Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ในการทำอาหาร
2.1.1 ประโยชน์ของการทำอาหารในเชิงสุขภาพจิต
บทความของ Farrah Plummer [3] มีการสรุปเกี่ยวกับงานวิจัยทั้งหลายที่กล่าวถึงประโยชน์ของการ
ทำอาหารทางด้านจิตใจ จากงานวิจัยของ Tamlin S. Conner, Colin G. DeYoung และ Paul J. Silvia [4]
พบว่าการทำกิจกรรมที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ จะช่วยเพิ่ม ความรู้สึกในทางที่ดีกับผู้ทำ โดยในการทดลองมี
ผู้เข้าร่วมซึ่งอยู่ในวัยรุ่นจำนวน 658 คน โดยผู้ทดลองจะต้องทำการบันทึกรายวันว่าทำกิจกรรมเสริมสร้าง
ความคิดสร้างสรรค์อะไรบ้างและมีความรู้สึกอย่างไรหลังจากทำกิจกรรมเหล่านั้น สองสัปดาห์หลังจากการเข้า
ร่วมการทดลองพบว่าการทำอาหารและการอบขนมช่วยให้ผู้เข้าร่วมมีความรู้สึกเครียดน้อยลงและยังเพิ่มความ
กระตือรือร้นในวันถัดไปหลังจากทำกิจกรรมดังกล่าว
2.1.2 ประโยชน์ของการทำอาหารในเชิงความสัมพันธ์ในครอบครัว
การศึกษาของ Tammie G. Chen [6] มีจุดประสงค์ในการค้นคว้าเกี่ยวกับ ผลกระทบที่การทำอาหาร
มีต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร การทดลองผ่านแบบสอบถามออนไลน์
จำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมด 275 คน ถูกสอบถามคำถามจำนวนทั้งหมด 30 ข้อ และ 6 ข้อเป็นคำถามปลายเปิด
โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้ ข้อมูลส่วนตัวของผู้เข้าร่วม เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ภายใน
ครอบครัวและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับอิทธิพลของอาหารที่มีต่อตนเอง จากนั้นจะมีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อหา
ความเกี่ยวข้อง ดังนี้
• การเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว
• การเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม
• ความสำคัญของวัฒนธรรม
• ทัศนคติที่มีต่อวัฒนธรรม
• ทัศนคติที่มีต่อวัฒนธรรมและความถี่ในการทำอาหารพื้นเมือง
• ทัศนคติที่มีต่อครอบครัวและความถี่ในการทำอาหารกับผู้ปกครองในช่วงวัยเด็ก
• ช่วงเวลาในการทำอาหารกับครอบครัวและการเชื่อมสัมพันธ์ครอบครัวระหว่างการทำอาหาร
ปัจจัยหลักที่ทำให้อาหารส่งผลต่อความสัมพันธ์คือการสะท้อนความเป็นไปในครอบครัว การสร้าง
โอกาสให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน การดูแลเอาใจใส่กัน เปิดพื้นที่ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน พื้นที่ในการ
พัฒนาสำหรับเด็กและยังเป็นพื้นที่ในการเก็บความทรงจำอีกด้วย ในแง่ของวัฒนธรรม อาหารทำหน้าที่เป็น
เอกลักษณ์บ่งบอกความเป็นตัวเราในชาตินั้นๆ เป็นอุปกรณ์สำหรับการเรียนรู้ เครื่องมือการถ่ายทอดของ
ประวัติศาสตร์ และเป็นสะพานเชื่อมต่อสู่วัฒนธรรมอื่นๆ
2.1.3 ประโยชน์ของการทำอาหารในเชิงสุขภาพกาย
การศึกษาของ Susanna Mills และ Heather Brown [7] มีจุดประสงค์เพื่อประเมินว่าความถี่ในการ
กินอาหารทำเองที่บ้านนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณภาพอาหารและสุขภาพร่างกายหรือไม่อย่างไร
สรุปผลการทดลองได้ว่าการรับประทานอาหารที่ทำเองเป็นประจำช่วยทำให้ได้รับคุณภาพการกินที่ดี
มากขึ้นและลดการเกิดโรคอ้วน นอกจากนีย้ ังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจากการกินเช่นคลอเลเตอรอลสูงและ
โรคอ้วนเป็นต้น การกินอาหารที่ทำเองเป็นประจำนั้นจะให้ประโยชน์ทางด้านสุขภาพ และนอกจากนี้ด้าน
สาธารณสุข ควรมีการส่งเสริมการทำอาหารที่บ้านให้เป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย
2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ทักษะการทำอาหาร
2.2.1 Learning cooking skills at different ages: a cross-sectional study
การศึกษาของ Fiona Lavelle และ Michelle Spence [1] มีจุดประสงค์ ใ นการสื บ ค้ น ช่ว งวั ย ที่
เหมาะสมกับการเรียนรู้ ด้านการทำอาหาร แหล่งเรียนรู้ และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 5 ข้อ คือ ทักษะการ
จดจำในด้านการทำอาหาร การฝึก ฝนทำอาหาร ทัศนคติการทำอาหาร โภชนาการอาหารและสุขภาพ ซึ่งช่วง
อายุถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่ ช่วงวัยเด็ก (อายุน้อยกว่า 12 ปี) ช่วงวัยรุ่น (อายุ 13-18 ปี) และช่วงวัย
ผู้ใหญ่ (อายุ 20-60)
• ส่วนการเรียนรู้การทำอาหาร เมื่อความสามารถในการทำอาหารของผู้ทดลองถึงเกณฑ์ที่กำหนดจะมี
การสอบถามว่าช่วงใดในชีวิตที่ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ทักษะการทำอาหารมากที่สุด และได้รับทักษะ
เหล่านั้นมาจากแหล่งเรียนรู้ใด
• ส่วน Cooking และ Food skills มีการใช้แบบสอบถามเพื่อวัดความมั่นในในทักษะด้านต่างๆ โดยมี
การให้คะแนนจากระดับ 1 (ไม่มีความมั่นใจในทักษะเลย) จนถึงระดับ 7 (มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่าง
มาก) ซึ่งผู้ทดลองจะได้รับใบรายการทักษะที่คลอมคลุมในหัวข้อของ Cooking skill เช่น การหั่น การ
ผสม การย่าง และ Food skill เช่น การเตรียมมื้ออาหาร
• ส่วนการฝึกฝนทำอาหาร มีการถามคำถามหลากหลายคำถามเพื่อทดสอบดูความสามารถและความรู้
เบื้องต้นที่ควรมีในการทำอาหาร รวมไปถึงการสอบถามเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่เหลือทิ้งว่ามีสาเหตุมา
จากอะไร รวมไปถึงความรวดเร็วในการเตรียมมื้ออาหาร
• ด้านทัศนคติต่อการทำอาหาร มีการให้ทำแบบประเมินตนเองเรื่องการทำอาหารและแบบประเมินใน
การเปิดรับอาหารรสชาติใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีการวัดความคิดสร้างสรรค์ในการทำอาหารอีกด้วย
• ด้านโภชนาการอาหารมีการตรวจสอบโดยใช้ Eating Choice Index ซึ่งใช้ในการประเมินจากสิ่ง ที่ผู้
ทดลองบริโภคโดยแบ่งออกเป็นปริมาณไฟเบอร์ ไขมันอิ่มตัว ผักและผลไม้ ของทอดและขนมกรุบ
กรอบ นอกจากนี้ยังมีการแบ่งกลุ่มตามวิธีการในการใช้วัตถุดิบเป็น 3 กลุ่ม คือ ใช้วัตถุดิบที่มีความสด
ใหม่ ใช้วัตถุดิบสดใหม่และวัตถุดิบทีพ่ ร้อมใช้และกลุ่มที่ใช้แค่วัตถุดิบซึ่งพร้อมใช้
• ด้านสุขภาพ มีการคำนวณ BMI ของผู้ร่วมทดลองและมีการใช้แบบวัด General Health Interest ซึ่ง
มีการใช้คำถามสองข้อในการถามผู้เข้าร่วม เพื่อให้ผู้ทดลองให้คะแนนตนเองจาก 1 ถึง 5 เรื่อง
ลักษณะการกินของตนเอง
19
จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ในการทำอาหารในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นนั้น เป็นวัยที่จะได้รับ
ประโชน์ในการเรียนรู้ทักษะการทำอาหารได้ดีกว่าวัยผู้ใหญ่ ในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ในการทำอาหารและ
เอกลักษณ์การทำอาหาร นอกจากนี้การเรียนทำอาหารในช่วงวัยเด็กจะใช้เวลามากกว่าในการทำอาหารและมี
การสร้างเศษอาหารน้อยกว่าวัยผู้ใหญ่ การเรียนรู้ในช่วงวัยเด็กแสดงให้เห็นว่าคุณภาพการบริโภคอาหารดีกว่า
วัยอื่นๆ โดยการเรียนรู้การทำอาหารในช่วงวัยรุ่น จะเพิ่มความมั่นใจในการทำอาหารมากกว่าวัยผู้ใหญ่ รวมไป
ถึงด้านความปลอดภัยและคุณภาพอาหาร
สรุปผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ทักษะการทำอาหารในช่วงวัยที่เหมาะสมที่สุดคือในช่วงวัย
เด็กและวัยรุ่น เพราะส่งเสริมให้ทั กษะการฝึกฝนทำอาหาร ทัศนคติต่อการทำอาหารและโภชนาการให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของสุขภาพและ Food sustainability แหล่งเรียนรู้ที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคือ
20
คุณแม่และเป็นแหล่งเดียวที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากในเรื่องของระดับความสามารถในการทำอาหารและนิสัย
การบริโภคอาหารที่ดี แต่เนื่องจากจำนวนของการทำอาหารที่บ้านเริ่มลดน้อยลง การเรียนรู้จากรุ่นแม่สู่รุ่นลูก
อาจจะไม่สามารถทำได้ต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตามการฝึกฝนทักษะด้านการทำอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ
ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กนั้นเป็นสิ่งที่มีประโชน์เป็นอย่างมากและแนะนำเป็นอย่างยิ่ง
ขั้นตอนการทดลองเริ่มจากการที่ผู้ทดลองแนะนำตนเองและประเมิณความสามารถในการทำอาหาร
ก่อนจะเริ่มให้ผู้เข้าร่วมทำอาหารผ่านวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน 4 แบบ ได้แก่ แบบที่หนึ่งการเรียนรู้โดยใช้
สูตรอาหาร แบบที่สองใช้สูตรอาหารและวิดีโอสาธิตเต็มรูปแบบ แบบที่สามใช้สูตรอาหารและวิดีโอสาธิตทักษะ
21
จากการทดลองได้ผลออกมาโดยแบ่งตามสถานการณ์ในการทำอาหารทั้งหมด 4 แบบที่แสดงถึงความ
แตกต่างและความคล้ายคลึงกัน ดังนี้
สรุปผลการทดลองพบว่าการใช้วิดีโอในการเรียนรู้ทักษะการทำอาหารจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก
สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้เบื้องต้นในการทำอาหารเลยและการเรียนรู้ทักษะขั้นสูง ซึ่งวีดีโอมีส่วนช่วยในด้านการ
สาธิตขั้นตอนต่างๆ ในการทำ ช่วยในการให้ความมั่นใจว่าวิธีการที่ทำนั้นถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ใน
การปรับเลื่อนวิดีโอได้ตามต้อง รวมไปถึงความเร็วและจุดที่ต้องการเน้นย้ำเป็นพิเศษ
2.3 ความแตกต่างของอุปกรณ์ภายในครัว
2.3.1 อุปกรณ์กระทะ
ข้อมูลจาก เอม เลีย จาน [8] กล่าวว่ากระทะแบ่งออกเป็นสองแบบหลักๆ คือกระทะธรรมดาที่มี
ลักษณะบางแบนและพบเห็นได้ทั่วไปตามร้านอาหารตามสั่ง และกระทะแบบเคลือบที่มีลักษณะพิเศษคือไม่ติด
กระทะ โดยในลักษณะโดยย่อยสามารถแบ่งกระทะตามประเภทได้อีหลากหลายแขนง
กระทะแบบเคลือบจะมีลักษณะเด่นคือผิวกระทะจะถูกเคลือบด้วยสารทำให้สัมผัสแตกต่างจากกระทะ
แบบธรรมดาเพราะจะมีความลื่นมากกว่า ซึ่งต้องแลกมาด้วยราคาและการดูแลที่มากกว่า แบ่งประเภทย่อยๆ
ดังนี้
2.3.2 อุปกรณ์หม้อ
จากข้อมูลของ my home [9] และ sanook [10] พบว่าหม้อแบ่งออกเป็น 8 ประเภทหลักๆ ตามวัสดุ
ที่ใช้ในการสร้างหม้อ โดยแต่ละวัสดุมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน จึงเหมาะสำหรับการประกอบอาหารที่ต่างกัน
ออกไป ประเภทของหม้อประกอบไปด้วย
2.3.3 อุปกรณ์มีดทำครัว
จากข้อมูลของ Unilever Food Solution [11] และ Home Guru [12] พบว่าการเลือกมีดที่ถูกต้อง
ช่วยให้การหั่นและตัดสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความสวยงามในการตัดรวมไปถึงความเร็ว
และความคล่องมืออีกด้วย โดยสามารถแบ่งประเภทออกได้ ดังนี้
• มีดหั่นขนมปัง มีลักษณะคมและหยักเพื่อให้สามารถตัดผ่านขอบขนมปังได้โดยไม่ทำให้ขนมปังขาด
ออกจากกัน ยากที่จะลับเลยต้องเปลี่ยนมีดหากมีดไม่คมแล้ว ความยาวยู่ที่ 6-10 นิ้ว
• มีดแล่เนื้อ ลักษณะใหญ่และใบมีดที่ยาวเพื่อสามารถหั่นเนื้อได้ออกมาบางตามที่ต้องการทั้งเนื้อที่สุก
และไม่สุก ความยาวอยู่ที่ประมาณ 8-10 นิ้ว
• มีดเลาะกระดูก ลักษณะเหมือนหัวฉลาม ด้ามจับผอมเรียมและใบมีดที่แหลมคม เหมาะในการเลาะ
เนื้อติดกระดูก ถ้าเป็นแบบใบมีดที่ความอ่อนตัวสูงจะใช้แล่ปลา แต่ถ้าใบมีดแข็งเหมาะในการแล่
เนื้อสัตว์
28
การดูแลรักษามีให้คมอยู่ตลอดเวลาก็เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งที่จะช่วยป้งอกันอุบัติเหตุในครัวที่เกิดจากมีด
ไม่คมได้อีกด้วย โดยการใช้แท่งเหลํกลับมีดนั้นทำมาจากเหล็กกล้า ที่ลับมีดแบบนี้จะช่วยทำให้มีคมได้อย่าง
รวดเร็ว
2.4 ทักษะและความรู้ที่จะเป็นต่อการทำอาหาร
2.4.1 การให้ความร้อน
ในการทำอาหารมีหลากหลายรูปแบบในการทำให้อาหารที่ความสุกโดยการให้ความร้อน หากแต่การ
ให้ความร้อนนั้นก็มีหลากหลายวิธีการและเป็นการใช้เครื่องมือที่แตกต่างกัน โดยมีวิธีการคร่าวๆ ดังนี้
• การเจียว เป็นวิธีการทำอาหารที่หั่นละเอียดหรือเป็นฝอยสุกหรือกรอบด้วยน้ำมัน
• การผัด เป็นการทำให้อาหารสุกโดยการใช้น้ำมันและคนทั่วจนกว่าจะสุก
• การปิ้ง ทำให้อาหารแห้งสุกโดยการใช้ตะแกรงลนไฟอ่อนๆ จนสุก
• การย่าง เป็นการทำให้อาหารสดสุก โดยวางบนตะแกรงเหนือไฟอ่อนๆจนสุกทั้งข้างนอกและข้างใน
ในการย่างอาหารไทยมักจะห่อด้วยใบไม้หรือฟอยล์อะลูมิเนียม ใบไม้ที่ใช้ห่อ ได้แก่ ใบตอง และใบเตย
• การคั่วคือการนำไปให้ความร้อนและคนกลับไปกลับมาจนสุกหรือเกรียทตามต้องการ
• การหุง เป็นการทำให้อาหารสุก โดยนำอาหารใส่หม้อพร้อมกับน้ำ เมื่อจนสุกรินน้ำออกให้หมดแล้วตั้ง
ไฟต่อไปจนสุก หรือใส่น้ำพร้อมอาหารให้พอเหมาะ ซึ่งเมื่อน้ำแห้ง อาหารจะสุกพอดีโดยไม่ต้องรินน้ำ
ออก
2.4.2 การเลือกวัตถุดิบ
จากข้อมูลของ นภาพร ทองเปรี่ยม [15] พิยดา โปรยทอง [16] และ โครงการรวมพลังพ่อตามรอย
ของแผ่นดิน [17] พบว่าการเลือกวัตถุดิบมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำอาหาร เนื่องจากเป็นสิ่งที่จะ
ตัดสินคุณภาพอาหารและหน้าตาของอาหาร นอกจากนี้หากเลือกวัตถุดิบที่ไม่สดใหม่อาจจะก่อให้เกิดปัญหา
ทางสุขภาพได้อีกด้วย เช่น การปนเปื้อนของสารเคมีและเชื้อโรค วัตถุดิบสามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทต่างๆ
ดังนี้
การเลือกผักก็มีหลากหลายแบบเนื่องจากผักมีการรับประทานและประเภทที่แตกต่างกันตามชนิด และ
ส่วนที่รับประทานเข้าไป