You are on page 1of 8

ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการพินิจวรรณคดีและวรรณกรรม
ความหมายของวรรณคดีและวรรณกรรม
วรรณคดีและวรรณกรรม เป็ นงานที่แต่งขึ้นโดยเลือกใช้ภาษาเพื่อสื่อความใน
เรื่องถ่ายทอดความรู้ ความคิด จินตนาการ ประสบการณ์ ฯลฯ มีลักษณะที่
แตกต่างกันดังนี้
วรรณคดี คือ หนังสือดีที่ใช้ศิลปะในการแต่ง สร้างจินตภาพ แสดงความรู้
ความคิด เป็ นภาพแทนสังคม
วรรณกรรม คือ งานเขียนทุกรูปแบบ มีเนื้อหาที่สื่อความให้ผู้อ่านเข้าใจได้
ไม่เน้นเรื่องศิลปะในการแต่ง
จากความหมายข้างต้น วรรณคดีคือวรรณกรรมประเภทหนึ่งที่มีวรรณศิลป์ (
ศิลปะในการแต่ง)
การอ่านวรรณคดีและวรรณกรรมให้ได้คุณค่าทางอารมณ์และความคิดตาม
เจตนาผู้แต่ง ต้องใช้การอ่านอย่างพินิจ โดยใช้การตีความ การพิจารณาเนื้อหา
แนวคิด และการวินิจฉัยประเมินค่า
ความหมายของการพินิจวรรณคดีและวรรณกรรม
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงบัญญัติคำว่า “พินิจ”
เทียบจากคำว่า “Review” หมายถึง การมองซ้ำ ส่วนพจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ กล่าวว่า “พินิจ” หมายถึง พิจารณา
ตรวจตรา
การพินิจวรรณคดีและวรรณกรรม จึงหมายถึง การศึกษาวรรณคดีและ
วรรณกรรมผ่านการตีความ การวิเคราะห์ วิจารณ์ พิจารณาเนื้อหา แนวคิด
และประเมินองค์ประกอบและวิธีการประพันธ์ เพื่อให้เข้าใจคุณค่าของ
วรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งถือเป็ นแนวทางเบื้องต้นของการวิจารณ์วรรณคดี
และวรรณกรรม
หลักการพินิจวรรณคดีและวรรณกรรม
๑. ทำความเข้าใจเรื่อง ดูว่าเรื่องกล่าวถึงใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร และ
อย่างไร แต่หากวรรณคดีหรือวรรณกรรมไม่มีเนื้อเรื่อง เช่น วรรณคดีสุภาษิต
ให้หาแนวคิดของเรื่องว่าพูดถึงอะไร
๒. ตีความ ทำความเข้าใจความหมายแฝงจากถ้อยคำที่พบในเรื่อง
๓. วิเคราะห์ แยกพิจารณาวรรณคดีหรือวรรณกรรมตามองค์ประกอบต่าง
ๆ ได้แก่ รูปแบบ เนื้อหา ภาษา และกลวิธีการประพันธ์
๔. วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นว่ามีข้อเด่น ข้อด้อย หรือความเหมาะสมใน
การแต่งอย่างไร
๕. ประเมินค่า ประเมินคุณค่าว่าดีหรือไม่ เพราะเหตุใด พิจารณาข้อมูลและ
เหตุการณ์แวดล้อมประกอบ
ผู้พินิจวรรณคดีและวรรณกรรมจะต้องใช้หลักการทั้ง ๕ ขั้นตอนมาพิจารณา
องค์ประกอบของวรรณคดีหรือวรรณกรรม ดังนี้

องค์ประกอบของวรรณคดีและวรรณกรรม
๑. เนื้อหา คือ ใจความสำคัญของวรรณคดีและวรรณกรรมมีส่วนประกอบ
สำคัญ ได้แก่
๑.๑ เนื้อเรื่อง จะบอกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับใคร ที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร
ซึ่งวรรณคดีและวรรณกรรมบางเรื่องอาจไม่มีเรื่องราว แต่เป็ นภาษิต คำสอนที่
ผู้แต่งต้องการให้ผู้อ่านรับรู้ เช่น
“พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา
สายดิ่งทิ้งทอดมา หยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวา กำหนด
จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้
หยั่งถึง”
(โคลงโลกนิติ ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร)
๑.๒ แก่นเรื่อง คือ แนวคิดที่ผู้แต่งกำหนดเพื่อเป็ นกรอบของเรื่อง
๑.๓ โครงเรื่อง คือ เหตุการณ์สำคัญของเรื่องที่ผู้แต่งคิดไว้คร่าว ๆ ยังไม่
ลงรายละเอียดย่อย เช่น ชื่อตัวละคร ชื่อสถานที่ ซึ่งการพินิจโครงเรื่อง ผู้อ่าน
ควรดูการลำดับเหตุการณ์ในเรื่องว่ามีการเรียงร้อยเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้อย่างไร
เช่น เล่าเรื่องตามลำดับเวลา, เล่าเรื่องย้อนหลัง หรือเล่าเรื่องสลับไปมา
๑.๔ ตัวละคร คือ ผู้แสดงบทบาทในงานประพันธ์ อาจเป็ นบุคคลที่มีตัว
ตนจริงหรือตัวละครที่สมมุติขึ้นจะเป็ นมนุษย์หรือไม่ก็ได้ ซึ่งตัวละครแบ่งออก
เป็ น ๒ ลักษณะได้แก่
๑) ตัวละครหลายลักษณะ คือ ตัวละครที่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือน
คนจริง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ไปได้ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง
๒) ตัวละครลักษณะเดียว คือ ตัวละครที่มีนิสัยเพียงอย่างเดียว ไม่
สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องได้
การพินิจตัวละคร ผู้อ่านต้องพิจารณาพฤติกรรม ความคิด ที่ส่งผลต่อการ
ตัดสินใจของตัวละคร
๑.๕ ฉาก คือ สภาวะแวดล้อมหรือบรรยากาศที่เกิดขึ้นรอบตัวละคร อาจ
เป็ นฉากที่มีอยู่จริงหรือเป็ นฉากในจินตนาการ ซึ่งครอบคลุมถึงช่วงเวลาที่เกิด
เหตุการณ์ เช่น ช่วงกลางวัน ช่วงกลางคืน สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง
เป็ นต้น การพินิจฉาก ผู้อ่านต้องสังเกตความถูกต้อง ความสมจริง และความ
สอดคล้องต่อเหตุการณ์
๒. รูปแบบ คือ ลักษณะของงานประพันธ์ที่ผู้แต่งเลือกใช้ซึ่งการพินิจรูป
แบบ ผู้อ่านควรพิจารณารูปแบบและเนื้อหาว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่
๓. ภาษา คือ ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสื่อเรื่องราวมาสู่ผู้รับสาร ผ่านภาษา
พูดและภาษาเขียน โดยภาษาพูดจะใช้กับวรรณคดีและวรรณกรรมมุขปาฐะ
ส่วนภาษาเขียนจะใช้กับวรรณคดีและวรรณกรรมลายลักษณ์ ซึ่งความไพเราะ
ของวรรณคดีและวรรณกรรมจะขึ้นอยู่กับศิลปะทางภาษา ดังนี้
๓.๑ รสคำ คือ ความไพเราะที่เกิดจากการเลือกใช้ถ้อยคำที่กระทบใจ
ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของผู้แต่งได้ ดังนี้
๑) การใช้เสียงสัมผัส คือ การใช้เสียงที่คล้องจองกัน มี ๒ ชนิด คือ
“สัมผัสนอก” และ “สัมผัสใน” พยัญชนะ เช่น
“ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็ นเกลียวกลอก กลับ
กระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวียน
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเป็ นกงเกวียน ดูเวียน
เวียนคว้างคว้างเป็ นหว่างวง”

(นิราศภูเขาทอง ของ สุนทรภู่)


๒) การเลียนเสียงธรรมชาติ คือ การนำคำเลียนแบบเสียงจากธรรมชาติ
เช่น
“ทั้งยุงชุมรุมกัดปั ดเปรียะปะ เสียงผัวะ
ผะพึบพับปุบปั บแปะ
ที่เข็นเรียงเคียงลำขยำแขยะ มันเกาะ
แกะกันจริงจริงหญิงกับชาย”

(นิราศเมืองเพชร ของ สุนทรภู่)

๓) การเล่นคำและเล่นเสียง คือ การเล่นเสียงสระ-พยัญชนะ คำพ้อง


เสียง คำเสียงคล้าย เช่น
“ฝูงลิงไต่กิ่งลางลิงไขว่ ลางลิงแล่น
ไล่กันวุ่นวาย
ลางลิงชิงค่างขึ้นลางลิง กาหลงลงกิ่ง
กาหลงลง”

(ขุนช้างขุนแผนของ รัชกาลที่ ๒)

๓.๒ รสความ คือ ความไพเราะที่ได้จากความหมายของถ้อยคำผ่านการ


บรรยายหรือพรรณนาในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
๑) การพรรณนาความอย่างตรงไปตรงมา คือ การใช้ถ้อยคำที่มีความ
หมายตรงตัว ผู้อ่านสามารถเห็นภาพโดยไม่ต้องตีความ เช่น
“กระโดดเผาะเกาะผับขยับคืบ ถีบกระทืบ
มิใคร่หลุดสุดแสยง
ปลดที่ตีนติดขาระอาแรง ทั้งขาแข้ง
เลือดโซมชโลมไป”

(นิราศเมืองแกลง ของ สุนทรภู่)

๒) การพรรณนาความโดยใช้โวหารภาพพจน์ คือ การใช้ถ้อยคำที่เป็ น


ศิลปะทางภาษา ทำให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพมากกว่าการพูดอย่างตรงไปตรงมา
ตัวอย่างโวหารภาพพจน์ ได้แก่
(๑) อุปมา (Simile) คือ การเปรียบสิ่งหนึ่งเหมือนอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็ น
ของต่างจำพวกกัน มักมีคำว่า เปรียบว่า ดุจ ดัง ดั่ง แม้น เหมือน ปาน ราวกับ
ฯลฯ เช่น

“อสุรีผีเสื้อจะเหลืออด แค้น
โอรสราวกับไฟไหม้มังสา
ช่างหลอกหล่อนผ่อนผันจำนรรจา แม้นจะว่า
โดยดีเห็นมิฟั ง”

(พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่)

(๒) อุปลักษณ์ (Metaphor) คือ การเปรียบสิ่งหนึ่งว่าเป็ นอีกสิ่งหนึ่ง


ซึ่งเป็ นของต่างจำพวกกัน มักมีคำว่า เป็ น คือ หรืออาจจะละคำเหล่านี้ไว้โดย
เป็ นที่เข้าใจตรงกัน เช่น

“มังกันจีมีปรีชาเฉียบแหลมปั ญญาเป็ นเข็ม”

(ราชาธิราช ของ เจ้าพระยาพระคลัง (หน))

(๓) สัญลักษณ์ (Symbol) คือ การใช้คำคำหนึ่งแทนอีกคำหนึ่งซึ่ง


เป็ นที่รู้ทั่วไป เช่น “หงส์” เป็ นสัญลักษณ์ของคนชั้นสูง “กา” เป็ นสัญลักษณ์
ของคนชั้นต่ำ ตัวอย่างคำประพันธ์ เช่น

“เมื่อแรกเชื่อว่าเนื้อทับทิมแท้ มาแปร
เป็ นพลอยหุงไปเสียได้
กาลวงว่าหงส์ให้ปลงใจ ด้วยมิได้ดู
หงอนแต่ก่อนมา”

(ขุนช้างขุนแผนของ รัชกาลที่ ๒)

(๔) อติพจน์ (Hyperbole) คือ การกล่าวถึงสิ่งเกินจริงเพื่อเน้น


อารมณ์ความรู้สึก เช่น
“ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุด
ความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้ฟ้ าสุธาธาร ขอพบพาน
พิศวาสไม่คลาดคลา”

(พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่)

(๕) บุคคลวัตหรือบุคคลสมมุติ (Personification) คือ การสมมุติให้


สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์กระทำกริยาอาการหรือมีความรู้สึกอย่างมนุษย์ เช่น

“จากมามาลิ่วล้ำ ลำบาง
บางยี่เรือราพลาง พี่พร้อง
เรือแผงช่วยพานาง เมียงม่าน
มานา
บางบ่รับคำคล้อง คล่าว
น้ำตาคลอ”

(โคลงนิราศนรินทร์ ของ นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน))


(๖) ปฏิปุจฉา (Rhetorical question) คือ การใช้คำถามที่ไม่
ต้องการคำตอบ เพื่อกระตุ้นให้สนใจหรือเกิดความคิด เช่น
“แล้วว่าอนิจจาความรัก พึ่ง
ประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล
ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็ นเกลี่ยวไป ที่ไหนเลย
จะไหลคืนมา”
(อิเหนา ของ รัชกาลที่ ๒)
หากเราสามารถพินิจวรรณคดีและวรรณกรรมได้ถูกต้องจะทำให้เข้าใจและ
ซาบซึ้งคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมไทย อันเป็ นวัฒนธรรมทางภาษา
อย่างหนึ่งของประเทศไทย
สรุป
วรรณคดีและวรรณกรรมเป็ นศิลปะทางภาษาแขนงหนึ่ง ที่ให้คุณค่าทางสติ
ปั ญญาและอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเราพินิจวรรณคดีและวรรณกรรมในด้าน
เนื้อหารูปแบบ และภาษา จะทำให้เกิดความซาบซึ้งในสุนทรียภาพ และเข้าใจ
ถึงคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม นำไปสู่พัฒนาการทางด้านจิตใจ เกิด
ความรู้สึกที่อยากจะทำนุบำรุงภาษาไทย

แหล่งที่มาของเนื้อหา : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช www.wpp.co.th

You might also like