You are on page 1of 16

วารสาร

24 ดนตรีและการแสดง

เทคนิคการบรรเลงกีตารของแพ็ท เมทินีและไมค เทิรน


The Guitar Techniques of Pat Metheny and Mike Stern

เจตนิพิฐ ังข ิจิตร1

บทคัดยอ
บทค ามเรื่องการบรรเลงกีตารของแพ็ท เมทินีและไมค เทิรนจะกลา ถึงแน คิดที่นา นใจและ
เปนเอกลัก ณ เชน ดานอุปกรณ ดานอิมโพรไ หรือดานเทคนิค นตั โดยการบรรเลงกีตารของแพ็ท เมทินี
มักเพิม่ มิตขิ องเ ยี งกีตารใหมีค ามหลากหลาย ด ยการใชกีตารทีม่ ลี กั ณะแตกตางกัน เชน กีตารลำตั กล ง
หรือกีตารซินธิไซเซอร เปนตน ดานการอิมโพรไ เขานิยมใชระบบนิ้ 3-2-1-2 ในการ รางแน ทำนองตอเนือ่ ง
นการบรรเลงกีตารของไมค เทิรนนั้นใชกีตารลำตั ตันและเพิ่มมิติของเ ียงด ยอุปกรณแปลงเ ียงกีตาร
ดานการอิมโพรไ ของเขามักนิยม รางแน ทำนองตอเนื่องแบบ ำเนียงบีบอป
คำ ำคัญ: แพ็ท เมทินี, ไมค เทิรน, นักกีตารแจ

1 อาจารย ิทยาลัยดนตรี มหา ิทยาลัยรัง ิต


25

Abstract
This Article, The Playing style of Pat Metheny and Mike Stern, is talking about the
interesting idea ans personal identity of both guitarists which, can be describe into
subcategories such as Personal equipment, Personal style of improvise, and Personal Technic.
For Pat Metheny, are using difference type of guitars, (Hollow body, Synthesizer guitar),
to create more dimension to his sound. On his improvisation, he uses a Finger System
3-2-1-2 to create a continuing melodic line. For Mike Stern, He uses Solid body guitar effect.
On his Improvisation, He likely to create a continuing melodic as a Bebop style.
Keywords: Pat Metheny, Mike Stern, Jazz Guitarist
วารสาร
26 ดนตรีและการแสดง

บทค ามนี้จะกลา ถึงการบรรเลงกีตารของนักกีตาร 2 คน คือ แพ็ท เมทินีและไมค เทิรน ซึ่งมี


แน ทางการบรรเลงทีผ่ เขี ู ยน นใจทัง้ ดานอุปกรณ แน คิดการอิมโพรไ และ/หรือดานเทคนิคทีเ่ ปนเอกลัก ณ
โดยนักกีตารทัง้ 2 คนนีอ้ ยูในแ ด งดนตรีแจ มาอยางยา นาน ร มถึงไดร มงานกับนักดนตรีแจ ทีม่ ชี อ่ื เ ยี ง
อีกมากมาย นอกจากนีแ้ พ็ท เมทินยี งั เปนอาจารย อนกีตารใหกับไมค เทิรน ที่ ถาบัน เบิรกลีคอลเลจออฟมิ คิ
อีกด ย อนึง่ บทค ามการบรรเลงกีตารของแพ็ท เมทินี และไมค เทิรนจะกลา ถึงแน ทางการบรรเลงกีตาร
ที่อาจพบไดจากบทเพลงที่พ กเขาบรรเลง ไมไดระบุเจาะจง าตองพบแน คิดตางๆ (ดังที่จะกลา ถึงตอไป)
ในทุกบทเพลง ทั้งนี้เพื่อทราบถึงแน ทางพื้นฐานการบรรเลงกีตารของพ กเขา เพื่อใหผูฟงหรือผูที่ นใจมี
อรรถร ในการรับฟงมากยิ่งขึ้น
เทคนิคการบรรเลงกีตารของแพ็ท เมทินี
แพ็ท เมทินเี กิดเมือ่ นั ที่ 12 งิ หาคม ค. . 1954 เมืองแคนซั มลรัฐมิ ซูรี เขาเริม่ เปนอาจารย อน
กีตารในมหา ทิ ยาลัยไมอามี่ (University of Miami) เมือ่ อายุ 18 ป จากนัน้ เริม่ รางชือ่ เ ยี งจากการร มงาน
กับนักไ บราโฟนแจ แกรี่ เบอรตัน (Gary Burton, 1943-) โดยไดมีโอกา พบกับแกรี่ เบอรตัน ครั้งแรก
ประมาณเดือนเม ายน ปค. . 1973 ในงานเท กาลดนตรีแจ ิตชิทา เมืองแคนซั ช งเดือนมกราคม
ปค. . 1974 เขาถูกชักช นจากแกรี่ เบอรตันใหเปนอาจารย อนใน ถาบัน เบิรกลีคอล- เลจออฟมิ ิค
Richard Niles (2009: 27-28) ซึง่ ช งเ ลานัน้ เขามีอายุเพียง 19 ป หลังจากนัน้ ในปค. . 1996 ถาบันแหงนี้
ไดมอบปริญญาเอกดุ ฎีบณ ั ฑิตกิตติม กั ดิด์ านดนตรีให กับเขา อิทธิพลทางดนตรีนน้ั เขาไดรับจากไมล เด ิ
เ มอนโกเมอรรี่ (Wes Montgomery, 1923-1968) จิม ฮอลล (Jim Hall, 1930-2013) และ งเดอะบีทเทิล
(The Beatles)
ผลงานอัลบัม้ แรกของตั เขาเองชือ่ า ไบรทไซ ไลฟ (Bright Size Life) งั กัดคายอีซเี อ็ม บันทึกเ ยี ง
ปค. . 1975 มีนักดนตรีแจ ร มบรรเลงด ยคือ แจโค แพ โทริอั (Jaco Pastorius, 1951-1987) นักเลน
เบ บอบ โมเ (Bob Moses, 1948-) นักเลนกลอง บทเพลง นใหญเปน บทเพลงประพันธขึ้นมาใหม
นอกจากนี้เขายังไดนำกีตาร 12 าย เขามาร มบรรเลงทำให รางมิติของเ ียงกีตารไดมากขึ้น โดยเขานำมา
บรรเลงในบทเพลง ิราภรณ (Sirabhorn) จากผลงานอัลบั้มนี้เองเริ่มทำใหเกิดเปนเอกลัก ณของเขาทั้งใน
ดานการประพันธบทเพลงและดานการบรรเลงกีต าร หลังจากนั้น 1 ป เขาออกผลงานชุดที่ 2 ชื่อ า
อรเตอรคัลเลอร (Water Colours) ังกัดคายอีซีเอ็ม ออกเมื่อปค. . 1977 ซึ่งผลงานชุดนี้เปลี่ยนนักดนตรี
ทัง้ หมด นักดนตรีแจ ร มบรรเลงด ยคือ อีเบอรฮารด เ เบอร (Eberhard Waber, 1940-) นักเลนเบ แดนนี
กอททลิบ (Danny Gottlieb, 1953-) นักเลนกลอง และไลล เมย (Lyle Mays, 1953-) นักเลนเปยโน
ปค. . 1978 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้ง ำคัญของแพ็ท เมทินีในปนี้เองไดร มงานกับนักเปยโนไลล
เมย แดนนี กอททลิบ นักเลนกลอง และมารค อีแกน (Mark Egan, 1951-) นักเลนเบ ออกผลงานอัลบัม้ ชือ่
แพ็ทเมทินีกรุป (Pat Metheny Group) ค ามเปนกลุมแพ็ทเมทินี จึงเริ่มที่ผลงานชุดนี้ (ประทัก ใฝ ุภการ
2545: 226) บทเพลงของแพ็ทเมทินกี รุป ถูกจัดใหอยูในกลุมของดนตรีแจ ร ม มัย (Contemporary Jazz)
ซึง่ ไดรับอิทธิพลของดนตรีหลากหลายประเภท เชน ไดรับอิทธิพลจากดนตรีบราซิลเลีย่ น หรือไดรับอิทธิพลจาก
ดนตรีอิเล็กทรอนิก เปนตน
27

จากแพ็ทเมทินีกรุปนี้เอง ทำใหเขามีชื่อเ ียงเปนที่รูจักมากขึ้น ร มถึงไดตระเ นแ ดงดนตรีทั้งใน


อเมริกา ยุโรป และญีป่ นุ เฉลีย่ ในแตละปเขาตระเ นแ ดงดนตรีประมาณระห าง 120-200 ครัง้ Richard Niles
(2009: xix) จากผลงานของแพ็ทเมทินกี รุปนีเ้ องทำใหเขาไดรับราง ลั แกรมมีอ่ อรด ครัง้ แรกในปค. . 1980
จากอัลบั้มชื่อ อเมริกันการาจ (American Garage) ังกัดคายอีซีเอ็ม อัลบั้มนี้ออกเมื่อปค. . 1979 อนึ่งเขา
ไดรับราง ัล แกรมมี่อ อรด ร มทั้งหมด 19 ครั้ง
แพ็ท เมทินียังไดร มงานกับนักดนตรีแจ มีชื่อเ ียงอีกมากมาย ทั้งผลงานของเขาเองหรือร มงาน
กับนักดนตรีทานอื่น โดยผลงานอัลบั้มของแพ็ท เมทินีแบงออกเปน 2 น คือ ผลงานในชื่อของแพ็ท เมทินี
และผลงานในชื่อของแพ็ทเมทินีกรุป
แพ็ท เมทินเี ปนนักดนตรีทม่ี คี ามโดดเดนดานการอิมโพรไ เทคนิคการบรรเลงกีตาร การประพันธ
บทเพลงและเรียบเรียงเ ียงประ าน ซึ่งล นแล แตแ ดงค ามเปนตั ตนของเขาไดเปนอยางดี นอกเหนือ
ค ามโดนเดนดังที่กลา มาแล ยังมีอุปกรณ ำคัญและกลายเปนเอกลัก ณด ย คือ กีตาร ซึ่งกีตารของเขา
แตละตั นัน้ มีลกั ณะแตกตางกัน ทัง้ นีท้ ำให ามารถเพิม่ มิตใิ นการบรรเลงกีตารใหมีเอกภาพไดมากขึน้ กีตาร
แตละประเภทถูกนำมาใชบรรเลงแตกตางกันออกไป ตัง้ แตกีตาร 12 าย กีตารคลา คิ กีตารไรเฟรต ประเภท
ทีเ่ ปน ายไนลอน (Fretless Nylon-String Guitar) และซีตารไฟฟา (Electric Sitar) โดยกีตารทีโ่ ดดเดนเปน
เอกลัก ณของเขามีดังนี้

1. กีตารลำตั กล ง (Hollow Body) ยี่หอไอบาเนซ เปนกีตารรุนของเขาเองที่นำมาใชบรรเลงเปน


นใหญ ผลิตออกมาด ยกันหลายรุน เชน รุนพีเอ็ม 100 (Ibanez PM-100) รุนพีเอ็ม 200 (Ibanez PM-200)
เปนตน บริ ทั ไอบาเนซผลิตกีตารรุนของเขาตัง้ แตปค. . 1996 กอนหนานัน้ เขาใชกีตารทีน่ กั กีตารแจ นิยมใช
คือ กีตารกิ๊ป ันรุน อีเอ 175 (Gibson ES-175)

ภาพที่ 1 แพ็ท เมทินีกับกีตารรุนพีเอ็ม 200


ที่มา: http://photos.allaboutjazz.com/
วารสาร
28 ดนตรีและการแสดง

2. กีตาร 42 าย แพ็ท เมทินีเรียก า ปกั โซกีตาร (Pikasso Guitar) กีตารตั นี้ รางโดยชางทำ
กีตารหญิงจากประเท แคนาดาชือ่ ลินดา แมนเซอร (Linda Manzer, 1952-) ลัก ณะของกีตารนัน้ แบงเปน
6 าย 12 าย และ 12 ายไรเฟร็ต เขานำปกั โซกีตาร มาบรรเลงในบทเพลง เชน บทเพลงอินทูเดอะดรีม
(Into the Dream) จากอัลบั้มชื่อ อิมเมจินารีเดย (Imaginary Day) ังกัดคาย อรเนอรบรอ ออกเมื่อป
ค. . 1997 เปนตน

ภาพที่ 2 ปกั โซกีตาร


ที่มา: http://www.premierguitar.com

3. กีตารซินธิไซเซอร ของโรแลนด รุน จีอาร 300 (Roland GR-300) เปนกีตารทีเ่ ขานำมาใชบรรเลง


บอยเชนกัน กีตารซินธิไซเซอรนี้ ามารถ รางมิตใิ นการบรรเลงไดเปนอยางดี เนือ่ งจาก ามารถจำลองเ ยี งได
หลากหลาย เชน จำลองเ ียงเครื่องดนตรีประเภทเครื่อง าย หรือประเภทเครื่องเปา เปนตน ทำใหขยาย
ขอบเขตการบรรเลงกีตารออกไป อนึง่ กีตารซินธิไซเซอรรุนนีม้ คี ณุ มบัตถิ กู ออกแบบใหมี ญ
ั ญาณแบบอนาลอก
(Analog) ซึง่ ลัก ณะของคุณภาพเ ยี งมีค าม มจริง ร มถึงการประม ลผลของกีตารซินธิไซเซอรรุนนี้ ามารถ
ตอบ นองไดร ดเร็ เหมาะ ำหรับนำมาใชบรรเลงขณะแ ดงดนตรีไดดี เพราะไมมีคาค ามหน งของ ญ ั ญาณ
ใน ญั ญาณเ ยี งทีเ่ กิดขึน้ (ปกติกตี ารซินธิไซเซอรจะมีคาค ามหน งของ ญ ั ญาณ) แพ็ท เมทินี นำกีตารซินธิ-
ไซเซอรมาบรรเลงในบทเพลง เชน บทเพลง ทูดเิ อ็นออฟเดอะเ ลิ ด (To the End of the World) จากอัลบัม้
ชื่อ ีลีฟเฮีย (We Live Here) ังกัดคายกิฟเฟนเร็คคอรด บันทึกเ ียงเมื่อปค. . 1995 เปนตน

ภาพที่ 3 แพ็ท เมทินีกับกีตารซินธิไซเซอร


ที่มา: http://steveadelson.com
29

การอิมโพรไ ของแพ็ท เมทินีเปน ิ่งซึ่งแ ดงค ามเปนตั ตนของเขาไดเปนอยางดีด ยเทคนิคการ


บรรเลงกีตารเฉพาะตั หรือแน คิดการอิมโพรไ ซึง่ ลีลาท งทำนองของเขา ทำใหผูฟง ามารถรับฟงไดอยาง
มีอรรถร Richard Niles (2010: 28-29) ไดอธิบายหลักการอิมโพรไ ของแพ็ท เมทินี รุปไดดังนี้
ตั อยางที่ 1 แ ดงใหเห็นถึงตั อยางโนตเปาหมาย (Target Note) ของแพ็ท เมทินีโดยเริ่มจากการ
กำหนดโนตที่เรียบงายไมซับซอน

ตั อยางที่ 1 โนตเปาหมายที่เรียบงายไมซับซอน

จากนัน้ เขาไดกำหนดเ ยี งประ านขึน้ เพือ่ ทำใหเห็นถึงทิ ทางการเคลือ่ นทีข่ องเ ยี งประ านทีช่ ดั เจน
โดยใชการดำเนินคอรดเปน Am7 และ Fmaj7 แน ทำนองในตั อยางที่ 2 ไดพัฒนาปรับเปลี่ยนใหเหมาะ ม
กับการดำเนินคอรด ซึ่งไดแน คิดจากตั อยางที่ 1

ตั อยางที่ 2 การดำเนินคอรดและแน ทำนอง

ตั อยางที่ 3 แพ็ท เมทินแี ดงการอิมโพรไ อยูใน นู ยกลางเ ยี งแน ทำนอง นใหญอยูในบันไดเ ยี ง


เพนตาโทนิก โดยในหองที่ 1 เขาเพิม่ โนต 9 และหองที่ 3 เพิม่ โนต 7 นอกจากนีย้ งั พบการใชประโยคแบบบลู
ในหองที่ 5

ตั อยางที่ 3 การอิมโพรไ อยูใน ูนยกลางเ ียง


วารสาร
30 ดนตรีและการแสดง

จากตั อยางที่ 4 แพ็ท เมทินไี ดเพิม่ การอิมโพรไ ในรูปแบบอืน่ เปนตั อยาง คือ การใชโนตครึง่ เ ยี ง
เขาหาโนตเปาหมาย (Chromatic Approaches) และยังพบการใชบันไดเ ยี งเพนตาโทนิก โดยใชบันไดเ ยี ง
A ไมเนอรเพนตาโทนิกกับคอรด Fmaj7 และ Am7 เริม่ ตัง้ แตหองที่ 7-10 ทำใหแน ทำนองมีค ามเปนเอกภาพ
ตั อยางที่ 4 การใชโนตครึ่งเ ียงเขาหาโนตเปาหมาย

ตั อยางที่ 5 เขาไดแ ดงการอิมโพรไ ออกนอก ูนยกลางเ ียงจากการดำเนินคอรดเดิม โดยขยาย


ขอบเขตของเ ยี งประ านออกไปด ยการดัดแปลงแกไขเ ยี งประ านเดิม (Reharmonization) ซึง่ เขาไดแกไข
เ ียงประ านเดิมออกไปดังนี้ คือ เพิ่มคอรด E7 หองที่ 1 เพิ่มคอรด F#dim7 และคอรด Bm7 หองที่ 4
จากนั้นกลับมา ูคอรด Am7 ในหองที่ 5
การแกไขเ ยี งประ านเดิมนัน้ ทำใหออกจาก นู ยกลางเ ยี ง และการออกจาก นู ยกลางเ ยี งนี้ เขาใช
โนตครึง่ เ ยี งในการเขาหาโนตเปาหมาย งั เกต าเขายังคงใหค าม ำคัญกับการใชประโยคแบบบลู ซึง่ เปนประเด็น
ำคัญของการแ ดงตั อยางจากบท ัมภา ณนี้ ทำใหเห็นถึงเปาหมายและ ิธีนำเ นอการอิมโพรไ ของเขา
ตั อยางที่ 5 การอิมโพรไ ออกนอก ูนยกลางเ ียงด ย ิธีการเปลี่ยนเ ียงประ าน
31

จากตั อยางที่กลา มาขางตน รุปได า แน คิด ิธีการอิมโพรไ ของแพ็ท เมทินีมีแน คิดพื้นฐาน


จากการใชแน ทำนองเรียบงายไมซับซอน ซึง่ เขา ามารถเพิม่ ค ามซับซอนด ย การขยายเ ยี งประ านออกไป
จากแน คิดนี้ใหค าม ำคัญแกการอิมโพรไ ทั้งในดานแน ทำนองและดานเ ียงประ าน
การอิมโพรไ ของแพ็ท เมทินยี งั มีค ามโดดเดนเรือ่ งของเทคนิคในการบรรเลงกีตารเขานิยมใชเทคนิค
การบรรเลงกีตารด ยลัก ณะของระบบนิ้ (Fingering) ที่เปนเอกลัก ณ กลา คือโดยปรกติแล มือซายของ
ผูเลนกีตาร ามารถจับโนตบนคอกีตารได 4 นิ้ คือ นิ้ ชี้ นิ้ กลาง นิ้ นาง และนิ้ กอย ตามลัก ณะทางกายภาพ
ของนิ้ มือซาย (ปรกตินิ้ โปงมือซายจะอยูในลัก ณะจับทางดานหลังของคอกีตาร เพื่อทำใหนิ้ ชี้ นิ้ กลาง
นิ้ นาง และนิ้ กอย ของมือซาย ามารถกดโนตบนคอกีตารไดนิ้ โปงจึงไมนิยม ถูกนำมาใชในการกดโนตบน
คอกีตาร) แพ็ท เมทินีนิยมใชรูปแบบการใชลัก ณะนิ้ ซ้ำกันในการบรรเลงกลุมโนตตางๆ
Andy Smith (2007: 24-25) ไดอธิบายถึง ิธีการบรรเลงกีตารด ยลัก ณะของระบบนิ้ ของแพ็ท
เมทินี าระพอ งั เขป า ลัก ณะรูปแบบของนิ้ ทีพ่ บมากที่ ดุ คือ 3-2-1-2 (1 คือ นิ้ ชี้ 2 คือ นิ้ กลาง 3 คือ
นิ้ นาง) ทำใหเกิดเปนกลุมโนต 3 ตั ซึ่งหางกันครึ่งเ ียง เขานิยมการใชลัก ณะนิ้ แบบนี้ในการเคลื่อนที่
เขาหาโนตเปาหมาย ทำใหมีโนตผาน (Passing Note) หรือโนตครึ่งเ ียงเกิดขึ้นในแน ทำนอง

ตั อยางที่ 6 แ ดงใหเห็นถึงการใชลัก ณะนิ้ 3-2-1-2 จากการอิมโพรไ ของเขา ในบทเพลง


ออลเดอะทิงคยูอาร (All the Thing You Are) ประพันธโดยเจอรโรม เครินท (Jerome Kern, 1885-1945)
บทเพลงนีอ้ ยูในผลงานอัลบัม้ ชือ่ เค ชันแอนดอานเซอร (Question and Answer) งั กัดคาย กิฟเฟนเร็คคอรด
บันทึกเ ียงเมื่อปค. . 1990
การเคลื่อนที่ของกลุมโนตเกิดขึ้นใน ายที่ 4 และ 5 ของกีตาร เริ่มจากนิ้ นางโนต Bb ายที่ 4
เคลื่อนที่ลงครั้งละครึ่งเ ียงไปยังนิ้ กลางโนต A นิ้ ชี้โนต Ab ตามลำดับ จากนั้นเขาเปลี่ยนตำแหนงนิ้ โดย
ใชนิ้ กลางเคลื่อนที่ขึ้นไปยัง ายที่ 5 โนต Fb และจบลงด ยการเคลื่อนนิ้ ชี้ลงครึ่งเ ียงจากเดิมโนต Ab
ไปยังโนต G ของ ายที่ 4

ตั อยางที่ 6 แ ดงการใชลัก ณะนิ้ 3-2-1-2


วารสาร
32 ดนตรีและการแสดง

การใชลัก ณะนิ้ แบบนี้ ทำใหเกิดแน ทำนองซึ่งประกอบด ยโนตครึ่งเ ียง เคลื่อนที่เขาหาโนต


เปาหมาย งั เกต าการเคลือ่ นทีข่ องกลุมโนตเริม่ จากโนตในคอรด คือ Bb เปนโนตลำดับที่ 5 และจบลงทีโ่ นต
Fb ซึง่ เปนโนต b9 โดยปรกติแล โนต b9 ตองการเกลาเขาหาโนตโทนิกหรือโนตในคอรด เพือ่ ลดค ามกระดาง
ของเ ยี ง จากการเคลือ่ นทีข่ องกลุมโนตในตั อยางนีพ้ บ าเกลาเขาหาโนตในคอรด คือ โนต G เปนโนตลำดับที่ 3
ของคอรด Eb7 จึงทำใหแน ทำนองมีค ามกลมกลืนไปกับคอรด แม าแน ทำนองจะประกอบด ยโนตครึง่ เ ยี ง
รูปแบบลัก ณะระบบนิ้ ของแพ็ท เมทินดี งั ทีแ่ ดงในตั อยาง เปนเพียงเอกลัก ณ ำคัญประการหนึง่
ซึง่ พบไดบอยจากการบรรเลงกีตารของเขา ทัง้ นี้ ธิ กี ารใชรูปแบบลัก ณะระบบนิ้ าจะใชอยางไรนัน้ ขึน้ อยูกับ
ปจจัยประกอบอืน่ ๆ ด ย ยกตั อยางเชน การ รางประโยคเพลงด ยขัน้ คูเ ยี งทีก่ าง การใชนิ้ แบบ 3-2-1-2
อาจไมเหมาะ ม ค รใชนิ้ แบบ 4-2-1-2 หรือแบบ 4-3-1-3 (1 คือ นิ้ ชี้ 2 คือ นิ้ กลาง 3 คือ นิ้ นาง และ
4 คือ นิ้ กอย) จะเหมาะ มก า เปนตน ทำใหผูบรรเลงกีตาร ามารถใชนิ้ ไปกดในตำแหนงโนตขั้นคูเ ียง
ก างที่ตองการได
แน คิด เทคนิค และอุปกรณดังที่กลา มาแล นั้นเปนเพียง นหนึ่งที่พบไดบอยของแพ็ท เมทินี
เขาไดผ มผ านดนตรีหลากหลายประเภท ทำใหผลงานมีค ามเปนตั ตนของเขา ผน กกับแน คิด เทคนิค
และอุปกรณทำใหนักกีตารคนนี้เปนนักดนตรีแจ ที่มีเอกลัก ณเฉพาะตั เปนอยางมากในปจจุบัน

เทคนิคการบรรเลงกีตารของไมค เทิรน
ไมค เทิรนเกิด ันที่ 10 มกราคม ค. . 1953 เมืองบอ ตัน ึก าดนตรีจาก ถาบัน เบิรกลีคอล-
เลจออฟมิ ิค โดยเรียนกับอาจารยหลายทาน เชน แพ็ท เมทินี และมิค กูดดริค (Mick Goodrick, 1945-)
เปนตน เริ่ม รางชื่อเ ียงจากการร มงานกับ งบลัด เ ทแอนดเทียร (Blood, Sweat & Tears) งดนตรี
ประเภทฟ ชัน่ ร็อค (Fusion Rock) โดยการแนะนำจากแพ็ท เมทินี อิทธิพลทางดนตรีนน้ั เขาไดรับจากดนตรี
บลู และดนตรีร็อคจากนักกีตาร เชน จิมมี เฮ็นดริกซ (Jimi Hendrix, 1942-1970) นดานดนตรีแจ จาก
นักกีตารเ มอนโกเมอรรี่ และจิม ฮอลล เปนตน
ผลงาน รางชือ่ เ ยี งจากการร มงานกับไมล เด ิ ในบทเพลงแฟตไทม อัลบัม้ ชือ่ เดอะแมน ทิ เดอะฮอรน
(The Man with the Horn) ังกัดคายโคลัมเบีย ออกจำหนายเมื่อปค. . 1981 ผลงานอัลบั้มชุดนี้เขาร ม
บรรเลงกีตารในบทเพลงแฟตไทม บทเพลงเดีย เทานัน้ บทเพลงอืน่ บรรเลงกีตารโดย แบรรี่ ฟนเนอรที (Barry
Finnerty, 1951-) บทเพลงนี้ทำใหเขาเปนที่รูจักอยางก างข างมากขึ้น
ประทัก ใฝ ุภการ (2545: 295) กลา า “บทเพลงแฟตไทม นอกจากจะทำใหไมค เทิรนไดเปน
ทีร่ จัู กแล ยังทำให งของไมล เด ิ ยุคคืน เู ทีพงพร
ุ ดขึน้ คู ามนิยมทันที ค าม ำเร็จนีต้ ามค ามเห็นของ
ผม านาจะแบงกันคนละครึ่ง ครึ่งหนึ่งเปนของไมล เด ิ ในฐานะผูผลักดันเปดโอกา และ างแน ดนตรี
อีกครึง่ หนึง่ เปนของไมค เทิรนในฐานะทีไ่ ดระดมค ามคิดทัง้ ป งที่ ง่ั มมายา นานแล ถายทอดอารมณลึกๆ
ลงในบทเพลงแฟตไทม จนทำให แผนชุดเดอะแมน ิทเดอะฮอรนเปนที่ลือลั่นแทบจะกลา ได าชุดนี้ขายได
เพราะบทเพลงนี้ งผลให งและตั ของไมล เด ิ ผงาดขึน้ ู งการดนตรีอกี ครัง้ หลังจากหยุดพักฟนเ ยี หลายป”
33

นอกจากนีเ้ ขายังร มงานกับไมล เด ิ อีกในอัลบัม้ ชือ่ ตารพีเพิล (Star People) งั กัดคายโคลัมเบีย


ออกจำหนายปค. . 1983 โดยร มบรรเลงกีตารกับนักกีตารจาก ถาบันเบิรกลีคอลเลจออฟ-มิ คิ เชนเดีย
กับเขานัน่ คือ จอหน โคฟลด (John Scofield, 1951-) ไมค เทิรนไดร มงานกับนักดนตรีทานอืน่ ทัง้ ผลงาน
ของตั เขาเองและร มงานกับนักดนตรีทานอื่นอีกมากมาย
ไมค เทิรนมีพน้ื ฐานการบรรเลงกีตารไดรับอิทธิพลจากดนตรีบลู และดนตรีรอ็ ค ด ยเหตุนจ้ี งึ ทำให
เขานำเอกลัก ณของดนตรีดังกลา เขามามีบทบาทในการบรรเลงกีตารด ยเชนกัน ทั้งในดานของเทคนิค
การบรรเลงกีตารเชน เทคนิคการดัน าย (Bending) เปนตน และอุปกรณที่ใชร มของการบรรเลงกีตาร
อุปกรณ ำคัญของเขาไดแก กีตารและอุปกรณแปลงเ ียงกีตาร (Effect)
ปรกติแล นักกีตารแจ นิยมใชกีตารลัก ณะลำตั กล ง หรือลำตั กึง่ กล ง (Semi Hollow) แตกีตาร
ของเขาในปจจุบนั มีลกั ณะลำตั ตัน (Solid Body) เปนกีตารรุนของเขาเอง ยีห่ อยามาฮา รุนแปซิฟกา 1511 MS
(Yamaha Pacifica 1511 MS) บริ ทั ยามาฮาผลิตกีตารรุนของเขาตัง้ แตปค. . 1996 โดยมีรปู ทรงกีตารคลาย
กับทรงกีตารเฟนเดอร รุนเทเลเค เตอร (Fender Telecaster) ที่เขาเคยใชนำมาบรรเลงกอนหนานี้

ภาพที่ 4 ไมค เทิรนกับกีตารรุนแปซิฟกา 1511 MS


ที่มา: http://www.guitarplayer.com

อุปกรณแปลงเ ียงกีต ารที่เขานิยมนำมาใชในการบรรเลงกีต าร ไดแก อุปกรณแปลงเ ียงกีต าร


ประเภทใหเ ียงแตก (Overdrive or Distortion) และประเภทใหเ ียงตาม (Delay) โดยประเภทเ ียงแตก
เขาใชยีห่ อบอ รุนดีเอ 1 (Boss DS-1) เอกลัก ณ ำคัญของอุปกรณแปลงเ ยี งกีตารประเภทนี้ ทำใหเ ยี ง
กีตาร ามารถคางยา ไดมากขึน้ (Sustain) ามารถเลนค ามเขมเ ยี งไดงาย (Dynamics) และเนือ้ เ ยี งของ
กีตารมีม ลมากขึ้น (นักกีตารแจ มัยใหมในปจจุบัน นิยมนำมาใชร มประกอบการบรรเลงกีตาร เนื่องจาก
ทำใหเนือ้ เ ยี งของกีตารมีม ลมากขึน้ ) อุปกรณแปลงเ ยี งกีตารประเภทเ ยี งแตกพบไดบอยจากดนตรีประเภท
บลู และดนตรีร็อค
วารสาร
34 ดนตรีและการแสดง

อุปกรณแปลงเ ียงกีตารประเภทใหเ ียงตาม เขาใชยี่หอบอ รุน ดีดี 3 หรือรุน ดีดี 6 (Boss DD-3,
DD-6) ซึ่งช ยทำใหเพิ่มมิติของเ ียงกีตารไดเปนอยางดี เนื่องจาก ามารถปรับคาเ ียงตามไดหลากหลาย
อิทธิพลทางดนตรีของไมค เทิรนมีพน้ื ฐานจากดนตรีบลู และดนตรีรอ็ ค ซึง่ ดนตรีประเภทดังกลา นี้
นิยมใชบันไดเ ียงบลู ร มถึงบันไดเ ียงเพนตาโทนิก แน คิดการอิมโพรไ ของเขา นใหญนำบันไดเ ียง
บลู ร มถึงบันไดเ ียงเพนตาโทนิกมาใชในการอิมโพรไ ตั อยางที่ 7 Joe Charupakorn (2010: 74-75)
ได ิเคราะหการอิมโพรไ ของไมค เทิรนโดยใชบันไดเ ียง E บลู กับคอรด E7#9 ในหองที่ 20 ของ
บทเพลงซันนีไ่ ซด (Sunnyside) จากอัลบัม้ ชือ่ บีท นี เดอะไลน (Between the lines) งั กัดคายแอตแลนติค
เร็คคอรด ออกจำหนายเมื่อปค. . 1996

ตั อยางที่ 7 การอิมโพรไ ในบันไดเ ียง E บลู

บางครั้งพบ าเขาใชโนตผานเพื่อเขาหาโนตเปาหมาย เชน ใชโนตลำดับที่ 6 เปนโนตผานเขาหาโนต


เปาหมาย ในบันไดเ ียงไมเนอรเพนตาโทนิกด ย ตั อยางที่ 8 แ ดงตั อยางการใชโนต G# (โนตลำดับที่ 6)
เปนโนตผานเพือ่ เขาหาโนต F# ซึง่ เปนโนตเปาหมายอยูใน บันไดเ ยี ง B ไมเนอรเพนตาโทนิก โดยใชกับคอรด
B7 พบในการอิมโพรไ ของเขาจากบทเพลงแฟตไทม อัลบั้มชื่อ เดอะแมน ิทเดอะฮอรน หองที่ 47 เปนตน

ตั อยางที่ 8 การใชโนตผานเขาหาโนตเปาหมายของบันไดเ ียง B ไมเนอรเพนตาโทนิก

นอกจากนี้แน คิดการอิมโพรไ แบบ ำเนียงบีบอป อยางเชน ชาลี ปารเกอร (Charlie Parker,


1920-1955) หรือดิซซี่ กิลเล พี (Dizzy Gillespie, 1917-1993) ก็เปน ิ่งที่พบไดบอยครั้งในการอิมโพรไ
ของไมค เทิรนเชนกัน Joe Charupakorn (2010: 16-17) ไดอธิบายถึงแน คิดแบบบีบอปของไมค เทิรน
าระพอ ังเขปได า ิธีการอิมโพรไ แบบ ำเนียงบีบอปของเขานั้น มีการใชทั้ง โนตในคอรด โนตผาน
โนตเคียงบน โนตเคียงลาง โนตครึ่งเ ียง เปน นประกอบในการเขาหาโนตเปาหมาย โดย ิธีการเขาหาโนต
เปาหมายของเขาที่พบไดบอย คือ
35

1) ใชโนตเคียงลาง (Lower Neighboring Tone) ต่ำก าโนตเปาหมายครึง่ เ ยี ง จากนัน้ ใชโนต


เคียงบน (Upper Neighboring Tone) ที่ ูงก าโนตเปาหมาย 1 เ ียงเต็ม และเกลาเขาหาโนตเปาหมาย
(Half Step Below-Scale Step Above-Chord Tone)
จากตั อยางที่ 9 แ ดง ิธีการดังกลา โดยโนตเปาหมายคือ โนต Bb เขาเริ่มจากโนต A เปนโนต
เคียงลาง จากนั้นเคลื่อนที่ไปยังโนต C ที่เปนโนตเคียงบน ูงก าโนตเปาหมาย 1 เ ียงเต็มและเกลาเขาหา
โนตเปาหมายโนต Bb

ตั อยางที่ 9 แน คิดแบบ ำเนียงบีบอป รูปแบบที่ 1

2) ใชโนต งู ก า 1 เ ยี งเต็มจากโนตเปาหมาย โดยใชโนตผานแบบครึง่ เ ยี งเกลาลงมา โนต



เปาหมาย (Embellished Whole Step Above-Chord Tone) ซึง่ ตามทีโ่ จ ชรุปกรณ (Joe Charupakorn)
กลา นั้นมีลัก ณะเดีย กับดับเบิ้ลโครมาติก (Double Chromatic)
จากตั อยางที่ 10 แ ดงการเขาหาโนตเปาหมายโนต A และ F การเขาหาโนตเปาหมายโนต A เริ่ม
จากโนต B และโนตผานแบบครึ่งเ ียงโนต Bb เกลาเขาหาโนตเปาหมายคือโนต A
การเขาหาโนตเปาหมายโนต F มีลัก ณะทิ ทางเหมือนกับการเขาหาโนตเปาหมายโนต A เริ่มจาก
โนต G ไปยังโนตผานแบบครึ่งเ ียงโนต Gb เกลาเขาหาโนตเปาหมายคือโนต F

ตั อยางที่ 10 แน คิดแบบ ำเนียงบีบอป รูปแบบที่ 2

3) ใชโนตเคียงลางต่ำก าโนตเปาหมายครึง่ เ ยี ง จากนัน้ ใชโนตเคียงบนที่ งู ก าโนตเปาหมาย


1 เ ยี งเต็ม และใชโนตผานแบบครึง่ เ ยี งเกลาลงมา โนตเปาหมาย
ู (Half Step Below-Embellished Whole
Step-Chord Tone)
ตั อยางที่ 11 แ ดงการเขาหาโนตเปาหมาย คือโนต F เริ่มจากโนต E เปนโนตเคียงลางต่ำก าโนต
เปาหมายครึง่ เ ยี ง จากนัน้ เคลือ่ นขึน้ มายังโนต G ซึง่ เปนโนตเคียงบน งู ขึน้ 1 เ ยี งเต็มจากโนตเปาหมายและ
ใชโนต Gb เปนโนตผานแบบครึ่งเ ียงเกลาลงเขาหาโนตเปาหมายคือโนต F
วารสาร
36 ดนตรีและการแสดง

ตั อยางที่ 11 แน คิดแบบ ำเนียงบีบอป รูปแบบที่ 3

4) ใชโนตเคียงบน ูงขึ้น 1 เ ียงเต็มจากโนตเปาหมาย จากนั้นใชโนตผานแบบครึ่งเ ียงลง


จากโนตเคียงบนและใชโนตเคียงลางต่ำก าโนตเปาหมายครึ่งเ ียงเกลาเขาหาโนตเปาหมาย (Embellished
Whole Step Above-Half Step Below-Chord Tone)

ตั อยางที่ 12 แ ดงการเขาหาโนตเปาหมายโนต F เริ่มจากโนต G ซึ่งเปนโนตเคียงบนเคลื่อนลง


ครึ่งเ ียงไปยังโนต F# จากนั้นเคลื่อนมายังโนตเคียงลางคือโนต E และเกลาเขาหาโนตเปาหมาย

ตั อยางที่ 12 แน คิดแบบ ำเนียงบีบอป รูปแบบที่ 4

แน คิดแบบบีบอปของไมค เทิรนนั้นเปนเพียงตั อยาง ิธีการคิดบาง นเทานั้น ยังมี ิธีการคิด


แบบบีบอปอีกหลาย ิธีที่เขาใชในการอิมโพรไ จากตั อยางดังกลา ทั้งหมดนั้นเปน ิธีการเพียงบาง น
ซึ่งพบไดบอย แตอยางไรก็ตามทั้งนี้ขึ้นอยูค ามเหมาะ มในบริบทของการอิมโพรไ เปน ำคัญ
ไมค เทิรนยังมีค ามโดดเดนเรือ่ งของเทคนิคการอิมโพรไ ซึง่ พบไดบอยครัง้ าเขามักจะใชเทคนิค
การดัน ายในการอิมโพรไ โดยปรกติแล นักกีตารแจ ไมนิยมนำเทคนิคนี้มาใชเนื่องจากขนาดของ าย
กีตารนั้นมีขนาดใหญทำใหดัน ายไดยาก เทคนิคการดัน ายนี้พบไดบอยจากดนตรีบลู และดนตรีร็อค
ซึ่งเปนดนตรีที่มีอิทธิพลในการบรรเลงกีตารของเขา เทคนิคการดัน ายที่นิยมโดยทั่ ไปมีลัก ณะดัน ายขึ้น
1 เ ียงเต็ม (พบการดัน ายขึ้น 1 เ ียงครึ่ง หรือมากก า แตไมเปนที่นิยม) ดัน ายขึ้นครึ่งเ ียงดัน ายขึ้น ¼
เ ียง เทคนิคการดัน ายทำใหเกิดการเอื้อน ูงขึ้นของโนต
ตั อยางที่ 13 เจตนิพิฐ ังข ิจิตร (2011: 57) แ ดงการอิมโพรไ ของไมค เทิรนด ยเทคนิคการ
ดัน ายขึ้น 1 เ ียงเต็มและผอน ายลง 1 เ ียงเต็ม ในหองที่ 5-6 ของบทเพลงแฟตไทม อัลบั้มชื่อ เดอะแมน
ทิ เดอะฮอรน เริม่ จากโนต F ดัน ายขึน้ 1 เ ยี งเต็ม ไปยังโนต G จากนัน้ ผอน ายลง 1 เ ยี งเต็มกลับมายังโนต F
37

ตั อยางที่ 13 การดัน ายขึ้น 1 เ ียงเต็ม

ไมค เทิรนยังนำเทคนิคการดัน ายมาใชช งจบประโยคเพลง ิธีลัก ณะนี้พบไดบอยในดนตรีบลู


และดนตรีร็อค จากตั อยางที่ 14 Joe Charupakorn (2010: 87-92) แ ดงใหเห็นถึงการดัน ายช งจบ
ประโยคเพลง จากการอิมโพรไ ของเขาในบทเพลง งั ค(Swunk) ผลงานอัลบัม้ ชือ่ อี อทอิทอี (Is What It Is)
ังกัดคายแอตแลนติคเร็คคอรด บันทึกเ ียงเมื่อปค. . 1994
ตั อยางที่ 14 เห็นได าเขาใชลัก ณะจังห ะมีค ามหนาแนนมาก (Rhythmic Density) คือใชโนต
เขบ็ต 2 ชั้น 6 พยางคเปน นมาก โดย รางลัก ณะค ามตึงเครียดของแน ทำนองด ยการซ้ำของกลุมโนต
4 ตั (Four Notes Grouping) จากนัน้ กลุมโนต 4 ตั เคลือ่ นที่ งู ขึน้ ไปยังโนต งู ดุ (Climax Note) โนต G
และคลีค่ ลายลงด ยการดัน ายจากโนต A ไปยังโนต C งั เกต าช งเทคนิคการดัน ายเขาลดค ามหนาแนน
ของลัก ณะจังห ะลง

ตั อยางที่ 14 เทคนิคการดัน ายช งจบประโยคเพลง

เทคนิคการดัน ายนี้เปนเอกลัก ณ ำคัญประการหนึ่งของไมค เทิรนทำใหเขามีค ามแตกตางจาก


นักกีตารแจ ทั่ ไป ซึง่ เทคนิคการดัน ายนีก้ ม็ าจากอิทธิพลทางดนตรีทเ่ี ขาไดรับมานัน้ เอง ทัง้ นีร้ มถึงอุปกรณ
และแน คิดการอิมโพรไ ที่แ ดงค ามเปนตั ตนของเขาไดเปนอยางดี
วารสาร
38 ดนตรีและการแสดง

แน ทางการบรรเลงกีตารของแพ็ท เมทินแี ละไมค เทิรน จะเห็นได านักกีตารทัง้ 2 คน มีเอกลัก ณ


ที่ชัดเจน คือ ดานอุปกรณของแพ็ท เมทินีใชกีตารลำตั กล งรุนของเขาเอง ผ มผ านกับกีตาร 42 าย
(ปกั โซกีตาร) และกีตารซินธิไซเซอรในการบรรเลงเปน นใหญ ดานอุปกรณของไมค เทิรน ใชกีตารลำตั
ตันรุนของเขาเอง ผ มผ านกับอุปกรณแปลงเ ยี งกีตารในการบรรเลงเปน นใหญ ดานแน คิดการอิมโพรไ
ทีช่ ดั เจนของแพ็ท เมทินนี น้ั การ รางประโยคเพลงตอเนือ่ งเขามักนิยมใชระบบนิ้ 3-2-1-2 เปน นประกอบ
ขณะที่ไมค เทิรน รางประโยคเพลงตอเนื่องด ย ลีแบบ ำเนียงบีบอปเปน นประกอบ จากแน ทางการ
บรรเลงกีตารทีก่ ลา มาขางตนของนักกีตารทัง้ 2 คนนีเ้ ปนเพียงแน ทางหนึง่ เทานัน้ ไมไดชีช้ ดั หรือเจาะจง า
ตองพบแน คิดตางๆ ที่ไดกลา มาแล เ มอไป (ขึ้นอยูกับองคประกอบอื่นๆ ร มด ย) การ ึก านี้เพื่อเปน
แน ทางพื้นฐานทำใหมีอรรถร ในการรับฟง และ/หรือดานการบรรเลงกีตารในรูปแบบตางๆ ของพ กเขา
มากยิ่งขึ้น

ภาพที่ 5 การบรรเลงกีตารร มกันของไมค เทิรน และแพ็ท เมทินี


ณ เบิรกลีคอลเลจออฟมิ ิค ปค. . 1975 (คนแรกและคน ุดทาย จากซายไปข า)
ที่มา: http://www.thescreamonline.com/
39

บรรณานุกรม
เจตนิพิฐ ังข ิจิตร. (2011). เพลงแฟตไทม (Fat Time) โดยไมค เทิรน. าร ารดนตรีรัง ิต. ฉบับที่ 2
ของปที่ 6: 53-61. ำนักพิมพ มหา ิทยาลัยรัง ิต เมืองเอก ปทุมธานี 12000.
ณัชชา พันธุเจริญ. (2552). พจนานุกรม ัพทดุริยางค ิลป. พิมพครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: ำนักพิมพ
เก กะรัต.
ประทัก ใฝ ุภการ. (2545). จะออนห านปานแจ . กรุงเทพมหานคร: ำนักพิมพ ามัญชน.
Charupakorn, Joe. (2010). Mike Stern Guitar Signature Licks. Milwaukee, WI: Hal Leonard
Corporation.
Niles, Richard. (2009). The Pat Metheny Interview The Inner Workings of His Creativity Revealed.
Milwaukee, WI: Hal Leonard Corporation.
______. (2010). “Inside and Outside the Harmony with Pat Metheny.” Berklee Today. (Spring
2010): 28-29.
Smith, Andy. (2007). Pat Metheny: Composition to Exploit the Sound of the Guitar. MMusic,
New Zealand School of Music.

บรรณานุกรมรูปภาพ
Adelson, Steve. “Guitar ans Stick Master: Pat Metheny.” [Online]. Available at:
http://steveadelson.com/interview_metheny.php, 9 May 2015.
Cleveland, Barry. “Mike Stern.” [Online]. Available at:
http://www.guitarplayer.com/artists/1013/mike-stern/11805, 9 May 2015.
Micallef, Ken. “Pat Metheny.” [Online]. Available at:
http://photos.allaboutjazz.com/gallery_image.php?id=138592, 9 May 2015.
Small, Mark. “Pat Metheny: No Boundaries.” [Online]. Available at:
http://www.thescreamonline.com/music/music4-3/metheny/metheny.html,
9 May 2015.
Wheeler, Rick “Lots of Strings Attached.” [Online]. Available at:
http://www.premierguitar.com/articles/lots-of-strings-attached-1, 9 May 2015.

You might also like