Professional Documents
Culture Documents
61) 1
6 May 2019
ข้ อใดต่อไปนี ้กล่าวถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61) 3
𝑓(𝑥)
5. กาหนดให้ 𝑓 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั มีสมบัติวา่ lim
x1 𝑥 2 −1 = 1 ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
ก. 𝑓(1) = 0 ข. 𝑓 ต่อเนื่องที่ 𝑥 = 1
ค. lim
x1
𝑓(𝑥) = 0 ง. lim
x1
𝑓(𝑥) ไม่มีคา่
8. ในห้ องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ นกั เรี ยนคนหนึง่ ได้ นิยาม การกระจายตัวของข้ อมูล 𝑥1 , 𝑥2 , … , 𝑥2018 เป็ น
( xi x j ) 2
i j
2018 2017
n 2 n 2
(𝑥𝑗 −𝑥̅ ) (𝑥𝑗 −𝑥̅ ) 𝑥1 +𝑥2 + … +𝑥2018
กาหนดให้ 𝜎2 =
2018
และ 𝑠2 =
2017
โดยที่ 𝑥̅ =
2018
j1 j1
ข. lim
n
𝑎𝑛 < 1
ค. lim
n
𝑎𝑛 = 1
11. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็ นฟั งก์ชนั พหุนามดีกรี 2 มีคา่ ต่าสุดเมื่อ 𝑥 = 3 และ 𝐹(2𝑥) เป็ นปฏิยานุพนั ธ์ของ 𝑓(𝑥)
ถ้ า 𝐹 ′(2) = −5 และ 𝐹 ′′(−2) = −4 พื ้นที่ปิดล้ อมของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) กับแกน 𝑋 จาก 𝑥 = 0 ถึง 𝑥 = 3
ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
ก. 16.5 ข. 18 ค. 33 ง. 36
6 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61)
𝑓(𝑥) 4
12. กาหนดให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีความต่อเนื่องที่ 𝑥 = −3 และ x3
lim ( 𝑥+3 + 𝑥 2+4𝑥+3) = 4
15. ให้ 𝐴 เป็ นเมทริ กซ์ขนาด 𝑛 × 𝑛 โดยที่ 𝐴 ไม่เป็ นเมทริ กซ์ศนู ย์ , 𝐼 − 𝐴 มีอินเวอร์ สการคูณ และ 𝐴𝑇 + 𝐴 เป็ น
เมทริ กซ์ศนู ย์ ถ้ า 𝐵 = (𝐼 + 𝐴)(𝐼 − 𝐴)−1 แล้ ว จานวนจริ ง 𝑘 ที่ทาให้ 𝐵𝑇 𝐵 = 𝑘𝐼 มีคา่ ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
ก. 0 ข. 1 ค. (−1)𝑛+1 ง. 𝑛
8 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61)
(𝑥−1)2
24. จงเขียนเซตของจานวนจริง 𝑘 ทังหมดที
้ ่ทาให้ {𝑥 ∈ℝ ∶ (𝑥+1)(𝑥+3)
= 𝑘} = ∅ ในรูปของช่วง
28. นาจุด 16 จุด มาจัดเรี ยงบนระนาบ โดยแบ่งออกเป็ น 4 แถว แต่ละแถวมี 4 จุด และระยะห่างระหว่างจุดสองจุดใดๆ
ที่อยูต่ ิดกันในแถวเดียวกัน เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดสองจุดใดๆ ที่อยูต่ ิดกันในหลักเดียวกัน ความน่าจะเป็ น ที่เมื่อ
สุม่ เลือกจุด 3 จุดใดๆ มาจากระนาบนี ้แล้ วอยูใ่ นแนวเส้ นตรงเดียวกันเท่ากับเท่าใด
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61) 13
29. กาหนดให้ 𝑧 และ 𝑤 เป็ นจานวนเชิงซ้ อน โดยที่ |𝑧| ≤ 1 และ |𝑤| ≤ 1 ถ้ า |𝑧 + 𝑖𝑤| = |𝑧 − 𝑖𝑤
̅| = 2 แล้ ว
จงหาค่าทีเ่ ป็ นไปได้ ทงหมดของ
ั้ 𝑧 2 − 𝑧𝑤 + 𝑤 2
31. กาหนดให้ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวกทีม่ ากกว่า 1 และให้ 𝐼 แทนเมทริ กซ์เอกลักษณ์ขนาด 𝑛 × 𝑛 และ 𝐽 แทนเมทริ กซ์
ขนาด 𝑛 × 𝑛 ที่มี 1 เป็ นสมาชิกในทุกตาแหน่ง ถ้ าอินเวอร์ สของเมทริกซ์ 29𝐼 − 3𝐽 คือ 291 (𝐼 − 3𝐽) แล้ ว จงหา
ค่าของ 𝑛
33. กาหนดให้ 𝐴𝐵𝐶𝐷𝐸 เป็ นรูปห้ าเหลี่ยมด้ านเท่ามุมเท่าที่แนบในวงกลม จุดศูนย์กลางที่ 𝑂 และมีรัศมียาว 3 หน่วย
ถ้ า 𝑋 เป็ นจุดใดๆ ที่หา่ งจากจุด 𝑂 เป็ นระยะทาง 4 หน่วย แล้ ว |𝐴𝑋|2 + |𝐵𝑋|2 + |𝐶𝑋|2 + |𝐷𝑋|2 + |𝐸𝑋|2
มีคา่ เท่าใด
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61) 15
34. รูปสามเหลีย่ ม 𝐴𝐵𝐶 รูปหนึง่ มีด้านแต่ละด้ านยาวเป็ นจานวนเต็ม และ ∠𝐴 = 3∠𝐵 ถ้ าด้ านทีย่ าวที่สดุ อยูต่ รงข้ าม
มุม 𝐴 มีความยาว 10 หน่วยแล้ ว ความยาวรอบรูปของสามเหลีย่ มดังกล่าวเท่ากับเท่าใด
n
35. จงหาค่าของ lim (1 − 2 cos(2𝑘−𝑛 𝜋) + 2 cos(2𝑘−𝑛+1 𝜋))
n k 0
n
โดยนิยามสัญลักษณ์ 𝑎𝑘 = 𝑎0 𝑎1 𝑎2 … 𝑎𝑛 สาหรับลาดับ (𝑎𝑘 )𝑛𝑘=0 ใดๆ
k 0
16 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61)
เฉลย
11
1. ก 10. ก 19. (5, 1), (5, −1) 28. 140
2. ง 11. ง 20. 8 29. 𝑖
63
3. ง 12. ข 21. 16
30. (1, 1) ,
−1+√8𝛼+1 4𝛼+1−√8𝛼+1
4. ก 13. ง 22. −3198 ( 2
, 2
)
1+√3
5. ค 14. ก 23. 2
31. 10
6. ง 15. ข 24. (−8, 0) 32. 0
7. ข 16. 28.57 25. 15 33. 125
√2
8. ง 17. [ 2 , 1] 26. 12 34. 21
9. ก 18. 40 27. 7 35. 1
แนวคิด
1. จงพิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(1) มีเซต 𝐴, 𝐵, 𝐶 ที่ 𝐴 ⊂ 𝐵 ∈ 𝐶 และ 𝐴 ∈ 𝐵 ⊂ 𝐶
(2) กาหนดให้ 𝒫(ℝ) แทนเซตของสับเซตทังหมดของ ้ ℝ
ให้ ℱ ≠ ∅ เป็ นสับเซตแท้ ใดๆ ของ 𝒫(ℝ) ที่มีสมบัติวา่ 𝑋 − 𝑌 ∈ ℱ สาหรับทุก 𝑋, 𝑌 ∈ ℱ
จะได้ วา่ ถ้ า 𝐴, 𝐵 ∈ ℱ แล้ ว 𝐴 ∩ 𝐵 ∈ ℱ
ข้ อใดต่อไปนี ้กล่าวถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
ตอบ ก
(1) 𝐴 ⊂ 𝐵 และ 𝐴 ∈ 𝐵 ถ้ า 𝐵 = 𝐴 ∪ {𝐴}
เช่นถ้ าให้ 𝐴 = ∅ จะได้ 𝐵 = 𝐴 ∪ {𝐴} = ∅ ∪ {∅} = {∅}
และ 𝐶 = 𝐵 ∪ {𝐵} = {∅} ∪ {{∅}} = {∅, {∅}}
ดังนัน้ จะมี 𝐴 = ∅ , 𝐵 = {∅} และ 𝐶 = {∅, {∅}} ที่สอดคล้ องกับเงื่อนไข → (1) ถูก
(2) จากสมบัติของ ℱ ถ้ า 𝐴, 𝐵 ∈ ℱ จะสรุปได้ วา่ 𝐴 − 𝐵 ∈ ℱ
และเนื่องจาก 𝐴 , 𝐴 − 𝐵 ∈ ℱ จะสรุปต่อด้ วยสมบัติเดิมได้ วา่ 𝐴 − (𝐴 − 𝐵) ∈ ℱ
ซึง่ 𝐴 − (𝐴 − 𝐵) ก็คือ 𝐴 ∩ 𝐵 นัน่ เอง
− =
จึงสรุปได้ วา่ 𝐴 ∩ 𝐵 ∈ ℱ → (2) ถูก
𝐴 𝐴−𝐵 𝐴 − (𝐴 − 𝐵)
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61) 17
ข้ อใดต่อไปนี ้กล่าวถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
ตอบ ก
(1) สมมติให้ 𝑎 𝑥 = 𝑥 แสดงว่าเราสามารถแทน 𝑥 ด้ วย 𝑎 𝑥 ได้ (เพราะมันเท่ากัน)
จาก 𝑎 𝑥 = 𝑥 → แทน 𝑥 ที่เป็ นเลขชี ้กาลังทางขวา ด้ วย 𝑎 𝑥 จะได้ 𝑎(𝑎 ) = 𝑥 → (1) ถูก
𝑥
𝑓(𝑥)
5. กาหนดให้ 𝑓 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั มีสมบัติวา่ lim 2
x1 𝑥 −1
= 1 ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
ก. 𝑓(1) = 0 ข. 𝑓 ต่อเนื่องที่ 𝑥 = 1
ค. lim
x1
𝑓(𝑥) = 0 ง. lim
x1
𝑓(𝑥) ไม่มีคา่
ตอบ ค
𝑓(𝑥) 𝑓(𝑥)
ก. lim
x1 𝑥 2 −1 คือค่าประมาณของ 𝑥 2 −1
เมื่อ 𝑥 เข้ าใกล้ 1 ซึง่ เป็ นคนละอย่างกับ ค่าของ 𝑥𝑓(𝑥)
2 −1 เมื่อ 𝑥 = 1
ดังนัน้ เมื่อ 𝑥 เข้ าใกล้ 1 จะต้ องทาให้ ตวั เศษเข้ าใกล้ 0 ด้ วย จึงจะเข้ ารูปแบบ 00 ที่ทาให้ lim
x1
𝑓(𝑥)
𝑥 2 −1 หาค่าได้
8. ในห้ องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ นกั เรี ยนคนหนึง่ ได้ นิยาม การกระจายตัวของข้ อมูล 𝑥1 , 𝑥2 , … , 𝑥2018 เป็ น
( xi x j ) 2
i j
2018 2017
n 2 n 2
(𝑥𝑗 −𝑥̅ ) (𝑥𝑗 −𝑥̅ ) 𝑥1 +𝑥2 + … +𝑥2018
กาหนดให้ 𝜎2 = 2018
และ 𝑠2 = 2017
โดยที่ 𝑥̅ = 2018
j1 j1
( xi x j )2
i j 2018 ∙ 2017 ∙ 2𝑠2
ดังนัน้ = = 2𝑠 2
2018 2017 2018 ∙ 2017
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61) 21
ข. lim
n
𝑎𝑛 < 1
ค. lim
n
𝑎𝑛 = 1
ตอบ ก
จาก 𝑎𝑛+1 =
1
2
+ √𝑎𝑛
1
lim 𝑎𝑛+1 = lim (2 + √𝑎𝑛 )
n n
กระจาย lim ได้ เพราะ 𝑎𝑛 ลูเ่ ข้ า
1
lim 𝑎𝑛+1 = 2
+ lim an
n
n
เมื่อ 𝑛 → ∞ จะได้ 𝑛 + 1 → ∞ ด้ วย
1
lim 𝑎𝑛 = 2
+ lim an
n n
1
𝑘 = + √𝑘
2
2𝑘 = 1 + 2√𝑘
2
2√𝑘 − 2√𝑘 − 1 = 0
−(−2)±√(−2)2 −4(1)(−1)
√𝑘 = 2(2)
2±√8 1+√2 1+1.414
√𝑘 = = 2 = > 1
4 2 ยกกาลังสองทังสองข้
้ าง
𝑘 > 1
lim 𝑎𝑛 > 1
n
11. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็ นฟั งก์ชนั พหุนามดีกรี 2 มีคา่ ต่าสุดเมื่อ 𝑥 = 3 และ 𝐹(2𝑥) เป็ นปฏิยานุพนั ธ์ของ 𝑓(𝑥)
ถ้ า 𝐹 ′(2) = −5 และ 𝐹 ′′(−2) = −4 พื ้นที่ปิดล้ อมของ 𝑦 = 𝑓(𝑥) กับแกน 𝑋 จาก 𝑥 = 0 ถึง 𝑥 = 3
ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
ก. 16.5 ข. 18 ค. 33 ง. 36
ตอบ ง
𝑏
ให้ 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 → จากสมบัติของฟั งก์ชนั กาลังสอง ค่าสูงสุด/ตา่ สุด จะเกิดเมื่อ 𝑥 = − 2𝑎
𝑏
โจทย์ให้ 𝑓 มีคา่ ตา่ สุดเมื่อ 𝑥 = 3 ดังนัน้ − 2𝑎 = 3 → 𝑏 = −6𝑎 → จะได้ 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 2 − 6𝑎𝑥 + 𝑐 …(∗)
จะได้ 𝐹(2𝑥) = ปฎิยานุพนั ธ์ของ 𝑓(𝑥) = 𝑎3 𝑥 3 − 3𝑎𝑥 2 + 𝑐𝑥 + 𝑑 เมื่อ 𝑑 เป็ นค่าคงที่ใดๆ
𝑎 𝑘 3 𝑘 2
แทน 𝑥 ด้ วย 𝑘2 จะได้ 𝑘
𝐹 (2 (2 )) = ( )
3 2
− 3𝑎 (2 ) + 𝑐 (2 ) + 𝑑
𝑘
𝑎 3 3𝑎 2 𝑐
𝐹(𝑘) = 24
𝑘 − 4
𝑘 + 2
𝑘 +𝑑
𝑎 2 3𝑎 𝑐
𝐹 ′ (𝑘) = 8
𝑘 − 2
𝑘 + 2
𝑎 3𝑎
𝐹 ′′ (𝑘) = 4
𝑘 − 2
𝑓(𝑥) 4
12. กาหนดให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีความต่อเนื่องที่ 𝑥 = −3 และ x3
lim ( 𝑥+3 + 𝑥 2+4𝑥+3) = 4
Re(𝑧)
Re(𝑤) = |𝑧|2
Re(𝑧)
|𝑧|2 =
Re(𝑤)
→ ผิด
1
14. กาหนดให้ 𝑥 = arctan 2018 และ 𝑦 = arctan 2017
2019
ค่าของ cos 𝑥 − sin 𝑦
cos 𝑦 + sin 𝑥
+
cos 𝑦 − sin 𝑥
cos 𝑥 + sin 𝑦
ตรงกับข้ อใด
ก. 2(√2 − 1) ข. √3 − 1
2018
ค. √(2017)2+(2019)2 ง. √(2017)20172 +(2019)2
ตอบ ก
ให้ 𝑎 = 2018 จะได้ 𝑎 − 1 = 2017 และ 𝑎 + 1 = 2019
1
จาก 𝑥 = arctan 2018 และ 𝑦 = arctan 2017
2019
จะวาดได้ ดงั รูป
= √2 − 1 + √2 − 1
= 2(√2 − 1)
15. ให้ 𝐴 เป็ นเมทริ กซ์ขนาด 𝑛 × 𝑛 โดยที่ 𝐴 ไม่เป็ นเมทริ กซ์ศนู ย์ , 𝐼 − 𝐴 มีอินเวอร์ สการคูณ และ 𝐴𝑇 + 𝐴 เป็ น
เมทริ กซ์ศนู ย์ ถ้ า 𝐵 = (𝐼 + 𝐴)(𝐼 − 𝐴)−1 แล้ ว จานวนจริ ง 𝑘 ที่ทาให้ 𝐵𝑇 𝐵 = 𝑘𝐼 มีคา่ ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
ก. 0 ข. 1 ค. (−1)𝑛+1 ง. 𝑛
ตอบ ข
𝑇
𝐵𝑇 𝐵 = ((𝐼 + 𝐴)(𝐼 − 𝐴)−1 ) (𝐼 + 𝐴)(𝐼 − 𝐴)−1
= ((𝐼 − 𝐴)−1 )𝑇 (𝐼 + 𝐴)𝑇 (𝐼 + 𝐴)(𝐼 − 𝐴)−1
= ((𝐼 − 𝐴)𝑇 )−1 (𝐼 + 𝐴)𝑇 (𝐼 + 𝐴)(𝐼 − 𝐴)−1
= (𝐼 𝑇 − 𝐴𝑇 )−1 (𝐼 𝑇 + 𝐴𝑇 )(𝐼 + 𝐴)(𝐼 − 𝐴)−1 จาก 𝐴𝑇 + 𝐴 = 0 จะได้ 𝐴𝑇 = −𝐴
= (𝐼 + 𝐴 )−1 (𝐼 − 𝐴 )(𝐼 + 𝐴)(𝐼 − 𝐴)−1
(𝐼 − 𝐴)(𝐼 + 𝐴) = (𝐼 + 𝐴)(𝐼 − 𝐴)
= (𝐼 + 𝐴 )−1 (𝐼 + 𝐴 )(𝐼 − 𝐴)(𝐼 − 𝐴)−1
เพราะกระจายแล้ วได้ 𝐼 − 𝐴2 ทังคู
้ ่
= ( 𝐼 )( 𝐼 )
= 𝐼
1
ดังนัน้ |𝑥| + |𝑦| ≥ 1 และ 2
𝑥 +𝑦 ≤1 2
จะหมายถึงบริเวณทีซ่ ้ อนทับกัน ดังรูป
1
สันสุ
้ ด = ระยะตังฉากไปยั
้ งเส้ นตรง ยาวสุด = ระยะไปยังเส้ นรอบวง
= 1 sin 45° = รัศมีวงกลม
𝑑 √2
𝐷
= = 1
45° 2
1 1
√2
ดังนัน้ ค่าของ √𝑥 2 + 𝑦 2 จะมีคา่ อยูใ่ นช่วง [ 2 , 1]
แต่จาก (∗) เราต้ องตรวจสอบด้ วยว่า 2 คาตอบนี ้ อยูร่ ะหว่าง 2 กับ 𝑎 หรื อไม่
เนื่องจาก 𝑎+2
2
คือจานวนที่อยูต่ รงกลางระหว่าง 2 กับ 𝑎 พอดี
𝑎+2
ดังนัน้ 2
√𝑘
± 2 จะอยูใ่ นช่วง (2, 𝑎) ทังคู
้ ่ หรื อ ไม่อยูใ่ นช่วง (2, 𝑎) ทังคู
้ ่ ดังรูป
√𝑘 √𝑘 √𝑘 √𝑘
2 2 2 2
2 𝑎+2 𝑎 2 𝑎+2 𝑎
2 2
𝑎+2 √𝑘 𝑎+2 √𝑘 𝑎+2 √𝑘 𝑎+2 √𝑘
− + − +
2 2 2 2 2 2 2 2
เนื่องจาก 𝑥𝑖 ทุกตัวเป็ นจานวนจริ งบวก ดังนัน้ 1 + 2𝑥1 ทุกตัว จะมากกว่า 1 ทาให้ ได้ วา่ 𝑥𝑖 ทุกตัว จะมากกว่า 1
𝑖
ดังนัน้ 250(𝑥 ∙ 𝑥 ∙ … ∙ 𝑥 )2 จะน้ อยกว่า 1 ซึง่ จะสรุปได้ วา่ 1 − 250(𝑥 ∙ 𝑥 1 ∙ … ∙ 𝑥 )2 ใน (∗) ไม่มีทางเป็ นศูนย์ได้
1
1 2 50 1 2 50
(𝑥−1)2
24. จงเขียนเซตของจานวนจริง 𝑘 ทังหมดที
้ ่ทาให้ { 𝑥 ∈ ℝ ∶ (𝑥+1)(𝑥+3)
= 𝑘} = ∅ ในรูปของช่วง
ตอบ (−8, 0)
(𝑥−1)2
คือต้ องหา 𝑘 ที่ทาให้ สมการไม่มคี าตอบ (𝑥+1)(𝑥+3) = 𝑘
(𝑥 − 1)2 = 𝑘(𝑥 + 1)(𝑥 + 3)
𝑥 − 2𝑥 + 1 = 𝑘𝑥 2 + 4𝑘𝑥 + 3𝑘
2
26. เค้ กแต่งงานจะทาเป็ นขนมเค้ กทีม่ ีหน้ าตัดเป็ นรูปวงกลมซ้ อนขึ ้นไปเป็ นชันๆ ้ โดยที่แต่ละชันที้ ่ซ้อนขึ ้นไปมีรัศมีหน้ าตัด
2
ลดลงครึ่งหนึง่ และมีสว่ นสูงเป็ น 3 เท่าของส่วนสูงชันก่
้ อนหน้ านัน้ ถ้ าปริ มาตรของเนื ้อเค้ กที่ฐานชันล่
้ างสุดเป็ น 10
ลูกบาศก์หน่วย แล้ ว ปริ มาตรของเค้ กแต่งงานชิ ้นนี ้เท่ากับกี่ลกู บาศก์หน่วย
ตอบ 12
ให้ ชนล่
ั ้ างสุดมีรัศมี 𝑟 และสูง ℎ ซึง่ จะมีปริ มาตร = 𝜋𝑟 2 ℎ
1 2 1 2 2 1
ชันถั
้ ดขึ ้นมา จะมีรัศมี 2
𝑟 และสูง 3
ℎ ซึง่ จะมีปริ มาตร = 𝜋 (2 𝑟) (3 ℎ) = 6
𝜋𝑟 2 ℎ
2
1 2 2 2 2 2
้ ดขึ ้นมา จะมีรัศมี (2) 𝑟 และสูง (3) ℎ ซึง่ จะมีปริ มาตร = 𝜋 ((12) 𝑟) ((23) ℎ) = 612 𝜋𝑟 2 ℎ
ชันถั
จะเห็นว่าปริ มาตรเค้ ก เป็ นลาดับเรขาคณิต ที่มีอตั ราส่วนร่วม 16 และมี 𝑎1 = ปริ มาตรชันล่
้ างสุด = 10
𝑎1 10 6
จากสูตรอนุกรมเรขาคณิตอนันต์ 𝑆∞ = 1−𝑟 จะได้ ปริ มาตรรวม = 1−1 = 10 ∙ 5 = 12
6
28. นาจุด 16 จุด มาจัดเรี ยงบนระนาบ โดยแบ่งออกเป็ น 4 แถว แต่ละแถวมี 4 จุด และระยะห่างระหว่างจุดสองจุดใดๆ
ที่อยูต่ ิดกันในแถวเดียวกัน เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดสองจุดใดๆ ที่อยูต่ ิดกันในหลักเดียวกัน ความน่าจะเป็ น ที่เมื่อ
สุม่ เลือกจุด 3 จุดใดๆ มาจากระนาบนี ้แล้ วอยูใ่ นแนวเส้ นตรงเดียวกันเท่ากับเท่าใด
11
ตอบ 140
กรณี 3 จุด อยุใ่ นแนวนอน : เลือกแนวนอนได้ 4 แบบ
เลือก 3 จุด จาก 4 จุดที่อยูใ่ นแนวนอนเดียวกัน ได้ (43) แบบ
รวมได้ 4 (43) = 16 แบบ
กรณี 3 จุด อยูใ่ นแนวตัง้ : จะได้ จานวนแบบเท่ากับกรณีแรก = 16 แบบ
16+16+6+6 44 11
รวมทุกกรณี จะได้ ความน่าจะเป็ น =
(16
= 16∙15∙14 =
140
3) 3∙2
29. กาหนดให้ 𝑧 และ 𝑤 เป็ นจานวนเชิงซ้ อน โดยที่ |𝑧| ≤ 1 และ |𝑤| ≤ 1 ถ้ า |𝑧 + 𝑖𝑤| = |𝑧 − 𝑖𝑤
̅| = 2 แล้ ว
จงหาค่าทีเ่ ป็ นไปได้ ทงหมดของ
ั้ 𝑧 2 − 𝑧𝑤 + 𝑤 2
ตอบ 𝑖
จาก |𝑧| ≤ 1 และ |𝑤| ≤ 1 จะได้ |𝑧| + |𝑤| ≤ 2 …(1)
จากสูตร |𝑧1 + 𝑧2 | ≤ |𝑧1 | + |𝑧2| จะได้ |𝑧 + 𝑖𝑤| ≤ |𝑧| + |𝑖𝑤|
2 ≤ |𝑧| + |𝑤| …(2)
จาก (1) และ (2) จะได้ |𝑧| + |𝑤| = 2 ซึง่ จะได้ |𝑧| = 1 และ |𝑤| = 1
และจากสูตร |𝑧1 + 𝑧2 |2 + |𝑧1 − 𝑧2 |2 = 2|𝑧1 |2 + 2|𝑧2 |2
จะได้ |𝑧 + 𝑖𝑤|2 + |𝑧 − 𝑖𝑤|2 = 2|𝑧|2 + 2|𝑖𝑤|2 และ |𝑧 + 𝑖𝑤̅|2 + |𝑧 − 𝑖𝑤̅|2 = 2|𝑧|2 + 2|𝑖𝑤
̅|2
2 2 2 2 2 2
2 + |𝑧 − 𝑖𝑤| = 2(1 ) + 2(1 ) |𝑧 + 𝑖𝑤
̅| + 2 = 2(1 ) + 2(12 )
2
|𝑧 − 𝑖𝑤|2 = 0 ̅|2
|𝑧 + 𝑖𝑤 = 0
𝑧 = 𝑖𝑤 𝑧 = −𝑖𝑤
̅
สังเกตว่า 𝑖𝑤 กับ −𝑖𝑤̅ เป็ นคูส่ งั ยุคกัน ( 𝑖𝑤
̅̅̅ = 𝑖̅ 𝑤
̅ = −𝑖𝑤 ̅)
แสดงว่า 𝑧 = 𝑧̅ ดังนัน้ ส่วนจินตภาพของ 𝑧 ต้ องเป็ น 0 จึงสรุปได้ วา่ 𝑧 เป็ นจานวนจริง
จาก |𝑧| = 1 จึงได้ วา่ 𝑧 = ±1 และจาก 𝑧 = 𝑖𝑤 จะได้ 𝑤 = 𝑧𝑖 = ±1𝑖 = ∓𝑖
ดังนัน้ 𝑧 2 − 𝑧𝑤 + 𝑤 2 = (±1)2 − (±1)(∓𝑖) + (∓𝑖)2
= 1 − (−𝑖) + (−1) = 𝑖
แต่จาก (1) จะเห็นว่า 𝑥+𝑦 และ 𝛼 เป็ นบวก ดังนัน้ log 𝑥 𝑦 ต้ องเป็ นบวก → 𝑘 = log 𝑥 𝑦 = 2
𝑦 = 𝑥2
แทนใน (1) จะได้ 𝑥 + 𝑥 2 = 2𝛼 จัดเป็ นสมการกาลังสองได้ 𝑥 2 + 𝑥 − 2𝑎 = 0
32 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61)
31. กาหนดให้ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวกทีม่ ากกว่า 1 และให้ 𝐼 แทนเมทริ กซ์เอกลักษณ์ขนาด 𝑛 × 𝑛 และ 𝐽 แทนเมทริ กซ์
ขนาด 𝑛 × 𝑛 ที่มี 1 เป็ นสมาชิกในทุกตาแหน่ง ถ้ าอินเวอร์ สของเมทริกซ์ 29𝐼 − 3𝐽 คือ 291 (𝐼 − 3𝐽) แล้ ว จงหา
ค่าของ 𝑛
ตอบ 10
อินเวอร์ สของเมทริ กซ์ 29𝐼 − 3𝐽 คือ 291 (𝐼 − 3𝐽) แสดงว่า (29𝐼 − 3𝐽) × 291 (𝐼 − 3𝐽) = 𝐼
29𝐼 − 3𝐽 − 87𝐽 + 9𝐽2 = 29𝐼
9𝐽2 = 90𝐽
𝐽2 = 10𝐽 …(∗)
1 1 … 1 1 1 … 1
1 1 … 1 1 1 … 1
𝐽 คือเมทริ กซ์ที่มีแต่ 1 ในทุกตาแหน่ง ดังนัน้ 𝐽2 = [ ]×[ ]
⋮ ⋮ ⋱ ⋮ ⋮ ⋮ ⋱ ⋮
1 1 … 1 1 1 … 1
จะเห็นว่าตอนหาผลคูณในแต่ละตาแหน่ง จะมี 1 × 1 บวกกันอยู่ 𝑛 ตัว (𝐽 มีมิติ 𝑛 × 𝑛)
ดังนัน้ 𝐽2 จะเป็ นเมทริ กซ์ทมี่ ีแต่ 1 × 1 × 𝑛 = 𝑛 ในทุกตาแหน่ง
ในขณะที่ 10𝐽 จะเป็ นเมทริ กซ์ทมี่ ีแต่ 10 ในทุกตาแหน่ง → จาก (∗) จะได้ 𝑛 = 10
33. กาหนดให้ 𝐴𝐵𝐶𝐷𝐸 เป็ นรูปห้ าเหลีย่ มด้ านเท่ามุมเท่าที่แนบในวงกลม จุดศูนย์กลางที่ 𝑂 และมีรัศมียาว 3 หน่วย
ถ้ า 𝑋 เป็ นจุดใดๆ ที่หา่ งจากจุด 𝑂 เป็ นระยะทาง 4 หน่วย แล้ ว |𝐴𝑋|2 + |𝐵𝑋|2 + |𝐶𝑋|2 + |𝐷𝑋|2 + |𝐸𝑋|2
มีคา่ เท่าใด
ตอบ 125
2 2 2 2
𝐷 ⃗⃗⃗⃗⃗ | = |𝐴𝑂
|𝐴𝑋|2 = |𝐴𝑋 ⃗⃗⃗⃗⃗ + 𝑂𝑋⃗⃗⃗⃗⃗ | = |𝐴𝑂⃗⃗⃗⃗⃗ | + |𝑂𝑋 ⃗⃗⃗⃗⃗ | + 2𝐴𝑂 ⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝑂𝑋
⃗⃗⃗⃗⃗
= 3 + 4 2 2 ⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝑂𝑋
+ 2𝐴𝑂 ⃗⃗⃗⃗⃗
𝐸 𝐶 = 25 ⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝑂𝑋
+ 2𝐴𝑂 ⃗⃗⃗⃗⃗ ...(1)
2 2
𝑂 ทานองเดียวกัน |𝐵𝑋| = |𝐵𝑂
2 ⃗⃗⃗⃗⃗ | + |𝑂𝑋
⃗⃗⃗⃗⃗ | + 2𝐵𝑂 ⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝑂𝑋 ⃗⃗⃗⃗⃗
𝑋 = 25 ⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝑂𝑋
+ 2𝐵𝑂 ⃗⃗⃗⃗⃗ …(2)
𝐴 𝐵 2
|𝐶𝑋| = ⃗⃗⃗⃗⃗ ⃗⃗⃗⃗⃗
25 + 2𝐶𝑂 ∙ 𝑂𝑋 …(3)
2
|𝐷𝑋| = 25 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ ⃗⃗⃗⃗⃗
+ 2𝐷𝑂 𝑂𝑋 …(4)
2
|𝐸𝑋| = 25 ⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝑂𝑋
+ 2𝐸𝑂 ⃗⃗⃗⃗⃗ …(5)
⃗⃗⃗⃗⃗ + ⃗⃗⃗⃗⃗
(1) + (2) + … + (5) : |𝐴𝑋|2 + |𝐵𝑋|2 + … + |𝐸𝑋|2 = 5(25) + 2(𝐴𝑂 𝐵𝑂 + … + ⃗⃗⃗⃗⃗
𝐸𝑂) ∙ ⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝑋 …(∗)
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61) 33
360°
𝐴𝑂 กับ ⃗⃗⃗⃗⃗
⃗⃗⃗⃗⃗ 𝐵𝑂 ทามุมกัน 5
เมื่อนามาบวกกันแบบหางต่อหัว จะทามุม 180° − 72° = 108° ซึง่ เท่ากับมุม
= 72°
ภายในของรูปห้ าเหลีย่ มมุมเท่าพอดี ( 180°(5−2)
5
= 36° × 3 = 108° )
นัน่ คือ ⃗⃗⃗⃗⃗
𝐴𝑂 + ⃗⃗⃗⃗⃗ 𝐸𝑂 จะประกอบกันเป็ นห้ าเหลีย่ ม และวนกลับมาที่จด
𝐵𝑂 + … + ⃗⃗⃗⃗⃗ ุ ตังต้
้ น กลายเป็ น ⃗0
แทนใน (∗) จะได้ |𝐴𝑋|2 + |𝐵𝑋|2 + … + |𝐸𝑋|2 = 5(25) + 2 ⃗0 ∙ ⃗⃗⃗⃗⃗ 𝑂𝑋 = 125 + 0 = 125
34. รูปสามเหลีย่ ม 𝐴𝐵𝐶 รูปหนึง่ มีด้านแต่ละด้ านยาวเป็ นจานวนเต็ม และ ∠𝐴 = 3∠𝐵 ถ้ าด้ านทีย่ าวที่สดุ อยูต่ รงข้ าม
มุม 𝐴 มีความยาว 10 หน่วยแล้ ว ความยาวรอบรูปของสามเหลีย่ มดังกล่าวเท่ากับเท่าใด
ตอบ 21
ให้ ∠𝐵 = 𝜃 จะได้ ∠𝐴 = 3𝜃 และ ∠𝐶 = 𝜋 − 4𝜃 ดังรูป 𝐶 𝜋 − 4𝜃
จาก 10
3−4 sin2 𝜃
= 𝑏 cos 𝜃 = √1 − sin2 𝜃 cos 2𝜃 = 1 − 2 sin2 𝜃
10 3 5 3 5
= 3 − 4 sin2 𝜃 = √1 − (4 − 2𝑏) = 1 − 2( −
4 2𝑏
)
𝑏
2 3 5 1 5
sin 𝜃 = 4
− 2𝑏 1 5 = − +
= √4 + 2𝑏 2 𝑏
𝑐
แทน cos 𝜃 และ cos 2𝜃 ใน (∗) ครึ่งหลัง จะได้ 𝑏 =
1 5 1 5
4 √ + ∙ (− + )
4 2𝑏 2 𝑏
n
35. จงหาค่าของ lim (1 − 2 cos(2𝑘−𝑛 𝜋) + 2 cos(2𝑘−𝑛+1 𝜋))
n k 0
n
โดยนิยามสัญลักษณ์ 𝑎𝑘 = 𝑎0 𝑎1 𝑎2 … 𝑎𝑛 สาหรับลาดับ (𝑎𝑘 )𝑛𝑘=0 ใดๆ
k 0
ตอบ 1
n n
𝜋 𝜋
(1 − 2 cos(2𝑘−𝑛 𝜋) + 2 cos(2𝑘−𝑛+1 𝜋)) = (1 − 2 cos 2𝑛−𝑘 + 2 cos 2𝑛−𝑘−1 )
k 0 k 0
𝜋 𝜋 𝜋 𝜋 𝜋 𝜋
กระจายได้ (1 − 2 cos 𝑛
2
+ 2 cos
2𝑛−1
) (1 − 2 cos
2𝑛−1
+ 2 cos
2𝑛−2
) … (1 − 2 cos
20
+ 2 cos
2−1
) …(∗)
34 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 61)
พจน์แรก 1 − 2 cos
𝜋 𝜋
+ 2 cos 𝑛−1
2𝑛 2 จัดตัวส่วนให้ เป็ น 2𝑛+1
2𝜋 4𝜋
= 1− 2 cos 2𝑛+1 + 2 cos 2𝑛+1 𝜋
คูณเข้ าและหารออกด้ วย cos 2𝑛+1 เพื่อให้ cos เข้ าสูตร
𝜋 2𝜋 𝜋 4𝜋 𝜋
cos 𝑛+1 − 2 cos 𝑛+1 cos 𝑛+1 + 2 cos 𝑛+1 cos 𝑛+1
2 2 2 2 2
2 cos 𝐴 cos 𝐵 = cos(𝐴 + 𝐵) + cos(𝐴 − 𝐵)
= 𝜋
cos 𝑛+1
2
𝜋 3𝜋 𝜋 5𝜋 3𝜋
cos 𝑛+1 − (cos 𝑛+1 + cos 𝑛+1) +(cos 𝑛+1 + cos 𝑛+1)
2 2 2 2 2
= 𝜋
cos 𝑛+1
2
𝜋 3𝜋 𝜋 5𝜋 3𝜋
cos 𝑛+1 − cos 𝑛+1 − cos 𝑛+1 + cos 𝑛+1 + cos 𝑛+1
2 2 2 2 2
= 𝜋
cos 𝑛+1
2
5𝜋
cos 𝑛+1
2
= 𝜋
cos 𝑛+1
2
เครดิต
ขอบคุณ คุณ สนธยา เสนามนตรี และ คุณ Atiratch Laoharenoo สาหรับข้ อสอบ
ขอบคุณ คุณ Permsup Meeying สาหรับเฉลยละเอียด
ขอบคุณ คุณ Teerapat Saengsubin ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของเอกสาร