Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 1: ความปลอดภัยและทักษะในปฏิบัติการเคมี
1 ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑÂáÅзѡÉÐ
ã¹»¯ÔºÑµÔ¡ÒÃà¤ÁÕ
àÍ¡ÊÒûÃСͺ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÒÂÇÔªÒà¤ÁÕ 1 (Ç31221)
Á.4
ÀÒ¤àÃÕ¹·Õè 1 »Õ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ 2563
ª×èÍ-Ê¡ØÅ...........................................................................ªÑé¹.................àÅ¢·Õè.............
¼ÙéÊ͹:
¤Ø³¤ÃÙÇ¹Ô´Ò ÈÔÃÔà¢ÕÂÇ
´ÒǹìâËÅ´àÍ¡ÊÒûÃСͺ ¤Ø³¤ÃÙÇÔàªÕÂà »ÃÔì¸ÒÃÒ
โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
¡ÒÃàÃÕ¹ä´éµÒÁ QR code คุณครูâçàÃÕ
วนิดา Âศิร¹ÊÒÁÑ
ิเขียว และ
¤¤ÕÇคุÔ·ณÂÒ¤Á
ครูวิเชียÍÓàÀÍàÁ×
ร ปริญญธารา
ͧ ¨Ñ§ËÇÑ´àªÕ§ÃÒÂ
ห น า | 1
บทที่ 1: ความปลอดภัยและทักษะในปฏิบัติการเคมี
ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมีและอุบัติเหตุจากสารเคมี
ผลการเรียนรู้
1. บอกและอธิบายข้อปฏิบัติเบื้องต้น และปฏิบัติตนที่แสดงถึงความตระหนักในการทำปฏิบัติ การเคมี
เพื่อให้มีความปลอดภัย ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม และเสนอแนวทางแก้ไขเมื่อเกิด อุบัติเหตุ
2. เลือกและใช้อุปกรณ์หรือ เครื่องมือในการทำปฏิบัติการ และวัดปริมาณต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
3. ระบุหน่วยวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร และเปลี่ยนหน่วยวัดให้เป็นหน่วยในระบบเอสไอด้วย การใช้
แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย
4. นำเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขียนรายงานการทดลอง
การทดลองถือเป็นหัวใจของการศึกษาค้นคว้าทางเคมีที่สามารถนำไปสู่การค้นพบและความรู้ใหม่ทางเคมี
นอกจากนี้การปฏิบัติการทดลองยังสามารถช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้และความเข้าใจใน บทเรียนได้ดยี ิ่งขึ้น
การทดลองทางเคมีสำหรับนักเรียนนิยมทำในห้องปฏิบัติการ โดยมีข้อควรปฏิบัติ และควรหลีกเลี่ยงที่เกี่ยวข้อง
กับความปลอดภัยในการทำปฏิบัติการ การจัดการเกี่ยวกับอุบัติเหตุจากสารเคมี ความเที่ยงความแม่น หน่วยวัด
และวิธีการทางวิทยาศาสตร์
การทำปฏิบัติการเคมีได้อย่างปลอดภัยจะต้องคำนึงถึงเรื่องใดบ้าง
1.1 ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี
การทำปฏิบัติการเคมีส่วนใหญ่ต้องมีความเกี่ยวข้องกับสารเคมี อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งผู้ทำ
ปฏิบัติการต้องตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม โดยผู้ทำปฏิบ ัติการควรทราบ
เกี่ยวกับ ประเภทของสารเคมีที่ใช้ ข้อควรปฏิบัติในการทำปฏิกิริยาเคมี และการกำจัดสารเคมีที่ใช้แล้ว เพื่อให้
สามารถทำปฏิบัติการเคมีได้อย่างปลอดภัย
1.1.1 ประเภทของสารเคมี
สารเคมีมีหลายประเภท แต่ล ะประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน สารเคมีจึงจำเป็นต้อ งมีฉลากที่มีข ้อมู ล
เกี่ยวกับความเป็นอันตรายของสารเคมีเพื่อความปลอดภัยในการจัดเก็บ การนำไปใช้ และการกำจัด โดยฉลาก
ของสารเคมีที่ใช้ในห้องปฏิบัติการควรมีขอ้ มูล ดังนี้
1. ชื่อผลิตภัณฑ์
2. รูปสัญลักษณ์ แสดงความเป็นอันตรายของสารเคมี
3. คำเตือน ข้อมูลความเป็นอันตราย และข้อควรระวัง
4. ข้อมูลของบริษัทผู้ผลิตสารเคมี
สั ญ ลัก ษณ์ แสดงอั นตราย (Hazard Pictogram) ตามระบบสากล GHS จะแสดงสั ญ ลั กษณ์ ใ น
สี่เหลี่ยมกรอบสีแดง พื้นสีขาว
องค์ประกอบของฉลากที่สำคัญได้แก่ รูปสัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายของสารเคมี ซึ่งตามระบบ
GHS ได้กำหนดไว้ 9 รูปดังแสดงในตารางต่อไปนี้
-สารไวไฟ -สารออกซิไดส์
-สารที่ทำปฏิกิริยาได้ด้วยตนเอง -สารเปอร์ออกไซด์อินทรีย์
-สารที่ลุกติดไฟได้เอง
-สารที่เกิดความร้อนได้เอง
อันตรายด้าน -สารที่ให้ก๊าซไวไฟ
กายภาพ
-วัตถุระเบิด -ก๊าซภายใต้ความดัน
-สารที่ทำปฏิกิริยาได้ด้วยตนเอง
-สารเปอร์ออกไซด์อินทรีย์
-เป็นอันตรายถึงชีวิต -ระวังกัดกร่อน
-ระคายเคือง -ก่อมะเร็ง
อันตรายด้าน -ทำให้เกิดการแพ้ที่ผิวหนัง -หากสูดเข้าไปทำให้เกิด
สุขภาพ -เป็นพิษเฉียบพลัน การแพ้ ห รื อ หอบหื ด หรื อ
-อาจระคายเคืองทางเดินหายใจ หายใจลำบาก
-อาจทำให้เกิดการง่วงซึม -เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์
(ฤทธิ์ของวัตถุเสพติด) -เป็ น พิ ษ ต่ อ ระบบอวั ย วะ
เป้าหมาย
-ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์
อันตรายจากการสำลัก
อันตรายด้าน -เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
สิ่งแวดล้อม
แอมโมเนีย กรดซัลฟิวริก
ก่อนทำปฏิบัติการ
1) ศึกษาขั้นตอนหรือวิธีการทำปฏิบัติการให้เข้าใจ วางแผนการทดลอง หากมีข้อสงสัยต้องสอบถาม
ครูผู้สอนก่อนที่จะทำการทดลอง
2) ศึกษาข้อมูลของสารเคมีที่ใช้ในการทดลอง เทคนิคเครื่องมือต่างๆ วัสดุอุป กรณ์ ตลอดจนวิธีการ
ทดลองที่ถูกต้องและปลอดภัย
3) แต่งกายให้เหมาะสม เช่น สวมเสื้อคลุมปฏิบัติการ กระโปรงยาวหรือกางเกงขายาว สวมรองเท้า
มิดชิดส้นเตี้ย รวบผมให้เรียบร้อย หลีกเหลี่ยงการใส่เครื่องประดับและคอนแทคเลนส์
ขณะทำปฎิบัติการ
1) ข้อปฏิบัติโดยทั่วไป
1.1 สวมแว่นตานิรภัย สวมเสื้อคลุมปฏิบัติการที่ติดกระดุมทุกเม็ด ควรสวมถุงมือเมื่อต้องใช้สารกัด
กร่อนหรือสารอันตราย สวมผ้าปิดปากเมื่อต้องใช้สารระเหย และทำปฏิบัติการในที่ซึ่งมีอากาศถ่ายเทหรือในตูด้ ดู
ควัน
1.2 ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม หรือทำกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการ
1.3 ไม่ทำการทดลองในห้องปฏิบัติการตามลำพังเพียงคนเดียว เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะไม่มีใคร
ทราบและไม่อาจช่วยได้ทันท่วงที หากเกิดอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการให้รีบแจ้งครูผู้สอนทันที
1.4 ไม่เล่น และรบกวนผู้อื่นขณะทีท่ ำปฏิบัติการ
1.5 ปฏิ บั ติต ามขั ้น ตอนและวิ ธี การอย่ างเคร่ งครั ด ไม่ ทดลองใด ๆ ที ่ นอกเหนื อ จากที ่ ไ ด้ รั บ
มอบหมาย และไม่เคลื่อนย้ายสารเคมี เครื่องมือ และอุปกรณ์ส่วนกลางที่ต้องใช้ร่วมกัน ก่อนได้รับอนุญาต
1.6 ไม่ปล่อยให้อุป กรณ์มีความร้อนทำงานโดยไม่มี คนดูแล และหลังจากใช้งานเสร็ จแล้ วให้ดับ
ตะเกียงแอลกอฮอล์ หรือปิดเครื่องและถอดปลั๊กไฟออกทันที ปล่อยไว้ให้เย็นแล้วค่อยจัดเก็บ
2) ข้อปฏิบัติในการใช้สารเคมี
2.1 อ่านชื่อสารเคมีบนฉลากให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
1.1.3 การกำจัดสารเคมี
สารเคมีที่ใช้แล้วหรือเหลือใช้จากการทำปฏิบัติการเคมี จำเป็นต้องมีวิธีการกำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อให้เกิด
ความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต
การกำจัดสารเคมีแต่ละประเภทสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
1) สารเคมีท ี ่เ ป็ นของเหลวไม่อั นตรายที ่ล ะลายน้ ำ ได้ และมี pH เป็ นกลาง ปริ มาณไม่ เกิ น 1 ลิตร
สามารถเทลงอ่างน้ำและเปิดน้ำตามมาก ๆ ได้
2) สารละลายเข้มข้นบางชนิด ไม่ควรทิ้งลงในอ่างน้ำหรือท่อทันที ควรเจือจางก่อนเทลงอ่างน้ำ ถ้ามี
ปริมาณมากต้องทำให้เป็นกลางก่อน
3) สารเคมีที่เป็นของแข็งไม่อั นตราย ปริมาณไม่เกิน 1 กิโลกรัม สามารถใส่ใ นภาชนะที่ปิดมิดชิ ด
พร้อมทั้งติดฉลากชื่อให้ชัดเจน ก่อนทิ้งในที่จัดเตรียมไว้
4) สารไวไฟ ตัวทำละลายที่ไม่ละลายน้ำ สารประกอบของโลหะเป็นพิษ หรือสารทำปฏิกิริยากับน้ำ ห้าม
ทิ้งลงอ่างน้ำ ให้ทิ้งไว้ในภาชนะที่ทางห้องปฏิบัติการจัดเตรียมไว้ให้
1.2 อุบัติเหตุจากสารเคมี
ในการทำปฏิก ิริ ยาเคมีต ่างๆจากการใช้สารเคมีได้ ซึ ่ ง หากผู ้ทำการปฏิบั ติ การมี ความรู้ ใ นการปฐม
พยาบาลเบื้องต้น จะสามารถลดความรุนแรง แล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ เบื้องต้นจากอุบัติเหตุจากการใช้
สารเคมี มีข้อปฏิบัติดังนี้
การปฐมพยาบาลเมื่อร่างกายสัมผัสสารเคมี
1.ถอดเสื้อผ้าบริเวณที่เปื้อนสารเคมีออก และใช้สารเคมีออกจากร่างกายให้มากที่สุด
2.กรณีที่เป็นสารเคมีที่ละลายน้ำได้ให้ล้านบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยการเปิดน้ำไหลผ่านในปริมาณมาก
3.กรณีเป็นสารเคมีที่ไม่ละลายน้ำ ให้ร้านบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยน้ำสบู่
4.อยากทราบว่าสารเคมีที่สัมผัสร่างกายคือสารใด ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในเอกสารความปลอดภัยของ
สารเคมี
กรณีที่ร่างกายสัมผัสสารเคมีในปริมาณมากหรือมีความเข้มข้นสูงให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น
แล้วนำส่งแพทย์ !!!!!
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา
ตะแคงศีรษะให้ตาด้านที่สัมผัสสารเคมีอยู่ด้านล่างรายการเปิดน้ำเบาเบาๆไหลผ่านดั้งจมูก ให้น้ำไหล
ผ่านตาข้างที่โดยสารเคมีพยายามลืมตาและขอบตาในน้ำอย่างน้อย 10 นาทีหรือจนกว่าจะแน่ใจว่าฉันล้างสารออก
หมดแล้ว ระวังไม่ให้น้ำเข้าตาอีกข้างหนึ่งและนำส่งแพทย์ในทันที
การปฐมพยาบาลเมื่อสูดดมแก๊สพิษ
1. เมื่อมีแก๊สพิษเกิดขึ้น ต้องรีบออกจากบริเวณในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกทันที
2. หากมีผู้ที่สูดดมแก๊สผิดจนหมดสติหรือไม่สามารถช่วยตนเองได้ ต้องรีบเคลื่อนย้ายออกจากบริเวณ
นั้นทันที โดยที่ผู้ช่วยเหลือต้องส่งอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมเช่นหน้ากากป้องกันแก๊สพิษหรือผ้าปิดปาก
3. ปลดเสื้อผ้า เพื่อให้ผู้ประสบอุบัติเหตุหายใจได้สะดวกถ้าหมดสติให้จับนอนคว่ำแล้วตะแคงหน้าไป
ทางด้านใดด้านหนึ่งเพื่อป้องกันโคนลิ้นกีดขวางทางเดินหายใจ
4. สังเกตการณ์เต้นของหัวใจและการหายใจ หากว่าหัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจให้นวดหัวใจและผาย
ปอดโดยผู้ที่ผ่านการฝึก แต่ไม่ควรใช้วิธีเป่าปาก แล้วรีบนำส่งแพทย์ทันที
การปฐมพยาบาลเมื่อโดนความร้อน
แช่น้ำเย็นหรือปิดแผลด้วยผ้าชุบน้ำจนกว่าจะหายปวดแสบปวดร้อนและทายาขี้ผึ้งสำหรับไฟไหม้และน้ำ
ร้อนลวก ถ้าเกิดบาดแผลใหญ่ให้นำส่งแพทย์
กรณีที่สารเคมีเข้าปากให้ปฏิบัติตามคำแนะนำตามเอกสารความปลอดภัยแล้วนำส่งแพทย์
ทุกกรณี !!!!
1.3 การวัดปริมาณสาร
ในปฏิบตั ิการเคมีจำเป็นต้องมีการชั่ง ตวง และวัดปริมาณสารซึ่งการชั่ง ตวง วัดมีความคลาดเคลือ่ นที่
เกิดจากอุปกรณ์ที่ใช้ หรือผู้ทำปฏิบัติ การที่จะส่งผลให้ผลการทดลองที่ได้มีความมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าจริง
ความน่าเชื่อถือของข้อมูลสามารถพิจารณาได้ 2 ส่วนด้วยกัน คือ ความเที่ยง และความแม่นของข้อมูล
โดยความเที่ยง คือ ความใกล้เคียงของข้าวที่ได้จากการวัด ส่วนความแม่น คือ ความใกล้เคียงของค่าเฉลี่ยจาก
การวัดซ้ำเทียบกับค่าจริง
ความเที่ยงและความแม่นของข้อมูลที่ได้จากการวัดขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ที่ทำการวัดและความละเอี ยดของ
อุปกรณ์ที่ใช้อุปกรณ์ที่ใช้โดยทั่วไปในปฏิบัติการเคมี ได้แก่ อุปกรณ์วัดปริมาตร และอุปกรณ์วัดมวล ซึ่งจะมี
ความละเอียดของอุปกรณ์และวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน การแบ่งกลุม่ อุปกรณ์วัดปริมาตรจะใช้ความแม่นเป็นเกณฑ์
1.3.1 อุปกรณ์วัดปริมาตร
อุปกรณ์วัดปริมาตรสารเคมีที่เป็นของเหลวที่ใช้ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์มีหลายชนิด แต่ละ
ชนิดมีขีดและตัวเลขแสดงปริมาตรที่ได้จากการตรวจสอบมาตรฐานและกำหนดความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้บ าง
ชนิดมีความคลาดเคลื่อนน้อย บางชนิดมีความคาดเคลื่อนมาก ในการเลือกใช้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับ
ปริมาตรและระดับความแม่นที่ต้องการ อุปกรณ์วัดปริมาตรบางชนิดที่นักเรียนได้ใช้ในงานในการทำปฏิบัติก าร
ภาพอุปกรณ์ คำอธิบาย
ภาพอุปกรณ์ คำอธิบาย
บิวเรตต์ (burette) เป็นอุปกรณ์สำหรับถ่ายเทของเหลวใน
ปริมาตรต่างๆตามต้องการ มีล ักษณะเป็นทรงกระบอกที่มีขีดบอก
ปริมาตรและมีอุปกรณ์ควบคุมการไหลของของเหลวที่เรียกว่า ก๊อก
ปิดเปิด ขวดกำหนดปริมาตรเป็นอุป กรณ์สำหรับ วัดปริมาตรของ
ของเหลวที่บ รรจุอยู่ภายในใช้สำหรับ เตรียมสารละลายที่ต้อ งการ
ความเข้มข้นแน่นอนมีขีดบอกปริมาตรเพียงขีดเดียวมีจุกปิดสนิทขวด
กำหนดปริมาตรมีหลายขนาด
การใช้อุปกรณ์วัดปริมาตรเหล่านี้ให้ได้ค่าที่น่าเชื่อถือ จะต้องมีการอ่านปริมาตรของของเหลวให้ถูกวิธี
โดยต้องให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับส่วนโค้งของของเหลว การอ่านค่าปริมาตรของของเหลวให้อ่านตามขีด
บอกปริมาตรและประมาณค่าทศนิยมตำแหน่งสุดท้าย ดังรูป และการบันทึกค่าให้บันทึกตามขนาดและความ
ละเอียดของอุปกรณ์
1.3.2 อุปกรณ์วัดมวล
เครื่องชั่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวัดมวลทั้งที่เป็นของแข็งและของเหลว ความน่าเชื่อถือของค่ามวลที่วัดได้
ขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่องชั่งและวิธีการใช้เครื่องชั่ง โดยเครื่องชั่งที่ใช้ในห้องปฏิบัติการเคมี มี 2 แบบ
คือ แบบเครื่องชั่งสามคาน (triple beam) และเครื่องชั่งไฟฟ้า (electronic balance) ซึ่งมีส่วนประกอบหลัก
ดังรูป
ตุ้มน้ำหนัก
เข็มชี้
จานชั่ง ตำแหน่งสมดุล
คานชั่ง
สกรูปรับสมดุล
จานชั่ง
ปุ่มปรับศูนย์
ลูกน้ำ
เครื่องชั่งดิจิตอล
ปัจจุบันเครื่องชั่งไฟฟ้าได้รับความนิ ยมมากขึ ้น เนื่องจากสามารถใช้ง านได้สะดวกและหาซื้อได้ง ่าย
ตัวเลขทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายซึ่งเป็นค่าประมาณของเครื่องชั่งแบบสามคานมาจากการประมาณของผู้ชั่ ง ขณะที่
ทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายของเครื่องชั่งไฟฟ้ามาจากการประมาณของอุปกรณ์
1.3.3. เลขนัยสำคัญ
ค่าที่ได้จากการวัดด้วยอุปกรณ์การวัดต่าง ๆ ประกอบด้วยตัวเลขและหน่วย โดยค่าตัวเลขที่วัดได้จาก
อุปกรณ์แต่ละชนิดอาจมีความละเอียดไม่เท่ากัน ซึ่งการบันทึกและรายงานค่าการอ่านต้องแสดงจำนวนหลักของ
ตัวเลขที่สอดคล้องกับความละเอียดของอุปกรณ์
การนับเลขนัยสำคัญ
การนับเลขนัยสำคัญ มีหลักการดังนี้
1. ตัวเลขที่ไม่ใช่ 0 ทั้งหมด ถือว่าเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น
45 มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว
548 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว
656.54 มีเลขนัยสำคัญ 5 ตัว
2. เลข 0 ที่อยู่ระหว่างตัวอื่นถือว่าเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น
3005 มีเลขนัยสำคัญ 4 ตัว
50.005 มีเลขนัยสำคัญ 5 ตัว
8.0002 มีเลขนัยสำคัญ 5 ตัว
3. เลข 0 ที่อยู่หน้าตัวเลขอื่นไม่ถือว่าเป็นเลขนัยสําคัญ เช่น
007 มีเลขนัยสำคัญ 1 ตัว
0.035 มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว
0.004004500 มีเลขนัยสำคัญ 7 ตัว
4. เลข 0 ทีอ่ ยู่หลังตัวเลขอื่นที่เป็นอยู่หลังทศนิยม ถือว่าเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น
4.0 มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว
180.03 มีเลขนัยสำคัญ 5 ตัว
801 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว
5. เลข 0 ทีอ่ ยู่หลังเลขทีไ่ ม่มีทศนิยมอาจนับเป็นเลขนัยสำคัญ หรือไม่นับก็ได้ เช่น
การคูณและการหาร
ในการคูณและการหารผลที่ได้จะมีจำนวนเลขนัยสำคัญเท่ากับข้อมูลที่มีเลขนัยสำคัญน้อยที่สุด
การคำนวณที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขที่แม่นตรง
การคำนวณไม่ตอ้ งพิจารณาเลขนัยสำคัญของตัวเลขที่แม่นตรง ดังตัวอย่าง
ตัวอยางเพิ่มเติม
1. จงระบุจำนวนเลขนัยสำคัญตอไปนี้
1.1. 0.00000008 เลขนัยสำคัญ……………ตัว ไดแกเลข ………………………………………………….
1.2. 82.0054 เลขนัยสำคัญ……………ตัว ไดแกเลข ………………………………………………….
1.3. 0.503 เลขนัยสำคัญ……………ตัว ไดแกเลข ………………………………………………….
1.4. 1.0 x 105 เลขนัยสำคัญ……………ตัว ไดแกเลข ………………………………………………….
1.5. 2.68 + 0.02 เลขนัยสำคัญ……………ตัว ไดแกเลข ………………………………………………….
2. จงคำนวณตัวเลขที่กำหนดใหตอไปนี้ ตามหลักเลขนัยสำคัญ
2.1. 3.035 + 5.2 + 8.09 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
2.2. 405 + 7.12 + 98.003 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
2.3. 62.5 x 0.073 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
2.4. 2.35 x 2.2 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
2.5. 3.5 x 225 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
2.6. 0.024 ÷ 0.006 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
2.7. (4.3)3 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
2.0 x 102
2.8. เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
3.45
9.8
2.9. + 2.10 - 1.125 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
9.3
2
2.10.
3
+ 5 - 1.00 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
1.5 4
2.11. 0.005 - +3 เลขนัยสำคัญ……………ตัว คำตอบคือ ………………………………………………….
2
1.4 หน่วยวัด
การระบุหน่วยของการวัดปริมาตรต่างๆ ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นความยาว มวล อุณหภูมิ อาจ
แตกต่างกันแต่ละประเทศ และในบางกรณี นำไปสู่ความเข้าใจผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายดังนั้นเพื่อให้การ
สื่อสารข้อมูลของการวัดเป็นการเข้าใจตรงกันมากขึ้นจึงมีการตกลงร่วมกันให้มีหน่วยมาตรฐานสากลขึ้น
1.4.1 หน่วยในระบบ SI
ประเทศ (International System of Units) หรื อ ระบบเอสไอ (SI) คื อ ระบบหน่ ว ย
มาตรฐานที ่ อ งค์ การระหว่ างประเทศว่ าด้ วยการมาตรฐาน (ISO หรื อ International Organization for
Standardization) กำหนดขึ้นให้ทุกประเทศใช้เป็นมาตรฐาน เพื่อให้การใช้หน่วยเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
โดยเฉพาะในวงการวิทยาศาสตร์
เป็นหน่วยที่ดัดแปลงจากหน่ วยในระบบเมทริ กซ์ โดยแบ่งเป็นหน่วยพื ้นฐานมี 7 หน่วยดัง
ตารางต่อไปนี้
ตาราง 3 หน่วยไอเอสพื้นฐาน
ปริมาณ ชื่อหน่วย สัญลักษณ์ของหน่วย
มวล กิโลกรัม (kilogram) kg
ความยาว เมตร (meter) m
เวลา วินาที (second) s
อุณหภูมิ เคลวิน (kelvin) K
ปริมาณสาร โมล (mole) mol
=1
.
.
ดังนั้น แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วยเขียนได้เป็น .
หรือ
วิธีทำ
ปริมาตรกรดไฮโดรคลอริก = 20 g solution × .
= 16.95 cm3
คำตอบต้องมีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว ดังนั้น สารละลายกรดไฮโดรคลอริกมีปริมาตร 17 ลูกบาศก์
เซนติเมตร
Note:
1.5 วิธีการทางวิทยาศาสตร์
การทำปฏิบัติการเคมีนอกจากจะต้องมีการวางแผนการทดลองการทำการทดลองการบันทึกข้อมูลการ
สรุปและวิเคราะห์ข้อมูลการนำเสนอข้อมูลและการเขียนรายงานการทำการทดลองที่ถูกต้องแล้วต้องคำนึง ถึง
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์
วิ ธี ก ารทางวิท ยาศาสตร์เป็นกระบวนการศึ กษาหาความรู้ท างวิทยาศาสตร์ที่ มีแ บบแผนขั ้นตอนโดย
ภาพรวมสามารถทำได้ดังนี้
1.การสังเกตเป็นจุดเริ่มต้นของการได้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการศึกษาโดยอาศัยประสาทสัมผัสทั้ง 5
คือ การมองเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การรับรส และการสัมผัส จากข้อมูลดังกล่าวจะ นำไปสู่ข้อสงสัย
หรือตั้งเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ ดังนั้น การสังเกตจึงเป็นทักษะที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียน
2.การตั้งสมมติฐาน ในการคาดคะเนคำตอบของปัญหาหรือคำตอบของ คำถาม โดยมีพื้นฐานจากการ
สังเกต ความรู้ หรือประสบการณ์เดิม โดยทั่วไปสมมุติฐานจะเขียนอยู่ในรูปของข้อความที่แสดงเหตุ และผลที่
เกิดขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งจะเป็นความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
3.การตรวจสอบสมมติฐาน เป็นกระบวนการการหาคำตอบของสมมติฐาน โดยมีการออกแบบการ
ทดลองให้มีการควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการทดลอง รวมถึงขั้นตอนการทดลองที่ชัดเจน
4.การรวบรวมข้ อมู ล และการวิ เคราะห์ ผ ล เป็ นการนำข้ อ มู ล ที ่ไ ด้จ ากการสั งเกต การตรวจสอบ
สมมติฐาน มารวบรวมวิเคราะห์ และอธิบายข้อเท็จจริง
5.การสรุป ผล เป็ นการสรุป ความรู้ หรื อข้ อเท็จจริ งที ่ ได้ จากการตรวจสอบสมมติ ฐาน และมีการ
เปรียบเทียบกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ก่อนหน้า
ทั้งนี้ ในการศึกษาความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่มีรูปแบบที่ตายตัวด้วยอาจจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับคำถาม บริบท หรือวิธีการที่ใช้ในสำรวจตรวจสอบ
นอกจากวิ ธ ี การทางวิ ทยาศาสตร์ แ ล้ ว การเขี ย นรายงานการทดลองเป็นสิ ่ ง สำคั ญเช่ นกัน เพราะ
นอกจากจะช่วยให้ผู้ทำการทดลองมีข้อมูลไว้อ้างอิง แล้ว รายงานยังเป็นเครื่องมือ สื่อสารที่ผู้อื่นสามารถ นำไป
ศึกษาและปฏิบัติตามได้โดยหัวข้อที่ควรมีในรายงานการทดลองมีดังนี้
1. ชื่อการทดลอง
2. จุดประสงค์
3. สมมติฐานและการกำหนดตัวแปร
4. อุปกรณ์และสารเคมี
5. วิธีการทดลอง
6. ผลการทดลอง
7. อภิปรายและสรุปผลการทดลอง