Professional Documents
Culture Documents
เมฆป 5
เมฆป 5
สำหรับคนทีช ่ อบมองท้องฟ้ ำ
คงเคยสังเกตเห็นถึงศิลปะบนท้องฟ้ ำอย่ำงก้อนเมฆทีม ่ ห
ี ลำกหลำยรูปร่ำง
ซึง่ บรรดำก้อนเมฆนัน ้ ดูนุ่มและนิ่ม จนน่ ำจะกระโดดใส่เหลือเกิน
แต่รห ู ้ รือไม่วำ่ ก้อนเมฆนัน้ เกิดมำได้อย่ำงไร
เมฆ คือ
เมฆ คือ
ละอองน้ำและเกล็ดน้ำแข็งทีร่ วมตัวกันเป็ นกลุม ่ ก้อนลอยตัวอยูใ่ นชัน
้ บรรยำกำศทีเ่ รำสำมำ
รถมองเห็นได้ไอน้ำทีค ่ วบแน่ นเป็ นละอองน้ำ (โดยปกติแล้วจะมีขนำด 0.01 มม)
หรือเป็ นเกล็ดน้ำแข็ง ซึง่ เมือ่ เกำะตัวกันเป็ นกลุม
่ จะเห็นเป็ นก้อนเมฆ
ก้อนเมฆนี้จะสะท้อนคลืน ่ แสงในแต่ละควำมยำวคลืน ่ ในช่วงทีต
่ ำมองเห็นได้
ในระดับทีเ่ ท่ำๆ กัน จึงทำให้เรำมองเห็นก้อนเมฆนัน ้ เป็ นสีขำว
แต่ก็สำมำรถมองเห็นเป็ นสีเทำหรือสีดำถ้ำหำกเมฆนัน ้ มีควำมหนำแน่ นสูงมำกจนแสงผ่ำ
นไม่ได้
สิง่ ทีช
่ ว่ ยให้เกิดกำรกลั่นตัวของไอน้ำเป็ นก้อนเมฆคือ ฝุ่ นผงเล็กๆ
หรือเกลือในบรรยำกำศทีม ่ ค
ี ณ
ุ สมบัตด
ิ ด
ู น้ำในบรรยำกำศได้ดี
~2~
้ นี้วำ่ อนุภำคกลั่นตัว (Condensation nuclei)
เรำเรียกปฏิกริ ยิ ำทีเ่ กิดขึน
ซึง่ กำรกลั่นตัวของไอน้ำในบรรยำกำศจะไม่เกิดขึน ้ หำกบรรยำกำศปรำศจำกฝุ่ นผง
แม้วำ่ ไอน้ำจะอิม ่ ตัวแล้วก็ตำม
เมฆจำกมนุษย์
มนุษย์เรำก็สำมำรถสร้ำงเมฆได้เหมือนกัน
โดยเกิดจำกเครือ ่ งบินไอพ่นทีบ
่ น
ิ อยูใ่ นระดับสูงเหนือระดับควบแน่ น
ทำให้ไอน้ำซึง่ อยูใ่ นอำกำศร้อนทีพ่ น
่ ออกมำจำกเครือ ่ งยนต์ปะทะเข้ำกับอำกำศเย็นซึง่ อยูภ
่
ำยนอก เกิดกำรควบแน่ นเป็ นหยดน้ำ
เพรำะกำรจับตัวกับเขม่ำควันจำกเครือ ่ งยนต์จะทำหน้ำทีเ่ ป็ นแกนควบแน่ น
เรำจึงมองเห็นควันเมฆสีขำวถูกพ่นออกมำทำงท้ำยของเครือ ่ งยนต์เป็ นทำงยำว
มีชือ
่ เรียกว่ำ คอนเทรล (Contrails)
กำรแบ่งประเภทและ ชนิดของเมฆ
แบ่งตำมรูปร่ำง
แบ่งตำมระดับควำมสูง
~3~
เมฆยังอำจแบ่งเป็ น 4 กลุม
่ ตำมระดับควำมสูงของเมฆ
โดยระดับควำมสูงของเมฆนี้จะวัดจำกฐำนของก้อนเมฆ ไม่ได้วดั จำกยอด โดย Luke
Howard เป็ นผูน
้ ำเสนอวิธีกำรแบ่งกลุม
่ แบบนี้ แก่ Askesian Society ในปี ค.ศ.
1802
ซึง่ กำรแบ่งตำมระดับควำมสูงจะใช้ในกำรตรวจและแบ่งชนิดของเมฆทำงอุตุนิย
มวิทยำ
สำหรับเป็ นมำตรฐำนเดียวกันเพือ ่ ผลทำงกำรวิเครำะห์สภำพลมฟ้ ำอำกำศในกำรพยำกรณ์
โดยใช้ควำมสูงของฐำนเมฆเป็ นหลักในกำรแบ่งชนิด
ซึง่ ลักษณะของเมฆแต่ละชนิดนัน ้ สำมำรถทีจ่ ะบอกให้ทรำบถึงแนวโน้มลักษณะของสภำว
้ ล่วงหน้ำได้ เช่น
ะอำกำศทีจ่ ะเกิดขึน
ถ้ำในท้องฟ้ ำมีเมฆก่อตัวในทำงแนวตัง้ แสดงว่ำอำกำศกำลังลอยตัวขึน ้ หมำยถึง
สภำวะของอำกำศก่อนทีจ่ ะเกิดลมพำยุ
เมฆเซอรัส (Cirrus)
~4~
เมฆเซอโรคิวมูลสั (Cirrocumulus)
เมฆเซอโรสเตรตัส (Cirrostratus)
เมฆอัลโตคิวมูลสั (Altocumulus)
เมฆอัลโตสเตรตัส (Altostratus)
เมฆสเตรตัส (Stratus)
เมฆสเตรโตคิวมูลสั (Stratocumulus)
เมฆนิมโบสเตรตัส (Nimbostratus)
เมฆคิวมูลสั (Cumulus)
เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus)
สีของเมฆ
สีของเมฆนัน
้ บ่งบอกถึงปรำกฏกำรณ์ ทเี่ กิดขึน้ ภำยในเมฆ
้ สูท
ซึง่ เมฆเกิดจำกไอน้ำลอยตัวขึน ่ ส
ี่ งู เย็นตัวลง และควบแน่ นเป็ นละอองน้ำขนำดเล็ก
ละอองน้ำเหล่ำนี้มคี วำมหนำแน่ นสูง
แสงอำทิตย์ไม่สำมำรถส่องทะลุผำ่ นไปได้ไกลภำยในกลุม ่ ละอองน้ำนี้
จึงเกิดกำรสะท้อนของแสงทำให้เรำเห็นเป็ นก้อนเมฆสีขำว
ในขณะทีก ่ อ
้ นเมฆกลั่นตัวหนำแน่ นขึน้
และเมือ่ ละอองน้ำเกิดกำรรวมตัวขนำดใหญ่ขน ึ้ จนในทีส่ ด ุ ตกลงมำเป็ นฝน
ในระหว่ำงกระบวนกำรนี้ละอองน้ำในก้อนเมฆซึง่ มีขนำดใหญ่ขน ึ้ จะมีชอ
่ งว่ำงระหว่ำงหย
ดน้ำมำกขึน ้ ทำให้แสงสำมำรถส่องทะลุผำ่ นไปได้มำกขึน ้
ซึง่ ถ้ำก้อนเมฆนัน ้ มีขนำดใหญ่พอ และช่องว่ำงระหว่ำงหยดน้ำนัน ้ มำกพอ
แสงทีผ ่ ำ่ นเข้ำไปก็จะถูกซึมซับไปในก้อนเมฆและสะท้อนกลับออกมำน้อยมำก
่
ซึงกำรซึมซับและกำรสะท้อนของแสงนี้สง่ ผลให้เรำเห็นเมฆตัง้ แต่ สีขำว สีเทำ ไปจนถึง
สีดำ
โดยสีของเมฆนัน
้ สำมำรถใช้ในกำรบอกสภำพอำกำศได้
แบบฝึ กหัดเรือ
่ ง เมฆ และฝน
1. เมฆ คือ
5. เมฆทีก
่ อ
่ ตัวในแนวดิง่ ทีท
่ ำให้เกิดฝนตกหนัก ฟ้ ำแลบ ฟ้ ำร้องคือเมฆชนิดใด
6. ฝนเกิดจำกอะไร
7. ฝนมีกช
ี่ นิด อะไรบ้ำง
10. จงอธิบำยวัฏจักรของน้ำมำพอเข้ำใจ
1. แก๊สในข ้อใดไม่เกีย
่ วข ้องกับการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
ก. แก๊สไนตรัสออกไซด์ ข. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ค. แก๊สมีเทน ง. แก๊สออกซเิ จน
ก. ลม ข. ฝน
ค. เมฆ ง. ไอน้ า
3. ข ้อใดกล่าวถูกต ้องเกีย
่ วกับทิศทางการหมุนของโลก
~ 11 ~
ก. หมุนจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก ข.
หมุนจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก
4. อากาศในข ้อใดมีอณ
ุ หภูมส
ิ งู ทีส
่ ด
ุ
ก. อากาศในเวลากลางคืน ข. อากาศในเวลากลางวัน
ค. อากาศทีท
่ ้องฟ้ ามืดครึม
้ ง. อากาศทีม
่ เี มฆมาก
5. ข ้อใดเป็ นสาเหตุสาคัญของการเกิดลมบกลมทะเล
1) อุณหภูมข
ิ องอากาศเหนือพืน
้ ดินและพืน
้ น้ าแตกต่างกัน
2) พืน
้ ดินและพืน
้ น้ ารับและคายความร ้อนไม่เท่ากัน
3) ความกดอากาศเหนือพืน
้ ดินและพืน
้ น้ าแตกต่างกัน
ก. ข ้อ 1 ข. ข ้อ 2
ค. ข ้อ 3 ง. ข ้อ 1, 2 และ 3
ื้ อุณหภูมส
ก. อากาศชน ิ งู ข. อากาศแห ้ง อุณหภูมต
ิ า่
ค. อากาศแห ้ง อุณหภูมส
ิ งู ื้ อุณหภูมต
ง. อากาศชน ิ า่
ก. ข ้อ 1 ข. ข ้อ 2
ค. ข ้อ 3 ง. ข ้อ 1, 2 และ 3
ก. แผนทีด
่ าว ข. เข็มทิศ
ค. กล ้องโทรทรรศน์ ่ งทางไกล
ง. กล ้องสอ
9. ดาวเคราะห์มล
ี ักษณะอย่างไร
ก. มีแสงระยิบระยับตลอดเวลา ข.
มองเห็นได ้ด ้วยตาเปล่าทุกดวง
ค. มีแสงสว่างในตัวเอง ง. มีความสว่างไม่คงที่
้
10. ไซโครมิเตอร์เป็ นอุปกรณ์ทใี่ ชประโยชน์
ในด ้านใด
~ 12 ~
ก. วัดอุณหภูมข
ิ องอากาศ ื้ ในอากาศ
ข. วัดความชน
ชุดที่ 1 1 4 2 2 3 3 4 2 54 62 71 83 94 10 2 11 1 12
4 13 4 14 4 15 3
1. ง 2. ก 3. ก 4. ข 5. ง 6. ค 7. ค 8. ก 9.
ง 10.ข