Professional Documents
Culture Documents
59) 1
19 Mar 2017
𝑥 4 −1
5. กาหนดให้ 𝑓 : ℝ → ℝ โดยที่ 𝑓(1) = 1 และสาหรับทุก 𝑥 ∈ ℝ , 𝑓 ′ (𝑥) = 𝑥 2 +1
ค่าของ 𝑓(−2) ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
ก. 1 ข. 2 ค. 3 ง. 4
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59) 3
𝑥𝑓(𝑥) − 2559𝑓(2559)
6. กาหนดให้ 𝑓:ℝ→ℝ เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ บน ℝ โดยที่ x lim
2559 𝑥 − 2559
= 7677
8. สาหรับเมทริ กซ์ขนาด 2 × 2 𝐴 และ 𝐵 ที่มีสมาชิกเป็ นจานวนจริง กล่าวว่า 𝐴 เป็ นชนิ ดเดียวกันกับ 𝐵 ก็ตอ่ เมื่อ มี
จานวนจริ ง 𝜆 และเมทริ กซ์ที่มีอินเวอร์ ส 𝑃 ที่ทาให้ 𝐴 = 𝜆𝑃𝐵𝑃−1 เมทริ กซ์ในข้ อใดต่อไปนี ้ไม่ เป็ นชนิดเดียวกันกับ
1 0
เมทริ กซ์ (
0 2
)
4 0 1 1 1 0 1 0
ก. (
0 2
) ข. (
0 2
) ค. (
0 1/2
) ง. (
0 3
)
4 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59)
√
10. ค่าของ 𝑎 ในข้ อใดต่อไปนี ้ทาให้ 𝑎 + √𝑎 − √𝑎 + √𝑎 − √𝑎 + √𝑎 − … = 5
ก. 19 ข. 20 ค. 21 ง. 22
จานวนจินตภาพแท้
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59) 5
𝑧 𝑤
14. กาหนดให้ 𝑧 และ 𝑤 เป็ นจานวนเชิงซ้ อน โดยที่ 1+𝑤
= 𝑖 tan(22.5°) และ 1+𝑧
= 𝑖 tan(7.5°)
ข้ อใดต่อไปนี ้ตรงกับค่าของ 𝑧 − 𝑤
ก. (2 − √3)𝑖 ข. √13 𝑖 ค. (√3 − 2)𝑖 ง. −
1
√3
𝑖
6 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59)
17. จงหาจานวนเต็มบวก 𝑛 ที่น้อยที่สดุ ที่ทาให้ จานวนเต็ม 111⋯1 ซึง่ ประกอบด้ วยเลขโดด 1 เป็ นจานวน 𝑛 ตัว หาร
ด้ วย 7 ลงตัว
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59) 7
18. กาหนดให้ 𝐴 เป็ นจุดยอดทางด้ านหนึง่ ของไฮเพอร์ โบลา 𝑥 2 − 𝑦 2 = 3 และ 𝐵 และ 𝐶 เป็ นจุดสองจุดบนอีกด้ าน
หนึง่ ของไฮเพอร์ โบลาที่ทาให้ 𝐴𝐵𝐶 เป็ นสามเหลีย่ มด้ านเท่า จงหาพื ้นที่ของสามเหลีย่ ม 𝐴𝐵𝐶
20. กาหนดให้ สามี ภรรยา จานวน 4 คู่ มานัง่ รอบโต๊ ะกลม จงหาจานวนวิธีทงหมดในการจั
ั้ ดที่นงั่ โดยที่ผ้ ชู ายนัง่ สลับกับ
ผู้หญิง และ ไม่ให้ มีสามีภรรยาคูใ่ ดเลยนัง่ ติดกัน
8 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59)
𝐹𝑛
28. จงหาค่าของอนุกรมอนันต์ที่ลเู่ ข้ าต่อไปนี ้ 2 𝑛
n 1
29. คณะกรรมการชุดหนึง่ ประกอบไปด้ วยกรรมการ 20 คน ซึง่ ทุกคนต้ องโหวตจัดอันดับนักเตะสามคน ได้ แก่ เมสซี่
โรนัลโด้ และ ชัวเรส โดยที่กรรมการแต่ละคนจะเลือกจัดอันดับได้ คนละแบบเท่านัน้ ผลปรากฏว่า กรรมการ 11 คนให้
เมสซี่เหนือกว่าโรนัลโด้ กรรมการ 12 คนจัดให้ ชวั เรสเหนือกว่าเมสซี่ และกรรมการอย่างน้ อย 14 คนให้ โรนัลโด้
เหนือกว่าชัวเรส ถ้ าแต่ละการจัดอันดับที่เป็ นไปได้ ของนักเตะทังสามคน
้ (ซึง่ มีอยู่ 6 แบบ) ถูกเลือกโดยกรรมการอย่าง
น้ อยหนึง่ คน จงหาว่ามีกรรมการจานวนกี่คนที่โหวตให้ โรนัลโด้ ได้ อยูใ่ นอันดับที่ 1
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59) 11
31. ให้ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวกที่มากกว่า 1 ให้ 𝐼𝑛 แทนเมทริ กซ์เอกลักษณ์ขนาด 𝑛 × 𝑛 และ 𝐽𝑛 แทนเมทริ กซ์ขนาด
𝑛 × 𝑛 ที่มีสมาชิกทุกตัวเป็ น 1 จงหาจานวนเต็มบวก 𝑘 ที่น้อยที่สดุ ที่ทาให้ มจี านวนเฉพาะ 𝑝 สอดคล้ องกับ
สมการ det(𝑝𝐼𝑛 + 𝑘𝐽𝑛 ) = 672
32. สุม่ เลือกจานวนเต็มบวกจากเซต {1, 2, … , 50} มาหนึง่ จานวน จงหาความน่าจะเป็ นทีจ่ ะได้ จานวนเต็มบวก 𝑁 ซึง่
𝑁 − 2 หาร 𝑁 5 + 𝑁 4 + 𝑁 3 + 𝑁 2 + 𝑁 + 2 ลงตัว
12 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59)
1
33. กาหนดให้ 𝑃1 = 2559 และ 𝑃𝑛 = 1 + (𝑃1 𝑃2 ⋯ 𝑃𝑛−1 ) เมื่อ 𝑛 = 2, 3, 4, … จงหาค่าของ
n 1 𝑃𝑛
เฉลย
1. ก 10. ค 19. 4𝑛 + 2 , 4𝑛 + 3 28. 2
2. ค 11. ค 20. 12 29. 8
3. ค 12. ง 21. 𝜋2 30. 𝑦 = −2𝑥 2 + 6𝑥
4. ง 13. ก 22. 256 31. 8
7
5. ก 14. ก 23. 0.01 , 1000 32. 50
16 2
6. ข 15. ก 24. − 3
33. 2559
7. ง 16. −14 25. 351 34. 𝑥 − 9𝑥 4 − 4𝑥 3
6
แนวคิด
1. จากการสารวจผู้เล่นเกม Pokemon Go ในประเทศไทยทังหมดพบว่ ้ า 80% มีสตั ว์เลี ้ยงอย่างน้ อยหนึง่ ตัวในบรรดา
สัตว์เลี ้ยงต่อไปนี ้ Bulbasaur, Charmander และ Squirtle โดยที่
45% มีสตั ว์เลี ้ยง Bulbasaur
28% มีสตั ว์เลี ้ยง Charmander
46% มีสตั ว์เลี ้ยง Squirtle
ถ้ า 27% มีแค่ Squirtle เท่านัน้ และ 6% มีสตั ว์เลี ้ยงทังสามชนิ
้ ด ข้ อใดต่อไปนี ้ตรงกับจานวนผู้เล่นที่มี
Bulbasaur, Charmander แต่ไม่มี Squirtle
ก. 14% ข. 15% ค. 16% ง. 17%
ตอบ ก
จาก 6% มีสตั ว์เลี ้ยงทังสามชนิ
้ ด และ 27% มีแค่ Squirtle จะเติมได้ ดงั รูป 𝐵 𝑥
𝐶
จาก 46% มี Squirtle แสดงว่าวง 𝑆 ต้ องรวมกันได้ 46 𝑦 6 𝑧
นัน่ คือ จะได้ 𝑦 + 6 + 𝑧 + 27 = 46 27
𝑦 +𝑧 = 13 …(∗) 𝑆
และจากสูตร Inclusive – Exclusive จะได้
𝑛(𝐵 ∪ 𝐶 ∪ 𝑆) = 𝑛(𝐵) + 𝑛(𝐶) + 𝑛(𝑆) − 𝑛(𝐵 ∩ 𝐶) − 𝑛(𝐵 ∩ 𝑆) − 𝑛(𝐶 ∩ 𝑆) + 𝑛(𝐵 ∩ 𝐶 ∩ 𝑆)
80 = 45 + 28 + 46 − (𝑥 + 6) − (𝑦 + 6) − (𝑧 + 6) + 6
80 = 45 + 28 + 46 − 𝑥 − 6 −𝑦−6 −𝑧−6 + 6
𝑥+𝑦+𝑧 = 27
จาก (∗)
𝑥 + 13 = 27
𝑥 = 14
14 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59)
|𝑎|𝑥
= lim ( lim ( ))
a 0 x √𝑥 2 (𝑎2 +
|𝑎|
) − 𝑎𝑥
𝑥 √𝑥 2 = |𝑥|
|𝑎|𝑥
= lim ( lim ( ))
a 0 x |𝑎|
|𝑥| √𝑎2 + − 𝑎𝑥
𝑥 𝑥 → −∞ ดังนัน้ 𝑥 เป็ นลบ จึงทาให้ |𝑥| = −𝑥
|𝑎|𝑥
= lim ( lim ( ))
a 0 x |𝑎|
(−𝑥) √𝑎2 + − 𝑎𝑥
|𝑎|
𝑥
ตัด 𝑥 ทังบนและล่
้ าง
= lim ( lim ( ))
a 0 x |𝑎|
− √𝑎2 + − 𝑎
𝑥
|𝑎|
= lim
a 0 − √𝑎2 −0 − 𝑎
|𝑎|
= lim − |𝑎| − 𝑎
a 0
𝑎
𝑎 → 0+ ดังนัน้ 𝑎 เป็ นบวก จึงทาให้ |𝑎| = 𝑎
= lim
a 0 −𝑎 − 𝑎
1
= −
2
𝑥 4 −1
5. กาหนดให้ 𝑓 : ℝ → ℝ โดยที่ 𝑓(1) = 1 และสาหรับทุก 𝑥 ∈ ℝ , 𝑓 ′ (𝑥) = 𝑥 2 +1
ค่าของ 𝑓(−2) ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
ก. 1 ข. 2 ค. 3 ง. 4
ตอบ ก
𝑥 4 −1 (𝑥 2 −1)(𝑥 2 +1)
𝑓 ′ (𝑥) = 𝑥 2 +1
= 𝑥 2 +1
= 𝑥2 − 1 (ตัวส่วน 𝑥 2 + 1 ไม่มีทางเป็ น 0 อยูแ่ ล้ ว จึงตัดบนล่างได้ เลย)
𝑥3 13
อินทิเกรต จะได้ 𝑓(𝑥) = 3 − 𝑥+𝑐 → แทน 𝑥 = 1 จะได้ 𝑓(1) = 3
−1+𝑐
โจทย์กาหนด 1 =
1
−1+𝑐
3
5
3
= 𝑐
𝑥3 5 (−2)3 5
ดังนัน้ 𝑓(𝑥) = 3
−𝑥+3 → จะได้ 𝑓(−2) = 3
− (−2) + 3 = 1
𝑥𝑓(𝑥) − 2559𝑓(2559)
6. กาหนดให้ 𝑓:ℝ→ℝ เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์บน ℝ โดยที่ x lim
2559 𝑥 − 2559
= 7677
1 1
= → ∆𝐴𝐹𝐶 = 2
𝐴 𝐷 𝐶 ∆𝐴𝐹𝐶 2
∆𝐴𝐹𝐷 + ∆𝐶𝐹𝐷 = 2
แต่จาก 𝐴𝐷 = 𝐷𝐶 จะได้ พื ้นที่ ∆𝐴𝐹𝐷 = ∆𝐶𝐹𝐷 ดังนัน้ ∆𝐴𝐹𝐷 = ∆𝐶𝐹𝐷 = 1 ดังรูป 𝐵
และจาก 𝐴𝐷 = 𝐷𝐶 จะได้ ∆𝐶𝐵𝐷 = ∆𝐴𝐵𝐷 = 1 + 1 = 2
ดังนัน้ พื ้นที่ ∆𝐴𝐵𝐶 = ∆𝐴𝐵𝐷 + ∆𝐶𝐵𝐷 = 2 + 2 = 4 1
ดังนัน้ |𝐴𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗ | = พื ้นที่ ด้ านขนานทีเ่ กิดจาก 𝐴𝐵
⃗⃗⃗⃗⃗ × 𝐴𝐶 ⃗⃗⃗⃗⃗ และ 𝐴𝐶
⃗⃗⃗⃗⃗
1 1
= 2 เท่าของ พื ้นที่ ∆𝐴𝐵𝐶 = 2(4) = 8 𝐴 𝐷 𝐶
8. สาหรับเมทริ กซ์ขนาด 2 × 2 𝐴 และ 𝐵 ที่มีสมาชิกเป็ นจานวนจริง กล่าวว่า 𝐴 เป็ นชนิ ดเดียวกันกับ 𝐵 ก็ตอ่ เมื่อ มี
จานวนจริ ง 𝜆 และเมทริ กซ์ที่มีอินเวอร์ ส 𝑃 ที่ทาให้ 𝐴 = 𝜆𝑃𝐵𝑃−1 เมทริ กซ์ในข้ อใดต่อไปนี ้ไม่ เป็ นชนิดเดียวกันกับ
1 0
เมทริ กซ์
(
0 2
)
4 0 1 1 1 0 1 0
ก. (
0 2
) ข. (
0 2
) ค. (
0 1/2
) ง. (
0 3
)
ตอบ ง
เมทริ กซ์ทเี่ ป็ นชนิดเดียวกันกับ (10 0
2
) จะต้ องสามารถเขียนได้ ในรูป𝜆𝑃 (
1 0 −1
0 2
)𝑃
𝑎 𝑏 1 𝑑 −𝑏
ให้ 𝑃=( ) จะได้ 𝑃−1 = ( )
= 𝜆(
𝑎 𝑏 1 0
)( )
1
(
𝑑 −𝑏
)
𝑐 𝑑 𝑎𝑑−𝑏𝑐 −𝑐 𝑎
𝑐 𝑑 0 2 𝑎𝑑−𝑏𝑐 −𝑐 𝑎
𝜆 𝑎 2𝑏 𝑑 −𝑏
= 𝑎𝑑−𝑏𝑐 ( ) ( )
𝑐 2𝑑 −𝑐 𝑎
𝜆 𝑎𝑑 − 2𝑏𝑐 𝑎𝑏
= 𝑎𝑑−𝑏𝑐 ( ) …(∗)
−𝑐𝑑 2𝑎𝑑 − 𝑏𝑐
เราต้ องดูวา่ เมทริ กซ์ในตัวเลือกไหน ที่ไม่สามารถเขียนได้ ในรูป (∗)
สังเกตว่าทุกตัวเลือกทุกข้ อ มีสมาชิกตัวซ้ ายล่างเป็ น 0 ดังนัน้ −𝑐𝑑 = 0 จะได้ 𝑐 = 0 หรื อ 𝑑 = 0
√
10. ค่าของ 𝑎 ในข้ อใดต่อไปนี ้ทาให้ 𝑎 + √𝑎 − √𝑎 + √𝑎 − √𝑎 + √𝑎 − … = 5
ก. 19 ข. 20 ค. 21 ง. 22
ตอบ ค
√
ก้ อนถัดเข้ าไป 2 ชัน้ จะกลับไปเหมือนกับก้ อนฝั่งซ้ ายทังก้
้ อน 𝑎 + √𝑎 − √𝑎 + √𝑎 − √𝑎 + √𝑎 − … = 5
จานวนจินตภาพแท้
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
ตอบ ค
𝑧
(1) ให้ 1+𝑧 2 = 𝑘 เมื่อ 𝑘 เป็ นจานวนจริ ง
𝑥 𝑥
จะเห็นว่าทุกตัวมี cos 2 เป็ นตัวประกอบ ดังนัน้ ถ้ า cos 2 = 0 จะทาให้ สมการเป็ นจริ งได้
𝑥
กรณี cos 2 = 0 : จาก 𝑥 ∈ [0, 𝜋] จะได้ 𝑥=𝜋
𝑥 𝑥
กรณี cos 2 ≠0: หาร (∗) ตลอดด้ วย cos 2 จะเหลือ 3𝑥
2 sin
2
3𝑥
+ 2 cos = √6
2
3𝑥 3𝑥 √6
sin 2 + cos 2 = 2 …(∗∗)
ยกกาลังสอง ทัง้ 2 ข้ าง 3𝑥 3𝑥 3𝑥 3𝑥 6
sin2 2 + 2 sin 2 cos 2 + cos2 2 = 4
3𝑥 3𝑥 3𝑥 3𝑥 3
(sin2 + cos2 ) + 2 sin cos =
2 2 2 2 2
3
1 + sin 3𝑥 =
2
1
sin 3𝑥 = 2
แต่การยกกาลัง 2 ตรง (∗∗) อาจทาให้ มคี าตอบปลอม เกินมาได้ → ต้ องพิจารณาขอบเขตของ 𝑥 ใน (∗∗) ด้ วย
เนื่องจาก √26 > 1 ดังนัน้ ทัง้ sin 3𝑥
2
และ cos 3𝑥
2
ต้ องเป็ นบวกทังคู
้ ่ เพื่อรวมกันแล้ ว > 1 ดังนัน้ 3𝑥
2
ต้ องอยูใ่ น 𝑄1
แต่โจทย์ให้ 𝑥 ∈ [0, 𝜋] จะได้ 2 ∈ [0, 2 ] แต่ 2 ต้ องอยูใ่ น 𝑄1 ดังนัน้ 3𝑥
3𝑥 3𝜋 3𝑥
2
𝜋
∈ [0, 2 ]
ดังนัน้ 3𝑥 ∈ [0, 𝜋] → ถ้ า sin 3𝑥 = 12 จะได้ 3𝑥 = 𝜋6 , 5𝜋 6
ดังนัน้ 𝑥 = 18𝜋 5𝜋
, 18
𝜋 5𝜋 4𝜋
รวมคาตอบจากทัง้ 2 กรณี จะได้ ผลรวมของ 𝑥 = 𝜋 + 18 + 18 = 3
𝑧 𝑤
14. กาหนดให้ 𝑧 และ 𝑤 เป็ นจานวนเชิงซ้ อน โดยที่ 1+𝑤 = 𝑖 tan(22.5°) และ
1+𝑧
= 𝑖 tan(7.5°)
ข้ อใดต่อไปนี ้ตรงกับค่าของ 𝑧 − 𝑤
ก. (2 − √3)𝑖 ข. √13 𝑖 ค. (√3 − 2)𝑖 ง. − √13 𝑖
ตอบ ก
𝑧 𝑤
ให้ 𝑎 = 𝑖 tan(22.5°) และ 𝑏 = 𝑖 tan(7.5°) จะได้ 1+𝑤 = 𝑎 และ 1+𝑧 = 𝑏
𝑧 = 𝑎 + 𝑎𝑤 …(1) 𝑤 = 𝑏 + 𝑏𝑧 …(2)
×𝑏
𝑏𝑧 = 𝑎𝑏 + 𝑎𝑏𝑤
แทนค่า 𝑏𝑧 𝑤 = 𝑏 + 𝑎𝑏 + 𝑎𝑏𝑤
20 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59)
𝑤 − 𝑎𝑏𝑤 = 𝑏 + 𝑎𝑏
𝑏+𝑎𝑏
𝑤 = 1−𝑎𝑏
𝑏+𝑎𝑏 𝑏+𝑎𝑏
แทน 𝑤 = 1−𝑎𝑏 ใน (1) จะได้ 𝑧 = 𝑎 + 𝑎 (1−𝑎𝑏 )
𝑎𝑏−𝑎2 𝑏 𝑎−𝑎 2 𝑏 + 𝑎𝑏+𝑎2 𝑏 𝑎+𝑎𝑏
= 𝑎+ 1−𝑎𝑏
= 1−𝑎𝑏
= 1−𝑎𝑏
𝑎+𝑎𝑏 𝑏+𝑎𝑏
ดังนัน้ 𝑧−𝑤 = 1−𝑎𝑏
− 1−𝑎𝑏
=
𝑎 − 𝑏 𝑖 tan 22.5° − 𝑖 tan 7.5°
= 1−(𝑖 tan 22.5°)(𝑖 tan 7.5°) = 𝑖 tan(60° − 45°)
1−𝑎𝑏 𝑖 (tan 60° − tan 45°)
𝑖 (tan 22.5° − tan 7.5°)
𝑖 2 = −1 =
1+(tan 60°)(tan 45°)
= 1 + (tan 22.5°)(tan 7.5°) 𝑖(√3−1) √3−1
= 𝑖 tan(22.5° − 7.5°) = 𝑖 tan 15° = 1+√3
∙
√3−1
𝑖(3−2√3+1)
=
2
( หรือถ้ าจาได้ วา่ tan 15° = 2 − √3 ก็ตอบเลย )
= 𝑖(2 − √3)
3 7 𝑎
16. ถ้ า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ งซึง่ lim
x 0
(𝑥 2 +𝑥 + 𝑥 2 −𝑥 + 𝑥 3 −𝑥) = 𝑏 จงหาค่าของ 𝑎+𝑏
ตอบ −14
3 7 𝑎 3 7 𝑎
𝑥 2 +𝑥
+ 𝑥 2 −𝑥 + 𝑥 3 −𝑥 = 𝑥(𝑥+1)
+ 𝑥(𝑥−1) + 𝑥(𝑥−1)(𝑥+1)
=
3(𝑥−1) + 7(𝑥+1) + 𝑎 ถ้ า 4 + 𝑎 ≠ 0 จะหาค่าลิมิตไม่ได้
𝑥(𝑥−1)(𝑥+1)
10𝑥 + 4 + 𝑎
=
𝑥(𝑥−1)(𝑥+1)
→ ถ้ า 𝑥 → 0 จะได้ 4+𝑎 0
แต่โจทย์ให้ หาลิมิตได้ = 𝑏 ดังนัน้ 4+𝑎= 0
10𝑥 𝑎 = −4
= 𝑥(𝑥−1)(𝑥+1)
10 10
= (𝑥−1)(𝑥+1)
→ แทน 𝑥 → 0 ใหม่ จะได้ ลมิ ิต (−1)(1)
= −10
จะได้ 𝑏 = −10
ดังนัน้ 𝑎 + 𝑏 = −4 + −10 = −14
17. จงหาจานวนเต็มบวก 𝑛 ที่น้อยที่สดุ ที่ทาให้ จานวนเต็ม 111⋯1 ซึง่ ประกอบด้ วยเลขโดด 1 เป็ นจานวน 𝑛 ตัว หาร
ด้ วย 7 ลงตัว
ตอบ 6
15873 หารยาวไปเรื่ อยๆ จนกว่าจะลงตัว
7 11111111…
7
เนื่องจากเศษจากการหารด้ วย 7 มีแค่ 7 แบบ (คือ 0, 1, 2, … , 6)
41 ดังนัน้ รับประกันได้ วา่ หารไม่เกิน 7 รอบ ต้ องรู้คาตอบ
35
61
(คือภายใน 7 รอบ ต้ องหารลงตัว หรื อไม่ก็วนซ ้าเศษตัวเดิมแบบไม่ร้ ูจบ)
56
51
49
21
21 จะเห็นว่าหารลงตัว เมื่อเศษ = 111111 → มี 1 จานวน 6 ตัว → 𝑛=6
18. กาหนดให้ 𝐴 เป็ นจุดยอดทางด้ านหนึง่ ของไฮเพอร์ โบลา 𝑥 2 − 𝑦 2 = 3 และ 𝐵 และ 𝐶 เป็ นจุดสองจุดบนอีกด้ าน
หนึง่ ของไฮเพอร์ โบลาที่ทาให้ 𝐴𝐵𝐶 เป็ นสามเหลีย่ มด้ านเท่า จงหาพื ้นที่ของสามเหลีย่ ม 𝐴𝐵𝐶
ตอบ 9√3
2 2 𝐵(𝑎, 𝑏)
จัดรูป ได้ 𝑥3 − 𝑦3 = 1 → จะได้ จดุ ยอดคือ (±√3 , 0)
จากความสมมาตร ถ้ า พิกดั 𝐵 คือ (𝑎, 𝑏) จะได้ พิกดั 𝐶 คือ (𝑎, −𝑏) ดังรูป
𝐴(−√3 , 0)
∆ 𝐴𝐵𝐶 เป็ น ∆ ด้ านเท่า → 𝐴𝐵 = 𝐵𝐶
𝐶(𝑎, −𝑏)
√(𝑎 − (−√3) )2 + (𝑏 − 0)2 = 𝑏 − (−𝑏)
และเนื่องจาก (𝑎, 𝑏) อยูบ่ นไฮเพอร์ โบลา
√(𝑎 + √3)2 + 𝑏2 = 2𝑏 จึงต้ องสอดคล้ องกับสมการไฮเพอร์ โบลา
2 2
(𝑎 + √3) + 𝑏 = 4𝑏 2 𝑎2 − 𝑏 2 = 3
𝑎2 + 2√3𝑎 + 3 = 3𝑏 2 𝑎2 − 3 = 𝑏 2 …(∗)
𝑎2 + 2√3𝑎 + 3 = 3(𝑎2 − 3)
𝑎2 + 2√3𝑎 + 3 = 3𝑎2 − 9
22 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59)
0 = 2𝑎2 − 2√3𝑎 − 12
0 = 𝑎2 − √3𝑎 − 6
0 = (𝑎 + √3)(𝑎 − 2√3)
𝑎 = −√3 , 2√3 → (𝑎, 𝑏) อยูใ่ น 𝑄1 ดังนัน้ 𝑎, 𝑏 ต้ องเป็ นบวก
2
แทน 𝑎 = 2√3 ใน (∗) เพื่อหา 𝑏 จะได้ (2√3) − 3 = 𝑏 2
9 = 𝑏2
3 = 𝑏 (𝑏 ต้ องเป็ นบวก)
จะได้ 𝐵𝐶 = 𝑏 − (−𝑏) = 3 − (−3) = 6 ดังนัน้ พื ้นที่ ∆ 𝐴𝐵𝐶 = √43 × ด้ าน2 =
√3
4
(62 ) = 9√3
(เมื่อ 𝑥 เป็ น 0 หรื อติดลบ จะคิดได้ โดยแทน 𝑥 = 0 หรื อติดลบ แล้ วแก้ สมการ จะได้ ผลในลักษณะเดียวกัน)
จะเห็นว่า 𝑓(𝑥) < 0 เมื่อ 𝑥 เป็ นช่องที่ 2 หรื อ 3 ของแต่ละรอบ → 𝑥 = 4𝑛 + 2 , 4𝑛 + 3
20. กาหนดให้ สามี ภรรยา จานวน 4 คู่ มานัง่ รอบโต๊ ะกลม จงหาจานวนวิธีทงหมดในการจั
ั้ ดที่นงั่ โดยที่ผ้ ชู ายนัง่ สลับกับ
ผู้หญิง และ ไม่ให้ มีสามีภรรยาคูใ่ ดเลยนัง่ ติดกัน
ตอบ 12
ให้ สามี คือ H1 , H2 , H3 , H4 และ ภรรยา คือ W1 , W2 , W3 , W4 H1
เอา H1 ตอกไว้ ไม่ให้ วงหมุน H H
เนื่องจาก ชาย หญิง ต้ องนัง่ สลับกัน จึงเหลือที่นงั่ ให้ H2, H3, H4 แค่ 3 ที่
H
ดังนัน้ เลือกที่นงั่ ให้ H2, H3, H4 จะเลือกได้ 3! แบบ
ถัดมา W1 ต้ องไม่นงั่ ติดกับ H1 → เลือกได้ ซ้ ายล่าง หรื อไม่ก็ขวาล่าง ได้ 2 แบบ
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59) 23
เนื่องจาก W2, W3, W4 มีที่นงั่ ที่ไม่ติดกับสามีของตน 2 แบบเช่นกัน ดังนัน้ เมื่อ W1 ได้ ที่นงั่ แล้ ว W1 จะแย่งที่นงั่ 1 ที่
จาก 2 ที่ของ W อีกคนไป ทาให้ W คนนัน้ ไม่เหลือทางเลือกและต้ องถูกบังคับนัง่ ซึง่ W คนนัน้ ก็จะไปแย่งที่นงั่ ของ W
คนอื่นต่อไปอีกเป็ นทอดๆ → เช่นกรณี W1 เลือกนัง่ ซ้ ายล่าง จะเป็ นดังนี ้
H1 H1 H1 H1
Wa Wa Wb Wa Wb
× ×
Hc Ha Hc Ha Hc Ha Hc Ha
×
W1 W1 W1 W1 Wc
Hb Hb Hb Hb
(กรณี W1 เลือกนัง่ ขวาล่าง ก็ทาแบบเดียวกัน แค่สลับซ้ ายขวา)
ดังนัน้ จะมี W1 แค่คนเดียว ที่มสี ทิ ธิเลือกที่นงั่ ได้ ได้ 2 แบบ → จะได้ จานวนแบบทังหมด
้ = 3! × 2 = 12 แบบ
𝜋 𝜋
= ( − (arcsin 𝑥 − arcsin 𝑦))( + (arcsin 𝑥 − arcsin 𝑦))
2 2
𝜋 2 (น − ล)(น + ล) = น2 − ล2
= ( ) − (arcsin 𝑥 − arcsin 𝑦)2
2
𝜋 2
ค่าสูงสุด 𝑆 จะเกิดเมื่อ (arcsin 𝑥 − arcsin 𝑦)2 ต่าสุด นัน่ คือเมื่อ arcsin 𝑥 = arcsin 𝑦 จะได้ 𝑆 = (2)
𝜋 𝜋
ค่าตา่ สุด 𝑇 จะเกิดเมื่อ (arcsin 𝑥 − arcsin 𝑦)2 มากสุด เช่นเมื่อ arcsin 𝑥 = 2 และ arcsin 𝑦 = − 2
2
𝜋 2 𝜋 𝜋 𝜋 2
จะได้ 𝑇 = ( 2 ) − ( 2 − (− 2 )) = ( 2 ) − 𝜋 2
𝜋 2 𝜋 2
ดังนัน้ 𝑆 − 𝑇 = ( ) − (( ) − 𝜋 2 ) = 𝜋 2
2 2
สิง่ ที่ต้องระวังของข้ อนี ้ คือ ต้ องหา 𝑏 จาก Med ของข้ อมูล 𝑥𝑖 ไม่ใช่จากตารางอันตรภาคชันที
้ ่โจทย์กาหนด
หา 𝑥̅ โดยวิธีลดทอนข้ อมูล (หาตรงๆก็ได้ แต่คิดเลขเยอะ)
𝑥𝑖 𝑓𝑖 𝑥𝑖 −69.5 𝑓𝑖 𝑑𝑖
𝑑𝑖 = 20
29.5 3 −2 −6 8
49.5 8 −1 −8
จะได้ 𝑑̅ = −
30
69.5 13 0 0 𝑥̅ – 69.5 8
ดังนัน้ = − 30
89.5 6 1 6 20
16
30 −8 𝑥̅ = − + 69.5 = 𝑎
3
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59) 25
หา Med จากความถี่สะสม
𝑥𝑖 𝑓𝑖 𝐹𝑖
29.5 3 3 ข้ อมูลไม่ได้ เป็ นอันตรภาคชัน้ → ใช้ 𝑁 + 1 เป็ นตัวหาร
49.5 8 11 จะได้ Med อยูต่ วั ที่ 30+1 = 15.5 → อยูช่ นที
ั ้ ่ 3 (𝐹𝑖 เริ่ มเกิน 15.5 ในชันที
้ ่ 3)
69.5 13 24 2
89.5 6 30 จะได้ Med = 69.5 = 𝑏
16 16
ดังนัน้ 𝑎−𝑏 = −
3
+ 69.5 − 69.5 = −
3
ขันที
้ ่ 2 เรี ยงกลุม่ หมุนทัง้ 2 กลุม่ เป็ นวงกลม ได้ (3 − 1)! (3 − 1)! = 4 วิธี
(ที่เหลืออีก 1 ตัว ต้ องโยงไปที่ตวั เดิม เลือกไม่ได้ )
รวมจานวนแบบ = 70 × 4 = 280 แบบ
รวมทุกกรณี จะได้ จานวนฟั งก์ชนั 𝑓 คือ 1 + 70 + 280 = 351 ฟั งก์ชนั
26 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59)
พิจารณา √184 − 7𝑑2 → เนื่องจาก ในรูทต้ อง ≥ 0 และ 𝑑2 ≥ 0 ดังนัน้ 0 ≤ 184 − 7𝑑2 ≤ 184
เนื่องจาก 𝑝, 𝑞, 𝑟 เป็ นจานวนเต็ม ดังนัน้ 𝑑 ต้ องเป็ นจานวนเต็ม ซึง่ จะทาให้ 184 − 7𝑑2 ต้ องถอดรูทลงตัว
ดังนัน้ ค่าทีเ่ ป็ นไปได้ ของ 184 − 7𝑑2 จะมีแค่ 02 , 12 , 22 , 32 , … , 132 (142 = 196 จะเกิน 184)
และเนื่องจาก 184 หารด้ วย 7 เหลือเศษ 2 และ 7𝑑2 หารด้ วย 7 ลงตัว ดังนัน้ 184 − 7𝑑2 หารด้ วย 7 เหลือเศษ 2
และใน 02, 12, 22, … , 62 จะมีแค่ 32 กับ 42 เท่านัน้ ที่หารด้ วย 7 เหลือเศษ 2
ดังนัน้ 184 − 7𝑑2 ต้ องอยูใ่ นรูป (7𝑘 + 3)2 หรื อ (7𝑘 + 4)2 เท่านัน้
ดังนัน้ ค่าทีเ่ ป็ นไปได้ ของ 184 − 7𝑑2 จะเหลือแค่ 32 , 42 , 102 , 112
184 − 7𝑑2 = 32 184 − 7𝑑2 = 42 184 − 7𝑑2 = 102 184 − 7𝑑2 = 112
175 = 7𝑑2 168 = 7𝑑2 84 = 7𝑑2 63 = 7𝑑2
25 = 𝑑2 24 = 𝑑2 12 = 𝑑2 9 = 𝑑2
±5 = 𝑑 ไม่ลงตัว ไม่ลงตัว ±3 = 𝑑
แทนใน (∗) แทนใน (∗)
−(±5) ± 3 −(±3) ± 11
𝑝 = 2
𝑝 = 2
ไม่เป็ นจานวนเฉพาะ จะเห็นว่า −(−3)+ 11
= 7 เป็ นจานวนเฉพาะ
2
ดังนัน้ จะได้ 𝑑 = −3 , 𝑝 = 7
จะได้ 𝑝𝑞𝑟 = (7)(4)(1) = 28
29. คณะกรรมการชุดหนึง่ ประกอบไปด้ วยกรรมการ 20 คน ซึง่ ทุกคนต้ องโหวตจัดอันดับนักเตะสามคน ได้ แก่ เมสซี่
โรนัลโด้ และ ชัวเรส โดยที่กรรมการแต่ละคนจะเลือกจัดอันดับได้ คนละแบบเท่านัน้ ผลปรากฏว่า กรรมการ 11 คนให้
เมสซี่เหนือกว่าโรนัลโด้ กรรมการ 12 คนจัดให้ ชวั เรสเหนือกว่าเมสซี่ และกรรมการอย่างน้ อย 14 คนให้ โรนัลโด้
เหนือกว่าชัวเรส ถ้ าแต่ละการจัดอันดับที่เป็ นไปได้ ของนักเตะทังสามคน
้ (ซึง่ มีอยู่ 6 แบบ) ถูกเลือกโดยกรรมการอย่าง
น้ อยหนึง่ คน จงหาว่ามีกรรมการจานวนกี่คนที่โหวตให้ โรนัลโด้ ได้ อยูใ่ นอันดับที่ 1
ตอบ 8
อันดับ จานวนกรรมการ ให้ การจัดอันดับ เมสซี่ (M) โรนัลโด้ (R) และ ชัวเรส (S) ถูกเลือกดังตาราง
M,R,S 𝑎 มีกรรมการ 20 คน → 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 + 𝑑 + 𝑒 + 𝑓 = 20 …(1)
M,S,R 𝑏
R,M,S 𝑐 11 คน ให้ M เหนือ R → 𝑎+𝑏+𝑒 = 11 …(2)
R,S,M 𝑑 12 คน ให้ S เหนือ M → 𝑑+𝑒+𝑓 = 12 …(3)
S,M,R 𝑒
S,R,M 𝑓 อย่างน้ อย 14 คน ให้ R เหนือ S → 𝑎 + 𝑐 + 𝑑 ≥ 14 …(4)
3 3 3 3
แทน 𝑏 = 2 − 2𝑎 จาก (∗) จะได้ พื ้นที่ = (2−2𝑎) 6𝑎 2
2 (1−𝑎)
= 6𝑎2 = 3𝑎2
4(1−𝑎)
=
−12𝑎(1−𝑎)2 (3𝑎 + 2(1−𝑎)) วงเล็บกาลังคู่
9𝑎 4
→ ไม่ต้องสลับ มีลบอยูห ่ น้ าสุด
4(1−𝑎)2 (𝑎 + 2)
= − 3𝑎 3
− + − − → เริ่ มที่ ลบ
−2 0 1
จะเห็นว่าอนุพนั ธ์เปลีย่ นจากลบเป็ นบวก เมื่อ 𝑎 = −2 → แทนใน (∗) ได้ 𝑏 = 2 − 2(−2) = 6
จะได้ สมการพาราโบลาคือ 𝑦 = −2𝑥 2 + 6𝑥
31. ให้ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวกที่มากกว่า 1 ให้ 𝐼𝑛 แทนเมทริ กซ์เอกลักษณ์ขนาด 𝑛 × 𝑛 และ 𝐽𝑛 แทนเมทริ กซ์ขนาด
𝑛 × 𝑛 ที่มีสมาชิกทุกตัวเป็ น 1 จงหาจานวนเต็มบวก 𝑘 ที่น้อยที่สดุ ที่ทาให้ มจี านวนเฉพาะ 𝑝 สอดคล้ องกับ
สมการ det(𝑝𝐼𝑛 + 𝑘𝐽𝑛 ) = 672
ตอบ 8
หมายเหตุ : ข้ อนี ้ โจทย์ควรระบุตวั บ่งปริ มาณให้ 𝑛 ด้ วย โจทย์ควรจะถามค่า 𝑘 ที่น้อยที่สดุ “สาหรับ 𝑛 บางตัว” สาหรับ 𝑝
บางตัว ที่สอดคล้ องกับสมการ det(𝑝𝐼𝑛 + 𝑘𝐽𝑛 ) = 672
1 0 0 ⋯ 0 1 1 11 𝑝+𝑘
⋯ 𝑘 𝑘 ⋯ 𝑘
0 1 0 ⋯ 0 1 1 11 ⋯𝑘 𝑝 + 𝑘 𝑘 ⋯ 𝑘
𝑝𝐼𝑛 + 𝑘𝐽𝑛 = 𝑝 0 0 1 ⋯ 0 +𝑘 1 1 11 = ⋯𝑘 𝑘 𝑝+𝑘 ⋯ 𝑘
⋮ ⋮ ⋮ ⋱ ⋮ ⋮ ⋮ ⋮⋮ ⋱⋮ ⋮ ⋮ ⋱ ⋮
[0 0 0 ⋯ 1] [1 1 11] [ 𝑘⋯ 𝑘 𝑘 ⋯ 𝑝 + 𝑘]
𝑝+𝑘 𝑘 𝑘 𝑘 ⋯ 𝑘
−𝑝 𝑝 0 0 ⋯ 0
| −𝑝 0 𝑝 0 ⋯ 0|
จะเปลีย่ นรูปให้ มี 0 เยอะๆ : | 𝑝𝐼𝑛 + 𝑘𝐽𝑛 | ทุกแถว − 𝑅1
| −𝑝 0 0 𝑝 ⋯ 0|
~
⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋱ ⋮
−𝑝 0 0 0 ⋯ 𝑝
𝑝 + 𝑛𝑘 𝑘 𝑘 𝑘 ⋯ 𝑘
0 𝑝 0 0 ⋯ 0
| 0 0 𝑝 0 ⋯ 0|
𝐶1 + ทุกแถว
| 0 0 0 𝑝 ⋯ 0|
~
⋮ ⋮ ⋮ ⋮ ⋱ ⋮
0 0 0 0 ⋯ 𝑝
ใต้ เส้ นทแยงมุมหลักเป้น 0 หมด → det = ผลคูณเส้ นทแยงมุมหลัก = (𝑝 + 𝑛𝑘) 𝑝𝑛−1
ดังนัน้ ต้ องหา 𝑘 ที่น้อยที่สดุ ที่ทาให้ (𝑝 + 𝑛𝑘) 𝑝𝑛−1 = 672 → ต้ องให้ 𝑝 กับ 𝑛 มากๆ ถึงจะได้ 𝑘 น้ อยๆ
แยกตัวประกอบ 672 จะได้ 25 ∙ 3 ∙ 7 ดังนัน้ 𝑝 เป็ น 2 , 3 , 7 ได้ เท่านัน้
กรณี 𝑝 = 2 จะได้ (2 + 𝑛𝑘)2𝑛−1 = 25 ∙ 3 ∙ 7 → 𝑛 มากสุดคือ 6
กรณี 𝑛 = 6 จะได้ (2 + 6𝑘)25 = 25 ∙ 3 ∙ 7 → 2 + 6𝑘 = 21 → 𝑘 = 196 ไม่เป็ นจานวนเต็ม
กรณี 𝑛 = 5 จะได้ (2 + 5𝑘)24 = 25 ∙ 3 ∙ 7 → 2 + 5𝑘 = 42 → 𝑘 = 8
กรณี 𝑛 น้ อยกว่านี ้ ไม่ต้องทาแล้ ว เพราะไม่มีทางได้ 𝑘 < 8 แล้ ว (𝑛 ยิ่งน้ อย 𝑘 จะยิ่งมาก)
30 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59)
32. สุม่ เลือกจานวนเต็มบวกจากเซต {1, 2, … , 50} มาหนึง่ จานวน จงหาความน่าจะเป็ นทีจ่ ะได้ จานวนเต็มบวก 𝑁 ซึง่
𝑁 − 2 หาร 𝑁 5 + 𝑁 4 + 𝑁 3 + 𝑁 2 + 𝑁 + 2 ลงตัว
7
ตอบ 50
จากทฤษฎีเศษ 𝑁 − 2 หาร 𝑁 5 + 𝑁 4 + 𝑁 3 + 𝑁 2 + 𝑁 + 2 เหลือเศษ = 25 + 24 + 23 + 22 + 2 + 2
= 32 +16 + 8 + 4 + 2 + 2 = 64
ดังนัน้ จะหารลงตัว เมื่อ 𝑁−2 หาร 64 ลงตัว ดังนี ้
𝑁 − 2 = ±1 , ±2 , ±4 , ±8 , ±16 , ±32 , ±64
𝑁 = ±1+2 , ±2+2 , ±4+2 , ±8+2 , ±16+2 , ±32+2 , ±64+2 เลือกเฉพาะที่อยูใ่ น
= 1,3 , 4 , 6 , 10 , 18 , 34
7 {1, 2, 3, … , 50}
→ มี 7 ตัว ดังนัน้ ความน่าจะเป็ น = 50
1
33. กาหนดให้ 𝑃1 = 2559 และ 𝑃𝑛 = 1 + (𝑃1 𝑃2 ⋯ 𝑃𝑛−1 ) เมื่อ 𝑛 = 2, 3, 4, … จงหาค่าของ
n 1 𝑃𝑛
2
ตอบ 2559
1
จัดรูป 𝑃𝑛
ให้ เป็ นผลลบ เพื่อทาเทเลสโคปิ ค 𝑃𝑛 = 1 + (𝑃1 𝑃2 ⋯ 𝑃𝑛−1 )
𝑃𝑛
=
1
+
𝑃1 𝑃2 ⋯𝑃𝑛−1 ÷ 𝑃1 𝑃2 ⋯ 𝑃𝑛 ตลอด
𝑃1 𝑃2 ⋯𝑃𝑛 𝑃1 𝑃2 ⋯𝑃𝑛 𝑃1 𝑃2 ⋯𝑃𝑛
1 1 1
= +
𝑃1 𝑃2 ⋯𝑃𝑛−1 𝑃1 𝑃2 ⋯𝑃𝑛 𝑃𝑛
1 1 1
𝑃1 𝑃2 ⋯𝑃𝑛−1
−𝑃 =
1 𝑃2 ⋯𝑃𝑛 𝑃𝑛
1 1 1 1 1
ดังนัน้ 𝑃
= 𝑃1
+ 𝑃2
+ 𝑃3
+ 𝑃4
+…
n 1 𝑛
1 1 1 1 1 1 1
= 𝑃1
+ (𝑃 − 𝑃 ) + (𝑃 −𝑃 ) +(𝑃 −𝑃 )+…
1 1 𝑃2 1 𝑃2 1 𝑃2 𝑃3 1 𝑃2 𝑃3 1 𝑃2 𝑃3 𝑃4
1 1 1 1 1 1 1
= 𝑃1
+ 𝑃1
−𝑃 + −𝑃 +𝑃 −𝑃 +…
1 𝑃2 𝑃1 𝑃2 1 𝑃2 𝑃3 1 𝑃2 𝑃3 1 𝑃2 𝑃3 𝑃4
1 1 2 2
เหลือผลบวก = 𝑃1
+𝑃 = 𝑃1
= 2559
1
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 59) 31
เครดิต
ขอบคุณ คุณ Wasanont TeacherPomme Pongsawat สาหรับข้ อสอบครับ
ขอบคุณ คุณ บุญช่วย ฤทธิเทพ
และ คุณ สารศิลป์ ทับทิมทอง ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของเอกสารครับ