ่ง อาจเพราะไม่อยาก
ลืมตาขึ้นมาเห็นว่าผู้ที่อยู่ข้างกายยามนี้ หาใช่
มารดาของตนไม่...

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป มะแมไหว้วานเพื่อนที่
เป็นทนายความให้ช่วยเดินเรื่องเกี่ยวกับเอกสาร
ของเด็กหญิงอิ๊ก ส่วนหล่อนเองก็ต้องวิ่งระหว่าง
กรุงเทพฯกับอยุธยาในวันหยุดที่เก็บไว้พักผ่อน
เหมือนกัน แต่ที่สุดเด็กเป็นของหล่อนโดยบริบูรณ์
คือมีชื่อมาอยู่ในบ้าน และมีฐานะเป็นผู้ได้รับการ
อารักขาอย่างเป็นหลักเป็นฐาน
ทุกอย่างดีไปหมด หยิมเป็นพี่เลี้ยงที่อิ๊กรัก
กับทั้งช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องเล็กใหญ่ให้ จึง
เบาแรงมะแมไปเยอะ
อิ๊กจบ ป.๓ ลุงกับป้าไม่ส่งให้เรียนต่อ และ
ระหว่างนี้ก็เป็นช่วงกลางปีการศึกษา ต้องรอครึ่ง
ปีจึงให้เข้า ป.๔ ได้ นับว่าเหมาะมาก ช่วงรอปี
การศึกษาใหม่นี้ หล่อนจะสอนอิ๊กให้สนุก ที่นี่จะ
เป็นโฮมสกูลที่ไม่มีใครเหมือน
และช่วงนั้นก็เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่มะแมไม่ได้
รับจดหมายลึกลับอีกเลย จนเผลอคิดไปว่าที่แท้
เจ้าของจดหมายทำาทั้งหมดก็เพียงต้องการส่ง
ถ่ายภาระรับผิดชอบ จะยกให้หล่อนเลี้ยงดูน้อง
อิ๊กเท่านั้น
แต่มะแมก็ได้รู้ว่าคิดผิด เที่ยงวันหนึ่งหยิม
เดินเข้ามาถามว่า
"พี่มะแมคะ เอ่อ... จดหมายมาอีกแล้วค่ะ
จะรับไหมคะ?"
"รับ!"
ตอบทันที จดหมายจากเทวดา ใครไม่รับก็
บ้าแล้ว!
พอหยิมเดินจากไป มะแมก็ฉีกซองดึง
กระดาษออกอ่าน นึกในใจว่าจดหมายบอกอะไร
หล่อนจะปฏิบัติตามโดยไม่ขัดขืน ไม่อิดเอื้อน ไม่
เสียเวลาคิดหน้าคิดหลังอีกเลย
แต่แล้วพออ่านเข้า หัวใจก็หล่นวูบ...

ถ้าจะมีความรัก ระวังการหลงสิ่งล่อตา
ภายนอกให้ดี ข้างในอาจไม่ใช่อย่างที่เห็น

ตลอดทั้งบ่ายนั้น มะแมใจเต้นไม่เป็นส่ำาเป็น
ระยะ โดยเฉพาะช่วงที่มีลูกค้าหนุ่มโผล่ศีรษะเข้า
มา ต้องจ้องให้ดีว่าเป็นพ่อคนนี้ หรือว่าพ่อคนนั้น
ที่มีอะไรดีพอจะจับตาให้หล่อน "หลงสิ่งล่อตา
ภายนอก" ได้
ความรู้สึกมันค้าน ชาตินี้จะให้หล่อนรัก
ผู้ชายคนไหนได้ ขนาดคนที่เคยทำาให้นึกว่า
บุพเพสันนิวาสมีจริง ยังกระเด็นไปไกลแบบไม่มี
ทางกลับมาต่อได้ติด
แต่จดหมายก็กลายเป็นนายที่คอยบัญชา
ชีวิตหล่อนไปเสียแล้ว หล่อนต้องก้มหน้ารับฟังคำา
เตือนหรือไม่ก็ "คำาสั่ง" อย่างไม่มีเงื่อนไข บอก
ตนเองว่าหล่อนไม่มีสิทธิ์สงสัย ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง
แล้วก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องขอรู้ที่มาที่ไปใดๆทั้งสิ้น
ถ้าการปักใจเชื่อเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิด
ขึ้นคือความงมงาย หล่อนก็กลายเป็นคนงมงาย
ไปแล้วเรียบร้อย เวลาอ่าน "จดหมายจาก
เทวดา" มะแมรู้สึกเหมือนตัวเล็กลงนิดเดียว สติ
ปัญญาและความเชื่อมั่นในตัวเองสาบสูญไปหมด
๕ โมงเย็น ได้เวลาเลิกงาน ลูกค้าคน
สุดท้ายจากไป มะแมได้แต่เอนหลังพิงพนัก วันนี้
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น
จดหมายทุกฉบับเป็นการทำานายอนาคตที่ยังมา
ไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นเมื่อนั่นเมื่อนี่
เย็นนี้มีงานสวดอภิธรรมวันที่ ๗ ของแจ๊บ
ข่าวฆ่าตัวตายของแจ๊บได้ลงหนังสือพิมพ์
ประกาศชื่อนามสกุลจริงพร้อมหน้าตา และข่าวก็
ค่อนข้างดัง เนื่องจากเป็นสาวสวย เป็นที่หมาย
ปองของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ อีกทั้งมีการขุดคุ้ยว่า
พระเอกชื่อดังเคยจีบสมัยเรียน แต่จีบไม่ติดอีก
ต่างหาก
นอกจากนั้น การเลือกสถานที่ตายยังเป็น
อะไรที่บาดใจคนรับรู้ เพื่อนสนิทของแจ๊บให้
สัมภาษณ์นักข่าวว่าน่าจะเป็นจุดชมอาทิตย์ตกดิน
ริมทาง ที่แจ๊บเล่าให้ฟังซ้ำาๆหลายรอบว่าชอบ
ที่สุด โรแมนติกที่สุด ตอนอยู่ด้วยกันกับแฟนหนุ่ม
ประเด็นแจ๊บถูกสังคมอินเตอร์เน็ตหยิบยก
มาวิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน บางคนสงสาร บาง
คนสาปส่งไล่หลัง แต่ทุกคนจะไม่เข้าใจเหมือนๆ
กัน คือสวยขนาดนั้น จบสูงขนาดนั้น ไฉนจึงไม่
เสียดายชีวิต ตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปโลกอื่น
เพียงเพราะอกหักรักคุดหนเดียว
แต่มะแมเห็นใจและเข้าใจแจ๊บดี นรกแห่ง
การสูญเสียสวรรค์นั้น ใครไม่เจอกับตัวเองจะไม่รู้
ว่าโหดร้ายเพียงใด แม้เคยมีดีแค่ไหนก็ไร้ค่าไป
จนหมด
สวดคืนที่ ๓ มะแมไปร่วมงานมาแล้วครั้ง
หนึ่ง นั่งเงียบๆอยู่ข้างหลังสุดตามลำาพัง แสดง
ความเสียใจกับพ่อแม่ของแจ๊บแค่นิดหน่อยก่อน
กลับ ไม่มีใครรู้จักหรือจำาหล่อนได้ในทางใดๆ
วันนี้สวดเป็นคืนสุดท้าย มะแมนึกอยากไป
อีก ตั้งใจให้คืนสวดสุดท้ายเป็นครั้งสุดท้ายที่
หล่อนจะรู้สึกผิดกับกรณีของแจ๊บ พ้นจากนี้ไป
หล่อนจะล้างความคิดคำานึงต่างๆที่จางลงมาก
แล้วเสียให้หมด จะไม่มีการทบทวนความผิด
พลาดกันอีก
นี่คือเวลาสำาหรับการเรียนรู้ เมื่อเจอบท
เรียนที่เจ็บปวด ทิ้งความเจ็บปวดไป เก็บไว้แต่
บทเรียน!
บรรยากาศคืนสุดท้ายไม่โศกสลดอย่างคืน
แรกๆ คล้ายทุกคนทำาใจยอมรับได้แล้วว่าแจ๊บ
จากไปจริงๆ จะพูดว่าได้เวลาอันควรหรือก่อน
เวลาอันควร ความจริงอันเป็นที่สุดที่เหลืออยู่ให้
คนข้างหลังประจักษ์ ก็คือแจ๊บจะไม่กลับมาอีก
มะแมเลือกที่นั่งหลังสุดตามเคย หล่อน
ทอดตามองรูปถ่ายข้างโลงขาว เป็นใบหน้ายิ้ม
สะสวยราวกับนางแบบดาวเด่น มองกี่ครั้งทุกคน
ก็อดใจหายไม่ได้ มันเหลือเชื่อว่าหน้าตาอย่างนี้
อายุแค่นี้ ไม่อยู่ให้เห็นตัวจริงกันแล้ว
โฟกัสสายตาของมะแมจับจุดเลยภาพไป
นิดหนึ่ง ยึดเอาบรรยากาศรอบข้างทั้งหมดของ
งานศพเป็นตัวแทนแจ๊บ แล้วทำาความรู้สึกไปถึง
จิตของแจ๊บ สัมผัสถึงสภาพค่อยๆฟื้นตัวแบบคน
เพิ่งตื่นนอนบ้าง หรือเหมือนงงๆจับต้นชนปลาย
ไม่ติดแบบคนง่วงงุนกำาลังจะหลับบ้าง
โดยไม่จงใจอยากเห็น นิมิตหนึ่งปรากฏขึ้น
ในห้วงมโนทวารของมะแม ไม่แน่ใจว่านั่นเป็น
สภาพปัจจุบันหรือสภาพที่กำาลังจะเกิดขึ้นกับแจ๊
บกันแน่
หล่อนเห็นทัศนียภาพบนผาสูงแห่งหนึ่ง
มองไปข้างหน้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ขอบฟ้า
ทอแสงหลากสีของอาทิตย์อัสดง แม้ภาพทั้งหมด
จะงดงาม แต่ทว่าบรรยากาศกลับเงียบเหงา
เศร้าสร้อย และเยียบเย็นอ้างว้างล้ำาลึก ไม่ชวน
เคลิ้มฝันดังควร
มะแมเห็นเหมือนตัวเองกลายเป็นแจ๊บ นั่ง
เหม่อมองเวิ้งฟ้าอยู่ตามลำาพัง รู้สึกถึงสีหน้าเย็น
ชา รู้สึกถึงอาการไม่ไหวติง และรู้สึกถึงอารมณ์
อ้อยอิ่ง คิดตัดพ้อคนรักอยู่ตลอดเวลา
เมื่อถลำาลึกเข้าไปรวมเป็นอันเดียวกับแจ๊บ
ครู่หนึ่ง จิตของมะแมก็บอกตนเองว่าสภาพใหม่
ของแจ๊บคือเปรตเฝ้าเหว เป็นเปรตสาวรูปร่าง
หน้าตาสวยไม่ต่างจากเดิม เพราะจิตก่อนตายยึด
ภพหรือภาวะแบบนั้นไว้
แจ๊บจะได้เหม่อมองพระอาทิตย์ตกดินทุก
เย็น และคนไปเที่ยวชมวิว ณ จุดนั้นในยาม
สนธยา ก็อาจจะไม่มีความสุขสงบกันอีกเลย ใน
เมื่อนิสัยแจ๊บเป็นพวกไม่ชอบให้ใครรบกวน
อาณาเขตส่วนตัว!
เข้าใจเหตุผลของชีวิตหลังความตายเพิ่ม
ขึ้นนิดหนึ่ง บุญเก่าบวกกับนิสัยบางอย่างทำาให้
"ผี" บางตนยังดูดีและมีฤทธิ์ได้เช่นนี้เอง
แจ๊บตายไปพร้อมกับอาการถือมั่นในคนรัก
และทิวทัศน์วิจิตร บุญเก่าที่ยังไม่หมดอายุมาช่วย
ตกแต่งภาวะให้งามดังเดิม แต่บาปใหม่ก็ยึดแจ๊บ
ไว้กับความเงียบเหงาเศร้าสร้อย ทรมานใจกับ
การรอคอยบางสิ่งที่ไม่มีวันมาถึง
หากเกิดภาพบาดตาบาดใจ เช่นมีหนุ่มสาว
มาพลอดรักชมตะวันตกดินด้วยกันละแวกนั้น ไอ
ละมุนของคู่รักอาจก่อตัวเป็นกระแสกระทบใจ
กระทุ้งให้แจ๊บพลอยชื่นชม หรือไม่ก็รบกวนแจ๊บ
ให้นึกริษยา แล้วนึกอยาก "เฮี้ยน" สำาแดงเดชใน
ทางใดทางหนึ่ง ตามแต่การสืบนิสัยจากครั้งเป็น
มนุษย์
ยังคงสงสารเสมอ ในสัมผัสของมะแม
สภาพแจ๊บเหมือน "ติดกับ" และไม่อาจคืนสู่
อิสรภาพไปอีกนาน แล้วด้วยสภาพจิตใจอ่อนแอ
เยี่ยงนั้น แม้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ก็จะมีกำาลังใจอ่อน
ทนอะไรไม่ค่อยได้ จ้องแต่จะคิดเอาตัวรอดแบบ
ลัดๆ จนกว่าจะมีสักภพชาติหนึ่งที่เปลี่ยนความ
อ่อนแอเป็นความเข้มแข็งขึ้นมาได้ใหม่ โดยผ่าน
บทฝึก บททดสอบกันน่วม
แต่ให้สงสารแค่ไหน ก็ไม่ช่วยอะไรเลย การ
อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเพื่อเลื่อนชั้นภูมิให้กับคน
ตั้งใจฆ่าตัวตายเป็นเรื่องยาก มันยิ่งกว่าเพียร
เปลี่ยนใจเด็กหัวแข็งให้กลายเป็นเด็กหัวอ่อน
หรือยิ่งกว่าพยายามสอนเด็กหัวทึบให้ฉลาดใน
สมการคณิตศาสตร์ชั้นสูง นักฆ่าตัวตายเหมือน
เอามือปิดหูปิดตาตัวเองไว้มิดชิด แสงอาทิตย์
ที่ไหนจะส่องลอดเข้าไปให้ความสว่างได้
คิดตก เห็นตามจริง และเลิกเอาใจไปผูกกับ
นิมิตเหงาหงอยน่าสงสารของแจ๊บ แต่ละคนสร้าง
กรง แล้วก็ติดอยู่ในกรงที่สร้างมากับมือ ไม่มีใคร
ปลดปล่อยใครได้
ขณะนั้น เกิดแรงดึงสายตาชนิดหนึ่ง ชวน
ให้มะแมเหลียวไปทางซ้าย เห็นผ่านกระจกใสว่า
ชายในชุดสูทดำาคนหนึ่งเดินเดี่ยว ตรงสู่ทางเข้า
ศาลา หน้าตาเศร้าหมอง และยิ่งเก้อเขินเมื่อ
พยายามยกมือไหว้ผู้ใหญ่ของงานแล้วทุกคนเมิน
ไม่รับไหว้ ไม่รับซอง แกล้งทำาเหมือนไม่เห็น หรือ
เดินหลีกไปทางอื่นทันทีที่หนุ่มคนนั้นเข้าใกล้
เรียกว่าทางเข้าศาลาค่อยๆขยายรัศมีอึมครึมน่า
อึดอัด เพียงด้วยการปรากฏร่างของหนุ่มหน้า
ใหม่นี่เอง
รู้ทันทีว่านั่นคือ "พี่ปาย" ของแจ๊บ เห็นมาด
สง่าที่แปรเป็นเก้ๆกังๆไปชั่วขณะของเขาแล้วนึก
สงสาร ขณะเดียวกันก็เข้าใจอารมณ์กระด้างที่
เกิดขึ้นในระหว่างหมู่ญาติของแจ๊บ หล่อแค่ไหนก็
ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ใครเป็นญาติก็ต้องอายที่แจ๊บ
ตายเพราะนายคนนี้
ไม่มีใครผิดในเกมรักที่เลิกร้าง ถ้าต่างฝ่าย
ต่างมีชีวิต แต่หากมีการคิดสั้น คนตายจะกลาย
เป็นฝ่ายถูกกระทำาที่น่าสงสาร ส่วนคนอยู่ข้างหลัง
จะถูกปรับให้เป็นฝ่ายผิด หรือกระทั่งเป็นคนเลว
โดยอัตโนมัติ ขนาดบินข้ามโลกมาร่วมงานศพ
ยังไม่มีญาติคนไหนให้อภัยสักราย เออหนอ! โลก
หนอโลก
แต่บรรยากาศเย็นชาหน้าตึงก็คลี่คลายจน
ได้ เมื่อคุณแม่ของแจ๊บลุกจากที่นั่ง นำาธูปหนึ่ง
ดอกมาให้หนุ่มหัวเดียวกระเทียมลีบด้วยตนเอง
สีหน้าของปายดีขึ้น พนมมือไหว้ ปากขยับ
เป็นคำาพูด "สวัสดีครับคุณแม่" แย้มยิ้มและ
พยายามยื่นซองเงินช่วยงานศพให้มารดาของ
อดีตคนรัก แต่ฝ่ายนั้นยกมือปฏิเสธแล้วหันหลัง
เดินจากไปอย่างสุภาพ คล้ายทำาตามมารยาท
เสร็จแล้ว ก็ไม่อยากเสียเวลาโอภาปราศรัยด้วย
อีก
นั่นเอง ปายจึงกลับปิดปาก เดินคอตกเข้า
ศาลา มาไหว้ศพแบบตกเป็นเป้าสายตาโดดเด่น
ทุกคนที่นั่งรอพระอยู่ก่อนเงียบกริบ ราวกับเขา
เป็นตัวประหลาด บางคนไม่รู้ก็เพิ่งได้รู้จากการ
บอกต่อๆกัน ว่าทำาไมเหล่าญาติของแจ๊บจึงออก
อาการไม่ไว้หน้ากันขนาดนั้น
คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ถ้ามีคนบอกว่าปาย
เป็นหนึ่งในผู้ชายที่หล่อที่สุดในประเทศไทย แค่
ท่วงทีเดินเหินของเขาก็อาบมนต์ขลังบางอย่าง
สามารถกระตุกหัวใจผู้หญิงทุกคนในโลกให้ตื่น
เต้นได้แล้ว
พอปักธูปลงกระถางเสร็จ ปายก็เดินไปนั่ง
ทางหนึ่งไกลจากหล่อน มะแมมองเขาจากด้าน
หลังเป็นครู่ ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ และถามตนเองว่า
จำาเป็นหรือเปล่าที่หล่อนจะต้องนำาคำาสุดท้ายของ
คนตายไปบอกเขา
ชั่งใจครู่หนึ่งก็คิดว่าไม่บอกดีกว่า หล่อน
เขิน และไม่รู้สึกว่านั่นเป็นข้อความสลักสำาคัญ
ชนิดคอขาดบาดตาย ก็แค่อารมณ์สุดท้ายที่แจ๊
บอาจปล่อยให้หลุดเป็นประโยคเพ้อๆโดยไม่รู้เนื้อ
รู้ตัวด้วยซ้ำา
แต่นั่งอยู่ดีๆ นาทีต่อมาก็นึกขึ้นได้เองว่าแจ๊
บอาจอยากฝากหล่อนบอกเขาจริงๆ ทำาไมหล่อน
ถึงคิดว่าคำาสั่งเสียของคนก่อนตายไม่สำาคัญ คำา
สุดท้ายก่อนตายน่าจะเป็นคำาที่คนตายอยากพูด
ที่สุดในชีวิตด้วยซ้ำา
ครั้นจะลุกขึ้นแล้วไปกระซิบกระซาบข้างหู
เขา มันก็ดูกระไรอยู่ ปายอาจเข้าใจว่าหล่อนเป็น
หนึ่งในสาวที่มากรี๊ด และพยายามหาทางชวนคุย
เป็นการทอดสะพานก็ได้
แล้วมะแมก็นึกออก แค่เอากระดาษกับซอง
จดหมายจากกระเป๋าถือมาเขียนบอก ไม่น่า
เคอะเขินเหมือนให้พูดกับปากแต่อย่างใด

ฝากบอกพี่ปายด้วยว่าขอโทษ ทำาไมแจ๊บถึง
รักเขาขนาดนี้ก็ไม่รู้...

พิธีสวดเสร็จสิ้นลงในเวลาทุ่มครึ่ง บรรดา
แขกผู้มาร่วมงานต่างก็ทยอยล่ำาลาและแยกย้าย
กลับบ้าน ซึ่งก็รวมทั้งหนุ่มปายด้วย เขาก้มหน้า
ก้มตาเดินงุดๆอย่างทราบว่าไม่มีใครยินดีมอง
หน้า มะแมเดินตามออกมา ทิ้งระยะห่างไม่กี่ก้าว
พอเขาถึงรถและกำาลังเอื้อมมือเปิดประตู มะแมก็
ทักเบาๆ
"คุณปายใช่ไหมคะ?"
ปายเหลียวมามอง นึกว่าเป็นญาติของแจ๊
บก็รีบรับ
"ครับ!"
มะแมถอนใจ เพิ่งรู้ชัดว่าทำาอย่างนี้ถึงจะถูก
ต้อง คำาสั่งเสียคนตาย ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง
ช่วยได้ก็ควรมีน้ำาใจช่วยให้สมปรารถนา
"นี่เป็นข้อความที่คุณแจ๊บฝากดิฉันไว้ให้กับ
คุณปายนะคะ อย่าแปลกใจถ้าเห็นว่าไม่ใช่
ลายมือของเขา เพราะเขาบอกฝากมาทาง
โทรศัพท์ และดิฉันก็เพิ่งเขียนแบบคำาต่อคำาเมื่อ
ครู่นี้เอง"
ยื่นซองให้ ซึ่งปายก็ทำาหน้างงๆขณะยื่นมือ
รับ แล้วมะแมก็กลับหลังหันเดินจากไปทันที
ปายแกะจดหมายอ่าน พออ่านเสร็จก็รีบวิ่ง
ตาม และมาทันกันภายในอึดใจเดียว เขายืนดัก
หน้า บังคับในทีให้มะแมต้องหยุดเดิน
"ขอบคุณมากครับ" จ้องลึกลงไปในตา
หล่อนด้วยแววเจ็บปวด "ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้
ไหมว่าแจ๊บคุยอะไรกับคุณบ้าง"
"ดิฉันขอทำาหน้าที่แค่ส่งข้อความสุดท้าย ที่
คนตายฝากฝังไว้จะได้ไหมคะ?"
พูดตัดบทและผินหน้าไปทางอื่น อาจจะ
เพราะคร้านกับการลงรายละเอียด หรืออาจจะ
เพราะ... ยังไม่อยากพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถ
ต้านทานเสน่ห์ของปายได้หรือเปล่า!
"ขอโทษนะ เอ่อ... นี่คุณมะแมใช่ไหม?"
หญิงสาวคอแข็งหน่อยๆ ปิดปากเงียบแทน
คำาตอบ ราวกับซ่อนพิรุธอะไรไว้
"ก่อนเกิดเรื่อง แจ๊บอีเมลไปหาผม เปรยว่า
ไปหาหมอดูชื่อมะแม แล้วก็แย้มให้ฟังว่าโดนทัก
อะไรมาบ้าง"
"เหรอคะ"
มะแมพึมพำาแบบไม่มีความหมาย ไม่แปลก
ใจ และไม่ต้องการต่อความยาวใดๆ
"เขาทึ่งมากที่คุณรู้เรื่องระหว่างผมกับเขา
ทุกอย่าง แถม... รู้ในสิ่งที่ยังไม่สมควรรู้"
นั่นเป็นคำาจี้จุดที่มะแมไม่อยากฟัง และก็
ทำาให้พูดห้วนๆสวนออกไปแบบปกป้องตนเอง
"ตอนเรื่องยังไม่เกิด ใครจะรู้ว่าอะไรสมควร
อะไรไม่สมควร!"
ปฏิกิริยาชนิดนั้นทำาให้ปายตกใจและรีบแก้
"เอ่อ... ผมไม่ได้หมายความว่าเป็นความ
ผิดของคุณนะครับ ขอโทษถ้าทำาให้เข้าใจว่า
ตำาหนิคุณอยู่"
มะแมรู้สึกตัวก็ก้มหน้า เสียงอ่อนลง
"มันก็เป็นความผิดของมะแมจริงๆแหละ
และกรณีของคุณแจ๊บก็ถือเป็นบทเรียนครั้งสำาคัญ
ทำาให้รู้สึกแย่กับตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน"
ปายจับจ้องเสี้ยวหน้างามแล้วตัดสินใจเอ่ย
ชวน
"ขอเวลาคุณมะแมสักสิบนาทีได้ไหม ตลอด
อาทิตย์ที่ผ่านมาผมนอนไม่หลับเลย ทรมานใจจน
อยากบวช แต่ยังไงช่วงนี้ก็บวชไม่ได้แน่ๆ"
หญิงสาวลังเล ก่อนพยักหน้าหน่อยๆ เดิน
ตามเขามานั่งที่ชุดโต๊ะหมู่ซึ่งทางวัดตั้งไว้ตามทาง
พอนั่งลงได้ปายก็เข้าจุดทันที
"ช่วงหลังผมกับแจ๊บคุยกันไม่รู้เรื่อง มีแต่
คำาด่า หรืออย่างเบาก็คำากระแนะกระแหน ผมเลย
ไม่นัดคุยออนไลน์ แล้วก็ไม่รับโทรศัพท์ตอนเขา
โทร.มา จะอ่านก็เฉพาะอีเมล เพราะค่อยปลอด
โปร่งหน่อยเวลาไม่ต้องโต้ตอบกันสดๆ"
"ค่ะ... พอจะรู้เหมือนกัน"
"แจ๊บเล่าให้ฟังในเมล บอกว่าพอจะเข้าใจ
ผมมากขึ้น แล้วก็ขอโทษกับพฤติกรรมงอแงที่
ผ่านมา ผมก็บอกว่าผมไม่ติดใจ แต่เรื่องระหว่าง
เรา คงจำาเป็นต้องทบทวนกันใหม่ เรารู้จักกันน้อย
เกินไป"
"ผู้หญิงหลายคนพร้อมจะเข้าใจว่า คำาชวน
ให้ถอยคนละก้าว หรือทบทวนกันใหม่ หมายถึง
การมีคนใหม่ และนั่นคงเป็นสิ่งที่แจ๊บรับไม่ได้
เพราะที่ผ่านมาเชื่อมั่นว่าจะต้องแต่งงาน อยู่กิน
กับคุณอย่างมีความสุข"
ปายยกมือลูบหน้า ดูหม่นหมองและเต็มไป
ด้วยความเคร่งเครียดกระสับกระส่ายออกมาจาก
ภายใน
"ผมเคยคิดอย่างนั้น แต่แจ๊บก็เปลี่ยนความ
คิดของผมวันละนิด ความร่าเริงกับเสน่ห์ดึงดูด
ของเขาหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าการพูดคุย
กลายเป็นภาระที่ผมต้องแบก และการนับวันรอ
ร่วมทาง ก็เหมือนนับเวลาถอยหลังเข้าคุกดีๆ
นี่เอง"
"เข้าใจ... และเห็นใจค่ะ"
"โอ้! ขอโทษ... ผมไม่ตั้งใจจะให้คุณมะแม
ต้องมาฟังผมระบายความทุกข์อย่างนี้เลย
เหมือนผมมานั่งแก้ตัวให้คุณฟังเลยนะ แต่... ผม
อยากให้คุณมะแมรับทราบว่าผมไม่ได้มีคนใหม่
ผมแค่ใช้คำาพูดว่าเราถอยคนละก้าว ให้โอกาสกัน
และกันเลือกทางเดินใหม่ดูไหม ผมพูดแค่นี้ แต่
แจ๊บไปตีความว่าผมมีคนใหม่แล้ว และเมลกลับ
มาขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย ผม... ไม่นึกว่าเขาจะเอาจริง
เลยไม่ได้ตอบกลับ เพราะรำาคาญ แล้วก็กำาลัง
งานยุ่งสุดๆ"
"อย่างคุณปาย เป็นพวกพร้อมจะมีใหม่ได้
ตลอดเวลา ห่างกันคุณแจ๊บเลยคิดมากไม่หยุด
และพอคุณปายพูดแค่นั้น แถมทำาเป็นไม่สนใจ
เขาก็ไม่คิดไปทางอื่น"
"ก่อนแจ๊บไป... เขาพูดอะไรให้คุณมะแมฟัง
บ้าง?"
"มันยาวค่ะ จำารายละเอียดไม่ได้ แต่สรุป
เป็นความรู้สึกทางใจก็คือชีวิตที่ไม่มีคุณ เทียบ
เท่ากับการไม่มีชีวิต ประมาณนั้น"
ปายก้มหน้าลงซบกับฝ่ามือทั้งสอง
"ผมคงต้องรู้สึกผิดไม่เลิกใช่ไหม?"
"จากการที่มะแมคุยกับเขา มะแมไม่คิดว่า
เขาจากไปเพื่อให้คุณรู้สึกผิดนะคะ ตรงข้าม เขา
สำานึกผิดและเสียใจ คำาสุดท้ายในชีวิตจึงเป็น
คำาขอโทษที่ฝากถึงคุณโดยตรง"
ดูเหมือนปายไม่ได้ยินที่มะแมพูด ความ
เสียใจทำาให้เขาเริ่มคร่ำาครวญ
"ระหว่างติดคุกหลังงานแต่ง กับติดคุกหลัง
งานศพ ถ้าย้อนเวลากลับไปเลือกได้ ผมจะเลือก
คุกแรก!"
มะแมมองชายผู้น่าจะได้ชื่อว่าหล่อที่สุดใน
ประเทศไทยเต็มตา ใบหน้าหมองไหม้ของเขาดู
น่าเห็นใจ แต่ทำาไมหล่อนยังไม่นึกอยากปลอบก็
ไม่ทราบ อาจเพราะรู้สึกว่าลึกลงไป ถัดจากชั้น
ของความเสียอกเสียใจ รู้สึกผิดเต็มประตู คือชั้น
ของความโล่งอก สบายใจกับชีวิตใหม่ที่ได้ความ
เป็นไทกลับคืนมาเสียที
อีกอย่างหนึ่ง มองหน้าด้วยตาเปล่าไม่ต้อง
ใช้จิตสัมผัสใดๆ ก็ทราบว่าสาวโสดสวยๆค่อน
ประเทศพร้อมจะเฮโลกระโจนใส่เขาทุกวัน แค่หัน
ไปยิ้มให้ผู้หญิงคนไหน ก็มัดใจ บาดอารมณ์
ขนาดตะลึงตะไลจับจ้องหลงติด ไม่คิดอยากห่าง
หรือกระทั่งไม่อาจขาดเขาไปจนตาย...
เหมือนอย่างแจ๊บ!
มะแมเห็นว่าเขามีดี แต่ใจกลับไม่หลงยินดี
ในความเป็นเช่นนั้นสักเท่าไร ปายกลายเป็น
เครื่องพิสูจน์ใจว่าหล่อนไม่อาจเป็นผู้หญิง
ธรรมดา ไม่มีทางหลงเขา อย่าว่าแต่จะฆ่าตัวตาย
บูชาเขา!
"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว มะแมขอตัวกลับก่อนนะ
คะ"
หญิงสาวลุกขึ้นยืน ปายยืนตาม รู้สึกใจหาย
อยากคุยกับหล่อนนานกว่านั้น
"พรุ่งนี้ขอเป็นลูกค้าของคุณมะแมสักคนได้
ไหม? ผมจะบินกลับช่วงค่ำา ก่อนหน้านั้นขอ
ปรึกษาอะไรเพิ่มเติมสักหน่อยเถอะ"
มะแมส่ายหน้า
"ตารางนัดของมะแมเต็มยาวค่ะ แต่มะแม
ให้คำาปรึกษาคุณได้สั้นๆเดี๋ยวนี้เลย"
"ได้เหรอครับ?"
"สำาหรับชีวิตของคุณ รักส่วนใหญ่มีไว้ให้
คุณวุ่นวาย เพราะต้องพยายามเป็นอะไรเกินๆ
จากที่เป็น ผู้หญิงที่วิ่งเข้ามาหาต่างต้องการความ
ฝันสำาเร็จรูป ไม่ได้มาช่วยกันยกระดับความจริง
ให้ดีขึ้น คุณจะต้องเหนื่อยกับการทำาตัวเป็นความ
ฝันสมบูรณ์แบบไปเรื่อยๆ จะหล่นลงมาเป็นความ
จริงที่บกพร่องไม่ได้ พวกเธอไม่มีทางยอมรับ"
ปายทำาหน้าเหวอนิดๆ
"ผมไม่เข้าใจ"
"งั้นจำาเป็นข้อสรุปก็พอค่ะ อย่าใจอ่อนให้
กับความสวยของผู้หญิงช่างฝัน มันไม่มีความสุข
ในชีวิตคู่ที่แท้จริงรออยู่ ให้ใจเย็นรอความงาม
ของผู้หญิงใจดี แล้วชีวิตของคุณจะถูกเติมเต็ม
ด้วยเหตุผลและความเหมาะสมที่หายไปมา
ตลอด"
ดอกเตอร์หนุ่มค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา นั่น
ทำาให้เขาดูเปลี่ยนไปเร็วมาก จากที่เพิ่งระทม
ระทวยทนทุกข์ กลายเป็นเปี่ยมพลังแจ่มใสทันตา
"คนงามกับความใจดีคือส่ิงที่ผมรอมา
ตลอด และผมก็คิดว่ายากมากกว่าจะได้พบ ได้
คบกัน"
มะแมแน่ใจว่าเห็นประกายกรุ้มกริ่มในแวว
ตาของเขาฉายออกมา ทบทวนคำาพูดของตนเอง
เมื่อครู่ ก็นึกได้ว่าเขาอาจเข้าใจอะไรผิดไปกระมัง
จึงรีบเอ่ยลาพร้อมทั้งค้อมศีรษะให้เล็กน้อย
"สวัสดีค่ะ ขอให้คุณสบายใจโดยเร็วนะคะ"
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน ซึ่งก็ดึงให้ปายผุดลุกยืน
ตามทันใด
"เอ้อ! คุณมะแม ผมขอร้อง พรุ่งนี้ขอเวลา
ผมพบคุณก่อนกลับได้ไหม จะต้องให้ค่าเสียเวลา
เพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ยินดี ผมต้องปรึกษาคุณหลาย
เรื่องเลยนะ จะเป็นมื้อกลางวันใกล้บ้านคุณก็ได้"
มะแมย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงนคราม
ครัน ไม่อยากเชื่อว่าหนุ่มรูปงามที่ทำาให้ไฮโซสาว
เจ้าเสน่ห์คนหนึ่งฆ่าตัวตายได้ จะไร้ชั้นเชิงขนาดนี้
"ไม่ได้จริงๆค่ะ ขอโทษนะคะ"
ปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วมะแมก็ออกเดินไม่
เหลียวหลัง กลัวเขาเดินตามเหมือนกัน คงอึดอัด
น่าดูถ้าต้องปฏิเสธซ้ำากันอีกรอบ
เป็นครั้งแรกที่สงสัยว่า "เทวดา" จะพลาด
เป็นบ้างหรือเปล่า ถึงขนาดต้องให้หล่อน "ระวัง"
ว่าถ้าจะมีความรัก อย่าไปหลงสิ่งล่อตาภายนอก
โธ่เอ๋ย! กะแค่ตานี่จะทำาให้หล่อนอยากรับนัดยัง
ทำาไม่ได้เลย เรื่องหลงเรื่องรักจะตามมาไหวหรือ?
บทที่ ๘
มะแมแวะซื้อของเข้าบ้าน กว่าจะกลับมาถึง
จึงปาเข้าไปสี่ทุ่ม ซึ่งหล่อนขีดเส้นไว้ให้อิ๊กเข้า
นอนพอดี
วินัยขั้นพื้นฐานประเภทนี้ แสดงความเป็น
เด็กว่านอนสอนง่ายของอิ๊ก อิ๊กปฏิบัติตามที่
หล่อนตีกรอบไว้ทุกเรื่อง และมะแมก็ตีกรอบ
พร้อมอธิบายเหตุผลเสมอ ไม่ใช่จู่ๆบังคับให้ทำา
โน่นทำานี่ดื้อๆ หล่อนบอกอิ๊กว่าเด็กที่นอนตั้งแต่
หัวค่ำาจะฉลาด สมองแจ่มใส เติบโตอย่างแข็งแรง
จิตใจที่เศร้าหมองไปช่วงหนึ่งจะฟื้นคืน กลับสดใส
เหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว
อิ๊กช่วยเหลือตัวเองได้ทุกเรื่อง กับทั้งช่วย
หยิมทำางานบ้านอย่างขมีขมัน มะแมได้ยินสอง
คนคุยกระหนุงกระหนิงทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันแล้ว
สบายใจ รู้สึกว่านี่คือรังนอนอันสว่าง อบอุ่น หา
ใช่สักแต่เป็นที่อยู่ที่กิน เดินไปที่ตรงไหนสัมผัสได้
แต่พลังความมีชีวิตชีวาและความน่าอยู่ที่ตรงนั้น
นี่เอง จุดเริ่มต้นของความเป็นบ้าน สร้าง
กันด้วยความผูกใจผูกพัน ไม่ใช่ด้วยการผูกอิฐผูก
ไม้
หยิมออกมาช่วยปิดประตูรั้ว และขอแบ่งถุง
พะรุงพะรังไปช่วยถือเข้าบ้าน มะแมหยิบจากท้าย
รถส่งให้ส่วนหนึ่ง
"อิ๊กขึ้นนอนหรือยัง?"
"เพิ่งขึ้นค่ะ"
เข้ามาถึงครัวด้วยกัน ขณะช่วยกันจัดข้าว
ของเข้าตู้เย็นและช่องชั้นต่างๆ มะแมก็ถามอีก
"ช่วงค่ำาครูสอนภาษาอังกฤษมาตามนัด
ไหม?"
"มาตรงเวลา หน้าตาดุนะคะ แต่ก็สอนดีค่ะ
สอนๆไป ท่าทางหลงรักน้องอิ๊กอีกคน"
"ใครไม่รักไม่เอ็นดูก็แปลกคนล่ะ"
แต่พูดเสร็จใจก็ไพล่นึกไปถึงสองลุงป้ามหา
ภัยซึ่งจำาใจอุปการะอิ๊กอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งสองนับว่า
แปลกคนจริงๆที่ใจร้ายกับอิ๊กได้ลงคอ
นึกอีกทีจะแปลกอะไร ขนาดลูกเต้าแท้ๆ
แต่ละคนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุไม่ถึง ๑๘ กันหมด
และที่ยังอยู่ด้วยกันก็เป็นไปแบบซังกะตาย แยก
ย้ายไม่รอด ไม่ใช่เพราะมีความรู้สึกแสนดีอยู่ที่
นั่น อย่างนี้จะเอาหัวใจที่ไหนมารักเด็กซึ่งเป็นลูก
ของญาติเล่า?
ความกล้ำากลืนฝืนใจทำาให้ยุพินเลี้ยงอิ๊กด้วย
โทสะ กับทั้งเล็งโลภ มาดหมายอยู่ในใจว่าวัน
หนึ่งจะต้องเอากำาไรคืนให้ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ส่วนนิพนธ์ไม่เห็นอิ๊กเป็นอะไรอื่นมากไปกว่าเด็กผู้
หญิงไม่มีทางสู้ น่ารักน่ารังแกเป็นที่สุด แถมไม่มี
ทางไป ล่วงเกินอะไรใครจะรู้
ลุงกับป้าเป็นแผลกาย บอกตัวเองว่าหล่อน
จะเป็นยาสมานใจให้อิ๊กหายขาดจากทุกแผล
เพียงช่วงสั้นๆที่มาอยู่ด้วยกัน อิ๊กได้รับการ
รักษาทั้งส่วนของกายและส่วนของใจอย่าง
รวดเร็ว สามวันแรกที่เธอแน่ใจว่าได้มาอยู่ในบ้าน
ใหม่ อันจะเป็นหลักประกันความมั่นคงและความ
ปลอดภัยไปตลอดชีวิต อิ๊กก็ร่าเริงขึ้น เจรจาพาที
น่ารักน่าพิศวาส แสดงพื้นฐานจิตใจของเด็กที่โต
มากับครอบครัวอบอุ่น
"หยิม..."
"ขา"
"ทุกวันนี้พี่ไม่ได้คิดว่าหยิมเป็นลูกจ้างแล้ว
นะ เธอเป็นน้องสาวพี่คนหนึ่ง"
"รู้ค่ะ"
เด็กสาวไม่ได้หันมอง แค่ยิ้มตอบสั้นๆ แต่
เสียงก็บอกว่า "รู้" ตามที่พูดจริงๆ
"ถ้าเธออยากได้อะไร หรือไม่ชอบอะไร ก็
บอกพี่ได้ทุกอย่าง ไม่ต้องคิดว่าพี่เป็นเจ้านาย"
"จะพยายามกล้าๆนะคะ"
"แล้วนี่... เธอจะรู้สึกไม่ดีไหม ถ้าพี่เอาเด็ก
ที่ไหนไม่รู้ มาเลี้ยงดูอย่างดี ให้ได้เรียน
หนังสือ..."
"ส่งน้องอิ๊กให้ถึงปริญญาเอกเลยนะคะ ขอ
หยิมได้มีส่วนไปร่วมงานวันรับปริญญาตรีที่เมือง
ไทยก่อนด้วย"
สุ้มเสียงสดใสนั้น มีผลให้มะแมชะงักมือที่
กำาลังจัดของลง แปรสายตาไปอีกทาง ชั่งใจดีๆ
อยู่ครู่ก่อนถาม
"พี่ส่งเธอเรียนต่อบ้างเอาไหม?"
"ไม่เอาหรอกค่ะ"
"ไม่อยากเรียนหรือ? ศึกษาผู้ใหญ่ก็ได้"
"เรียนดึกๆน่ะ ถูกตีหัวตอนกลับบ้านกัน
เยอะนะคะ"
"งั้นก็เรียนภาคกลางวัน!"
มะแมกัดฟันพูด แต่ก็ตั้งใจตามนั้น
"ตอนกลางวันหยิมสมองทึบค่ะ คิดอะไรไม่
ค่อยออก ต้องตอนกลางคืนค่อยโล่ง หัวแล่น
หน่อย"
หยิมจัดของส่วนของตนเสร็จก็หันมาหยิบ
ของที่เหลือจำาพวกกระดาษม้วนไปจัดวางตามจุด
เฉพาะอันมีความแน่นอน ตามระเบียบของผู้เป็น
นาย ระหว่างจัดอย่างคล่องแคล่วก็พูดไปด้วย
"ถ้าหยิมเรียนสูงกว่านี้แล้วเห็นช่องทาง
ทำางานอื่น ตอนตายหยิมอาจเสียดายที่ไม่ได้อยู่
รับใช้พี่มะแม แทนที่จะได้รับอะไรดีๆจากพี่ กลับ
ดันทุรังออกไปหาเรื่องรับอะไรเลวๆจากโลกข้าง
นอกมาใส่ตัวแทน ไม่เอาหรอก"
มะแมตาค้างอยู่กับที่ เพิ่งได้ยินประโยคคำา
พูดยาวๆชนิดนั้นจากหยิมเป็นครั้งแรก เหมือนฟัง
ตัวเองพูด ทั้งน้ำาเสียง ทั้งสำานวน ต่างแต่ว่าเป็น
หยิมคิด หยิมเอ่ยปากมาจากอีกฟากหนึ่งของ
ห้อง หาใช่น้ำาเสียงของหล่อนเองไม่
อยู่ใกล้หล่อน แล้วกลายเป็นเงาสะท้อนของ
หล่อน ควรเป็นเรื่องน่าชอบใจมิใช่หรือ?
"พี่จะตามใจหยิมก็แล้วกัน" หญิงสาวเอ่ย
ยังคงไม่เหลียวมา "งานในบ้านกับงานออฟฟิศ
เราสามคนผลัดกัน คงมีเวลาให้เธอทำาอย่างอื่น
ไม่ยากนัก ถ้าวันหน้าเธอเปลี่ยนใจ พี่จะสนับสนุน
ทุกอย่าง เงินเก็บของพี่มีพอสำาหรับปริญญาของ
เธอแน่นอน!"
พูดจบก็ทิ้งของที่เหลือไว้ให้เด็กสาวจัดการ
ตนเองเดินออกจากห้องครัว ฉวยกระเป๋าถือเดิน
ขึ้นข้างบนไปเงียบๆ
ชั้นสามมีห้องนอนสามห้อง มะแมให้อิ๊
กนอนห้องเล็กสุด พอขึ้นมาถึงก็มองไป เห็นประตู
แง้มไว้หน่อยหนึ่ง ไม่หับปิดให้สนิท ก็ทราบว่า
ฝ่ายนั้นจงใจ ด้วยความอยากให้หล่อนแวะหาสัก
นิด
ย่องไปผลักบานประตูเปิดอ้า เห็นร่างน้อย
บนเตียงนอนขยับหน่อยๆเป็นปฏิกิริยาตอบรับ
จึงก้าวเข้าไป และเปิดไฟอ่อนที่โคมข้างเตียง
มะแมให้หยิมไปเลือกซื้อตู้ เตียง และโต๊ะ
สำาเร็จรูปมาจากร้านเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งก็โชคดีที่เจอ
ของถูก แต่ดูน่ารักเหมือนสมบัติคุณหนูบ้านคนมี
อันจะกิน
"ยังไม่หลับเหรอ?"
ถามพลางย่างเท้ามาวางน้ำาหนักตัวลงบน
ขอบฟูก ใช้มือละมุนเสยปอยผมของอิ๊กแล้วลูบไป
ถึงกระหม่อมช้าๆหลายครั้ง จำาได้ว่าชอบสัมผัส
แบบนั้นจากแม่ เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเดียวกับอิ๊ก
และตอนนี้ก็นึกอยากถ่ายทอดไปให้อิ๊กบ้าง
"ยังค่ะ"
"วันนี้เรียนภาษาอังกฤษสนุกไหม?"
"สนุกค่ะ"
"พรุ่งนี้พี่ให้ครูสอนเลขมาแต่เช้านะ วันเสาร์
อาทิตย์พี่ต้องทำางาน วันจันทร์ถึงจะพาไปเที่ยว"
"ค่ะ"
เงียบกันไปครู่ มะแมสัมผัสได้ถึงอาการ
หน่วงหนักในใจของเด็กหญิง ก็ทราบว่าฝ่ายนั้น
กำาลังอยากขออะไรบางอย่าง
"จะขออะไรพี่ก็ขอเถอะ"
อิ๊กชินแล้วที่ผู้มีพระคุณรู้ใจตน เธอแค่เอ่ย
แบบเอียงอายหน่อยๆ
"ให้อิ๊กเรียกพี่มะแมว่าแม่ไม่ได้เหรอคะ?"
หญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อย เกิดความอึดอัดขึ้น
มา หล่อนยังต้องเห็นแก่ความรู้สึกส่วนของตน
เช่นกัน ยังสาว ยังโสดอยู่แท้ๆ จะให้เด็กอายุ
เฉียดวัยรุ่นเรียกแม่ แหม...
คิดครู่หนึ่งก่อนเลือกคำาปฏิเสธที่นุ่มนวล
"พี่เลี้ยงอิ๊กเหมือนลูกได้ แต่จะให้มาแทนที่
คุณแม่ของอิ๊กไม่ได้หรอก เร็วๆนี้อิ๊กจะเป็นวัยรุ่น
และไม่นานอิ๊กจะเป็นผู้ใหญ่ ตอนอิ๊กเป็นผู้ใหญ่ พี่
มะแมเพิ่งสามสิบต้นๆ ถึงตอนนั้นเราจะเขินๆกัน
นะ จะแก้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะมันติด"
อิ๊กทำาหน้าสลด หลบตาลงต่ำาอย่างผิดหวัง
มะแมเห็นแล้วสงสาร แต่ก็ไม่ใจอ่อน
"เรียกพี่นั่นแหละ! แต่ถ้าอยากเรียกเป็น
อย่างอื่นจริงๆ ให้ผสมแม่กับพี่ เป็น 'มี่' ก็แล้ว
กัน"
มุขนั้นกระทุ้งเอาเสียงหัวเราะขำาคิกคักออก
มาจากปากของเด็กขี้อ้อนได้
"หลับซะนะ"
มะแมตบศีรษะเด็กน้อยอย่างตั้งท่าจะจาก
ไป ซึ่งฝ่ายนั้นก็รีบยื้อทันที
"พี่คะ"
"หือม์?"
"พี่มะแมบอกให้อิ๊กเลิกคิดมาก แต่อิ๊กก็ยัง
คิดมากอยู่เลยค่ะ"
ฟังแล้วรู้ทันทีว่าคนอยากเป็นลูกสาวคิดถึง
เรื่องใด แม้ความอบอุ่นปลอดภัยในบ้านน้อยหลัง
นี้ จะเป็นยาสมานแผลที่ได้ผลขนาดไหน อย่างไร
ก็คงเอาชนะประสบการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อ
ถูกลุงลวนลามไม่ได้
ยังดีอยู่หรอก สิ่งที่ล่วงล้ำาเข้าไปทำาร้ายอิ๊ก
ใช่สวะแห่งชาย แต่ก็เป็นอย่างอื่นที่บัดสีน่าอดสู
อยู่ดี
"ก่อนนอนตอนยังไม่หลับ อิ๊กรู้สึกอาย รู้สึก
แย่ เพราะย้ำาคิดถึงคนโหดร้ายกับเราทุกคืนเลย
ใช่ไหม?"
"ใช่ค่ะ"
"งั้นเอางี้นะ คืนต่อๆไปเราต้องทำาให้ช่วง
เวลาก่อนนอนมีความคิดดีๆเกิดขึ้นแทน"
"อิ๊กก็สวดมนต์ตามที่พี่มะแมบอกนะคะ
แต่... มันไม่ได้ผล"
"คราวนี้พี่จะให้เพิ่มความคิดเข้าไปด้วย คิด
อย่างนี้นะ" เว้นวรรคทำาหน้าขึงขังเรียกความ
ตั้งใจฟัง ก่อนเอ่ยเป็นน้ำาริน "เรื่องน่าอายก่อน
นอนมีอยู่อย่างเดียว คือนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เรายัง
ไม่ได้ทำาความดีอะไรเลย"
อิ๊กกะพริบตาปริบๆอย่างพยายามทำาความ
เข้าใจ มะแมลูบศีรษะเด็กในอุปการะอย่างอ่อน
โยน
"คนทำาดีไม่มีเรื่องให้น่าอายตัวเองก่อน
นอนหรอก มีแต่คนชั่วเท่านั้นที่ต้องละอายจนกว่า
จะหลับไปกับฝันร้าย!"
เก้าโมงสิบสองนาที ลูกค้าคนแรกยังไม่
มาตามนัด จนมะแมต้องโทร.ภายในถามหยิม
"เขายังไม่มาอีกเหรอหยิม?"
"ค่ะ หลงทางหรือเปล่าก็ไม่ทราบ อาจจะมา
จากต่างจังหวัด"
หยิมคาดเดาไปเรื่อยตามนิสัย
"คิวที่สองล่ะ? ถ้ามาแล้วก็ส่งเข้ามาเลย ขี้
เกียจรอละ"
"ยังไม่มาเหมือนกันค่ะ หยิมย้ำาเสมอนะคะ
ว่าให้ช่วยมาก่อนเวลา... อ้อ! เอ้อ! ท่าทางจะ
มะ... มาแล้วค่ะ"
หยิมพูดตะกุกตะกักในตอนท้าย มะแมวาง
กระบอกโทรศัพท์ลงแป้น พับหนังสือพิมพ์ที่นำามา
อ่านฆ่าเวลา แล้วลุกขึ้นยืนเตรียมต้อนรับลูกค้า
รายแรกของวัน ปกติหล่อนจะต้องเป็นฝ่ายไหว้
ก่อน เพราะเกินครึ่งของลูกค้าอายุมากกว่า
ประตูเปิดออกกว้าง รัศมีกระจ่างผิด
ธรรมดานำาหน้ามาให้สัมผัส ร่างสูงสง่าของชาย
หนุ่มวัย ๓๐ ในชุดสูทสีเทาก้าวตามรัศมีนั้นมา
และมีพลังสะกดโลกของมะแมให้หยุดไว้ เพื่อ
ต้อนรับการปรากฏตัวของเขาชั่วขณะ
ตั้งแต่วันแรกที่ทำาอาชีพที่ปรึกษา เพิ่งมีวันนี้
เองที่มะแมเผลอจ้องลูกค้าแบบลืมหายใจไปเป็น
ครู่ ก่อนรู้สึกตัว ค้อมศีรษะพนมมือไหว้แช่มช้อย
"สวัสดีค่ะ" เงยหน้าขึ้นถามเสียงใสเป็น
ปกติ "คุณอัคระหรือเปล่าคะ?"
ถามให้รู้ว่าเป็นลูกค้าคิวแรกหรือคิวที่สอง
ตามบัญชีรายชื่อที่หยิมพิมพ์มาวางบนโต๊ะเช้านี้
"ครับ! ผมอัคระ ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย
เมื่อครู่ติดธุระด่วน"
"ไม่เป็นไรค่ะ เชิญนั่งก่อน"
บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปหมด ห้องของ
หล่อน แต่กลับรู้สึกว่ากลายเป็นห้องของเขา เขา
เป็นผู้ครอบครอง ส่วนหล่อนแค่ขอมามีส่วนร่วม
ชั่วคราว
โอ้! คนอะไรจะดูยิ่งใหญ่ปานนั้น?
เมื่อต่างฝ่ายต่างนั่งเรียบร้อย หญิงสาวก็
บอกให้เขาทราบล่วงหน้า เป็นการปรับภาวะ
ความเป็นเจ้าของห้องให้กลับมาอยู่ในความรู้สึก
ฝ่ายตน
"มะแมจำาเป็นต้องรักษาเวลานิดหนึ่ง คิวต่อ
ไปจะเป็นเก้าโมงครึ่งนะคะ เว้นแต่ทางนั้นจะมาช้า
เราถึงจะคุยกันต่อให้ครบครึ่งชั่วโมงได้"
"เข้าใจครับ... งั้นเริ่มเลยนะ ผมอยาก
ทราบว่างานใหญ่ที่กำาลังเตรียมการกันอยู่นี้ จะ
สำาเร็จลุล่วงด้วยดีไหม แล้วระหว่างผมกับคู่แข่ง
ใครที่จะต้องสมหวังหรือผิดหวัง"
"ค่ะ จะดูให้นะคะ"
ขณะมะแมทำาความรู้สึกที่ความปรากฏแห่ง
ชีวิตเขา และยังไม่ทันเลือกว่าจะอาศัยสิ่งใดเป็น
เครื่องมือในการดูตามโจทย์ หล่อนก็สัมผัสกลุ่ม
พลังอะไรชนิดหนึ่ง ถาโถมเข้าสู่ตน จนเวียนหัวไป
ชั่วขณะ คล้ายงงๆง่วงนอนอย่างไม่เคยเป็นมา
ก่อนในยามเริ่มงานเช้าวันใหม่
พยายามตั้งหลัก เรียกสติให้กลับมาครบๆ
แต่พอทำาความรู้สึกไปที่ "งานใหญ่" ของอัคระก็
เอาอีก เหมือนกำาแพงพลังไร้ตนโต้กลับอย่างแรง
คราวนี้มึนกว่าเดิม ไม่ต่างจากกระดกเหล้าเข้า
ปากรวดเดียวหมดแก้ว โดยไม่ทันทราบล่วงหน้า
ว่านั่นคือเหล้า นึกว่าเป็นน้ำาเปล่า
"เอ่อ..." มันเป็นการครางอย่างไร้จุดหมาย
มากกว่าจะเริ่มพูดอะไร มะแมสลัดหน้าเล็กน้อย
จึงนึกออกว่าจะเปลี่ยนวิธีดูอย่างไรดี "ขออนุญาต
ใช้บัตรประชาชนของคุณอัคระเป็นสื่อหน่อยได้
ไหมคะ? คือ... มะแมจะลองจับจากเอกลักษณ์บน
บัตรดู"
เลี่ยงไปทางนั้นเพื่อแตะจิตเข้าไปที่รหัส
ประจำาตัว แทนการส่งจิตไปกระทบเขาตรงๆ ซึ่ง
อัคระก็ไม่รังเกียจ
"ได้ครับ ไม่มีปัญหา"
ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าสตางค์จากเสื้อนอก
ออกมาหยิบบัตรประชาชนยื่นให้ตามคำาขอ
มะแมรับมาและรีบวางไว้บนโต๊ะ เพราะไม่แน่ใจ
ว่าถ้าถือดูแล้วมือจะสั่นให้ขายหน้าเขาหรือเปล่า
นายอัคระ เมธานฤบาล
เคว้งงงวูบหนึ่ง ทำาความรู้สึกเข้าไปที่ชื่อ
นามสกุลแล้วขนลุกได้ ชีวิตคนๆนี้ไม่ธรรมดา
มะแมพยายามจับกระแสความไม่ธรรมดานั้นไว้
เป็นตัวตั้ง แล้วรอว่าจะเกิดสัมผัสรู้หรือมีนิมิตใด
ปรากฏในห้วงมโนทวารของตน
แต่ยิ่งรอก็ยิ่งกลายเป็นตาลายฟุ้งซ่านวกวน
จนต้องขมวดคิ้วจ้องบัตรประชาชนของเขาใหม่ให้
เห็นชัดขึ้น แก้งงด้วยการตรวจเก็บรายละเอียด
ทั้งหมดทีละจุด นับแต่เลขประจำาตัว วันเดือนปี
เกิด ศาสนา หมู่เลือด ที่อยู่ ไปจนกระทั่งวันหมด
อายุบัตร
มะแมไม่รู้ตัวนักว่าการทำางานของจิตสัมผัส
หายไป เปลี่ยนเป็นการทำางานของสมองคิดนึก
ขึ้นมาแทน ด้วยสายตาของคนไม่รู้หลัก
โหราศาสตร์ รู้แต่หลักบวกลบปีเกิดเทียบอายุเขา
กับหล่อน ทำาให้ทราบว่าห่างกัน ๖ ปี
แก่กว่าแค่ ๖ ปีหรือนี่? พลังบารมีทำาไมดู
เกินวัยไปกว่านั้นมากนัก อ้อ! หลักแหล่งที่อยู่ก็ไม่
ใกล้ไม่ไกลจากบ้านหล่อนเท่าไหร่ เลือดกรุ๊ปโอ
สูง ๑๘๑ หน้าตาในรูปถ่ายไม่ยักแย่เหมือนคน
อื่นๆตอนถ่ายบัตรประชาชนกันเลย
เอ... ประมวลแล้วหล่อนได้อะไรมามั่งล่ะนี่?
ทุกอย่างได้สัดส่วนเหมาะเจาะไปหมด ราวกับ
เครื่องประดับของผู้ยิ่งใหญ่ที่เข้าชุดกันอย่างดียิ่ง
อ่านกวาดจากบัตรประชาชนอย่างเดียว
เหมือนเขาเหมาะจะเป็นได้เพียงหมายเลขหนึ่ง
เท่านั้น แล้วอันที่จริง... ชื่อหล่อนกับนามสกุลเขา
ก็เข้ากันได้เพราะทีเดียว!
เอ๊ย! นี่หล่อนกำาลังเป็นบ้าหรืออย่างไร?
มะแมกระตุกมุมปากที่ค่อยๆคลี่ออกเป็นยิ้มหวาน
ให้กลับเข้าที่ สำารวมจิตขรึม สำารวมกายตั้งท่า
จริงจัง
"อือม์..." ระหว่างยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็น
อัน หญิงสาวก็ทำาทีก้มหน้าก้มตาวิเคราะห์เป็น
งานเป็นการ "ชื่อนี้ตั้งเองหรือใครตั้งให้คะ?"
"คุณพ่อตั้งให้แต่เกิดครับ"
"ชื่อนามสกุลและองค์ประกอบอื่นๆในบัตร
นับว่าเป็นบารมีกับคุณมากๆเลย"
"แล้วมีผลถึงงานใหญ่ข้างหน้ายังไง ผมจะ
ชนะหรือแพ้?"
มะแมอึกอัก คล้ายหล่อนเป็นคนธรรมดาที่
แสร้งทำาท่าเหมือนแม่มดผู้ทรงอภิญญาวิเศษ
อย่างไรไม่ทราบ
ขณะนั้น คลื่นรบกวนชนิดหนึ่งแทรกแซงเข้า
มา อยู่ๆมะแมก็นึกถึงคำาเตือนในจดหมายจาก
เทวดาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้

ถ้าจะมีความรัก ระวังการหลงสิ่งล่อตา
ภายนอกให้ดี ข้างในอาจไม่ใช่อย่างที่เห็น

ใช่แล้ว... ถ้าถูกบังคับให้ยอมรับก็จะ
ยอมรับว่าหล่อนกำาลังหลง เป็นความหลงอย่าง
ไม่เคยมีให้ใครเท่านี้มาก่อนเลยด้วย!
หรี่ตานิดหนึ่ง จดหมายฉบับล่าสุดจาก
"เทวดา" น่าจะหมายถึงอัคระนี่เอง และถ้า
"ท่าน" บอกใบ้ถูกต้องตามเคย มิแปลว่าที่หล่อน
เห็นมาทั้งหมดล้วนหลอกตา ลวงใจ ไม่มีอะไรจริง
เลยกระนั้นหรือ?
หล่อนกำาลังจะตกหลุมรัก หรือว่าตกหลุม
พรางแห่งมายาชนิดไหนกันแน่นี่?
สง่าราศีหลอกกันไม่ได้แน่ เหมือนเขาไร้จุด
อ่อน เป็นรองใครได้ยาก ดูด้วยตาเปล่าไม่ต้องใช้
สัมผัสพิเศษก็รู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่
คนที่จะยกธงขาวให้ใคร
แต่แล้วก็เริ่มเอะใจ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
แล้วเขามาหาหล่อนเพื่ออะไร? คำาถามของอัคระ
บ่งชัดว่าเห็นหล่อนเป็น "หมอดู" ไม่ใช่ "ที่
ปรึกษา" และความอยากรู้ของเขาก็ประกาศ
ความไม่มั่นใจ ว่าระหว่างเขากับ "คู่แข่ง" ใครจะ
ได้สิ่งที่อยากได้ไปครองกันแน่
คนไม่ยอมเป็นสองรองใคร จะขาดความ
มั่นใจในตนเอง และเลือกเชื่อคำาตัดสินจากหมอดู
อย่างนี้หรือ?
หล่อนอาจมองเขาผิด เพียงเพราะโดนสิ่งล่อ
ตาภายนอกหลอกเอาจริงๆก็ได้!
ทำาความรู้สึกเข้าไปที่ความว่าง เพื่อล้างสิ่ง
ที่เห็น ลบสิ่งที่เชื่อออกจากหัว แล้วย้อนกลับไปตั้ง
ต้นใหม่หมด หญิงสาวปิดตาลง คงสติไว้กับใจที่
ปราศจากอคติใดๆ จากนั้นจึงระลึกถึงน้ำาเสียง
และจังหวะจะโคนของอัคระขณะเอ่ยคำาว่า "คู่
แข่ง"
มีความทะมึนมืดชนิดหนึ่งที่ไม่รู้จักมาก่อน
ปรากฏขึ้นกระทบจิต ไม่แน่ใจว่านั่นคือกระแส
ชีวิตของคู่แข่งอัคระ หรือเป็นกำาแพงกั้นขวางไม่
ให้หล่อนได้รู้อะไรกันแน่
ช่วงนี้ช่างมีแต่เรื่องเกินกำาลังมาให้สัมผัสอยู่
เรื่อย มะแมไม่พยายามเอาชนะ ไม่ฝืนเพ่งให้ผ่าน
กำาแพงทะมึนชนิดนั้น เพราะเรียนรู้แล้วว่าดันทุรัง
สู้ไปจะเหนื่อยเปล่า นอกจากไม่ได้อะไรมา ยังเสีย
กำาลังใจไปแบบกู้คืนยากอีกต่างหาก
เปิดเปลือกตา ไหล่กระตุกไหวหน่อยๆเมื่อ
เห็นอัคระมองมา สบตากับเขาแล้วจังงัง คล้าย
ถูกสะกดให้พูดอะไรไม่ออก สนามพลังของเขาแผ่
กว้างและครอบหล่อนได้ รู้สึกคล้ายเป็นนักเรียน
ถูกครูจับจ้องอยู่ ว่าจะแก้ข้อสอบปากเปล่า
อย่างไร และมะแมก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มีความรู้ใน
หัวพอจะตอบข้อสอบแค่ไหน
เงียบนานกระทั่งเขาต้องเป็นฝ่ายถามสะกิด
"เห็นอะไรบ้างครับ?"
เอ้อ! นั่นน่ะสิ เมื่อกี๊เห็นอะไรบ้าง? ลืมไป
หมดแล้ว ตอนนี้เห็นแต่หน้าคุณนั่นแหละ!
เป็นครู่กว่าจะนึกออกว่าควรกะล่อมกะแล่ม
แก้ขัดท่าไหน
"ยากที่ใครจะเอาชนะคุณอัคระได้นะคะ"
"หมายความว่างานจะสำาเร็จ และคู่แข่งของ
ผมแพ้แน่ใช่ไหม?"
มะแมเกิดความอึดอัด อยากตอบว่า "ไม่
ทราบ!" ให้รู้แล้วรู้รอด แต่นั่นก็หาใช่วิสัยที่หล่อน
จะตอบลูกค้า จึงกลั้นใจตอบแบบไถๆไปก่อน
"คุณอัคระกับคู่แข่งไม่ธรรมดาด้วยกันทั้งคู่
ตอบยากเหมือนกันค่ะ"
ตอบเสร็จก็โล่ง อย่างน้อยผ่านไปได้เปลาะ
หนึ่ง ด้วยถ้อยคำาที่หล่อนเองฟังยังเห็นว่าเข้าใจ
ได้ สมเหตุสมผล ไม่ใช่โกหกเอาตัวรอด
เหลือบมองบัตรประชาชน คิดว่าคงไม่ใช้
อีก เลยจะหยิบคืนเขาโดยเอาปลายเล็บจิก แต่งัด
อีท่าไหนไม่ทราบ จับไม่อยู่ บัตรจะพลิกหล่น ถึง
กับต้องใช้สองมือตะครุบปุบก่อนหลุดมือร่วง
รู้สึกว่าท่าทางของตนตลกเหมือนเด็กตก
ประหม่า น่าอายเหลือที่จะกล่าว ถึงกับต้องทำาใจ
ดีๆเพื่อที่จะไม่ให้มือไม้ออกท่ากระงกกระเงิ่นขณะ
ส่งบัตรประชาชนคืนเขา
"เอาบัตรไปเก็บก่อนนะคะ"
"ครับ"
หัวใจเต้นผิดจังหวะ เร่งพินิจซ้ำาๆว่า
"อนาคต ออกหัว ออกก้อย ออกหัว ออกก้อย
ฯลฯ" แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สัมผัสผลแบบไหน
เลย จะให้แกล้งเดามั่วก็ผิดแบบแผนความเป็นตัว
ตนของหล่อน ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ทรยศอาชีพ
ของตนแม้แต่ครั้งเดียว
ออกหัว ออกก้อย เออ! จริงสิ! ขอดูพลัง
เสี่ยงทายของเขาหน่อยดีกว่า ไวเท่าความคิด
มะแมดึงลิ้นชักโต๊ะ หยิบกระเป๋าสตางค์เปิดและ
นำาเหรีญสิบออกมายื่นให้อัคระ
"ช่วยโยนเหรียญให้มะแมดูหน่อยได้ไหม
คะ?
เขาทำาหน้าตกตะลึง ถามเสียงสูงเหมือนจะ
ให้แน่ใจว่าหูไม่ได้ฝาด
"ให้ผมโยนหัวโยนก้อย?"
คำาขอความแน่ใจของเขาเล่นเอามะแมหน้า
ม้าน อยากคืนคำา แต่ก็คืนไม่ได้แล้ว หลุดปากไป
แล้ว จึงต้องรีบอธิบายให้ดูดี
"อาจฟังแปลกๆหน่อยนะคะ คุณอัคระถาม
ถึงผลแพ้ชนะ มะแมเลยสัมผัสเข้าไปที่พลังผู้ชนะ
ของคุณ แล้วรู้สึกว่าปิดประตูแพ้คนทั้งหลายได้
แต่เมื่อพยายามรู้คำาตอบว่างานใหญ่ของคุณกับคู่
แข่ง ใครจะแพ้หรือชนะ นิมิตของผลลัพธ์กลับไม่
ปรากฏ ซึ่งมะแมเดาว่าน่าจะเป็นเพราะคู่แข่งของ
คุณไม่ใช่เล่นเหมือนกัน"
อัคระสงบท่าทีลง แววตาส่อว่าเข้าใจและ
ยอมรับ มะแมจึงค่อยใจชื้น อธิบายต่อได้รื่นขึ้น
"ถ้าคุณอัคระจะบอกชื่อคู่แข่ง และบอกราย
ละเอียดงานใหญ่ให้มะแมรู้ แทนที่จะช่วย ก็อาจ
ยิ่งก่อให้เกิดอคติ เพราะมะแมเชื่อว่ายิ่งฟังราย
ละเอียด จะยิ่งเห็นความทัดเทียมยากจะคว่ำาอีก
ฝ่ายลงได้"
ชายหนุ่มพยักหน้า ซึ่งมีค่าเหมือนคำาชมให้
มะแมยิ้มออก
"ธรรมดาถ้าโยนเหรียญตามปกติ
ธรรมชาติความเป็นไปได้ของเหรียญสองด้านจะ
บังคับให้ออกหัวออกก้อยอย่างละครึ่ง แต่สำาหรับ
งานใหญ่มากๆ ความใหญ่ของมันอาจบังคับให้
เกิดผลตามแรงอธิษฐานขอรู้ของเรา"
มุมปากของอัคระจุดยิ้มน้อยๆ มะแมมองไม่
ออกว่าหมายความอย่างไร แต่หล่อนก็สบายใจที่
จะสาธยายจนจบ
"เมื่อได้หัวได้ก้อยออกมา ก็ไม่ใช่มะแม
ตัดสินแค่ง่ายๆว่าชนะหรือแพ้ มันแค่ช่วยเป็น
เครื่องกระทบจิตให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่าง อาจ
มาในรูปของนิมิต หรืออาจเป็นความรับรู้ถึงแนว
โน้มในอนาคต ซึ่งถ้ามะแมสามารถขยายราย
ละเอียดให้คุณอัคระรับเหตุรับผลได้ ก็จะไม่ใช่แค่
รู้ผลเสี่ยงทายธรรมดา แต่เป็นการเข้าใจว่าถ้าจะ
แพ้ แพ้เพราะอะไร และถ้าจะชนะ ชนะด้วยท่า
ไหน"
"เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว"
อัคระรับเหรียญสิบของมะแมมาโดยดี เขา
มีวิธีปั่นเหรียญตามแบบฉบับของตนเอง คือคีบ
เหรียญไว้ระหว่างปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลาง แล้วใช้
สองนิ้วนั้นดีดเหรียญให้ลอยขึ้นปั่นตัวในอากาศ
สูงเกือบถึงเพดาน เพื่อให้มันตกลงบนพื้นห้อง ไม่
รับด้วยแขนหรือหลังมือ เป็นการไม่เข้าไปยุ่ง
เกี่ยวกับผลลัพธ์ในทางใดๆ
แต่เหรียญเจ้ากรรมดันเอาสันหล่นลงมากระ
ทบพื้น แล้วแทนที่จะคว่ำาหงาย กลับเด้งดึ๋งแล้ว
กลิ้งหลุนๆ วิ่งยาวลอดใต้โต๊ะ เฉียดผ่านล้อเก้าอี้
ทำางานของมะแม แล่นเลยไปเสียบระหว่างกลาง
ซอกแฟ้มกระดาษสองกอง ซึ่งหล่อนเพิ่งเอามาตั้ง
ชั่วคราวเมื่อวานนี้เอง
อุ้ย! เอาล่ะสิ แล้วจะให้ทายยังไง มะแม
เกือบยกมือเกาหัว ทว่ายั้งไว้ทัน เมื่อนึกได้ว่านั่น
เป็นการแสดงความบ้อท่าโจ่งแจ้งไปหน่อย
อัคระยืนขึ้นชะโงกหน้ามองผล ซึ่งพอเห็น
เข้าก็ย่นคิ้ว
"มันแปลว่าอะไรครับ?"
มะแมรีบคำาอธิบายทันที
"ค่อนข้างชัดค่ะว่าไม่มีวิธีใดๆจะรู้ ขนาดขอ
ให้พลังธรรมชาติช่วยตัดสิน เขาก็ไม่ช่วย"
ขณะนั้น เสียงตู๊ดจากอินเตอร์คอมดังขึ้น
เป็นสัญญาณที่ส่งมาจากหยิมเพื่อบอกว่าลูกค้า
รอบต่อไปมารอแล้ว และเกินเวลารอบเดิมแล้ว
มะแมโล่งอกเหมือนได้ระฆังช่วย
"คุณอัคระคะ..." หญิงสาวรวบรัดตัดความ
ด้วยท่าทีนิ่งขึ้น "งานของคุณจะเกี่ยวกับอะไร
มะแมไม่รู้ รู้แต่ว่าคู่แข่งมีในสิ่งที่คุณมี หรือเผลอๆ
ก็เป็นในสิ่งที่คุณเป็น ผลลัพธ์ข้างหน้ายังไม่อาจ
ตัดสินด้วยปัจจัยของวันนี้ คำาแนะนำาของมะแมคือ
คุณอัคระต้องเพิ่มปัจจัยบางอย่างเข้าไปให้เหนือ
กว่าปัจจัยทางฝั่งโน้น"
"ปัจจัยอะไรพอบอกได้ไหมครับ?"
"ลูกค้ารอบต่อไปมารอแล้ว เอาอย่างนี้นะ
คะ..." ทำาทีชั่งใจทั้งที่ตกลงใจไปแล้ว "คุณอัคระ
ทิ้งเบอร์ไว้ให้เด็กของมะแมแล้วใช่ไหมตอนนัด?"
"ครับ! ผมให้น้องเขาไว้แล้ว"
"เนื่องจากเรื่องของคุณค่อนข้างเห็นได้ยาก
และมะแมก็อยากได้ไว้เป็นกรณีศึกษา เพราะ
ฉะนั้น มะแมจะช่วยทบทวนให้อีกที แล้วโทร.ไป
บอกเมื่อรู้คำาตอบ"
"ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีเลยครับ ขอบคุณมาก"
"ไม่เป็นไรค่ะ แต่บอกไว้ก่อนว่ามะแมไม่
รับรองผล ถ้าไม่รู้ก็จะบอกว่าไม่รู้นะคะ"
"ผมพอเข้าใจ"
ยิ้มละไมลา พิมพ์ตาเหลือบรรยาย อัคระ
กลับหลังหันเดินจากไปราวกับภาพในจินตนาการ
อันงดงาม
นิลเนตรทอประกายเจิดจรัส มะแมกระแทก
ตัวกลับลงนั่งอย่างคนใจเต้นแรง แค่ไม่แกล้ง
หลอกตัวเองก็รู้ว่าหล่อนอยากกรี๊ด เป็นครั้งแรก
ในชีวิตกระมัง ที่หล่อนคือผู้หญิงธรรมดาที่กรี๊ด
หนุ่มเซ็กซี่เป็น!
บทที่ ๙
นับจากลูกค้าคิวที่สองจนคิวสุดท้ายก่อน
เที่ยง ผ่านไปโดยดี เหมือนมีพลังปีติช่วยส่งเสริม
การรับรู้ให้คมชัด แม่นยำา และพูดแนะนำาได้ไหล
รื่นเป็นธรรมชาติ
พอว่างงาน ถึงเวลารับประทานอาหารกลาง
วัน มะแมก็ปล่อยจิตปล่อยใจ นึกถึงอัคระ ใบหน้า
กับกระแสตาของเขาทรงอิทธิพล ยามจดจ้องมาที่
หล่อนคล้ายคมธนูที่ชำาแรกเข้ามาปักกลางใจแล้ว
ถอนยาก เพราะทรงพลังประทับหนักแน่นยิ่ง
คล้ายบัดนี้ตัวจริงของเขายังอยู่ใกล้แค่เอ้ือมนี่เอง
คิดเล่นๆ ถ้าอัคระโทร.มาชวนไปดูหนัง
เดี๋ยวนี้ หล่อนจะตอบตกลงไปกับเขาทันที ไม่เล่น
ตัวใดๆทั้งสิ้น!
ทอดตามองออกนอกหน้าต่างไปไกล ไม่รู้
ด้วยซ้ำาว่าหยิมถือถาดอาหารกลางวันเข้ามา
ตั้งแต่เมื่อใด กระทั่งฝ่ายนั้นเอ่ยลอยๆ
"เหมือนเจ้าชายเลยนะคะ"
มะแมถึงกับใจหายวาบ สะบัดหน้าขวับมา
หาต้นเสียง พอเห็นหยิมยืนยิ้มหน้าทะเล้นก็นึกฉิว
"เล่นอะไร ตกใจหมด"
ทำาเสียงขุ่นดุๆในเชิงกล่าวโทษว่าอีกฝ่าย
แกล้งย่องมาเงียบๆไม่ให้เสียง หยิมหัวเราะคิก
คักอย่างรู้ทันว่านั่นเป็นปฏิกิริยากลบเกลื่อนร่อง
รอยเคลิ้มฝันของนายสาว
"ขอโทษค่ะ หยิมเดินเข้ามาเอาข้าวปลาไป
วาง นึกว่าพี่มะแมเห็นหยิมแล้วเสียอีก" แล้วก็ยื่น
สิ่งที่ติดมือมาให้ "จดหมายค่ะ!"
มะแมเหลือบมองจดหมายในมืออีกฝ่าย
อย่างตื่นเต้นนิดหนึ่ง คาดหวังเล็กๆว่าวันนี้
"เทวดา" อาจบอกหรืออาจสอนอะไรเกี่ยวกับ
ความรักบ้าง
"ขอบใจนะ"
รับมาและฉีกซองทันที
"วันนี้มีพัสดุด้วยค่ะ"
หยิมบอกพลางบุ้ยปากไปทางโต๊ะรับแขก
มะแมพยักหน้าหน่อยๆอย่างไม่ค่อยสนใจนัก พอ
หยิมหันหลังเดินจากไป ก็ก้มลงอ่านจดหมาย

ระวังเสียงที่ไม่รู้จักให้ดี เบื้องหลังหวังอะไร
แค่ไหนก็ไม่รู้
คำาเตือนอีกแล้ว! ไม่อยากรับรู้เลยว่าเดี๋ยว
อาจมีเรื่องอีก ไม่อยากต้องกริ่งเกรงไปล่วงหน้า
ทำาไม "ท่าน" ไม่ส่งคำาทำานายดีๆเช่นเรื่องเกี่ยว
กับความรักมาให้บ้าง?
ไม่น่าอ่านให้หนักใจก่อนกินข้าวเลย มะแม
เรียนรู้แล้วว่า "จดหมายจากเทวดา" ไม่มีคำาว่า
พลาด ไม่มีการพูดเล่น แล้วก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
ให้สืบหาต้นแหล่งอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้
ตราประทับก็เปลี่ยนที่ทำาการไปรษณีย์ไปเรื่อยๆ
แต่จดหมายอาจเข้าถึงตัวหล่อนได้ตลอด
เวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน!
เมื่อค่อยๆเรียนรู้ ก็ค่อยๆเลิกถาม เลิก
สงสัย เลิกคิดวิธีสืบหาไปด้วยเช่นกัน มีใครคน
หนึ่งบนโลก ที่เห็นวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออาจจะ
ตลอดชีวิตที่เหลือของหล่อน และก็มาช่วย ไม่ใช่
จะมาเอาอะไรจากหล่อนทั้งสิ้น ไม่มีการโฆษณา
ตัวเอง ไม่มีการทวงบุญคุณ และไม่แม้แต่
ประกาศเจตนาว่าหวังอะไร
แล้วจะแปลกอะไรถ้าหล่อนแค่รับความช่วย
เหลือจากท่านไปวันๆ?
ระหว่างรับประทานมื้อเที่ยง มะแมเอา
โน้ตบุ๊กมาค้นหาชื่อและนามสกุลของอัคระจาก
อินเตอร์เน็ต แต่ค้นไปค้นมาชักงง บุคลิกออกจะ
เหมือนคนสำาคัญ คุมบริษัทที่มีพนักงานเรือนพัน
ขนาดนี้ ไฉนจึงไม่มีเรื่องราวหรือรูปภาพของเขา
ให้เจอเลยแม้แต่ลิงก์เดียว?
เมื่อความวาบหวามค่อยๆแปรเป็นความ
สงสัย มะแมก็นำาจดหมายฉบับเมื่อวานมาอ่านซ้ำา
อีกรอบแบบพินิจพิจารณาละเอียดเป็นคำาๆ

ถ้าจะมีความรัก ระวังการหลงสิ่งล่อตา
ภายนอกให้ดี ข้างในอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็น

หญิงสาวเอนหลังพิงพนัก นาทีนี้ชักระแวง
ขึ้นมารำาไร อัคระอยากรู้เรื่อง "งานใหญ่" ตกลง
มันคืองานอะไรกันแน่ แล้วเหตุใดในยุคที่คน
กวาดถนนยังมีสิทธิ์ปรากฏชื่ออยู่บนอินเตอร์เน็ต
จึงไร้ร่องรอยของ อัคระ เมธานฤบาล แม้แต่
น้อย?
เขาอยู่เบื้องหลังธุรกิจหมื่นล้านแบบไม่ออก
หน้า ไม่ออกชื่อ หรือว่าเขาเป็นคนมีเบื้องหน้า
เบื้องหลัง เปลี่ยนชื่อแซ่ แล้วทำาหน้าตายบอกว่า
พ่อตั้งให้?
นอกจากความรู้สึกต่ออัคระจะเปลี่ยนแปลง
แบบหน้ามือเป็นหลังมือ มุมมองต่อจดหมาย
ลึกลับยังต่างไปอีกด้วย เพราะบางฉบับแฝงนัย
คลุมเครือให้ขบคิดได้หลายแง่เหลือเกิน
ชักทรมานใจขึ้นมาอีกรอบ มีใครคนหนึ่งรู้
ทุกสิ่งเกี่ยวกับหล่อนหมด แต่บอกแนะทีละนิด จะ
ขยักที่เหลือไว้ทำาไมก็ไม่ทราบ ในเมื่อรู้หมดทำาไม
ไม่บอกให้หมด?
ความเป็นคนมีสัมผัสทางจิต กับทั้งเป็นที่
ปรึกษาให้กับผู้คนจำานวนมาก ทำาให้มะแมสำาคัญ
ว่ารู้จักเหตุผลของชีวิตดีหมดแล้ว แต่พอมาเจอ
อะไรแบบนี้เข้า ก็ถึงกับเสียศูนย์ ย้อนกลับไปสู่
ความรู้สึกขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ที่เห็นว่าตนเอง
ไม่รู้อะไรเลย เป็นคนเดินดินที่เต็มไปด้วยข้อ
จำากัด เพดานความสามารถสุดจะเตี้ย เมื่อเทียบ
กับความสูงของท้องฟ้าและความไพศาลของ
มหาจักรวาล
อยากมีโอกาสสื่อสารสองทาง ไม่ใช่รับสาร
ทางเดียวแบบนี้ แต่จะให้ทำาพิธีจุดธูปกราบไหว้
วิงวอนท่าไหน "ท่าน" ถึงจะรับคำาขอจากหล่อน?
เสร็จจากมื้อเที่ยง เรียกหยิมมาเก็บของ
ตนเองเข้าห้องน้ำาแปรงฟัน แต่ขณะแปรงก็ได้ยิน
หยิมส่งเสียงบอก
"อย่าลืมพัสดุนะคะพี่มะแม เห็นประทับตรา
ว่า 'ด่วนมาก' ด้วย"
หญิงสาวส่งเสียงอือออ ความที่ไม่ใส่ใจ
ทำาให้คิดว่าเป็นของส่งมาโฆษณาหรืออะไรเทือก
นั้น แต่พอได้ยินหยิมพูดว่า "ด่วนมาก" ใจหล่อน
ก็แวบไปสัมผัสถึงบางสิ่ง จะอุปาทานหรืออย่างไร
ไม่ทราบ บางสิ่งนั้นแปลได้ความว่า "สำาคัญ
มาก!" หรือ "สำาคัญที่สุด!"
ชักเหนื่อยใจและชินชากับเรื่องสำาคัญขั้นคอ
ขาดบาดตาย แต่จะกลัวอะไร มั่นใจว่าสิ่งที่ทำามา
ตลอดคือการเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้น ถ้าถึงเวลาจะ
ต้องเปลี่ยนแม้เลือดเนื้อและชีวิต ก็ควรจะเป็นไป
ในทางที่ดีขึ้นเช่นกันมิใช่หรือ?
ออกจากห้องน้ำามายืนเท้าเอวดูกล่องขนาด
เท่าฝ่ามือ มันเป็นพัสดุที่ถูกส่งแบบ EMS ป้ายจ่า
หน้าชื่อที่อยู่ทั้งหมดเป็นตัวพิมพ์จากพรินเตอร์
ไม่มีลายมืออยู่เลย
ค่อยๆแกะห่อกระดาษแบบไม่อยากรู้อยาก
เห็นของข้างในเท่าใดนัก
ปรากฏว่าเป็นกล่องสองชั้น ยกแยกออก
จากกันแล้วพบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง
วางติดแท่นกำามะหยี่ สีเงินวาววาม วัสดุที่ใช้
ทำาตัวเครื่องเป็นไทเทเนียม หน้าจอแสดงผล
ขนาด ๒.๔ นิ้ว แต่ออกแบบไว้พิกล เพราะแกะ
จากแท่นมาพลิกดูทั้งเครื่องก็เห็นปุ่มกดแค่สอง
ปุ่ม ปุ่มหนึ่งเอาไว้เปิดปิดการใช้งานที่สันด้านบน
ของเครื่อง ส่วนอีกปุ่มเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดี
ปลายนิ้ว ทำาด้วยทองคำา วางไว้ใต้จอ นอกนั้น
ไม่มีอะไรให้กดอีก แม้หน้าจอก็ไม่ใช่แบบสัมผัส
สั่งงานด้วย
จากวัสดุที่ใช้สร้างโทรศัพท์ ทำาให้คำาผุดขึ้น
ทันทีในหัว คือ ของขวัญล้ำาค่าน่าตื่นตาตื่นใจ แต่
จากรายละเอียดความเป็นอุปกรณ์ใช้งาน แปลได้
สถานเดียวคือเจ้าของโทรศัพท์ส่งมาให้รับสาย
โดยตรง อย่าว่าแต่ให้กดโทร.ออก หล่อนไม่มี
สิทธิ์แม้แต่จะกดวาง!
ยังคงรู้สึกเฉยๆ เนือยๆ พักนี้มีใครบางคน
หรือหลายคนเห็นหล่อนเป็นอะไรก็ไม่ทราบ ให้
สิทธิ์พิเศษแบบจำากัดจำาเขี่ยตามแต่จะโปรด โดย
หล่อนไม่มีทางเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมได้เลย
กดปุ่มที่สันโทรศัพท์ค้างไว้ ๓ วินาที หน้า
จอก็สว่างเรืองขึ้น ตามมาตรฐานการเปิดเครื่อง
มือถือทั่วไป จอนั้นบอกหล่อนว่า "กรุณารอ..."
มะแมก็รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นเป็นอันดับต่อไป
พอคำาว่า "กรุณารอ..." หายไป หน้าจอก็
ปรากฏข้อความ "เชื่อมสัญญาณติด" แล้วอีก
สองวินาทีถัดมาก็ปรากฏข้อความขึ้นเต็มจอแบบ
เดียวกับ SMS ทั่วไป

ยินดีต้อนรับคุณมะแม โทรศัพท์เครื่องนี้เป็น
สิทธิ์เฉพาะของคุณเพียงคนเดียว กรุณาพกติดตัว
ไว้ตลอดเวลา เพื่อประโยชน์ของคุณเอง

มะแมหรี่ตาเล็งแลวัตถุในมืออย่างจะหยั่ง
เจตนาของผู้ให้ สัมผัสแต่ว่านี่คืออุปกรณ์ไฮเทคที่
ทำาได้มากกว่าพูดคุยธรรมดา ไม่รู้เท่านั้นว่าทำา
อะไรได้พิสดารปานไหน จู่ๆจะให้ยอมพกติดตัว
ไปทุกหนทุกแห่ง ก็คงเหมือนเด็กโลภที่ถูกหลอก
ให้กินขนมใส่ยานอนหลับหรือกระทั่งผสมยาพิษ
มันจะง่ายไปหน่อยกระมัง
พินิจไปพินิจมาก็ต้องผงะ เมื่อเสียงกริ๊งยาว
แบบโทรศัพท์โบราณรุ่นสงครามโลกดังขึ้นพร้อม
ระบบสั่น หน้าจอปรากฏข้อความ "กรุณารับ
สาย!" มะแมลังเลแบบหวาดๆอยู่หลายกริ๊ง กว่า
จะยอมกดปุ่มรับ เอียงคอยกเครื่องแนบหู
"สวัสดีค่ะ"
ปลายเสียงของมะแมสั่นพลิ้ว รอฟังเสียง
จากฝ่ายเรียกด้วยจังหวะระทึกของหัวใจ
"สวัสดี"
เป็นเสียงผู้ชาย นุ่มนวล อบอุ่น ฟังแล้ว
สบายใจทันที แต่มะแมก็ยังไม่อยากรีบสบายใจ
เร็วนัก
"ต้องการอะไรจากมะแมคะ?"
"ต้องการให้เธอระวังตัวไว้บ้าง ช่วงนี้ได้รับ
จดหมายสนเท่ห์ ทำานายทายทักไปต่างๆนานาใช่
ไหม?"
หญิงสาวค่อยๆหมุนคอเบนหน้าไปอีกทาง
นัยน์ตาส่องแววฉงนเป็นล้นพ้น
"ทำาไมมะแมต้องระวัง?"
"ไม่คิดบ้างหรือว่าเขามาช่วยเธอทำาไม?
ช่วยแบบไม่เปิดโอกาสให้ถาม ไม่เปิดโอกาสให้
ติดต่อกลับ ทำาตัวเป็นเทวดา บีบให้เธอยอมก้ม
หน้าเชื่อฟังทุกอย่าง"
มะแมอึ้งงงไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่
ฟังเสียงลึกลับตะล่อมต่อ
"คิดดูนะ พอเธอปักใจเชื่อว่าเขาพูดถูกหมด
รู้ดีหมด เห็นอนาคตหมด วันดีคืนดี มีจดหมาย
บงการให้ออกไปทำาเรื่องผิดๆ เธอจะมีสิทธิ์รู้ไหม
มีโอกาสทัดทานไหม? ไม่เลย! เธอจะก้มหน้าก้ม
ตาทำาตามคำาสั่งท่าเดียว โดยคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง
ที่สุดแล้ว ถ้าขัดขืนจะต้องเสียใจในภายหลัง"
หญิงสาวฝืดคอจนแม้อยากกลืนน้ำาลายก็
กลืนไม่ลง นี่หล่อนกำาลังฝันไปหรือเปล่า?
"เธอไม่ได้ฝันไปหรอก!"
เขาพูดเหมือนตอบคำาถามธรรมดา แต่
เหมือนฟ้าผ่าสำาหรับมะแม ตระหนักด้วยความ
ตระหนกจนสันหลังเย็นยะเยือก เขารู้ความคิดที่
อยู่ในหัวของหล่อนสิ้นไส้จากการคุยโทรศัพท์!
"แล้วคุณเป็นใครคะ ทำาไมมะแมต้องเชื่อ
คุณ? มะแมควรคิดว่าคุณเป็น... พวกเดียวกัน
หรือคนเดียวกันกับ... เจ้าของจดหมายที่ส่งมาหา
มะแมด้วยซ้ำา"
"ไม่ใช่หรอกน่า" เขาหัวเราะเอื่อยเฉื่อย
"ถ้ารู้จักคนๆนั้นดีพอ เธอจะรู้ว่าไม่ใช่เทวดาอย่าง
ที่คิด มันก็แค่หัวขโมย ชอบลอกการบ้านคนอื่น
เท่านั้น!"
จะให้พรั่นพรึงอภิญญาน่าอัศจรรย์ของบุรุษ
ลึกลับทางโทรศัพท์เพียงใด อย่างไรมะแมก็ยัง
เคารพ "เทวดา" ของหล่อนอยู่ และนั่นก็มีผลให้
รู้สึกไม่สบอารมณ์นัก ที่ "เขา" หาว่า "ท่าน"
ของหล่อนเป็นหัวขโมย
"ช่วยขยายความหน่อยได้ไหมคะ มะแมจะ
ได้ทราบว่าทำาไมใครถึงควรถูกลบหลู่"
จงใจทำาเสียงแข็ง เพื่อให้ "เขา" รู้ว่าไม่ควร
ล่วงเกินบุคคลที่หล่อนนับถือ สิ่งที่ได้ยินตอบกลับ
มาคือเสียงหัวเราะขำายาว ซึ่งก็น่าจะขำาในท่าที
ปกป้อง "เทวดา" ของหล่อนนั่นเอง
ขำาเสร็จเขาก็พูดตัดบทแบบเสียไม่ได้
"ตอนนี้ฉันยุ่ง มีเวลาไม่มาก แต่อยากบอก
สั้นๆว่าเธอต้องขอบคุณฉัน ไม่ใช่หมอนั่น" แล้วก็
ปรับวิธีพูดเสียใหม่ เหมือนเจ้านายที่เตือนลูกน้อง
อย่างปรานี "ลูกค้าคิวต่อไปของเธอกำาลังจะตาย
ภายในเย็นนี้ ให้อะไรกับเขาไว้เป็นที่พึ่ง เป็น
เสบียงสุดท้ายได้ ก็รีบให้ไว้ซะ อย่ามัวแต่บอกวิธี
เก็บหินเก็บกรวดกับคนที่ไม่รู้ตัวว่ากำาลังจะต้อง
เดินทางไกล"
มะแมเงียบฟัง เสียงแบบนายใหญ่นั้นบอก
ในตัวเอง เขารู้ว่าเขากำาลังพูดอะไร
"แล้วก็ลูกค้าคิวบ่ายสามโมงครึ่งน่ะ มันบ้า
มันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ อย่าคุยกับมันบน
ห้อง ให้ลงมาคุยนอกบ้าน ไม่งั้นมันจะปล้ำาเธอ!"
จบคำาแค่นั้นก็มีเสียงตู๊ดสองหน มะแม
เหยียดแขนจ้องดูหน้าจอแสดงผลในมือถือ ก็พบ
ข้อความ "ตัดสัญญาณแล้ว"
หญิงสาวเดินมานอนกุมขมับ ใครไม่รู้ อยู่ๆ
มาเรียกตัวเองว่า "ฉัน" แทนตัวหล่อนว่า "เธอ"
แล้วก็สั่งๆๆ คล้ายทำากับทุกคนบนโลกแบบ
เดียวกันมานานจนชิน
หล่อนเดินมาตามเส้นทางชีวิตดีๆ จู่ๆล่วง
เข้าเขตไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าทุกอย่างจะไม่เหมือน
เดิมอีกต่อไป ถ้าเลือกที่จะ "รับข้อความ" ทาง
จดหมายและโทรศัพท์ลึกลับทุกวันอย่างนี้

ได้เวลาบ่ายโมงตรง หยิมส่งสัญญาณทาง
อินเตอร์คอมเป็นความหมายว่าลูกค้าคิวบ่ายหนึ่ง
กำาลังจะเข้าไป ซึ่งมะแมก็กดปุ่มเป็นสัญญาณ
ตอบว่าพร้อม
ชายคนหนึ่งเดินเก้ๆกังๆเข้ามา มะแมลุกขึ้น
พนมมือไหว้
"คุณรัฐกรใช่ไหมคะ?"
"ครับ"
หญิงสาวผายมือเชื้อเชิญเขานั่งฝั่งตรงข้าม
โต๊ะ รัฐกรเป็นหนุ่มแว่นเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม ตัว
เหลี่ยม มีพุงนิดหน่อย ท่าทางอารมณ์ดี ยิ้มง่าย
ตลอด แต่จากการฝึกจำาแนกจิตคนมานาน มะแม
บอกได้ว่าในความยิ้มง่ายนี้ เหมือนพร้อมจะ
ร้องไห้ออกมาเมื่อไรก็ได้ด้วยเช่นกัน
ท่าทีเลิ่กลั่กฟ้องว่ารัฐกรตื่นเต้นกับการมา
นั่งอยู่ตรงหน้าหล่อนพอสมควร บางทีมะแมก็เกิด
อัตตาจากการเห็นตัวเองมีอิทธิพลกับจิตใจของ
ลูกค้า หลายคนได้ยินคำาร่ำาลือเกี่ยวกับหล่อนจน
ตัวสั่นเมื่อมานั่งตรงหน้า พวกเขาและเธอตั้ง
ความคาดหวังไว้สูง บางทีถึงขั้นเห็นหล่อนเป็นผู้
วิเศษ หรือผู้ที่จะเสกชีวิตใหม่ให้
แต่เมื่อเจอ "ผู้วิเศษ" ตัวจริง มะแมถึงกับ
จ๋อยลงสนิท เพราะเมื่อเปรียบเทียบแล้ว หล่อนก็
แค่ผู้วิเศษกระจอกๆที่หาได้ไม่ยากนัก หาใช่ผู้
วิเศษระดับพลิกฟ้าพลิกดิน สมควรได้รับการ
บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์แต่อย่างใดไม่
"ผมติดตามคุณมะแมมาตั้งแต่ข่าวแผ่นดิน
ไหว" รัฐกรเริ่มเปิดฉาก "ตัวจริงสวยกว่าในรูป
เยอะเลย"
ชายหนุ่มชมซื่อๆแบบไม่ได้ส่อไปในทางหลี
แต่มะแมก็รีบตัดเข้าประเด็นทันที
"คุณรัฐกรสนใจคุยกับมะแมเรื่องไหนคะ?"
"อ้อ! เอ่อ... คุณมะแมครับ ผมกำาลังลงทุน
เปิดร้านของตัวเองอยู่ เอ่อ... บอกตรงๆนะครับ
ว่าไม่ค่อยมั่นใจนัก เอ่อ... แต่ผมก็ลาออกจาก
งานแล้วล่ะ ผมจองคิวมาพบคุณมะแมตั้งแต่สอง
เดือนก่อน ตอนนั้นยังไม่ได้ลาออก อ้อ! ร้านผมก็
ใช้ได้นะ อยากรู้ว่าจะรวยไหม? เสียวๆเหมือน
กัน"
สัมผัสแรกที่รับรู้ คือรัฐกรเป็นผู้ชายซื่อๆ
มองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยโลภ ไม่ค่อยฉลาดค้าขาย
แล้วก็ไม่ค่อยจะทันคน คุณสมบัติเช่นนั้นเมื่อ
กระทบใจมะแม ก็แปรเป็นภาพนิมิตตามทิศทาง
คำาถามของเขาทันที กำาไรพอใช้ แต่จะโดนโกง
แล้วญาติสนิทมิตรสหายก็มาตอมขอแบ่งกิน คำา
ว่า "รวย" ในความหมายเหลือกินเหลือใช้สบาย
ไปทั้งชาตินั้น คงยาก
แต่หล่อนสนใจนิมิตที่ผุดแทรกขึ้นมาระ
หว่างเห็นรัฐกรโดนเอารัดเอาเปรียบ เหมือนชีวิต
เขามีปลิงดูดเลือดเกาะติดมาแต่ไหนแต่ไร มะแม
รู้สึกเหมือนเป็นอะไรที่สกปรกและต่ำา จึงอยาก
ออกหวยตรงนั้นก่อน
"ชีวิตของคุณรัฐกรจะไปไม่ถึงไหนเสียที ถ้า
ตัดใจจากผู้หญิงหากินคนนั้นไม่ได้"
มะแมเลือกใช้เสียงเป็นงานเป็นการราวกับ
การประชุมธุรกิจ ที่หล่อนถึงเวลาแจกแจงข้อผิด
พลาด และเร่งเสนอเพื่อพิจารณาแก้ไขด่วน
"เอ๋อ?"
รัฐกรชะงัก หุบยิ้มแบบไม่คาดฝัน เพราะ
ถามอย่างตอบอย่างไม่พอ มะแมยังปักฉึกลงตรง
ขั้วหัวใจอีกด้วย!
"คนใจดี ยอมให้ใครต่อใครเอารัดเอา
เปรียบอย่างคุณรัฐกรนั้น ข้อดีคือมีชีวิตที่น่า
สบายใจ แต่ข้อเสียคือจะต้องช้ำาใจสลับกันไปไม่
เลิก"
ชายหนุ่มกระเดือกน้ำาลายแทบไม่ลง จ้อง
หญิงสาวตรงหน้าราวกับฟังแพทย์วินิจฉัยว่าเขา
เป็นมะเร็ง
มะแมไม่เว้นวรรค ร่ายต่อเนื่องเมื่อไม่เห็น
เขาโต้แย้ง
"คนบางคนน่าสงสาร แต่เมื่อช่วยแล้วก็
ควรจะเลิกสงสาร ไม่อย่างนั้นเขาอาจเปลี่ยนไป
เป็นอีกคนที่ไม่น่าสงสาร และถึงเวลานั้นคุณกลับ
จะต้องเป็นฝ่ายสงสารตัวเอง"
รัฐกรซึมลง สายตาหลบต่ำาลงมองพื้นโต๊ะ
ไม่ปฏิเสธสักคำา
"ความรู้ความสามารถของคุณรัฐกรนั้นดี
คนรู้จักฝีมือเยอะ ที่สำาคัญคือพวกเขาไว้เนื้อเชื่อ
ใจ เชื่อมั่นว่าคุณรัฐกรบริการเต็มที่ เสมอต้น
เสมอปลายทั้งก่อนขายและหลังขาย แต่พวกที่รู้
จุดอ่อนของคุณรัฐกรก็มาก คนพวกนั้นไม่สนใจ
ความดี แล้วเขาก็ไม่ละอายถ้าจะต้องโกงคนดี
หรือกระทั่งลากคนดีมาเป็นแพะบูชายัญ คำา
แนะนำาแรกจากมะแม คือ อย่าไว้ใจทาง อย่า
วางใจคน!"
"ถึงแม้จะเป็นคนที่เรารักใช่ไหม?"
"ชีวิตของหลายคนไม่ได้อับปางเพราะคนที่
ประกาศว่าเป็นศัตรู แต่ด้วยน้ำามือคนที่เคยย้ำา
แล้วย้ำาอีกว่ารักเรา จะยืนอยู่ข้างเราตลอดไป"
โดยไม่คาดฝัน รัฐกรคว่ำาหน้าลงร้องไห้
สะอึกสะอื้นอย่างไม่อาย มะแมอึ้งไป จิตของ
หล่อนเลือกถ้อยคำาโดยบางทีไม่ทราบราย
ละเอียดข้อเท็จจริงใดๆด้วยซ้ำา เดาว่าคำาสุดท้าย
คงกระทบใจเขาอย่างรุนแรง
มองอย่างสงสาร รู้สึกว่าเขาคือผู้ชายดีๆคน
หนึ่ง แต่โลกนี้ก็ช่างเต็มไปด้วยผู้หญิงเลวๆที่
พร้อมจะเห็นความดีเป็นเรื่องของควายตัวผู้...
มะแมผลักกล่องทิชชูไปให้ หล่อนเตรียม
เผื่อไว้หลายกล่องเนื่องจากต้องใช้บ่อย ไม่นึกว่า
จะเข้าแจ็คพอตตั้งแต่ดอกแรก แต่นั่นทำาให้ง่าย
ขึ้น เพราะอาศัยความสะเทือนจากกายและจิต
ของรัฐกรขณะนั้น นิมิตสว่างพราวก็ตามมาเป็น
พรวน
"ตัดใจปล่อยเธอคนนั้นไปเถอะ เธอไม่ได้
น่าสงสารอย่างที่ทำาท่าทำาทางปวกเปียกให้คุณดู
พอลับหลังก็แปลงร่างเป็นนางแมวที่กระโจน
พล่านไปหาคนโน้นคนนี้ ขนาดคุณเคยจับพิรุธได้
จากร่องรอยบางอย่าง ยังทำาเป็นหรี่ตาข้างหนึ่ง
หรือไม่ก็แกล้งปิดมันทั้งสองข้างเสียอย่างนั้น ใช่
ไหม?"
เชื่อสัมผัสของตนเองว่า นี่เป็นน็อตตัวแรกที่
ควรคลายเกลียวออกจากใจเขา และเมื่อพูดเสร็จ
นิมิตใหม่ก็ผุดขึ้นรองรับ
"จิตใจคุณห่วงแต่เธอ จนต้องทะเลาะกับพ่อ
แม่พี่น้อง ไม่เข้าใจกัน มองหน้ากับบางคนไม่ติด
ยากจะอภัยในระหว่างครอบครัวก็เพราะเธอ แถม
คุณอุตส่าห์ยอมเหนื่อย ยอมเสี่ยงหมดตัว ลงทุน
ทำาธุรกิจเอง ก็เพราะทนเธอตื๊อขอบ้าน ขอรถ ขอ
ไปเที่ยวแพงๆไม่ได้ ขืนเป็นลูกจ้างแบบเดิมก็คง
สนองความอยากของเธอไม่ไหว ทุกวันนี้ก็ใช้จ่าย
แบบเกือบชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว"
"ผมทิ้งเธอไม่ได้..."
สุ้มเสียงอ่อนแอนั้น ทำาให้มะแมชะงักชั่วครู่
ทาสรักตรงหน้าดูซมซานเหมือนอยากได้คำา
ปลอบประโลมดีๆ แต่หล่อนกำาลังเครื่องร้อน แล้ว
ก็เห็นว่าปล่อยไว้ไม่ได้ จึงเดินหน้าตอกหัวหมุดย้ำา
ลงไปอีก
"มะแมรู้ คุณสงสารเธอ เห็นเธอเป็นลูกแมว
หลงทางที่พร้อมจะอดตายอยู่ข้างถนน คุณเห็น
เป็นภาระของตัวเองที่ต้องเก็บมาประคบประหงม
แต่ความจริงคือคุณไม่เคยรู้เลยว่าลูกแมวตัวนั้น
มันแมวป่า เต็มไปด้วยคมเขี้ยว แล้วก็แอบฝัง
เขี้ยวไว้ตอนคุณเผลอหลับหลายแผลแล้ว ตื่นขึ้น
มาก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเสียด้วยว่าแผลมาจากไหน"
หญิงสาวหยุดดูท่าที เตรียมไว้ล่วงหน้าว่า
ถ้าเขาสบตาแสดงความโกรธ หล่อนจะต้องพูด
เช่นใด แต่รัฐกรก็ยังคงก้มหน้าก้มตา อาการ
สะอื้นขาดหายไป กลายเป็นก้มหน้านิ่งรับฟังฝ่าย
เดียว
"คุณไม่จำาเป็นต้องทิ้งเธอ มะแมก็ไม่ใช่คน
ใจร้าย แต่อยากบอกว่าเพื่อที่จะไม่ใจร้ายกับผู้
หญิงคนเดียว คุณก็อย่าเผลอใจร้ายกับพ่อแม่พี่
น้องอีกเลย หันกลับไปพูดคุยกับพวกเขาบ้าง
เถอะ จะโดนเหน็บ โดนตอกหน้าอย่างไร ก็ขอให้
ถือว่านั่นคือความน้อยใจที่อัดอั้นมานานของ
คนในบ้าน ไม่ใช่การกระโดดขึ้นขี่คอเพราะเห็น
โอกาสสบช่องอย่างคนนอกบ้าน!"
มะแมพูดนิ่ม แต่เลือกคำาบาดโสต เพื่อลอง
ชกจังๆว่าเขาพร้อมจะรับฟังประโยคแรงกว่านั้น
ได้ไหม เมื่อเห็นปฏิกิริยาทางใจของรัฐกรยังเป็น
ซึมเฉื่อยอยู่เหมือนเดิม ก็รุกฆาตทันที
"เป็นโรคหัวใจใช่ไหม? คุณจะอยู่ได้อีกไม่
นานนะ"
รัฐกรสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลง เงยหน้าขึ้น
จ้องมะแมและร้อง
"ฮ้า?"
"อายุคุณยังน้อย แต่เมื่อกี๊มะแมสัมผัส
สภาพร่างกายของคุณไปด้วย รู้สึกถึงความ
อ่อนแอและเปราะบางกลางอก เลยเดาว่าคุณเป็น
พวกหัวใจผิดปกติมาตั้งแต่เด็กๆ น่าจะประมาณ
ลิ้นหัวใจรั่วหรืออะไรเทือกนั้น แม้เคยผ่าตัดแล้วก็
ยังไม่ปกติสมบูรณ์"
ชายหนุ่มหน้าซีด เขาแค่ไม่เคยได้ยินหมอ
คนไหนบอกว่ากำาลังจะไปเร็วๆนี้ มีแต่บอกว่า
รักษาตัวดีๆ อนามัยมากๆ ก็อยู่ไปเรื่อยๆทั้งนั้น
"แล้วผมจะไปเมื่อไหร่?"
มะแมกะพริบตาถี่ๆ ปกติเมื่อเกิดคำาถาม
กระทบหู ถ้าหล่อนจะรู้ก็รู้เดี๋ยวนั้น อาจมาในรูป
ของน้ำาหนักความรู้สึกใช่ ไม่ใช่ ดี ไม่ดี หรือเป็น
นิมิตภาพแสดงแจ่มแจ้งไปเลย
ทว่าวินาทีนั้น ทุกอย่างเงียบเชียบ ไม่สัมผัส
ไม่เห็นนิมิต ไม่มีเครื่องหมายใดๆเกิดขึ้นทางจิต
แม้แต่น้อย เล็งดูหัวใจของเขาอย่างไร ก็ไม่
ปรากฏนิมิตหยุดทำางานด้วยอาการรวนแบบใด
ในเร็วๆนี้เลย จึงเพิ่งทราบว่าตนขาดความ
สามารถในการเห็นนิมิตมรณะของผู้คน และเมื่อ
ไม่เห็น หล่อนก็ตอบได้เต็มปากเต็มคำาว่า
"ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่คุณรัฐกรย่อมทราบ
อยู่ด้วยตนเองว่าชีวิตของคุณไม่ควรตั้งอยู่บน
ความประมาท โจทย์สำาคัญของชีวิตจึงควรเป็น
'เอายังไงดี?' ไม่ใช่ 'เมื่อไหร่แน่หนอ?' ถ้าตั้ง
โจทย์ถูก คุณจะได้สบายใจ ไม่ว่าจะเหลืออีกกี่ปี
กี่เดือน หรือ... อีกกี่ชั่วโมง"
"สิ่งที่ผมควรทำาก่อนตายมีอะไรบ้าง?"
"เห็นใจคนที่ควรเห็นใจ ขอโทษคนที่ควร
ขอโทษ คืนดีกับคนที่ควรคืนดี อย่าช่วยคนทั้ง
น้ำาตา อย่ายกทั้งชีวิตให้กับเขา อย่ากระโดดลง
ไปเป็นห่วงยางให้ใครทั้งที่ตัวเองยังว่ายน้ำาไม่แข็ง
พอ สรุปคือ... หัดยืนช่วยอยู่บนฝั่งให้เป็น ถ้าช่วย
คนที่ตกทุกข์ แล้วคุณมีความสุขไม่ได้ ก็ให้ช่วย
เหลือตัวเองจนกว่าจะเป็นสุขก่อน ไม่อย่างนั้นก็
แปลว่าคุณยังไม่ได้ช่วยใครจริงเลย!"
รัฐกรพยักหน้ารับ
"ผมเข้าใจแล้วครับ มีอะไรแนะเพิ่มเติม
ไหม?"
มะแมพินิจชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามครู่หนึ่ง แล้ว
เหมือนหมดแรง ใจลอยหายไปเฉยๆ นี่หล่อน
กำาลังมองร่างมนุษย์ในท่านั่ง ที่กำาลังจะกลายเป็น
ศพในท่านอน ไม่ต่างอะไรกับขอนไม้ภายในเย็นนี้
กระนั้นหรือ?
ถ้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่พอรู้ขึ้นมา ภาพ
เคลื่อนไหวตรงหน้าก็ดูแปลกๆ เหมือนฉากหลอก
ตา เป็นมายาชั่วคราวอย่างไรชอบกล
"ช่วงหลังๆนี้ คุณรัฐกรอาจแวบถามตัวเอ
งบ่อยๆว่า เพื่อแลกกับการได้ผู้หญิงคนนั้นไว้ คุณ
ต้องเสียอะไรไปบ้าง ในแง่ของการสูญเสีย มะแม
อยากให้คิดว่า เกิดมาพวกเราไม่เคยมีอะไรจริง
อยู่แล้ว ที่เคยเสียมาทั้งหมดมีสองอย่าง คือ
'เสียดาย' กับ 'เสียใจ' เท่านั้นเอง"
รัฐกรนิ่งในแบบสงบและเข้าใจ หลายคำาพูด
ของผู้หญิงตรงหน้าช่วยให้เขาคลายใจ และระงับ
เสียงทะเลาะกับตัวเองที่มีมาอย่างยืดเยื้อ
ยาวนานลงได้
ที่ปรึกษาพลังจิตให้เวลาที่เหลือไปกับการ
ตอบคำาถามแรกของรัฐกร เกี่ยวกับธุรกิจการค้า
การขาย ซึ่งเป็นอันครบถ้วนตามหน้าที่ ก่อนทิ้ง
ท้ายเมื่อใกล้บ่ายครึ่ง
"มะแมฝากไว้ข้อหนึ่งเป็นกรณีพิเศษได้ไหม
คะ?"
"ครับ! ผมจะตั้งใจฟัง ว่ามาเลย"
"ออกกำาลังบ้าง พักผ่อนบ้าง เที่ยวเล่นบ้าง
หัวเราะบ้าง ใส่ใจพ่อแม่พี่น้องบ้าง อย่าแลกเอา
เงินไร้หัวใจมา ด้วยการทิ้งเวลาในชีวิตไปจน
หมด"
รัฐกรหัวเราะเนือยๆอย่างเข้าใจ
"ขอบคุณครับ ช่วงหลังๆผมอาจวุ่นกับร้าน
เปิดใหม่จนสุขภาพเริ่มแย่โดยไม่รู้ตัว ผมเองก็ไม่
อยากแลกเอาสิ่งที่ไม่มีหัวใจมาเก็บไว้เฉยๆ
เหมือนกัน"
มะแมแทบต้องกัดลิ้นห้ามใจไม่ให้เผยความ
ลับที่อ่อนไหวออกไปทั้งหมด ได้แต่ปิดฉาก
สนทนาด้วยประโยคคล้ายรำาพึงลอยๆ
"มะแมไปโรงพยาบาล เคยเห็นคนกำาลังจะ
ตายมาหลายคน พวกเขารู้สึกชัดว่าตัวเองไม่
เหลืออะไรเลย นอกจากความทรงจำาว่าทำาอะไร
มาบ้าง"
"นั่นสินะครับ เขาถึงว่าคนเรายิ่งใกล้ตาย ก็
ยิ่งเข้าใจชีวิตดีขึ้น... งั้นผมไปก่อนนะครับ หมด
เวลาแล้ว"
หญิงสาวใจหาย คำาสุดท้ายของรัฐกรยิ่งย้ำา
ให้สัมผัสว่าหล่อนจะไม่ได้เห็นเขาทั้งยังมีลม
หายใจอีก
"นี่ครับ"
เขายื่นเงินค่าปรึกษาให้ มะแมสั่นศีรษะ
"ไม่ต้องให้หรอกค่ะ"
ถ้าเขาจะตายจริง หล่อนก็ไม่อยากได้เงิน
ของเขาเลย เงินของคนก่อนตายน่าจะเอาไป
ทำาบุญเป็นที่พึ่งให้ตนเองมากกว่า
"ทำาไมล่ะครับ?"
"คุณรัฐกรประทับใจคำาปรึกษาของมะแม
ไหมคะ?"
รัฐกรขมวดคิ้วย่น
"แน่นอนสิครับ ผมได้อะไรเกินกว่าที่
ต้องการไปมาก ไม่ทราบจะบอกเป็นความรู้สึก
ขอบคุณอย่างไรถูกด้วยซ้ำา"
"ถ้ามะแมจะขอความช่วยเหลือจากคุณรัฐ
กรสักครั้งเป็นค่าตอบแทน จะรังเกียจไหม?"
"ด้วยความยินดี ว่ามาเลย"
"มะแมไม่ได้ทำาบุญบ่อยเหมือนเมื่อก่อน
เพราะคิวลูกค้าแน่นมาก อยากไหว้วานให้คุณรัฐ
กรนำาเงินค่าปรึกษานี้ ไปทำาบุญที่ไหนก็ได้ เป็น
ปล่อยปลา เลี้ยงเด็กหรือคนชราตามสถาน
สงเคราะห์ หรือจะเป็นทำาสังฆทานอย่างไร ตาม
แต่ใจของคุณรัฐกร ขออย่างนี้รบกวนเกินไป
ไหม?"
สายตาของรัฐกรเปลี่ยนจากหมอกมัวแห่ง
ความสงสัยเป็นประกายเข้มจัด ไม่ต้องมีสัมผัส
พิเศษก็รู้ว่าเขาตั้งใจจริงแน่
"ครับ! ออกจากที่นี่ ผมจะตรงดิ่งไปทำาบุญ
เท่าที่นึกออกทันที และจะเพิ่มเป็นสามเท่าของค่า
ปรึกษาด้วย!"
มะแมรู้สึกโล่งไปถึงไหนต่อไหน ปรีดา
ปราโมทย์กว่าได้ค่าปรึกษาร้อยครั้งรวมกันเสีย
อีก กระทั่งมีแก่ใจพนมมืออ่อนช้อย
"ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ"
รัฐกรเดินออกไป คิวบ่ายครึ่งก็สวนเข้ามา
ทันที เป็นคิวง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนหรือน่า
หนักอก ตามด้วยคิวบ่ายสองและบ่ายสองครึ่ง
เป็นเรื่องผัวๆเมียๆทั้งสองคิว
บ่ายสามตรงเป็นช่วงว่าง ไม่มีนัดใดๆ หา
ใช่การเบี้ยวหรือเกิดเหตุติดขัดของลูกค้า นานทีปี
หนจะมีอย่างนี้สักครั้ง มะแมถือเป็นช่วงผ่อน
คลายไม่ต่างจากวันหยุดทีเดียว
นอนเอกเขนกฟังเพลง อดเก็บเรื่องของรัฐ
กรมาครุ่นคิดไม่ได้ หล่อนทราบจากสัมผัสว่า
หัวใจของเขาไม่ดี มีสิทธิ์รวน แต่ส่งความรู้สึกซ้ำา
เข้าไปกี่รอบก็ไม่เห็นว่ามันจะหยุดทำางานภายใน
เย็นย่ำาหรือค่ำาคืนนี้ที่ตรงไหน
แต่ความแม่นยำาของจดหมายลึกลับ ก็
กลายเป็นเครดิตให้โทรศัพท์ลึกลับไปโดยปริยาย
ทั้งคู่มาเหมือนกัน คือปิดบังตัวตนผู้ส่งข้อมูล ให้
แต่ข้อมูลโดยไม่เปิดโอกาสให้ซักถามรายละเอียด
ใดๆ แถมสื่อสารด้วยมาดของคนที่รู้ดีกว่าหล่อน
ไปทุกเรื่อง ฉะนั้น ผลลัพธ์ของคำาทำานายอนาคต
ระยะใกล้ ก็ไม่น่าจะหนีกันเท่าไร
และเพราะเห็นแนวโน้มเช่นนั้น มะแมจึงตื่น
ตัวกว่าปกติเมื่อใกล้ถึงคิวบ่ายสามโมงครึ่ง
หล่อนตัดสินใจเดินเปิดประตูออกจากห้อง ก้าว
จากชั้นสองลงมาชั้นหนึ่ง เข้าสู่ห้องรับแขกซึ่งจัด
ไว้ต้อนรับลูกค้าที่มารอคิวโดยเฉพาะ
เมื่อเห็นห้องรับแขกว่างเปล่า ก็หันไปถาม
หยิมซึ่งนั่งคีย์ข้อมูลรับนัดง่วนอยู่กับโต๊ะทำางาน
"คิวบ่ายสามครึ่งยังไม่มาเหรอ?"
"ยังค่ะ" เด็กสาวผมสั้นหันมาตอบ "อาจจะ
เพิ่งออกจากบ้าน ให้โทร.ตามไหมคะ?"
"ไม่ต้อง" แล้วก็ตกลงเลือกสถานที่ตามการ
แนะนำาของโทรศัพท์ลึกลับ "เดี๋ยวพี่จะไปนั่งรอ
ข้างนอก และคุยกับเขาที่ม้าหินหน้าบ้านเลยก็
แล้วกัน พอเขามาหยิมก็ช่วยเอาน้ำาออกไป
ต้อนรับที่นั่นเถอะนะ"
โฮมออฟฟิศของหล่อนเป็นแบบมีพื้นที่ให้
เข้ามาจอดรถคันหนึ่ง กับเหลือเศษให้ตั้งโต๊ะหิน
เล็กๆกับพุ่มไม้โตๆได้หนึ่งกระถาง พอจะมีความ
ร่มรื่นอยู่บ้าง
"เอ๋! ข้างบนมีอะไรผิดปกติหรือคะ?"
"ข้างบนไม่ผิดปกติ แต่คนที่กำาลังมาอาจจะ
ผิดปกติ"
"หู! เดี๋ยวนี้พี่มะแมสัมผัสได้ก่อนเห็นตัว
หรือ?"
"ยังไม่เก่งขนาดนั้น" มะแมตอบยิ้มๆ
"แบบว่ามีพรายกระซิบน่ะ ขอพิสูจน์ดูหน่อยว่า
เชื่อได้แค่ไหน"
หยิมหัวเราะแล้วยิ้มให้แบบขุนพลอยพยักที่
ฟังไม่รู้เรื่อง นายว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามนายท่า
เดียว
๑๕:๒๒ รถโตโยต้าอัลติสคันหนึ่งเคลื่อนมา
จอดเทียบประตูรั้วซึ่งเลื่อนเปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง ผู้ลง
มาคือชายร่างใหญ่ ข้อลำาล่ำาสันบึกบึน เขายังไม่
เห็นมะแมซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะหิน มะแมจึงเป็นฝ่าย
จับจ้องพินิจได้เต็มตาชั่วครู่สั้นๆ
อันเนื่องจากได้ "ทิศทางในการส่องสำารวจ"
ไว้ก่อนจากพรายกระซิบทางโทรศัพท์ ทันทีที่
สัมผัสความเป็นเขา มะแมก็เชื่ออย่างหมดข้อ
กังขา ผู้ชายคนนั้นมีจิตพลุ่งพล่านกระสับกระส่าย
กระสันอยากแบบพวกมีความอดกลั้นทางเพศต่ำา
รสนิยมป่าเถื่อน
สาวพลังจิตอ่านทะลุ เห็นไปถึงว่านั่น
เป็นการสั่งสมแรงดันมาจากความหมกมุ่นจ้องรูป
และดูคลิปวิปริตลามกจนจิตผิดปกติ
ประเมินจากสัมผัส จิตของเขาเสียหายยับ
เยิน ซ่อมยาก ลำาบากแน่ถ้าจะหว่านล้อมหรือคุย
เหตุคุยผลกันดีๆ นิมิตปรากฏออกมาเป็นฉากๆ
เขาพยายามไประบายความเก็บกดอัดอั้นกับ
หญิงบริการ แต่มันไม่ได้ผล เพราะจินตนาการอัน
สุดเดชมันเลยไกลเกินกว่านั้นเยอะ
เขาไม่รู้สึกรู้สากับบทอัศจรรย์ธรรมดา จะ
เกิดอารมณ์ต้องได้รังแก จะให้สนุกต้องใช้กำาลัง
จะเมามันต้องเห็นการหลบหนีเอาตัวรอดหรือ
ดิ้นรนปฏิเสธ แล้วเป้าหมายก็ไม่ควรเป็นสาว
สาธารณะ เขาชอบการพูดจารุกรานให้ผู้หญิงดีๆ
กลัว ชอบการข่มขู่ให้สาวสวยๆหวีด ทำาได้ถึงจะ
กระตุ้นอารมณ์เพศให้คุโชนขึ้นเป็นไฟลุก!
ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ คนพวกนี้ก็ลงเอย
เป็นอาชญากรทางเพศ เป็นเหตุแห่งมหา
โศกนาฏกรรมของสังคม และอาจเป็นฆาตกรต่อ
เนื่องที่ทำาความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ตำารวจทั่ว
โลกมาทุกยุคทุกสมัย
โดยส่วนลึก ธรรมชาติแบบเพศชายจะเห็น
การบังคับขืนใจเป็นความบันเทิงที่เร้าใจ เพียงแต่
มนุษยธรรมจะครอบงำาสัญชาตญาณดิบๆชนิดนั้น
ไว้ ไม่ลงมือกระทำากับผู้หญิงแปลกหน้า เพราะมัน
คือการทำาร้ายร่างกาย คือการปล้นชิง และคือ
การลงไปเทียบชั้นกับสัตว์
ชายผู้สำาราญกับเซ็กส์ป่าเถื่อนหลายคน
สามารถปลดปล่อยกับภรรยาหรือหญิงบริการที่มี
ความสุขกับการเป็นฝ่ายถูกกระทำา โลกเลยไม่
ปรากฏข่าวเลวร้ายออกมามากเกินจะทนรับ แต่
ความบันเทิงชั้นใต้ดินในปัจจุบัน มีอิทธิพลโน้ม
น้าวให้กล้าทำาเรื่องล้ำาเส้นศีลธรรมมากขึ้น คน
เถื่อนทั้งหลายจึงปรากฏตัวเป็นข่าวมากขึ้นเป็น
เงาตามตัว
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย มะแมเคยทำาวิจัย
ทางจิตวิทยา พบว่าจริงๆแล้วสื่อลามกเป็นดาบส
องคม คมด้านดีคือมีส่วนปลดปล่อยความคิด
ระยำาตำาบอนออกไปได้มาก ถ้าดูและระบาย
ออกแบบไม่ติดภาพเสียงออกมาปนเปื้อนกับโลก
ความจริง ก็จะรู้สึกพอแล้วกับอารมณ์ดิบในที่ลับ
แต่คมด้านร้ายนั้นน่ากลัว เพราะมันมีสิทธิ์
กระตุ้นสัญชาตญาณดิบให้อยากทำาในสิ่งที่ไม่เคย
เป็นความคิดในหัวมาก่อน เพียงได้เห็นภาพชี้นำา
แรงๆหลายครั้งเข้า ก็เหมือนถูกผีสิงให้อยากทำา
ตามเกินห้ามใจ
พวกเสพติดหนังประเภทนี้ อาจจะหนึ่งใน
ร้อยหรือหนึ่งในพัน ที่ดูบ่อยและคิดอยากเอาจริง
พอรวบรวมความกล้าทุกวัน เป็นอาทิตย์ เป็น
เดือน เป็นปี ถึงวันหนึ่ง พวกเขาจะเห็นผู้หญิงใน
โลกความจริงเหมือนวัตถุไร้ชีวิต เห็นเสียงร้อง
และอาการดิ้นหนีเป็นรางวัลที่น่าพิสมัยสำาหรับคน
ใจถึง เหมือนมีหมวกกามแห่งเดรัจฉานครอบหัว
ไม่ให้เห็นผู้หญิงเป็นมนุษย์ และกระทั่งลืมด้วยซ้ำา
ว่าตัวเองเป็นมนุษย์!
กับลูกค้าคนนี้ หล่อนสัมผัสว่าเขาเพิ่งผ่าน
ฝันร้ายบางอย่างมา เศษของฝันร้ายเหมือน
ฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นระยะในหัว อีกทั้งกลาง
อกก็มีความอัดอั้นทรมานแบบคนพยายามห้าม
ใจตนเอง แสดงให้เห็นว่าเขาคนนี้คงมาหาหล่อน
ด้วยความตั้งใจดี อยากปรึกษาหาทางออก ไม่ใช่
แลกหัวใจกับปีศาจสำาเร็จไปแล้ว
สัมผัสรู้สึกว่าเขาเคยพบจิตแพทย์มาก่อน
ประมาณไปพบเพื่อปรึกษาปัญหานกเขาไม่ขัน
แต่จิตแพทย์ก็ไม่ทราบจะให้คำาแนะนำาอย่างไร ใน
เมื่อเขาเผยไม่หมด ไม่ยอมเล่าว่าเขาเสพติดอะไร
นกเขาจะขันต่อเมื่ออยู่ภายใต้สภาวการณ์แบบ
ไหน
ข้อจำากัดของการบำาบัดจิตอยู่ที่ตรงนี้ หาก
จิตแพทย์หลอกล่อให้คนไข้พูดแบบถึงกึ๋นไม่ได้
คนไข้รู้สึกอายเสียก่อน หรือกลัวถูกตราหน้าว่า
เป็นคนบาปคนเลว ปมปัญหาก็ถูกฝังค้าง เหมือน
การเล่นซ่อนหาที่มีซอกหลืบให้กบดานเป็นพันๆ
ช่อง ถ้าตั้งใจซ่อนจริงๆก็ไม่มีทางที่ใครจะค้นได้
พบ
มะแมเผยอปากเล็กน้อยก่อนหุบลงสนิท
รู้สึกถึงริมฝีปากอ่อนนุ่มได้รูปสวยในกรอบหน้า
รูปไข่ของตน ชัดยิ่งกว่าชัดว่าเรือนกายของหล่อน
เป็นเป้าล่ออย่างจัง เพราะตรงสเปกของเขาทุก
อย่าง ทั้งสะสวยยวนตายวนใจ ทั้งดูดีมีค่า จึงไม่
น่าสงสัย หลังจากคุยกันสองต่อสองในเรื่องปม
ปัญหาทางเพศ เขาต้องหน้ามืด หมดความยับยั้ง
ชั่งใจ เหมือนยักษ์มารเข้าสิง กดสำานึกผิดชอบชั่ว
ดีไว้อย่างสิ้นเชิง
นึกขอบคุณ "เทวดาทางโทรศัพท์" ที่เตือน
หล่อนไว้ก่อน หล่อนโดนทำาร้ายแน่ๆ และจะไม่มี
ทางสู้ด้วย นายคนนี้เป็นพวกนักกล้าม และถ้าดู
ไม่ผิดคงเก่งหมัดมวย ว่องไวปราดเปรียว ขนาด
ผู้ชายตัวโตๆด้วยกันอาจจะโดนชกคว่ำาโดยปิด
ป้องไม่ทัน แล้วหล่อนที่แบบบางเหมือนลูกไก่เล่า
มันจะไปเหลือหรือ ในเวลาที่มโนธรรมของเขาฉีก
ขาด?
เมื่อขอบคุณท่านหนึ่ง ก็อดนึกตัดพ้ออีก
ท่านหนึ่งไม่ได้ เหตุใด "เทวดาทางจดหมาย" จึง
ไม่เตือนภัยร้ายแรงขนาดนี้เลย เอาแต่เตือนให้
"ระวังเสียงทางโทรศัพท์" ซึ่งมีบุญคุณต่อหล่อน
ทันทีทันใดอย่างนี้
"เชิญค่ะ คุณพลุใช่ไหมคะ?"
นายกามวิปริตหันขวับ เขายิ้มกว้างขวาง
เมื่อเห็นหล่อน มะแมเกือบยกมือไหว้ไม่ลง แต่ก็
ถือเป็นธรรมเนียมที่ดีของคนอายุน้อยกว่า
"ครับ! นั่นคุณมะแมเหรอ?"
พลุรับไหว้ น้ำาเสียงของเขาบอกความเป็น
คนร่าเริง แต่ขณะเดียวกันหางเสียงก็กระแทก
ห้วนอยู่ในที แสดงถึงความเป็นคนมุทะลุ ใจร้อน
เป็นได้ทั้งคนดีและคนเลวตามแต่ลมเพลมพัด
เมื่อสภาพจิตใจยังปกติและอยู่นอกตัว
อาคารเช่นนี้ เขาไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ขณะนั้น
หยิมนำาน้ำาออกมาต้อนรับ และมะแมก็ผายมือเชื้อ
เชิญ
"นั่งกันที่นี่นะคะ"
อันเนื่องจากไม่เคยมา และไม่ทราบวิธี
ต้อนรับแขกของมะแมมาก่อน พลุจึงเข้ามานั่งที่
โต๊ะหินโดยดี และนึกว่าด้านในคงแอร์เสีย ไฟฟ้า
ขัดข้อง หรือติดขัดปัญหาเฉพาะหน้าอะไร
เมื่อมะแมตรวจซ้ำาจนแน่ใจว่าอาการหื่นของ
เขาจะไม่กำาเริบในสภาพแวดล้อมแบบนี้แน่แล้ว ก็
สบายใจ สามารถทำางานได้เต็มศักยภาพโดยไม่
ต้องระแวงระวัง หล่อนประมวลวิธี "จัดการ" กับ
เขาในพริบตา และพบว่าถ้าจู่โจมทีเผลอให้ตรง
จุด โดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว เขาน่าจะถูกน็อกไม่
ยาก
พอหยิมเดินจากไป และเมื่อพลุอ้าปากจะยิง
คำาถาม มะแมก็ชิงตัดหน้า ลั่นหมัดตรงเข้าลิ้นปี่
ทันที ไม่มีการแย็บ ไม่มีการเตะชิมลางใดๆทั้งสิ้น
"ถ้ายังขืนห้ามใจไม่ได้ หนังโป๊วิตถารพวก
นั้นจะทำาให้คุณต้องกลายเป็นฆาตกรข่มขืนเร็วๆนี้
คำาแนะนำาที่ดีที่สุดคือกลับไปเผาพวกมันทิ้งซะ
แล้วอย่าซื้อมาอีก อย่างมากยอมให้ตัวเอง
ดาวน์โหลดรูปโป๊ทั่วไปมาระบายความเก็บกดก็
เกินพอแล้ว!"
พลุอ้าปากหวอเหมือนถูกผีหลอก สายตา
ฟ้องว่าช็อคจริง เหมือนนักมวยที่ขึ้นเวทีไม่ทันไร
ก็โดนคู่ต่อสู้พุ่งมาตวงยุ้งข้าวตัวงอ
"ของพวกนั้นเหมือนมนต์สาป มันขลังพอจะ
สะกดให้เรายอมขายวิญญาณ ไม่ต่างกับโดนคุณ
ไสยขั้นร้ายแรง การเผามันทิ้งก็เหมือนพิธีล้างคุณ
ไสย ชำาระมลทิน ถอดถอนคำาสาปออกจากตัวเอง
คาถาที่ใช้เผาก็แค่สั้นๆ ท่องไว้ว่า ถ้าไม่เผามัน
มันก็เผาเรา"
ได้ผล มะแมรู้สึกว่าผีเจ้าแม่กาลีในจิตของ
ชายหนุ่มดิ้นพล่าน แต่ด้วยความที่เจอข้าวสาร
เสกและแส้เฆี่ยนโดยไม่ทันตั้งหลัก จึงร้องจ๊ากแค่
ข้างใน ไม่เผ่นโผนโจนทะยานออกมาข้างนอก อีก
ทั้งเทวดาที่ซ่อนอยู่ในเขาก็เอาใจช่วยอยู่ก่อน สิ่ง
ที่เห็นจึงเป็นอาการสลดใจรับฟังท่าเดียว
"ถ้าไม่เผามันให้สิ้นซาก รอจนมันร้อนได้ที่
กว่านี้ มันจะเผาชีวิตคุณเป็นจุณ คุณจะจากโลกนี้
ไปท่ามกลางเสียงสาปแช่งและความอยากรุม
ประชาทัณฑ์ศพ และมันจะไม่จบแค่นั้น เสียงร้อง
โอดโอยที่คุณอยากฟังจากผู้หญิงสวยๆ จะกลาย
เป็นเสียงในร่างอัปลักษณ์ของคุณเองที่ถูกนาย
นิรยบาลใช้หอกดาบ ทั้งสับ ทั้งแทง ทั้งทำาทารุณ
อวัยวะเพศ ตลอดจนส่วนอื่นๆที่ยังไม่โดน"
ดวงตาของพลุเบิกโพลง เพราะช่วงที่ผ่าน
มาฝันเห็นนรกและการทำาทารุณขั้นสาหัสสากรรจ์
บ่อยๆ จึงนึกภาพออกตามที่มะแมพูดอย่างถนัด
หญิงสาวเห็นอาการสั่นเทิ้ม แต่ทราบว่าเขา
ยังไม่ใกล้เป็นลม สติยังดีพอจะฟังต่อ ก็พูดปิด
เวทีชก
"อย่ากลัวไปเลยค่ะคุณพลุ การเห็นด้วยกับ
มะแมอยู่เดี๋ยวนี้ บอกได้ว่าทุกอย่างยังไม่สายเกิน
ไป ดีใจที่ตัวเองพ้นปากเหวมาได้เถอะ!"
บทที่ ๑๐
วันรุ่งขึ้น...
มะแมใจจดใจจ่อกับความมีชีวิตของรัฐกร
พอสมควร ไม่เคยมีสถานีโทรทัศน์หรือวิทยุช่อง
ไหนออกข่าวคนหัวใจวายตาย เว้นแต่คนที่หัวใจ
วายตายนั้น เป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี
หรืออะไรเทือกๆนั้น หล่อนจึงไม่อาจ "ติดตาม
ผล" ทางโทรทัศน์หรือวิทยุใดๆ
ทำาอาชีพที่ปรึกษาปัญหาชีวิตมาสองปี ยัง
ไม่เคยทราบข่าวลูกค้าล้มหายตายจาก คือพวก
เขาจะล้มหายตายจากหลังมาหาหล่อนหรือเปล่า
ไม่รู้ รู้แต่เพิ่งมีแจ๊บเป็นรายแรก และลึกๆก็ไม่
อยากให้รัฐกรเป็นรายที่สอง แต่หาก "เทวดาทาง
โทรศัพท์" ทำานายไว้ถูกต้อง ก็แปลว่ารัฐกรตาย
ไปตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว!
บอกตนเองไม่ให้ห่วงใยรัฐกรเกินควร
หล่อนมีหน้าที่เปลี่ยนชีวิต แต่ไม่ได้มีฤทธิ์ช่วยใคร
ให้รอด หากเขาหรือเธอจะถึงคราวแตกดับ
อย่างไรก็ต้องแตกดับ แม้ตัวหล่อนเองก็เถิด ยัง
ไม่รู้เลยว่าจะตายเมื่อใด ศพสวยหรือไม่สวย
ในระดับของหล่อน มะแมเรียนรู้จากกรณี
ของแจ๊บ ว่าการสัมผัสจิตยังไม่ใช่วิธีรู้ว่าเขาหรือ
เธอตายหรือยัง ในเมื่อการตายไม่ใช่การดับจิต
และจิตก็มีสภาพอารมณ์ได้เหมือนตอนเป็นมนุษย์
คือ เหม่อบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
บ้าง
หากหล่อนไม่ทราบว่าแจ๊บตาย สัมผัสจิต
เดี๋ยวนี้ก็คงเข้าใจว่าแจ๊บเหม่อลอยยืดเยื้อผิดปกติ
ยังไม่มีเครื่องหมายใดบอกให้รับรู้ว่าสภาพจิต
แบบแจ๊บไม่ใช่สภาวะของมนุษย์อีกต่อไป
มะแมเชื่อว่าหากสามารถรับรู้ภาวะแห่งจิต
ต่างภพมากกว่านี้ ก็อาจจำาแนกได้ว่าจิตใดอยู่ใน
ภพภูมิไหน หล่อนแค่ยังไปไม่ถึงความสามารถ
ระดับนั้น และเพราะอย่างนั้น จึงไม่เห็นเป็น
ประโยชน์ที่จะดูสภาวะของรัฐกร เกรงว่าดูไปก็
อาจตัดสินด้วยอุปาทานเปล่าๆ
พอเริ่มงานเก้าโมงเช้า มะแมก็ตัดความ
พะวงห่วงใยรัฐกรทิ้ง ความเพลิดเพลินในการแก้
ปัญหาชีวิตให้ลูกค้าช่วงเช้า ทำาให้ลืมรัฐกรไป
สนิท
เที่ยงตรง เสร็จจากลูกค้าคนสุดท้าย มะแม
ก็ลงนอนผ่อนพักบนเก้าอี้ยาวตัวโปรด รอหยิมนำา
อาหารเข้ามาให้ ปิดตาโดยไม่คิดพักงีบ แค่
พักตาให้คลายอารมณ์บ้าง ความนึกคิดเกี่ยวกับ
ลูกค้าช่วงเช้ายังวนๆอยู่ในหัวนิดหน่อย
แต่ด้วยการปิดตาลากลมหายใจยาวๆช้าๆ
ครู่เดียว เรื่องอลเวงยุ่งขิงของลูกค้าก็
ปลาสนาการไปจากใจหล่อนหมด และโดยไม่
เตรียมใจไว้ก่อน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชั่วขณะที่
หัวโปร่ง ใจเบาในระยะสั้นนั้น นิมิตหนึ่งปรากฏ
ชัดในห้วงมโนทวาร เป็นนิมิตมีสีสันเต็ม ดุจเดียว
กับภาพยนตร์บนจอผ้าใบขาวกว้างๆ
นิมิตนั้นนอกจากมีสีสันสมจริง ยังมีความ
เคลื่อนไหว เต็มไปด้วยชีวิตชีวากระจ่างสว่างเรือง
ใบหน้าอารมณ์ดีของรัฐกรปรากฏชัด เขายิ้มให้
และยกมือไหว้หล่อนในอาการคารวะ แล้วอึดใจ
ต่อมาก็เลือนหายไป กลายเป็นนิมิตรถตกทางคัน
หนึ่ง แล้วตามมาด้วยป้ายชื่อโรงพยาบาลไทย
นครินทร์ปิดท้าย
จากนั้นนิมิตทั้งหมดก็เลือนหาย กลายเป็น
ความรู้สึกอยากลืมตาขึ้นมาแทน ขณะนั้นเอง
หยิมนำาสำารับอาหารเข้ามาให้ มะแมพลิกกายดึง
ร่างขึ้นนั่ง ส่งสายตาสำารวจมือหยิม
"ไม่มีจดหมายหรือ?"
"วันนี้ไม่มีค่ะ"
ได้ยินแล้วผิดหวัง นี่ "ท่าน" สร้างความ
เคยชินผิดๆให้หล่อนหรือเปล่า? หล่อนรอทุก
เที่ยงวันว่าจะได้รับคำาเตือน คำาสั่ง หรือคำาสอนใด
และถึงขั้น "ผิดหวัง" ได้เมื่อเที่ยงใดไม่พบเห็น
เยี่ยงนี้แล้ว
มองโทรศัพท์ไทเทเนียมที่หล่อนวางไว้บน
โต๊ะทำางาน แม้จะเพิ่งฟังคำาเตือนจาก "ท่าน" ครั้ง
แรก ชีวิตหล่อนก็พ้นภัยมาได้ และนั่นก็เป็นอีก
ความติดใจ อยากได้ยินสัญญาณเรียก อยาก
ได้ยินเสียงอีก
พวกท่านจะคาดหวังสิ่งใดจากหล่อนก็ตาม
บัดนี้หล่อนคาดหวังจากการติดต่อมาทุกวันจาก
พวกท่านไปแล้ว
เมื่อหยิมเดินออกจากห้อง แทนที่จะจัดการ
อาหาร มะแมกลับตรงดิ่งไปยังโต๊ะทำางาน คว้า
โทรศัพท์มือถือ เลือกเบอร์โรงพยาบาลไทย
นครินทร์จากสมุดโทรศัพท์ของเครื่อง หล่อนเก็บ
เบอร์ของโรงพยาบาลไว้อยู่แล้ว เนื่องจากอยู่ใกล้
บ้าน มีอะไรจะได้โทร.ติดต่อด่วนได้
"โรงพยาบาลไทยนครินทร์ค่ะ"
ปลายสายทักมา มะแมนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ย
"ขอติดต่อห้องฉุกเฉินค่ะ"
คนรับโทรศัพท์โอนสายให้ตามต้องการ
อึดใจต่อมาก็มีเสียงผู้ชายขึ้นมาแทน
"แผนกฉุกเฉินครับ"
"เมื่อวานเย็นมีศพผู้ชายมาที่โรงพยาบาล
ไหมคะ?"
"ผู้ตายชื่ออะไรครับ?"
"รัฐกรค่ะ"
"อ๋อ! ญาติมารับศพไปตั้งแต่เมื่อเช้าครับ"
คำาตอบเรื่อยๆธรรมดาๆของเจ้าหน้าที่
กลายเป็นตะปูตอกตรึงร่างมะแมให้แน่นิ่งไปชั่ว
ขณะ ก่อนหน้านี้สัก ๕ วินาทีหล่อนยังหวังว่าจะ
ได้ยินคำาปฏิเสธ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีศพของคนชื่อ
รัฐกรจากปากเจ้าหน้าที่ เพราะมันดูจะเข้ากันได้
กับความน่าจะเป็นจริงมากกว่า
แต่นี่...
ถัดจากความรู้สึกช็อค กลายเป็นความสลด
เสียใจกับการจากไปของลูกค้าที่เพิ่งเห็นหน้ากัน
หลัดๆ จากนั้นก็แปรเป็นความตื่นเต้นกับรสชาติ
ประหลาด มันเป็นประสบการณ์ทางจิตใหม่เอี่ยม
เหมือนยกระดับความสามารถไปอีกขั้นหนึ่ง
หล่อนเพิ่งสื่อสารกับคนตาย และนี่ต้อง
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!
แต่คิดดูอีกที คนตายต่างหากที่สื่อสารกับ
หล่อน ถ้าให้ตั้งใจคุยกับรัฐกรเดี๋ยวนี้ มะแมก็ไม่
ทราบจะต้องทำาเช่นไร ไม่ต่างจากเมื่อคราวฝัน
เห็นแผ่นดินไหว รู้สถานที่ รู้เวลาครบเสร็จ แต่ถ้า
ให้ตั้งใจเห็นอุบัติภัยทางธรรมชาติอื่นๆอีก ก็ไม่
ทราบจะต้องทำาท่าไหนถึงจะเห็น
"มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?"
เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินถามเมื่อเห็นหล่อน
เงียบยาว
"เขาตายได้อย่างไรคะ?"
"โดนรถใหญ่เบียดตกทางน่ะครับ"
มะแมนิ่งไปเป็นครู่ อย่างนี้เอง พอเพ่งดู
หัวใจที่ผิดปกติของรัฐกรจึงไม่เห็นว่าจะมีอาการ
ล้มเหลวขึ้นมาในเย็นวานได้อย่างไร
ใจหนึ่งอยากขอรายละเอียดญาติของรัฐกร
เพื่อติดต่อขอทราบสถานที่ตั้งศพ แต่อีกใจก็รู้สึก
ว่าพอแล้ว เห็นรัฐกรย้ิมมาจากอีกโลกหนึ่งแล้ว
มันยิ่งกว่าไปนั่งหลับหูหลับตาส่งคนตายในงาน
ศพตั้งเยอะ
"ขอบคุณมากนะคะ"
"เป็นเพื่อนของผู้ตายหรือครับ?"
"อ๋อ! คือ..." รอยยิ้มชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นที่
เรียวปาก จะแปลกอะไรหากพูดความจริง "ดิฉัน
เพิ่งร่วมทำาบุญกับคุณรัฐกรก่อนหน้าที่เขาจะเสีย
ชีวิต และเมื่อครู่ เขาก็เพิ่งมาเข้าฝันน่ะค่ะ!"
"หือ?"
"ขอบคุณมากๆสำาหรับการยืนยันว่าเมื่อครู่
ดิฉันไม่ใช่แค่ฝันไปเอง ที่โทร.มานี่ถูกก็เพราะเขา
บอกทั้งนั้น"
พูดจบก็กดปุ่มตัดสัญญาณ หล่อนไม่ได้
โกหกสักคำา ส่วนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะเชื่อ
หรือไม่ จะเก็บไปเล่าต่อกับเพื่อนร่วมงานอย่างไร
นั่นก็คงสุดแล้วแต่
ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีการขนหัวลุกใดๆ
ส่งจิตสัมผัสเข้าไปถึงรัฐกรมีแต่สบายใจ โล่ง
กว้าง และเป็นมิตรยิ่ง จำารอยยิ้มของเขาได้ชัดใจ
และคงไม่ลืมไปตลอด
วางมือถือลง หยิบโทรศัพท์ไทเทเนียมอัน
เป็นอุปกรณ์สื่อสารกับ "เทวดาทางเสียง" ขึ้นมา
แทน ยิ้มๆให้โทรศัพท์พลางนึกในใจว่า "แม่น
จริงๆค่ะท่าน"
ต่อหน้าต่อตา เสียงกริ๊งยาวของโทรศัพท์
โบราณดังขึ้นพร้อมระบบสั่น และอันเนื่องจาก
มะแมถืออยู่หลวมๆ ความสั่นที่เกิดขึ้นกับฝ่ามือ
แบบกะทันหัน ประกอบกับเสียงกริ๊งดังๆ จึงทำาให้
ผวาตาโต เกือบปล่อยเครื่องหล่นลงพื้น ดีว่าตั้ง
สติกลับกำาแน่นไว้ได้ทัน
ลากลมหายใจยาวปรับจิตปรับใจ ก่อนกด
ปุ่มรับและส่งเสียงสวัสดีไม่ดังนัก
"สวัสดีค่ะ..."
ปลายเสียงสะอึกขาดห้วงไปแบบคนพูดไม่
จบ หรือไม่ก็เพราะลังเลที่จะพูดให้ครบบริบูรณ์
คำาสุดท้ายที่หายไปคือ "ท่าน!"
มะแมอยากแน่ใจว่าหล่อนสวามิภักดิ์ต่อ
"เทวดา" แล้วจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำาว่า
แน่ใจหรือยัง ส่วนลึกยังคงหวั่นไหว เพราะ "พวก
ท่าน" ไม่เคยแนะนำาตัวเอง ไม่เคยบอกเหตุผลว่า
มาช่วยทำาไม ประสามนุษย์ธรรมดาก็ต้องระแวง
อยู่ในส่วนลึกไว้ก่อน
"สวัสดีมะแม"
เสียงทุ้มลึกนั้น ฟังยิ่งใหญ่กว่าเมื่อวาน
"หนูกราบขอบพระคุณนะคะที่ช่วย"
มะแมคิดว่าตนเองใช้สรรพนามเหมาะสม
แล้ว ไม่ว่าจะคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ
"ในหัวเธอคงเต็มไปด้วยคำาถาม"
"หนูแค่อยากรู้คำาตอบสำาคัญที่สุด คือ หนูมี
สิทธิ์ถาม เอ่อ... ท่าน... ในเรื่องไหนได้บ้าง"
ตกลงใจเรียก "ท่าน" เต็มปากเต็มคำา แม้
จะยังครึ่งๆ ยังค้างๆคาใจอยู่มากก็ตาม
"เอาเป็นว่าถามมาเถอะ วันนี้ฉันพอมีเวลา
ให้เธอหน่อยหนึ่ง"
"ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่าคะ?"
"ฮ่าๆๆ!" นั่นเป็นการหัวเราะเต็มเสียง
"เธอว่าใช่ไหมล่ะ?"
"หนูว่าไม่ใช่!" หล่อนลงเสียงหนักด้วย
ความมั่นใจ "และตอนนี้ท่านก็ไม่ได้อยู่ใน
ประเทศไทยด้วย!"
"เก่ง!" คำาชมนั้นมีค่าเท่ากับการยอมรับ
"บางทีฉันก็ขี้เกียจนับว่าพูดได้ทั้งหมดกี่ภาษา
แม้แต่ภาษาที่มีมนุษย์พูดได้ไม่ถึงพันคนฉันก็เอา
ถ้าฟังมีเสน่ห์พอ"
มะแมถอนใจขับไล่ความประหม่า หล่อน
กำาลังคุยกับใครคนหนึ่งที่เกินคำาว่า "อัจฉริยะ"
ไปมาก
"ค่ะ! หนูก็ว่าท่านทำาได้ทุกอย่างที่อยากทำา"
"เธอเดาถูกเพราะจับได้ใช่ไหมล่ะ ว่าวิธีคิด
ของฉันเป็นแบบดึงลิ้นชักภาษา ฉันไม่ขึ้นใจภาษา
ไทยเต็มร้อยหรอก อาจมีหน่วงๆเพราะเค้นคิดอยู่
บ้าง แต่ถ้าคนไทยทั่วไปฟังโดยไม่มาจับจิตกัน ก็
ไม่มีทางรู้ไต๋ฉันได้แน่"
มะแมไม่สนใจประเด็นอัจฉริยภาพทาง
ภาษาของท่าน และพยายามดึงเข้าเรื่องที่ตน
อยากรู้ ในเมื่อเวลามีน้อย
"หนูอาจเป็นลูกหนูอยู่ต่อหน้าราชสีห์ใหญ่
หนูเคารพนบนอบต่อท่าน หนูซาบซึ้งในพระคุณ
ของท่าน แต่หนูก็มีชีวิต และมีความทรมานใจกับ
ความไม่รู้ หนูแค่อยากกราบขอให้ท่านกรุณา
อธิบายความเป็นมาเป็นไป ว่าเหตุใดจึงต้องลด
ตัวมาช่วยหนู คำาถามนี้โอเคไหมคะ?"
ยินเสียงหัวเราะนุ่มนวลในลำาคออีกฝ่าย ซึ่ง
ฟังมีความปรานีประดุจเทพยดาสรวลต่อความน่า
สงสารของมนุษย์ตัวน้อย
"เธอไม่ใช่ลูกหนู เธอมีค่ามากกว่าที่ตัวเอง
คิด" เอ่ยแล้วเว้นวรรคเป็นครู่คล้ายจะใคร่ครวญ
บางสิ่ง "แต่ฉันตอบคำาถามข้อนี้ในวันนี้ไม่ได้
เพราะบันไดอนาคตอาจถูกรื้อใหม่หมด ทุกอย่าง
ต้องค่อยเป็นค่อยไป"
"หนูจะน้อมรับการตัดสินใจของท่านเจ้าค่ะ
และไม่ดื้อรั้นขอคำาตอบใดๆอีก แต่ถ้าต่อไปหนู
นึกถึงท่าน หนูควรจะนึกถึงในนามว่าอะไร?"
"เรียกฉันว่า 'บอส' ไปพลางๆก็แล้วกัน"
"ตกลงค่ะบอส"
มะแมยอม "คุกเข่า" ให้เขาด้วยการเอ่ย
สรรพนามตามบัญชาอย่างเต็มใจ จะต้องเรียก
บอส เรียกนาย เรียกอาจารย์ หรือพระองค์ท่าน
อย่างไร ใจรับได้หมด ยอมลงให้ไม่ฝืนเลย
"ฉันมีเวลาให้เธออีกนิดเดียว จะถามอะไร
อีกก็รีบว่ามา"
"บอสเห็นว่าวันนี้ควรสั่งอะไรหนูล่ะคะ?"
"ช่วงนี้เธออาจทรมานใจหน่อย ที่ฉันเข้ามา
ในชีวิตโดยปราศจากคำาอธิบาย แต่สุดท้ายเธอจะ
พบว่าทั้งจดหมายจากหมอนั่น ตลอดจนโทรศัพท์
จากฉัน มันไม่ใช่อะไรสักอย่างที่เธอคิด ฉะนั้นก็
อย่าเพิ่งไปคิดอะไรสักอย่างในตอนนี้"
"ค่ะ! มะแมไม่รู้อะไรเลยก็ได้ รู้แต่ท่านมาดี
ก็พอ"
"อือม์! วันนี้ฉันไม่มีอะไรจะบอก แต่เห็นเธอ
จับโทรศัพท์ด้วยความคิดถึง เลยโทร.มาทักไป
อย่างนั้นแหละ"
วินาทีนั้น มะแมสัมผัสว่าบอสกำาลังจะวาง
สาย จึงรีบละล่ำาละลัก
"ขอให้หนูพบบอสได้ไหมคะ? สักครั้งใน
ชีวิตก็ยังดี"
"เธอยังแค่ระดับสี่ เอาไว้รอให้ถึงระดับห้า
ก่อน แล้วฉันจะส่งคนไปพาตัวมาพบเอง!"
จบคำาก็ตัดสายไปเฉยๆ ไม่มีการล่ำาลาตาม
มารยาทหรือบอกกล่าวให้รู้ตัวล่วงหน้าแต่อย่าง
ใด ปล่อยให้มะแมถือโทรศัพท์ค้างด้วยความผิด
หวังเป็นนาน
ระดับสี่... มันระดับอะไรกัน?
ช่างเถอะ! ถึงไม่รู้ว่าแค่ไหน ชั้นใด แต่ก็รู้ว่า
ต้อง "ไม่เบา" ทีเดียว เพราะใกล้ถึงระดับห้า
เฉียดจะมีสิทธิ์พบบอสในเร็วๆนี้แล้ว!

You might also like