Professional Documents
Culture Documents
หลักการฝึกกีฬา
หลักการฝึกกีฬา
บทที่ 9
หลักการฝึ กกีฬา
ทักษะกีฬา
สมรรถภาพทางกาย สมรรถภาพทางจิต
ขั้นตอนในการฝึ กซ้ อม
ขั้นตอนในการฝึ กซ้อมกี ฬาจากผูท้ ี่ไม่เคยเล่ นกี ฬามาก่อนจนถึ งขั้นกี ฬาที่มีความสามารถ
แบ่งออกได้เป็ น 3 ขั้นคือ
1. การฝึ กสมรรถภาพทางกาย
2. การฝึ กทักษะกีฬาขั้นพื้นฐาน
3. การฝึ กเพื่อพัฒนาสมรรถภาพและขีดความสามารถให้ได้ระดับสู งสุ ด
4
1. การฝึ กสมรรถภาพทางกาย
การฝึ กสมรรถภาพทางกาย เป็ นปั จจัยหนึ่ งที่มีความสาคัญต่อการฝึ กกี ฬา เป็ นการสร้ าง
ความสมบูรณ์ทางด้านร่ างกายให้กบั นักกีฬา เพื่อให้นกั กีฬามีความพร้อมทางด้านร่ างกายที่จะทาการ
ฝึ กซ้อมหรื อแข่งขัน การที่นกั กีฬาแสดงความสามารถได้เท่ากับระดับความสามารถที่ตนเองมีอยูน่ ้ นั
ต้องอาศัยสมรรถภาพทางกาย โดยเฉพาะกีฬาประเภทที่ไม่ตอ้ งการเทคนิคทักษะมาก ผลการแข่งขัน
จะขึ้นอยูก่ บั สมรรถภาพทางกายเป็ นส่ วนใหญ่ สาหรับกีฬาที่ใช้เทคนิ คทักษะมาก การมีสมรรถภาพ
ทางกายดีจะช่วยให้นกั กีฬาสามารถปฏิบตั ิตามเทคนิ คทักษะที่ได้รับการฝึ กมาได้อย่างถูกต้องและมี
ประสิ ทธิภาพ
โดยทัว่ ไปสมรรถภาพทางกายแบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภท คือ
1. สมรรถภาพทางกายทัว่ ไป (General Physical Fitness) ได้แก่ สมรรถภาพทางด้านต่างๆ
ที่นักกี ฬาจะต้องมี ซึ่ งคณะกรรมการนานาชาติเพื่อจัดมาตรฐานการทดสอบสมรรถภาพทางกาย
(Intemational Committization for the Standardization of Physical Fitness Test = ICSPFT ) ได้
จาแนกองค์ประกอบของสมรรถภาพทางกายไว้ 7 ประเภทคือ
1.1 ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength)
1.2 ความอดทนของกล้ามเนื้อ (Muscle Endurance)
1.3 ความเร็ ว (Speed)
1.4 พลังหรื อกาลังของกล้ามเนื้อ (Muscle Power)
1.5 ความแคล่วคล่องว่องไว (Agility)
1.6 ความอ่อนตัว (Flexibility)
1.7 ความอดทนทัว่ ไป (General Endurance)
องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ เกิ ดจากสมรรถภาพการทางานที่สัมพันธ์กนั ของอวัยวะต่างๆ
ของร่ างกาย เช่น ระบบกล้ามเนื้ อ ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิ ต ระบบประสาท เป็ นต้น หาก
ระบบใดระบบหนึ่งทางานขัดข้องจะเป็ นเหตุให้สมรรถภาพทางกายทัว่ ไปลดลง
2. สมรรถภาพทางกายพิเศษ (Special Physical Fitness) ได้แก่ สมรรถภาพทางกายที่
นักกี ฬาจะต้องมีเฉพาะสาหรับกี ฬาชนิ ดนั้นๆ ซึ่ งในกี ฬาแต่ละชนิ ดนั้นจะมีสมรรถภาพทางกายที่
จาเป็ นแตกต่างกันไป เช่ น นักมวยจะต้องมีสมรรถภาพทางกายพิเศษแตกต่างจากนักว่ายน้ า นัก
ฟุ ต บอลหรื อ นัก กรี ฑ า เป็ นต้น ในการเสริ ม สร้ า งสมรรถภาพทางกายพิ เ ศษจะต้อ งมี ก ารฝึ ก
5
ฟุตบอล 2 3 2 3 3 3
วิง่ ระยะไกล 1 3 1 1 1 1
กรี ฑาลาน 3 1 2 1 1 1
วิง่ ระยะสั้น 2 1 1 3 3 1
ประเภท ทุ่ม ขว้าง พุ่ง กระโดดสู ง กระโดดไกล ความแข็งแรงชนิ ดนี้ จึงจาเป็ นสาหรับนักวิ่งระยะ
สั้นในกรี ฑาประเภทลู่หรื อกระโดดไกล นักกระโดสู ง นักกีฬาจักรยานระยะสั้น เป็ นต้น
3. ความแข็งแรงแบบอดทน (Enduring Strength) คือ ความสามารถของกล้ามเนื้ อที่จะทางานโดยไม่
เหนื่ อยล้าและมีความแข็งแรงได้เป็ นเวลานานๆ ความแข็งแรงชนิ ดนี้ จาเป็ นสาหรับกีฬาที่ตอ้ งการ
ความอดทน เช่น วิง่ มาราธอน มวย พายเรื อ ว่ายน้ า จักรยานทางไกล เป็ นต้น
ปั จจัยที่มีอิทธิ พลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
จากการศึกษาพบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะอยูร่ ะหว่าง 3-10 กิโลกรัม (โดยเฉลี่ย 6.3
กิโลกรัม) ต่อพื้นที่หน้าตัดของกล้ามเนื้ อ 1 ตารางเซนติเมตร การที่กล้ามเนื้ อของแต่ละคนมีความ
แข็งแรงไม่เท่ากัน แม้ว่าพื้นที่หน้าตัดของกล้ามเนื้ อสองมัดจะเท่ากันนั้น เนื่ องจากมีเนื้ อเยื่อไขมัน
(Fat Tissue) ที่แทรกอยูใ่ นกล้ามเนื้ อเป็ นตัวขัดขวางประสิ ทธิ ภาพการหดตัวของมัดกล้ามเนื้ อนั้นๆ
และปั จจัยที่ได้กล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิ พลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ คือ
1. การเรี ยงตัวของใยกล้ามเนื้ อ จากการศึกษาพบว่า กล้ามเนื้ อที่มีเส้นใยเรี ยงตัวขนานไปกับความ
ยาวของกล้ามเนื้ อจะมีกาลังในการหดตัวหรื อแข็งแรงน้อยกว่ากล้ามเนื้ อที่เส้นใยมีการเรี ยงตัวแบบ
ขนนก
2. ความเมื่อยล้า กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานมากและเป็ นเวลานาน จะก่อให้เกิดความเมื่อยล้า ซึ่ งส่ งผลให้
ความแข็งแรงลดลง
3. อุณหภูมิ การหดตัวของกล้ามเนื้อจะเร็ วและรุ นแรงที่สุด ถ้าอุณหภูมิของกล้ามเนื้ อสู งกว่า
อุณหภูมิปกติของร่ างกายเล็กน้อย แต่อุณหภูมิต่ าหรื อสู งเกินไปจะเป็ นผลเสี ยต่อประสิ ทธิ ภาพของ
กล้ามเนื้ อ เพราะทาให้เอนไซน์ต่างๆ ไม่สามารถทาหน้าที่ได้เป็ นปกติ นอกจากนั้นความร้ อนที่สูง
เกินไปอาจไปทาลายโปรตีนในกล้ามเนื้อได้อีกด้วย
4. ระดับการฝึ ก กล้ามเนื้ อที่ ได้รับการฝึ กอยู่เป็ นประจาจะมี ก าลังในการหดตัวสู งกว่า
กล้ามเนื้ อที่ ไม่ได้รับการฝึ ก ทั้งนี้ ตอ้ งระวังการฝึ กมากเกิ นไปจนอาการที่ เรี ยกว่า “การซ้อมเกิ น”
(Over Training) เพราะนอกจากจะเป็ นผลเสี ยต่อประสิ ทธิ ภาพของกล้ามเนื้ อแล้วยังก่อให้เกิดความ
เบื่อหน่ายต่อการฝึ กตามมาอีกด้วย
5. การพักผ่อนระหว่างการฝึ ก การออกกาลังที่ทาต่อเนื่ องกันโดยไปโดยไม่มีการหยุดพัก
จะทาให้กาลังในการหดตัวขอกล้ามเนื้ อค่อยๆ ลดลง เนื่ องจากแหล่งพลังงานที่จาเป็ นสาหรับการ
ทางานเริ่ มลดลง ในขณะที่ของเสี ยมนร่ างกายเริ่ มมีมากขึ้น ดังนั้นการหยุดพักและพักผ่อนจึงมีความ
9
จานวนเที่ยว
100 1
ร้อยละของ
น้ าหนักที่ 95 2
ออกแรง 90 3
85 4
80 5
11
3. การอักเสบของเนื้อเยือ่ หุ ม้ ข้อต่อ
4. น้ าหล่อลื่นในข้อต่อแห้งหรื อมีนอ้ ยเกินไป
ภาวะดังกล่าวนี้เป็ นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว แม้ในคนปกติที่ไม่เป็ นโรค การเคลื่อนไหว
ของข้อต่อก็ถูกกาจัดด้วยลักษณะของกระดูก ชนิ ดของข้อต่อ ความยาวและขนาดของกล้ามเนื้ อและ
เอ็น และคุณสมบัติของเนื้อเยือ่ ที่หุม้ ข้อต่อ
ปัจจัยทีม่ ีอทิ ธิพลต่ อความอ่อนตัว
1. ระดับของการออกกาลังกาย การที่ร่างกายไม่ค่อยได้ออกกาลังกายจะทาให้กล้ามเนื้ อและ
เนื้ อเยื่อต่างๆ สู ญเสี ยความสามารถในการยืดตัวไปได้และถ้าไม่มีการเคลื่ อนไหวเลย เช่ น ถู กเข้า
เผือกไว้เมื่อกระดูกหัก จะทาให้การอ่อนตัวลดลงไปอย่างมาก นอกจากนั้นการออกกาลังกายน้อยจะ
ทาให้มีไ ขมันสะสมมากขึ้ น เป็ นเหตุ ให้ค วามอ่อนตัวลดลง ในทางตรงข้าม การออกกาลังอย่า ง
สม่าเสมอจะช่วยทาให้ความอ่อนตัวคงที่อยูเ่ ป็ นปกติและสามารถเพิ่มขึ้นได้ดว้ ยการออกกาลังเฉพาะ
อย่าง
2. อายุและเพศ ความอ่อนตัวจะมีมากที่สุดในเด็กระดับประถมและจะค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุ
ได้ 11-12 ปี หลังจากนั้นความอ่อนตัวจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จนถึงวัยหนุ่มสาว แล้วลดลงตามอายุและ
เพศหญิงมีความอ่อนตัวมากกว่าเพศชาย
3. อุณหภูมิ จากการศึกษาของ ไรท์และจอห์น (ชู ศกั ดิ์ เวชแพทย์และกันยา ปาละวิวธั น์.
2536 : 294; อ้างอิงจาก Wright and Johns.1969) พบว่าเมื่อทาให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 113° F
จะทาให้ความอ่อนตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 และการเพิ่มอุณหภูมิของร่ างกายจากการออกกาลัง
กายจะทาให้กล้ามเนื้ อและเนื้ อเยื่อยืดได้มากขึ้น จึงเพิ่มความอ่อนตัวได้ชวั่ คราวและทาให้โอกาสที่
เนื้อเยือ่ จะได้รับบาดเจ็บลดลง
หลักและวิธีการฝึ กเพือ่ เสริมสร้ างความอ่อนตัว
การฝึ กเพื่อเสริ มสร้างความอ่อนตัว สามารถกระทาได้โดยการบริ หารร่ างกาย เพื่อเพิ่มช่วง
ของการเคลื่อนไหวด้วยวิธีการดังนี้
1. ใช้ท่าการบริ หารกายต่างๆ ให้ทุกๆ ส่ วนของการเคลื่ อนไหวด้วยการพยายามทาให้สุด
ช่วงการเคลื่อนไหว (Full Range of Motion) ของข้อต่อ
2. การเคลื่อนไหวต้องทาแบบซ้ าๆ ค่อยเป็ นค่อยไปและหยุดเมื่อมีความรู ้สึกเจ็บจากการยึด
กล้ามเนื้อ
22
2.1.3 วัดแรงเหยียดหลัง
2.2 การทดสอบพลังหรื อกาลังของกล้ามเนื้อ โดยวิธี
2.2.1 ยืนกระโดดไกล
2.2.2 ยืนกระโดสู ง
2.2.3 ทุ่มน้ าหนัก
2.3 การทดสอบความอดทนของกล้ามเนื้อ โดยวิธี
2.3.1 ดึงข้อราวเดียว
2.3.2 งอแขนห้อยตัว
2.3.3 ลุก-นัง่ 30 วินาที
2.3.4 ยืนกระโดดสู งซ้ าๆกัน
2.4 การทดสอบความคล่องแคล่วว่องไว
2.4.1 วิง่ เก็บของ
2.4.2 ก้าวเต้น 20 วินาที
2.5 การทดสอบความอ่อนตัว โดยวิธี
2.5.1 นัง่ ก้มตัวไปข้างหน้า
2.5.2 ยืนก้มตัว
2.6 การทดสอบความเร็ ว โดยวิธี
2.6.1 วิง่ เร็ ว 50 เมตร
2.6.2 วิง่ เร็ ว 100 เมตร
2.7 การทดสอบสมรรถภาพของระบบหายใจ โดยวิธี
2.7.1 วัดความจุปอด
2.7.2 วัดสมรรถภาพการหายใจสู งสุ ด
2.8 วัดสมรรถภาพของระบบไหลเวียนโลหิต โดยวิธี
2.8.1 วัดชีพจรและแรงดันโลหิต
2.8.2 วัดปริ มาตรหัวใจโดยการเอกซเรย์
2.9 การทดสอบความอดทนทัว่ ไป โดยวิธี
2.9.1 จักรยายวัดกาลัง
28
2.9.2 ลู่กล
2.9.3 การก้าวขึ้นลง
2.10 การตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ โดยตรวจ
2.10.1 ฮีโมโกลบิน
2.10.2 จานวนเม็ดเลือดแดง
นอกจากนี้ยงั มีแบบทดสอบสมรรถภาพทางร่ างกายทัว่ ไป ของคณะกรรมการนานาชาติเพื่อ
จัดมาตรฐานการทดสอบสมรรถภาพทางร่ างกาย ซึ่ งได้กาหนดแบบทดสอบไว้ โดยมีจุดมุ่งหมายที่
จะให้เป็ นแบบทดสอบที่สามารถใช้ปฏิบตั ิการได้กว้างขวางในนานาประเทศ เพื่อนาผลการทดสอบ
มาเปรี ยบเทียบกันได้ อันจะเป็ นประโยชน์ต่อการศึกษาสมรถภาพทางกายในแต่ละระดับอายุเพศ ได้
เป็ นอย่างดี
ข้ อปฏิบัติในการยกนา้ หนัก
เพื่อให้การฝึ กยกน้ าหนักมีประสิ ทธิ ภาพได้ผลตรงตามจุดมุ่งหมายและป้ องกันการบากเจ็บ
หรื ออุบตั ิเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการยกน้ าหนัก นักกีฬาหรื อผูฝ้ ึ กควรปฏิบตั ิ ดังนี้
1. อบอุ่นร่ างกายและบริ หารกายก่อนทุกครั้ง เพื่อยึดกล้ามเนื้ อ เอ็นและข้อต่อต่างๆ เพื่อเป็ น
การเตรี ยมพร้อม ก่อนที่จะยกน้ าหนักต่อไป
2. จังหวะการยกควรสม่าเสมอ จังหวะช้าหรื อเร็ วอาจใช้การสู ดดมลมหายใจเข้า-ออก ช่วย
กากับจังหวะหรื อถ้าฝึ กอย่างสม่าเสมอจนเกิดความเคยชิ นแล้ว จะสามารถกาหนดจังหวะช้าหรื อเร็ ว
ได้ ตามจุดมุ่งหมายของการเสริ มสร้างกล้ามเนื้อ
3. ให้กล้ามเนื้ อแต่ละส่ วนออกแรงสลับกัน เช่ น แขน ขาและหลัง ตามลาดับ ไม่ฝึกยก
น้ าหนักโดยกล้ามเนื้อมัดใดมัดหนึ่งทางานติดต่อกันมากกว่า 1 แบบฝึ กหัด เพราะจะทาให้กล้ามเนื้ อ
มัดนั้นๆ อ่อนล้าเกินไป
4. มีการพักระหว่างรอบที่ยก เช่ น ยกน้ าหนักทั้งหมด 6 สถานี (6 ท่า) จะนับเป็ น 1 รอบ
ระหว่างรอบควรพักประมาณ 5 นาที
5. ใน 1 วันควรฝึ กประมาณ 3-5 รอบ หรื อใช้เวลาทั้งสิ้ นประมาณ 45 นาที สัปดาห์ละ 3-5
วัน ทั้งนี้ข้ ึนอยูก่ บั จุดมุ่งหมายของการยกน้ าหนัก
9. ระวังเรื่ องการฝึ กซ้อม (Over Training) คือ การฝึ กจนร่ างกายของนักกีฬาเหนื่ อยล้ามาก
จนเกินไป ซึ่ งจะเป็ นเหตุให้นกั กี ฬามีสถิติลดลง สมรรถภาพทางกายลดลง นอนไม่หลับ หงุดหงิ ด
น้ าหนักลด เบื่อหน่ายการฝึ กซ้อม เบื่ออาหาร ถ้านักกีฬาเป็ นเช่นนี้ ตอ้ งหยุดการฝึ กซ้อมชัว่ คราว ให้
นักกีฬาได้พกั ผ่อน เมื่อนักกีฬาสดชื่นกระปรี้ กระเปร่ าและได้ปรับปรุ งโปรแกรมการฝึ กให้เหมาะสม
กับสภาพของนักกีฬาแล้ว จึงเริ่ มฝึ กซ้อมต่อ
สรุป
การฝึ กกีฬามีความสาคัญและจาเป็ นอย่างยิ่ง จะหลีกเลี่ ยงหรื อละเลยไม่ได้และไม่มีวิธีการ
อื่นใดมาทดแทนได้ การฝึ กเป็ นหนทางเดี ยวเท่านั้นที่จะทาให้นกั กีฬาเป็ นผูท้ ี่มีความสามารถสู งสุ ด
ทั้งนี้เพราะการฝึ กกีฬามิได้หมายถึงการฝึ กเฉพาะเทคนิ คทักษะและกลยุทธ์เท่านั้น แต่การฝึ กจะต้อง
เสริ มสร้างร่ างกายนักกี ฬาให้มีสมรรถภาพทางกายที่เหมาะสมกับชนิ ดกีฬานั้นๆ รวมถึงให้มีความ
พร้อมทางด้านจิตใจ มีระเบี ยบวินยั ขยันและเอาใจใส่ ในการฝึ กซ้อม รู ้ จกั ดูแลรักษาสุ ขภาพ รู ้ จกั
เลื อกระประทานอาหารที่ มี คุ ณประโยชน์ และเพี ย งพอกับ ความต้องการของร่ า งกายและมี ก าร
พักผ่อนอย่างเพียงพออีกด้วย
41