Professional Documents
Culture Documents
มัดย้อม (30 Apr 08)
มัดย้อม (30 Apr 08)
บทท ี่ 1
2
ความ หม าย แล ะปร ะวั ติค วาม เป ็นมาขอ งผ้ ามัด ย้ อม
คว าม หม าย
การทำาผ้ามัดและย้อมสี หมายถึง การทำาผ้าให้เกิดรอยด่าง ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของการ
ย้อมสี อาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจของผู้ทำาการย้อมสีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งมองดูแล้วเกิดความสวยงาม
จึงได้ใช้เส้นด้ายมามัดและนำามาไปย้อมสี และนำา มาทอเป็นผ้าผืนเกิดเป็นลวดลายที่ได้ออกแบบไว้
และได้รับการพัฒนาจากการมัดเส้นด้ายมาเป็นการมัดผืนผ้า ดังที่ได้เห็นกันทุกวันนี้ ซึ่งสามารถทำาผ้า
มัดย้อมได้กับผ้าทุกชนิด เช่น ผ้าลินิน ผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือผ้าที่ทำาจากเส้นใยประดิษฐ์ จะเลือกชนิด
ของสีย้อมให้ถูกกับชนิดของเส้นใยที่นำามาทำา สีย้อมที่ใช้ย้อมเส้นใยแต่ละประเภท มีความเหมาะสม
และวิธีการย้อมเฉพาะอย่างเท่านั้น จะนำาสีประเภทที่ไม่เหมาะสมกับชนิดของเส้นใยๆ ไปย้อม สีก็จะ
ไม่ติด หรือติดจะไม้ได้ความเข้มและความทนตามที่ต้องการ
ประว ัต ิค วา มเป็ นม าข อง ผ้ าม ัด ย้ อม
3
กระบวนการกั น สี ย้ อ มที่ ทำา สื บ ทอดกั น มา รวมทั้ ง การมั ด (Tying) ผู ก ปม (Knotting) การ
ผูกพัน (Binding) หรือการเย็บ (Stitching) ผ้าก่อนนำาไปจุ่มหรือแช่ในสีย้อม จากการพิจารณาว่า แหล่ง
กำาเนิดอยูใ่ นบริเวณภาคพืน้ เอเชียตะวันออก ได้มกี ารชีแ้ จงสิง่ ทีม่ ีการขัดแย้งกับหลักฐานทีค่ ้นพบ และ
ได้มีการค้นคว้าหาสิง่ ที่ทำาขึ้นจากแหล่งกำาเนิดที่ถูกต้อง หลักฐานที่ให้ความรู้ที่พอจะเชื่อถือได้มีการทำา
ในยุคแรกๆ ในอินเดีย (India) จีน (China) ญี่ปุ่น (Japan) ชวา (Java) และบาหลี (Bali) ในอาฟริกา
(Africa) มีความคุ้นเคยกับเทคนิคการใช้สยี อ้ มทีม่ อี ย่างอุดมสมบูรณ์ เป็นประโยชน์และสำาคัญมากเช่นเดียว
กับสิง่ ทออืน่ ๆ
นักมนุษยวิทยาพบรูปแบบแรกๆ สำาหรับการกันสีในวัฒนธรรมดั้งเดิมทั้งหมดของขั้นตอนการ
ฟอกสีออกด้วยดวงอาทิตย์ จะโดยบังเอิญหรือโดยตรงของการไปถึงผิวหน้ารูปแบบโดยกันสีจากการ
ทำาให้เป็นจริง การเตรียมวัสดุกันสีย้อมมีการพัฒนามาตลอด ในยุคแรกๆ ของงานมัดและย้อมสีบนผ้า
ทอ ซึ่งเป็นไปได้ว่า คนสมัยโบราณมีการปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเป็นเทคนิคของ “Ikat” เป็นที่ทราบ
แล้วว่าเกิดขึน้ ในช่วงระยะเวลาเกินกว่าศตวรรษทางทิศตะวันออกของอินโดนีเซีย (Eastern Indonesia)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบาหลี (Bari) ใช้การกันสีย้อมบนเส้นด้ายทอหรือเส้นด้ายที่แก้แล้ว การออกแบบ
ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของการทำาผ้าสำาหรับการป้องกันสีย้อมอย่างดีเยี่ยม เมื่อหลายร้อยปีประชาชนเหล่านี้
ผลิตสิ่งทอที่มีความปราณีตทัง้ รูปแบบและใช้เป็นเครื่องประดับอย่างสวยงาม
เทคนิคการกันสีทั้งหมดเหล่านี้มีขึ้นและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป มีการปฏิบัติกันมาในหมู่บ้าน
ชนบทของอินเดีย (India) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนกลางของหมู่บ้านได้มีการศึกษาผ้าเหล่านี้เป็น
ผลงานที่สร้างสรรค์จากที่เคยพบเศษผ้า ซึ่งทำาขึ้นย้อนหลัง 5,000 ปี สะท้อนให้เห็นภาพคนทั่วๆ ไป
หรือประเพณีตามชนบทของอินเดีย ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์การใช้สีย้อม เช่น ชุดสาหรี (Saris)
กระโปรงบาน (Flared Skirts) และผ้าโพกหัว (Head Scarves) มาตรฐานและข้อปลีกย่อยของการทำา
ผ้ามัดย้อมที่เป็นแถวของสีที่สดใส แต่ละเฉดสีมีความเกี่ยวเนื่องทางสัญลักษณ์ที่มีความหมายมาก
ที่สุ ดตามที่ กระทำา อยู่เสมอเฉพาะแห่งและพิธีทางศาสนา ชาวอิ นเดียรู้จั กผ้ามั ดย้อ มว่า บันดานะ
(Bhandhana) (Belfer, N. 1972 : 73 – 74)
5
ประเทศญีป่ ุ่นเรียกผ้ามัดย้อมว่า ซิโบรุ (Shiboru) เหมาะสำาหรับทำาผ้าโกโซดะ (Kosode) หรือ
กิโมโน (Kimono) ของพวกชนชั้นสูง พระ ทำาจากผ้าไหมมีความสวยงามมาก จากนั้นได้นำาผ้าฝ้ายมา
ทำามัดย้อมและเป็นที่รู้จักกันดี ในสมัยโมโนยามา (Monoyama) มีการทำา ผ้ามัดย้อมสลับสีทำา ให้เกิด
ลวดลายแตกต่างออกไป (Belfer, N. 1972 : 8)
การทำาผ้ามัดย้อมในแต่ละประเทศจะมีรูปแบบสีสันที่แตกต่างกันไป มีลักษณะเฉพาะตามแต่ผู้
สร้างสรรค์ ช่วงเวลา วัฒนธรรม แต่ก็ยังมีความคล้ายคลึงกันบ้าง ผ้าที่ใช้ก็มีความหลากหลาย เนื้อดี
บางใช้ผูกมัดลายเล็กๆ ผ้าหนาเหมาะกับการทำาลวดลายที่ใหญ่ ในแต่ละวัฒนธรรมจะมีเทคนิคพื้นฐาน
ที่เหมือนกัน ผ้าจะถูกมัด พับ ผูก เย็บ แล้วนำาไปย้อมสี เพราะการย้อมเป็นส่วนหนึ่งของการมัดเพื่อ
สร้างสี ทุกเทคนิคมีการพัฒนามาตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ และเกิดวิธีใหม่ๆ มีการผสมผสานกัน ซึ่งการ
ทำาผ้ามัดย้อมไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำานวนการมัด แต่เกี่ยวเนื่องภายในพื้นที่ทั้งหมดของผ้าและการใช้สีได้
อย่างเหมาะสม (Meilach, Dona Z. 1973 : 18-19)
ลั กษณะ ของ ผ้ าม ัด ย้ อม
6
การมัดย้อมสี (Tie – Dye) เป็นการทำา ลวดลายให้เกิดบนผืนผ้าที่เป็นแบบ Resist Dyeing
หมายถึง การนำาเอาวัสดุ อุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใด ไปปิดบังส่วนหนึ่งของผืนผ้าเพื่อมิให้สีแทรกซึม
เข้าไปในเนื้อผ้าได้โดยสะดวก โดยวิธีการผูก มัด พัน รัด ผูกปม หรือหนีบจับผืนผ้า แล้วนำาไปย้อมสี
ก็จ ะทำา ให้เ กิ ดลวดลายขึ้ น ลั ก ษณะของการทำา ผ้ า มั ดย้ อ มและการทำา ผ้ า บาติ ก (Batik) มี ลั ก ษณะ
คล้ายคลึงกัน จะแตกต่างกันก็เพียงแต่ผ้าบาติกใช้การป้องกันสีไม่ให้แทรกซึมลงบนผ้าตรงส่วนที่ไม่
ต้องการให้ติดสีด้วยขี้ผึ้ง เทียนที่หลอมละลาย แต่ผ้ามัดย้อมใช้เชือก เส้นด้าย เชือกฟาง หนังยาง (
ยางรัด ) หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ป้องกันสีบนส่วนของผืนผ้าไว้ การผูกมั ดด้วยเส้ นด้ายหรือ เชือ กนี้
ทำา ให้เกิดแรงดึง ซึ่งเป็ นหลั กเกณฑ์ง่ายๆ จะมีผลทำา ให้เ กิ ดแรงกดดันลงไปในผืนผ้าส่ วนนั้นๆ จะ
สามารถป้องกันมิให้สีแทรกซึมเข้าไปในบริเวณที่มีแรงดันของเชือกหรือเส้นด้ายดังกล่าว
การย้อมสีผ้ามัดย้อมสามารถใช้สีได้หลายประเภท ย้อมได้ทั้งที่ใช้ความร้อนในอุณหภูมิสูง
และสีย้อมเย็น (อุณหภูมิห้อง) เหมือนกับการย้อมมัดหมี่บนเส้นด้ายซึ่งเป็นงานฝีมือที่เชิดหน้าชูตา
ของชาวตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย การทำา ผ้ามัดหมี่เป็นการมัดเส้นด้ายให้เกิดลวดลาย
แล้วจึงนำาไปทอเป็นผืนผ้าให้เกิดเป็นลวดลาย ส่วนการทำาผ้ามัดย้อมเป็นการนำาผ้าเป็นผืนหรือเสื้อผ้า
สำา เร็จรูปแล้วนำา ไปย้อม ลวดลายที่ได้จึงไม่เหมือนกั น การทำา ผ้าบาติก และการทำา ผ้ามั ดหมี่ จะได้
ลวดลายที่คมชัดและละเอียดมากกว่าผ้ามัดย้อม ซึ่งงานแต่ละอย่างมีเอกลักษณ์ความงดงามอยู่ในตัว
ของมันเองโดยเฉพาะ (กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม. 2540: 1)
บทท ี่ 2
7
ส่วน ประ กอบขอ งค ุณสมบ ัติท าง กา ยภ าพข อง เส้นใ ย
บทท ี่ 3
10
การ เตรี ยมผ้ า
การเตรียมผ้า เป็นขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำาคัญมากต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตขึ้นมา
และต่อความสำา เร็จของกระบวนการใช้สีและตกแต่งสำา เร็จที่จะตามมา เพราะขั้นตอนนี้เป็นการนำา
ผ้าดิบมาผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อเตรียมผ้าให้อยู่ในสภาพที่สามารถนำาไปได้เป็นอย่างดี ซึ่งนันท
ยา ยานุเมศ. ม.ป.ป. อัดสำาเนา: 2-6 ได้ให้จุดมุ่งหมายของการเตรียมผ้าดังต่อไปนี้
1.เพื่อขจัดสิ่งสกปรกในเส้นใยให้มีค วามขาวสะอาดมีการดูดติ ดสีย้อม–พิม พ์ และสารเคมี
ต่างๆ อย่างสมำ่าเสมอ
2.เพื่อให้เส้นใยหรือผ้ามีการดูดซึมนำ้าได้ดีขึ้น อันจะทำาให้กระบวนการย้อม–พิมพ์ และตกแต่ง
สำาเร็จที่ตามมาสามารถดำาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ประหยัดเวลา และสารเคมี
3.เพื่อทำาให้เส้นใยมีการดูดติดสีและสารเคมีได้มากขึ้น
4.เพื่อให้เส้นใยคงรูปไม่เสียรูปในระหว่างขั้นตอนการตกแต่งอื่นๆ ในภายหลัง
ข ั้น ต อ น ก า ร เ ต ร ีย ม ผ ้า
กระบวนการต่างๆ ในการเตรียมผ้า มีดังต่อไปนี้
1.การเผาขน (Singeing) คือ การขจัดเส้นขนใยสั้นที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นผิวของเส้นด้ายเป็น
จำา นวนมาก โดยการผ่ า นผ้ า ไปยั ง เปลวแก๊ ส หรื อ แผ่ น ทองแดง ด้ ว ยการใช้ ค วามร้ อ นกำา จั ด ปลายเส้ น ใยนี้ เ สี ย
กระบวนการเผาขนมีจุดมุ่งหมายที่สำาคัญ ดังนี้
1)เพื่อทำาให้ผ้ามีพื้นผิวที่ดูเรียบ และมีความเงามันดีขึ้น กระบวนการนี้มีความจำาเป็นโดย
ฉพาะสำาหรับผ้าทีจ่ ะนำาไปชุบมัน อัดรีด หรือขัดมัน
2)การเผาขนเป็นสิ่งจำา เป็นสำา หรั บผ้าย้อม–พิมพ์ ทำา ให้ก ารดูดซึม สีและจะไม่ มีปั ญหา
ความคมชัดต่อการพิมพ์ลาย
3)ลดปัญหาการเกิดขุยบนผ้าโพลีเอสเตอร์เมื่อใช้ไปนานๆ
2.การลอกแป้ง (Desizing) เป็นขั้นตอนที่มีความจำาเป็นสำาหรับผ้าทอ เนื่องจากในการทอผ้า
จะต้องมีการลอกแป้งเส้นด้ายยืนก่อน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทอ แต่เมื่อนำาผ้าที่ทอเสร็จแล้วไปทำา การฟอก
ย้อม แป้งที่เคลือบอยู่บนเส้นด้ายจะมีผลกระทบต่อคุณสมบัติในการดูดซึมนำ้าและสารเคมีของเส้นใย ดังนั้น จึงจำาเป็นที่
จะต้องทำาการขจัดออกไป การลอกแป้งมีความสำาคัญพอสรุปได้ดังนี้
1)การลอกแป้งทำาให้ผ้ามีคุณสมบัติในการเปียกนำ้าได้ดีสมำ่าเสมอ ช่วยทำาให้การตกแต่งผ้า
นขั้นตอนต่อไปเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2)ทำาให้มีคุณสมบัติในการดูดติดสีและสารเคมีอย่างสมำ่าเสมอทั่วผืน
3)ทำาให้ผ้ามีความนุ่มต่อการสัมผัส ไม่หยาบ และแข็งกระด้าง
บทท ี่ 4
สีย ้อม แล ะการจ ำาแ นกสี
ประว ัต ิค วา มเป็ นม าข องส ีย ้อ ม
11
ประวัติการใช้สีย้อมของมนุษย์สามารถสืบย้อนหลังไปถึงเกือบ 5,000 ปี อาจกล่าวได้วา่ ศิลปะ
การย้อมสีมีวิวัฒนาการขึ้นมาพร้อมๆ กับความเจริญอื่นๆ หลักฐานของการย้อมผ้าได้ถูกค้นพบใน
ประเทศจีน อินเดีย และอียิปต์ ซึ่งเป็นอารยธรรมอันเก่าแก่ของมนุษย์ และศิลปะแขนงนี้ได้รับการ
ปรับปรุงขึ้นมาเรื่อยๆ อันแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักสวยรักงาม และมีความ
พยายามที่จะปรับปรุงเสริมแต่งเสื้อผ้าเครื่องประดับให้สวยงามยิ่งขึ้นอยู่เสมอ ในสมัยก่อนนั้น สีย้อมที่
ใช้ล้วนได้จากธรรมชาติทั้งสิน เช่น จากพืช สัตว์ และอินทรีย์สารต่างๆ สีย้อมที่มีประวัติเก่าแก่ที่สุด
เป็นจะได้จากสีคราม ซึ่งได้จากการหมักใบจากต้นคราม แม้ในปัจจุบันสีครามจากต้นครามก็ยังมีการ
ใช้กันอยู่โดยเฉพาะในชุมชนบท ตัวอย่างสีที่ได้จากสัตว์ ได้แก่ สีม่วง (Tyrian Purple) ซึ่งชาวโรมันใช้
เป็นสีประจำา ตระกูลชั้นสูง ได้มาจากหอยชนิดหนึ่งที่จับได้ในแถบทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน การใช้สี
ธรรมชาติในการย้อมผ้านี้ได้ดำาเนินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1856 (พ.ศ. 2399) ได้มีการค้นพบ
วิธีสังเคราะห์สีย้อมขึ้นครั้งแรก โดยนายวิเลียม เปอร์กิน (William Perkin) ซึ่งขณะนั้นอายุ 18 ปี สีที่
ผลิตขึ้นตัวแรก ชื่อ Mauveine ผลิตโดยการนำาสารอะนิลิน (Aniline) มาทำาปฏิกิริยาออกซิเดชัน เกิด
เป็นตะกอนสีดำา จากนั้นนำาตะกอนดังกล่าวมาสกัดด้วยแอลกฮอล์ก็จะได้สีม่วงสด (Mauve) และตั้งชื่อ
ว่า “Anilin Purple” หรือ “Tyrian Purple” ผลจากการค้นพบครั้งนั้น ทำาให้เกิดมีการค้นคว้าวิจัยเพื่อหา
วิธีการสังเคราะห์สีใหม่ๆ ขึ้นอย่างกว้างขวางในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศเยอรมัน อังกฤษ
และสหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันสีสังเคราะห์ได้เข้ามาแทนทีส่ ีธรรมชาติเกือบทั้งหมดแล้ว เนื่องจากสีย้อม
สังเคราะห์มีการผลิตและมีคุณภาพที่แน่นอนกว่าสีย้อมธรรมชาติและยังทำา ได้ง่ายกว่า โดยทั่วไปมี
ราคาถูกกว่าสีย้อมธรรมชาติประเภทเดียวกันด้วย มีผู้ประเมินจำานวนสีย้อมสังเคราะห์ที่ใช้กันอย่างทุก
วันนี้ว่า มีอยู่ประมาณ 8,000 ชนิดต่างๆ กัน (อัจฉรพร ไศละสุต. 2527:1-5)
ชน ิด ขอ งสี ย้ อม
สีย้อมจัดเป็นสารให้สีที่สามารถละลายนำ้าหรือกระจายตัวในนำ้าหรือวัสดุได้ โดยทั่วไปแล้ววัสดุ
หนึ่งๆ จะมีความสามารถในการยึดเหนี่ยวสีย้อมแต่ละชนิดแตกต่างกันไป และหากแบ่งกลุ่มของสี
ย้อมตามความสามารถในการละลายแล้วจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. สีย้อมที่ละลายนำ้าได้
สีย้อมที่สามารถละลายนำ้า ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะมีหมู่เกลืออยู่ในโครงสร้ างอย่างน้อ ย 1 หมู่
เกลือที่พบมากที่สุด ได้แก่ เกลือของกรดซัลโฟนิค (Sulphonic Acid) ซึ่งมักเติมเข้าไปในโครงสร้าง
ของสารตัวกลางระหว่างการผลิตสี นอกจากกรดซัลโฟนิคแล้ว กรดที่นิยมเติมเข้าไปในสารตัวกลางให้
เกิดเป็นเกลือ ได้แก่ กรดคาร์บอซีลิก (Carboxylic Acid) สีย้อมที่ละลายนำ้าได้เหล่านี้มักอยู่ในรูปของ
เกลือโซเดียม และเมื่อละลายในนำ้าสีชนิดนี้จะมีประจุลบ (Anion) เกิดขึ้นโดยส่วนที่มีประจุลบนี้เองที่
เป็นส่วนที่ให้สี ตัวอย่างของสีกลุ่มนี้ ได้แก่ สีไดเร็กท์ สีแอสิด และสีรีแอคทีพ
2. สีย้อมที่ไม่ละลายนำ้า
สีย้อมที่ไม่ละลายนำ้าสามารถจำาแนกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
2.1 ที่ละลายในเนื้อวัสดุ (Dyes Soluble in The Substrate) สีกลุ่มนี้ ได้แก่ สีดิสเพอส ซึ่ง
ย้อมโดยการเตรียมให้สีกระจายตัวในนำ้าก่อนที่จะย้อมบนเส้นใยสังเคราะห์ นอกจากนี้
12
ยังได้แก่ สีที่ละลายได้ตัวทำาละลาย (Solvent–Soluble Dyes) ซึ่งหมายถึง สีที่สามารถ
ละลายในตัวทำาละลายทุกชนิด
2.2 ละลายนำ้า ได้ชั่วคราว (Temporarily Solubilised Dyes) สีเหล่านี้ ได้แก่ สีที่ในสภาวะ
ปกติ จ ะไม่ ส ามารถละลายนำ้า ได้ แต่ ส ามารถเปลี่ ย นให้ อ ยู่ ใ นรู ป ที่ ล ะลายนำ้า ได้ โ ดย
กระบวนการทางเคมี จากนั้นนำาสารละลายสีนั้นไปย้อมเส้นใย แล้วจึงเปลี่ยนกลับให้อยู่
ในรูปสีที่ไม่ละลายนำ้าเมื่อสีแทรกซึมเข้าไปในเส้นใยแล้ว ตัวอย่างของสีกลุ่มนี้ ได้แก่ สี
ซัลเฟอร์ และสีแว๊ต ซึ่งถูกเปลี่ยนให้อ ยู่ใ นรู ปที่ ละลายนำ้า ได้โดยปฏิ กิริ ยารี ดัก ชั่นใน
สารละลายด่าง และสามารถเปลี่ยนกลับให้มาอยู่ในรูปที่ไม่ละลายนำ้า ได้โดยปฏิกิริยา
ออกซิเดชั่นด้วยอากาศหรือสารเคมี
2.3 สีผนึกควบ (Poly Condensation Dyes) สีชนิดนี้ ได้แก่ สีทสี่ ามารถเกิดพันธะโควาเลน
ท์ (Covalent Bond) กับโมเลกุลสีด้วยกันหรือกับสารประกอบอื่นๆ (ที่ไม่ใช่วัสดุสิ่งทอ)
เกิดเป็นสารประกอบหรือโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มักเรียกสีชนิดนี้ว่า “สีผนึกควบ”
(Condense Dyes)
2.4 สี ที่ เ กิ ด ภายในเส้ น ใย (Dyes Formed Within the Fiber) สี ก ลุ่ ม นี้ ได้ แ ก่ สี อ ะโซอิ ค
(Azoic Dyes) ซึ่งจัดเป็นสีอะโซที่ไม่ละลายนำ้า (Insoluble Azo) การย้อมสีชนิดนี้ทำาโดย
การใช้ ส ารเคมี คู่ ค วบ (Coupling Component) ทำา ปฏิ กิ ริ ย ากั บ สารไดอะโซ (Diazo
Component) เกิดเป็นสีอะโซขึ้นภายในเส้นใย จากนั้นเมื่อนำาวัสดุสิ่งทอมาทำาการกำาจัด
สีส่วนเกินออก โดยต้มกับนำ้าสบู่ก็จะทำาให้ผนึกติดเส้นใยได้ดียิ่งขึ้นทำาให้สีชนิดนี้มีความ
คงทนต่อการซัก
2.5 พิกเม้นท์ (Pigments) พิกเม้นท์ต่างจากสีย้อมที่พิกเม้นท์ไม่มีความสามารถในการยึด
เหนี่ยวกับเส้นใยหรือวัสดุ นอกจากนั้นอาจรวมตัวกันเพียงไม่กี่โมเลกุลเป็นเม็ดสี พิก
เม้นท์มักใช้ในรูปสารแขวนลอยในนำ้ามันหรือสารที่มีลักษณะคล้ายเรซิน ซึ่งมักเป็นสาร
ทีไ่ ม่ละลายนำ้า (อังคณา อมรศรี. มีนาคม – เมษายน 2546 : 21- 22)
บทท ี่ 5
ทฤษฎีส ี (C ol or Th eory)
บทที่ 6
จิ ตวิทยาขอ งสี (Psycology Of Colour)
21
บทที่ 7
วิธี การย้อมสี (D yei ng)
22
การย้อมสีเป็นการตกแต่งผ้าวิธีหนึ่งซึ่งเป็นกิจกรรมในฝีมือทางช่างที่มีประโยชน์มาก ทำาให้
เกิดความพึงพอใจ และยังเป็นวิธีที่ง่ายกับสิ่งที่เกิดจากการกระทำา ให้บรรลุผลได้อย่างรวดเร็ว การ
ควบคุมเวลาตามความต้องการที่ไม่เหมือนกัน
ผ้าไหม เป็นสิ่งสำาคัญอย่างหนึ่งที่สำาคัญนำามาสร้างงานศิลปะบวกกับความชาญฉลาดในการ
จัดวางสีย้อม เพื่อจะนำาไปใช้ทำาการตกแต่งพื้นที่นอกเหนือจากความเหมาะสม ซึ่งการกระทำาเหล่านี้
จะเกี่ยวข้องกับการกันสีย้อม ถ้าส่วนที่แตกต่างกันของชิ้นส่วนวัสดุที่ได้เป็นการมั ด (Tied) ผูกปม
(Knotted) ผูก มั ดเข้ า ด้ว ยกั น (Bound Together) รอยพั บ (Pleated) หรื อ การเย็ บ (Sewn) เป็ นรู ป
แบบของพื้นที่ทสี่ ีย้อมไม่แทรกซึมเข้าไปได้ หรืออาจจะยอมให้ผ่านทะลุเพียงปริมาณน้อยเท่านั้น
- อุปกรณ์ และวัสดุ (Equipment and Materials)
อุปกรณ์พื้นฐานและวัสดุต่างๆ ที่จำา เป็นต้องใช้ ได้แก่ ผ้า (Fabric) สีย้อม (Dyes) เกลือ
(Salt) เส้ นด้ าย (Thread) ภาชนะสำา หรั บย้อ มสี (Containers for The Dyes) และพืน้ ทีก่ ารทำางานที่
เหมาะสมสำาหรับการซัก-ล้าง และการทำาให้ผา้ ทีย่ อ้ มแล้วแห้ง ส่วนภาชนะจำา เป็นต้องใหญ่พอกับความ
ต้องการสำาหรับใส่ผ้าอย่างเพียงพอ แต่ก็ไม่ใหญ่จนเกินไป ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองสีย้อม สำา หรับ
การซัก-ล้าง อ่างนำ้าที่ใช้ต้องเป็นอ่างที่มีนำ้าไหลออกได้ดี แต่ถังนำ้าหรือชามขนาดใหญ่สามารถนำาไป
ใช้ได้เหมือนกันเพราะอาจเป็นไปได้ว่าเมื่อไรก็ตามที่จำาเป็นต้องเปลี่ยนนำ้าบ่อยๆ
อุ ป กรณ์ ที่ เ พิ่ ม เติ ม ที่ ต้ อ งใช้ แ ท่ ง ไม้ หรื อ แท่ ง แก้ ว เล็ ก ๆ สำา หรั บ ผสมสี ย้ อ ม (Small
Wooden or Glass Sticks for Mixing The Dye) ถุ ง มื อ ย า ง (Rubber Globes) ห นั ง สื อ พิ ม พ์
(Newspaper) และเหยือก หรือขวดฝาเกลียวสำาหรับเก็บสี (Screw–Top Japs หรือ Bottles in Which
to Keep The Dye)
4. หลังจากวัดขนาดของท่อแล้วให้กำา หนดรอยด้วยเข็ม
หมุด
5. จากนั้นขีดเส้นด้วยดินสอเป็นเส้นตรงตามที่ได้กำาหนด
ไว้ตามขนาดของท่อ
8. เลื่อนและรูดผ้าเข้าหากันและให้แน่น
11. การผสมสีย้อมและสารเคมีตามที่คำานวณไว้และคน
ให้เข้ากัน
17. นำาผ้าไหมออกจากท่อจะเห็นเป็นลวดลายอันเกิดจาก
การอัดผ้าให้แน่น
18. เมื่อนำาผ้าไหมออกจากท่อหมดแล้วให้ตัดเส้นด้ายที่
เย็บไว้ให้หมดแล้วคลี่ผ้าดูจะเห็นลวดลายชัดเจน
30
3. นำาผ้าไหมมาม้วนโดยม้วนจากริมหรือปลายผ้า
ทัง้ 2 ด้าน เข้าหากันและมาบรรจบกันที่
กึ่งกลางผืนผ้า
32
4. บิดผ้าให้เป็นเกลียวตลอดทั้งผืนให้แน่น ถ้าผ้า
บิดเกลียวไม่แน่นสีย้อมจะซึมเข้าไปได้
5. เริ่มต้นพันผ้าที่บิดเป็นเกลียวโดยจุดเริ่มต้นให้
ยางรัด เพื่อไม่ให้ผ้าหลุดออกและเป็นการกันไม่
ให้ผ้าเคลื่อนที่ออกไปจากนั้นพันผ้าให้รอบท่อ
PVC จนหมดผ้าแล้วใช้ยางรัดคาดทับตรงจุดจบ
เหมือนตอนเริ่มต้น
33
7. เตรียมสีย้อมให้ครบจำานวนสีที่ต้องการ ซึ่งในที่
นี้สที ี่ใช้ ได้แก่ สีเหลือง (Yellow MX-8G), สีฟ้า
(Turquoise MX-G), สีนำ้าเงิน (Blue MX-G)
8. วิธีการใช้สจี ะกระทำาได้โดยการใช้พู่กันจุ่มสีและเพนท์
สีลงไปบนผ้าได้เลย หรือจะใช้วิธีการเทสีดังในภาพก็
กระทำาได้ ซึ่งในที่นี้สีแรกเป็นสีเหลือง (Yellow)
34
ภา พที ่ 12. 28 แสดงรูปภาพ การเทสีเหลือง (Yellow) ลงบนผ้าเป็นสีแรก
10. เมือต้องการสี
่ เขียว (Green) ทีเข้มกว่าจึ
่ งจำาเป็น ต้องใช้
สีนำ้าเงิน (Blue) เทลงไปอีกครั้งหนึ่งเป็นสีที่ 3
12. การผสมสารเคมีและสีย้อมตามที่คำานวณไว้และคนให้
เข้ากันในการย้อมครั้งนี้ใช้สีนำ้าเงิน (Blue)
13. นำาผ้าไหมลงย้อมสีต่อในอุณหภูมิห้องใช้เวลาย้อม 1
ชั่วโมง
17. เมือต้
่ มนำ้าสบูเสร็
่ จ นำาออกซัก-ล้าง นำ้าให้สะอาด ดึงยางรัด
ออกและนำาเอาผ้าไหมที่พันไว้กับท่อ PVC ออก
พร้อมทั้งคลี่ผ้าจากการบิดเกลียวและการม้วน
37
ภา พที ่ 12. 37 แสดงรูปภาพ การคลี่ผ้าออก
5. เริ่มพันเส้นด้ายจากปลายท่อให้แน่นระหว่างที่พับควร
พันให้มีช่องไฟเท่าๆ กัน เมื่อพันไปได้ระยะหนึ่งให้
ทำาการรูดผ้าลงมาที่ปลายท่อให้ย่นและแน่น เส้นด้าย
ที่พันจะต้องมีความเหนียวเวลาดึงจะได้ไม่ขาด
8. การผสมสารเคมีและสีย้อมตามที่คำานวณไว้และคนให้
เข้ากัน โดยในการย้อมครั้งนี้ย้อม 2 สี 2 ครั้ง
- การผสมสารเคมี
- การผสมสีย้อมกับสารเคมี
9. นำาผ้าไหมไปชุบนำ้าก่อนที่จะนำาไปย้อมสีเพื่อให้ผ้าดูด
ซึมสี
41
15. เมื่อต้มนำ้าสบู่เสร็จนำามาล้างนำ้าอีกครั้งโดยเปิดให้นำ้า
ไหลผ่านผ้าจนแน่ใจว่าไม่มีสีหลุดออกแล้ว
43
กา รย ้อ มแ บบจุ ่ม (D ip – Dy es )
เทคนิคนี้จะจุ่มผ้าลงในสีย้อมที่ทำาขึ้นเพียงบางส่วน ซึ่งสีจะจางจากสีอ่อนไปสียังเข้ม ซึ่งง่าย
มากในการทำาและดูเหมือนจะเป็นผ้าทางด้านตะวันออกย้อมได้ทั้งสีย้อมร้อนและสีย้อมเย็น ซึ่งผ้าที่
เหมาะที่สุดในการย้อมวิธีนี้ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าไหม (Silk), ผ้าขนสัตว์ (Wool), ผ้าฝ้าย
(Cotton) หรือ ผ้าลินิน (Liner) เป็นต้น ซึ่งผ้าเหล่านี้จะดูดซึมสีย้อมผ้าได้อย่างสมำ่าเสมอกันสีย้อมผ้า
จะใช้แบบสีผงหรือสีนำ้าก็ได้ (Stokoe, S. 1999 : 47)
1. วัสดุ อุปกรณ์ ที่จำาเป็นในเทคนิคนี้ : ผ้าไหม (Silk) ที่
ผ่านการทำาความสะอาดแล้ว, สีรแี อคทีฟ (Reactive Dyes),
โซเดียมซัลเฟต (Sodium Sulfate), โซดาแอช (Soda Ash),
สบูเที
่ ยม (Wetting Agent), อ่างย้อม (Dye Bath), ทีหนี
่ บผ้า
(Clother Pegs), ผ้าคลุมกันเปือน
้ (Drop Cloth), ถุงมือยาง
(Rubber Gloves), บิกเกอร์
๊ (Beaker), เตาไฟฟ้า (Hot
Plate), ไม้พาย
2. เลือกอ่างย้อมหรือภาชนะย้อมสีให้มีขนาดใหญ่เพียง
พอทีจ่ ะบรรจุความกว้างของผ้าโดยไม่ต้องพับผ้าขึ้น
มากเกินไป และให้ลึกเพียงพอทีจ่ ะยึดผ้าไว้ เมื่อจุ่ม
ผ้าลงไปในสีย้อม
45
5. นำาผ้าจุ่มนำ้าสะอาดก่อนเพื่อให้ผ้าเปียกและดูดซึมสีได้
ดี
46
6. ต่อจากนั้นนำาผ้าหนีบกับไม้หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำาให้
ผ้ายึดเกาะได้ แล้วจุ่มผ้าด้านล่างสุดลงในอ่างย้อม
และแกว่งผ้าบ้างในบางครั้งเพื่อไม่ให้สีย้อมเป็นแนว
เส้นตรง จนครบเวลา นำาออกซัก-ล้าง และพร้อมที่
จะย้อมสีต่อไป
8. ผสมสีย้อมโดยละลายสีในเปอร์เซ็นต์เฉดที่สูงเพื่อจะ
ได้สที ี่เข้มกว่าสีแรก
47
9. ในกรณีที่ผ้าแห้งต้องนำาผ้าลงชุบนำ้าก่อนแล้วจึงนำาลง
ย้อมสี
11. เมื่อย้อมจนครบเวลาให้นำาผ้าขึ้นจากอ่างย้อมแล้ว
นำาไปซัก-ล้าง ให้สะอาดหลายๆ ครั้ง
48
กา รม ัด ผ้ าย ้อ มเป ็น ลว ดล ายต ่า ง ๆ
กา รอ อก แบ บลว ดล าย
การออกแบบลวดลายบนผืนผ้าในการทำาผ้ามัดย้อมทั่วๆ ไป ผู้ออกแบบมักจะตั้งจุดมุ่งหมาย
ทีจ่ ะให้ได้ลวดลายแปลกๆ อยู่เสมอ ตลอดจนประโยชน์ใช้สอยในด้านต่างๆ ด้วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้า
พันคอ ผ้าปูโต๊ะ ผ้าม่าน ผ้าตัดเสื้อ เป็นต้น การออกแบบลวดลายจำาเป็นต้องให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้ง
ไว้ ตัวอย่างผ้าที่ต้องใช้เป็นประจำาก็ควรจะเป็นลวดลายที่เรียบง่าย ไม่ฉูดฉาด ผู้ออกแบบลวดลายและ
สีสันไปพร้อมๆ กันว่าควรใช้สีเดียวหรือหลายสี เมื่อได้แบบที่ต้องการจึงร่างด้วยดินสอหรือชอล์คสี
อ่อนๆ ไม่ควรเป็นลวดลายที่ยุ่งยาก สลับซับซ้อนมากนัก ซึ่งจะไม่สะดวกในการมัดหรือเนา
2. กา รม ัด ให ้เก ิด ลว ดล าย
การทำาผ้ามัดย้อม บางทีก็ให้ความสนุกสนานเมื่อได้พิจารณาถึงการออกแบบ
และวิธีการมัดที่แตกต่างกันต่อผลที่ออกมา การฝึกหัดทำาผ้ามัดย้อมแต่ละวิธีเป็นการเรียน
รู้วิธีการทำางานเป็นอย่างไร จากการทำางานแต่ละชิ้น แต่ละวิธีของการมัดย้อมและมีการ
จำาแนก เพื่อให้เห็นผลงานที่มีคุณค่าในชิ้นงานโดยพยายามออกแบบ ตลอดจนเอาแบบ
อย่างงานทั่วๆ ไป ให้เท่าเทียมหรือดีกว่า
การมัดมีความหลากหลาย สามารถจัดเป็นหมวดหมู่อย่างง่ายๆ เช่น ทำา เป็น
วงกลม การรวบรวม การพับ การใช้เครื่องหนีบจับ หรือใช้วัสดุที่ใช้หุ้มห่อสิ่งของภายใน
การเย็บ เป็นต้น รวมทั้งแบบอย่างที่ไม่สลับซับซ้อนมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ และ
รวมถึงวิธีการมัดแบบพื้นฐาน การใช้เชือกมัดเป็นการวางการมัดด้วยเชือกบนผ้าเพื่อให้
เส้นของเชือกเป็นตัวกันสี มีการทดลองอันหลากหลายวิธีของการมัดด้วยเชือกบนชิ้นงาน
และการนำา ไปย้อมสี ซึ่งสังเกตได้จากผลงานที่ออกมา ถ้าวัสดุในการมัดที่มีความกว้าง
51
เช่น ยางรัดที่หนา หรือแผ่นยางยืดจะทำาให้พื้นที่ส่วนนั้นจะยังคงขาวซึ่งเป็นส่วนกว้างของ
การมัด ถ้ามัดด้วยเชือกห่างออกไปเพียงเล็กน้อยจะทำาให้ผลที่ออกมาในเส้นเกี่ยวกับสีจะ
ค่อยๆ เข้ามาระหว่างเชือก วัสดุที่ใช้ห่อหุ้มนั้นต้องมัดให้แน่นๆ จากส่วนบนสู่ตอนล่างสุด
จะให้ผลของเส้นชัดเจน ถ้าส่วนบนและตอนล่างสุดมัดอย่างหลวมๆ ไม่แน่นเส้นจะอ่อนไม่
ค่อยชัดเจนนัก (Meilach. Dona Z. 1973 : 179 –185)
เชือกที่ผ่านการเลือกมาสำาหรับผูกมัด มันจะไม่ขาดง่ายๆ ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อ
การดึงอย่างรุนแรง เมื่อเริ่มต้นมั ดควรเผื่อปลายให้ยาวเมื่อจบจะหาตำา แหน่งของการ
ผูกมัดตลอดจนเมื่อต้องการแก้จะทำาได้ง่ายขึ้น การมัดผ้าก่อนการย้อมสีมีวิธีการมัดหลาย
แบบหลายวิธีขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ทำาหรือเพื่อความเหมาะสมในงานที่นำาไปใช้แต่
เพื่ อเป็ นหลั กในการปฏิ บัติ เ บื้อ งต้ น (กรมส่งเสริม อุต สาหกรรม. 2540 : 19-20) ได้ใ ห้
แนวทางในการมัดมีอยู่ 2 วิธี ดังนี้
การมัดแบบไขว้ไปมา เรียกว่า มัดโปร่ง เป็นการมัดที่ต้องการให้สีแทรกซึม
เข้าไปในบางส่วนของผ้าที่ไม่ถูกเชือกมัด ทับ ซึ่งหลังจากย้อมสีเสร็จแล้ว ช่องว่าง ใน
ระหว่างเชือกที่ไขว้ไปมา สีจะแทรกซึมเข้าไปได้จะเกิดเป็นลายในตัวและมีรอยเชือกที่มัด
เป็นสีขาวไขว้ไปมา ส่วนด้านในของผ้าก็จะเป็นสีขาวสลับกับบางส่วนที่สีแทรกเข้าไปได้
การมัดโปร่งนี้สามารถมัดผ้าให้ได้ความกว้างเท่าไรก็ได้แล้วแต่ความต้องการของเรา โดย
การมัดจะเริ่มต้นในส่วนของผ้าที่ต้องการจะเก็บสีไว้ โดยเริ่มจรดปลายเชือกให้ปลายเชือก
เหลือไว้ประมาณ 4-5 นิ้ว มัดเชือกไปรอบผ้าประมาณ 2-3 รอบ ให้เชือกทับกับปลาย
เชือกแล้วจึงเริ่มไขว้ไปตามความต้องการ ซึ่งจะให้มีความกว้างของส่วนที่จะเก็บสีเดิมไว้
เท่าใด เมื่อได้ตามต้องการแล้ว จึงวนเชือกไขว้กลับมาหาปลายเชือกที่เริ่มต้นแล้วจึงมัด
ให้แน่น
วิธีการมัดแบบทึบ ผล
ของการมัดแบบทึบ
1. การออกแบบลวดลายการพับและมัด
53
1.1ลวดลายเส้นตรง
ลวดลายจากการพับ – มัดกระดาษสา ลวดลายจากการพับ – มัดผ้า
11
1.5ลวดลายวงกลมทีเ่ กิดจากการพับและมัดในลักษณะการพับแนวทแยง
มุม
56
11
57
1.7ลวดลายสี่เหลี่ยมด้วยวิธีการพับที่แตกต่างกัน
58
วิธ ีที่ 1
วิธ ีที่ 2
59
วิธ ีที่ 3
60