Professional Documents
Culture Documents
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษารวบรวมเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่นามาใช้ในงานวิจัยเรื่อง
ผลของการจัดการเรียนรู้แบบ Tribe ที่มีต่อความเข้าใจในการอ่าน แบ่งออกเป็น 7 หัวข้อดังต่อไปนี้
8
9
6. แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการอ่าน
6.1 ความหมายของการอ่าน
6.2 ความสาคัญและประโยชน์ของการอ่าน
7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.1 ความหมายของพหุวัฒนธรรมศึกษา
พหุวัฒนธรรมศึกษา หรือ การศึกษาแบบพหุวัฒนธรรม ได้เริ่มมีการศึกษาขึ้นเป็น
ครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในอเมริกามีการอพยพย้ ายถิ่นของผู้คนเข้าไปอยู่เป็น
จานวนมากจากหลากหลายเชื้อชาติศาสนา ต่างวัฒนธรรม ทาให้เป็นประเทศที่มีความตื่นตัวด้านพหุ
วัฒนธรรมศึกษาที่ก้าวหน้าประเทศหนึ่ง แต่ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะมีความตื่นตัวด้านพหุวัฒนธรรม
ศึกษาดังเช่นทุกวันนี้ ก็ได้ผ่านขั้นตอนการปรับความคิดหลายช่วง ซึ่ง นักการศึกษาต่างก็ได้ให้
ความหมายของ Multicultural Education ไว้ดังนี้
Banks J. (1993) ได้ให้ความหมายของการศึกษาแบบพหุวัฒนธรรมไว้ว่าเป็น
การศึกษาที่มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกันในหมู่ผู้เรียนที่มาจากเชื้อชาติ
ชาติพันธุ์ ฐานะทางสังคม และวัฒนธรรมที่ต่างกัน จุดมุ่งหมายหลักอีกประการหนึ่งของการศึกษา
แบบพหุวัฒนธรรมที่ Banks กล่าวถึงก็คือ เพื่อช่วยให้นักเรียนทุกคนได้รับความรู้และทักษะรวมถึง
ทัศนคติที่จาเป็นในการดารงชีวิตอยู่ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและมีความหลากหลาย
Gollnick, Donna M. (2009 : 4) กล่าวว่า พหุวัฒนธรรมศึกษา คือ ยุทธศาสตร์ใน
การศึกษาวัฒนธรรมของผู้เรียน ที่นามาใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพของการเรียนการสอนในชั้น
เรียนและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน พหุวัฒนธรรมศึกษาสามารถสนับสนุนและขยายแนวคิดของ
วัฒนธรรม ความเสมอภาค ความยุติธรรมในสังคมและความเสมอภาคทางสังคมเข้าไปในโรงเรียน
เช่น การตั้งกฎเกณฑ์ หรือการใช้กฏเกณฑ์ต่างๆที่จะนาไปสู่ความเข้าใจของการพัฒนาและการ
ฝึกฝนเกี่ยวกับพหุวัฒนธรรมศึกษา
จรูญ จัวนาน (อ้างถึงในสุธารา โยธาขันธ์, 2541 : 12) ได้กล่าวสรุปความหมาย
ของพหุวัฒนธรรมศึกษาไว้ดังนี้ การศึกษาแบบพหุวัฒนธรรมเป็นมโนคติหรือแนวคิดในการจัด
การศึกษาสาหรับสังคมที่มีวัฒนธรรมหลากหลายโดยการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกลมกลืนกับ
สิ่งแวดล้อม และความต้องการของนักเรียน ด้วยการบูรณาการเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้รับความ
เสมอภาคในการเรียน สาหรับความแตกต่างที่ทาให้ เกิดความหลากหลายจะรวมถึง ความแตกต่าง
10
จากความหมายของพหุวัฒนธรรมศึกษาที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นอาจสรุปได้ว่า พหุ
วัฒนธรรมศึกษา คือ การจัดการศึกษาที่มุ่งให้เกิดความเท่าเทียมกันในด้านโอกาสทางการศึกษาของ
ผู้เรียนที่มีความแตกต่างกัน โดยการจัดการศึกษาจะต้องมีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและ
ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและสังคม สร้างผู้เรียนที่เห็นคุณค่าในวัฒนธรรมของตนเอง
และยอมรับความแตกต่างของผู้อื่น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอยู่ในสังคมที่มีความแตกต่างได้อย่างมี
ความสุข
จากความสาคัญของการศึกษาพหุวัฒนธรรมข้างต้น จะเห็นได้ว่าการยอมรับและ
เข้าใจกันในสังคมนั้นเป็นสิ่งจาเป็น การทาให้ผู้คนเกิดการยอมรับและเข้าใจในความหลากหลาย
ทางวัฒนธรรมนั้นจึงต้องเกิดขึ้น ซึ่งวัยเด็กเป็นวันที่มีอคติและความยึดมั่นถือมั่นน้อยกว่าผู้ใหญ่จึง
เป็นวัยที่เราควรให้ความสาคัญในการปลูกฝังให้เกิดแนวคิดการยอมรับความหลากหลายทาง
วัฒนธรรมโดยสอดแทรกเข้าไปในการให้การศึกษา ผู้วิจัยจึงสนใจนา องค์ประกอบทั้ง 8 ประการ
มาเป็นตัวแปรในงานวิจัยครั้งนี้ เนื่องจาก หากเด็กทราบและยอมรับในความแตกต่างกันของ
องค์ประกอบทั้ง 8 ประการที่ทาให้เกิดความแตกต่างกันของผู้คนในวัฒนธรรมหรือภูมิภาคต่างๆ
ดังกล่าวก็จะทาให้ ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะยอมรับความเป็นพหุวัฒนธรรมได้มากขึ้นในอนาคต
12
2.1 ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
Alice F.Artzt and C.M. Newman, (1999 : 448-449) ได้ให้ความหมายของการ
เรียนรู้แบบร่วมมือไว้ซึ่งสรุปได้ว่า เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเรียนร่วมกัน เป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อเรียนรู้
การแก้ปัญหาร่วมกัน เพื่อให้กลุ่มประสบผลสาเร็จหรือบรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยสมาชิกในกลุ่ม
เป็นส่วนหนึ่งที่จะทาให้กลุ่มประสบผลสาเร็จหรือล้มเหลว การที่สมาชิกจะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
นั้น ทุกคนต้องปรึกษาหารือกันและกัน ช่วยเหลือกันให้เกิดการเรียนรู้ในการแก้ปัญหา ครูมีบทบาท
เป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือ จัดหา และชี้แนะแหล่งค้นคว้าข้อมูล ซึ่งผู้เรียนเป็นผู้ค้นคว้าเอง ซึ่งตัว
ผู้เรียนจะเป็นผู้ที่มีความสาคัญในการที่จะทาให้เพื่อนในกลุ่มเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน
Slavin, Robert E. (1995 : 5) ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นการเรียนที่
ผู้เรียนมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดกัน โดยผู้เรียนจะมีการโต้ตอบกันภายในกลุ่ม ร่วมมือกัน
ทางาน เพื่อนาไปสู่เป้าหมายและความสาเร็จร่วมกันของกลุ่ม
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 : 34) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นวิธีการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการจั ดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน
เป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกัน โดยแต่ละคนมี
ส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ และในความสาเร็จของกลุ่ม
จันทรา ตันติพงศานุรักษ์ (2544 : 4) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่แบ่ง ผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ส่งเสริมให้ ผู้เรียนทางาน
ร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความ
คิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้ งในส่วนตนและ
ส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคน ในกลุ่มประสบความสาเร็จตามเป้าหมายที่กาหนด
สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2545 : 134) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็น
กระบวนการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้ร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้โดยแบ่งกลุ่มผู้ เรียนที่มี
ความสามารถต่างกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเป็นลักษณะการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจนมี
การทางานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีความ
รับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนของตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบ
ความสาเร็จตามเป้าหมายที่กาหนดไว้
13
จากความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือที่ได้รวบรวมมาข้างต้น อาจสรุปได้ว่า
การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการเรียนรู้ที่เน้นกิจกรรมกลุ่มย่อย เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนซึ่งมีความ
แตกต่างกัน ได้มีส่วนร่วมกันอย่างแท้จริงในการร่วมกันคิด การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการ
ช่วยเหลือกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน โดยสมาชิกในกลุ่มจะต้องมีความรับผิดชอบทั้งภาระกิจ
ของตนเองและของกลุ่ม เพื่อนาพาให้กลุ่มประสบความสาเร็จร่วมกัน
2.2 องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
Johnson, Johnson and Holubec,(1994) (อ้างถึงในทิศนา แขมมณี, 2550 : 99-101)
กล่าวว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไม่เพียงแต่เป็นการแบ่งกลุ่มให้นักเรียนช่วยกันทางานที่ได้รับ
มอบหมายให้ประสบความสาเร็จเท่านั้น การเรียนรู้แบบร่วมมือ จะต้องมีองค์ประกอบสาคัญครบ 5
ประการดังนี้
(1) การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน (Positive Interdependence)
กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ จะต้องตระหนักว่า สมาชิกกลุ่มทุกคนมี
ความสาคัญ และความสาเร็จของกลุ่มขึ้นกับสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ในขณะเดียวกันสมาชิกแต่ละคน
ประสบความสาเร็จได้ก็ต่อเมื่อกลุ่มประสบความสาเร็จ ความสาเร็ จของบุคคลและของกลุ่มขึ้นอยู่
กับกันและกัน ดังนั้นแต่ละคนต้องรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตนและในขณะเดียวกันก็
ช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆด้วย เพื่อประโยชน์ร่วมกัน การจัดกลุ่มเพื่อ ช่วยให้ผู้เรียนมีการพึ่งพา
ช่วยเหลือเกื้อกูลกันนี้ทาได้หลายทาง เช่น การให้ผู้เรียนมีเป้ าหมายเดียวกัน หรือให้ผู้เรียนกาหนด
เป้าหมายในการทางาน/การเรียนรู้ร่วมกัน (Positive Goal Interdependence) การให้รางวัลตาม
ผลงานของกลุ่ม (Positive Reward Interdependence) การให้รางวัลตามผลงานของกลุ่ม (Positive
Resource Interdependence) การมอบหมายบทบาทหน้าที่ในการทางานร่วมกันให้แต่ละคน
(Positive Role Interdependence)
(2) การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด (Face-to-face promotive
interaction)
การที่สมาชิกในกลุ่มมีการพึ่งพาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นปัจจัยที่จะ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในทางที่จะช่วยให้กลุ่มบรรลุเป้าหมาย สมาชิกกลุ่มจะห่วงใย
ไว้วางใจ ส่งเสริมและช่วยเหลือกันและกันในการทางานต่างๆร่วมกัน ส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดี
ต่อกัน
(3) ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน (Individual
Accountability)
14
สมาชิกในกลุ่มการเรียนรู้ทุกคนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ และพยายาม
ทางานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ ไม่มีใครที่จะได้รับประโยชน์โ ดยไม่ทาหน้าที่ของ
ตน ดังนั้นในกลุ่มจึงจาเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบผลงาน ทั้งที่เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม
วิธีการที่สามารถส่งเสริมให้ทุกคนได้ทาหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่มีหลายวิธี เช่น การจัดกลุ่มให้เล็ก
เพื่อจะได้มีการเอาใจใส่กันและกันได้อย่างทั่วถึง การทดสอบเป็นรายบุคคล การสุ่มเรียกชื่อให้
รายงาน ครูสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในกลุ่ ม การจัดให้กลุ่มมีผู้สังเกตการณ์ การให้ผู้เรียนสอน
กันและกัน เป็นต้น
(4) การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทางานกลุ่ม
ย่อย (Interpersonal and Small-group skills)
การเรียนรู้แบบร่วมมือจะประสบความสาเร็จได้ต้องอาศัยทักษะที่สาคัญๆ
หลายประการ เช่น ทักษะทางสังคม ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะการทางานกลุ่ม ทักษะการ
สื่อสาร และทักษะการแก้ปัญหาขัดแย้ง รวมทั้งการเคารพ ยอมรับ และไว้วางใจกันและกัน ซึ่งครู
ควรสอนและฝึกให้แก่ผู้เรียนเพื่อช่วยให้ดาเนินงานไปได้
(5) การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group Processing)
กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือจะต้องมีการวิเคราะห์กระบวนการทางานของ
กลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทางานให้ดีขึ้น การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม
ครอบคลุมการวิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการทางานของกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกกลุ่มและผลงานของ
กลุ่ม การวิเคราะห์การเรียนรู้นี้อาจทาโดยครู หรือผู้เรียน หรือทั้งสองฝ่าย การวิเคราะห์กระบวนการ
กลุ่มนี้เป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้กลุ่มตั้งใจทางาน เพราะรู้ว่าจะได้รับข้อมูลป้อ นกลับ และช่วย
ฝึกทักษะการรู้คิด (Metacognition) คือสามารถที่จะประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนที่ได้ทาไป
2.3 ข้อดีและประโยชน์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
อารี สัณหฉวี (2543 : 36-37) ได้กล่าวถึงคุณค่าของการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีต่อ
นักเรียนมีดังต่อไปนี้
(1) ทาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
(2) ทาให้นักเรียนมียุทธวิธีในการเรียนที่ดี
(3) ทาให้นักเรียนมีความทรงจาดีขึ้น
(4) ทาให้นักเรียนมีแรงจูงใจภายในมากขึ้น
(5) ทาให้นักเรียนมีทักษะทางสังคมเพิ่มขึ้น
(6) ทาให้นักเรียนชอบเรียนวิชาต่างๆมากขึ้น
15
(7) ทาให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อครู
(8) ทาให้นักเรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อเพื่อนนักเรียนด้วยกันมากขึ้น
(9) ทาให้นักเรียนรู้สึกว่าตนเป็นที่ยอมรับและได้รับการสนับสนุนจาก
เพื่อน
(10) ทาให้นักเรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง (มีความภาคภูมิใจในตนเอง)
จากผลดีและประโยชน์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือที่รวบรวมมาข้างต้น
นั้นชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นประโยชน์และส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งด้าน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและด้านการพัฒนาทักษะทางสังคมและการอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐาน
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการยอมรับความแตกต่างของกันและกัน สามารถปรับตัวและอยู่ในสังคมที่มีความ
แตกต่างกันได้อย่างมีความสุข ผู้วิจัยจึงเลือกการเรียนรู้แบบร่วมมือมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน
เพื่อให้เกิดเจตคติที่ดีต่อสังคมพหุวัฒนธรรม
2.4 บทบาทของครูผู้สอนในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
จันทรา ตันติพงศานุรักษ์ (2544 : 23-29) ได้กล่าวว่าครูผู้สอนเป็นผู้มีบทบาทสาคัญ
คนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนไม่ว่าผู้สอนจะใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ
ใดก็ตามจะต้องมีการลาดับขั้นตอนในการสอนคล้ายคลึงกัน คือ ขั้นเตรียมการสอน การเริ่มบทเรียน
การกากับดูแลการสอน และการประเมินผลงานและกระบวนการทางาน
(1) ขั้นเตรียมการสอน ในขั้นนี้มีสิ่งที่ต้องคานึงถึง คือ
1.1 จุดประสงค์ ครูต้องแจ้งจุดประสงค์ให้นักเรียนทราบ
- จุดประสงค์ทางด้านวิชาการ ได้แก่ เนื้อหาและทักษะต่างๆ
- จุดประสงค์ทางด้านสังคม ได้แก่ ทักษะการปฏิสัมพันธ์
รูปแบบต่างๆ และการปฏิบัติงานร่วมกันของนักเรียน
1.2 ขนาดของกลุ่ม ขนาดของกลุ่มจะมีผลต่อการเรียนรู้ของ
ผู้เรียน ซึ่งมีประเด็นที่จะต้องพิจารณา คือ
17
- การจับคู่ควรให้นักเรียนได้เริ่มทากิจกรรมคู่ เพราะการทา
กิจกรรมในลักษณะดังกล่าวจะไม่มีใครถูกทอดทิ้งจากกลุ่ม
- กิจกรรมที่ต้องการทักษะและความคิดที่หลากหลายอาจจัดกลุ่ม
ให้มีจานวนนักเรียน เช่น กลุ่มละ 3 หรือ 4 คน
- ถ้าหากสมาชิกในกลุ่มมีจานวนสมาชิกหลายคน คือ ตั้งแต่ 3 คน
ขึ้นไป จะต้องแน่ใจว่าสมาชิกทุกคนในกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
- การแบ่งกลุ่ม จะต้องคานึงถึงกิจกรรมและสื่อการเรียนการสอน
ที่มีอยู่
- ถ้าหากระยะเวลาในการทากิจกรรมสั้น ขนาดของกลุ่มที่แบ่ง
ต้องมีขนาดเล็กเพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม
1.3 การจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม การจัดนักเรียนเข้ากลุ่มอย่าง
เหมาะสมจะช่วยให้การดาเนินกิจกรรมบรรลุความสาเร็จ ครูผู้สอนจะเป็นผู้จั ดกลุ่มได้ดีที่สุด เพราะ
รู้จักนักเรียนในชั้นมากที่สุด และสามารถเตรียมการที่จะช่วยเหลือหรือสนับสนุนการปฏิบัติงาน
ของกลุ่ม เช่น นักเรียนที่ต้องแยกออกมาสอนเป็นการเฉพาะ ซึ่งอาจจะเป็นนักเรียนเก่งหรืออ่อน
อย่างไรก็ตามมีแนวทางที่จะเสนอแนะ ดังนี้
- การจัดกลุ่มนักเรียนที่มีความแตกต่างกัน ความแตกต่างที่จะ
นามาจัดรวมเข้าในกลุ่มเดียวกัน อาจจะเป็นทางด้านภูมิหลัง ความสามารถ วัฒนธรรม เพศ ฯลฯ
- การสับเปลี่ยนกลุ่มของนักเรียน การจะให้นักเรียนปฏิบัติ
กิจกรรมด้วยกันนานเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติงานกลุ่มร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ก็มีหลักทั่วๆไป
ว่าจะต้องรอให้กลุ่มได้ทางานร่วมกันจนบรรลุความสาเร็จ แต่ถ้าหากกลุ่มประสบปัญหาในการ
ทางานร่วมกัน ครูผู้สอนต้องให้คาแนะนาในการแก้ปัญหา
1.4 การจัดชั้นเรียน โต๊ะ เก้าอี้ จะต้องดาเนินการให้พร้อมก่อนที่
นักเรียนจะเข้าชั้นเรียน เพื่อความสะดวกและความเป็นระเบียบ การจัดสภาพห้องเรียนจะมีผลต่อ
ปฏิสัมพันธ์ของนักเรียน
1.5 การจัดเตรียมสื่อการเรียนการสอน จะต้องเตรียมสื่อการเรียน
การสอนต่างๆ ที่จะใช้ไว้ให้พร้อม
(2) ขั้นเริ่มบทเรียน ในขั้นเริ่มบทเรียนมีสิ่งที่ต้องพิจารณา ดังนี้
2.1 ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก การทางานของกลุ่มจะ
ดาเนินไปด้วยดี เมื่อนักเรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อกันและมีการพึ่งพาอาศัยกันและกัน ซึ่งจะทาให้การ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนดาเนินไปสู่ความสาเร็จ
18
บทบาทของครูผู้สอนในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือที่กล่าวมานี้ จะช่วยให้
ครูผู้สอนรู้จักวางแผนการสอน การเตรียมการและการเลื อกใช้ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมและ
สอดคล้องกับความต้องการ ตลอดจนความสามารถของนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้การจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
(4) ด้านการประเมินผลและวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้
4.1 ประเมินผลการเรียนรู้ ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งทางด้าน
ปริมาณและคุณภาพ โดยใช้วิธีการที่หลากหลาย และควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน
4.2 วิเคราะห์กระบวนการทางานและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ครูควร
จัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทางานของกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม เพื่อให้กลุ่มมี
โอกาสเรียนรู้ที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่องของกลุ่ม
2.5 รูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือ
สุลัดดา ลอยฟ้า (2536 อ้างถึงใน กมลวรรณ โพธิบัณฑิต 2543 : 18) กล่าวว่า
รูปแบบการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือของกลุ่ม Slavin ที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายมีดังนี้
(1) STAD (Student Teams – Achievement Division) เป็นรูปแบบการ
สอนที่สามารถดัดแปลงใช้ได้เกือบทุกวิชา และทุกระดับชั้น เพื่อเป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ของการ
เรียนและทักษะทางสังคมเป็นสาคัญ
(2) TGT (Team-Games Tournament) เป็นรูปแบบการสอนที่คล้ายกับ
STAD แต่เป็นการจูงใจในการเรียนเพิ่มขึ้นโดยการใช้การแข่งขันเกมแทนการทดสอบย่อย
(3) TAI (Team Assisted Individualization) เป็นรูปแบบการสอนที่
ผสมผสานแนวความคิด ระหว่างการร่วมมือกันการเรียนรู้กับการสอนรายบุคคล (Individualized
Instruction) รูปแบบ TAI จะเป็นการประยุกต์ใช้กับการสอนคณิตศาสตร์
(4) CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) เป็น
รูปแบบการสอนแบบร่วมมือแบบผสมผสาน ที่มุ่งพัฒนาขึ้ นเพื่อสอนการอ่านและการเขียน สาหรับ
นักเรียนประถมศึกษาตอนปลายโดยเฉพาะ
(5) Jigsaw ผู้คิดค้นการสอนแบบนี้ เริ่มแรกคือ Ellior-Aronson และคณะ
หลังจากนั้น Slavin ได้นาแนวความคิดดังกล่าวมาปรับขยายเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการสอน
แบบร่วมมือมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับการบรรยาย เช่น สังคมศึกษา วรรณคดี บางส่วน
ของวิชาวิทยาศาสตร์ รวมทั้งวิชาอื่นๆ ที่เน้นการพัฒนาความรู้ความเข้าใจมากกว่าพัฒนาทักษะ
นอกจากรูปแบบการสอนแบบร่วมมือที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีการพัฒนา
รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ฐานของการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ
Tribes ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโดย เจนนี่ กริบบ์ (Jeanne Gibbs) ซึ่งผู้วิจัยมีความสนใจที่จะนามาใช้
ในการวิจัยในครั้งนี้ดังจะเสนอรายละเอียดที่จะนาเสนอในหัวข้อต่อไป
23
1. ขั้นของการพัฒนากลุ่ม (ประกอบด้วยกิจกรรมที่เหมาะสม)
ขั้นของการพัฒนากลุ่ม ผู้สอนจะต้องดาเนินการสร้างและพัฒนากลุ่มตามลาดับ
ของกิจกรรม โดยมีคาถามต่อไปนี้เป็นแนวทางในการพัฒนา
(1) ในชั้นเรียนมีนักเรียนเพียงพอสาหรับการพัฒนากลุ่มหรือไม่
(2) สมาชิกรู้และเคารพในข้อตกลงของชนเผ่าหรือไม่
(3) พวกเขารู้จักสมาชิกแต่ละคนแล้วหรือยัง
(4) พวกเขามีหัวข้อที่มีอิทธิพลจูงใจหรือยัง
(5) พวกเขาผ่านการตัดสินใจร่วมกันหรือไม่ มีทัศนะที่แตกต่างหรือไม่
(6) พวกเขาเคารพความหลากหลายของสมาชิกหรือไม่
(7) พวกเขาทางานอย่างร่วมมือกันหรือไม่
ในขั้นนี้ผู้สอนจะต้องเป็นผู้แนะนาหรือตั้งคาถามให้กลุ่มได้ทราบถึงประสบการณ์
การเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะได้เจอ รวมทั้งการเชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากับหน่วยการเรียน
(4) การทาความเข้าใจต่อข้อสันนิษฐานและความเชื่อที่ชัดเจน
ของแต่ละเผ่าพันธุ์ในพฤติกรรมที่แสดงออกของมนุษย์
(5) สังเคราะห์ทุกๆอย่างที่ศึกษาในหัวข้อที่มีความสาคัญต่อชาติ
และโลก ซึ่งส่งผลต่อมนุษยชาติ
2.2 ทักษะการคิดที่เราจะสร้างให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนนั้น ผู้สอนควรมีการ
ทบทวนว่ากิจกรรมที่ให้ผู้เรียนทานั้นมีการคิดทบทวนซ้าไปมาหรือไม่ รวมทั้งกิจกรรมนั้นช่วยให้
ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดขึ้นมาเองได้จริงหรือไม่ สิ่งที่ผู้เรียนต้องการที่จะเรียนรู้ในปัจจุบันคือสิ่ง
ที่สามารถนาไปใช้ได้จริง ซึ่งประกอบด้วย
(1) การรับสารสนเทศจากแหล่งข้อมูลที่กว้างขวางหลากหลาย
(2) สรุปความเห็น และอธิบายความหมายของข้อมูล
(3) สังเคราะห์และเชื่อมโยงกับความรู้ที่น่าสนใจ
(4) วางแผนและประยุกต์ความรู้กับประเด็นและปัญหาในชี วติ
จริง
(5) ประเมินและกลั่นกรองความรู้ เพื่อหาข้อสรุปและตัดสินใจ
อย่างต่อเนื่อง
2.3 ทักษะความร่วมมือและทักษะทางสังคม แต่ละโรงเรียนต่างก็เลือกทักษะ
ที่สาคัญสาหรับวัฒนธรรมของชุมชน โดยทักษะเหล่านี้จะเป็นประโยชน์เมื่อได้ฝึกทักษะเดิมหลายๆ
วัน หรือโรงเรียนอาจเน้นที่ทักษะใดทักษะหนึ่งในแต่ละเดือน ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 12 ทักษะดังนี้
(1) การเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมที่หลากหลาย (Valuing
Diversity of Culture/Ideas)
(2) การคิดด้วยตนเอง (Thinking Constructivety)
(3) การสร้างการตัดสินใจ (Making Responsible Decisions)
(4) การตัดสินความขัดแย้ง (Resolving Conflict)
(5) การคิดแก้ปัญหา (Solbing Problems Creatibely)
(6) การทาภาระงานร่วมกัน (Working Together on Tasks)
(7) การประเมินให้ดีขึ้น (Assessing Improbement)
(8) การยกย่องความสาเร็จ (Celebrating Achivevment)
(9) การมีส่วนร่วมกันอย่างเต็มที่ (Participaing Fully)
(10) การฟังอย่างตั้งใจ (Listening Attentively)
(11) บทวิจารณ์พิเศษ (Expressing Appreciation)
25
3. ลาดับของยุทธศาสตร์และโครงสร้าง
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับยุทธศาสตร์หลักแบบชนเผ่า (Tribes) คือ สามารถใช้การ
ปฏิสัมพันธ์หลายรูปแบบ ในเนื้อหาที่ศึกษา ดังนั้นผู้สอนสามารถกาหนดการจัดการเรียนรู้ได้
หลากหลายรูปแบบตามต้องการเพื่อให้เข้ากับการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่ให้อยู่ในลักษณะของความ
ร่วมมือกัน
และเนื่องจากนักเรียนแต่ละคนมีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เพราะมีสมองที่
ต่างกัน นักเรียนที่เรียนไม่เก่ง พวกเขาไม่ได้โง่ พวกเขาแค่มีวิธีเรียนรู้ที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ พวก
เขาไม่ได้ล้มเหลว แต่โรงเรียนล้มเหลวในการเข้าถึงพวกเขา คนเรามีความฉลาดที่หลากหลาย
(Multiple Intelligences) ดังนี้
(1) ความฉลาดในการเข้าใจชีวิต (Existential)
(2) ความฉลาดในการเข้าใจธรรมชาติ (Naturalist)
(3) ความฉลาดด้านภาษา (Verbal Linguistic)
(4) ความฉลาดด้านคณิตศาสตร์ (Logical Mathematical)
(5) ความฉลาดด้านการมอง ระยะ โครงข่าย (Visual Spatial)
(6) ความฉลาดด้านดนตรี และจังหวะ (Musical rhythmic)
(7) ความฉลาดด้านการเคลื่อนไหว (Body Kinesthetic)
(8) ความฉลาดด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal)
(9) ความฉลาดด้านความสัมพันธ์ในตัวบุคคล (Intrapersonal)
4. การสะท้อนคิดและความรับผิดชอบ
การใช้คาถามที่ดีจะสะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมา
(1) คาถามที่ดีจะทาให้ความรู้ที่ได้รับมีค่าเป็นสองเท่า
(2) นักเรียนจะเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้เรียนเนื้อหาอะไร แต่พวกเขาจะได้
ทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะทางสังคม ทักษะส่วนบุคคลที่จะนาไปใช้ในยามคับขันได้ในอนาคต
26
ความรับผิดชอบของผู้เรียนทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มสามารถตรวจสอบได้หลาย
ทางซึ่งแบ่งเป็นสองด้านดังนี้คือ
(1) การคิดและการปฏิสัมพันธ์กัน ตรวจสอบได้ 4 วิธีคือ 1.ผู้สอนสังเกต
และประเมินทักษะการทางานร่วมกันจากการฟัง 2.ผู้เรียนประเมินการปฏิสัมพันธ์กันในกลุ่มของ
ตัวเอง 3.ผู้เรียนประเมินการทางานร่วมกันของชนเผ่า และ 4.ผู้เรียนประเมินทักษะการคิดของตัวเอ
(2) ด้านเนื้อหา ตรวจสอบโดยใช้ คาถามที่ทาให้เกิดการสะท้อนคิด การ
นาเสนองาน แฟ้มสะสมงาน การทดสอบทั้งคนเดียวและเป็นกลุ่ม การเขียนรายงาน วีดีโอหรือเทป
บันทึกเสียง การสัมภาษณ์กลุ่มของผู้สอน การสัมภาษณ์กันเองของผู้เรียน
5. ความตระหนักและรู้คุณค่า
เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้และร่ว มกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Tribe แล้ว ผู้สอนจะต้องนา
ให้ผู้เรียนได้ตระหนักและรู้คุณค่าของสิ่งที่ได้เรียนรู้ ได้ร่วมกันค้นคว้า ร่วมกันคิด ร่วมกันสรุป โดย
เป็นการป้อนคาถาม ให้ผู้เรียนได้แสดงถึงความตระหนักในคุณค่าของสิ่งที่ได้เรียนรู้ ว่าสามารถ
นาไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจาวันของผู้เรียน และในขั้นนี้ สามารถนาไปสู่การสร้างเจตคติ
ที่ดีต่อสิ่งที่เรียนรู้ และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันอีกด้วย
ขั้นของการเรียนรู้สู่ความเป็นเลิศผ่านการเรียนเป็นกลุ่ม
4.1 ความหมายของการคิดเชิงวิเคราะห์
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2547 : 2) ได้ให้ความหมายของการคิดเชิงวิเคราะห์ไว้
ว่า การคิดเชิงวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจาแนกแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใด
สิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อ
ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้น
สุวิทย์ มูลคา (2547 : 127) ได้ให้ความหมายของการคิดเชิงวิเคราะห์ไว้ว่า การคิด
เชิงวิเคราะห์หมายถึง ความสามารถในการจาแนก แยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่ง
อาจจะเป็นวัตถุสิ่งของ เรื่องราว หรือเหตุการณ์และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่าง
องค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริงหรือสิ่งสาคัญของสิ่งที่กาหนดให้
ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ (2551 : 48) ได้ให้ความหมายของการคิดเชิงวิเคราะห์ไว้ว่า
การคิดเชิงวิเคราะห์ หมายถึง ความคิดในการจาแนกแยกแยะข้อมูลองค์ประกอบของสิ่งต่างๆ ไม่ว่า
จะเป็นวัตถุ เรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อค้นหาความจริง ความสาคัญ แก่นแท้
องค์ประกอบหรือหลักการของเรื่องนั้นๆ ทั้งที่อาจแฝงซ่อนอยู่ภายในสิ่งต่างๆ หรือปรากฏได้อย่าง
ชัดเจน รวมทั้งหาความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆว่าเกี่ยวพันกันอย่างไร อาศัย
หลักการใดจนได้ความคิดเพื่อนาไปสู่การสรุปการประยุกต์ใช้ การทานายหรือคาดการณ์สิ่งต่างๆ
ได้อย่างถูกต้อง
จากความหมายของการคิดเชิงวิเคราะห์ข้างต้น อาจสรุปได้ว่าการคิดวิเคราะห์เป็น
กระบวนการ ในการจาแนกแยกแยะองค์ประกอบของสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกเป็นส่วนย่อย และหา
ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบเหล่านั้น เพื่ออธิบายสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้น
4.2 กระบวนการคิดเชิงวิเคราะห์
การคิดเชิงวิเคราะห์เป็นการคิดระดับสูง การคิดเป็นกระบวนการ ซึ่งมีขั้นตอน
ต่างๆ ดังนี้ (ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2551 : 48)
(1) กาหนดสิ่งที่จะวิเคราะห์ ว่าจะวิเคราะห์อะไรกาหนดขอบเขตและนิยามของสิ่ง
ที่จะคิดให้ชัดเจน เช่น จะวิเคราะห์ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสิ่งแวดล้อมหมายถึง ปัญหาขยะที่
เกิดขึ้นในโรงเรียนของเรา
(2) กาหนดจุดมุ่งหมายของการวิเคราะห์ ว่าต้องการวิเคราะห์เพื่ออะไร เช่น เพื่อ
จัดอันดับ เพื่อหาเอกลักษณ์ เพื่อหาข้อสรุป เพื่อหาสาเหตุ เพื่อหาแนวทางแก้ไข
30
4.3 ลักษณะของการคิดเชิงวิเคราะห์
สุวิทย์ มูลคา (2547: 23-24) กล่าวว่า การคิดเชิงวิเคราะห์อาจจาแนกออกเป็น 3
ลักษณะดังนี้
(1) การวิเคราะห์ความสาคัญ เป็นความสามารถในการหาส่วนประกอบที่สาคัญ
ของสิ่งของหรือเรื่องราวต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ส่วนประกอบของพืช สัตว์ ข่าว ข้อความหรือ
เหตุการณ์ เป็นต้น
(2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการหาความสัมพันธ์ของส่วน
สาคัญต่างๆ โดยการระบุความสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผลหรือความ
แตกต่าง ระหว่างข้อโต้แย้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง
(3) การวิเคราะห์หลักการ เป็นความสามารถในการหาหลักความสัมพันธ์ส่วน
สาคัญในเรื่องนั้นๆว่าสัมพันธ์กันอยู่โดยอาศัยหลักการใด เช่น การให้ผู้เรียนค้นหาหลักการของเรื่อง
การระบุจุดประสงค์ของผู้เรียน ประเด็นสาคัญของเรื่อง เทคนิคที่ใช้ในการจูงใจผู้อ่าน และรูปแบบ
ของภาษาที่ใช้ เป็นต้น
4.4 องค์ประกอบหรือคุณสมบัติของการคิดเชิงวิเคราะห์
สุวิทย์ มูลคา (2547 : 14) และเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2547 : 26) ได้กล่าวถึง
องค์ประกอบหรือคุณสมบัติที่เอื้อต่อการคิดเชิงวิเคราะห์ไว้สอดคล้องกัน 4 ประการดังนี้
(1) ความสามารถในการตีความ การตีความเกิดจากการรับรู้ข้อมูลเข้ามาทาง
ประสาทสัมผัส สมองจะทาการตีความข้อมูล โดยวิเคราะห์เทียบเคียงกับความทรงจาหรือความรู้
เดิมที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น เกณฑ์ที่ใช้เป็นมาตรฐานในการตัดสิน จะแตกต่างกันไปตามความรู้
ประสบการณ์และค่านิยมของแต่ละบุคคล เช่น การตีความจากความรู้ การตีความจากประสบการณ์
การตีความจากข้อเขียน การตีความได้ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่คนแต่ละคนใช้เป็นมาตรฐาน
ในการตีความประกอบกับความสามารถในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
(2) ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะวิเคราะห์ ผู้ที่จะคิดวิเคราะห์ได้ดีนั้นต้องมี
ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องนั้น เพราะความรู้จะช่ วยในการกาหนดของเขตของการวิเคราะห์
31
4.5 ประโยชน์ของการคิดเชิงวิเคราะห์
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546 อ้างถึงใน ลักขณา ศริวัฒน์, 2549 : 74-77) ได้
กล่าวถึงประโยชน์ของการคิดเชิงวิเคราะห์ไว้พอสรุปได้ ดังนี้
(1) ช่วยส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญา โรเบิร์ต เจ.สเติร์นเบิร์ก (Robert
J.Sternberg 1992) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความเฉลียวฉลาดในการประสบความสาเร็จว่ามีอยู่ 3
ด้าน คือ ความฉลาดในการสร้างสรรค์ ความฉลาดในการวิเคราะห์ ความฉลาดในการปฏิบัติ ซึ่งใน
ส่วนของความฉลาดในการวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการวิเคราะห์ และประเมินแนวคิดที่
คิดขึ้น ความสามารถในการคิดนามาใช้แก้ปัญหา และความสามารถในการตัดสินใจโดยธรรมชาติ
คนเราจะมีจุดอ่อน ด้านความสามารถทางการคิดหลายประการ การคิดเชิงวิเคราะห์จะช่วยเสริม
จุดอ่อนด้านความคิดเหล่านี้
(2) ช่วยให้คานึงถึงความสมเหตุสมผลของขนาดกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งอาจเห็นเพียง1-2
ตัวอย่างแล้วรีบสรุปโดยไม่คานึงถึงจานวนตัวอย่างว่ามีปริมาณเพียงพอในการที่จะนาไปสู่ข้อสรุป
ได้หรือไม่ ซึ่งอาจทาให้เกิดการเข้าใจผิดได้ ข้อสรุปแบบนี้เรียกว่าข้อสรุปที่แฝงด้วยความมีอคติ
ดังนั้นควรสืบค้นตามหลักการและเหตุผลและข้อมูลที่เป็ นจริงให้ชัดเจนก่อนจึงมีการสรุป
32
จากประโยชน์ของการคิดดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าการทักษะการคิดเชิง
วิเคราะห์นั้นเป็นประโยชน์และเป็นพื้นฐานที่ผู้เรียนควรมีติดตัว เพื่อที่จะสามารถเอาตัวรอดและ
นามาใช้ในการดาเนินชีวิตและแก้ปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ดังนั้นการจัดการเรียน
การสอนจึงจาเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ไปพร้อมๆกันด้วย
4.6 แนวการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี (อ้างถึงในสานักวิชาการมาตรฐานการศึกษา
2549 : 15) ได้ให้แนวทางการฝึกกระบวนการทางปัญญาซึ่งการฝึกพื้นฐานมีหลายตัวที่เป็นการฝึก
ให้คิดวิเคราะห์ เช่น การสังเกต การบันทึก การฟัง การตั้งสมมติฐานและการตั้งคาถาม ฯลฯ ซึ่งเป็น
อีกแนวทางหนึ่งที่ทาให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ดังต่อไปนี้
34
จากแนวคิดและหลักการที่เกี่ยวข้องกับการคิดเชิงวิเคราะห์ข้างต้น ผู้วิจัยได้นามา
เป็นแนวทางในการออกแบบการจัดการเรียนเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้มีการพัฒนาทักษะการคิดเชิง
วิเคราะห์ โดยได้นาแนวการสอนและองค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์ทั้งสี่ด้านมาสอดแทรกใน
36
การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดพหุวัฒนธรรม เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ซึ่งเป็นส่วน
หนึ่งในทักษะที่จะทาให้ผู้เรียนได้มีการคิดตัดสินใจอย่างมีเหตุผล และยอมรับในความแตกต่างทาง
วัฒนธรรมของผู้คนในสังคมได้
5. แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับเจตคติ (Attitude)
5.1 ความหมายของเจตคติ
สาหรับความหมายของเจตคตินั้นมีผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความหมายไว้หลาย
ความหมายแตกต่างกันไปตามแนวคิดของตน ดังนี้
Katz, D. (1960: 663) กล่าวว่าเจตคติเป็นความรู้สึกโน้มน้าวของแต่ละบุคคลที่จะ
ประเมินสัญลักษณ์ สิ่งของ หรือโฉมหน้าโลกของเขา ด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจ
Allport, G.W. (1967: 3) กล่าวว่าเจตคติหมายถึง สภาวะความพร้อมทางด้านจิตใจ
อันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ สภาวะความพร้อมนี้จะเป็นแรงกาหนดทิศทางปฏิกิริยาที่จะมีต่อบุคคล
หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง
Fishbien, M. (1967: 3 ) กล่าวว่า เจตคติเป็นสภาพความพร้อมของสมอง การจัด
มวลประสบการณ์ อิทธิพลภายนอก หรือภายใน ที่มีต่อบุคคลในการตอบสนองต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ต่อ
สภาวะการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นๆ
กุญชรี ค้าขาย (2540 : 159) กล่าวว่า เจตคติหมายถึง ท่าที ความรู้สึก หรือความคิด
ที่บุคคลมีต่อวัตถุ เหตุการณ์ หรือ บุคคลอื่นๆซึ่งอยู่ล้อมรอบตัวเรา ลักษณะโดยทั่วไปของเจตคตินั้น
อาจกล่าวได้ว่า เป็นสิ่งที่ได้มาจากการเรียนรู้ผูกพันอยู่กับเป้า มีทิศทางและความเข้มที่แปรไปได้
เมื่อเกิดแล้วค่อนข้างคงทนแต่ก็เปลี่ยนแปลงได้ และแสดงออกมาให้เห็นได้
ปรียาพร วงค์อนุตรโรจน์ ( 2551 : 243-244) กล่าวว่า เจตคติเป็นเรื่องของ
ความชอบ ความไม่ชอบ ความลาเอียง ความคิดเห็น ความรู้สึก ความเชื่อฝังใจของเราต่อสิ่งหนึ่งสิ่ง
ใด มักจะเกิดขึ้นเมื่อเรารับรู้หรือประเมินผู้คน เหตุการณ์ในสังคม เราจะเกิดอารมณ์ความรู้สึก
บางอย่างควบคู่ไปกับการรับรู้นั้น และมีผลต่อความคิดและปฏิกิริยาในใจของเรา ดังนั้น เจตคติจึง
เป็นทั้งพฤติกรรมภายนอกที่อาจสังเกตได้ หรือพฤติกรรมภายในที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้โดยง่าย
แต่มีความโน้มเอียงที่จะเป็นพฤติกรรมภายในมากกว่าพฤติกรรมภายนอก
37
5.2 ลักษณะของเจตคติ
ปรียาพร วงค์อนุตรโรจน์ (2551 : 249-251) ได้กล่าวเกี่ยวกับลักษณะของเจตคติ
ว่า มีคุณลักษณะที่สาคัญดังนี้
1. เจตคติเกิดจากประสบการณ์ สิ่งเร้าต่างๆ รอบตัว บุคคล การอบรมเลี้ยงดู การ
เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ก่อนให้เกิดเจตคติ แม้ว่ามีประสบการณ์ที่
เหมือนกัน ก็จะมีเจตคติที่แตกต่างกันไปด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น สติปัญญา อายุ เป็นต้น
2. เจตคติเป็นการตระเตรียมความพร้อมในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เป็นการเตรียม
ความพร้อมภายในจิตใจ มากกว่าภายนอกที่จะสังเกตได้สภาวะความพร้อมที่จะตอบสนองมี
ลักษณะที่ซับซ้อนของบุคคล ที่จะชอบหรือไม่ชอบ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ และจะเกี่ยวเนื่องกับ
อารมณ์ด้วย เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ค่อยจะได้ และบางครั้งไม่ค่อยมีเหตุผล
3. เจตคติมีทิศทางของการประเมิน ทิศทางการประเมินคือ ลักษณะความรู้สึก
หรืออารมณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นความรู้สึกหรือการประเมินว่าชอบ พอใจ เห็ นด้วย ก็คือเป็นทิศทาง
ในทางที่ดี เรียกว่า เป็นทิศทางในทางบวก และถ้าการประเมินออกมาในทางที่ไม่ดี เช่น ไม่ชอบ ไม่
พอใจ ก็มีทิศทางในทางลบ เจตคติทางลบไม่ได้หมายความไม่ควรมีเจตคตินั้น แต่เป็นเพียง
ความรู้สึกในทางไม่ดี เช่น เจตคติในทางลบต่อการคดโกงการเล่นการพนัน การมีเจตคติใน
ทางบวกก็ไม่ได้หมายถึงเจตคติที่ดีและพึงปรารถนา เช่น เจตคติทางบวกต่อการโกหก การสูบบุหรี่
เป็นต้น
4. เจตคติมีความเข้ม คือมีปริมาณมากน้อยของความรู้สึก ถ้ าชอบมากหรือไม่เห็น
ด้วยอย่างมาก ก็แสดงว่ามีความเข้มสูง ถ้าไม่ชอบเลยหรือเกลียดที่สุด ก็แสดงมีความเข้มสูงไปอีก
ทางหนึ่ง
5. เจตคติมีความคงทน เจตคติเป็นสิ่งที่บุคคลยึดมั่นถือมั่นและมีส่ วนในการ
กาหนดพฤติกรรมของคนนั้น การยึดมั่นในเจตคติต่อสิ่งใด ทาให้การเปลี่ยนแปลงเจตคติเกิดขึ้นได้
ยาก
6. เจตคติมีทั้งพฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมภายใน เป็น
สภาวะทางจิตใจซึ่งหากไม่ได้แสดงออก ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าบุคคลนั้นมีเจตคติอย่างไรในเรื่อง
นั้น เจตคติที่เป็นพฤติกรรมภายนอกจะแสดงออก เนื่องจากถูกกระตุ้น และการกระตุ้นนี้ยังมี
สาเหตุอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย เช่น บุคคลแสดงความไม่ชอบด้วยการดุด่าคนอื่น นอกจากไม่ชอบคนนั้น
แล้วอาจจะเป็นเพราะถูกท้าทายก่อน
38
7. เจตคติจะต้องมีสิ่งเร้าจึงมีการตอบสนองขึ้น แต่ก็ไม่จาเป็นว่าเจตคติที่
แสดงออกจากพฤติกรรมภายใน พฤติกรรมภายนอกจะตรงกันเพราะก่อนแสดงออกบุคคลนั้น ต้อง
ปรับปรุงให้เหมาะกับปทัสถานของสังคมแล้วจึงแสดงออกเป็นพฤติกรรมภายนอก
5.3 ประเภทของเจตคติ
เจตคติแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ (ปรียาพร วงค์อนุตรโรจน์ , 2551 : 245-247)
1. เจตคติทั่วไป (General Attitude) ได้แก่ สภาพของจิตใจโดยทั่วไป เป็น
แนวคิดประจาตัวของบุคคล เจตคติโดยทั่วไปได้แก่ ลักษณะของบุคลิกภาพอันกว้างขวาง เช่น การ
มองโลกในแง่ดี การเคร่งในระเบียบประเพณี เป็นต้น
2. เจตคติเฉพาะอย่าง (Specific Attitude) ได้แก่ สภาพทางจิตใจที่บุคคลมีต่อ
วัตถุ สิ่งของ บุคคล สถานการณ์ และสิ่งอื่นๆ เจตคติเฉพาะอย่างนี้จะแสดงออกในลักษณะชอบ
หรือไม่ชอบสิ่งนั้นคนนั้น ถ้าชอบหรือเห็นดีด้ วยก็เรียกว่ามีเจตคติที่ดีต่อสิ่งนั้น แต่ถ้าไม่ชอบเห็น
ว่าไม่ดีต่อสิ่งนั้น เป็นการจาเพาะเจาะจง เช่น นักเรียนไม่ชอบครูคนนี้ก็เรียกว่าเจตคติที่ไม่ดีต่อครู
คนนี้ ถ้ามีเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ก็แสดงว่านักเรียนชอบเรียนภาษาอังกฤษ เป็นต้น
นอกจากนี้เจตคติยังแบ่งได้เป็น 5 ชนิด คือ
1. เจตคติในด้านความรู้สึกหรืออารมณ์ (Affective Attitude) ประสบการณ์ที่คน
หรือสิ่งของได้สร้างความพึงพอใจและความสุขใจ จะทาให้มีเจตคติที่ดีต่อสิ่งนั้นคนนั้น ตลอดจน
คนอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน แต่ถ้าประสบการณ์ในคนนั้นสิ่งนั้น ทาให้เกิดความทุกข์ เจ็บปวด ไม่พอใจ
ก็จะทาให้มีเจตคติที่ไม่ดีต่อคนนั้นสิ่งนั้น เช่น นักเรียนไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์เรียกว่าเจตคติที่ไม่ดี
ต่อการเรียนคณิตศาสตร์ เนื่องจากเคยสอบตก เรียนแล้วไม่เข้าใจ ถูกครูดุ และเข้มงวด เป็นต้น
2. เจตคติทางปัญญา (Intellectual Attitude) เป็นเจตคติที่ประกอบด้วยความคิด
และความรู้เป็นแกน บุคคลอาจมีเจตคติต่อบางสิ่งบางอย่างโดยอาศัยความรู้จนเกิดความเข้าใจ และ
มีความสัมพันธ์กับจิตใจคืออารมณ์และความรู้สึกร่วม หมายถึง มีความรู้จนเกิดความซาบซึ้งเห็นดี
เห็นงามด้วย เช่น เจตคติที่ดีต่อศาสนา เจตคติ ที่ไม่ดีต่อยาเสพติด
3. เจตคติทางการกระทา (Action-oriented Attitude) เป็นเจตคติที่พร้อมจะนาไป
ปฏิบัติเพื่อสนองความต้องการของบุคคล เจตคติที่ดีต่อการพูดจาไพเราะอ่อนหวาน เพื่อให้คนอื่น
เกิดความนิยมชมชอบ เจตคติที่ดีต่องานในสานักงาน เป็นต้น
4. เจตคติทางด้านความสมดุล (Balanced Attitude) ประกอบด้วยความสัมพันธ์
ทางด้านความรู้สึกหรืออารมณ์ เจตคติทางปัญญา และเจตคติทางการกระทา เป็นเจตคติที่ตอบสนอง
39
ความต้องการพื้นฐานที่เป็นที่ยอมรับของสังคม ทาให้บุคคลมีพฤติกรรมที่นาไปสู่จุดหมายของตน
และเสริมแรงกระทาเพื่อสนองความต้องการของคนต่อไป
5. เจตคติในการป้องกันตัว (Ego-defensive Attitude) เป็นเจตคติเกี่ยวกับการป้อง
การตนเองให้พ้นจากความขัดแย้ภายในใจ ประกอบด้วยความสัมพันธ์ทั้ง 3 ด้านคือ ความสัมพันธ์
ด้านความรู้สึกหรืออารมณ์ ด้านปัญญา และด้านการกระทา เช่น ความก้าวร้าวของนักเรียน เกิด จาก
ถูกเพื่อนรังแก จงแสดงออกเป็นการระบายความขัดแย้งหรือความตึงเครียดภายในได้อย่างหนึ่ง ทา
ให้จิตใจดีขึ้น
5.4 องค์ประกอบของเจตคติ
ปรียาพร วงค์อนุตรโรจน์ (2551 : 247-248) ได้กล่าวไว้ว่า เจตคติมีองค์ประกอบที่
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ 3 องค์ประกอบ คือ
1. องค์ประกอบที่เกี่ยวกับการรู้ การคิด ความเข้าใจ (Cognitive Component)
เป็นความรู้ความเข้าใจที่บุคคลมีต่อส่งเร้า (คน สิ่งของ สถานการณ์) เช่น คนที่เป็นโรคเอดส์
บุคคลมักจะมีเจตคติที่ไม่ดี เพราะเป็นโรคที่ติดต่อและร้ายแรง ทาให้สังคมเสื่อมถอยทางศีลธรรม
หรือนางงามซึ่งผ่านการตัดสินแล้ว มักจะมีเจตคติทางดีว่าต้องสวย เป็นต้น
2. องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก (Affective Component) เป็นความรู้สึกที่
แสดงออกต่อสิ่งเร้าตามประสบการณ์ที่ได้รับมาทั้งทางบวกและทางลบ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย เช่น
หัวหน้างานไม่ชอบให้ลูกน้องขาดงานบ่อย หรือมาทางานสาย ถ้ามีลูกน้องคนใดมีพฤติกรรม
ดังกล่าว มักถูกหัวหน้างานมีความรู้สึกไม่ชอบ องค์ประกอบด้านอารมณ์และความรู้สึกนี้ถือเป็น
องค์ประกอบที่สาคัญที่สุด
3. องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มของการกระทา หรือพฤติกรรม (Action
Tendency Component หรือ Behavioral Component) เป็นความพร้อมที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้าให้
สอดคล้องกับความรู้สึกของบุคคล เช่น เมื่อหัวหน้าไม่ชอบให้ลูกน้องมาสาย หรือขาดงานบ่อย สิ้น
ปีก็ไม่เสนอชื่อขึ้นเงินเดือน หรือได้รับโบนัสจานวนน้อยกว่าคนอื่น
5.5 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดเจตคติ
เจตคติเกิดจากการเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม แหล่งที่มี
อิทธิพลต่อการสร้างเจตคติของบุคคล มีดังนี้
40
6. แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการอ่าน
6.1 ความหมายของการอ่าน
Zintz (1980 : 5) ได้ให้คาจากัดความของการอ่านไว้ว่า การอ่าน เป็นความสามารถ
ที่จะเข้าใจความหมายที่เขียนขึ้นมาแต่ละบรรทัด ซึ่งผู้อ่านจะต้องสามารถจับใจความสาคัญจาก
กลุ่มคาซึ่งสื่อความหมายได้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน 2542 ) ให้ความหมาย
ของคาว่าอ่านไว้ว่า “ ก. ว่าตามตัวหนังสือ ถ้าอ่านออกเสียงด้วย เรียกว่าอ่านออกเสียง, ถ้าไม่ต้อง
ออกเสียง เรียกว่าอ่านในใจ; สังเกตหรือพิจารณาดูเพื่อให้เข้าใจ เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่าน
ใจ; ตีความ เช่น อ่านรหัส อ่านลายแทง; คิด, นับ.(ไทยเดิม)
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2542 : 21) กล่าวว่า การอ่านเป็นความสามารถในการรับ
สารจากสื่อต่างๆ เข้าใจและตีความได้อย่างถูกต้อง
ศิวกานท์ ปทุมสูติ (2553 : 49) ให้ความหมายไว้ว่า การอ่านคือการแปล
ความหมาย หมายความว่า ไม่ว่าการอ่านนั้นจะเป็นการอ่านภาษาถ้อยคา (วัจนภาษา) หรือการอ่าน
ภาษาที่มิใช่ถ้อยคา (อวัจนภาษา) รวมถึงการอ่านสัมผัสรู้สึก การอ่านธรรมชาติและการอ่าน
41
6.2 ความสาคัญและประโยชน์ของการอ่าน
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2542 : 2-3) การอ่านมีความสาคัญต่อชีวิตมนุษย์ ตั้งแต่เล็ก
จนโต การอ่านมีความสาคัญต่อการพัฒนาอาชีพและการศึกษา เป็นหัวใจสาคัญในการเรียนการสอน
นักเรียนนักศึกษาจะสามารถเล่าเรียนได้เก่งจนประสบความสาเร็จเป็นอย่างดี ครูอาจารย์จาเป็น
จะต้องอ่านเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถในการสอนอยู่เสมอ...การอ่านอยู่เป็นประจาจะทาให้ลับ
สมองและความคิดให้เฉียบแหลมเพราะ “การอ่านเป็นเครื่องมือสาคัญที่จะช่วยพัฒนาความคิด
ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักใช้ กระบวนการความคิด (thinking process) อันจะนาไปใช้ในการฟัง พูด
อ่าน เขียน หลักภาษาได้ดี”
ในขณะเดียวกันคนที่อ่านหนังสือไม่ได้ หรือไม่อ่านจะมีความลาบากมากในการ
ดารงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข จึงถูกเอารัดเอาเปรียบต่างๆ นานา ถูกลิดรอนสิทธิต่างๆ ได้รับ
การดูถูก เหยียดหยาม และถูกหลอกลวงได้ง่าย
สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2550 : 6) การอ่านมีความสาคัญต่อการพัฒนาชาติ
ประเทศจะพัฒนาได้จะต้องอาศัยประชาชนในชาติที่มีความสามารถในการอ่าน เลืกนาควมรู้แล
ความคิดมาพัฒนาชาติให้เจริญรุ่งเรือง นอกจากนั้นการอ่านยังมีความสาคัญต่อการพัฒนาตนเองโดย
อาศัยความรู้และความคิดจากการอ่านเป็นกรอบในการดาเนินชีวิต เลือกแนวทางในการประกอบ
อาชีพที่เหมาะสมอีกด้วย
จินตนา ใบกาซูยี (2543 : 58)ได้สรุปการบรรยายของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ถึงความสาคัญของการอ่านหนังสือว่า
1. การอ่านหนังสือทาให้ได้เนื้อหาสาระความรู้มากกว่าการศึกษาหาความรู้ด้วย
42
วิธีการ อื่นๆเช่นการฟัง
2. ผู้อ่านสามารถอ่านหนังสือได้โดยไม่มีการจากัดเวลาและสถานที่ สามารถ
นาไปไหนมาไดนได้
3. หนังสือเก็บได้นานกว่าสื่ออย่างอื่นซึ่งมักมีอายุในการใช้งานโดยจากัด
4. ผู้อ่านสามารถฝึกการคิดและสร้างจินตนาการได้เองในขณะอ่าน
5. การอ่านส่งเสริมให้มีสมองดี มีสมาธินานกว่าและมากกว่าสื่ออย่างอื่น ทั้งนี้
เพราะขณะอ่านจิตใจจะต้องมุ่งมั่นอยู่กับข้อความ พินิจพิเคราะห์ข้อความ
6. ผู้อ่านเป็นผู้กาหนดการอ่านได้ด้วยตนเอง จะอ่านคร่าวๆ อ่านละเอียด อ่าน
ข้าม หรือทุกตัวอักษร เป็นไปตามใจผู้อ่าน หรือจะเลือกอ่านเล่มไหนก็ได้ เพราะหนังสือมีมาก
สามารถเลือกอ่านเองได้
7. หนังสือมีหลากหลายรูปแบและราคาถูกกว่าสื่ออย่างอื่น จึงทาให้สมองผู้อ่าน
เปิดกว้างสร้างแนวคิดและทัศนคติได้มากว่า ทาให้ผู้อ่านไม่ติดอยู่กับแนวคิดใดๆ โดยเฉพาะ
8. ผู้อ่านเกิดควมคิดเห็นได้ดวยตนเอง วินิจฉัยเนื้อหาสาระได้ดวยตนเอง รวมทั้ง
หนังสือบางเล่ม สามารถนาไปปฏิบัติแล้วเกิดผลดี
กระทรวงศึกษาธิการ (2546 : 7-8) ได้สรุปประโยชน์ของการอ่านไว้ดังนี้
1. เป็นการพัฒนาสติปัญญา ให้เกิดความรู้ ความฉลาด เกิดภูมิคุ้มกันที่ดีในชีวิต
จิตใจ
2. ทาให้มีความรูในวิชาด้านต่างๆ อาจเป็นความรู้ทั่วไปหรือความรู้เฉพาะด้านก็
ได้ เช่น การอ่านตาราแขนงต่างๆ หนังสือคู่มือหนังสือประกอบในแขนงวิชาต่างๆ
3. ทาให้รอบรู้ทันโลก ทันเหตุการณ์ การอ่านหนังสือพิมพ์ การอ่านจากสื่อ
สารสนเทศต่างๆ การอ่านสื่อเหล่านี้นอกจากจะทาให้รู้ทันข่าวสารบ้านเมืองและสภาพการณ์ต่างๆ
ในสังคม ทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังจะได้รับทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความ
วิจารณ์ ตลอดจนโฆษณาสินค้าต่างๆ อีกด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปรับความเป็นอยู่ให้
เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพสังคมของตนในขณะนั้น ๆ
4. ทาให้ค้นหาคาตอบที่ต้องการได้ การอ่านหนังสือจะช่วยตอบคาถาม ที่เรา
ข้องใจ สงสัย ต้องการรู้ได้ เช่น อ่านพจนานุกรมเพื่อหาความหมายของคา อ่นหนังสือกฎหมายเมื่อ
ต้องการรู้ข้อปฏิบัติ อ่านหนังสือคู่มือแนะวิธีเรียนเพื่อต้องการประสบความสาเร็จ ในการเรียนเป็น
ต้น
5. ทาให้เกิดความเพลิดเพลิน การอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาดี น่าอ่าน หน้าสนใจ
43
7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง