Professional Documents
Culture Documents
60) 1
1 May 2018
ข้ อใดต่อไปนี ้ไม่ถกู ต้ อง
ก. [−𝑛 + 𝑛1 1
, 𝑛 − 𝑛) = ℝ ข. (− 𝑛1 , 1
𝑛
) = {0}
n 1 n 1
ค. (𝑛1 1
, 1 − 𝑛] = (0, 1] ง. 1
(0, 1 + 𝑛] = (0, 1 + 𝑛)
1
n 1 n 1 n 1
6. นักวิ่งสองคน 𝐴 และ 𝐵 กาลังจะวิง่ แข่งบนลูว่ ิ่งทีเ่ ป็ นเส้ นรอบวงของวงกลมรัศมี 𝑟 เมตร เป็ นจานวน 50 รอบ ถ้ านักวิง่
เริ่ มต้ นวิง่ ที่จดุ เดียวกันและวิง่ ไปในทิศทางเดียวกันด้ วยความเร็ วคงที่ โดย 𝐴 วิ่งด้ วยความเร็ว 𝑎 เมตรต่อนาที และ 𝐵
วิ่งด้ วยความเร็ว 𝑏 เมตรต่อนาที โดยที่ 𝑎 > 𝑏 เมื่อการแข่งขันเสร็ จสิ ้น พบว่า 𝐴 ได้ วิ่งแซงรอบ 𝐵 ไปเป็ นจานวนทังสิ ้ ้น
17 รอบ ข้ อใดต่อไปนี ้คือค่าที่เป็ นไปได้ ของ 𝑏/𝑎
ก. 0.631 ข. 0.640 ค. 0.651 ง. 0.661
8. กาหนดให้ มีข้อมูลของตัวอย่าง ชุด 𝐴 ประกอบด้ วย 0, 10, 20, 30, 40, 50, 60, 70, 80, 90
ชุด 𝐵 ประกอบด้ วย 0, 20, 40, 60, 80, 100, 120, 140, 160, 180
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(1) ข้ อมูลชุด 𝐴 มีสมั ประสิทธิ์ของพิสยั มากกว่าข้ อมูลชุด 𝐵
(2) ข้ อมูลชุด 𝐴 มีสมั ประสิทธิ์ของการแปรผันมากกว่าข้ อมูลชุด 𝐵
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
4 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60)
ก. 13 ข. 14 ค. 15 ง. ไม่มีข้อใดถูกต้ อง
11. กาหนดให้ (𝑎𝑛 )∞ 𝑛=1 และ (𝑏𝑛 )𝑛=1 เป็ นลาดับของจานวนจริ งซึง
∞
่ 𝑎𝑛 < 𝑏𝑛 ทุก 𝑛 = 1, 2, 3, …
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(1) ถ้ าลาดับ (𝑎𝑛 )∞
𝑛=1 และ (𝑏𝑛 )𝑛=1 ลูเ่ ข้ า แล้ ว lim 𝑎𝑛 < lim 𝑏𝑛
∞
n n
(2) ถ้ าอนุกรม 𝑎𝑛 และ 𝑏𝑛 ลูเ่ ข้ า แล้ ว 𝑎𝑛 < 𝑏𝑛
n 1 n 1 n 1 n 1
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60) 5
17. กาหนดให้ 𝑎⃗ และ 𝑏⃗⃗ เป็ นเวกเตอร์ หนึง่ หน่วย ถ้ าเวกเตอร์ 𝑎⃗ + 2𝑏⃗⃗ ตังฉากกั
้ บเวกเตอร์ 5𝑎⃗ − 4𝑏⃗⃗ แล้ ว ความยาว
รอบรูปมากสุดที่เป็ นไปได้ ของรูปสามเหลีย่ มทีม่ ี 𝑎⃗ และ 𝑏⃗⃗ เป็ นด้ านประกอบสองด้ าน มีคา่ เท่ากับเท่าใด
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60) 7
18. กาหนดให้ 𝑃 เป็ นจุดจุดหนึง่ ที่ไม่เป็ นจุดยอดบนไฮเพอร์ โบลา 𝑥 2 − 𝑦 2 = 9 ถ้ า 𝑃𝐹1 ∙ 𝑃𝐹2 = 25 เมื่อ 𝐹1 และ
𝐹2 เป็ นจุดโฟกัสของไฮเพอร์ โบลาดังกล่าวแล้ ว รู ปสามเหลีย่ ม 𝑃𝐹1 𝐹2 มีพื ้นที่เท่ากับเท่าใด
19. ถ้ า 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 1 ทุก 𝑥 ∈ [−2, 3] แล้ วพื ้นที่ใต้ เส้ นโค้ ง 𝑦 = |𝑓(𝑥)| ที่อยูเ่ หนือแกน 𝑋 บนช่วงปิ ด [−2, 3]
มีคา่ เท่ากับเท่าใด
20. ให้ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนเต็มบวกโดยที่ 𝑥<𝑦 และสอดคล้ องกับสมการ 𝑥 2 + 𝑦 2 = 2017 จงหาค่าของ 𝑦
8 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60)
8
21. กาหนดให้ 𝑥 > 1 และ 𝑦>1 สอดคล้ องกับสมการ log 𝑦 𝑥 − log 𝑥 𝑦 = 3 แล้ ว ค่าต่าสุดของ 𝑥 − 12𝑦
เท่ากับเท่าใด
23. กาหนดให้ 𝐴 = {𝑎∈ℝ : สมการ ln(𝑎𝑥 − 3) − ln(3 − 𝑥) = ln(𝑥 − 2) มีผลเฉลยเพียงหนึง่ เดียว } และ
𝐵 = { 𝑏 ∈ ℝ : |𝑏 − 1| < |6 − 4𝑏| }
จงหา 𝐴∩𝐵
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60) 9
24. บทนิยาม สาหรับเมทริ กซ์ 𝐴 ใดๆ ซึง่ มีสมาชิกเป็ นจานวนเต็ม และสาหรับจานวนเต็มบวก 𝑛 ใดๆ นิยาม 𝐴 mod 𝑛
ให้ เป็ นเมริ กซ์ทมี่ ีมิตเิ ท่ากับมิติของ 𝐴 และสมาชิกตาแหน่งใดๆของ 𝐴 mod 𝑛 ได้ จากเศษเหลือที่ได้ จากการหาร
3 4 0 1
สมาชิกในตาแหน่งนันของ
้ 𝐴 ด้ วย 𝑛 เช่น ถ้ า 𝐴 = [
2 5
] แล้ ว จะได้ วา่ 𝐴 mod 3 = [
2 2
]
𝑎 𝑏
ให้ 𝑋 = {[ ] ∶ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ {0,1,2}}
𝑐 𝑑
จานวนเมทริ กซ์ 𝐴 ∈ 𝑋 ทังหมดที
้ ่มีสมบัติ 𝐴2 mod 3 = 𝐼 เท่ากับเท่าใด
25. สุม่ เลือกจานวนเต็ม 𝑎 และ 𝑏 จากเซตของจานวนเต็ม {1, 2, … , 100} ความน่าจะเป็ นที่จะสุม่ ได้ 𝑎 และ 𝑏 ซึง่ ทา
ให้ 7𝑎 + 𝑏 หารด้ วย 10 ลงตัวเท่ากับเท่าใด
3
31. จงหาค่าของ lim
x
𝑥 2 (√𝑥 + 1 + √𝑥 − 1 − 2√𝑥)
4 1
32. จงหาผลรวมของค่า 𝑥 ทังหมดในช่
้ วง [0, 2𝜋] ซึง่ สอดคล้ องกับสมการ sec 𝑥 − 2 tan 𝑥
− sec 𝑥 + tan 𝑥 = 3√3
12 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60)
34. กาหนดให้ 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเมทริ กซ์ขนาด 5 × 5 ซึง่ 𝐴 , 𝐵 และ 𝐵−1 − 𝐴 เป็ นเมทริ กซ์ไม่เอกฐาน
จงหา (𝐴−1 + (𝐵−1 − 𝐴)−1 )−1 (ตอบในรูปของเมทริ กซ์ 𝐴 และ 𝐵 โดยไม่ใช้ เครื่ องหมายอินเวอร์ ส)
1 1 1
35. จงหาจานวนจริง 𝑥 ทังหมดที
้ ่สอดคล้ องกับสมการ 𝑥 − tan 20°
+ 𝑥 + tan 40° + 𝑥 − tan 80° = 0
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60) 13
เฉลย
28
1. ค 10. ง 19. 3
28. (52) 4! 6!
5
2. ก 11. ค 20. 44 29. 0, 4
, 2
737
3. ค 12. ข 21. −16 30. 48
4. ค 13. ค 22. 495 31. −0.25
13𝜋
5. ก 14. ข 23. (1, 1.4) 32. 6
1
6. ค 15. ค 24. 14 33. 𝑥 = 𝑒 , 𝑎 = 𝑒𝑒
7. ข 16. 𝑥2𝑥
2 +1 25. 1 34. 𝐴 − 𝐴𝐵𝐴
4 1
8. ง 17. 2 + √3 26. (3,3 ) 35. √3 ± 2
9. ก 18. 12 27. [𝑎, ∞)
แนวคิด
1. สาหรับเซตย่อย 𝐴1 , 𝐴2 , … , 𝐴𝑛 , … ใน ℝ ใดๆ นิยาม
𝐴𝑛 := { 𝑥 ∈ ℝ | มีจานวนนับ 𝑛 ซึง่ 𝑥 ∈ 𝐴𝑛 } และ 𝐴𝑛 := { 𝑥 ∈ ℝ | 𝑥 ∈ 𝐴𝑛 ทุกจานวนนับ 𝑛 }
n 1 n 1
ข้ อใดต่อไปนี ้ไม่ถกู ต้ อง
ก. [−𝑛 + 𝑛1 , 𝑛− ) = ℝ
1
𝑛
ข. (− 𝑛1 , 1
𝑛
) = {0}
n 1 n 1
ค. (𝑛1 1
, 1 − 𝑛] = (0, 1] ง. 1
(0, 1 + 𝑛] = (0, 1 + 𝑛)
1
n 1 n 1 n 1
ตอบ ค
ก. เมื่อ 𝑎 เป็ นจานวนจริ งใดๆ จะเห็นว่า 𝑎 ∈ [−𝑛 + 𝑛1 , 𝑛 − 𝑛1 ) ได้ เสมอ เมื่อ 𝑛 เป็ นจานวนนับที่มีคา่ มากพอ
เช่น เมื่อ 𝑛 = ⌈|𝑎|⌉ + 2 จะได้ 3 ∈ [−5 + 15 , 5 − 15) , 91.9 ∈ [−93 + 931 , 93 − 931 )
1 1
−5.1 ∈ [−7 + 7 , 7 − 7) เป็ นต้ น
ดังนัน้ จานวนจริงทุกจานวน จะอยูใ่ น [−𝑛 + 𝑛1 , 𝑛 − 𝑛) →
1
ก. ถูก
n 1
ข. จะเห็นว่า 0 ∈ (− 𝑛1 , 𝑛1 ) สาหรับทุกจานวนนับ 𝑛
และเมื่อ 𝑎 ≠ 0 จะสามารถหา 𝑛 ที่ 𝑎 ∉ (− 𝑛1 , 𝑛1 ) ได้ เสมอ เมื่อ 𝑛 เป็ นจานวนนับที่มีคา่ มากพอ
เช่น เมื่อ 𝑛 = ⌈|𝑎1|⌉ จะได้ 3 ∉ (− 11 , 11) , 0.05 ∉ (− 20 1 1
, 20) เป็ นต้ น
ดังนัน้ 0 จะเป็ นจานวนเดียวเท่านัน้ ที่อยูใ่ น (− 𝑛1 , 1
𝑛
) → ข. ถูก
n 1
1 1 1 1
ค. ไม่วา่ 𝑛 จะเป็ นจานวนนับอะไรก็ตาม จะเห็นว่า 1 ∉ (𝑛 , 1 − 𝑛] ดังนัน้ 1 ∉ (𝑛 , 1 − 𝑛]
n 1
1 1
แต่ 1 ∈ (0, 1] ดังนัน้ (𝑛 , 1 − 𝑛] ≠ (0, 1] → ค. ผิด
n 1
ง. จะแสดงว่าทังฝั
้ ่งซ้ ายและฝั่งขวา ต่างก็เท่ากับ (0, 1] ทังคู
้ ่
เมื่อ 𝑎 ∈ (0, 1] จะเห็นว่า (0, 1] ⊂ (0, 1 + 𝑛] และ (0, 1] ⊂ (0, 1 + 𝑛1 ) สาหรับจานวนนับ 𝑛 ทุกตัว
1
เมื่อ 𝑎 > 1 จะมี 𝑛 ที่ 𝑎 ∉ (0, 1 + 𝑛1 ] และ 𝑎 ∉ (0, 1 + 𝑛1 ) เสมอ เมื่อ 𝑛 เป็ นจานวนนับทีม่ ีคา่ มากพอ
1 1
เช่น เมื่อ 𝑛 = ⌈𝑎−1 ⌉ + 1 จะได้ 3 ∉ (0, 1 + 1] และ 3 ∉ (0, 1 + 11)
1 1
1.1 ∉ (0, 1 + 11] และ 1.1 ∉ (0, 1 + 11) เป็ นต้ น
ดังนัน้ จะมีแค่ (0, 1] เท่านัน้ ที่อยูท่ งฝั
ั ้ ่งซ้ ายและฝั่งขวา → ง. ถูก
6. นักวิ่งสองคน 𝐴 และ 𝐵 กาลังจะวิง่ แข่งบนลูว่ ิ่งทีเ่ ป็ นเส้ นรอบวงของวงกลมรัศมี 𝑟 เมตร เป็ นจานวน 50 รอบ ถ้ านักวิง่
เริ่ มต้ นวิง่ ที่จดุ เดียวกันและวิง่ ไปในทิศทางเดียวกันด้ วยความเร็ วคงที่ โดย 𝐴 วิ่งด้ วยความเร็ว 𝑎 เมตรต่อนาที และ 𝐵
วิ่งด้ วยความเร็ว 𝑏 เมตรต่อนาที โดยที่ 𝑎 > 𝑏 เมื่อการแข่งขันเสร็ จสิ ้น พบว่า 𝐴 ได้ วิ่งแซงรอบ 𝐵 ไปเป็ นจานวนทังสิ ้ ้น
17 รอบ ข้ อใดต่อไปนี ้คือค่าที่เป็ นไปได้ ของ 𝑏/𝑎
ก. 0.631 ข. 0.640 ค. 0.651 ง. 0.661
ตอบ ค
เนื่องจาก 𝑎 > 𝑏 ดังนัน้ เมื่อการแข่งขันเสร็ จสิ ้น 𝐴 จะวิง่ ได้ ครบ 50 รอบ (แต่ 𝐵 จะวิง่ ได้ น้อยกว่า 50 รอบ)
1 รอบ = 2𝜋𝑟 เมตร ดังนัน้ 𝐴 จะวิ่งได้ ระยะทาง = 50(2𝜋𝑟) = 100𝜋𝑟 เมตร
𝐴 วิ่งเร็ ว 𝑎 เมตรต่อนาที ดังนัน้ 𝐴 ใช้ เวลาวิง่ =
100𝜋𝑟
นาที จึ ง จะถึ งเส้ น ชั
ย เวลา = ระยะทาง
ความเร็ ว
𝑎
100𝜋𝑟
𝐵 เริ่ มวิ่งพร้ อม 𝐴 ดังนัน้ ขณะที่ 𝐴 เข้ าเส้ นชัย 𝐵 จะใช้ เวลาวิง่ ไป 𝑎 นาที ด้ วย
ดังนัน้ ขณะที่ 𝐴 เข้ าเส้ นชัย 𝐵 วิ่งได้ ระยะทาง 100𝜋𝑟 𝑎
∙ 𝑏 เมตร
𝐴 แซง 𝐵 ไป 17 รอบ แสดงว่า ระยะทาง𝐴 − ระยะทาง𝐵 ต้ องเกิน 17 รอบสนาม แต่ไม่ถงึ 18 รอบสนาม
100𝜋𝑟
17(2𝜋𝑟) < 100𝜋𝑟 − ∙ 𝑏 < 18(2𝜋𝑟)
𝑎
100𝑏
÷ 𝜋𝑟 ตลอด
34 < 100 − 𝑎 < 36
100𝑏
− 100 ตลอด
−68 < − 𝑎 < −64
𝑏
÷ (− 100) ตลอด
0.68 > 𝑎
> 0.64 ต้ องกลับ มากกว่า ↔ น้ อยกว่า
→ จะเห็นว่ามีข้อ ค เท่านัน้ ที่อยูร่ ะหว่าง 0.64 และ 0.68
8. กาหนดให้ มีข้อมูลของตัวอย่าง ชุด 𝐴 ประกอบด้ วย 0, 10, 20, 30, 40, 50, 60, 70, 80, 90
ชุด 𝐵 ประกอบด้ วย 0, 20, 40, 60, 80, 100, 120, 140, 160, 180
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(1) ข้ อมูลชุด 𝐴 มีสมั ประสิทธิ์ของพิสยั มากกว่าข้ อมูลชุด 𝐵
(2) ข้ อมูลชุด 𝐴 มีสมั ประสิทธิ์ของการแปรผันมากกว่าข้ อมูลชุด 𝐵
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
ตอบ ง
(1) สปส พิสยั = 𝑚𝑎𝑥−𝑚𝑖𝑛
𝑚𝑎𝑥+𝑚𝑖𝑛
90−0
→ ชุด 𝐴 คือ 90+0 = 1
180−0
→ ชุด 𝐵 คือ 180+0
= 1 เท่ากัน → (1) ผิด
𝑠
(2) สปส การแปรฝัน = 𝑥̅
ข้ อมูล 𝐵 ได้ จากการนาข้ อมูล 𝐴 มาคูณ 2 → จากสมบัติของ 𝑠 และ 𝑥̅ จะได้ 𝑠𝐵 = 2𝑠𝐴 …(1)
𝑥̅𝐵 = 2𝑥̅𝐴 …(2)
𝑠𝐵 2𝑆𝐴 𝑆𝐴
(1) ÷ (2) จะได้ 𝑥̅𝐵
= 2𝑥̅𝐴
= 𝑥̅𝐴
ดังนัน้ ข้ อมูลทังสองชุ
้ ด จะมี สปส การแปรผันเท่ากัน → (2) ผิด
ก. 13 ข. 14 ค. 15 ง. ไม่มีข้อใดถูกต้ อง
ตอบ ก
จะเห็นว่าเดิน 3 ครัง้ ก็พอจะบอกได้ วา่ มีทางสาเร็จหรื อไม่ → จะดูการเดิน 3 ครัง้ ที่เป็ นไปได้ ทงหมด
ั้
แล้ วจึงค่อยๆ ไล่ย้อนขึ ้นมาเพื่อหาโอกาสที่เดินสาเร็จในการเดินครัง้ ก่อนหน้ า 𝑆
1 2
พิจารณา เส้ นทาง 𝑆 → 1 → 3 จะเห็นว่าการเดินครัง้ ถัดไป มีโอกาสที่จะเดินต่อไปที่ 2 ⋮
1 3 𝑆
หรื อ 1 อย่างละ 2 เท่าๆกัน
𝑆 → 1 → 3 → 2 : ถ้ าเดินแบบนี ้ ถือว่าสาเร็ จ (โอกาสสาเร็ จ = 1) 2 1 2 1
𝑆 → 1 → 3 → 1 : ถ้ าเดินแบบนี ้ ต่อให้ ครัง้ ต่อๆ ไปเดินยังไง ก็ไม่สาเร็ จ
เพราะผ่าน 3 ไปแล้ วครัง้ หนึง่ แต่ยงั ไม่จบในจุดถัดไป (จะจบได้ ต้องเดินครบทุกเลข แต่ยงั ไม่
ผ่าน 2) จึงไม่ที่ทางที่จะผ่าน 3 เพียงครัง้ เดียวก่อนจุดสุดท้ ายได้ (โอกาสสาเร็ จ = 0)
ดังนัน้ เส้ นทาง 𝑆 → 1 → 3 มีโอกาสที่จะเดินต่อไปที่ 2 (โอกาสสาเร็ จ = 1) หรื อ 1 (โอกาสสาเร็ จ = 0) เท่าๆ กัน
ดังนัน้ เส้ นทาง 𝑆 → 1 → 3 จะมีโอกาสสาเร็ จ = 1+0 2
= 2
1
18 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60)
1 𝑝
จากทังกรณี
้ 𝑆 → 1 → 3 (โอกาสสาเร็ จ = ) และ 𝑆 → 1 → 𝑆 (โอกาสสาเร็ จ = )
2 2
ย้ อนกลับขึ ้นไปพิจารณาเส้ นทาง 𝑆 → 1
จะเห็นว่า เส้ นทาง 𝑆 → 1 มีโอกาสที่จะเดินต่อไปที่ 3 (โอกาสสาเร็จ = 12) หรื อ 1 (โอกาสสาเร็ จ = 𝑝2) เท่าๆ กัน
1 𝑝
+ 1+𝑝
ดังนัน้ เส้ นทาง 𝑆→1 จะมีโอกาสสาเร็ จ = 2 2
2
= 4
11. กาหนดให้ (𝑎𝑛 )∞ 𝑛=1 และ (𝑏𝑛 )𝑛=1 เป็ นลาดับของจานวนจริ งซึง
∞
่ 𝑎𝑛 < 𝑏𝑛 ทุก 𝑛 = 1, 2, 3, …
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(1) ถ้ าลาดับ (𝑎𝑛 )∞
𝑛=1 และ (𝑏𝑛 )𝑛=1 ลูเ่ ข้ า แล้ ว lim 𝑎𝑛 < lim 𝑏𝑛
∞
n n
(2) ถ้ าอนุกรม 𝑎𝑛 และ 𝑏𝑛 ลูเ่ ข้ า แล้ ว 𝑎𝑛 < 𝑏𝑛
n 1 n 1 n 1 n 1
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
ตอบ ค
1 1 1
1. ไม่จริ ง เช่น ถ้ า ให้ (𝑎𝑛 )∞
𝑛=1 คือ 2 , 3 , 4 , …
1 1 1
ให้ (𝑏𝑛 )∞
𝑛=1 คือ 1
, 2
, 3
, …
จะเห็นว่า 𝑎𝑛 < 𝑏𝑛 เสมอ แต่ลมิ ิตของทังสองล
้ าดับ เท่ากับ 0 เท่ากัน → (1) ผิด
2. เมื่อลูเ่ ข้ าทังสองอนุ
้ กรม จะกระจาย lim ได้ ดังนัน้ 𝑏𝑛 − 𝑎𝑛 = (𝑏𝑛 − 𝑎𝑛 )
n 1 n 1 n 1
𝜋 𝜋
𝑘=0: จะได้ √0 + √ 2 − 0 = √ 2
𝜋 𝜋 𝜋 𝜋 𝜋
𝑘=2: จะได้ √2 + √2 − 2 = √2
1 1 1
= 4 (1 − √ ) − 2 (1 − 2√ + )
2 2 2
1 1
= 4 − 4√2 − 2 + 4√2 − 1 = 1
12 +1 2
𝑎1 = =
√02 +1 √22 +1 √1√5
22 +1 5
𝑎2 = =
√12 +1 √32 +1 √2√10
32 +1 10
𝑎3 = =
√22 +1 √4 2 +1 √5√17
42 +1 17
𝑎4 = =
√32 +1 √52 +1 √10√26
⋮
2 5 10 17 𝑛2 +1
ดังนัน้ 𝑏𝑛 = 𝑎1 𝑎2 ∙∙∙ 𝑎𝑛 = ∙ ∙ ∙
√1√5 √2√10 √5√17 √10√26
∙ …∙
√(𝑛−1)2 +1 √(𝑛+1)2 +1
√2 √𝑛2 +1
จะเห็นว่า ตัวเศษ ตัดกับตัวส่วนสองข้ างซ้ ายขวาได้ → เหลือซ้ ายสุดกับขวาสุดที่ตดั ไม่ได้ → 𝑏𝑛 = ∙
√1 √(𝑛+1)2 +1
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60) 21
𝑛2 +1 𝑛2 1
= ((𝑛+1)2 +1 − (𝑛+1)2 ) ∙ √𝑛2 +1 𝑛
+ √𝑛2 +1 𝑛
√(𝑛+1)2 +1 𝑛+1
>
𝑛2 +1 𝑛2 1 √(𝑛+1)2 +1 𝑛+1
< ((𝑛+1)2 − (𝑛+1)2 ) ∙
𝑛 𝑛
+1 +
𝑛+1 𝑛+1
(𝑛2 (𝑛+1)2 +(𝑛+1)2 )−(𝑛2 (𝑛+1)2 +𝑛2 ) 𝑛+1
= ((𝑛+1)2 +1)(𝑛+1)2
∙
2𝑛
(𝑛+1)2 − 𝑛2 𝑛+1
= ((𝑛+1)2 +1)(𝑛+1)2
∙ 2𝑛
2𝑛+1 𝑛+1
= ((𝑛+1)2 +1)(𝑛+1)2
∙ 2𝑛
2(𝑛+1) 𝑛+1
< ((𝑛+1)2 +1)(𝑛+1)2
∙ 2𝑛
1 1 1 1 1
= ((𝑛+1)2 +1)
∙𝑛 < ∙
𝑛2 𝑛
= 𝑛3
→ (2) ถูก
1 𝑥−𝑦𝑖
= 𝑥 + 𝑦𝑖 − (𝑥+𝑦𝑖 ∙ 𝑥−𝑦𝑖)
𝑥−𝑦𝑖
= 𝑥 + 𝑦𝑖 − 𝑥 2 +𝑦 2
𝑥 𝑦 𝑦
= 𝑥 − 𝑥 2 +𝑦2 + (𝑦 + 𝑥 2 +𝑦2 ) 𝑖 → เป็ นจานวนจริ ง เมื่อ 𝑦+
𝑥 2 +𝑦 2
= 0
÷ 𝑦 ตลอด
1+
1
= 0 (𝑦 ≠ 0 )
𝑥 2 +𝑦 2
ซึง่ เป็ นเท็จ (เพราะฝั่งซ้ ายเป็ นบวกเสมอ) → (1) ผิด
(2) ให้ 𝑧 = 𝑥 + 𝑦𝑖 ไม่ใช่จานวนจริ ง จะได้ 𝑦≠0
จะได้ 𝑧 + 1𝑧 = 𝑥 + 𝑦𝑖 + 𝑥+𝑦𝑖
1
1 𝑥−𝑦𝑖
= 𝑥 + 𝑦𝑖 + (𝑥+𝑦𝑖 ∙ 𝑥−𝑦𝑖)
𝑥−𝑦𝑖
= 𝑥 + 𝑦𝑖 + 𝑥 2 +𝑦 2
𝑥 𝑦 𝑦
= 𝑥 + 𝑥 2 +𝑦2 + (𝑦 − 𝑥 2 +𝑦2 ) 𝑖 → เป็ นจานวนจริ ง เมื่อ 𝑦 − 𝑥 2 +𝑦2 = 0
÷ 𝑦 ตลอด
1
1 − 𝑥 2 +𝑦2 = 0 (𝑦 ≠ 0 )
2 2
𝑥 +𝑦 = 1
จะได้ |𝑧| = √𝑥 2 + 𝑦 2 = √1 = 1 → (2) ถูก
𝑥+1
16. ถ้ าฟั งก์ชนั 𝑔 : ℝ − {1} → ℝ สอดคล้ องกับสมการ 𝑔(𝑥) + 𝑥𝑔 (
𝑥−1
) = 𝑥 จงเขียน 𝑔(𝑥) ในรูปของ 𝑥
ตอบ 𝑥2𝑥 2 +1
𝑥+1
𝑔(𝑥) + 𝑥 𝑔 (𝑥−1) = 𝑥 …(1)
𝑥+1
แทน 𝑥 ด้ วย 𝑥−1 𝑥+1 𝑥+1
𝑥+1
𝑥−1
+1 𝑥+1
𝑔 (𝑥−1) + 𝑥−1 ∙ 𝑔 ( 𝑥+1 ) = 𝑥−1
−1
𝑥−1
2𝑥
𝑥+1 𝑥+1 𝑥−1 𝑥+1
𝑔 (𝑥−1) + 𝑥−1 ∙ 𝑔 ( 2) = 𝑥−1
𝑥−1
𝑥+1 𝑥+1 𝑥+1
𝑥+1 𝑔( )+ ∙ 𝑔(𝑥) =
แทน 𝑥 ด้ วย 𝑥−1 𝑥−1 𝑥−1 𝑥−1
𝑥+1 𝑥+1 𝑥+1
𝑥𝑔 (𝑥−1) + 𝑥 ∙ 𝑥−1 ∙ 𝑔(𝑥) = 𝑥 ∙ 𝑥−1 …(2)
𝑥+1 𝑥+1
𝑔(𝑥) − 𝑥 ∙ ∙ 𝑔(𝑥) = 𝑥−𝑥∙
𝑥−1 𝑥−1
𝑥+1 𝑥+1
𝑔(𝑥) (1 − 𝑥 ∙ 𝑥−1) = 𝑥−𝑥∙ 𝑥−1
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60) 23
𝑥−1−𝑥 2 −𝑥 𝑥 2 −𝑥−𝑥 2 −𝑥
𝑔(𝑥) ( ) =
𝑥−1 𝑥−1
−2𝑥 2𝑥
𝑔(𝑥) = = 2
−𝑥 2 −1 𝑥 +1
17. กาหนดให้ 𝑎⃗ และ 𝑏⃗⃗ เป็ นเวกเตอร์ หนึง่ หน่วย ถ้ าเวกเตอร์ 𝑎⃗ + 2𝑏⃗⃗ ตังฉากกั
้ บเวกเตอร์ 5𝑎⃗ − 4𝑏⃗⃗ แล้ ว ความยาว
รอบรูปมากสุดที่เป็ นไปได้ ของรูปสามเหลีย่ มทีม่ ี 𝑎⃗ และ 𝑏⃗⃗ เป็ นด้ านประกอบสองด้ าน มีคา่ เท่ากับเท่าใด
ตอบ 2 + √3
ตังฉากกั
้ น จะดอทกันได้ 0 → (𝑎⃗ + 2𝑏⃗⃗) ∙ (5𝑎⃗ − 4𝑏⃗⃗) = 0
𝑎⃗ ∙ 5𝑎⃗ − 𝑎⃗ ∙ 4𝑏⃗⃗ + 2𝑏⃗⃗ ∙ 5𝑎⃗ − 2𝑏⃗⃗ ∙ 4𝑏⃗⃗ = 0
5 𝑎⃗ ∙ 𝑎⃗ + 6 𝑎⃗ ∙ 𝑏⃗⃗ − 8 𝑏⃗⃗ ∙ 𝑏⃗⃗ = 0
𝑢̅ ∙ 𝑢̅ = |𝑢̅|2 2
5|𝑎⃗|2 + 6|𝑎⃗||𝑏⃗⃗| cos 𝜃 − 8 |𝑏⃗⃗| = 0
𝑎⃗ และ 𝑏⃗⃗ เป็ นเวกเตอร์ หนึ่งหน่วย
5 + 6 cos 𝜃 − 8 = 0
3 1
cos 𝜃 = 6 = 2
𝜃 = 60°
ดังนัน้ 𝑎⃗ และ 𝑏⃗⃗ ทามุมกัน 60° → จะสร้ างสามเหลีย่ มได้ 2 แบบ ดังรูป
จะเห็นว่า แบบที่ 2 มี 𝑐 ยาวกว่า จึงมีความยาวรอบรูปมากกว่า 𝑏⃗⃗ 𝑐 𝑐 𝑏⃗⃗
ใช้ กฎของ cos กับแบบที่ 2 จะได้ 60° 120° 60°
2 𝑎⃗ 𝑎⃗
𝑐 2 = |𝑎⃗|2 + |𝑏⃗⃗| − 2|𝑎⃗||𝑏⃗⃗| cos 120° แบบที่ 1 แบบที่ 2
1
= 1 + 1 − 2 (− 2)
= 3
𝑐 = √3 → จะได้ ความยาวรอบรูปมากสุดคือ 1 + 1 + √3 = 2 + √3
18. กาหนดให้ 𝑃 เป็ นจุดจุดหนึง่ ที่ไม่เป็ นจุดยอดบนไฮเพอร์ โบลา 𝑥 2 − 𝑦 2 = 9 ถ้ า 𝑃𝐹1 ∙ 𝑃𝐹2 = 25 เมื่อ 𝐹1 และ
𝐹2 เป็ นจุดโฟกัสของไฮเพอร์ โบลาดังกล่าวแล้ ว รู ปสามเหลีย่ ม 𝑃𝐹1 𝐹2 มีพื ้นที่เท่ากับเท่าใด
ตอบ 12
จัดรูปจะได้ 𝑥 2 − 𝑦 2 = 9
𝑥2 𝑦2
9
− 9
= 1 𝑃
𝑥2 𝑦2 𝑚
− = 1 𝑛
32 32
จะได้ 𝑎 = 3 , 𝑏 = 3 ดังนัน้ 𝑐 + = = √𝑎2 = 3√2 𝑏2 √32 + 32 𝐹1
6√2
𝐹2
1
จะได้ พื ้นที่ ∆ 𝑃𝐹1 𝐹2 = 2
𝑚𝑛 sin 𝑃
1 24 𝑃 อยูจ่ ตุภาคที่ 1 → วาด ∆ 25 24
= (25) ( )
2 25
= 12 𝑃
7
19. ถ้ า 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 1 ทุก 𝑥 ∈ [−2, 3] แล้ วพื ้นที่ใต้ เส้ นโค้ ง 𝑦 = |𝑓(𝑥)| ที่อยูเ่ หนือแกน 𝑋 บนช่วงปิ ด [−2, 3]
มีคา่ เท่ากับเท่าใด
ตอบ 28 3
มีคา่ สัมบูรณ์ ครอบ 𝑓(𝑥) อยู่ → ส่วนที่อยูไ่ ต้ แกน 𝑋 จะถูกเปลีย่ นให้ ขึ ้นมาอยูเ่ หนือแกน 𝑋
ดังนัน้ ข้ อนี ้หาพื ้นที่ตงแต่
ั ้ −2 ถึง 3 ที่อยูร่ ะหว่างเส้ นโค้ ง 𝑦 = 𝑓(𝑥) กับแกน 𝑋 แบบปกติได้ เลย
หาจุดตัดแกน 𝑋 เพื่อใช้ เป็ นจุดแบ่งการช่วงอินทิเกรต → 𝑥 2 − 1 = 0
(𝑥 + 1)(𝑥 − 1) = 0
𝑥 = −1 , 1
ดังนัน้ ต้ องแบ่งช่วงอินทิเกรตเป็ น [−2, −1] , [−1, 1] และ [1, 3] แล้ วเปลีย่ นค่าเป็ นบวกก่อน ค่อยเอามารวมกัน
1 1 3
(𝑥 2 − 1) 𝑑𝑥 (𝑥 2 − 1) 𝑑𝑥 (𝑥 2 − 1) 𝑑𝑥
2 1 1
𝑥3 −1 𝑥3 1 𝑥3 3
= ( 3 − 𝑥) | = ( 3 − 𝑥) | = ( 3 − 𝑥) |
−2 −1 1
−1 −8 1 −1 1
= ( + 1) − ( + 2) = ( − 1) − ( + 1) = (9 − 3) − ( − 1)
3 3 3 3 3
2 −2 −2 2 −2
= − = − = 6 −
3 3 3 3 3
4 4 20
= = −3 =
3 3
4
→ เปลีย่ นเป็ นบวกได้ 3
4 4 20 28
จะได้ พื ้นที่ = 3
+3+ 3
= 3
20. ให้ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนเต็มบวกโดยที่ 𝑥 < 𝑦 และสอดคล้ องกับสมการ 𝑥 2 + 𝑦 2 = 2017 จงหาค่าของ 𝑦
ตอบ 44
เนื่องจาก 2017 เป็ นเลขคี่ ดังนัน้ ฝั่งซ้ ายที่บวกกัน ต้ องมีตวั หนึง่ เป็ นคี่ ตัวหนึง่ เป็ นคู่
จะได้ (2𝑚 + 1)2 + (2𝑛)2 = 2017
4𝑚2 + 4𝑚 + 1 + 4𝑛2 = 2017
4𝑚2 + 4𝑚 + 4𝑛2 = 2016
2
𝑚 + 𝑚 + 𝑛2 = 504
𝑚(𝑚 + 1) + 𝑛2 = 504
เนื่องจาก 504 เป็ นเลขคู่ และ 𝑚(𝑚 + 1) เป็ นเลขคู่ (สองจานวนที่เรี ยงติดกัน ต้ องมีตวั หนึง่ เป็ นเลขคู)่
ดังนัน้ 𝑛2 ต้ องเป็ นเลขคู่ ทาให้ 𝑛 ต้ องเป็ นเลขคู่ และจะได้ วา่ 2𝑛 ต้ องหารด้ วย 4 ลงตัว
2 2
ดังนัน้ 2017 = (จานวนคี)่ + (จานวนที่หารด้ วย 4 ลงตัว) …(1)
พิจารณาหลักหน่วยของผลกาลังสอง 𝑎 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9
จะเห็นว่ามี 0, 1, 4, 5, 6, 9 เท่านัน้
2
𝑎 0 1 4 9 16 25 36 49 64 81
จาก (1) และ (2) จะได้ จานวนที่หารด้ วย 4 ลงตัว ต้ องลงท้ ายด้ วย 4 หรื อ 6 ซึง่ จะมี 4 , 16 , 24 , 36 , 44 , 56 , …
(ตังแต่
้ 56 ขึ ้นไป จะไม่ได้ เพราะ 562 > 2017)
ไล่แทนทีละตัว 𝑘 𝑘2 2017 − 𝑘 2
4 16 2001
16 256 1761 ถอดรูทไม่ลงตัว
24 576 1441
36 1296 721
44 1936 81 = 92
21. กาหนดให้ 𝑥 > 1 และ 𝑦 > 1 สอดคล้ องกับสมการ log 𝑦 𝑥 − log 𝑥 𝑦 = 83 แล้ ว ค่าต่าสุดของ 𝑥 − 12𝑦
เท่ากับเท่าใด
ตอบ −16
1
log 𝑦 𝑥 กับ log 𝑥 𝑦 จะเป็ นส่วนกลับกัน ดังนัน้ ถ้ าให้ log 𝑦 𝑥 = 𝑎 จะได้ log 𝑥 𝑦 =
𝑎
จะได้ สมการคือ 𝑎 − 𝑎
1 8
= 3
3𝑎2 − 3 = 8𝑎
2
3𝑎 − 8𝑎 − 3 = 0
(3𝑎 + 1)(𝑎 − 3) = 0
1 𝑥>1 และ 𝑦 > 1 จะทาให้ log 𝑦 𝑥 > 0
𝑎 = −3 , 3
ดังนัน้ 𝑎 เป็ น − 13 ไม่ได้
log 𝑦 𝑥 = 3
𝑥 = 𝑦3
23. กาหนดให้ 𝐴 = {𝑎∈ℝ : สมการ ln(𝑎𝑥 − 3) − ln(3 − 𝑥) = ln(𝑥 − 2) มีผลเฉลยเพียงหนึง่ เดียว } และ
𝐵 = { 𝑏 ∈ ℝ : |𝑏 − 1| < |6 − 4𝑏| }
จงหา 𝐴∩𝐵
ตอบ (1, 1.4)
หา 𝐴 : หลัง ln ต้ องเป็ นบวก ดังนัน้ 𝑎𝑥 − 3 > 0 …(1) และ 3−𝑥 > 0 และ 𝑥−2 > 0
𝑥 ∈ (2, 3) …(2)
พิจารณา (1) ร่วมกับ (2) จะเห็นว่า ถ้ า 𝑎 ≤ 1 จะไม่มีทางคูณ 𝑥 ที่อยูใ่ นช่วง (2, 3) แล้ วมากกว่า 3 ได้
ดังนัน้ จะสรุปได้ วา่ 𝑎 > 1
และจาก ln(𝑎𝑥 − 3) − ln(3 − 𝑥) = ln(𝑥 − 2)
ln(𝑎𝑥 − 3) = ln(𝑥 − 2) + ln(3 − 𝑥)
ln(𝑎𝑥 − 3) = ln((𝑥 − 2)(3 − 𝑥))
𝑎𝑥 − 3 = (𝑥 − 2)(3 − 𝑥) … (∗)
2
𝑎𝑥 − 3 = −𝑥 + 5𝑥 − 6
𝑥 2 + (𝑎 − 5)𝑥 + 3 = 0
−(𝑎−5)±√(𝑎−5)2 −4(1)(3) 5−𝑎 ± √(𝑎−5)2 −12
ใช้ สตู รคาตอบของสมการกาลังสอง จะได้ 𝑥 =
2(1)
=
2
5−𝑎 − √(𝑎−5)2 −12 5−𝑎 5−1
แต่ 2
≤ 2
< 2
≤ 2 → ไม่อยูใ่ นช่วง (2, 3) จึงเป็ นคาตอบไม่ได้
เพราะ 𝑎 > 1
5−𝑎 + √(𝑎−5)2 −12
อีกค่าอาจเป็ นคาตอบได้ ถ้ า 2 < 2
< 3
×2 และ + 𝑎 − 5 ตลอด
𝑎−1 < √(𝑎 − 5)2 − 12
< 𝑎+1
ยกกาลัง 2 ได้ เพราะ 𝑎 > 1
𝑎2 − 2𝑎 + 1 < 𝑎2 − 10𝑎 + 13 < 𝑎2 + 2𝑎 + 1
−𝑎2 + 10𝑎 − 1 ตลอด
8𝑎 < 12 < 12𝑎
2 1 ÷ 12𝑎 ตลอด
< < 1
3 𝑎
3 กลับเศษส่วน
> 𝑎 > 1
2
ส่วนเงื่อนไข (1) จะเป็ นจริ งโดยอัตโนมัติ เพราะเมื่อแทน 𝑥 ∈ (2, 3) ใน (∗) จะได้ 𝑎𝑥 − 3 เป็ นบวกเสมอ
ดังนัน้ จะได้ 𝐴 = (1, 32)
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60) 27
หา 𝐵 : |𝑏 − 1| < |6 − 4𝑏|
2
(𝑏 − 1) < (6 − 4𝑏)2
2 2
(𝑏 − 1) − (6 − 4𝑏) < 0
((𝑏 − 1) − − 4𝑏))((𝑏 − 1) + (6 − 4𝑏)) < 0
(6
(5𝑏 − 7) (−3𝑏 + 5) < 0
− + −
7 5
7 5 → จะได้ 𝐵 = (−∞ , ) ∪ ( , ∞)
5 3
5 3
3 7 5 7
จะได้ 𝐴 ∩ 𝐵 = (1, 2) ∩ [(−∞ , 5) ∪ (3 , ∞)] = (1, 5) = (1, 1.4)
24. บทนิยาม สาหรับเมทริ กซ์ 𝐴 ใดๆ ซึง่ มีสมาชิกเป็ นจานวนเต็ม และสาหรับจานวนเต็มบวก 𝑛 ใดๆ นิยาม 𝐴 mod 𝑛
ให้ เป็ นเมริ กซ์ทมี่ ีมิตเิ ท่ากับมิติของ 𝐴 และสมาชิกตาแหน่งใดๆของ 𝐴 mod 𝑛 ได้ จากเศษเหลือที่ได้ จากการหาร
3 4 0 1
สมาชิกในตาแหน่งนันของ
้ 𝐴 ด้ วย 𝑛 เช่น ถ้ า 𝐴 = [
2 5
] แล้ ว จะได้ วา่ 𝐴 mod 3 = [
2 2
]
𝑎 𝑏
ให้ 𝑋 = {[ ] ∶ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ {0,1,2}}
𝑐 𝑑
จานวนเมทริ กซ์ 𝐴 ∈ 𝑋 ทังหมดที
้ ่มีสมบัติ 𝐴2 mod 3 = 𝐼 เท่ากับเท่าใด
ตอบ 14
2 2
ให้ 𝐴=[
𝑎 𝑏
] จะได้
𝐴2 = [
𝑎 𝑏 𝑎
][
𝑏
] = [𝑎 + 𝑏𝑐 𝑎𝑏 + 𝑏𝑑] = [ 𝑎 + 𝑏𝑐 𝑏(𝑎 + 𝑑)]
𝑐 𝑑 𝑐 𝑑 𝑐 𝑑 𝑎𝑐 + 𝑐𝑑 𝑏𝑐 + 𝑑2 𝑐(𝑎 + 𝑑) 𝑑 2 + 𝑏𝑐
ดังนัน้ 𝐴2 mod 3 = 𝐼 = [10 01] ก็ตอ่ เมื่อ
𝑎2 + 𝑏𝑐 หารด้ วย 3 เหลือเศษ 1 …(1)
𝑏(𝑎 + 𝑑) หารด้ วย 3 ลงตัว ซึง่ ก็คือ 𝑏 หรื อ 𝑎 + 𝑑 หารด้ วย 3 ลงตัว …(2)
𝑐(𝑎 + 𝑑) หารด้ วย 3 ลงตัว ซึง่ ก็คือ 𝑐 หรื อ 𝑎 + 𝑑 หารด้ วย 3 ลงตัว …(3)
𝑑2 + 𝑏𝑐 หารด้ วย 3 เหลือเศษ 1 …(4)
กรณี 𝑎 = 0
จาก (1) จะได้ 𝑏𝑐 ต้ องหารด้ วย 3 เหลือเศษ 1 นัน่ คือ 𝑏𝑐 = 1 หรื อ 4
ซึง่ เป็ นไปได้ 2 แบบ คือ 𝑏 = 𝑐 = 1 หรื อ 𝑏 = 𝑐 = 2
ดังนัน้ 𝑏 กับ 𝑐 จะหารด้ วย 3 ไม่ลงตัว → จาก (2) และ (3) จะได้ 𝑎 + 𝑑 ต้ องหารด้ วย 3 ลงตัว
แต่ 𝑎 = 0 จึงสรุปได้ วา่ 𝑑 = 0
ดังนัน้ กรณีนี ้มี 2 แบบ คือ [01 10] กับ [02 20]
กรณี 𝑎 ≠ 0
จะได้ 𝑎 = 1 หรื อ 2 ซึง่ จะได้ วา่ 𝑎2 = 1 หรื อ 4 จะเห็นว่า 𝑎2 หารด้ วย 3 เหลือเศษ 1 เสมอ
จาก (1) จะสรุปได้ วา่ 𝑏𝑐 ต้ องหารด้ วย 3 ลงตัวเท่านัน้
และจาก (4) เมื่อ 𝑏𝑐 หารด้ วย 3 ลงตัว จะสรุปได้ วา่ 𝑑2 ต้ องหารด้ วย 3 เหลือเศษ 1 นัน่ คือ 𝑑 = 1 หรื อ 2
28 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60)
25. สุม่ เลือกจานวนเต็ม 𝑎 และ 𝑏 จากเซตของจานวนเต็ม {1, 2, … , 100} ความน่าจะเป็ นที่จะสุม่ ได้ 𝑎 และ 𝑏 ซึง่ ทา
ให้ 7𝑎 + 𝑏 หารด้ วย 10 ลงตัวเท่ากับเท่าใด
ตอบ 0.1
ถ้ า 𝑎 = 1 จะได้ 7𝑎 = 7 → จะมี 𝑏 = 3, 13, 23, … , 93 ทังหมด้ 10 แบบ ที่ทาให้ 7𝑎 + 𝑏 หารด้ วย 10 ลงตัว
ถ้ า 𝑎 = 2 จะได้ 7𝑎 = 49 → จะมี 𝑏 = 1, 11, 21, … , 91 ทังหมด ้ 10 แบบ ที่ทาให้ 7𝑎 + 𝑏 หารด้ วย 10 ลงตัว
ถ้ า 𝑎 = 3 จะได้ 7𝑎 = 343 → จะมี 𝑏 = 7, 17, 27, … , 97 ทังหมด ้ 10 แบบ ที่ทาให้ 7𝑎 + 𝑏 หารด้ วย 10 ลงตัว
⋮
จะเห็นว่า ไม่วา่ 7𝑎 จะลงท้ ายด้ วยอะไรก็ตาม จะมี 𝑏 ทังหมด
้ 10 แบบ จาก 100 แบบ ที่ทาให้ หารด้ วย 10 ลงตัวเสมอ
10
ดังนัน้ ความน่าจะเป็ น = 100 = 0.1
กรณี 𝑎 ≥ 2 : กรณี 𝑎 ≤ −6 :
เนื่องจาก รูท ≥ 0 และ 𝑎 เป็ นบวก เนื่องจาก 𝑎 เป็ นลบ จะได้ −𝑎 เป็ นบวก
𝑎+√𝑎2 +4𝑎−12 𝑎 + √𝑎2 +4𝑎−12
อสมการ 2
> 0 จะเป็ นจริ งเสมอ 2
> 0
𝑎 2
+ √𝑎 + 4𝑎 − 12 > 0
กรณีนี ้ จะได้ คาตอบคือ [2, ∞)
√𝑎2+ 4𝑎 − 12 > −𝑎
𝑎2 + 4𝑎 − 12 > (−𝑎)2 −𝑎 เป็ นบวก
4𝑎 − 12 > 0
𝑎 > 3
ขัดแย้ งกับเงื่อนไข 𝑎 ≤ −6 → กรณีนี ้จะไม่มีคาตอบ
รวมทังสองกรณี
้ จะได้ อสมการมีคาตอบเมื่อ 𝑎 ∈ [2, ∞)
30 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60)
จุดสัมพัทธ์ คือจุดที่ 𝑓 ′(𝑥) เปลีย่ นเครื่องหมาย (จากบวกเป็ นลบ หรื อลบเป็ นบวก) ซึง่ จะเกิดเมื่อวงเล็บยกกาลังคีเ่ ป็ น 0
จะได้ จดุ สัมพัทธ์เกิดเมื่อ 𝑥 = 2 , 0 , 54
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60) 31
3
31. จงหาค่าของ lim
x
𝑥 2 (√𝑥 + 1 + √𝑥 − 1 − 2√𝑥)
ตอบ −0.25
3
𝑥 (√𝑥 + 1 + √𝑥 − 1 − 2√𝑥)
2
3
= 𝑥 2 ((√𝑥 + 1 − √𝑥) − (√𝑥 − √𝑥 − 1))
3
√𝑥+1+√𝑥 √𝑥+√𝑥−1
= 𝑥 2 ( (√𝑥 + 1 − √𝑥) ∙ − (√𝑥 − √𝑥 − 1) ∙ 𝑥+ 𝑥−1 )
√𝑥+1+√𝑥 √ √
3
𝑥+1 − 𝑥 𝑥 − (𝑥−1)
= 𝑥 2( − )
√𝑥+1+√𝑥 √𝑥+√𝑥−1
3
1 1
= 𝑥 2( − )
√𝑥+1+√𝑥 √𝑥+√𝑥−1
3
(√𝑥+√𝑥−1) − (√𝑥+1+√𝑥)
= 𝑥 2( )
(√𝑥+1+√𝑥)(√𝑥+√𝑥−1)
3
√𝑥−1 − √𝑥+1
= 𝑥 ( 2 )
(√𝑥+1+√𝑥)(√𝑥+√𝑥−1)
3
√𝑥−1 − √𝑥+1 √𝑥−1+√𝑥+1
= 𝑥 2( ∙ )
(√𝑥+1+√𝑥)(√𝑥+√𝑥−1) √𝑥−1+√𝑥+1
3
𝑥−1 − (𝑥+1)
= 𝑥 2( )
(√𝑥+1+√𝑥)(√𝑥+√𝑥−1)(√𝑥−1+√𝑥+1)
32 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60)
3
−2
= 𝑥 2( )
𝑥+1 𝑥−1 𝑥−1 𝑥+1
(√𝑥)(√ 𝑥 +1) (√𝑥)(1+√ 𝑥 ) (√𝑥)(√ 𝑥 +√ 𝑥 )
3
−2
= 𝑥 2( 3
)
1 1 1 1
(√𝑥) (√1+𝑥 + 1)(1+√1−𝑥)(√1−𝑥+√1+𝑥)
−2
=
1 1 1 1
(√1+𝑥 + 1)(1+√1−𝑥)(√1−𝑥+√1+𝑥)
−2 −2
เมื่อ 𝑥→∞ จะได้ คา่ ลิมติ =
(√1+0 + 1)(1 + √1−0)(√1−0 + √1+0)
=
8
= −0.25
4 1
32. จงหาผลรวมของค่า 𝑥 ทังหมดในช่
้ วง [0, 2𝜋] ซึง่ สอดคล้ องกับสมการ sec 𝑥 − 2 tan 𝑥
−
sec 𝑥 + tan 𝑥
= 3√3
13𝜋
ตอบ 6
4 1
− = 3√3
sec 𝑥 − 2 tan 𝑥 sec 𝑥 + tan 𝑥
4 1
1 2 sin 𝑥 − 1 sin 𝑥 = 3√3
− +
cos 𝑥 cos 𝑥 cos 𝑥 cos 𝑥
4 cos 𝑥 cos 𝑥
− = 3√3
1− 2 sin 𝑥 1 + sin 𝑥
4 cos 𝑥(1 + sin 𝑥)−cos 𝑥(1− 2 sin 𝑥)
(1− 2 sin 𝑥)(1 + sin 𝑥)
= 3√3
4 cos 𝑥+4 sin 𝑥 cos 𝑥−cos 𝑥+2 sin 𝑥 cos 𝑥
1−sin 𝑥−2 sin2 𝑥
= 3√3
3 cos 𝑥+6 sin 𝑥 cos 𝑥
= 3√3
1−sin 𝑥−2 sin2 𝑥
cos 𝑥+2 sin 𝑥 cos 𝑥
(1−2 sin2 𝑥)−sin 𝑥
= √3
cos 𝑥+sin 2𝑥
cos 2𝑥−sin 𝑥
= √3
cos 𝑥 + sin 2𝑥 = √3 cos 2𝑥 − √3 sin 𝑥
cos 𝑥 + √3 sin 𝑥 = √3 cos 2𝑥 − sin 2𝑥
1 √3 √3 1
2
cos 𝑥 + 2 sin 𝑥 = 2
cos 2𝑥 − 2 sin 2𝑥
𝜋 𝜋 𝜋 𝜋
cos 3 cos 𝑥 + sin 3 sin 𝑥 = cos 6 cos 2𝑥 − sin 6 sin 2𝑥
𝜋 𝜋
cos ( 3 − 𝑥) = cos ( 6 + 2𝑥)
𝜋 𝜋
6
+ 2𝑥 = 2𝑛𝜋 ± ( 3 − 𝑥)
𝜋 𝜋 𝜋 𝜋
6
+ 2𝑥 = 2𝑛𝜋 + ( 3 − 𝑥) 6
+ 2𝑥 = 2𝑛𝜋 − ( 3 − 𝑥)
𝜋 𝜋
3𝑥 = 2𝑛𝜋 + 6 𝑥 = 2𝑛𝜋 − 2
𝑥 =
2𝑛𝜋
3
𝜋
+ 18 แต่ 𝑥 ∈ [0, 2π] ดังนัน้ 𝑛 = 1
แต่ 𝑥 ∈ [0, 2π] ดังนัน้ 𝑛 = 0, 1, 2 จะได้ 𝑥 = 3𝜋 2
จะได้ 𝑥 = 18𝜋 2𝜋 𝜋 4𝜋
, 3 + 18 , 3 + 18
𝜋
แต่ใช้ ไม่ได้ เพราะ sec 3𝜋
2
ในสมการโจทย์จะหาค่าไม่ได้
𝜋 2𝜋 𝜋 4𝜋 𝜋 3𝜋 6𝜋 13𝜋
จะได้ ผลรวมของค่า 𝑥 คือ 18
+ 3 + 18 + 3
+ 18 = 18
+ 3
= 6
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 60) 33
34. กาหนดให้ 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเมทริ กซ์ขนาด 5 × 5 ซึง่ 𝐴 , 𝐵 และ 𝐵−1 − 𝐴 เป็ นเมทริ กซ์ไม่เอกฐาน
จงหา (𝐴−1 + (𝐵−1 − 𝐴)−1 )−1 (ตอบในรูปของเมทริ กซ์ 𝐴 และ 𝐵 โดยไม่ใช้ เครื่ องหมายอินเวอร์ ส)
ตอบ 𝐴 − 𝐴𝐵𝐴
ให้ 𝑋 = (𝐴−1 + (𝐵−1 − 𝐴)−1 )−1 ดังนัน้
𝑋(𝐴−1 + (𝐵−1 − 𝐴)−1 ) = 𝐼 กระจาย 𝑋
𝑋𝐴−1 + 𝑋(𝐵−1 − 𝐴)−1 = 𝐼
คูณ 𝐵−1 − 𝐴 ทางขวาตลอด ให้ ตดั กับ (𝐵−1 − 𝐴)−1
𝑋𝐴−1 (𝐵−1 − 𝐴) + 𝑋 = 𝐵−1 − 𝐴
กระจาย 𝑋𝐴−1 (ตัวหลัง จะตัด 𝐴−1 กับ 𝐴 ได้
𝑋𝐴−1 𝐵−1 − 𝑋 + 𝑋 = 𝐵−1 − 𝐴
𝑋𝐴−1 𝐵−1 = 𝐵−1 − 𝐴
คูณ 𝐵 ทางขวาตลอด ให้ ตดั กับ 𝐵−1
𝑋𝐴−1 = 𝐼 − 𝐴𝐵
คูณ 𝐴 ทางขวาตลอด ให้ ตดั กับ 𝐴−1
𝑋 = 𝐴 − 𝐴𝐵𝐴
1 1 1
35. จงหาจานวนจริง 𝑥 ทังหมดที
้ ่สอดคล้ องกับสมการ 𝑥 − tan 20°
+ 𝑥 + tan 40° + 𝑥 − tan 80° = 0
ตอบ √3 ± 2
1 1 1
ให้ 𝑎 = tan 20° , 𝑏 = − tan 40° และ 𝑐 = tan 80° จะเขียนสมการใหม่ได้ เป็ น 𝑥−𝑎 + 𝑥−𝑏 + 𝑥−𝑐 = 0
คูณตลอดด้ วย (𝑥 − 𝑎)(𝑥 − 𝑏)(𝑥 − 𝑐) จะได้ สมการคือ
(𝑥 − 𝑏)(𝑥 − 𝑐) + (𝑥 − 𝑎)(𝑥 − 𝑐) + (𝑥 − 𝑎)(𝑥 − 𝑏) = 0
𝑥 2 − 𝑏𝑥 − 𝑐𝑥 + 𝑏𝑐 + 𝑥 2 − 𝑎𝑥 − 𝑐𝑥 + 𝑎𝑐 + 𝑥 2 − 𝑎𝑥 − 𝑏𝑥 + 𝑎𝑏 = 0
3𝑥 2 − 2𝑎𝑥 − 2𝑏𝑥 − 2𝑐𝑥 + 𝑎𝑏 + 𝑏𝑐 + 𝑎𝑐 = 0
3𝑥 2 − 2(𝑎 + 𝑏 + 𝑐)𝑥 + (𝑎𝑏 + 𝑏𝑐 + 𝑎𝑐) = 0 …(∗)
8 tan 20°
= tan 20° +
1−3 tan2 20°
(tan 20°)(1−3 tan2 20°)+8 tan 20°
= 1−3 tan2 20°
tan 20°−3 tan3 20° + 8 tan 20°
= 1−3 tan2 20°
9 tan 20°−3 tan3 20°
= 1−3 tan2 20° 3 tan 𝐴−tan3 𝐴
tan 3𝐴 = 1−3 tan2 𝐴
3 tan 20°−tan3 20°
= 3( 1−3 tan2 20°
)
= 3 tan 3(20°) = 3 tan 60° = 3√3
𝑎𝑏 + 𝑏𝑐 + 𝑎𝑐 = − tan 20° tan 40° − tan 40° tan 80° + tan 20° tan 80°
= tan 20° (− tan 40° + tan 80°) − tan 40° tan 80° เคยหา − tan 40° + tan 80° แล้ ว
= tan 20° (
8 tan 20°
) − tan 40° tan 80° ตอนที่หา 𝑎 + 𝑏 + 𝑐
1−3 tan2 20°
8 tan2 20°
= 1−3 tan2 20°
− tan(60° − 20°) tan(60° + 20°)
8 tan2 20° √3−tan 20° √3+tan 20°
= 1−3 tan2 20°
− (1+ ) (1− )
√3 tan 20° √3 tan 20°
8 tan2 20° 3−tan2 20°
= −
1−3 tan2 20° 1−3 tan2 20°
8 tan2 20°−(3−tan2 20°)
= 1−3 tan2 20°
9 tan2 20°−3 3 tan2 20°−1
= = 3( ) = −3
1−3 tan2 20° 1−3 tan2 20°
เครดิต
ขอบคุณ คุณ สนธยา เสนามนตรี สาหรับข้ อสอบครับ
ขอบคุณ คุณ Krittameth Pasiphol ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของโจทย์
ขอบคุณ คุณ Palagorn Pansamdang ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของเฉลย