Professional Documents
Culture Documents
345933977 มาตรฐานไฟฟ้า PDF
345933977 มาตรฐานไฟฟ้า PDF
ในคณะกรรมการสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า
- ร่าง –
มาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่ า
ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่ อสิ่ง
ปลูกสร้ าง และอันตรายต่ อชีวติ
Protection against lightning
Part 3 : Physical damage to structures and life hazard
(ปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ. 2559)
ฉบับเทคนิคพิจารณ์
มาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่ า
ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่ อสิ่ง
ปลูกสร้ าง และอันตรายต่ อชีวติ
Protection against lightning
Part 3 : Physical damage to structures
and life hazard
คณะกรรมการอานวยการ
วิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ปี 2557-2559
1. ศ.ดร.สุชชั วีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายก
2. รศ.ดร.วัชริ นทร์ กาสลัก อุปนายกคนที่ 1
3. ศ.ดร.เอกสิทธิ์ ลิ ้มสุวรรณ อุปนายกคนที่ 2
4. รศ.ดร.สุทธิศกั ดิ์ ศรลัมพ์ อุปนายกคนที่ 3 และประธานกรรมการต่างประเทศ
5. รศ.สิริวฒ
ั น์ ไชยชนะ เลขาธิการ
6. ผศ.ศักดิช์ ยั สกานุพงษ์ เหรัญญิก
7. นางสาวบุษกร แสนสุข นายทะเบียน
8. ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประชาสัมพันธ์และโฆษก
9. ศ.ดร.อมร พิมานมาศ สาราณียกร
10. นายชัชวาลย์ คุณค ้าชู ประธานกรรมการสิทธิ และจรรยาบรรณ
11. รศ.ดร.ชวลิต รัตนธรรมสกุล ประธานกรรมการโครงการ
12. รศ.ดร.คมสัน มาลีสี ประธานสมาชิกสัมพันธ์
13. ศ.ดร.ปิ ติ สุคนธสุขกุล ปฏิคม
14. นายไกร ตังสง่
้ า ประธานกรรมการสวัสดิการ
15. ศ.ดร.ต่อกุล กาญจนาลัย กรรมการกลาง
16. รศ.ดร.สุขมุ สุขพันธ์โพธาราม กรรมการกลาง
17. นายสืบศักดิ์ พรหมบุญ กรรมการกลาง
18. ดร.ชวลิต ทิสยากร กรรมการกลาง
19. นางจินตนา ศิริสนั ธนะ ประธานวิศวกรหญิง
20. นายประสิทธิ์ เหมวราพรชัย ประธานวิศวกรอาวุโส
คณะกรรมการสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า
วิศวกรรมสถานแห่ งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ปี 2557-2559
1. ดร.ประศาสน์ จันทราทิพย์ ที่ปรึกษา
2. นายเกษม กุหลาบแก้ ว ที่ปรึกษา
3. ผศ.ประสิทธิ์ พิทยพัฒน์ ที่ปรึกษา
4. นายภูเธียร พงษ์พิทยาภา ที่ปรึกษา
5. นายสมชาย โรจน์รุ่งวศินกุล ที่ปรึกษา
6. นายประสิทธิ์ เหมวราพรชัย ที่ปรึกษา
7. รศ.ดร.สุขมุ วิทย์ ภูมิวฒ
ุ ิสาร ที่ปรึกษา
8. นายเสริมสกุล คล้ ายแก้ ว ที่ปรึกษา
9. นายลือชัย ทองนิล ที่ปรึกษา
10. ผศ.ดร.วิศษิ ฏ์ หิรัญกิตติ ที่ปรึกษา
11. รศ.ศุลี บรรจงจิตร ที่ปรึกษา
12. นายเกียรติ อัชรพงศ์ ที่ปรึกษา
13. นายพิชญะ จันทรานุวฒ
ั น์ ที่ปรึกษา
14. ดร.เจน ศรี วฒ
ั นะธรรมา ที่ปรึกษา
15. รศ.วิชยั สุระพัฒน์ ที่ปรึกษา
16. ดร.ธงชัย มีนวล ที่ปรึกษา
17. ดร.ธนะศักดิ์ ไชยเวช ที่ปรึกษา
18. รศ.ไชยะ แช่มช้ อย ที่ปรึกษา
คณะอนุกรรมการ
ปรั บปรุ งมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่ า
ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่ อสิ่งปลูกสร้ าง
และอนัตรายต่ อชีวติ (ปรั บปรุ งครั ง้ ที่ 2)
ปี 2557-2559
ที่ปรึกษา
1. รศ.ดร.สารวย สังข์สะอาด
2. นายกิตติพงษ์ วีระโพธิ์ประสิทธิ์
คณะอนุกรรมการ
1. นายวิวฒ
ั น์ กุลวงศ์วิทย์ ประธานอนุกรรมการ
2. นายสุกิจ เกียรติบญ
ุ ศรี อนุกรรมการ
3. นายบุญมาก สมิทธิลีลา อนุกรรมการ
4. ผศ.ดร.วินยั พฤกษะวัน อนุกรรมการ
5. นายชายชาญ โพธิสาร อนุกรรมการ
6. นายโสภณ สิกขโกศล อนุกรรมการ
7. ดร.ภัคพิมล สิงหพงษ์ อนุกรรมการ
8. ดร.อรรถ พยอมหอม อนุกรรมการ
9. นายชานศ นันทวิสยั อนุกรรมการ
10. นายราเชษฐ์ บุตรโพธิ์ อนุกรรมการ
11. นางสาวนพดา ธีรอัจฉริยกุล อนุกรรมการและเลขานุการ
สารบัญ
บทนา 1
1. ขอบข่ าย 3
2. มาตรฐานอ้ างอิง 3
3. คาศัพท์ และนิยาม 4
4. ระบบป้องกันฟ้าผ่ า 8
4.1 ชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า 8
4.2 การออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่า 9
4.3 ความต่อเนื่องของงานเหล็กในสิ่งปลูกสร้ างคอนกรี ตเสริมแรง 9
5. ระบบการป้องกันภายนอก 10
5.1 ทัว่ ไป 10
5.2 ระบบตัวนาล่อฟ้า 11
5.3 ระบบตัวนาลงดิน 15
5.4 ระบบรากสายดิน 18
5.5 องค์ประกอบของระบบป้องกันฟ้าผ่า 21
5.6 วัสดุและมิติ 23
6. ระบบป้องกันฟ้าผ่ าภายใน 25
6.1 ทัว่ ไป 25
6.2 การประสานให้ ศกั ดิเ์ ท่ากันกับระบบป้องกันฟ้าผ่า 26
6.3 การฉนวนไฟฟ้าของระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก 29
7. การบารุงรักษาและการตรวจพินิจระบบป้องกันฟ้าผ่ า 32
7.1 ทัว่ ไป 32
7.2 การตรวจพินิจ 32
7.3 ลาดับของการตรวจพินิจ 32
7.4 การบารุงรักษา 32
8. มาตรการป้องกันการบาดเจ็บต่ อสิ่งมีชีวิต เนื่องจากแรงดันสัมผัสและแรงดันช่ วงก้ าว 33
8.1 มาตรการป้องกันจากแรงดันสัมผัส 33
8.2 มาตรการป้องกันจากแรงดันช่วงก้ าว 33
สารบัญรู ป
รูปที่ 1 มุมป้องกันที่สมนัยกับชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า 12
รูปที่ 2 วงรอบของตัวนาลงดิน 17
รูปที่ 3 ความยาวต่าสุด l1 ของรากสายดินแต่ละชุด จาแนกตามชันของระบบป ้ ้ องกันฟ้าผ่า 19
ภาคผนวก ก. (ใช้ เป็ นมาตรฐาน) การจัดวางตาแหน่ งระบบตัวนาล่ อฟ้า 35
รูปที่ ก.1 ปริมาตรป้องกันโดยแท่งตัวนาล่อฟ้าแนวดิง่ 35
รูปที่ ก.2 ปริมาตรป้องกันโดยแท่งตัวนาล่อฟ้าแนวดิง่ 36
รูปที่ ก.3 ปริ มาตรป้องกันโดยระบบสายตัวนาล่อฟ้า 36
รูปที่ ก.4 ปริมาตรป้องกันโดยสารตัวนาที่แยกอิสระร่วมกันเป็ นตาข่าย ตามวิธีมมุ ป้องกัน และวิธีทรงกลมกลิ ้ง 37
รูปที่ ก.5 ปริมาตรป้องกันโดยสายตัวนาไม่แยกอิสระร่วมกันเป็ นตาข่ายตามวิธีตาข่าย และวิธีมมุ ป้องกัน 37
รูปที่ ก.6 การออกแบบระบบตัวนาล่อฟ้าตามวิธีทรงกลมกลิ ้ง 38
ภาคผนวก ค. (ใช้ เป็ นข้ อมูล) การประเมินค่ าระยะการแยก s 41
รูปที่ ค.1 ค่าสัมประสิทธิ์ kc ในกรณีระบบสายตัวนาล่อฟ้าเดี่ยว 41
รูปที่ ค.2 ค่าสัมประสิทธิ์ kc ในกรณีระบบตัวนาลงดินหลายเส้ น 42
รูปที่ ค.3 ค่าสัมประสิทธิ์ kc กรณีหลังคาเป็ นหน้ าจัว่ ที่มีตวั นาล่อฟ้าอยูบ่ นสันหลังคา และมีระบบรากสายดิน
แบบ ก 44
รูปที่ ค.4 ตัวอย่างการคานวณระยะการแยกในกรณีตวั นาลงดินหลายเส้ น ที่มีตวั นาลงดินต่อถึงกันเป็ นวงแหวน
ที่แต่ละระดับ 45
รูปที่ ค.5 ค่าสัมประสิทธิ์ kc ในกรณีระบบตัวนาล่อฟ้าแบบตาข่ายที่มีระบบตัวนาลงดินหลานเส้ น 46
ภาคผนวก จ. (ใช้ เป็ นข้ อมูล) คาแนะนาสาหรับการออกบบ การก่ อสร้ าง การบารุงรักษา และการ
ตรวจพินิจของระบบป้องกันฟ้าผ่ า 56
รูปที่ จ.1 แผนภาพลาดับขันตอนของการออกแบบระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า 58
รูปที่ จ.2 การออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่าสาหรับสิ่งปลูกสร้ างที่มีสว่ นยื่นออก 65
รูปที่ จ.3 การวัดความต้ านทานทางไฟฟ้ารวมทังหมด ้ 66
รูปที่ จ.4 การประสานให้ ศกั ย์เท่ากันในสิ่งปลูกสร้ างด้ วยเหล็กเสริมแรง 68
รูปที่ จ.5 แบบฉบับวิธีการต่อของแท่งเหล็กเสริมแรงในคอนกรี ต (เมื่อได้ รับอนุญาต) 69
รูปที่ จ.6 ตัวอย่างของแคลมป์ที่ใช้ เป็ นข้ อต่อระหว่างเหล็กเส้ นเสริมแรงกับตัวนา 70
สารบัญตาราง
ตารางที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับป้องกันฟ้าผ่ากับชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า
(ดูมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 1) 8
ตารางที่ 2 ค่าสูงสุดของรัศมีของทรงกลมกลิ ้ง ขนาดตาข่าย และมุมป้องกัน ตามชันของ ้
ระบบป้องกันฟ่ าผา 12
ตารางที่ 3 ความหนาต่าสุดของแผ่นโลหะหรื อท่อโลหะที่ใช้ ในระบบตัวนาล่อฟ้า 14
ตารางที่ 4 ค่านิยมใช้ ของระยะห่างระหว่างตัวนาลงดิน ตามชันของระบป ้ ้ องกันฟ้าผ่า 16
ตารางที่ 5 วัสดุที่ใช้ ทาระบบป้องกันฟ้าผ่า และสภาพการใช้ งาน 22
ตารางที่ 6 วัสดุ รูปแบบ และพื ้นที่หน้ าตัดขันต ้ ่าของตัวนาล่อฟ้า แท่งตัวนาล่อฟ้า และตัวนาลงดิน 24
ตารางที่ 7 วัสดุ รูปแบบ และมิตขิ นต
ั ้ ่าสาหรับรากสายดิน 25
ตารางที่ 8 ขนาดขันต ้ ่าของตัวนาที่ใช้ ตอ่ แท่งตัวนาประสานต่างๆ เข้ าด้ วยกัน หรื อที่ใช้ ตอ่ แงตัวนา
ประสานเข้ ากับระบบรากสายดิน 27
ตารางที่ 9 ขนาดขันต ้ ่าของตัวนาที่ใช้ ตอ่ สิ่งติดตังโลหะภายในเข้
้ ากับแท่งตัวนาประสาน 27
ตารางที่ 10 การแยกห่างของระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก-ค่าสัมประสิทธิ์ ki 30
ตารางที่ 11 การแยกห่างของระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก-ค่าสัมประสิทธิ์ km 30
ตารางที่ 12 การแยกห่างของระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก-ค่าโดยประมาณของสัมประสิทธิ์ kc 31
ภาคผนวก ข. (ใช้ เป็ นมาตรฐาน) ขนาดพืน้ ที่หน้ าตัดขัน้ ต่าของกาบังเคเบิลที่เข้ าสู่ส่ งิ ปลูกสร้ าง
เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดประกายอันตราย 40
ตารางที่ ข.1 ความยาวเคเบิลที่พิจารณาตามสภาพของกาบัง 40
ภาคผนวก จ. (ใช้ เป็ นข้ อมูล) คาแนะนาสาหรั บการออกบบ การก่ อสร้ าง การบารุ งรั กษา และการ
ตรวจพินิจของระบบป้องกันฟ้าผ่ า 56
ตารางที่ จ.1 ระยะห่างระหว่างตัวจับยึดที่แนะนา 98
ตารางที่ จ.2 คาบเวลาสูงสุดระหว่างการตรวจสอบของระบบป้องกันฟ้าผ่าแต่ละครัง้ 153
ภาคผนวก ฉ. (ใช้ เป็ นข้ อมูล) คาอธิบายเพิ่มเติม 161
ตารางที่ ฉ.1 ตารางสรุประยะห่างในแนวระดับโดยวิธีใช้ กราฟจากรูปที่ 1 และตารางที่ 2 หัวข้ อ 5.2.2 162
ตารางที่ ฉ.2 มุมป้องกันตามความสูงของแท่งตัวนาล่อฟ้าและระดับป้องกันฟ้าผ่า 164
ตารางที่ ฉ.3 ค่าความคงทนต่อแรงดันอิมพัลส์ (Uw) ของฉนวนเคเบิล 165
ตารางที่ ฉ.6.1 ค่าความยาวต่าสุดของรากสายดินแนวระดับและแนวดิง่ ตามชันของระบบป ้ ้ องกันฟ้าผ่า เมื่อ
บทนำ
มาตรฐานภาคนี ้เกี่ยวข้ องกับการป้องกันภายในและโดยรอบสิ่งปลูกสร้ างจากความเสียหายทางกายภาพ
และป้องกันการบาดเจ็บของสิ่งมีชีวิตเนื่องจากแรงดันสัมผัสและแรงดันช่วงก้ าว
มาตรการที่สาคัญและมีประสิทธิผลที่สดุ ในการป้องกันความเสียหายทางกายภาพของสิ่งปลูกสร้ าง คือ
ระบบป้องกันฟ้าผ่า ซึง่ มักจะประกอบด้ วย ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก และระบบป้องกันฟ้าผ่าภายใน
ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอกมีหน้ าที่ดงั นี ้
ก) ดักรับวาบฟ้าผ่าที่ลงสิ่งปลูกสร้ าง (ด้ วยระบบตัวนาล่อฟ้า)
ข) นากระแสฟ้าผ่าลงดินอย่างปลอดภัย (โดยใช้ ระบบตัวนาลงดิน)
ค) กระจายกระแสฟ้าผ่าลงสูด่ นิ (โดยใช้ ระบบรากสายดิน)
การป้องกันฟ้าผ่ า
ภาคที่ 3 : ความเสียหายทางกายภาพต่ อสิ่งปลูกสร้ างและอันตราย
ต่ อชีวิต
1. ขอบเขต
มาตรฐานภาคนี ้ระบุถึงข้ อกาหนดสาหรับการป้องกันสิ่งปลูกสร้ างจากความเสียหายทางกายภาพจากฟ้าผ่า
โดยใช้ ระบบป้องกันฟ้าผ่า และการป้องกันการบาดเจ็บ ของสิ่งมีชีวิตเนื่องจากแรงดันสัมผัสและแรงดัน ช่วงก้ าว
ในบริเวณใกล้ เคียงกับระบบป้องกันฟ้าผ่า (ดูมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่าภาคที่ 1)
มาตรฐานนี ้ครอบคลุมถึง
ก. การออกแบบ การติดตัง้ การตรวจสอบ และการบารุงรักษาระบบป้องกันฟ้าผ่าของสิ่งปลูกสร้ าง โดยไม่มี
ข้ อจากัดเรื่ องความสูงของสิ่งปลูกสร้ าง
ข. กาหนดมาตรการป้องกันการบาดเจ็บต่อสิ่งมีชีวิตเนื่องจากแรงดันสัมผัสและแรงดันช่วงก้ าว
หมายเหตุ
(1) ข้อกำหนดโดยเฉพำะสำหรับระบบป้ องกันฟ้ ำผ่ำในสิ่ งปลูกสร้ ำง ที ่อำจทำให้เกิ ดอันตรำยต่อบริ เวณโดยรอบ เนื ่องจำก
ควำมเสีย่ งต่อกำรระเบิ ดอยู่ในระหว่ำงพิ จำรณำ ในระหว่ำงนีใ้ ห้ใช้ข้อมูลเพิ่ มเติ มทีใ่ ห้ไว้ในภำคผนวก ง ไปก่อน
(2) มำตรฐำนภำคนีไ้ ม่ได้มีจุดมุ่งหมำยเพือ่ ป้ องกันระบบไฟฟ้ ำและอิ เล็กทรอนิ กส์ จำกควำมเสียหำยเนือ่ งจำกแรงดันเกิ น ดู
มำตรฐำนกำรป้ องกันฟ้ ำผ่ำภำคที ่ 4 สำหรับข้อกำหนดโดยเฉพำะสำหรับกรณีดงั กล่ำว
(3) ข้อกำหนดเฉพำะในกำรป้ องกันฟ้ ำผ่ำสำหรับกังหันลมเพือ่ กำรผลิ ตไฟฟ้ ำ มี รำยงำนในมำตรฐำน IEC 61400-24
2. มาตรฐานอ้ างอิง
มาตรฐานอ้ างอิงต่อไปนี ้เป็ นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ในการใช้ มาตรฐานภาคนี ้ กรณีมาตรฐานอ้ างอิงมีวนั ที่กากับให้ ใช้ ฉบับ
ดังกล่าวเท่านัน้ ส่วนกรณีไม่มีวนั ที่กากับให้ ใช้ ฉบับล่าสุดรวมทังฉบั
้ บแก้ ไขในการอ้ างอิง
IEC 60079-10-1:2008, Explosive atmospheres – Part 10-1: Classification of areas – Explosive gas
atmospheres
IEC 60079-10-2:2009, Explosive atmospheres – Part 10-2: Classification of areas – Combustible
dust atmospheres
IEC 60079-14:2007, Explosive atmospheres – Part 14: Electrical installations design, selection and
erection
IEC 61557-4, Electrical safety in low-voltage distribution systems up to 1 000 V a.c. and 1 500 V
d.c. – Equipment for testing, measuring or monitoring of protective measures – Part 4: Resistance
of earth connection and equipotential bonding
IEC 61643-1, Low-voltage surge protective devices – Part 1: Surge protective devices
ร่ างมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่อสิ่งปลูกสร้ าง และอันตราย
4
3. คำศัพท์ และนิยำม
เพื่อวัตถุประสงค์ของมาตรฐานภาคนี ้ให้ ใช้ คาและนิยามดังต่อไปนี ้ ซึ่งบางส่วนได้ กล่าวไว้ แล้ วในมาตรฐาน
การป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 1 แต่ได้ ยกมารวมไว้ ด้วยเพื่อง่ายต่อการอ้ างอิง เช่นเดียวกับคาและนิยามที่กล่าวถึงใน
มาตรฐานภาคอื่นๆ
4. ระบบป้องกันฟ้ำผ่ ำ
4.1 ชัน้ ของระบบป้องกันฟ้าผ่ า
ลักษณะเฉพาะของระบบป้องกันฟ้าผ่ากาหนดโดยลักษณะเฉพาะของสิ่งปลูกสร้ างที่จะป้องกันและระดับ
ป้องกันฟ้าผ่าที่พิจารณา
ระบบป้องกันฟ้าผ่ามี 4 ชัน้ สอดคล้ องกับระดับป้องกันฟ้าผ่าตามมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 1 (ดู
ตารางที่ 1)
แต่ละชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่ามีลกั ษณะ ดังนี ้
ก. ข้ อมูลที่ขึ ้นกับชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า
- พารามิเตอร์ ของฟ้าผ่า (ดูตารางที่ 3 และ 4 ของมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 1)
- รัศมีของทรงกลมกลิ ้ง ขนาดตาข่าย และมุมป้องกัน (ดูข้อ 5.2.2)
- แบบฉบับของระยะห่างระหว่างตัวนาลงดินที่นิยมใช้ (ดูข้อ 5.3.3)
- ระยะการแยกซึง่ ป้องกันประกายอันตราย (ดูข้อ 6.3)
- ความยาวขันต ้ ่าของรากสายดิน (ดูข้อ 5.4.2)
ข. ปั จจัยที่ไม่ได้ ขึ ้นกับชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า
- การประสานให้ ศกั ย์เท่ากันกับระบบป้องกันฟ้าผ่า (ดูข้อ 6.2)
- ความหนาขันต ้ ่าของแผ่นโลหะ หรื อท่อโลหะในระบบตัวนาล่อฟ้า (ดูข้อ 5.2.5)
- วัสดุและสภาพการใช้ งานของระบบป้องกันฟ้าผ่า (ดูข้อ 5.5)
- วัสดุ รูปแบบ และมิตขิ นต ั ้ ่าของตัวนาล่อฟ้า ตัวนาลงดิน และรากสายดิน (ดูข้อ 5.6)
- มิตขิ นต
ั ้ ่าของตัวนาที่ใช้ ตอ่ (ดูข้อ 6.2.2)
แนวดิ่ง ต้ องใช้ การเชื่ อม การขันด้ วยแคลมป์ หรื อการซ้ อนทับกันด้ วยระยะอย่างน้ อย 20 เท่าของเส้ นผ่า น
ศูนย์กลางของเหล็กแล้ วผูก หรื อใช้ วิธีตอ่ อื่นๆ ที่มนั่ คง (ดูรูปที่ จ.5) สาหรับสิ่งปลูกสร้ างใหม่การต่อกันระหว่าง
ชิ ้นส่วนเสริมแรงต้ องกาหนดโดยผู้ออกแบบหรื อผู้ติดตัง้ โดยมีการประสานงานกับผู้ก่อสร้ างและวิศวกรโยธา
สิ่งปลูกสร้ างที่ใช้ คอนกรี ตเหล็กเสริ มแรง (รวมทังชนิ
้ ดสาเร็ จรู ปและชนิดอัดแรง) ต้ องตรวจสอบความ
ต่อเนื่องทางไฟฟ้าของเหล็กเสริ มแรงโดยการทดสอบทางไฟฟ้าระหว่างส่วนที่อยู่บนสุดกับระดับดิน ค่าความ
ต้ านทานทางไฟฟ้าทังหมดที้ ่วดั ได้ ไม่ควรมากกว่า 0.2 โอห์มเมื่อวัดด้ วยเครื่ องมือทดสอบที่เหมาะสม ถ้ าค่าที่
วัดได้ มากกว่าหรื อไม่สามารถวัดได้ ห้ามใช้ เหล็กเสริมแรงเป็ นตัวนาลงดินโดยธรรมชาติตามที่อธิบายในข้ อ 5.3.5
ในกรณีนี ้ให้ ตดิ ตังตั
้ วนาลงดินภายนอก ในกรณี ของสิ่งปลูกสร้ างที่ใช้ คอนกรี ตเสริ มแรงชนิดสาเร็ จรูปต้ องทาให้
มีความต่อเนื่องทางไฟฟ้าของเหล็กเสริมแรงระหว่างคอนกรี ตเสริมแรงชนิดสาเร็จรูปแต่ละแผ่นที่อยู่ตดิ กัน
หมายเหตุ
1. ดูข้อมูลเพิ่ มเติ มเรื ่องความต่อเนือ่ งของงานเหล็กในสิ่ งปลูกสร้างคอนกรี ตเสริ มแรงในภาคผนวก จ
2. ในหลายประเทศไม่อนุญาตให้ใช้คอนกรี ตเสริ มแรงเป็ นส่วนของระบบป้ องกันฟ้ าผ่า
3. แคลมป์ ทีใ่ ช้ในการสร้างความต่อเนือ่ งของงานเหล็กในคอนกรี ตเสริ มแรงต้องสอดคล้องกับมาตรฐาน IEC 62561-1
5. ระบบป้องกันฟ้าผ่ าภายนอก
5.1 ทั่วไป
5.1.1 การใช้ งานระบบป้องกันฟ้าผ่ าภายนอก
ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอกมี จุดมุ่งหมายเพื่อ ดักรับวาบฟ้าผ่าโดยตรงลงสิ่งปลูกสร้ าง รวมทัง้ วาบ
ฟ้าผ่าเข้ าสู่ด้านข้ างสิ่งปลูกสร้ าง และนากระแสฟ้าผ่าจากจุดฟ้าผ่าลงสู่ดิน ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอกยังมี
จุดมุง่ หมายเพื่อกระจายกระแสฟ้าผ่านี ้ลงสู่ดินโดยไม่ทาให้ เกิดความเสียหายทางกลและทางความร้ อน รวมทัง้
ไม่ทาให้ เกิดประกายอันตรายที่อาจจุดชนวนให้ เกิดเพลิงไหม้ หรื อการระเบิด
5.1.2 การเลือกระบบป้องกันฟ้าผ่ าภายนอก
โดยส่วนใหญ่ ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอกอาจจะยึดติดกับสิ่งปลูกสร้ างที่จะป้องกัน
ควรพิจารณาเลือกใช้ ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอกแบบแยกอิสระ เมื่อผลของความร้ อนหรื อการระเบิด
ณ จุด ฟ้ าผ่า หรื อ บนตัว นาที่ น ากระแสฟ้ าผ่าอาจก่อ ความเสี ยหายต่อ สิ่ ง ปลูก สร้ างหรื อสิ่ ง ที่ อยู่ภ ายใน (ดู
ภาคผนวก จ) ตัวอย่างเช่น สิ่งปลูกสร้ างซึ่งมีสิ่งปกคลุมที่ติดไฟได้ สิ่งปลูกสร้ างที่มีผนังที่ติดไฟได้ และบริ เวณที่
มีความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ หรื อการระเบิด
หมายเหตุ การใช้ระบบป้ องกันฟ้ าผ่าแบบแยกอิ สระอาจมี ความสะดวกกว่า เมื ่อคาดการณ์ ว่าการเปลี ่ยนแปลงสิ่ ง
ปลูกสร้างหรื อสิ่ งทีอ่ ยู่ภายใน รวมทัง้ การใช้งาน จะมี ผลให้ตอ้ งดัดแปลงระบบป้ องกันฟ้ าผ่า
ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอกแบบแยกอิสระอาจจะพิจารณาเลือกใช้ เมื่อสิ่งที่อยู่ภายในสิ่งปลูกสร้ างไม่
สามารถรับระดับการรบกวนของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากพัลส์กระแสฟ้าผ่าที่ไหลผ่านตัวนาลงดิน ทาให้ ต้องลด
สนามแม่เหล็กไฟฟ้าโดยการใช้ ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอกแบบแยกอิสระ
5.1.3 การใช้ องค์ ประกอบโดยธรรมชาติ
ร่ างมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่อสิ่งปลูกสร้ าง และอันตราย
11
ชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้ าผ่า
IV
I II III
หมายเหตุ h (เมตร)
1. ค่าทีเ่ กิ นเลยเครื ่องหมาย ในกราฟใช้วิธีมมุ ป้ องกันไม่ได้ ให้ใช้วิธีทรงกลมกลิ้ งหรื อวิ ธีตาข่ายเท่านัน้
2. h คือ ความสูงของตัวนาล่อฟ้ าเหนือพืน้ ทีร่ ะนาบอ้างอิ งของพืน้ ทีท่ ีจ่ ะป้ องกัน
3. ค่าของมุมป้ องกันมี ค่าคงทีส่ าหรับความสูง h ทีต่ ่ากว่า 2 เมตร
รู ปที่ 1 มุมป้องกันที่สมนัยกับชัน้ ของระบบป้องกันฟ้าผ่ า
ตัวนาลงดินควรติดตังที
้ ่ทกุ มุมเปิ ดโล่งของสิ่งปลูกสร้ าง ถ้ าเป็ นไปได้
5.3.4 กำรสร้ ำง
ตัวนาลงดินต้ องติดตังให้
้ มีความต่อเนื่องโดยตรงกับตัวนาล่อฟ้าให้ มากที่สดุ เท่าที่ทาได้ ในทางปฏิบตั ิ
ตัวนาลงดินต้ องติดตังให้
้ เป็ นเส้ นตรงในแนวดิ่งเพื่อให้ เป็ นเส้ นทางลงดินที่สนที
ั ้ ่สดุ และลงดินที่ตรงที่สุด
ต้ องหลีกเลี่ยงการติดตังที
้ ่ทาให้ เกิดเป็ นวงรอบ หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ระยะของช่องว่าง s ระหว่างสอง
จุดบนตัวนา และความยาว l ระหว่างตัวนา 2 จุดนัน้ (ดูรูปที่ 2 5.1) ต้ องเป็ นไปตามข้ อ 6.3
l1
s l2
l3
l = l1 + l2 + l3
รู ปที่ 2 วงรอบของตัวนาลงดิน
5.4.2.1 การจัดวางแบบ ก
การจัดวางแบบนี ้ประกอบด้ วยรากสายดินตามแนวระดับหรื อแนวดิง่ ติดตังด้้ านนอกสิ่งปลูกสร้ างที่จะ
ป้องกัน และต่อเข้ ากับตัวนาลงดิน แต่ละเส้ น หรื อรากสายดินฐานราก โดยไม่ทาให้ เกิดเป็ นวงรอบปิ ด (Closed
loop)
จานวนรากสายดินทังหมดของการจั
้ ดวางแบบ ก ต้ องไม่น้อยกว่า 2 ชุด
ชัน้ I
l1 (เมตร)
ชัน้ II
(โอห์ม-เมตร)
5.4.2.2 การจัดวางแบบ ข
การจัดวางแบบนี ้ อาจจะประกอบด้ วยตัวนาวงแหวนติดตังภายนอกสิ
้ ่งปลูกสร้ างที่จะป้องกัน และมี
ส่วนสัมผัสกับดินอย่างน้ อยร้ อยละ 80 ของความยาวรวม หรื อรากสายดินฐานรากที่ประกอบกันเป็ นวงรอบปิ ด
รากสายดินแบบนี ้อาจมีการต่อกันเป็ นตาข่ายได้ ด้วย
หมายเหตุ แม้ว่าร้อยละ 20 ของความยาวรวมของรากสายดิ นอาจจะไม่ได้สมั ผัสกับดิ น ตัวนาวงแหวนจะต้องต่อ
กันอย่างสมบูรณ์อยู่เสมอ ตลอดความยาวทัง้ หมดของรากสายดิ น
รากสายดินวงแหวน (หรื อรากสายดินฐานราก) ต้ องให้ รัศมีเฉลี่ย re ของพื ้นที่ที่ล้อมรอบโดยรากสาย
ดินวงแหวน (หรื อรากสายดินฐานราก) นันมี
้ คา่ ไม่น้อยกว่า l1
re l1 (1)
โดยที่ l1 คือ ค่าที่แสดงในรูปที่ 3 ตามระบบป้องกันฟ้าผ่า ชัน้ I II III และ IV
กรณีที่ค่า l1 ที่ต้องการมีค่ามากกว่ารัศมี re ที่ทาได้ สะดวก ให้ เพิ่มรากสายดินแนวราบหรื อแนวดิ่ง
(หรื อแนวเอียง) รากสายดินที่ ต้องเพิ่มแต่ละชุดต้ องมีความยาว lr (แนวระดับ) และ lv (แนวดิ่ง) ตามสมการ
ต่อไปนี ้
lr l1 re (2)
และ lv (l1 re ) / 2 (3)
แนะนาว่า จานวนรากสายดินต้ องไม่น้อยกว่าจานวนตัวนาลงดิน และมีจานวนไม่น้อยกว่า 2 ชุด
รากสายดินทังหลายที
้ ่เพิ่มเข้ ามา ควรต่อเข้ ากับรากสายดินวงแหวนที่จดุ ซึ่งต่อกับตัวนาลงดิน และให้
จานวนมากที่สดุ เท่าที่เป็ นไปได้ โดยจัดให้ มีระยะห่างเท่า ๆ กัน
5.4.3 การติดตัง้ รากสายดิน
รากสายดินที่มีการจัดวางแบบ ข (รากสายดินวงแหวน) ควรฝั งดินที่ความลึกอย่างน้ อย 0.5 เมตร และ
ที่ระยะห่าง 1 เมตร จากผนังด้ านนอกโดยรอบ
รากสายดินที่มี การจัดวางแบบ ก ต้ องติดตังให้
้ ความลึกของปลายบนมีค่าอย่างน้ อย 0.5 เมตร และ
ติดตังให้
้ กระจายอย่างสม่าเสมอให้ มากที่สดุ เท่าที่เป็ นไปได้ เพื่อลดผลของการคัปปลิงทางไฟฟ้าภายในดิน
หมายเหตุ 1. ถ้ารากสายดิ นแบบ ก อยู่ในบ่อตรวจสอบ (inspection housing) หรื อในทางหนึ่ง คื อ อยู่ในพื ้นปู
(Paving) ทีม่ ี ความต้านทานสูงหรื อในคอนกรี ตทีว่ างต่อกัน ไม่จาเป็ นต้องติ ดตัง้ ให้ลึกถึง 0.5 เมตรก็ได้
รากสายดินต้ องติดตังได้
้ ในลักษณะที่สามารถตรวจสอบได้ ในระหว่างการก่อสร้ าง
ความลึกที่ฝังและแบบของรากสายดินต้ องเป็ นไปเพื่อลดผลของการกัดกร่ อน ผลจากการแห้ งตัวและ
การเยือกแข็งของดิน เพื่อให้ ความต้ านทานดินแบบดังเดิ
้ มมีคา่ คงที่
ขอแนะนาว่า ส่วนบนของรากสายดินแนวดิ่ง เท่ากับความลึกของดินที่เยือกแข็งไม่ควรถือเป็ นค่ายังผล
ในสภาพดินเย็นจนเป็ นเกล็ดน ้าแข็ง
หมายเหตุ 2. ดังนัน้ ควรเพิ่ มความยาวของรากสายดิ นแนวดิ่ งทุกแท่งอี ก 0.5 เมตร จากความยาว l1 ที ่คานวณได้
ตามข้อ 5.4.2.1 และ 5.4.2.2
กรณีพื ้นดินเป็ นสภาพหินโล้ น ขอแนะนาให้ ใช้ รากสายดินที่มีการจัดวางแบบ ข
กรณีสิ่งปลูกสร้ างที่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ จานวนมากหรื อมีความเสี่ยงสูงในการเกิดเพลิงไหม้ ควรใช้
รากสายดินที่มีการจัดวางแบบ ข จะดีกว่า
5.4.4 รากสายดินโดยธรรมชาติ
ควรใช้ เหล็กเสริ มแรงที่ต่อถึงกันในฐานรากคอนกรี ตที่เป็ นไปตามข้ อ 5.6 หรื อโครงสร้ างโลหะใต้ ดิน ที่
เหมาะสมอื่นๆ เป็ นรากสายดินจะดีกว่า กรณีใช้ โลหะเสริมแรงในคอนกรี ตเป็ นรากสายดิน ต้ องระวังเป็ นพิเศษที่
จุดต่อถึงกันเพื่อป้องกันการแยกตัวทางกลของคอนกรี ต
หมายเหตุ 1. ในกรณีใช้คอนกรี ตอัดแรง ควรพิ จารณาผลทีต่ ามมาจากการเป็ นทางไหลกระแสฟ้ าผ่าที ่อาจทาให้เกิ ด
ความเครี ยดทางกลทีร่ บั ไม่ได้
หมายเหตุ 2. กรณีใช้รากสายดิ นฐานราก ความต้านทานดิ นอาจมี ค่าเพิ่ มขึ้นในระยะยาว
หมายเหตุ 3. ดูข้อมูลหัวข้อนีเ้ พิ่ มเติ มมากขึ้นตามรายงานในภาคผนวก จ
5.5 องค์ ประกอบของระบบป้องกันฟ้าผ่ า
5.5.1 ทั่วไป
องค์ประกอบทุกชิ ้นของระบบป้องกันฟ้าผ่าต้ องทนได้ โดยไม่เสียหายต่อผลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
เนื่องจากกระแสฟ้าผ่าและความเครี ยดทางอุบตั ิเหตุที่คาดการณ์ว่าอาจเกิดขึ ้นซึ่งสามารถบรรลุผลได้ โดยเลือก
องค์ประกอบที่ได้ ทดสอบมาแล้ วอย่างสมบูรณ์ตามอนุกรมมาตรฐาน IEC 62561
องค์ประกอบของระบบป้องกันฟ้าผ่าต้ องทาจากวัสดุในตารางที่ 5 หรื อวัสดุอื่นๆ ที่มีคณุ ลักษณะเชิง
สมรรถนะเทียบเท่าในทางกล ทางไฟฟ้า และทางเคมี (การกัดกร่อน)
หมายเหตุ องค์ประกอบทีใ่ ช้ในการจับยึดอาจทาจากวัสดุอืน่ ทีไ่ ม่ใช่โลหะ
5.5.2 การจับยึด
ตัวนาล่อฟ้าและตัวนาลงดินต้ องมีการจับยึดอย่างมัน่ คง เพื่อไม่ให้ แรงกระทาที่เกิดจากไฟฟ้าพลวัตหรื อ
แรงอุบตั ิเหตุทางกลที่อาจเกิดขึ ้น (เช่น แรงจากการสัน่ การเลื่อนของแผ่นหิมะ การขยายตัวทางความร้ อน เป็ น
ต้ น) ทาให้ ตวั นาขาด หลุด หรื อ หลวม (ดูภาคผนวก ง ในมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่าภาคที่ 1)
หมายเหตุ ระยะระหว่างการจับยึดทีแ่ นะนาได้รายงานในตารางที ่ จ.1
5.5.3 การต่ อ
จานวนการต่อตลอดความยาวของตัวนาต้ องมี น้อยที่สุด การต่อต้ องทาให้ แข็ง แรงโดยใช้ การแล่น
ประสาน การเชื่อม การขันด้ วยแคลมป์ การบีบอัดให้ ยน่ การเชื่อมตะเข็บ การยึดด้ วยสกรู หรื อการสลักเกลียว
เพื่อให้ บรรลุผลนี ้ การต่องานเหล็กภายในโครงสร้ างคอนกรี ตเสริ มแรงต้ องเป็ นไปตามหัวข้ อ 4.3 และ
ต้ องเป็ นไปตามข้ อกาหนดและทดสอบตามมาตรฐาน IEC 62561-1
5.6 วัสดุและมิติ
5.6.1 วัสดุ
วัสดุและมิตติ ้ องเลือกโดยตระหนักถึงความเป็ นไปได้ ในการกัดกร่อนของสิ่งปลูกสร้ างที่จะป้องกัน และ
ของระบบป้องกันฟ้าผ่า
5.6.2 มิติ
รูปแบบและพื ้นที่หน้ าตัดขันต
้ ่าของตัวนาล่อฟ้า แท่ง ตัวนาล่อฟ้า และตัวนาลงดิน แสดงในตารางที่ 6
และต้ องเป็ นไปตามข้ อกาหนดและทดสอบตามอนุกรมมาตรฐาน IEC 62561
รูปแบบและมิติขนตั ้ ่าของรากสายดิน แสดงในตารางที่ 7 และต้ องเป็ นไปตามข้ อกาหนดและทดสอบ
ตามอนุกรมมาตรฐาน IEC 62561
ตารางที่ 6 วัสดุ รู ปแบบ และพืน้ ที่หน้ าตัดขัน้ ต่าของตัวนาล่ อฟ้า แท่ งตัวนาล่ อฟ้า และตัวนาลงดิน
พืน้ ที่หน้ าตัดขัน้ ต่า
วัสดุ รู ปแบบ
มม2
ทองแดง เทปตัน 50
ทองแดงเคลือบดีบกุ แท่งกลมตัน b 50
ตีเกลียว b 50
แท่งกลมตัน c 176
อะลูมิเนียม เทปตัน 70
แท่งกลมตัน 50
ตีเกลียว 50
อะลูมิเนียมเจือ เทปตัน 50
แท่งกลมตัน 50
ตีเกลียว 50
แทงกลมตัน c 176
ทองแดงเคลือบอลูมิเนียมเจือ แท่งกลมตัน 50
เหล็กอาบสังกะสีแบบจุม่ ร้ อน เทปตัน 50
แท่งกลมตัน 50
ตีเกลียว 50
แท่งกลมตัน c 176
เหล็กเคลือบทองแดง แท่งกลมตัน 50
เทปตัน 50
เหล็กกล้ าไร้ สนิม เทปตัน d 50
แท่งตันกลม d 50
ตีเกลียว 70
แท่งตันกลม c 176
a
ลักษณะเฉพาะทางกลและไฟฟ้ า เช่นเดียวกับคุณสมบัติความต้ านทานการกัดกร่อนต้ องเป็ นไปตามข้ อกาหนดของอนุกรมมาตรฐาน
IEC 62561
b
50 มม.2 (เส้ นผ่านศูนย์กลาง 8 มม.) อาจลดลงเป็ น 25 มม.2 ในการประยุกต์ใช้ งานบางอย่างที่ความแข็งแรงทางกลไม่เป็ นข้ อกาหนด
จาเป็ น ควรพิจารณาลดระยะห่างระหว่างตัวรัดในกรณีนี ้
c
ประยุกต์ใช้ กบั แท่งตัวนาล่อฟ้ าและแท่งตัวนากลมตันต่อลงดิน กรณีที่แท่งตัวนาล่อฟ้ าซึง่ ความเค้ นทางกล เช่นแรงลมไม่วิกฤตอาจใช้
แท่งตัวนายาว 1 ม. เส้ นผ่านศูนย์กลาง 9.5 มม.
d
ถ้ าการพิจารณาทางกลและความร้ อนมีความสาคัญดังนัน้ ค่าเหล่านี ้ควรเพิ่มเป็ น 75 มม.2
6. ระบบป้องกันฟ้ำผ่ ำภำยใน
6.1 ทั่วไป
ระบบป้องกันฟ้ าผ่าภายในต้ องหลี กเลี่ ยงไม่ให้ เกิ ดประกายอันตรายภายในสิ่งปลูกสร้ างที่ จะป้องกัน
เนื่องจากกระแสฟ้าผ่าไหลในระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอกหรื อส่วนตัวนาอื่นๆ ของสิ่งปลูกสร้ าง
ประกายอันตรายอาจเกิดขึ ้นระหว่างระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอกกับส่วนอื่นๆ เช่น
- สิ่งติดตังโลหะ
้
- ระบบภายใน
ถ้ าต้ องการป้องกันระบบภายในจากเสิร์จ ให้ ใช้ อุปกรณ์ ป้องกันเสิร์จ ที่มี การประสานสัม พันธ์ ตาม
ข้ อกาหนดในบทที่ 7 ของมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 4
6.2.5 กำรประสำนให้ ศักย์ เท่ ำกันทำงฟ้ำผ่ ำสำหรั บสำยไฟฟ้ำและโทรคมนำคมที่ต่อกับสิ่งปลูกสร้ ำง
ที่จะป้องกัน
การประสานให้ ศกั ย์เท่ากันทางฟ้าผ่าสาหรับสายไฟฟ้าและโทรคมนาคมต้ องติดตังตามข้ ้ อ 6.2.3
ตัวนาทั ้งหมดของสายทุกเส้ นควรประสานเข้ ากับแท่งตัวนาประสานโดยตรงหรื อผ่านอุปกรณ์ป้องกัน
เสิร์จ ตัวนาเส้ นไฟต้ องประสานผ่านอุปกรณ์ป้องกันเสิร์จเท่านั ้น ส่วนในระบบ TN ตัวนาป้ องกัน (PE) หรื อ
ตัวนาป้องกันร่วม (PEN) ต้ องต่อประสานเข้ ากับระบบป้องกันฟ้าผ่าโดยตรงหรื อผ่านอุปกรณ์ป้องกันเสิร์จ
ถ้ าสายมีการกาบัง หรื อวางในท่อร้ อยสายโลหะต้ องประสานกาบัง และท่อร้ อยสายเหล่านี ้ การ
ประสานศักย์ให้ เท่ากันทางฟ้าผ่าของตัวนานี ้จะไม่จาเป็ นหากกาบังหรื อท่อร้ อยสายมีพื ้นที่หน้ าตัด Sc ไม่น้อย
กว่าค่าขันต
้ ่า SCMIN ตามที่คานวณได้ จากภาคผนวก ข
การประสานให้ ศกั ย์เท่ากันทางฟ้าผ่าของกาบังของเคเบิลหรื อท่อร้ อยสายเหล่านี ้ต้ องทาใกล้ จดุ ที่เข้ าสู่
สิ่งปลูกสร้ าง
ตัวนาประสานต้ องคงทนกระแสเช่นเดียวกันกับที่ระบุในข้ อ 6.2.3 สาหรับช่องประกายกันแยก ้
อุปกรณ์ป้องกันเสิร์จต้ องเป็ นไปตามมาตรฐาน IEC 61643-1 และ IEC 61643-21 และต้ องมี
คุณลักษณะดังนี ้
- ทดสอบด้ วย Iimp ≥ IF โดยที่ IF คือกระแสฟ้าผ่าที่ไหลไปตามสายตัวนา (ดูภาคผนวก จ ของมาตรฐาน
การป้องกันฟ้าผ่าภาคที่1)
- ระดับการป้องกัน UP ต่ากว่าระดับความคงทนอิมพัลส์ของฉนวนที่อยูร่ ะหว่างส่วนที่จะป้องกัน
ถ้ าต้ องการป้องกันระบบภายในที่ตอ่ อยู่กบั สายที่เข้ าสู่สิ่งปลูกสร้ างจากเสิร์จ ให้ ใช้ อปุ กรณ์ป้องกันเสิร์จ
ที่มีการประสานสัมพันธ์ ตามข้ อกาหนดในบทที่ 7 ของมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 4
หมายเหตุ เมื ่อต้องกำรประสำนให้ศกั ย์ เท่ำกันแต่ไม่ ต้องกำรระบบป้ องกันฟ้ ำผ่ำ สำมำรถใช้ระบบรำกสำยดิ นของ
ระบบไฟฟ้ ำแรงต่ำเพือ่ วัตถุประสงค์ นี้ ดูข้อมูลในมำตรฐำนกำรป้ องกันฟ้ ำผ่ำภำคที ่ 2 สำหรับภำวะที ่ไม่ต้องกำรระบบป้ องกัน
ฟ้ ำผ่ำ
6.3 กำรฉนวนไฟฟ้ำของระบบป้องกันฟ้ำผ่ ำภำยนอก
6.3.1 ทัว่ ไป
การฉนวนไฟฟ้ าระหว่างตัวนาล่อฟ้ าหรื อตัวนาลงดินกับโครงสร้ างโลหะ สิ่ง ติดตัง้ โลหะ และระบบ
ภายใน สามารถทาให้ บรรลุผลโดยจัดให้ มีระยะการแยก s ระหว่างส่วนต่างๆ สมการทัว่ ไปสาหรับการคานวณ
ระยะการแยก s ให้ เป็ นดังนี ้
ki
s= kc × l (เมตร) (4)
km
โดยที่
ki ขึ ้นอยูก่ บั การเลือกชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า (ดูตารางที่ 10)
km ขึ ้นอยูก่ บั วัสดุที่ใช้ เป็ นฉนวนไฟฟ้า (ดูตารางที่ 11)
kc ขึน้ อยู่กับ กระแสฟ้ าผ่า (บางส่วน)ที่ ไ หลในตัวน าล่อฟ้ า และตัว นาลงดิน (ดูต ารางที่ 12 และ
ภาคผนวก ค.)
l คือ ความยาว หน่วยเป็ นเมตร ตามแนวของตัวนาล่อฟ้าและตัวนาลงดิน วัดจากจุดที่พิจารณา
ระยะการแยกกับจุดที่มีการประสานให้ ศกั ย์เท่ากัน หรื อ รากสายดิน ที่ใกล้ ที่สุด (ดูข้อ จ.6.3 ใน
ภาคผนวก จ.)
หมายเหตุ ควำมยำว l ตำมแนวของตัวนำล่อฟ้ ำสำมำรถละเลยได้ในสิ่ งปลูกสร้ำงที ่มีหลังคำโลหะต่อเนือ่ งทำหน้ำที ่
เป็ นระบบตัวนำล่อฟ้ ำโดยธรรมชำติ
ชัน้ ของระบบป้องกันฟ้ำผ่ ำ ki
I 0.08
II 0.06
III และ IV 0.04
6.3.2 วิธีคิดแบบง่ ำย
ในสิ่งปลูกสร้ างแบบอย่างทัว่ ไป การประยุกต์ใช้ สมการ (4) ต้ องมีการพิจารณาเงื่อนไขดังต่อไปนี ้
kc ขึ ้นอยูก่ บั กระแสฟ้าผ่า (บางส่วน) ที่ไหลตามการจัดวางตัวนาลงดิน (ดูตารางที่ 12 และภาคผนวก ค.)
I คือ ความยาวตามแนวดิ่ง หน่วยเป็ นเมตร ตามแนวของตัวนาลงดิน วัดจากจุดที่พิจารณาระยะการ
แยกกับจุดที่มีการประสานให้ ศกั ย์เท่ากันที่ใกล้ ที่สดุ
k
S i (k I k I k I ) (5)
c1 1 c2 2 cn n
k
m
ภาคผนวก ก
(ใช้ เป็ นมาตรฐาน)
การจัดวางตาแหน่ งระบบตัวนาล่ อฟ้า
h1
O C
B
คาไข
A คือ จุดยอดของแท่งตัวนาล่อฟ้า
B คือ ระนาบอ้ างอิง
OC คือ รัศมีของบริเวณป้องกัน
h1 คือ ความสูงของแท่งตัวนาล่อฟ้า เหนือระนาบอ้ างอิงของบริ เวณที่จะป้องกัน
คือ มุมป้องกันตามตารางที่ 2
1 2
h1 h1
h2
H
คำไข
h1 คือ ความสูงทางกายภาพของแท่งตัวนาล่อฟ้ าแนวดิ่ง
หมายเหตุ มุมป้ องกัน 1 ตำมควำมสูงของแท่งตัวนำล่อฟ้ ำ h1 ซึ่ งเป็ นควำมสูงเหนือพืน้ ผิ วหลังคำที ่จะป้ องกัน มุมป้ องกัน
2 ตำมควำมสูงของแท่งตัวนำล่อฟ้ ำ h2 h1 H โดยที พ
่ ืน้ เป็ นระนำบอ้ำงอิ ง 1 สัมพันธ์ กบั h1 และ 2 สัมพันธ์ กบั h2
หมายเหตุ รัศมี ทรงกลมกลิ้ ง r ควรเป็ นไปตามชัน้ ของระบบป้ องกันฟ้ าผ่าทีเ่ ลือก (ดูตารางที ่ 2)
ภาคผนวก ข
(ใช้ เป็ นมาตรฐาน)
ขนาดพืน้ ที่หน้ าตัดขัน้ ต่าของกาบังเคเบิลที่เข้ าสู่ส่ งิ ปลูกสร้ าง
เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดประกายอันตราย
แรงดันเกินระหว่างตัวนากับกาบังของเคเบิลอาจทาให้ เกิดประกายอันตรายเนื่องจากกระแสฟ้าผ่าที่ไหล
ในกาบัง แรงดันเกินขึ ้นอยูก่ บั วัสดุ มิตขิ องกาบัง ความยาวและตาแหน่งติดตังของเคเบิ
้ ล
มิตพิ ื ้นที่หน้ าตัดขันต
้ ่า SCMIN (เป็ น ตร.มม.) ของกาบังเพื่อหลีกเลี่ย งการเกิดประกายอันตรายกาหนดโดย
สมการ
SCMIN (IF C LC 106 ) l Uw (ตร.มม.) (ข.1)
โดยที่
IF คือ กระแสที่ไหลในกาบัง หน่วยเป็ นกิโลแอมแปร์
C คือ ความต้ านทานจาเพาะของกาบัง หน่วยเป็ นโอห์มเมตร
LC คือ ความยาวของเคเบิล หน่วยเป็ นเมตร (ดูตารางที่ ข.1)
Uw คือ ความคงทนต่อแรงดันอิมพัลส์ของระบบไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ ที่รับไฟจากเคเบิล หน่วยเป็ นกิโลโวลต์
หมายเหตุ ควรมี การตรวจสอบให้แน่ใจว่า อุณหภูมิเพิ่ มของฉนวนของตัวนาที ่อาจเกิ ดขึ้ นไม่เกิ นค่าที ่ยอมรับได้ เมื ่อมี กระแส
ฟ้ าผ่าไหลในกาบัง หรื อตัวนาของเคเบิ ล ดูข้อมูลโดยละเอียดในมาตรฐานการป้ องกันฟ้ าผ่า ภาคที ่ 4
ขีดจากัดของกระแสมีคา่ ดังนี ้
- เคเบิลที่มกี าบังเป็ นทองแดง IF 8 SC และ
- เคเบิลที่ไม่มกี าบัง IF 8 n ' S 'C
โดยที่
IF คือ กระแสที่ไหลในกาบัง หน่วยเป็ นกิโลแอมแปร์
n' คือ จานวนตัวนา
SC คือ ขนาดพื ้นที่หน้ าตัดของกาบัง หน่วยเป็ น ตร.มม.
S'C คือ ขนาดพื ้นที่หน้ าตัดของแต่ละตัวนาหน่วยเป็ น ตร.มม.
ภาคผนวก ค
(ใช้ เป็ นข้ อมูล)
การประเมินค่ าระยะการแยก s
hc
kc
2h c
รู ปที่ ค.1 ค่ าสัมประสิทธิ์ kc ในกรณีระบบสายตัวนาล่ อฟ้าเดี่ยว
c
h
c
kc 1 0.1 0.2 3
2n h
คาไข
n คือ จานวนตัวนาลงดินทังหมด
้
c คือ ระยะของตัวนาลงดินเส้ นหนึง่ กับตัวนาลงดินถัดไป
h คือ ระยะห่าง (หรื อความสูง) ระหว่างตัวนาวงแหวน
หมายเหตุ 1. สมการสาหรับ kc เป็ นค่าประมาณสาหรับสิ่ งปลูกสร้างรู ปลูกบาศก์ และสาหรับ n > 4 ค่าของ h และ c
อนุมานให้อยู่ในช่วง 3 เมตร ถึง 20 เมตร
หมายเหตุ 2. ถ้ามี ตวั นาลงดิ นภายใน ให้นบั จานวนตัวนาลงดิ นนัน้ รวมในค่า n ด้วย
c
0.33 0.50 1.00 2.00
h
kc 0.57 0.60 0.66 0.75 cระยะห่างจากตัวนาลงดินที่ใกล้ ที่สดุ
ตามแนวสันหลังคา
ความยาวของตัวนาลงดินจากสัน
h
หลังคาถึงจุดประสานให้ ศกั ย์เท่ากัน
kc 0.47 0.52 0.62 0.73 ถัดไปหรือถึงระบบรากสายดิน
หมำยเหตุ 1 ตัวนาลงดินเพิ่มเติมที่มี
ระยะห่างมากกว่าที่แสดงในรูปไม่มี
kc 0.35 0.39 0.47 0.59 ผลกระทบที่มีนยั สาคัญใด ๆ
หมำยเหตุ 2 กรณีตวั นาวงแหวนทีต่ อ่
ตัวนาลงดินถึงกันอยูต่ ่ากว่าสันหลังคา ดู
รูปที่ ค.4
หมำยเหตุ 3 ค่าที่หาโดยการคานวณ
kc 0.31 0.35 0.45 0.58 อย่างง่าย ของอิมพีแดนซ์ที่ขนานกันตาม
สูตรในรูปที่ ค.1
c
0.33 0.50 1.00 2.00
h
kc 0.31 0.33 0.37 0.41
คาไข
n คือ จานวนตัวนาลงดินทังหมด
้
c คือ ระยะระหว่างตัวนาลงดิน
h คือ ระยะห่าง (ความสูง) ระหว่างตัวนาวงแหวน
m คือ จานวนทังหมดของระดั
้ บ
d คือ ระยะห่างจากตัวนาลงดินที่ใกล้ ที่สดุ
l คือ ความสูงจากจุดประสาน
หมายเหตุ ถ้ามี ตวั นาลงดิ นภายใน ให้นบั จานวนตัวนาลงดิ นนัน้ รวมในค่า n ด้วย
คาไข
A, B, C จุดป้อนกระแส
หมายเหตุ 1. กฎการแบ่งไหลของกระแส
ก. จุดป้ อนกระแส กระแสจะแบ่งตามจานวนเส้นทางการไหลทีเ่ ป็ นไปได้ทีจ่ ุดป้ อนกระแสเข้าสู่ระบบตัวนาล่อฟ้ าแบบตาข่าย
ข. จุดต่อถัดไป (ข้อต่อ) กระแสลดลงร้อยละ 50 ทีจ่ ุดต่อถัดไปใดๆ ในระบบตัวนาล่อฟ้ าแบบตาข่าย
ค. ตัวนาลงดิ น กระแสลดลงอีกร้อยละ 50 แต่ kc ต้องไม่นอ้ ยกว่า 1/n (n คือจานวนตัวนาลงดิ นทัง้ หมด)
หมายเหตุ 2. ค่ำ kc ต้องพิ จำรณำจำกจุดทีฟ่ ้ ำผ่ำถึงขอบหลังคำ เส้นทำงตำมแนวขอบหลังคำไปยังตัวนำลงดิ นไม่จำเป็ นต้อง
พิ จำรณำ ค่ำ kc ตำมตัวนำลงดิ น ขึ้นอยู่กบั ค่ำ kc ของตัวนำล่อฟ้ ำทีต่ ่อทีข่ อบหลังคำ
หมายเหตุ 3. ตำมทีแ่ สดงข้ำงต้น ถ้ำมี ตำข่ำยน้อยกว่ำจำกจุดฟ้ ำผ่ำทีข่ อบหลังคำ ให้ใช้เฉพำะค่ำ kc ทีเ่ กีย่ วข้อง เริ่ มจำกจุดที ่
ระยะใกล้เคียงเป็ นค่ำทีจ่ ะพิจำรณำ
หมายเหตุ 4. ถ้ำมีตวั นำลงดิ นภำยใน ให้นบั จำนวนตัวนำลงดิ นนัน้ รวมในค่ำ n ทีใ่ ช้ประเมิ นด้วย
ภาคผนวก ง
(ใช้ เป็ นมาตรฐาน)
ข้ อมูลเพิ่มเติมสาหรับระบบป้องกันฟ้าผ่ า
ในกรณีของสิ่งปลูกสร้ างที่มีความเสี่ยงของการระเบิด
ง.1 ทั่วไป
ภาคผนวกนี ้เป็ นข้ อกาหนดเพิ่มเติมสาหรับการออกแบบ การติดตัง้ การต่อเติม และการดัดแปลงระบบ
ป้องกันฟ้าผ่าสาหรับสิ่งปลูกสร้ างที่มีความเสี่ยงของการระเบิด
หมายเหตุ ข้อมูลทีใ่ ห้ในภาคผนวกนีอ้ ยู่บนพืน้ ฐานของรู ปแบบระบบป้ องกันฟ้ าผ่า ทีต่ ิ ดตัง้ ในพืน้ ที ่ทีม่ ี อนั ตรายของการ
ระเบิ ดซึ่ งได้พิสูจน์แล้วในทางปฏิ บตั ิ หน่วยงานทีร่ บั ผิ ดชอบอาจมี ข้อกาหนดอืน่
ง.2 คาและนิยามเพิ่มเติม
นอกเหนือจากคาและนิยามตามข้ อ 3 ของมาตรฐานนี ้ ในภาคผนวกนี ้ให้ ใช้ คาและนิยามของมาตรฐาน
IEC 60079-14:2007 ได้ เช่นเดียวกับคาและนิยามต่อไปนี ้
ง.2.1 วัสดุระเบิดของแข็ง (solid explosive material)
สารประกอบเคมีของแข็ง ของผสม หรื ออุปกรณ์ทางเคมี ซึ่งมีวตั ถุประสงค์ หลักหรื อวัตถุประสงค์ร่วมใน
การใช้ งานเป็ นวัตถุระเบิด
ง.2.2 ย่ าน 0 (zone 0)
สถานที่ซึ่งมีสภาพบรรยากาศการระเบิดที่ประกอบด้ วย ส่วนผสมของอากาศกับสารไวไฟ ในรู ปแบบ
ของก๊ าซ ไอระเหย หรื อ หมอก ที่มีอยูอ่ ย่างต่อเนื่อง หรื อเป็ นเวลายาวนาน หรื อเกิดบ่อยครัง้
ง.2.3 ย่ าน 1 (zone 1)
สถานที่ซึ่งมีสภาพบรรยากาศการระเบิดที่ประกอบด้ วย ส่วนผสมของอากาศกับสารไวไฟ ในรู ปแบบ
ของก๊ าซ ไอระเหย หรื อ หมอก ที่มีแนวโน้ มที่จะเกิดขึ ้นในการทางานปกติเป็ นครัง้ คราว
ง.2.4 ย่ าน 2 (zone 2)
สถานที่ซึ่งมีสภาพบรรยากาศการระเบิดที่ประกอบด้ วย ส่วนผสมของอากาศกับสารไวไฟ ในรู ปแบบ
ของก๊ าซ ไอระเหย หรื อ หมอก ที่ไม่มีแนวโน้ มที่จะเกิดขึ ้นในการทางานปกติ แต่หากเกิดขึ ้นจริ งก็จะคงอยู่ใน
ช่วงเวลาสันๆ
้ เท่านัน้
หมายเหตุ 1. ตามนิ ยามข้อนี ้ คาว่า “คงอยู่” หมายถึง เวลาทัง้ หมดที ่สภาพบรรยากาศไวไฟมี อยู่ ซึ่ งตามปกติ จะ
ประกอบด้วย ระยะเวลาทัง้ หมดทีใ่ ช้ในการปลดปล่อยสารดังกล่าว รวมกับเวลาที ่สภาพบรรยากาศไวไฟกระจายออกหลังการ
ปลดปล่อยสิ้ นสุด
ง.5.1.1 การจากัดเสิร์จ
อุป กรณ์ ป้ องกัน เสิ ร์ จ ต้ อ งจัด วางต าแหน่ง ไว้ ภ ายนอกบริ เ วณอันตรายหากท าได้ ในทางปฏิ บัติ
อุปกรณ์ ป้องกันเสิ ร์จ ที่ จัดวางตาแหน่ง ไว้ ภ ายในบริ เวณอัน ตรายต้ อ งได้ รับการรั บรองให้ ใช้ ส าหรั บ บริ เวณ
อันตรายที่จะติดตัง้
ง.5.1.2 การประสานให้ ศักย์ เท่ ากัน
นอกจากการต่อจากตารางที่ 7 และตารางที่ 8 ระบบท่อซึ่งมี การต่อที่มีผลความนาทางไฟฟ้าตามข้ อ
5.3.5 อาจใช้ เป็ นการต่อได้ เช่นเดียวกัน
ระบบท่อโลหะเหนือผิวดินที่อยู่ด้านนอกหน่วยผลิต ต้ องมีการต่อลงดินอย่างน้ อยทุก ๆ 30 เมตร การ
ต่อเข้ าท่อจะต้ องเป็ นในลักษณะทัน ที ที่มีกระแสฟ้าผ่าไหลผ่านต้ องไม่เกิดประกายไฟ การต่อที่เหมาะสมกั บ
ระบบท่อ คือ หูสาย หรื อสลักเกลียว หรื อรูเกลียว ที่มีการเชื่อมกับหน้ าแปลนเพื่อการขันหมุดเกลียว การต่อโดย
วิธี หนี บอนุญ าตได้ เ ฉพาะถ้ าในทันที ที่มี กระแสฟ้ าผ่า การป้องกันการจุดติดไฟได้ ได้ รับการพิสูจ น์ โดยการ
ทดสอบ และวิธีการสามารถทาให้ แน่ใจในความเชื่อถือได้ ของการต่อ จุดต่อรวมต้ องจัดให้ มี สาหรับการรวมกัน
ของการต่อ และสายต่อลงดินที่ไปยังคอนเทนเนอร์ ส่วนสร้ างที่เป็ นโลหะ ดรัม และแท้ งค์
การต่อประสานให้ ศกั ย์ เ ท่ากันทางฟ้ าผ่าระหว่างระบบป้องกันฟ้ าผ่ากับการติดตัง้ /สิ่ง ปลูกสร้ าง/
บริภณ ั ฑ์ จะดาเนินการไปตามข้ อตกลงของผู้ปฏิบตั ิการระบบ การต่อประสานให้ ศกั ย์เท่ากันทางฟ้าผ่าด้ วยการ
ใช้ ชอ่ งประกาย ไม่อาจใช้ ได้ หากไม่มีข้อตกลงของผู้ ปฏิบตั ิการระบบ อุปกรณ์ดงั กล่าวต้ องมีความเหมาะสมกับ
สิ่งแวดล้ อมที่ซงึ่ อุปกรณ์ตดิ ตังอยู
้ ่
ง.5.2 สิ่งปลูกสร้ างที่มีบริเวณย่ าน 2 และ 22
สิ่งปลูกสร้ างซึง่ มีบริเวณที่กาหนดเป็ นย่าน 2 และ 22 อาจไม่จาเป็ นต้ องมีมาตรการป้องกัน เสริมเป็ นพิเศษ
กรณีสถานที่อานวยความสะดวกในการผลิตที่ทาด้ วยโลหะ (เช่น เสาภายนอกอาคาร เตาปฏิกรณ์ ตู้
คอนเทนเนอร์ ที่ภายในมีพื ้นที่ยา่ น 2 และ 22) มีความหนาและวัสดุเป็ นไปตามตารางที่ 3 ให้ ปฏิบตั ิ ดังนี ้
- ไม่ต้องติดตังระบบตั
้ วนาล่อฟ้าและตัวนาลงดิน
- สถานที่อานวยความสะดวกในการผลิตดังกล่าวควรมีการต่อลงดินตาม หัวข้ อที่ 5
ง.5.3 สิ่งปลูกสร้ างที่มีบริเวณย่ าน 1 และ 21
สิ่งปลูกสร้ างซึ่งมีบริ เวณที่กาหนดเป็ นย่าน 1 และ 21 ให้ ปฏิบตั ิตามข้ อกาหนดสาหรับย่าน 2 และ 22
โดยมีข้อกาหนดเพิ่มเติม ดังนี ้
- ถ้ ามีชิน้ ฉนวนคัน่ ในระบบท่อ ผู้ปฏิบตั ิงานต้ องหามาตรการป้องกัน ดังเช่น การดีสชาร์ จอันตราย
สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยการใช้ ชอ่ งประกายแยกที่ป้องกันการระเบิด
- ช่องประกายแยกและชิ ้นฉนวนคัน่ ท่อ ต้ องใส่ภายนอกบริเวณพื ้นที่อนั ตราย
ง.6.3 คุณสมบัติ
บุคคลที่มีคณ ุ สมบัติ ที่ได้ รับการฝึ กอบรมที่จาเป็ น และมีความเชี่ยวชาญเท่านันที
้ ่จะได้ รับ
อนุญาตให้ เข้ ามาทาการบารุงรักษา ตรวจสอบ และทดสอบ ระบบป้องกันฟ้าผ่าของสถานที่ที่มี
ความเสี่ยงต่อการระเบิด
การตรวจสอบต้ องการบุคคลผู้ซงึ่
ก) มีความรู้ทางด้ านเทคนิคและความเข้ าใจข้ อกาหนดทางทฤษฎีและการปฏิบตั ขิ องการติดตังใน ้
บริเวณที่มีอนั ตราย และสาหรับบริภณ ั ฑ์ระบบป้องกันฟ้าผ่า และการติดตัง้
ข) เข้ าใจข้ อกาหนดของการตรวจสอบด้ วยสายตา และการตรวจสอบสมบูรณ์ที่สัมพันธ์ กับ บริ ภัณฑ์
ระบบป้องกันฟ้าผ่าที่ได้ ตดิ ตังแล้
้ ว กับการติดตัง้
หมายเหตุ ความสามารถและการฝึ กอบรมอาจระบุไว้ใน การฝึ กอบรมและกรอบการประเมิ ณแห่งชาติ ทีเ่ กี ่ยวข้อง
ง.6.4 ข้ อกาหนดการตรวจพินิจ
เพื่อให้ แน่ใจว่าสิ่งติดตังยั
้ งคงอยูใ่ นสภาพที่นา่ พอใจสาหรับการใช้ งานต่อไป ไม่วา่ จะเป็ น
ก. การตรวจพินิจตามคาบเวลาปกติ และ/หรื อ
ข. การดูแลตรวจตราอย่างต่อเนื่องโดยผู้ชานาญการ
เพื่อให้ มีการบารุงรักษา ในที่ที่จาเป็ น
การดาเนินการต่อไปนี ้ ได้ แก่ การปรับแก้ การบารุงรักษา การซ่อม การฟื น้ ฟูสภาพ การเปลี่ยนแปลง
หรื อการเปลี่ยนแทนที่ อุปกรณ์หรื อส่วนที่เกี่ยวข้ องของอุปกรณ์ต้องได้ รับการตรวจพินิจ
ง.6.4.1 กำรตรวจพินิจตำมคำบเวลำปกติ
บุคลากรที่ดาเนินการตรวจพินิจตามคาบเวลาปกติ จะต้ องมีอิสระจากความต้ องการให้ มี กิจกรรม
บารุ งรักษา ยกตัวอย่างเช่น การไม่มีอคติในความสามารถในการรายงานอย่างน่าเชื่อถื อต่อสิ่งที่พบจากการ
ตรวจพินิจ
หมายเหตุ บุคลำกรดังกล่ำวไม่จำเป็ นต้องเป็ นบุคคลจำกหน่วยงำนอิ สระภำยนอก
ง.6.4.2 แนวคิดในกำรควบคุมดูแลอย่ ำงต่ อเนื่องโดยผู้ชำนำญกำร
วัตถุประสงค์ ของการควบคุมดูแลอย่างต่อเนื่ อง คือ เพื่อให้ สามารถตรวจพบความผิดพร่ องที่ จ ะ
เกิดขึ ้นได้ ล่วงหน้ าและมีการซ่อมต่อไป เป็ นการใช้ ประโยชน์จากผู้ชานาญการที่มีอยู่แล้ ว ให้ มีส่วนร่วมในการ
ติดตังตามสายงานปกติ
้ (เช่น งานตังโครงสร้
้ าง การดัดแปลง ตรวจพินิจ บารุ งรักษา ตรวจหาความผิดพร่ อง
งานทาความสะอาด ปฏิบตั ิการควบคุม งานทาจุดเชื่อมต่อ จุดแยกออก ทดสอบการทางาน การวัด) และผู้ที่ใช้
ความชานาญในการตรวจพบความผิดพร่องและความเปลี่ยนแปลงในระยะแรก
ในที่ ซึ่ ง สิ่ ง ติ ด ตัง้ ได้ รั บ การตรวจตราเป็ นประจ า ตามสายงานปกติ โดยผู้ช านาญการ ซึ่ง ควรมี
คุณสมบัตเิ พิ่มเติมจากข้ อ ก และ ข ของข้ อ ง.6.3 คือ
ง.6.7 กำรป้องกันเสิร์จ
อุปกรณ์ป้องกันเสิร์จฟ้าผ่า (และวิธีการแยก ถ้ ามี) ต้ องตรวจพินิจตามคาแนะนาของผู้ผลิต
ในช่วงเวลาไม่เกิ น 12 เดื อนหรื อ เมื่ อมี การทดสอบทางไฟฟ้าของระบบป้องกันฟ้าผ่า อุปกรณ์
ป้องกันเสิร์จต้ องมีการตรวจพินิจหลังจากสงสัยว่ามีฟ้าผ่าลงสิ่งปลูกสร้ าง
ง.6.8 กำรซ่ อม
ผู้บารุ งรักษาต้ องแน่ใจว่าการซ่อมสิ่งผิดปกติที่พบระหว่างการตรวจพินิจ สามารถทาได้
ภายในกรอบเวลาที่ยอมรับได้
ง.6.9 กำรบันทึกและกำรจัดทำเอกสำร
ข้ อบ่งชี ถ้ ึงความเสี ยหายใดๆ เนื่องจากฟ้าผ่าลงสิ่งปลูกสร้ างหรื อระบบป้องกันฟ้าผ่าเอง
ต้ องทาเอกสารและรายงานโดยทันที
บันทึกประวัติการบารุ งรักษาและการตรวจพินิจต้ องเก็บรักษาไว้ สาหรับแต่ละสถานที่ เพื่อ
จุดประสงค์ในการวิเคราะห์แนวโน้ ม
ภาคผนวก จ
(ใช้ เป็ นข้ อมูล)
คาแนะนาสาหรับการออกแบบ การก่ อสร้ าง การบารุ งรั กษา
และการตรวจพินิจของระบบป้องกันฟ้าผ่ า
จ.1 ทั่วไป
ภาคผนวกนี ้ให้ คาแนะนาการออกแบบทางกายภาพและการก่อสร้ าง การบารุงรักษาและการตรวจพินิจ
ของระบบป้องกันฟ้าผ่าตามมาตรฐานนี ้
ภาคผนวกนี ้ควรใช้ และจะใช้ ได้ เมื่อใช้ ร่วมกับส่วนอื่น ๆ ของมาตรฐานนี ้เท่านัน้
ตัวอย่างที่ให้ มาเป็ นเทคนิคการป้องกัน ซึง่ ได้ รับการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญนานาชาติแล้ ว
หมายเหตุ ตัวอย่างทีใ่ ห้ในภาคผนวกนี ้ แสดงถึงวิ ธีหนึ่งทีเ่ ป็ นไปได้ของการบรรลุผลการป้ องกัน วิ ธีอืน่ ๆ อาจใช้ได้เท่า
เทียมกัน
จ.2 โครงสร้ างของภาคผนวกนี ้
หมายเลขข้ อหลักในภาคผนวกนี ้จะตรงกับหมายเลขข้ อในเอกสารหลัก ทาให้ ง่ายในการอ้ างอิงระหว่างทัง้
2 ส่วน โดยหัวข้ อย่อยทังหมดไม่
้ จาเป็ นต้ องตรงกัน
เพื่อให้ บรรลุผลตามเป้าหมายข้ างต้ น ข้ อ จ.3 จะไม่มีการใช้ ในภาคผนวกนี ้
จ.3 ว่ าง
จ.4 การออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่ า
จ.4.1 ข้ อสังเกตทั่วไป
การก่อสร้ างระบบป้องกันฟ้าผ่าสาหรับสิ่งปลูกสร้ างที่มีอยู่ เดิมควรมีการพิจารณาเทียบกันทุกครัง้ กับ
มาตรการป้องกันฟ้าผ่าอื่นที่เป็ นไปตามมาตรฐานนี ้ ที่ให้ ผลการป้องกันระดับเดียวกัน เพื่อลดต้ นทุน การเลือก
มาตรการป้องกันที่เหมาะสมที่สดุ ให้ ใช้ มาตรการที่กาหนดในมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่าภาคที่ 2
ระบบป้ องกัน ฟ้ าผ่าควรมี ก ารออกแบบและติด ตัง้ โดยผู้ออกแบบและผู้ติด ตัง้ ระบบป้ องกัน ฟ้ าผ่า
ผู้ออกแบบและผู้ติดตังระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่าควรมีความสามารถในการประเมินผลกระทบทังทางไฟฟ ้ ้ าและทาง
กลของการดีส ชาร์ จ ฟ้ าผ่า และควรมีความคุ้นเคยกับหลักการทั่วไปของความเข้ ากันได้ ทางแม่เหล็กไฟฟ้ า
(EMC)
ยิ่งกว่านัน้ ผู้ออกแบบการป้องกันฟ้าผ่าควรมีความสามารถในการประเมินผลกระทบของการกัดกร่อน
และตัดสินใจได้ วา่ เมื่อใดมีความจาเป็ นที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
ผู้ออกแบบและผู้ตดิ ตังระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่าควรได้ รับการฝึ กอบรมเกี่ยวกับการออกแบบและการติดตังที ้ ่
ถูกต้ องขององค์ประกอบระบบป้องกันฟ้าผ่าตามข้ อกาหนดในมาตรฐานนี ้ และ ข้ อบังคับต่างๆ แห่งชาติ ที่
ควบคุมงานก่อสร้ างและการสร้ างสิ่งปลูกสร้ าง
การทาหน้ าที่ของผู้ออกแบบและผู้ติดตังระบบป้ ้ องกันฟ้าผ่าอาจทาโดยบุคคลเดียวกัน การจะเป็ น
ผู้ออกแบบหรื อผู้ติดตังระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่าที่เชี่ยวชาญต้ องมีความรู้ อย่างละเอียดในมาตรฐานที่เกี่ยวข้ อง และ
มีประสบการณ์ในเรื่ องดังกล่าวเป็ นเวลาหลายปี
การวางแผน การนาไปปฏิบตั ิ และการทดสอบระบบป้องกันฟ้าผ่า เป็ นการรวมความรู้ทางเทคนิคหลาย
สาขาเข้ าด้ วยกัน รวมทังต้
้ องมีการประสานงานโดยทุก ฝ่ ายที่เกี่ ยวข้ องกับสิ่งปลูกสร้ าง เพื่อให้ แน่ใจในความ
บรรลุผลของระดับการป้องกันฟ้าผ่าที่เลือกไว้ ด้วยค่าใช้ จ่ายต่าสุดและใช้ ความพยายามน้ อยที่สดุ เท่าที่จะทาได้
การจัดการเกี่ยวกับระบบป้องกันฟ้าผ่าควรจะมีประสิทธิภาพถ้ าทาตามขันตอนในรู ้ ปที่ จ.1 มาตรการประกัน
คุณภาพเป็ นสิ่งสาคัญยิ่ง โดยเฉพาะสิ่งปลูกสร้ างที่มีการติดตังระบบไฟฟ
้ ้ าและระบบอิเล็กทรอนิกส์ ขนาดใหญ่
และมีปริมาณมาก
การประเมินความเสี่ยงและ
การหาระดับป้องกันที่ต้องการ
การเลือกชนิดของระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก
ระบบตัวนาล่อฟ้า
ระบบตัวนาลงดิน
ระบบรากสายดิน
การออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่าภายใน
แบบและข้ อกาหนดทางเทคนิคของระบบป้องกันฟ้าผ่า
หมายเหตุ การเชื ่อมต่อ ในภาพต้องการความร่ วมมื ออย่างเต็มที ่ระหว่าง สถาปนิ ก วิ ศวกร และผู้ออกแบบระบบป้ องกัน
ฟ้ าผ่า
รู ปที่ จ.1 แผนภาพลาดับขัน้ ตอนของการออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่ า
d ระยะจริ ง > s
s ระยะการแยกตามข้ อ 6.3
l ความยาวที่ใช้ ในการคานวณหาค่าระยะการแยก s
คาไข
1 บริ ภณ
ั ฑ์ไฟฟ้ ากาลัง 6 แท่งตัวนาประสาน
2 คานเหล็กขนาดใหญ่ 7 เหล็กเสริ มแรงในคอนกรี ต (โดยมีตวั นาตาข่ายเสริ ม)
3 โลหะปิ ดหน้ าอาคาร 8 รากสายดินฐานราก
4 จุดต่อประสาน 9 ช่องทางเข้ าร่วมของระบบสาธารณูปโภคระบบต่าง ๆ
5 บริ ภณั ฑ์ไฟฟ้ าหรื ออิเล็กทรอนิกส์
รู ปที่ จ.4 การประสานให้ ศักย์ เท่ ากันในสิ่งปลูกสร้ างด้ วยเหล็กเสริมแรง
รู ปที่ จ.6 ตัวอย่ างของแคลมป์ที่ใช้ เป็ นข้ อต่ อระหว่ างเหล็กเส้ นเสริมแรงกับตัวนา
จ.4.3.4 วัสดุ
วัสดุต่อไปนีส้ ามารถใช้ เป็ นตัวนาเสริ มติดตังในคอนกรี
้ ตเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันฟ้าผ่า คือ
เหล็กกล้ า เหล็กกล้ าละมุน (mild steel) เหล็กอาบสังกะสี เหล็กกล้ าไร้ สนิม ทองแดง และเหล็กเคลือบด้ วย
ทองแดง
พฤติกรรมของชันสั ้ งกะสีที่อาบบนเหล็กในเนื ้อคอนกรี ตเป็ นเรื่ องซับซ้ อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
คอนกรี ตที่มีคลอไรด์ สังกะสีจะสึกกร่อนอย่างรวดเร็ วเมื่อสัมผัสกับเหล็กเสริ ม และสามารถทาความเสียหายแก่
คอนกรี ตภายใต้ สภาวะบางอย่างได้ ดังนันจึ ้ งไม่ควรใช้ เหล็กอาบสังกะสีในพื ้นที่ชายฝั่ งและที่ที่อาจมีเกลือในน ้า
ใต้ ดิน เนื่ องจากการใช้ เ หล็ กอาบสัง กะสี ในคอนกรี ตต้ องการการประเมิ นด้ วยองค์ประกอบภายนอกหลาย
องค์ประกอบ ซึ่งวัสดุนี ้ควรใช้ หลังจากได้ มีการวิเคราะห์อย่างระมัดระวังแล้ วเท่านัน้ จากข้ อเท็จจริ งเหล่านี ้จึง
ควรเลือกใช้ วสั ดุอื่นๆที่กล่าวมาข้ างต้ นดีกว่าการใช้ เหล็กอาบสังกะสี
เพื่อป้องกันการสับสนระหว่างเหล็กเส้ นต่างชนิดในคอนกรี ต แนะนาให้ ใช้ เหล็กกล้ าที่เป็ นเส้ นกลม
ขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางอย่างน้ อย 8 มิลลิเมตร ผิวเรี ยบ เป็ นตัวนาเสริ ม เพื่อให้ แตกต่างจากเหล็กเส้ นเสริ มแรง
ข้ ออ้ อยทัว่ ไป
จ.4.3.5 การกัดกร่ อน
กรณี ที่เหล็กเสริ ม แรงเป็ นตัวนาประสานผ่านผนัง คอนกรี ต ควรใส่ใจเป็ นพิเศษเพื่อป้องกันการกัด
กร่อนทางเคมี
มาตรการการป้ องกัน การกัดกร่ อ นที่ ง่ า ยที่ สุด คื อ การหุ้ม ด้ วยยางซิ ลิโ คน หรื อ ทาด้ ว ยน า้ มันดิน
(bitumen) ในบริ เวณใกล้ ๆ จุดทางออกจากผนัง เช่น 50 มิลลิเมตรหรื อมากกว่าในผนัง และ 50 มิลลิเมตรหรื อ
มากกว่าที่ด้านนอกผนัง (ดูรูปที่ จ.7ค) อย่างไรก็ตามมาตรการนี ้ไม่ถือเป็ นการแก้ ไขในทางวิศวกรรมที่ดี การ
แก้ ไขที่ดีขึ ้นคือการใช้ ตวั ต่อที่พฒ
ั นาขึ ้นโดยเฉพาะสาหรับวัตถุประสงค์นี ้ ดังตัวอย่างอื่นในรูปที่ จ.7
กรณีใช้ ตวั นาทองแดงและเหล็กเคลือบด้ วยทองแดงเป็ นตัวนาประสานทะลุผ่านผนังคอนกรี ต จะไม่มี
ความเสี่ยงในการกัดกร่อน ถ้ าใช้ ตวั นาตัน มีจดุ ต่อประสานที่ออกแบบเป็ นพิเศษ ใช้ สายหุ้มด้ วยพีวีซี หรื อใช้ สาย
หุ้มฉนวน (ดูรูปที่ จ.7ข) กรณี ตวั นาประสานเป็ นเหล็กกล้ าไร้ สนิ มตามตารางที่ 6 และ 7 ไม่จาเป็ นต้ องใช้
มาตรการป้องกันการกัดกร่อน
กรณี บรรยากาศที่มีการกัดกร่ อนอย่างรุนแรง แนะนาว่าตัวนาประสานที่ยื่นออกมานอกผนังต้ องทา
ด้ วยเหล็กกล้ าไร้ สนิม
หมายเหตุ เหล็กอาบสังกะสี ภายนอกคอนกรี ตที ่สมั ผัสกับเหล็กกล้าเสริ มแรงในคอนกรี ตภายใต้สภาวะการณ์
บางอย่างอาจทาให้คอนกรี ตเกิ ดความเสียหายได้
เมื่อใช้ แป้นเกลียวฝั งในคอนกรี ตหรื อใช้ ส่วนประกอบที่ทาจากเหล็กกล้ าละมุนควรมีการป้องกันการกัด
กร่อนส่วนที่อยูภ่ ายนอกผนัง ควรใช้ แหวนล็อกชนิดมีฟันเพื่อให้ มีการสัมผัสทางไฟฟ้าทะลุผ่านส่วนที่เคลือบผิว
แป้นเกลียว (ดูรูปที่ จ.7ก)
ข้ อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันการกัดกร่อนดูข้อ จ.5.6.2.2.2
ร่ างมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่อสิ่งปลูกสร้ าง และอันตราย
73
จ.4.3.6 การต่ อ
จากการตรวจสอบพบว่าการผูกเหล็กไม่เหมาะที่จะใช้ เป็ นการต่อที่เป็ นทางผ่านของกระแสฟ้าผ่า มี
ความเสี่ยงที่การผูกเหล็กจะเกิดการระเบิดและทาความเสียหายต่อคอนกรี ต อย่างไรก็ดีจากการตรวจสอบที่ทา
มาก่อนหน้ านี ้อนุมานได้ ว่าการผูกเหล็กอย่างน้ อยทุกเส้ นที่ 3 ทาให้ เกิดการต่อทางไฟฟ้า ดังนัน้ ในทางปฏิบตั ิ
เหล็กทุกเส้ นในคอนกรี ตต่อถึงกันทางไฟฟ้า และผลจากการวัดสาหรับสิ่งปลูกสร้ างคอนกรี ตเสริ มแรงสนับสนุน
ข้ อสรุปนี ้
ดังนัน้ กรณีการต่อที่เป็ นทางผ่านของกระแสฟ้าผ่า การเชื่อมและการแคลมป์เป็ นวิธีที่ดีกว่า ส่วนการ
ต่อด้ วยการผูกเหมาะสาหรับต่อตัวนาเพิ่มเติมเพื่อให้ ศกั ย์เท่ากันและเพื่อวัตถุประสงค์ของ EMCเท่านัน้
การต่อวงจรภายนอกเข้ ากับเหล็กเสริมแรงที่ตอ่ ถึงกันควรใช้ วิธีแคลมป์หรื อวิธีเชื่อม
รอยเชื่อมระหว่างแท่งเหล็กเสริ มแรงในคอนกรี ต (ดูรูปที่ จ.5) ควรมีความยาวอย่างน้ อย 50 มม.
กรณีเหล็กเส้ นเดินตัดกันควรมีการดัดโค้ งให้ ขนานกันเป็ นความยาวอย่างน้ อย 70 มม. ก่อนทาการเชื่อม
หมายเหตุ ในที ่ ซึ่ ง อนุญ าตให้ มี ก ารเชื ่ อ มได้ การเชื ่ อ มแบบทั่ว ไปและการเชื ่ อ มแบบความร้ อ นภายนอก
(exothermic) ยอมรับได้ทงั้ คู่
เมื่อแท่งเหล็กเชื่อมจาเป็ นต้ องฝั งในคอนกรี ต การที่จะเชื่อม ณ จุดตัดกันด้ วยความยาวของรอยเชื่อม
เพียงไม่กี่มิลลิเมตรย่อมไม่เพียงพอ ข้ อต่อเช่นนันมั
้ กจะหลุดออกจากกันเมื่อมีการเทคอนกรี ต
รูปที่ จ.5 แสดงการเชื่อมที่ถกู ต้ องของตัวนาประสานเข้ ากับเหล็กเส้ นเสริมแรงในคอนกรี ตเสริมแรง
กรณี ที่ไม่อนุญาตให้ มี การเชื่อมเข้ ากับเหล็กเส้ นเสริ มแรง ควรใช้ แคลมป์หรื อตัวนาเพิ่ม ตัวนาเพิ่ม
เหล่านี ้สามารถทาจากเหล็กกล้ า เหล็กกล้ าละมุน เหล็กกล้ าอาบสังกะสี หรื อทองแดง ตัวนาเพิ่มนี ้ควรต่อเข้ า
กับเหล็กเส้ นเสริ มแรงจานวนมากด้ วยการผูกและการแคลมป์เพื่อใช้ ประโยชน์ในการเป็ นกาบังของเหล็กกล้ า
เสริมแรง
จ.4.3.7 ตัวนาลงดิน
เหล็กเส้ นเสริ มแรงของผนังคอนกรี ต หรื อเสาคอนกรี ต และโครงสร้ างเหล็กของสิ่งปลูกสร้ าง อาจใช้
เป็ นตัวนาลงดินโดยธรรมชาติ ควรจัดให้ มี ขวั ้ ต่อปลายที่ระดับหลังคาเพื่ออานวยความสะดวกในการต่อกับ
ระบบตัวนาล่อฟ้า และควรจัดให้ มีขวต่ ั ้ อปลายเพื่ออานวยความสะดวกในการต่อกับระบบรากสายดิน ยกเว้ น
กรณีที่มีเพียงฐานรากคอนกรี ตเสริมแรงเป็ นรากสายดินอย่างเดียวเท่านัน้
เมื่อใช้ เหล็กเส้ นเสริ มแรงเฉพาะเส้ นใดเส้ นหนึ่งเป็ นตัวนาลงดินควรตรวจสอบเส้ นทางลงดินอย่าง
รอบคอบเพื่อให้ แน่ใจว่าเหล็กเส้ นดังกล่าวเป็ นเส้ นเดียวกันตลอดเส้ นทางจนถึงดิน ซึ่งหมายถึงการจัดให้ มีความ
ต่อเนื่องทางไฟฟ้าโดยตรง
เมื่อไม่สามารถรับประกันได้ ว่าตัวนาลงดินโดยธรรมชาติมีความต่อเนื่องในแนวดิ่งจากหลังคาจนถึง
ดิน ควรใช้ ตวั นาเพิ่มเฉพาะ และตัวนาเพิ่มเหล่านี ้ควรผูกหรื อแคลมป์เข้ ากับเหล็กกล้ าเสริมแรง
ที่ใดก็ตามที่มีข้อสงสัยว่าตัวนาลงดินมีทางลงดินโดยตรงสันที
้ ่สดุ หรื อไม่ (นัน่ คือ ในกรณีสิ่งปลูกสร้ าง
ที่มีอยูแ่ ล้ ว) ควรเสริมด้ วยระบบตัวนาลงดินภายนอก
รูปที่ จ.4 และ จ.8 แสดงรายละเอียดของการก่อสร้ างที่ใช้ องค์ประกอบโดยธรรมชาติในระบบป้องกัน
ฟ้าผ่าสาหรับสิ่งปลูกสร้ างคอนกรี ตเสริ มแรง ดูข้อ จ.5.4.3.2 เพิ่มเติมสาหรับการใช้ เหล็กเสริ มแรงของคอนกรี ต
เสริมแรงเป็ นรากสายดินฐานราก
คาไข
1. ที่ครอบโลหะของกาแพงกันตกบนหลังคา
2. จุดต่อระหว่างแผ่นปิ ดหน้ าอาคารกับตัวนาล่อฟ้ า
3. ตัวนาล่อฟ้ าแนวระดับ
4. ส่วนโลหะปิ ดหน้ าอาคาร
5. แท่งตัวนาประสานให้ ศกั ย์เท่ากันของระบบป้องกันฟ้ าผ่าภายใน
6. จุดต่อระหว่างแผ่นปิ ดหน้ าอาคาร
7. จุดต่อทดสอบ
8. เหล็กกล้ าเสริ มแรงในคอนกรี ต
9. รากสายดินวงแหวนแบบ ข
10. รากสายดินฐานราก
ตัวอย่างในทางปฏิบตั ิอาจใช้ ขนาดมิติตา่ งๆ ต่อไปนี ้ a = 5 เมตร b = 5 เมตร c = 1 เมตร
หมายเหตุ สาหรับจุดต่อระหว่างแผ่นดูรูปที ่ จ.35
คาไข
1 โครงแนวดิง่
2 ตัวยึดผนัง
3 ตัวต่อ
4 โครงแนวระดับ
รูปที่ จ.8ข การต่ อส่ วนรองรับส่ วนปิ ดหน้ าอาคาร
ถ้ ามีการติดตังหน้
้ าต่างแบบมีแถบต่อเนื่องที่ด้านนอกผนังของสิ่งปลูกสร้ าง เป็ นความจาเป็ นอย่างยิ่ง
ที่ต้องมีการตัดสินใจว่า การต่อชิ ้นส่วนคอนกรี ตหล่อสาเร็ จด้ านบนและด้ านล่างหน้ าต่างที่มีแถบต่อเนื่อง จะใช้
เสาที่มีอยูแ่ ล้ ว หรื อควรต่อถึงกันในช่วงระยะที่น้อยกว่าให้ สอดคล้ องกับความกว้ างของหน้ าต่าง
การต่อร่วมกันของส่วนนาไฟฟ้าของผนังด้ านนอกจานวนมากจะทาให้ การกาบังแม่เหล็กไฟฟ้าสาหรับ
ส่วนที่อยู่ภายในสิ่งปลูกสร้ างดีขึน้ รู ป ที่ จ.9 แสดงการต่อของแถบต่อเนื่องของหน้ าต่างเข้ ากับส่วนปิ ดหน้ า
อาคารที่เป็ นโลหะ
คาไข
1 จุดต่อระหว่างส่วนแผ่นปิ ดหน้ าอาคารกับแถบโลหะของหน้ าต่าง
2 แผ่นปิ ดหน้ าอาคารที่เป็ นโลหะ
3 แถบโลหะแนวระดับ
4 แถบโลหะแนวดิ่ง
5 หน้ าต่าง
รู ปที่ จ.9 การต่ อของแถบต่ อเนื่องของหน้ าต่ างเข้ ากับส่ วนปิ ดหน้ าอาคารที่เป็ นโลหะ
ถ้ า มี การใช้ โ ครงสร้ างเหล็ กกล้ า มาเป็ นตัวนาลงดิน เสาเหล็กกล้ าทุกต้ นต้ องต่อเข้ า กับ เหล็กเส้ น
เสริมแรงของฐานรากคอนกรี ตด้ วยจุดต่อประสานตามที่แสดงไว้ ในรูปที่ จ.7
หมายเหตุ สาหรับข้อมูลเพิ่ มเติ มเกี ่ยวกับการใช้เหล็กเส้นเสริ มแรงของผนังสิ่ งปลูกสร้าง เพือ่ วัตถุประสงค์ ในการ
กาบังแม่เหล็กไฟฟ้ า ดูมาตรฐานการป้ องกันฟ้ าผ่า ภาคที ่ 4
ในกรณีอาคารขนาดใหญ่และไม่สูงมากนัก เช่น ห้ องโถง ที่ซึ่งไม่เพียงแต่รองรับน ้าหนักของหลังคา
โดยผนังรอบนอกของอาคารเพียงอย่างเดียว แต่ยงั ใช้ เสาที่อยู่ภายในด้ วยเช่นกัน ส่วนที่เป็ นตัวนาของเสาควร
ต่อเข้ ากับระบบตัวนาล่อฟ้าที่ยอดบนและระบบประสานให้ ศักย์เท่ากันที่พืน้ ทาหน้ าที่เป็ นตัวนาลงดินที่อยู่
ภายใน เป็ นการป้องกันประกายอันตรายที่จะเกิดขึ ้นภายในสิ่งปลูกสร้ าง การรบกวนจากแม่เหล็กไฟฟ้าจะมี
มากขึ ้นในบริเวณใกล้ เคียงกับตัวนาลงดินภายในเหล่านี ้
คาไข
1 ตัวนาของระบบป้องกันฟ้ าผ่าเดินผ่านปลอกกันน ้า
2 เหล็กเสริ มแรงในเสาคอนกรี ต
3 เหล็กเสริ มแรงในผนังคอนกรี ต
หมายเหตุ เหล็กเสริ มแรงของเสาทีอ่ ยู่ภายในจะเป็ นตัวนาลงดิ นภายในโดยธรรมชาติ เมื ่อเหล็กเสริ มแรงในเสาคอนกรี ตต่อกับ
ตัวนาล่อฟ้ าและรากสายดิ นของระบบป้ องกันฟ้ าผ่า สภาพแวดล้อมทางแม่เหล็กไฟฟ้ าบริ เวณใกล้กบั เสาควรมี การพิ จารณา
เมื ่อมี บริ ภณ
ั ฑ์อิเล็กทรอนิ กส์ทีไ่ วต่อการรบกวนติ ดตัง้ อยู่ใกล้กบั เสา
รู ปที่ จ.10 ตัวนาลงดินภายในของสิ่งปลูกสร้ างอุตสาหกรรม
คาไข
1 คอนกรีตเสริมแรงหล่อสาเร็จ
2 ตัวนาประสาน
รูปที่ จ.11ก การติดตัง้ ตัวนาประสานบนชิน้ ส่ วนคอนกรีตเสริมแรงหล่ อสาเร็จแบบแผ่ น
โดยใช้ ตวั นาต่ อแบบใช้ สลักเกลียวหรือเชื่อม
คาไข
1 ช่องเผื่อการขยายตัว
2 จุดต่อแบบเชื่อม
3 ส่วนเว้ า
4 ตัวนาประสานชนิดอ่อน
A ชิ ้นส่วนคอนกรีตเสริมแรง ส่วนที่ 1
B ชิ ้นส่วนคอนกรีตเสริมแรง ส่วนที่ 2
- ในระบบป้องกันฟ้าผ่าแบบไม่แยกอิสระ ให้ ใช้ การประสานให้ ศกั ย์เท่ากันตามข้ อ 6.2 หรื อใช้ ฉนวน
(isolation) หรื อการรักษาระยะการแยกตามข้ อ 6.3
จ.5.2 ระบบตัวนาล่ อฟ้า
จ.5.2.1 ทั่วไป
มาตรฐานนี ้ไม่ได้ ให้ เกณฑ์ ใดๆ ในการเลือกใช้ ระบบตัวนาล่อฟ้า เพราะมาตรฐานนี ้ถือว่า การเลือกใช้
แท่งตัวนาล่อฟ้า สายขึง และตัวนาตาข่าย มีความเท่าเทียมกัน
การจัดวางระบบตัวนาล่อฟ้าควรทาตามข้ อกาหนดในตารางที่ 2
จ.5.2.2 การจัดวางตาแหน่ ง
การออกแบบระบบตัวนาล่อฟ้าควรใช้ วิธีที่กาหนดต่อไปนี ้วิธีใดวิธีหนึ่งโดยอิสระ หรื อใช้ ผสมร่วมกันแบบ
ใด ๆ ก็ได้ โดยให้ ย่านการป้องกันที่เกิดจากส่วนต่างๆ ของตัวนาล่อฟ้ามีการเหลื่อมกัน และ ทาให้ แน่ใจได้ ว่าสิ่ง
ปลูกสร้ างทังหลั
้ งได้ รับการป้องกันตามข้ อ 5.2
- วิธีมมุ ป้องกัน
- วิธีทรงกลมกลิ ้ง
- วิธีตาข่าย
ทัง้ 3 วิธี อาจใช้ ในการออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่า การเลือกวิธีใดขึ ้นอยู่กับผลการประเมินสภาพ
ในทางปฏิบตั ขิ องสิ่งปลูกสร้ างที่จะป้องกัน ในเรื่ องความเหมาะสมและความล่อแหลมต่อการถูกฟ้าผ่า
วิธีการจัดวางตาแหน่งอาจเลือกโดยผู้ออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่า อย่างไรก็ดี ข้ อพิจารณาต่อไปนี ้
อาจนามาใช้ ได้
- วิธีมุมป้องกัน เหมาะสมสาหรับสิ่งปลูกสร้ างรู ปแบบง่ายๆ หรื อส่วนเล็กๆ ของสิ่งปลูกสร้ างที่ใหญ่
กว่า วิธีนี ้ไม่เหมาะสมสาหรับสิ่งปลูกสร้ างที่สงู กว่ารัศมีของทรงกลมกลิ ้งที่กาหนดตามระดับป้องกัน
ของระบบป้องกันฟ้าผ่าที่เลือกใช้
- วิธีทรงกลมกลิ ้ง เหมาะสมสาหรับสิ่งปลูกสร้ างที่มีรูปร่างซับซ้ อน
- วิธีตาข่าย ใช้ สาหรับวัตถุประสงค์ทวั่ ไป และโดยเฉพาะเหมาะสมสาหรับการป้องกันพื ้นผิวที่เป็ น
ระนาบ
คาไข
H คือ ความสูงของอาคารเหนือระนาบดินอ้ างอิง
h1 คือ ความสูงทางกายภาพของแท่งตัวนาล่อฟ้ า
h2 = h1+H คือ ความสูงของแท่งตัวนาล่อฟ้ าเหนือพื ้นดิน
1 คือ มุมป้องกันซึ่ง สมนัยกับความสูง h1 ของตัวนาล่อฟ้ า ซึ่งเป็ นความสูงเหนือพื ้นผิวหลังคาที่จะวัด (ระนาบ
อ้ างอิง)
2 คือ มุมป้องกันซึง่ สมนัยกับความสูง h2
คาไข
1 เสาล่อฟ้า
2 สิ่งปลูกสร้ างที่จะป้องกัน
3 ระดับดินที่เป็ นระนาบอ้ างอิง
4 แนวตัดกันระหว่างกรวยป้องกัน
s ระยะการแยกตามที่กาหนดในข้ อ 6.3
α มุมป้องกันตามตารางที่ 2
รูปที่ จ.13ก ภาพฉายบนระนาบแนวดิ่ง
d1 ระยะห่างของลวดแนวระดับจากหลังคา
คาไข
1 ปริ มาตรป้องกัน
2 ระนาบอ้ างอิง
3 แท่งตัวนาล่อฟ้ า
h ความสูงของแท่งตัวนาล่อฟ้ าตามตารางที ่ 2
มุมป้องกัน
รู ปที่ จ.17 ปริมาตรป้องกันของแท่ งตัวนาบนพืน้ เอียง
ที่ออกแบบโดยวิธีมุมป้องกัน
จ.5.2.2.2 วิธีทรงกลมกลิง้
วิธีทรงกลมกลิง้ ควรใช้ ในการหาปริ มาตรป้องกันของส่วนของสิ่งปลูกสร้ างและพืน้ ที่ของสิ่งปลูก
สร้ าง ที่หาไม่ได้ โดยวิธีมมุ ป้องกัน ตามที่ระบุไว้ ในตารางที่ 2
ในการใช้ วิธี ทรงกลมกลิ ง้ การวางตาแหน่ง ของระบบตัวนาล่อฟ้ าจะเพี ยงพอถ้ าไม่มี จุดใดๆ ใน
ปริ ม าตรที่จ ะป้องกันสัม ผัส กับทรงกลมรั ศมี r ที่ กลิ ง้ ไปบนพื น้ ดินโดยรอบและยอดของสิ่ง ปลูกสร้ างในทุก
ทิศทางที่เป็ นไปได้ ดังนัน้ ทรงกลมควรสัมผัสเฉพาะพื ้นดิน และ/หรื อ ระบบตัวนาล่อฟ้าเท่านัน้
รัศมี r ของทรงกลมกลิ ้งขึ ้นอยู่กบั ชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า (ดูตารางที่ 2) รัศมีของทรงกลมกลิ ้ง
จะสัมพันธ์กบั ค่ายอดของกระแสฟ้าผ่าที่ผา่ ลงสิ่งปลูกสร้ าง โดยค่า r = 10I0.65 เมื่อ I มีหน่วยเป็ น kA
รูปที่ จ.18 และ จ.19 แสดงการใช้ วิธีทรงกลมกลิ ้งกับสิ่งปลูกสร้ างต่างๆ ทรงกลมรัศมี r จะกลิ ้งไป
รอบๆ และบนสิ่งปลูกสร้ างจนกระทัง่ สัมผัสกับระนาบพื ้นดิน หรื อสิ่งปลูกสร้ างถาวร หรื อวัตถุใดๆ ซึ่งสัมผัสกับ
ระนาบพื ้นดินที่เป็ นตัวนาฟ้าผ่าได้ ฟ้าผ่าอาจเกิดขึ ้น ณ จุดที่ ทรงกลมสัมผัสกับสิ่งปลูกสร้ างและที่จุดดังกล่าว
เหล่านันจ
้ าเป็ นต้ องป้องกันด้ วยตัวนาล่อฟ้า
คาไข
1 พื ้นที่แรเงา คือ พื ้นที่ซงึ่ เปิ ดโล่งต่อการดักรับฟ้ าผ่าและต้ องการการป้องกันตามตารางที่ 2
2 เสาล่อฟ้ าบนสิง่ ปลูกสร้ าง
r รัศมีของทรงกลมกลิ ้งตามตารางที่ 2
2
1
h
3
4
5
คาไข
1 ตัวนาล่อฟ้ า
2 แท่งตัวนาล่อฟ้ า
3 ขนาดตาข่าย
4 ตัวนาลงดิน
5 ระบบรากสายดินที่มีตวั นาวงแหวน
h ความสูงของตัวนาล่อฟ้ าเหนือระดับดิน
มุมป้องกัน
ระยะล่วงล ้า p ควรมีคา่ น้ อยกว่าค่า ht ลบด้ วยความสูงของวัตถุที่จะป้องกัน เช่น มอเตอร์ ในรู ปที่ จ.20
คาไข
1 ลวดขึงแนวระดับ
2 ระนาบอ้ างอิง
3 บริ เวณป้องกันโดยลวดขึงล่อฟ้ าแนวระดับ 2 เส้ นขนานกัน หรื อแท่งตัวนาล่อฟ้ า 2 แท่ง
ht ความสูงทางกายภาพของแท่งตัวนาล่อฟ้ าเหนือระนาบอ้ างอิง
p ระยะล่วงล ้าของทรงกลมกลิ ้ง
h ความสูงของตัวนาล่อฟ้ าตามตารางที่ 2
r รัศมีของทรงกลมกลิ ้ง
ตัวอย่างที่แสดงในรู ปที่ จ.20 ใช้ ได้ กับกรณีแท่งตัวนาล่อฟ้า 3 แท่ง หรื อ 4 แท่ง เช่น กรณีปักแท่ง
ตัวนาล่อฟ้าแนวดิง่ 4 แท่ง ที่มีความสูง h เท่ากัน ที่มมุ ทัง้ 4 ของสี่เหลี่ยมจัตรุ ัส ในกรณีนี ้ระยะ d ตามรูปที่ จ.
20 สมนัยกับเส้ นทแยงมุมของสี่เหลี่ยมจัตรุ ัสที่เกิดจากแท่งตัวนาล่อฟ้า 4 แท่ง
จุดที่ฟ้าจะผ่าสามารถหาได้ โดยใช้ วิธีทรงกลมกลิ ้ง วิธีทรงกลมกลิ ้งยังสามารถระบุความน่าจะเป็ น
ของการเกิดฟ้าผ่าที่แต่ละจุดของอาคาร
จ.5.2.2.3 วิธีตาข่ าย
วัตถุประสงค์ของการป้องกันพื ้นผิวราบ ให้ ถือว่าตาข่ายสามารถป้องกันพืน้ ผิวทังหมด ้ ถ้ าเงื่อนไข
ต่างๆ เป็ นไปตามนี ้
ก. ตามที่กล่าวไว้ ในภาคผนวก ก โดยตัวนาล่อฟ้าจัดวางตาแหน่งไว้ ที่บน
- แนวขอบหลังคา
- ส่วนที่ยื่นออกมาของหลังคา
- แนวสันหลังคา ถ้ าหลังคามีคา่ ความชันเกิน 1/10
- บริ เวณผิวด้ านข้ างของสิ่งปลูกสร้ างที่สงู กว่า 60 เมตร ที่ระดับสูงกว่า 80 % ของความสูงของ
สิ่งปลูกสร้ าง
ข. มิตติ าข่ายของโครงข่ายตัวนาล่อฟ้าไม่ใหญ่กว่าค่าที่ระบุในตารางที่ 2
ค. โครงข่ายของระบบตัวนาล่อฟ้าที่มีการทาให้ บรรลุผล ในลักษณะที่ให้ กระแสฟ้าผ่ามีทางเดิน เป็ น
โลหะลงดินที่ชดั เจนอย่างน้ อย 2 ทางเสมอ และไม่มีสว่ นติดตังโลหะใดๆ
้ ยื่นออกไปนอกปริ มาตร
ป้องกันโดยระบบตัวนาล่อฟ้า
หมายเหตุ การมี ตวั นาลงดิ นจานวนทีม่ ากขึ้นจะมี ผลให้ระยะการแยกลดลง และลดสนามแม่เหล็กไฟฟ้ าภายใน
อาคาร (ดูข้อ 5.3)
ง. ตัวนาล่อฟ้าให้ เดินในเส้ นทางตรงและสันที
้ ่สดุ เท่าที่จะทาได้
ตัวอย่างของระบบป้องกันฟ้าผ่า แบบไม่แยกอิสระที่ ออกแบบด้ วยวิธีตาข่ายแสดงในรู ปที่ จ.21ก
สาหรับสิ่งปลูกสร้ างที่มีหลังคาราบ และในรู ปที่ จ.21ข สาหรับสิ่งปลูกสร้ างที่มี หลัง คาเอียง รูปที่ จ.จ.21ค
แสดงตัวอย่างของระบบป้องกันฟ้าผ่าสาหรับอาคารโรงงานอุตสาหกรรม
คาไข
wm ขนาดตาข่าย
หมายเหตุ ขนาดตาข่ายเป็ นไปตามตารางที ่ 2
รูปที่ จ.21ข ตัวนาล่ อฟ้าของระบบป้องกันฟ้าผ่ าบนสิ่งปลูกสร้ างที่มีหลังคาเอียง
คาไข
A จุดต่อทดสอบ
หมายเหตุ มิ ติทงั้ หมดควรเป็ นไปตามระดับป้ องกันทีเ่ ลือกตามตารางที ่ 1 และ 2
รูปที่ จ.21ค ตัวอย่ างของระบบป้องกันฟ้าผ่ าบนสิ่งปลูกสร้ างที่มีหลังคาหยัก
รู ปที่ จ.21 ตัวอย่ างตัวนาล่ อฟ้าของระบบป้องกันฟ้าผ่ าแบบไม่ แยกอิสระโดยใช้ วิธีตาข่ ายในการ
ออกแบบ 3 ตัวอย่ าง
ร่ างมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่อสิ่งปลูกสร้ าง และอันตราย
97
รู ปที่ จ.22ก การติดตัง้ ตัวนาล่ อฟ้าบนสันของ รู ปที่ จ.22ข การติดตัง้ แท่ งตัวนาล่ อฟ้าเพื่อป้องกัน
หลังคาเอียง และตัวนาลงดินบนหลังคา ปล่ องไฟ โดยใช้ วิธีการออกแบบมุมป้องกัน
ตัวอย่างของมิติที่เหมาะสม
a 1 เมตร
b 0.15 เมตร (ไม่บงั คับ)
c 1 เมตร
d ให้ ใกล้ กบั ขอบหลังคามากที่สดุ เท่าที่เป็ นไปได้
e 0.2 เมตร
f 0.3 เมตร
g 1 เมตร
h 0.05 เมตร
i 0.3 เมตร
j 1.5 เมตร
k 0.5 เมตร
มุมป้องกันตามตารางที่ 2
รูปที่ 23 แสดงตัวอย่างของระบบป้องกันฟ้าผ่าตัวนาเดินซ่อน
ตัวนาเดินซ่อน
ตัวนาล่อฟ้าแนวดิ่ง (แท่งตัวนาเปลือยแนวดิ่งสูง 0.3 เมตร) ที่ทกุ ช่วงสัน้ ๆ (< 10 เมตร) หรือแผ่นรับฟ้าผ่าที่ชว่ ง < 5 เมตร
คาไข
a 500 มิลลิเมตร ถึง 1,000 มิลลิเมตร ดูตารางที่ จ.1
1 แผ่นโลหะครอบกาแพงกันตกบนหลังคา
2 จุดต่อ
3 ตัวนาอ่อน
4 จุดต่อแบบตัวที
5 ตัวจับยึดตัวนาล่อฟ้า
6 ระบบป้องกันฟ้าผ่าผ่านทะลุปลอกกันน ้า
7 คานเหล็ก
8 จุดต่อ
หมายเหตุ แผ่นโลหะครอบกาแพงกันตกบนหลังคาใช้เป็ นตัวนาล่อฟ้า และต่อเข้ากับคานเหล็กทีใ่ ช้เป็ นตัวนาลงดิ นโดยธรรมชาติ ของระบบป้ องกัน
ฟ้าผ่า
รู ปที่ จ.24 การติดตัง้ ระบบป้องกันฟ้าผ่ า
โดยใช้ องค์ ประกอบตามธรรมชาติบนหลังคาของสิ่งปลูกสร้ าง
คาไข
1 แท่งตัวนาล่อฟ้า
2 ตัวนาล่อฟ้าแนวระดับ
3 ตัวนาลงดิน
4 จุดต่อแบบตัวที
5 จุดต่อแบบตัดกัน
6 จุดต่อทดสอบ
7 การจัดวางรากสายดินแบบ ข รากสายดินวงแหวน
8 ตัวนาวงแหวนที่เป็ นตัวประสานให้ ศกั ย์เท่ากัน
9 หลังคาราบพร้ อมสิ่งติดตังบนหลั
้ งคา
10 ขัวต่
้ อสายสาหรับต่อแท่งตัวนาประสานให้ ศกั ย์เท่ากันของระบบป้องกันฟ้าผ่าภายใน
11 รากสายดินแนวดิ่ง
หมายเหตุ มีการติ ดตัง้ ตัวนาวงแหวนประสานให้ศกั ย์เท่ากัน ระยะห่างระหว่างตัวนาลงดิ นเป็ นไปตามข้อกาหนดในตารางที ่ 4
คาไข
r รัศมีของทรงกลมกลิ ้งตามตารางที่ 2
a ตัวนาล่อฟ้ า
หมายเหตุ ทรงกลมกลิ้ งไม่ควรสัมผัสส่วนใดๆ ของหลังคาโลหะ รวมทัง้ ส่วนทีเ่ ป็ นสันตะเข็บ
สิ่งติดตังบนหลั
้ งคาไม่ว่าจะมีโครงสร้ างยื่นสูงจากหลังคาหรื อราบเสมอกับหลังคา ควรได้ รับการ
ป้องกันโดยแท่งตัวนาล่อฟ้า หรื อในอีกทางเลือกหนึ่ง งานโลหะอื่น ๆ ควรมีการประสานเข้ ากับระบบป้องกัน
ฟ้าผ่าถ้ าไม่เป็ นไปตามข้ อ 5.2.5
รูปที่ จ.27 แสดงตัวอย่างการต่อตัวนาล่อฟ้าเข้ ากับตัวนาลงดินโดยธรรมชาติในคอนกรี ต
คาไข
1 แท่งตัวนาล่อฟ้ า
2 ตัวนาล่อฟ้ าแนวระดับ
3 ตัวนาลงดิน
4 จุดต่อแบบตัวที
5 จุดต่อแบบตัดกัน
6 การต่อเข้ ากับเหล็กเส้ นเสริ มแรง (ดูข้อ จ.4.3.3 และ จ.4.3.6)
7 จุดต่อทดสอบ
8 การจัดวางรากสายดินแบบ ข รากสายดินวงแหวน
9 หลังคาราบพร้ อมสิง่ ติดตังบนหลั
้ งคา
10 จุดต่อแบบตัวทีชนิดทนต่อการกัดกร่อน
หมายเหตุ เหล็กเสริ มแรงของสิ่ งปลูกสร้างควรเป็ นไปตามข้อ 4.3 มิ ติทงั้ หมดของระบบป้ องกันฟ้ าผ่าควรเป็ นไปตามระดับ
การป้ องกันทีเ่ ลือกไว้
คาไข
1 ตัวนาล่อฟ้ าแบบหมุด
2 ตัวนาเหล็กที่ตอ่ กับแท่งเหล็กเสริ มแรงหลายแท่ง
3 เหล็กเสริ มแรงในคอนกรี ต
กรณีต้องการป้องกันฟ้าผ่าโดยตรงที่ชนบนสุ
ั้ ดของที่จอดรถ ควรใช้ แท่งตัวนาล่อฟ้าและสายล่อฟ้า
เดินในอากาศ
คาไข
1 กรวยป้องกัน
2 ครอบโลหะของสิง่ ติดตัง้
3 ตัวนาล่อฟ้ าแนวระดับ
4 การติดตังสายป
้ ้ อนกาลังไฟฟ้ า ทางที่ดีควรอยูใ่ นกาบังตัวนา
5 บริ ภณ
ั ฑ์ไฟฟ้ า
s ระยะการแยกตามข้ อ 6.3
มุมป้องกันตามตารางที่ 2
คาไข
1 จุดต่อซึง่ มีความต้ านทานต่อการกัดกร่อน
2 ตัวนาอ่อน
3 ที่ครอบโลหะของกันตกหลังคา
หมายเหตุ การเลือกวัสดุและการออกแบบจุดต่อและตัวนาต่อ ควรเอาใจใส่เป็ นพิ เศษเพือ่ หลีกเลีย่ งการกัดกร่ อน
คาไข
1 ตัวนาล่อฟ้า
2 ฝาครอบโลหะ
3 ตัวนาประสาน
4 ตัวนาล่อฟ้าตามแนวระดับ
5 บริภณ
ั ฑ์ไฟฟ้า
6 กล่องสาหรับต่อทางไฟฟ้าพร้ อมอุปกรณ์ป้องกันเสิร์จ
7 ตัวนาลงดิน
หมายเหตุ บริ ภณั ฑ์ไฟฟ้าที อ่ ยู่ภายใน มีการประสานเข้ากับระบบตัวนาล่อฟ้าตามข้อ จ.5.2.4.2.6 โดยผ่านกาบังโลหะของสายเคเบิ ล ที ่สามารถทน
กระแสฟ้าผ่าส่วนใหญ่ได้
ส่วนติดตังบนหลั
้ งคา ที่เป็ นสิ่งห่อหุ้มบริ ภัณฑ์ไฟฟ้า ซึ่งไม่สามารถรักษาระยะการแยกได้ ควร
ประสานเข้ ากับระบบตัวนาล่อฟ้าและส่วนตัวนาของส่วนติดตังบนหลั ้ งคา และกาบังที่เป็ นตัวนาของบริ ภัณฑ์
ไฟฟ้าตามตารางที่ 9
รู ปที่ จ.31 แสดงตัวอย่างของวิธีการประสานส่วนติดตังบนหลั ้ งคาที่เป็ นตัวนา เข้ ากับการติดตัง้
ทางไฟฟ้าและระบบตัวนาล่อฟ้าของสิ่งปลูกสร้ าง
คาไข
1 เสาโลหะ
2 ฉนวนกันแยก
้
3 แท่งตัวนาล่อฟ้า
4 สายตัวนาล่อฟ้า
5 ตัวนาประสาน
6 เคเบิลสายอากาศ
7 จุดต่อทดสอบ
8 แท่งตัวนาประสานให้ ศกั ย์เท่ากัน
9 รากสายดินฐานราก
α มุมป้องกัน
s ระยะการแยก
l ความยาวที่พิจารณาสาหรับคานวณระยะการแยก
MDB แผงจ่ายไฟหลัก
PCB กล่องต่อสายไฟฟ้ากาลัง
คาไข
1 เสาโลหะ
2 ตัวนาล่อฟ้าแนวระดับบนสันหลังคา
3 จุดต่อระหว่างตัวนาลงดินของหลังคากับเสาโลหะของสายอากาศ
4 เคเบิลสายอากาศ
5 แท่งตัวนาประสานหลัก ซึง่ กาบังโลหะของเคเบิลสายอากาศต่อกับแท่งตัวนาประสาน
6 จุดต่อทดสอบ
7 โทรทัศน์
8 ทางเดินที่ขนานกันของเคเบิลสายอากาศ กับสายไฟฟ้ากาลัง
9 สายไฟฟ้ากาลัง
10 ระบบรากสายดิน
11 ตู้จา่ ยไฟฟ้ากาลังประธานพร้ อมอุปกรณ์ป้องกันเสิร์จ
12 รากสายดินฐานราก
13 ตัวนาของระบบป้องกันฟ้าผ่า
มุมป้องกัน
l ความยาวที่พิจารณาสาหรับคานวณระยะการแยก
หมายเหตุ สาหรับสิ่ งปลูกสร้างขนาดเล็กอาจใช้ตวั นาลงดิ นเพียงสองเส้นก็เพียงพอตามข้อ 5.3.3
คาไข
1 ทรงกลมกลิ ้ง
2 แท่งตัวนาล่อฟ้า
3 บริภณั ฑ์ไฟฟ้า
4 ตัวนาลงดิน
5 ภาชนะโลหะ
r รัศมีของทรงกลมกลิ ้ง ดูตารางที่ 2
s ระยะการแยก ตามข้ อ 6.3
คาไข
1 การจับยึดตัวนาล่อฟ้ า
2 ท่อโลหะ
3 ตัวนาล่อฟ้ าตามแนวระดับ
4 เหล็กเสริ มแรงในคอนกรี ต
หมายเหตุ
1. ท่อเหล็กควรเป็ นไปตำมข้อ 5.2.5 และตำรำงที ่ 6 ตัวนำประสำนควรเป็ นไปตำมตำรำงที ่ 6 และเหล็กเสริ มแรงควรเป็ นไป
ตำมข้อ 4.3 กำรประสำนบนหลังคำควรเป็ นชนิ ดกันน้ำ
2. ในกรณีเฉพาะนี ้ ได้จดั ให้มีการประสานสิ่ งติ ดตัง้ เข้ากับเหล็กเสริ มแรงของสิ่ งปลูกสร้างคอนกรี ตเสริ มแรง
หมายเหตุ การต่ อถึ งกันทางไฟฟ้ าช่ วยปรับปรุ งการป้ องกัน อิ มพัลส์ แม่ เหล็ กไฟฟ้ าจากฟ้ าผ่ า ดู รายละเอี ยดเพิ่ มเติ มใน
มาตรฐานการป้ องกันฟ้ าผ่า ภาคที ่ 4
รู ปที่ จ.35 การต่ อถึงกันด้ วยตัวนาระหว่ างชิน้ ส่ วนแผ่ นปิ ดหน้ าอาคารที่เป็ นโลหะ
คาไข
1 ตัวนาล่อฟ้ าแนวระดับ
2 ตัวนาลงดิน
3 จุดต่อรูปตัว T ชนิดทนการกัดกร่อน
4 จุดต่อทดสอบ
5 การจัดวางรากสายดินแบบ ข รากสายดินวงแหวน
6 จุดต่อรูปตัว T บนสันหลังคา
7 ขนาดตาข่าย
หมายเหตุ ระยะห่างระหว่างตัวนาลงดิ นควรเป็ นไปตามข้อ 5.2, 5.3 และตารางที ่ 4
รู ปที่ จ.36 การติดตัง้ ระบบป้องกันฟ้าผ่ าภายนอก บนสิ่งปลูกสร้ างที่ใช้ วัสดุฉนวนและมีหลังคาต่ างระดับ
รู ปที่ จ.37จ
สัญลักษณ์
1 องค์ประกอบโดยธรรมชาติของระบบป้องกันฟ้าผ่า เช่น รางน ้าฝน
2 ตัวนาของระบบป้องกันฟ้าผ่า
3 จุดต่อทดสอบ
4 จุดต่อ
หมายเหตุ ระยะห่างระหว่างตัวนาลงดิ นกับขนาดตาข่ายควรเป็ นไปตามระดับการป้ องกันฟ้าผ่าทีเ่ ลือกตามตารางที ่ 2 และ 4
คาไข
1 บริ ภณ
ั ฑ์ไฟฟ้ า
2 สายตัวนาไฟฟ้ า
3 ตัวนาระบบป้องกันฟ้าผ่า
4 กล่องอุปกรณ์จ่ายไฟประธานพร้ อมอุปกรณ์ป้องกันเสิร์จ
5 จุดต่อทดสอบ
6 ระบบรากสายดิน
7 เคเบิลไฟฟ้ ากาลัง
8 รากสายดินฐานราก
s ระยะการแยกตาม ข้ อ 6.3
l ความยาวที่ใช้ ในการคานวณระยะการแยก s
หมายเหตุ ตัวอย่างแสดงให้เห็นปั ญหาซึ่ งเกิ ดขึ้นจากสิ่ งติ ดตัง้ ระบบไฟฟ้ ากาลังหรื อสิ่ งติ ดตัง้ ตัวนาอืน่ ๆ ในทีว่ ่างใต้หลังคาของอาคาร
จ.5.4 ระบบรากสายดิน
จ.5.4.1 ทั่วไป
ผู้ออกแบบและผู้ติดตังระบบป
้ ้ องกันฟ้ าผ่า ควรเลือกแบบของรากสายดินที่เหมาะสม และควรวาง
ตาแหน่งของรากสายดินให้ มีระยะห่างที่ปลอดภัย จากทางเข้ าและทางออกของสิ่งปลูกสร้ าง และจากส่วน
ตัวนาภายนอกที่อยู่ในดิน เช่น เคเบิล ท่อโลหะ และอื่นๆ ดังนันผู ้ ้ ออกแบบและผู้ติดตังระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่าควร
จัดให้ มีการป้องกันเป็ นพิเศษจากอันตรายของแรงดันช่วงก้ าวในบริ เวณใกล้ เคียงโครงข่ายรากสายดิน ถ้ ามีการ
ติดตังรากสายดิ
้ นในบริเวณที่เข้ าถึงได้ โดยสาธารณชน (ดูหวั ข้ อที่ 8)
ค่าที่แนะนา 10 โอห์ม สาหรับความต้ านทานดินทังหมด ้ เป็ นค่าที่ค่อนข้ างในเชิง อนุรักษ์ สาหรับสิ่ง
ปลูกสร้ างที่มีการประสานให้ ศกั ย์เท่ากันโดยตรง ค่าความต้ านทานดินควรต่าที่สุดเท่าที่เป็ นไปได้ ในทุกกรณี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหรับสิ่งปลูกสร้ างที่มีอนั ตรายจากวัสดุระเบิด อย่างไรก็ตามมาตรการที่สาคัญที่สดุ คือการ
ประสานให้ ศกั ย์เท่ากัน
ความลึกในการฝั งและแบบของรากสายดิน ควรเป็ นแบบที่ลดผลของการกัดกร่ อน การแห้ งตัวและ
การเยือกแข็งของดินให้ น้อยที่สดุ และนัน่ หมายถึงทาให้ ความต้ านทานดินเทียบเท่ามีเสถียรภาพ
เป็ นที่ แนะนาว่า ความยาวครึ่ ง เมตรแรกของรากสายดินแนวดิ่ง ไม่ควรคิดเป็ นค่าประสิทธิ ผลใน
สภาวะที่มีการเยือกแข็งของดิน
รากสายดินแบบตอกฝั งลึก มีประสิทธิผลในกรณีพิเศษ ซึ่งความต้ านทานจาเพาะของดินมีค่าลดลง
ตามความลึก และในที่ซงึ่ ชันของดิ
้ นที่มีความต้ านทานจาเพาะต่าเกิดขึ ้นที่ความลึกมากกว่าที่แท่งรากสายดินฝั ง
อยูต่ ามปกติ
เมื่อมีการใช้ เหล็กเสริ มแรงของคอนกรี ตเป็ นรากสายดิน ควรระมัดระวังเป็ นพิเศษที่จุดต่อถึงกั น เพื่อ
ป้องกันการแตกทางกลของคอนกรี ต
ถ้ ามีการใช้ เหล็กเสริมแรงเป็ นรากสายดินฐานราก ควรระลึกอยู่ตลอดเวลาว่า ควรมีมาตรการเข้ มงวด
อย่างยิ่ง ในการเลือกความหนาของแท่งเหล็กและการต่อ ในกรณีนี ้สามารถใช้ แท่งเหล็กเสริ มแรงที่มีขนาดใหญ่
ขึ ้น การต่อลงดินของระบบป้องกันฟ้าผ่าต้ องสันและเป็ ้ นแนวตรงที่สดุ
หมายเหตุ ในกรณี ของคอนกรี ตอัดแรง ควรคานึงถึงผลสืบเนื ่องของการไหลผ่านของกระแสฟ้ าผ่า ซึ่ งอาจทาให้
เกิ ดความเครี ยดทางกลทีย่ อมรับไม่ได้
จ.5.4.2 แบบของการจัดวางรากสายดิน
จ.5.4.2.1 การจัดวางแบบ ก
ระบบรากสายดินแบบ ก เหมาะสมสาหรับสิ่งปลูกสร้ างที่ไม่สงู (เช่น บ้ านพักอาศัย) สิ่งปลูกสร้ างที่มี
อยูแ่ ล้ ว หรื อระบบป้องกันฟ้าผ่าที่มีแท่งตัวนาล่อฟ้า หรื อสายขึง หรื อสาหรับระบบป้องกันฟ้าผ่าแยกอิสระ
การจัดวางแบบนี ้ประกอบด้ วย รากสายดินตามแนวระดับ หรื อแนวดิ่ง ต่อเข้ ากับตัวนาลงดินแต่ละ
เส้ น
ร่ างมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่อสิ่งปลูกสร้ าง และอันตราย
129
คาไข
1 แท่งตอกท่อนสันท่ ้ อนบนสุด
2 ตัวนารากสายดิน
3 ดิน
4 แท่งตอกท่อนสัน้
5 หัวนาเจาะที่เป็ นเหล็ก
หมายเหตุ
1. สายตัวนายาวต่อเนือ่ งฝั งลงดิ นโดยแท่ งตอกท่อนสัน้ หลายแท่งต่อกัน ความต่อเนือ่ งทางไฟฟ้าของตัวนารากสายดิ นเป็ นข้อได้เปรี ยบอย่างยิ่ ง
การใช้เทคนิคนีจ้ ะไม่มีจุดต่อของตัวนารากสายดิ น แท่งตอกท่อนสัน้ ยังจัดการได้ง่ายด้วย
2. แท่งตอกท่อนสัน้ ท่อนบนสุดอาจถอดออกได้
3. ส่วนบนของตัวนารากสายดิ นอาจมีฉนวนหุ้ม
รูปที่ จ.41ก ตัวอย่ างการจัดวางรากสายดินแบบ ก ด้ วยตัวนารากสายดินแนวดิ่ง
คาไข
1 แท่งรากสายดินที่ตอ่ เพิ่มความยาวได้
2 ข้ อต่อแท่งรากสายดิน
3 ดิน
4 แคลมป์ยึดตัวนา (สายดิน) กับแท่งรากสายดิน
5 ตัวนารากสายดิน
รูปที่ จ.41ข ตัวอย่ างการจัดวางรากสายดินแบบ ก ด้ วยแท่ งรากสายดินแนวดิ่ง
รู ปที่ จ.41 ตัวอย่ างการจัดวางรากสายดินแนวดิ่งแบบ ก
จ.5.4.3.6 ระบบรากสายดินในบริเวณขนาดใหญ่
โรงงานอุตสาหกรรมโดยปกติประกอบด้ วยสิ่งปลูกสร้ างที่เกี่ ยวข้ องกัน จานวนหนึ่ง ซึ่งระหว่างสิ่ง
ปลูกสร้ างจะมีเคเบิลไฟฟ้ากาลัง และเคเบิลสัญญาณจานวนมากติดตังอยู ้ ่
ระบบรากสายดินของสิ่งปลูกสร้ างดังกล่าวมีความสาคัญต่อการป้องกันระบบไฟฟ้ามาก ระบบดินที่
มีอิมพีแดนซ์ต่าช่วยลดความต่างศักย์ระหว่างสิ่งปลูกสร้ าง ดังนัน้ จึง ช่วยลดการรบกวนที่เข้ าสู่ส่วนเชื่อมโยง
ไฟฟ้าด้ วย
อิมพีแดนซ์ดนิ ต่าสามารถทาให้ บรรลุผลได้ โดยจัดให้ สิ่งปลูกสร้ างมีรากสายดินฐานราก และเพิ่มเติม
รากสายดินแบบ ข และแบบ ก ที่เป็ นไปตามข้ อ 5.4 ด้ วย
การต่อถึงกันระหว่างรากสายดิน รากสายดินฐานรากกับตัวนาลงดิน ควรต่อถึงกันที่จดุ ต่อทดสอบ
จุดต่อทดสอบบางจุดควรมีการต่อกับแท่งตัวนาประสานให้ ศกั ย์เท่ากันของระบบป้องกันฟ้าผ่าภายในด้ วย
ตัวนาลงดินภายในหรื อส่วนโครงสร้ างภายในที่ใช้ เป็ นตัวนาลงดินควรต่อกับรากสายดินและเหล็ก
เสริมแรงของพื ้นเพื่อหลีกเลี่ยงแรงดันช่วงก้ าวและแรงดันสัมผัส กรณีที่ตวั นาลงดินภายในอยู่ใกล้ กบั รอยต่อเผื่อ
ขยายในคอนกรี ต จุดต่อเหล่านี ้ควรต่อถึงกันให้ ใกล้ กบั ตัวนาลงดินภายในเท่าที่จะทาได้
ส่วนล่างของตัวนาลงดินที่เปิ ดโล่งควรมีการหุ้มฉนวนโดยการร้ อยในท่อพีวีซี ซึ่ง มีความหนาอย่าง
น้ อย 3 มิลลิเมตร หรื อฉนวนอื่น ๆ ที่เทียบเท่า
เพื่อลดความน่าจะเป็ นที่เกิดวาบฟ้าผ่าโดยตรงลงแนวเคเบิลที่เดินอยู่ในดิน ควรติดตังสายดิ
้ น 1 เส้ น
เหนือแนวเคเบิลและในกรณีแนวเคเบิลมีขนาดกว้ าง ควรติดตังสายดิ ้ นจานวนหลายเส้ นเหนือแนวเคเบิล
การต่อสายดินของสิ่งปลูกสร้ างจานวนหนึง่ ให้ ถึงกัน จะได้ รากสายดินแบบตาข่ายตามรูปที่ จ.42
คาไข
1 อาคารซึง่ มีโครงข่ายเป็ นตาข่ายของเหล็กเสริมแรง
2 เสาหรือหอสูงภายในโรงงาน
3 บริภณั ฑ์ที่มีการติดตังแยกต่
้ างหาก
4 รางเคเบิล
หมายเหตุ ระบบนีม้ ี ค่าอิ มพีแดนซ์ ต่าระหว่างอาคาร และมี ข้อดี ที่มีนยั สาคัญในเรื ่องความเข้ากันได้ทางสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ขนาดตาข่ ายที ่อยู่
ติ ดอาคารและวัตถุอืน่ ๆ อาจมีขนาดราว 20 20 เมตร ทีร่ ะยะห่างออกไปมากกว่า 30 เมตร อาจขยายขนาดออกเป็ น 40 40 เมตร
จ.5.6.2 การเลือกวัสดุ
จ.5.6.2.1 วัสดุ
วัสดุระบบป้องกันฟ้าผ่าและเงื่อนไขในการใช้ ของวัสดุ แสดงรายการไว้ ในตารางที่ 5 มิติของตัวนา
ระบบป้องกันฟ้ าผ่า รวมทัง้ ตัวนาล่อฟ้า ตัวนาลงดินและตัวนารากสายดิน ส าหรั บวัสดุต่างๆ เช่น ทองแดง
อะลูมิเนียม และเหล็ก แสดงรายการไว้ ในตารางที่ 6 และ 7 ค่าที่แนะนาสาหรับทองแดงและอะลูมิเนียมกลม
คือ 50 ตารางมิลลิเมตร อยู่บนพื ้นฐานของข้ อกาหนดทางกล (เช่น การทาให้ เส้ นลวดระหว่างจุดจับยึดตรงไม่
หย่อนลงแตะหลังคา) ถ้ าไม่สนใจข้ อจากัดทางกล ก็อาจใช้ ค่าจากหมายเหตุ ข ของตารางที่ 6 (ทองแดง 28
ตารางมิลลิเมตร) เป็ นขนาดขันต
้ ่าได้
ความหนาขันต้ ่าของแผ่นโลหะ ท่อโลหะและภาชนะ (containers) ที่ใช้ เป็ นองค์ประกอบตัวนาล่อฟ้า
โดยธรรมชาติ แสดงรายการไว้ ในตารางที่ 3 ส่วนมิติขนตั ้ ่าของตัวนาประสาน แสดงรายการไว้ ในตารางที่ 8
และ 9
จ.5.6.2.2 การป้องกันการกัดกร่ อน
ระบบป้องกันฟ้าผ่าควรสร้ างโดยใช้ วัสดุที่มีความทนต่อการกัดกร่ อน เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม
เหล็กกล้ าไร้ สนิม และเหล็กอาบสังกะสี วัสดุที่ใช้ ทาแท่ง ตัวนาล่อฟ้าและสายตัวนาล่อฟ้าควรมีการเข้ ากันได้
ทางเคมีไฟฟ้ากับวัสดุของชิ ้นส่วนการต่อและชิ ้นส่วนจับยึด และมีความทนการกัดกร่อนที่ดีต่อบรรยากาศที่ทา
ให้ เกิดการกัดกร่อน หรื อความชื ้น
ควรหลีกเลี่ยงการต่อวัสดุตา่ งชนิดกัน มิฉะนันต้
้ องมีการป้องกันการต่อเหล่านัน้
ส่วนที่เป็ นทองแดงไม่ควรติดตังเหนื
้ อเหล็กอาบสังกะสีหรื อบนชิ ้นส่วนอะลูมิเนียมโดยเด็ดขาด นอกเสียจาก
ชิ ้นส่วนเหล่านันได้
้ จดั ให้ มีการป้องกันการกัดกร่อน
อนุภาคที่มีความละเอียดมากๆ จะถูกปล่อยจากส่วนที่เป็ นทองแดง ซึ่งส่งผลให้ เกิดความเสียหาย
อย่างร้ ายแรงจากการกัดกร่ อนต่อส่วนที่เป็ นเหล็กอาบสังกะสี ถึงแม้ ว่าส่วนที่เป็ นทองแดงกับส่วนที่เป็ นเหล็ก
อาบสังกะสีจะไม่สมั ผัสกันโดยตรง
ตัวนาอะลูมิเนียมไม่ควรแนบโดยตรงกับผิวของอาคารที่เป็ นแคลเซียม เช่น คอนกรี ตฉาบปูน และ
หินปูน และไม่ควรใช้ ในดินโดยเด็ดขาด
จ.5.6.2.2.1 โลหะในดินและในอากาศ
การกัด กร่ อ นของโลหะจะเกิ ด ขึ น้ ในอัต ราที่ ขึ น้ อยู่กั บ ประเภทของโลหะและธรรมชาติ ของ
สภาพแวดล้ อม ปั จจัยทางสภาพแวดล้ อม เช่น ความชื ้น เกลือที่ละลาย (ทาให้ เกิดเป็ นสารอิเล็กโทรไลต์) ระดับ
การเติมอากาศ อุณหภูมิ และการเคลื่อนไหวของสารอิเล็กโทรไลต์ ทาให้ เกิดสภาวะที่ซบั ซ้ อนยิ่ง
นอกจากนี ้ สภาวะในแต่ล ะท้ อ งถิ่ น ซึ่ ง มี สิ่ ง ปนเปื ้อ นตามธรรมชาติ หรื อ มี สิ่ ง ปนเปื ้อ นทาง
อุตสาหกรรมที่ต่างกัน สามารถทาให้ เกิดความแตกต่างกันอย่างมากอันพึงสังเกตในส่วนต่าง ๆ ของโลก การ
แก้ ปัญหาการกัดกร่อนโดยเฉพาะ ด้ วยการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการกัดกร่อน เป็ นเรื่ องแนะนาอย่างยิ่ง
- ตัว ยึด หรื อ ปลอกสายส าหรั บ ตัว น าอะลูมิ เ นี ย ม ควรเป็ นโลหะชนิ ด เดี ย วกัน และมี ข นาด
พื ้นที่หน้ าตัดเพียงพอ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ ้นในสภาวะอากาศที่เลวร้ าย
- ทองแดงเหมาะสาหรับการใช้ เป็ นรากสายดินเป็ นส่วนใหญ่ ยกเว้ นในสภาวะที่เป็ นกรดอยู่ในรูป
ออกซิเจนที่มีแอมโมเนียหรื อซัลเฟอร์ อย่างไรก็ดี ควรระลึกไว้ ว่า ทองแดงจะทาให้ โลหะที่เป็ น
เหล็กที่ต่อประสานอยู่เกิดการกัดกร่ อนทางกัลวานิก ซึ่งอาจต้ องได้ รับการแนะนาเกี่ยวกับการ
กัดกร่อนจากผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะเมื่อใช้ การป้องกันการกัดกร่อนแบบแคโทด
- กรณีตวั นาบนหลังคาและตัวนาลงดิน เปิ ดโล่งต่อก๊ าซกัดกร่อนซึ่งออกจากปล่องควัน ควรเอาใจ
ใส่เป็ นพิเศษต่อการกัดกร่อน เช่น โดยใช้ เหล็กเจือสูง (โครเมียมมากกว่าร้ อยละ 16.5 ขึ ้นไป โม
ลิบดิเนียมมากกว่าร้ อยละ 2 ขึ ้นไป ไทเทเนียมร้ อยละ 0.2 และไนโตรเจนตั ้งแต่ร้อยละ 0.12
ถึง 0.22)
- อาจใช้ เหล็กกล้ าไร้ สนิม หรื อโลหะเจือนิเกิลอื่น ๆ สาหรับความต้ องการการทนการกัดกร่ อนที่
เหมือนกัน อย่างไรก็ดีในสภาวะที่ไร้ อากาศหรื อไร้ ออกซิเจน เช่น ในดินเหนียว โลหะข้ างต้ นจะ
มีการกัดกร่อนเร็วเกือบเท่ากับเหล็กกล้ าละมุน
- จุดต่อในอากาศระหว่างเหล็กกับทองแดง หรื อทองแดงเจือ ถ้ าไม่ได้ ใช้ วิธีเชื่อมควรใช้ แบบชุบ
ดีบกุ หรื อฉาบอย่างมิดชิดด้ วยวัสดุกนั ชื ้นที่ทนทาน
- ทองแดงและทองแดงเจืออาจเกิดการกัดกร่อนจนเกิดรอยแตก (stress corrosion cracking)
ในกรณีที่อยู่ในสภาพที่มีไอของแอมโมเนีย และวัสดุเหล่านี ้ไม่ควรใช้ เป็ นตัวจับยึด สาหรับการ
ใช้ งานเฉพาะเหล่านี ้
- ในทะเลหรื อบริเวณชายฝั่ งจุดต่อตัวนาทังหมดควรเชื
้ ่อมหรื อปิ ดผนึกทังหมดอย่
้ างมีประสิทธิผล
ระบบรากสายดินที่ทาจากเหล็กกล้ าไร้ สนิมหรื อทองแดงสามารถต่อโดยตรงกับเหล็กเสริ มแรงใน
คอนกรี ต
รากสายดินที่ทาจากเหล็กอาบสังกะสีฝังในดินควรต่อกับเหล็กเสริ มแรงในคอนกรี ต โดยผ่านช่อง
ประกายกันแยกที
้ ่สามารถนากระแสฟ้าผ่าส่วนใหญ่ได้ (ดูตารางที่ 8 และ 9 สาหรับมิติของตัวนาที่ใช้ ตอ่ ) การ
ต่อกันโดยตรงในดินจะมีความเสี่ ยงต่อการกัดกร่ อนเพิ่ม ขึน้ อย่างมีนัยสาคัญ ช่องประกายกัน้ แยกที่ ใช้ ควร
เป็ นไปตามข้ อ 6.2
หมายเหตุ ช่องประกายกัน้ แยกทีจ่ ดั อยู่ในชัน้ N ตาม IEC 62561-3 โดยทัว่ ไปถือว่าใช้ได้
เหล็กอาบสังกะสีควรใช้ เป็ นรากสายดินในดินได้ เฉพาะเมื่อไม่มีส่วนของเหล็กที่ร่วมอยู่ในคอนกรี ต
ต่อโดยตรงกับรากสายดินในดิน
ถ้ าท่ อ โลหะวางในดิ น และต่ อ เข้ ากั บ ระบบประสานให้ ศั ก ย์ เ ท่ า กั น และต่ อ กั บ ระบบรากสายดิ น
ในกรณีที่ทอ่ ไม่ได้ แยกจากกัน (isolated) วัสดุของท่อและวัสดุตวั นาของระบบรากสายดิน ควรเป็ นวัสดุเดียวกัน
ท่อที่ มี การป้องกันด้ วยการทาสี หรื อหุ้ม ด้ วยแอสฟั ลต์ถือว่าเป็ นท่อที่ ไ ม่ไ ด้ แยกจากกัน (isolated) กรณี ที่ไ ม่
สามารถใช้ วสั ดุชนิดเดียวกันได้ ระบบงานท่อควรแยกออกจากส่วนของโรงงานที่ต่อกับระบบประสานให้ ศกั ย์
คาไข
1 ไฟฟ้ากาลังไปยังผู้ใช้
2 มาตรวัดกาลังไฟฟ้า
3 กล่องต่อไฟบ้ าน
4 ระบบจ่ายไฟฟ้าจากการไฟฟ้า
5 ท่อก๊ าซ
6 ท่อประปา
7 ระบบทาความร้ อนจากส่วนกลาง
8 เครื่องใช้ อิเล็กทรอนิกส์
9 กาบังของเคเบิลสายอากาศ
10 แท่งตัวนาประสานให้ ศกั ย์เท่ากัน
11 อุปกรณ์ป้องกันเสิร์จ (SPD)
อ อง ะ แ (ISG)
M มาตรวัด
รู ปที่ จ.43 ตัวอย่ างการจัดวางการประสานให้ ศักย์ เท่ ากัน
คาไข
1 ส่วนตัวนาภายนอก เช่น ท่อน ้าประปาโลหะ
2 สายไฟฟ้ ากาลัง หรื อสายโทรคมนาคม
3 เหล็กเสริ มแรงของผนังคอนกรี ตด้ านนอก และฐานราก
4 รากสายดินวงแหวน
5 ต่อไปยังรากสายดินเสริ ม
6 จุดต่อประสานพิเศษ
7 ผนังคอนกรี ตเสริ มแรง ดูคาไข 3
8 อุปกรณ์ป้องกันเสิร์จ
9 แท่งตัวนาประสาน (bonding bar)
หมายเหตุ เหล็กเสริ มแรงในฐานรากใช้เป็ นรากสายดิ นโดยธรรมชาติ
คาไข
1 เหล็กเสริมแรงของผนังคอนกรีตด้ านนอก และฐานราก
2 รากสายดินอื่น ๆ
3 จุดต่อประสาน
4 ตัวนาวงแหวนภายใน
5 ต่อไปยังส่วนตัวนาภายนอก เช่น ท่อน ้าประปา
6 รากสายดินวงแหวน การจัดวางรากสายดินแบบ ข
7 อุปกรณ์ป้องกันเสิร์จ (SPD)
8 แท่งตัวนาประสาน (bonding bar)
9 สายไฟฟ้ากาลัง หรือสายโทรคมนาคม
10 ต่อไปยังรากสายดินเสริม การจัดวางรากสายดินแบบ ก
คาไข
1 สายไฟฟ้ากาลัง หรือสายโทรคมนาคม
2 ตัวนาวงแหวนภายนอกตามแนวระดับ (อยูเ่ หนือดิน)
3 ส่วนตัวนาภายนอก
4 จุดต่อกับตัวนาลงดิน
5 เหล็กเสริมแรงภายในผนัง
6 จุดต่อประสานกับเหล็กโครงสร้ าง
7 แท่งตัวนาประสาน (bonding bar)
8 อุปกรณ์ป้องกันเสิร์จ (SPD)
คาไข
1 เครื่ องทาความร้ อนที่เป็ นโลหะ
2 ผนังอิฐหรื อไม้
3 เครื่ องทาความร้ อน
4 แท่งตัวนาประสานให้ ศกั ย์เท่ากัน
5 ระบบรากสายดิน
6 จุดต่อกับระบบรากสายดินหรื อตัวนาลงดิน
7 กรณีเลวร้ ายที่สดุ
d ระยะจริ ง
l ความยาวที่ใช้ คานวณระยะการแยก s
หมายเหตุ สิ่ งปลูกสร้ำงทำด้วยอิ ฐฉนวน (Insulating Bricks)
หรื อจุดประสานให้ ศักย์เ ท่ากันที่ ใกล้ ที่สุดที่ สิ่ ง ติดตัง้ ภายในนัน้ ต่ออยู่กับตัวนาลงดินหรื อระบบรากสายดิน
สาหรับการคานวณระยะการแยก s ตามข้ อ 6.3
เมื่ อไม่สามารถรั กษาระยะให้ มากกว่าระยะการแยก s ได้ ตลอดความยาวทัง้ หมดของสิ่ง ติดตัง้ ที่
พิจารณา ควรทาการประสานสิ่งติดตังนั ้ นกั
้ บระบบป้องกันฟ้าผ่าที่จดุ ที่ไกลที่สดุ จากจุดประสานอ้ างอิง (ดูรูปที่
จ.47) ดังนันควรเปลี
้ ่ยนเส้ นทางเดินสายไฟฟ้าใหม่เพื่อให้ ได้ ระยะการแยกตามข้ อ 6.3 หรื อทาการหุ้มสายไฟฟ้า
ในกาบังโลหะที่ตอ่ ประสานกับระบบป้องกันฟ้าผ่าจุดที่ไกลที่สดุ จากจุดประสานอ้ างอิง
เมื่อมีการประสานสิ่งติดตังเข้้ ากับระบบป้องกันฟ้าผ่าในอาคารที่ระยะน้ อยกว่า 30 เมตร ที่จดุ อ้ างอิง
และที่จดุ ไกลที่สดุ ระยะการแยกจะถูกรักษาไว้ ตลอดเส้ นทางของการติดตัง้
จุดต่างๆ ต่อไปนี ้มักเป็ นจุดวิกฤตและต้ องมีการพิจารณาเป็ นพิเศษ
- ในกรณีสิ่งปลูกสร้ างขนาดใหญ่ ระยะการแยกระหว่างตัวนาระบบป้องกันฟ้าผ่า กับสิ่งติดตังโลหะ ้
มักจะมีมากและไม่สามารถรักษาระยะไว้ ได้ จึงต้ องมีการประสานระบบป้องกันฟ้าผ่าเพิ่มเติมเข้ า
กับสิ่งติดตังเหล่
้ านี ้ เป็ นผลให้ มีส่วนหนึ่งของกระแสฟ้าผ่าไหลผ่านสิ่งติดตังโลหะเหล่ ้ านี ้ไปยังระบบ
รากสายดินของสิ่งปลูกสร้ าง
- การรบกวนทางแม่เ หล็ กไฟฟ้ าที่ เ กิ ดจากกระแสฟ้ าผ่าบางส่วน ต้ องได้ รับการพิจ ารณาเมื่ อวาง
แผนการติดตังในสิ
้ ่งปลูกสร้ าง และออกแบบย่านป้องกันแม่เหล็กไฟฟ้าจากฟ้าผ่า ภายในสิ่งปลูก
สร้ าง ตามมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 4
อย่างไรก็ตาม การรบกวนถือว่าค่อนข้ างน้ อยเมื่อเทียบกับการรบกวนที่เกิดจากประกายไฟฟ้าที่จดุ นี ้
ในกรณีของหลังคา ระยะระหว่างระบบป้องกันฟ้าผ่ากับสิ่งติดตังทางไฟฟ ้ ้ ามักพบว่าสันกว่
้ าระยะการ
แยก s ที่ให้ ไว้ ในข้ อ 6.3 ซึ่งหากสิ่งนีเ้ ป็ นประเด็น ควรพยายามติดตังระบบป ้ ้ องกันฟ้าผ่าหรื อตัวนาไฟฟ้าที่
ตาแหน่งอื่น
ควรตกลงกับบุคคลผู้รับผิดชอบสิ่งติดตังทางไฟฟ ้ ้ าในการเปลี่ยนเส้ นทางเดินวงจรไฟฟ้าที่มีระยะการ
แยกจากระบบตัวนาล่อฟ้าบนสิ่งปลูกสร้ างไม่เป็ นไปตามข้ อกาหนด
เมื่อไม่สามารถเปลี่ ยนเส้ นทางเดินสายของสิ่งติดตังทางไฟฟ ้ ้ าได้ ให้ ทาการประสานเข้ ากับระบบ
ป้องกันฟ้าผ่าภายนอก ตามข้ อ 6.3
ในบางอาคารก็เป็ นไปไม่ได้ ที่จะรักษาระยะการแยกตามที่กาหนดได้ สิ่งก่อสร้ างภายในอาจกีดขวาง
ให้ ผ้ อู อกแบบหรื อผู้ติดตังไม่
้ สามารถประเมินสถานการณ์ และทาการต่อชิ ้นส่วนโลหะบางชิ ้นหรื อตัวนาไฟฟ้า
บางเส้ นได้ ซึง่ ต้ องมีการติดต่อกับเจ้ าของอาคาร
จ.6.3.2 วิธีการอย่ างง่ าย
วิธีการอย่างง่ายตามข้ อ 6.3.2 มีความเป็ นไปได้ ถ้ าสิ่งปลูกสร้ างมี ระยะมากสุดในแนวระดับ (ความ
กว้ างหรื อความยาว) ไม่เกินสี่เท่าของความสูง
จ.6.4 การป้องกันจากผลกระทบของกระแสเหนี่ยวนาในระบบภายใน
กระแสในตัวนาของระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก อาจเหนี่ยวนาให้ เกิดแรงดันเกิ นในวงรอบตัวนาของสิ่ง
ติดตังภายในเนื
้ ่องจากผลการคาบเกี่ยวทางแม่เหล็ก แรงดันเกินอาจทาให้ ระบบภายในล้ มเหลวได้
เนื่องจากในทางปฏิบตั ิ อาคารทังหมดมี
้ บริภณ
ั ฑ์อิเล็กทรอนิกส์อยูภ่ ายใน ผลกระทบของสนามแม่เหล็ก
ไฟฟ้าของตัวนาลงดินภายนอกและภายในควรคานึงถึงในระหว่างการวางแผนระบบป้องกันฟ้าผ่า
มาตรการป้องกันแรงดันเกินให้ ไว้ ในมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่าภาค 4
จ.7 การบารุงรักษาและการตรวจพินิจระบบป้องกันฟ้าผ่ า
จ.7.1 ขอบเขตของการตรวจพินิจ
การตรวจพินิจระบบป้องกันฟ้าผ่าควรดาเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญระบบป้องกันฟ้าผ่าตามคาแนะนาใน
ข้ อ 7
ผู้ตรวจพินิจควรได้ รับรายงานการออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่า ซึ่งประกอบด้ วยเอกสารข้ อมูลที่ จาเป็ น
ของระบบป้ องกัน ฟ้ าผ่า เช่น เกณฑ์ใ นการออกแบบ รายละเอีย ดการออกแบบ และแบบทางเทคนิค ผู้
ตรวจสอบยังควรได้ รับรายงานการตรวจสอบและการบารุงรักษาครัง้ ก่อนหน้ านี ้ด้ วย
ระบบป้องกันฟ้าผ่าทังหมดควรได้
้ รับการตรวจสอบตามวาระต่อไปนี ้
- ระหว่างการติดตังระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า โดยเฉพาะระหว่างการติดตังองค์
้ ประกอบที่ ถกู ปิ ดซ่อนภายใน
สิ่งปลูกสร้ าง และจะไม่สามารถเข้ าถึงได้ ในภายหลัง
- ภายหลังเสร็จสิ ้นการติดตังระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า
- ตามหลักเกณฑ์ปกติที่ระบุในตารางที่ จ.2
จ.7.2.4 การทดสอบ
การตรวจพินิ จ และการทดสอบระบบป้ องกัน ฟ้ าผ่ารวมถึง การตรวจพิ นิ จ ด้ ว ยตา และควรท าให้
สมบูรณ์โดยการดาเนินการต่อไปนี ้
- ทาการทดสอบความต่อเนื่องทางไฟฟ้า โดยเฉพาะความต่อเนื่องของส่วนต่าง ๆ ของระบบป้องกัน
ฟ้าผ่า (ซึ่งมองไม่เห็น จากการตรวจพินิจ ด้ วยสายตาในระหว่างการติดตังตอนเริ
้ ่ มแรก และตรวจ
พินิจด้ วยตาไม่ได้ ในเวลาต่อมา)
- ทาการทดสอบความต้ านทานดินของระบบรากสายดิน ควรทาการวัดและตรวจการต่อลงดินที่แยก
และที่ตอ่ ร่วมต่อไปนี ้ และบันทึกผลในรายงานการตรวจสอบระบบป้องกันฟ้าผ่า
หมายเหตุ 1. การวัดด้วยความถีส่ ูงหรื ออิ มพัลส์มีความเป็ นไปได้และมี ประโยชน์ในการพิ จารณาพฤติ กรรมความถี ่
สูงหรื ออิ มพัลส์ ของระบบรากสายดิ น การวัดเหล่านีอ้ าจทาในขัน้ ตอนการติ ดตัง้ เช่นเดี ยวกับการบารุงรักษาตามวาระสาหรับ
ระบบต่อลงดิ น เพือ่ ตรวจสอบความเพียงพอระหว่างระบบต่อลงดิ นทีไ่ ด้ออกแบบกับระบบต่อลงดิ นทีต่ อ้ งการ
ก. ความต้ านทานดินของรากสายดินเฉพาะที่แต่ละแท่ง และในที่ที่ปฏิบตั ิได้ ให้ วดั ความต้ านทาน
ดิน ของระบบรากสายดิน ทัง้ หมด รากสายดินเฉพาะที่ แ ต่ละแท่ง ควรวัด ความต้ า นทานใน
ตาแหน่งปลด ที่จุดทดสอบระหว่างตัวนาลงดินกับรากสายดินในตาแหน่งที่มีการปลด (การวัด
แยก)
หมายเหตุ 2. สาหรับโครงข่ายดิ นที ่มีทงั้ แท่งรากสายดิ นแนวดิ่ งและรากสายดิ นวงแหวนบางส่วนหรื อเต็มวง การ
แยกและการทดสอบควรทาในบ่อตรวจสอบดิ น ถ้าการตรวจสอบดังกล่าวทาได้ยาก การทดสอบประจาควรทาด้วยความถี ่สูง
หรื ออิ มพัลส์
ถ้ าความต้ านทานดินของระบบรากสายดินทังหมดมี ้ คา่ มากกว่า 10 โอห์ม ควรมีการตรวจสอบ
เพื่อให้ แน่ใจว่ารากสายดินนันเป็
้ นไปตามรูปที่ 3
ถ้ ามีการเพิ่มขึน้ หรื อลดลงอย่างมีนัยส าคัญของค่าความต้ านทานดิน ควรมี การตรวจพิสูจ น์
เพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุที่ความต้ านทานดินมีคา่ เพิ่มขึ ้น และมีมาตรการเพื่อปรับปรุงสถานการณ์
ถ้ ารากสายดินอยูใ่ นดินที่เป็ นหิน ควรปฏิบตั ติ ามข้ อกาหนด จ.5.4.3.5 ข้ อกาหนดความต้ านทาน
ดิน 10 โอห์มใช้ ไม่ได้ ในกรณีนี ้
ข. ผลการตรวจพินิจของตัวนา ตัวประสาน และจุดต่อทังหมด ้ หรื อความต่อเนื่องทางไฟฟ้าที่วดั ได้
ขององค์ประกอบเหล่านี ้
ถ้ าระบบรากสายดินไม่เ ป็ นไปตามข้ อกาหนดเหล่านี ้ หรื อตรวจสอบไม่ได้ ว่าเป็ นไปตามข้ อกาหนด
เพราะขาดข้ อมูล ระบบรากสายดินควรได้ รับการปรับปรุงโดยการติดตังรากสายดิ ้ นพิเศษหรื อติดตังระบบราก
้
สายดินใหม่
อุปกรณ์ป้องกันเสิร์จที่ไม่มีตวั แสดงสถานะที่มองเห็นได้ ต้ องมีการทดสอบ โดยแนะนาให้ ใช้ แนวทาง
หรื ออุปกรณ์ที่ผ้ ผู ลิตจัดไว้ ให้
จ.7.2.5 การจัดทาเอกสารการตรวจพินิจ
แนวทางในการตรวจพินิจ ระบบป้องกันฟ้าผ่าควรมีการเตรี ยมไว้ เพื่ออานวยความสะดวกในการ
ตรวจสอบระบบป้องกันฟ้าผ่า ซึ่งควรมีข้อมูลที่เพียงพอเพื่อแนะนาผู้ตรวจสอบตลอดกระบวนการตรวจสอบ
ดังนันข้
้ อมูลที่สาคัญทังหมดควรจั
้ ดเก็บเป็ นเอกสาร เช่น วิธีการติดตังระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า แบบและสภาพของ
องค์ประกอบของระบบป้องกันฟ้าผ่า วิธีทดสอบและการบันทึกข้ อมูลผลการทดสอบที่ได้ อย่างถูกต้ อง
ผู้ตรวจสอบควรรวบรวมรายงานการตรวจสอบระบบป้องกันฟ้าผ่า ซึ่งควรเก็บร่ วมกับรายงานการ
ออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่าและรายงานการตรวจสอบและบารุงรักษาที่รวบรวมจากครัง้ ก่อนหน้ า
รายงานการตรวจสอบระบบป้องกันฟ้าผ่าควรมีข้อมูลต่อไปนี ้
- สภาพทัว่ ไปของตัวนาล่อฟ้า และองค์ประกอบตัวนาล่อฟ้าอื่นๆ
- ระดับของการกัดกร่อน และสภาพของการป้องกันการกัดกร่อนโดยทัว่ ไป
- ความมัน่ คงของการจับยึดตัวนาระบบป้องกันฟ้าผ่า และองค์ประกอบอื่นๆ
- การวัดความต้ านทานดินของระบบรากสายดิน
- ส่วนที่เบี่ยงเบนใด ๆ จากข้ อกาหนดในมาตรฐานนี ้
- เอกสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทังหมดและส่
้ วนขยายเพิ่มเติมของระบบป้องกันฟ้ าผ่าและส่วนที่
เปลี่ยนแปลงใด ๆ ของสิ่งปลูกสร้ าง นอกจากนี ้ ควรมีการทบทวนแบบการสร้ างระบบป้องกันฟ้าผ่า
และรายละเอียดการออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่า
- ผลที่ได้ จากการทดสอบ
จ.7.3 การบารุงรักษา
ระบบป้องกันฟ้าผ่าควรมีการบารุงรักษาอย่างสม่าเสมอเพื่อมัน่ ใจว่าจะไม่เสื่อ มสภาพ แต่ยงั คงเป็ นไป
ตามข้ อ ก าหนดซึ่ ง ได้ รั บ การออกแบบไว้ ตัง้ แต่แ รกอย่า งต่อ เนื่ อ ง การออกแบบระบบป้ องกัน ฟ้ าผ่ า ควร
กาหนดการบารุงรักษาที่จาเป็ นและรอบการตรวจสอบตามตารางที่ จ.2
แผนงานบารุงรักษาระบบป้องกันฟ้าผ่า ควรให้ มนั่ ใจว่ามีการปรับปรุงระบบป้องกันฟ้าผ่าให้ เป็ นไปตาม
ฉบับปั จจุบนั ของมาตรฐานนี ้
จ.7.3.1 ข้ อสังเกตทั่วไป
องค์ประกอบของระบบป้องกันฟ้ าผ่ามี แนวโน้ มจะสูญเสี ยประสิ ทธิ ผลเมื่ อผ่านช่วงเวลาหลายปี
เนื่องจากการกัดกร่อน ความเสียหายที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพอากาศ ความเสียหายทางกลและความเสียหายจาก
ลาฟ้าผ่า
แผนงานการตรวจพินิจและการบารุ งรักษาควรกาหนดโดยหน่วยงานที่มีอานาจ ผู้ออกแบบระบบ
ป้องกันฟ้าผ่า หรื อผู้ตดิ ตังระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า ร่วมกับเจ้ าของสิ่งปลูกสร้ างหรื อตัวแทนที่ได้ รับมอบหมาย
เพื่อดาเนินการบารุ งรักษาและการตรวจพินิจระบบป้องกันฟ้าผ่า แผนงานทังสองคื ้ อการตรวจพินิจ
และการบารุงรักษา ควรมีการประสานกัน
Bibliography
[1] NFPA (National Fire Protection Standards), 780:2008, Standard for the Installation of Lightning
Protection Systems
[2] IEC 61400-24, Wind turbines – Part 24: Lightning protection
[3] IEC 60050-826:2004, International Electrotechnical Vocabulary – Part 826: Electrical
installaations
[4] IEC 60050-426-2008, Interantional Electrotechnical Vocabulary – Part 426: Equipment for
explosive atmospheres
[5] IEC/TR 61000-5-2, Electromagnetic compatibility (EMC) – Part 5: Installation and mitigation
guidelines – Section 2: Earthing and cabling
[6] IEC 60728-11, Cable networks for television signals, sound signals and interactive services –
Part 11: Safety
ภำคผนวก ฉ
(ใช้ เป็ นข้ อมูล)
คำอธิบำยเพิ่มเติม
หมายเหตุ เมื ่อควำมสูงของแท่งตัวนำล่อฟ้ ำเพิ่ มขึ้ น ระยะห่ำงในแนวระดับจะมี ค่ำเพิ่ มขึ้ นจนถึงมุมป้ องกันค่ำหนึ่ง กรณี ที่
ควำมสูงของแท่งตัวนำล่อฟ้ ำเพิ่ มขึ้นแต่ระยะห่ำงในแนวระดับลดลง ให้ดูรำยละเอียดเพิ่ มเติ มจำกรู ปกรำฟ
8 30
= 43.81 เมตร
1
10 4
43.81 106
scmin 7 10
5
10 43.81 106
7 104 5
1251.72 ตร.มม. ตอบ
h1 – h2 > p
d
p
h1
h2
20 400 25
20 19.36
0.64 เมตร
30 900 25
30 29.58
0.42 เมตร
45 44.72
0.28 เมตร
60 59.79
0.21 เมตร
ตารางแสดงผลการคานวณ
ระดับกำรป้องกัน
1 2 3 4
ระยะห่ ำง d
รัศมีทรงกลมกลิง้ r (เมตร)
(เมตร)
20 30 45 60
ระยะล่ วงลำ้ p (เมตร)
1 0.006 0.004 0.003 0.002
2 0.03 0.02 0.01 0.01
3 0.06 0.04 0.03 0.02
4 0.10 0.07 0.04 0.03
5 0.16 0.10 0.07 0.05
6 0.23 0.15 0.10 0.08
7 0.31 0.20 0.14 0.10
8 0.41 0.27 0.18 0.13
9 0.51 0.34 0.23 0.17
10 0.64 0.42 0.28 0.21
ข. คำนวณหำแรงดันเหนี่ยวนำ
di
จากสูตร U M kc (1)
dt
di imax
เมื่อ คือ อัตราการเพิ่มของกระแสต่อเวลา (kA/s) =
dt T1
kc คือ ค่าสัมประสิทธิ์ของรู ปแบบมิติของตัวนา
M คือ อินดักแตนซ์
ค. คำนวณหำแรงดันประกำยข้ ำม
(ให้ อากาศเบรกดาวน์ที่ 500 kV/m)
1
จากสูตร U d km 500 d 1 (2)
T1
เมื่อ km คือ ค่าสัมประสิทธิ์ของวัสดุ
M 1 kc
l imax (3)
500 1 T1 km
M 1
ให้ k (4)
500 1 T1
kc
s k l imax
km
และ ki k imax (5)
kc
ดังนัน้ s ki l เมตร
km
หาค่า k จากสมการที่ (4)
1 1
k
500 1 0.25
1.6 10 3
โดยที่ M= 1 H/m
T1 = 0.25 s
จากค่ากระแสฟ้าผ่าช่วงสันล
้ าต่อมา ที่กาหนดในมาตรฐาน ตามระดับป้องกัน
ระดับป้องกัน 1 imax = 50 kA
ระดับป้องกัน 2 imax = 37.5 kA
ระดับป้องกัน 3 imax = 25 kA
แทนค่าลงในสมการที่ (5)
imax = 50 kA, k1 1.6 10 3 50 kA = 0.08
imax = 37.5 kA, ki 1.6 10 3 3.75 kA = 0.06
ระดับป้องกัน ki
1 0.08
2 0.06
3 0.04
ซึง่ จะตรงกับตารางที่ 10
ง. กำรหำค่ ำ kc
ค่า kc คือ สัมประสิทธิ์ของการจัดวางตัวนาลงดินซึง่ สามารถจัดวางตามมิติตา่ งๆ ได้ ดงั รูปที่ ฉ.2 ถึง ฉ.4
s
สิ่งติดตังโลหะ
้
ตัวนาลงดิน หรือสายตัวนา
แท่งตัวนาประสาน วงรอบ
kc = 1
s
สิ่งติดตังโลหะ
้
ตัวนาลงดิน หรือสายตัวนา
แท่งตัวนาประสาน วงรอบ
kc = 1
วงรอบ l
kc = 0.66
kc = 0.44
วงรอบ
วิธีหำค่ ำ kc
ในกรณีการจัดวางแบบ 2 มิติ จะได้ วงจรสมมูลดังรูปที่ ฉ.5
i
R R
3 3
R R R
3 3 3
i
2 1
i i
3 3
R 2
R
3 3
2
i1 i
3
2
kc 0.66
3
2
4 2
kc 0.44
9 3
l EB
จากสูตร
kc
s ki l
km
ki = 0.08 (ระดับการป้องกัน 1)
kc = 1 (แท่งตัวนาล่อฟ้าแท่งเดียว)
km = 1 (เป็ นอากาศ)
l = 6 เมตร
1
s 0.08 6
1
= 0.48 เมตร
d ระยะจริ ง > s
s ระยะการแยกตามข้ อ 6.3
l ความยาวที่ใช้ ในการคานวณหาค่าระยะการแยก s
หมายเหตุ ควำมสูงของบุคคลทีม่ ื อยกขึ้นคิ ดเป็ น 2.5 เมตร
kc
จากสูตร s ki l
km
ki = 0.08 (การป้องกันระดับ 1)
kc = 1 (มีตวั นาแบบมิตเิ ดียว)
km = 1 (ฉนวนเป็ นอากาศ)
l = 10 เมตร
1
s 0.08 10 = 1 เมตร
1
d 2.5 s
d 2.5 8
d 3.3 เมตร
i : 37.5 kA
0.25/100 s
s is
10 m
6m
วิธีทำ
เนื่องจากเป็ นรูปแบบ 3 มิติ
2
2
kc
3
กระแสแบ่งไหล is ; is kci
2
2
37.5
3
= 16.7 kA
ให้ km = 0.5, ki 0.06
kc
จากสูตร s ki l
km
(2/3) 2
ดังนัน้ s 0.06 6
0.5
= 0.32 เมตร
ร่ างมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่อสิ่งปลูกสร้ าง และอันตราย
174
(A)
h1 la Sa Sf l1
h2 lb Sg
Sb lg
h3 lc Sc
h4 le Se
Cs Cd
h5
3 6
1 ca cd
kc1 0.1 0.2
2n h1 cs
1 1
kc2 0.1 kc3 0.01
n n
1 1
kc4 kcm kc4
n n
ki ki
sa kc1 la sb kc2 lb
km km
k k
sc i kc3 lc se i kc4 le
km km
k
sf i kc1 lf kc2 h2
km
(A)
5m 3m Sf 3.5 m
Sa
5m 3m
Sg ki ระดับป้องกัน 1 = 0.1
Sb 2.5 m
km วัสดุแข็ง = 0.5
5m 2m n = 10
Sc
5m 1m
Se
5m 5m 5m
0.1 0.1
sa 0.35 3 = 0.21 เมตร sb 0.2 3 = 0.12 เมตร
0.5 0.5
0.1 0.1
sc 0.11 2 = 0.044 เมตร se 0.1 1 = 0.02 เมตร
0.5 0.5
0.1
sf 0.35 3.5 0.2 5 = 0.44 เมตร
0.5
0.1
sg 0.2 2.5 0.11 5 0.1 5 = 0.31 เมตร
0.5
ตัวนาล่อฟา
ตัวจับ ด
จุดทดสอบ
ม. . ม.
รากสา ดนแนวด่ง
รากสา ดนแนวด่ง
ตัวนาล่อฟา
ตัวนาลงดน
ตัวจับ ด
จุดทดสอบ
รากสา ดนแนวระดับ
รากสา ดนแนวราบ
ังลกก 0.5
งล . ม.ม.
. ม.
ม.
กำรติดตัง้ รำกสำยดินแบบ ก
การจัดวางแบบ ข จานวนรากสายดินต้ องมีอย่างน้ อย 2 ชุด
สา
ตัวนนาลงด
าลงดนน
รากสา ดน
รากสา ดนวงแหวน
ท่อน้าทาความร้อน
กำรจัดวำงแบบ ข
การจัดวางแบบนี ้ ประกอบด้ วย รากสายดิน
- แบบวงแหวน
- แบบฐานราก
ประมา ม.
ตัวจับ ด
จุดทดสอบ
ขั้วต่อลงดน
ตัวจับ ด
การต่อลงดนต้องปองกัน
การกัดกร่อน
ลหะคลุมหน้าอาคาร สามารถ ช้
เปนตัวนาลงดน ด้ ถ้ามีการ
ต่อเนื่องทาง ฟฟา
การต่อ นดน
ห้องตู้ประ าน ฟฟา
Ca.1 1m.m.
รากสา ดนวงแหวน
EBB
1 ม.
ห้ องตู้ประธานไฟฟ้า
สา ตัวนา ร้อมหูสา
ห้องตู้ประ าน ฟฟา
รากสา ดน านรากคอนกรีต
สาหรับการดสชาร์จของกระแสฟาผ่า
ฉ.6 ควำมยำวประสิทธิผลกับควำมยำวหลักดินที่กำหนดในมำตรฐำน
ฉ.6.1 ที่มำของควำมยำวรำกสำยดินต่ำสุด
จากการทดสอบของคณะทางานมาตรฐาน IEC TC 81 ได้ ทดลองหาความยาวต่าสุดรากสายดินโดย
การจัดวางแบบต่าง ๆ ซึง่ พอสรุปได้ วา่
- ค่าอิมพีแดนซ์ดนิ ของรากสายดินขึ ้นอยู่กบั ค่าความต้ านทานจาเพาะของดิน
- ค่าอิมพีแดนซ์ดนิ ของรากสายดินขึ ้นอยู่กบั รูปร่างลักษณะของรากสายดิน
5 kA
7 s
17 s
ตามชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า 2 กาหนดให้ คา่ อิมพีแดนซ์ดิน 13.3 โอห์ม ( 200 10 13.3 โอห์ม) จะได้
150
ค่าความยาวต่าสุดที่คา่ ความต้ านจาเพาะดินต่าง ๆ ในระดับการป้องกัน 2 จะได้ กราฟดังรูปที่ ฉ.23
ฉ.6.2 กำรคำนวณหำควำมยำวต่ำสุดของรำกสำยดินแบบ ก
จากรูปที่ 5.2 ที่แสดงถึงความยาวต่าสุดของรากสายดินแต่ละชุดจาแนกตามชันของระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า
จะได้ คา่ ความยาวต่าสุดดังตารางที่ ฉ.6.1
หมายเหตุ ค่ำทีแ่ สดงในตำรำงเป็ นค่ำอิ มพีแดนซ์ ดินแบบเดิ มของตัวนำทีฝ่ ั งในดิ นขณะได้รบั กระแสอิ มพัลส์รูปคลืน่ 10/350 s
ร่ างมาตรฐานการป้องกันฟ้าผ่า ภาคที่ 3 ความเสียหายทางกายภาพต่อสิ่งปลูกสร้ าง และอันตราย
184
ฉ.6.3 กำรคำนวณหำควำมยำวต่ำสุดของรำกสำยดินแบบ ข
ฉ.6.3.1 กำรพิจำรณำรัศมีเฉลี่ย
พื ้นที่ที่ปกคลุมโดยวงกลมของรากสายดินแบบฐานรากต้ องมีรัศมีเฉลี่ยไม่น้อยกว่า l1
re
A A1 A2
A
re
re l1
l1 r
จึงต้ องเพิ่มความยาวดังนี ้
ก. รำกสำยดินในแนวระดับ
lr l1 r
= 35 – 8
= 27 เมตร
ต้ องเพิ่มรากสายดินในแนวระดับ 27 เมตร
หรื อ
ข. รำกสำยดินแบบแนวดิ่ง
l1 r 35 8 27
lv
2 2 2
= 13.5 เมตร
18 เมตร
ต้ องมีการยึดกับตัวถัง
อย่างเหมาะสม ทุก ๆ
ระยะประมาณ 500 มม.
ตัวนาต่อประสาน
หรื อชันต์สเตนเลส
หมายเหตุ เอิ ร์ททิ งบอส คือ ขัว้ ต่อลงดิ นทีม่ ี ลกั ษณะเป็ นหมุด ปลำยหนึ่งเชื ่อมติ ดกับตัวถัง อีกปลำยหนึ่งมี ขวั้ สำหรับต่อลงดิ น
รู ปที่ ฉ.26 ถังเก็บแบบหลังคำลอย
ตัวนาลงดินที่ทดสอบ
เครื่องวัดความต่อเนื่อง
ของตัวนา (โอห์มมิเตอร์ ) แสดงเฉพาะตัวนาลงดินเพียงเส้ นเดียว
เพื่อความชัดเจน
b
a
c e
e e a
d
g b
a
e
c
e e a
b
คำไข
a สายทดสอบที่นากระแส
b สายทดสอบที่วดั แรงดัน
c แท่งต่อประสานหรื อการต่อโครงข่ายการต่อลงดิน
d การต่อกับแท่งเหล็กเสริ มแรง
e การต่อโครงข่ายการต่อลงดิน
f ตัวนาทีจ่ ดั ให้ เฉพาะ (ต่อกับ e ยกเว้ นเมื่อทดสอบ)
g จุดต่อทดสอบ (ปลดการต่อจากสายต่อลงดินระหว่างการวัด)
กำรต่ อ
ในการนากระแสฟ้าผ่า การเชื่อมและการแคลมป์เป็ นวิธีที่ดีกว่า การผูก การผูกเหมาะสาหรับการทาให้
ศักย์เท่ากันและมีจดุ ประสงค์ทางความเข้ ากันได้ ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC) เท่านัน้
ตัวนำลงดิน
แท่งตัวนาของผนังหรื อเสาคอนกรี ต และกรอบโครงสร้ างเหล็ก อาจใช้ เป็ นตัวนาลงดินโดยธรรมชาติได้
รำกสำยดินแบบฐำนรำก
แท่งเหล็กเสริมแรงของฐานรากและผนังที่ฝังดินสามารถใช้ เป็ นรากสายดินแบบฐานรากได้
ภำคผนวก ซ
รวมคำศัพท์ อังกฤษ-ไทย
component องค์ประกอบ
compression fitting ตัวต่อแบบบีบอัด
conductive นาไฟฟ้า
conductive material วัสดุนาไฟฟ้า
conductive part ส่วนนาไฟฟ้า
conductors ตัวนา
connecting component องค์ประกอบการต่อ
connecting conductor ตัวนาที่ใช้ ตอ่
consultation การปรึกษา
container คอนเทนเนอร์
conventional earthing impedance อิมพีแดนซ์ดนิ แบบเดิม, อิมพีแดนซ์ดนิ แบบ
ที่นิยมใช้ ทวั่ ไป
corrosion การกัดกร่อน
coupling คัปปลิง, การคาบเกี่ยว
covering สิ่งปกคลุม, การปกคลุม
crimping การบีบอัด
critical field gradient เกรเดียนต์สนาม (ไฟฟ้า, แม่เหล็ก) วิกฤต
cross-sectional area พื ้นที่หน้ าตัด
dangerous area พื ้นที่อนั ตราย
dangerous current กระแสอันตราย
dangerous sparking ประกายอันตราย
diffusion การแพร่กระจาย
dimension มิติ
discharge ดีสชาร์ จ
disruptive discharge ดีสชาร์ จอันตราย
down conductor ตัวนาลงดิน
down-conductor system ระบบตัวนาลงดิน
earth conductor ตัวนารากสายดิน
earth electrode รากสายดิน
earth plate แผ่นรากสายดิน
earth rod แท่งรากสายดิน
earth termination ขัว่ ต่อรากสายดิน
inspection การตรวจพินิจ
insulating material วัสดุฉนวน
interaction อันตรกิริยา
intercept ดักรับ
interconnected ที่ตอ่ ถึงกัน
interconnected reinforcing steel เหล็กเสริมแรงที่ตอ่ ถึงกัน
interconnection การต่อถึงกัน
interconnection point จุดที่ตอ่ ถึงกัน
internal down-conductor ตัวนาลงดินภายใน
internal lightning protection system ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายใน
internal system ระบบภายใน
interpolation วิธีสดั ส่วนในช่วง
interval ช่วงห่าง
isolated lightning protection system ระบบป้องกันฟ้าผ่าแบบแยกอิสระ
isolating spark gap ช่องประกายแยก
joint จุดต่อ
lash ผูกเหล็ก
lateral ในแนวขวาง
layout รูปแบบการวาง
licensing authority หน่วยงานผู้อนุญาต
lightning arrester กับดักฟ้าผ่า
lightning current กระแสฟ้าผ่า
lightning discharge ดีสชาร์ จฟ้าผ่า
lightning electromagnetic impulse อิมพัลส์แม่เหล็กไฟฟ้าของฟ้าผ่า
(LEMP)
lightning equipotential bonding (EB) การประสานให้ ศกั ย์เท่ากันของระบบป้องกัน
ฟ้าผ่า
lightning protection designer ผู้ออกแบบระบบป้องกันฟ้าผ่า
lightning protection installer ผู้ตดิ ตังระบบป
้ ้ องกันฟ้าผ่า
lightning protection level (LPL) ระดับการป้องกันฟ้าผ่า
lightning protection system (LPS) ระบบการป้องกันฟ้าผ่า
lightning protection zone (LPZ) ย่าน (โซน) ป้องกันฟ้าผ่า
ภำคผนวก ช
รวมคำศัพท์ ไทย - อังกฤษ
ตัวนา conductors
ตัวนาที่ใช้ ตอ่ connecting conductor
ตัวนาแบบตาข่าย mesh conductor
ตัวนาประสาน bonding conductor
ตัวนาประสานชนิดอ่อน flexible bonding conductor
ตัวนาป้องกัน (PE) PE
ตัวนาป้องกัน (PE) PE conductor
ตัวนาป้องกันร่วม (PEN) PEN
ตัวนาป้องกันร่วม (PEN) PEN conductor
ตัวนารากสายดิน earth conductor
ตัวนาลงดิน down conductor
ตัวนาลงดินภายใน internal down-conductor
ตัวนาล่อฟ้า air terminal
ตัวนาล่อฟ้าชนิดกัมมันตรังสี radioactive air terminal
ตัวนาวงแหวน ring conductor
ตัวนาเส้ นไฟ live conductor
ตัวนาอ่อน flexible conductor
ตาข่าย mesh
ถังเก็บแบบหลังคาลอย floating-roof tank
แถบ strip
ท่อปรับอากาศร้ อน-เย็น heating and air-conditioning ducts
ท่อระบายอากาศ ventilation ducts
ท่อลาเลียง pipe lines
ท่อโลหะร้ อยสาย metal conduit
ที่ตอ่ ถึงกัน interconnected
แท่ง, แท่งตัวนา rod
แทงค์ฟาร์ ม tank farm
แท่งตัวนาต่อประสานเฉพาะที่ local bonding bar
แท่งตัวนาต่อประสานหลัก main bonding bar
แท่งตัวนาต่อให้ ศกั ย์เท่ากัน equipotentialization bar
แท่งตัวนาประสาน bonding bar
แท่งรากสายดิน earth rod
ไฟฟ้าพลวัต electrodynamic
มาตรการการป้องกัน protection measures
มิติ dimension
มุมป้องกัน protective angle
ย่าน (โซน) zone
ย่าน (โซน) การป้องกัน zone of protection
ย่าน (โซน) ป้องกัน protected zone
ย่าน (โซน) ป้องกัน protective zone
ย่าน (โซน) ป้องกันฟ้าผ่า lightning protection zone (LPZ)
ระดับการป้องกัน protection level
ระดับการป้องกันฟ้าผ่า lightning protection level (LPL)
ระดับที่ทนได้ tolerable level
ระดับพื ้นดิน ground level
ระนาบพื ้นดิน ground plane
ระนาบอ้ างอิง reference plane
ระบบการป้องกันฟ้าผ่า lightning protection system (LPS)
ระบบขัวต่
้ อรากสายดิน earth-termination system
ระบบตัวนาลงดิน down-conductor system
ระบบตัวนาล่อฟ้า air-termination system
ระบบโทรคมนาคม telecommunication system
ระบบป้องกันฟ้าผ่าที่ไม่แยกอิสระ non - isolated lightning protection system
ระบบป้องกันฟ้าผ่าแบบแยกอิสระ isolated lightning protection system
ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก external lightning protection system
ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก -- external LPS isolated from the structure
แยกอิสระจากสิ่งปลูกสร้ างที่จะป้องกัน to be protected
ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายนอก -- external LPS not isolated from the
ไม่แยกอิสระจากสิ่งปลูกสร้ างที่จะป้องกัน structure to be protected
ระบบป้องกันฟ้าผ่าภายใน internal lightning protection system
ระบบไฟฟ้า electrical system
ระบบภายใน internal system
ระบบรากสายดิน earthing system
ระบบสายตัวนาล่อฟ้า wire air-termination system
เอกสำรอ้ ำงอิง
IEC62305-3:2006-01, Protection against lightnng – Part 3: Physical damage to structures and life hazard