Professional Documents
Culture Documents
บทความ ขนาดอนุภาคนั้นสำคัญไฉน
บทความ ขนาดอนุภาคนั้นสำคัญไฉน
จานวนหน่วยกิตการศึกษาต่อเนื่อง 3 หน่วยกิต
วัตถุประสงค์ทางพฤติกรรม
หลังจากอ่านบทความเสร็จสิ้นแล้ว ผู้อ่านจะสามารถ
1. เข้าใจถึงความสาคัญของขนาดอนุภาคต่อประสิทธิภาพของเภสัชภัณฑ์
2. ทราบความหมายของเส้นผ่านศูนย์กลางสมมูลของทรงกลม (equivalent spherical diameter)
3. เข้าใจหลักการของการวัดอนุภาคด้วยวิธีต่างๆ การประยุกต์ใช้ และข้อจากัดของแต่ละวิธี
บทนา
เภสัชภัณฑ์รูปแบบผงแห้งและเภสัชภัณฑ์ระบบกระจายตัวรูปแบบของเหลวและของแข็ง มีขนาดของอนุภาคของยาและ
สารประกอบอื่นในตารับกระจายตัวในช่วงกว้างตั้งแต่ คอลลอยด์ระดับอนุภาคนาโนเมตรจนถึงแกรนูลขนาดมิลลิเมตรทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
รูปแบบของยาและช่องทางในการให้ยา ขนาดและรูปร่างของอนุภาคมีผลต่อสมบัติทางกายภาพของสาร เช่น พื้นที่ผิว ปริมาตร ความ
พรุน นอกจากนี้ยังมีผลต่อขั้นตอนการผลิต เพราะขนาดและรูปร่างของอนุภาคมีผลต่อการไหล การผสม การบรรจุ การแยกของผงยา
และที่สาคัญที่สุด ขนาดและรูปร่างของอนุภาคมีผลต่อประสิทธิภาพของเภสัชภัณฑ์ เช่น มีผลต่อความสม่าเสมอของปริมาณและขนาด
การให้ยา (content and dose uniformity) อัตราการละลาย อัตราการดูดซึม อัตราการปลดปล่อยตัวยาโดยเฉพาะในเภสัชภัณฑ์
รูปแบบออกฤทธิ์เนิ่น การสะสมและการกระจายตัวของอนุภาคในร่างกาย ชีวประสิทธิผล และการขับออกจากร่างกาย นอกจากนี้ขนาด
อนุภาคยังมีผลต่อผิวสัมผัสของเภสัชภัณฑ์จาพวกยาเม็ดแบบเคี้ยว ยาขี้ผึ้ง ยาครีม และมีผลต่อการระคายเคืองของยาตา ดังนั้นเภสัชกร
จึงควรทราบความสาคัญของขนาดอนุภาคและการวัดขนาดอนุภาคเพื่อควบคุมคุณภาพของเภสัชภัณฑ์ให้ตรงตามที่ต้องการ โดยในช่วง
ต้นของบทความนี้จะกล่าวถึงความสาคัญของขนาดอนุภาคต่อประสิทธิภาพของเภสัชภัณฑ์ชนิดต่างๆ จากนั้นจะกล่าวถึงการวัดขนาด
อนุภาคโดยวิธีต่างๆ เพื่อให้ทราบหลักการและข้อจากัดของแต่ละวิธี
หน้า 2
ความสาคัญของขนาดอนุภาคต่อประสิทธิภาพของเภสัชภัณฑ์
การนาส่งยาสู่ระบบทางเดินหายใจ
ประสิทธิภาพของยาสูดพ่นขึ้นอยู่กับการกระจายของขนาดอนุภาคแบบจีโอเมตริกและแอโรไดนามิก และรูปร่างอนุภาค กลไก
ของการกระจายตัวของแอโรซอลสาหรับการนาส่งยาสู่ระบบทางเดินหายใจ มี 3 กลไก คือ การตกกระทบด้วยแรงเฉื่อย (inertial
impaction) การตกตะกอน (sedimentation) และการแพร่กระจายแบบบราวเนียน (Brownion diffusion) โดยทั่วไปอนุภาคที่มีขนาด
อนุภาคชนิด mass-median aerodynamic diameter (MMAD, คือ เส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาคที่อนุภาคร้อยละ 50 โดยน้าหนัก มี
ขนาดใหญ่กว่าขนาดที่รายงานและอนุภาคร้อยละ 50 โดยน้าหนัก มีขนาดเล็กกว่าขนาดที่รายงาน) อยู่ในช่วง 1 - 5 ไมครอน ซึ่งเป็นช่วง
ขนาดอนุภาคที่มีความเหมาะสมที่จะตกในทางเดินหายใจบริเวณหลอดลมและถุงลมปอดด้วยกลไกการตกตะกอนและสามารถซึมผ่าน
เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ดีที่สุด นอกจากนี้การมีความเข้าใจในสรีรพยาธิสภาพของโรคจะช่วยให้สามารถออกแบบอนุภาคสาหรับการ
นาส่งยาในทางเดินหายใจให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เช่น จากผลการศึกษายาที่ใช้ในการรักษาโรคหอบหืด 1 มีการใช้ยา 2 ชนิด คือ ยา
การวัดขนาดอนุภาค
โดยทั่วไปการบอกขนาดอนุภาครูปร่างปกติและสมมาตร อนุภาครูปทรงสี่เหลี่ยม แสดงเป็นความกว้าง ความยาว ความหนา
ขนาดของอนุภาคทรงกลมแสดงเป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง แต่อนุภาคของสารที่พบในธรรมชาติมีขนาดแตกต่างกันและมีรูปร่างไม่สมมาตร
อนุภาคที่ผ่านการบดก็เช่นเดียวกัน มักมีรูปร่างไม่แน่นอนและไม่สมมาตร การวัดขนาดจึงไม่สามารถใช้วิธีทางเรขาคณิต วิธีบอกขนาด
อนุภาคจึงถูกกาหนดขึ้นมาใช้ตามความเหมาะสม การบอกขนาดอนุภาคของแข็งที่มีรูปร่างไม่สมมาตรทาโดยการเปรียบเทียบกับอนุภาค
ทรงกลมโดยบอกขนาดเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางสมมูลของทรงกลม (equivalent spherical diameter) ซึง่ มีหลายแบบดังนี้
เส้นผ่านศูนย์กลางพื้นที่ผิวเทียบเท่า (Equivalent surface diameter, ds) คือ เส้นผ่านศูนย์กลางของทรงกลมที่มีพื้นที่ผิวที่
เท่ากับพื้นที่ผิวของอนุภาคที่ต้องการวัดขนาด
เส้นผ่านศูนย์กลางปริมาตรเทียบเท่า (Equivalent volume diameter, dv) คือ เส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาคทรงกลมที่มี
ปริมาตรที่เท่ากับปริมาตรของอนุภาคที่ต้องการวัดขนาด
เส้นผ่านศูนย์กลางพื้นที่เทียบเท่า (Equivalent projected area diameter, dp) คือ เส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาคทรงกลมที่
มีพื้นที่หน้าตัดที่เท่ากับพื้นที่ภายใต้เส้นขอบของอนุภาค (projected area) ที่ต้องการวัดขนาดเมื่ออนุภาควางอยู่ในสภาพที่มั่นคงที่สุดใน
แนวราบ
เส้นผ่านศูนย์กลางอัตราการตกตะกอนเทียบเท่า (Equivalent Stokes diameter, dst) คือ เส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาคทรง
กลมที่มีอัตราในการตกตะกอนในของเหลวชนิดหนึ่งเท่ากับอัตราการตกตะกอนของอนุภาคที่ต้องการวัดขนาด
5. การวัดขนาดอนุภาคด้วยการหาปริมาตรของอนุภาค
6. การวัดขนาดอนุภาคด้วยเทคนิคการกระเจิงแสงแบบพลวัต (dynamic light scattering, DLS)
7. การวัดขนาดอนุภาคด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนของแสง (Laser diffraction, LD)
8. การวัดขนาดอนุภาคด้วย Cascade impactor (CI)
การวัดขนาดอนุภาคด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Optical microscopy)
ใช้วัดขนาดอนุภาคในช่วง 1 - 100 ไมครอน กล้องจุลทรรศน์ที่ใช้วัดขนาดอนุภาคต้องมีอุปกรณ์วัดขนาดติดตั้งอยู่ในตัวเครื่อง
เช่น ไมโครมิเตอร์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายไม้บรรทัดเล็กๆ มีสเกล (scale) บอกขนาด นาไมโครมิเตอร์ติดตั้งเข้าไปในเลนส์ตาก่อนทาการวัด
ขนาดอนุภาคทุกครั้งต้องเทียบสเกลของไมโครมิเตอร์กับสเกลของ stage micrometer ตัวอย่างมักจะถูกเตรียมในรูปแบบอิมัลชั่นหรือ
สารแขวนตะกอนจากนั้นหยดลงบนสไลด์และส่องภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เส้นผ่านศูนย์กลางที่อ่านได้สามารถแสดงได้หลายวิธดี ังนี้ (รูปที่ 1 )
Projected area diameter คื อ เส้ น ผ่ า นศู น ย์ ก ลางของ
อนุภาคที่เท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลมที่มีพื้นที่ผิวที่เท่ากันกับ
A
อนุภาคที่วัด โดยพื้นที่นั้นต้องตั้งฉากกับผิวที่ผงยาพักอยู่
Martin's diameter คื อ เส้ น ผ่ านศูน ย์ กลางของอนุภาคที่
เท่ากับความยาวของเส้นที่ลากแบ่งครึ่งอนุภาค เส้นที่ลากนี้จะเป็นใน B
ทิศทางใดก็ได้ แต่ต้องเป็นในทิศทางเดียวกันสาหรับอนุภาคที่วัดทั้งหมด
Feret's diameter คื อ เส้ น ผ่ า นศู น ย์ ก ลางของอนุ ภ าคที่
เท่ากับระยะระหว่างเส้นสัมผัสผิวผงยาสองเส้นที่ตรงข้ามและขนานกัน C
รูปที่ 1 เส้นผ่านศูนย์กลาง (A) Projected area diameter (B) Martin's diameter (C) Feret's diameter
การวัดขนาดอนุภาคด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนเป็นกล้องจุลทรรศน์ที่ใช้ลาอนุภาคอิเล็กตรอนพลังงานสูงในการตรวจสอบวัตถุแทนแสงธรรมดา
เนื่องจากความยาวคลื่นของลาอนุภาคอิเล็กตรอนนั้นสั้นกว่าความยาวคลื่นแสงถึง 100,000 เท่า ทาให้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
สามารถให้ ป ระสิท ธิ ภ าพของก าลั งขยายและการแจกแจงรายละเอี ย ดได้ เหนื อ กว่ ากล้ อ งจุ ลทรรศน์ แ บบใช้ แ สงโดยสามารถแยก
รายละเอียดของวัตถุที่เล็กขนาด 10 อังสตรอม หรือ 0.1 นาโนเมตร (กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงจะแจกแจงรายละเอียดได้ประมาณ 0.2
ไมโครเมตร) จึงทาให้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนมีกาลังขยายสูงมากถึง 500,000 เท่า การใช้กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนเหมาะกับ
งานวิ จั ย ที่ ต้ อ งการศึ ก ษาสมบั ติ ท างกายภาพของอนุ ภ าค กล้ อ งจุ ล ทรรศน์ อิ เ ล็ ก ตรอนมี 2 ชนิ ด ได้ แ ก่ transmission electron
microscope (TEM) และ scanning electron microscope (SEM)
Transmission electron microscope (TEM) เป็นกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่ใช้ศึกษาตัวอย่างชนิดบางซึ่งเตรียมขึ้น
โดยวิธีพิเศษเพื่อให้ลาอนุภาคอิเล็กตรอนผ่านทะลุได้ การสร้างภาพจากกล้องประเภทนี้จะทาได้โดยการตรวจวัดอิเล็กตรอนที่ทะลุผ่าน
ตัวอย่างนั่นเอง เครื่อง TEM เหมาะสาหรับศึกษารายละเอียดขององค์ประกอบภายในของตัวอย่าง เช่น องค์ประกอบภายในเซลล์
ลั ก ษณะของเยื่ อ หุ้ ม เซลล์ ผนั งเซลล์ เป็ น ต้ น ซึ่ งจะให้ ร ายละเอี ย ดสู งกว่ า กล้ อ งจุ ล ทรรศน์ ช นิ ด อื่ น ๆ เนื่ อ งจากมี ก าลั งขยายและ
ประสิทธิภาพในการแจกแจงรายละเอียดสูงมาก (กาลังขยายสูงสุดประมาณ 0.1 นาโนเมตร)
Scanning electron microscope (SEM) เป็นกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่มีกาลังขยายไม่สูงเท่ากับเครื่อง TEM (เครื่อง
SEM มีกาลังขยายสูงสุดประมาณ 10 นาโนเมตร) การเตรียมตัวอย่างเพื่อที่จะดูด้วยเครื่อง SEM นี้ไม่จาเป็นต้องที่ตัวอย่างจะต้องมีขนาด
บางเท่ากับเมื่อดูด้วยเครื่อง TEM ก็ได้ (เพราะไม่ได้ตรวจวัดจากการที่อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ทะลุผ่านตัวอย่าง) การสร้างภาพทาได้โดยการ
ตรวจวัดอิเล็กตรอนที่สะท้อนจากพื้นผิวหน้าของตัวอย่างที่ทาการสารวจ ซึ่งภาพที่ได้จากเครื่อง SEM นี้จะเป็นภาพลักษณะของ 3 มิติ
ดังนั้นเครื่อง SEM จึงถูกนามาใช้ในการศึกษาสัณฐานและรายละเอียดของลักษณะพื้นผิวของตัวอย่าง เช่น ลักษณะพื้นผิวด้านนอกของ
เนื้อเยื่อและเซลล์ หน้าตัดของโลหะและวัสดุ เป็นต้น ข้อดีของเครื่อง SEM เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่อง TEM คือ ภาพโครงสร้างที่เห็นจาก
เครื่อง SEM จะเป็นภาพลักษณะ 3 มิติ ในขณะที่ภาพจากเครื่อง TEM จะให้ภาพลักษณะ 2 มิติ อีกทั้งวิธีการใช้งานเครื่อง SEM จะมี
ความรวดเร็วและใช้งานง่ายกว่าเครื่อง TEM มาก
หน้า 9
รูปที่ 2 ภาพตัวอย่างของ Magnetite (Fe3O4) spheres ถ่ายด้วยเครื่อง TEM (ซ้าย) และ gold (Au) particles ถ่ายด้วยเครื่อง SEM (ขวา)
การวัดขนาดอนุภาคโดยการแร่ง (Sieving)
แร่ง (sieve) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแยกขนาดอนุภาค มีลักษณะเป็นตารางที่เกิดจากการสานกันของเส้นใย (woven wire)
หรือเป็นแผ่นเจาะรู (perforated plate) ทาจากวัสดุหลายประเภท เช่น ใยเส้นไหม พลาสติก โลหะสัมฤทธิ์ ทองเหลือง ลวดเหล็ ก แร่ง
แต่ละอันมีขนาดช่องเปิด (aperture) ที่ไม่เท่ากันขึ้นกับจานวนเส้นใยที่มาสานกัน ซึ่งขนาดของช่องเปิด หมายถึง ระยะกึ่งกลางของลวด
เส้นหนึ่งถึงเส้นลวดอีกเส้นหนึ่ง และขนาดรูเปิด (opening) หมายถึง ระยะระหว่างขอบลวดเส้นหนึ่งถึงขอบลวดอีกเส้นหนึ่งโดยไม่รวม
ความหนาของเส้นลวด ขนาดของแร่งตามหน่วยมาตรฐานของ U.S. Tyler (U.S. Tyler standard) ระบุเป็นเมช (mesh) หมายถึง
จานวนช่องเปิดในช่วงความยาวหนึ่งนิ้ว ตัวอย่างเช่น แร่งเบอร์ 20 หมายถึงแร่งที่มีจานวนช่องเปิด 20 ช่อง ในช่วงความยาว 1 นิ้ว ขนาด
ของแร่งตามหน่วยมาตรฐานของ U.S. ASTM (American Society for Testing and Materials) ระบุเป็นมิลลิเมตรหรือไมโครเมตร ซึ่ง
วัดจากความกว้างของช่องเปิดของแร่ง
h d st2 ( s 0 ) g
V
t 18o
v คือ อัตราเร็วในการตกตะกอน
h คือ ระยะทางในการตกตะกอน
t คือ เวลาที่ใช้ในการตกตะกอน
dst คือ เส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาค
ρs คือ ความหนาแน่นของอนุภาค
ρ0 คือ ความหนาแน่นของของเหลวตัวกลาง
η0 คือ ความหนืดของของเหลวตัวกลาง
g = 981 (cm/sec2)
การวัดขนาดอนุภาคด้วยการหาปริมาตรของอนุภาค
เครื่องมือที่นิยมใช้ในการวัดปริมาตรอนุภาค คือ Coulter counter หรือ electron stream sensing zone method ใช้ใน
การวัดขนาดอนุภาคช่วง 0.7 - 500 ไมครอน นาอนุภาคมาเตรียมเป็นสารแขวนลอยในของเหลวที่นาไฟฟ้า เช่น โซเดียมคลอไรด์ ไตร
โซเดียมฟอสเฟต โซเดียมอะซิเทต โดยสารแขวนตะกอนปริมาตรที่แน่นอนจะถูกปั๊มผ่านช่องว่างเล็กๆ (pinhole หรือ orifice) ของ
อิเล็กโทรดซึ่งมีหลายขนาด ผู้ใช้ต้องเลือกขนาด pinhole ให้เหมาะสมกับขนาดอนุภาค ให้อนุภาคผ่านได้ครั้งละ 1 อนุภาคเท่านั้น ปกติ
จะมีความต่างศักย์คงที่ที่ไหลผ่านขั้วอิเล็กโทรดเพื่อให้เกิดกระแสไฟฟ้า ขณะที่อนุภาคผ่าน pinhole ของอิเล็กโทรดจะทาให้เกิดการเพิ่ม
ความต้านทานไฟฟ้าตามปริมาตรของอนุภาค ความต้านทานที่เพิ่มขึ้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของความต่างศักย์ และจะถูกขยาย
สัญญาณ และส่งเข้าเครื่องวิเคราะห์ความต่างศักย์ แล้วแปลผลออกมาเป็นขนาดอนุภาคเส้นผ่านศูนย์กลางที่วัดได้จะเป็น dv
η คือ ความหนืดของตัวกลาง
R คือ รัศมีของอนุภาค
รูปที่ 6 (A) รูปแบบของ Anderson Cascade Impactor (ACI) และ (B) ระดับขั้นของขนาดอนุภาคที่ตกในระบบทางเดินหายใจ
โดยแต่ละชั้นของ ACI สามารถกักเก็บอนุภาคขนาดต่างๆดังแสดงในตาราง โดยการเลือกระดับอัตราการดูดอากาศของปั๊ม เป็น
ดังนี้ อัตราการดูดอากาศ 28.3 ลิตรต่อนาที ใช้สาหรับวัดขนาดอนุภาคจากอุปกรณ์ประเภท metered-dose inhalers (MDI) และ
หน้า 16
รูปที่ 7 (A) โครงสร้างของเครื่อง New Generation Impactor (NGI) และ (B) จานวนรู (hole) และขนาดของรูผ่านของช่อง (nozzle
pieces) ต่างๆ
หน้า 17
ในภาพรวมสาเหตุของความผิดพลาดในการวัดขนาดอนุภาคที่มักพบบ่อย ได้แก่
1. ความคลาดเคลื่อนจากเครื่องมือ เกิดจากข้อจากัดของวิธีวิเคราะห์นนั้ ๆ ซึ่งจะส่งผลถึงความถูกต้องของการวิเคราะห์
2. ความคลาดเคลื่อนจากสถิติที่ใช้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการสุ่มตัวอย่างและการกระจายของตัวอย่างด้วย
3. ความคลาดเคลื่อนจากซอฟแวร์ที่ใช้ในการประมวลผล เกิดจากการใช้อัลกอริทึมที่น้อยหรือมากเกินไปในการวิเคราะห์และ
ประมวลผล
4. ความคลาดเคลื่อนจากผู้วดั มักเกิดจากการสอบเทียบที่ไม่ถูกต้อง การตั้งค่าเครื่องที่ไม่ถูกต้อง หรือการวัดที่ไม่ถูกต้อง
สรุป
จะเห็นได้ว่าขนาดของอนุภาคของยาและสารประกอบอื่นในเภสัชภัณฑ์มีความสาคัญต่อประสิทธิภาพของเภสัชภัณฑ์ ไม่ว่าจะ
เป็นเภสัชภัณฑ์สาหรับนาส่งยาสูร่ ะบบทางเดินหายใจ เภสัชภัณฑ์สาหรับนาส่งยาสู่ระบบทางเดินอาหาร เภสัชภัณฑ์สาหรับนาส่งยาตา ยา
ทาภายนอก และยาแผ่นแปะ เภสัชภัณฑ์สาหรับนาส่งยาทางหลอดเลือดดา ดังนั้นการควบคุมขนาดอนุภาคจึงเป็นสิ่งทีส่ าคัญ นอกจากนี้
อนุภาคของสารที่พบในธรรมชาติหรืออนุภาคที่ผา่ นกระบวนการบางอย่าง เช่น การบด การทาแกรนูล หรือ การทา solid dispersion
มักมีรูปร่างไม่สมมาตร การบอกขนาดอนุภาคจึงบอกเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางสมมูลของทรงกลม ได้แก่ เส้นผ่านศูนย์กลางพื้นที่ผิว
เทียบเท่า เส้นผ่านศูนย์กลางปริมาตรเทียบเท่า เส้นผ่านศูนย์กลางพื้นที่เทียบเท่า เส้นผ่านศูนย์กลางอัตราการตกตะกอนเทียบเท่า
ประกอบกับเทคนิคต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ขนาดอนุภาคมีให้เลือกใช้หลากหลาย ผู้ทาการวิเคราะห์ขนาดอนุภาคควรเข้าใจหลักการและ
ข้อจากัดของแต่ละเทคนิค เพื่อที่จะเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับเภสัชภัณฑ์นั้นๆ เพื่อให้ได้ผลการวิเคราะห์ขนาดอนุภาคและการ
กระจายตัวของอนุภาคที่ถูกต้องและมีความแม่นยา
เอกสารอ้างอิง12 13 14
1. Usmani OS, Biddiscombe MF, Barnes PJ. Regional lung deposition and bronchodilator response as a function of
β2-agonist particle size. American journal of respiratory and critical care medicine. 2005;172(12):1497-1504.
2. Duddu SP, Sisk SA, Walter YH, et al. Improved lung delivery from a passive dry powder inhaler using an
engineered PulmoSphere® powder. Pharmaceutical research. 2002;19(5):689-695.
3. Koushik K, Dhanda DS, Cheruvu NP, Kompella UB. Pulmonary delivery of deslorelin: large-porous PLGA particles
and HPβCD complexes. Pharmaceutical research. 2004;21(7):1119-1126.
4. Wiedmann TS, DeCastro L, Wood RW. Nebulization of NanoCrystals: production of a respirable solid-in-liquid-in-
air colloidal dispersion. Pharmaceutical research. 1997;14(1):112-116.
5. Alvarez-Roman R, Naik A, Kalia Y, Guy RH, Fessi H. Skin penetration and distribution of polymeric nanoparticles.
Journal of Controlled Release. 2004;99(1):53-62.
หน้า 18
6. Rolland A. Particulate carriers in dermal and transdermal drug delivery: myth or reality? Drugs and the
pharmaceutical sciences. 1993;61:367-421.
7. Shim J, Kang HS, Park W-S, Han S-H, Kim J, Chang I-S. Transdermal delivery of mixnoxidil with block copolymer
nanoparticles. Journal of Controlled Release. 2004;97(3):477-484.
8. Kaewamatawong T, Kawamura N, Okajima M, Sawada M, Morita T, Shimada A. Acute pulmonary toxicity caused
by exposure to colloidal silica: particle size dependent pathological changes in mice. Toxicologic pathology.
2005;33(7):745-751.
9. Allen LV, Ansel HC. Ansel's pharmaceutical dosage forms and drug delivery systems (10th edition)2014.
10. Martin AN, Sinko PJ, Singh Y. Martin's physical pharmacy and pharmaceutical sciences physical chemical and
biopharmaceutical principles in the pharmaceutical sciences. Baltimore, MD: Lippincott Williams & Wilkins; 2011.
11. United States Pharmacopeial C. The United States pharmacopeia ; The national formulary2016.
12. Shekunov BY, Chattopadhyay P, Tong HH, Chow AH. Particle size analysis in pharmaceutics: principles, methods
and applications. Pharmaceutical research. 2007;24(2):203-227.
13. Pecora R. Dynamic light scattering: applications of photon correlation spectroscopy: Springer Science & Business
Media; 2013.
14. Larsson M, Hill A, Duffy J. Suspension stability; why particle size, zeta potential and rheology are important.
Annual transactions of the Nordc Rheology Society. 2012;20:209-214.