Professional Documents
Culture Documents
รูปที่ 4 โครงสร้างของแบบจำลองอิทธิพลผสมแบบไม่เป็นเส้นตรง
ตัวย่อ IVV; Inter-individual variability
IOV; Inter-occasional variability
RUV; Residual unexplained variability
โดยส่วนแรกที่เป็นแบบจำลองอิทธิพลแบบคงที่ (Fixed effect model) จะเป็นการอธิบายแบบจำลองใน
ลักษณะโครงสร้างของระบบตัวยา (Structural model) เช่น เป็น 1- หรือ 2- compartmental model เป็น
first- หรือ zero- order elimination เป็นต้น แสดงค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์พร้อมค่าอิทธิพลของ
ปัจจัยต่างๆที่ส่งผลต่อค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์ ในบางงานวิจัยจะใช้เป็นอักษรกรีกในการแสดงค่า คือ θ
(Theta; “ที-ต้า”)
ส่วนต่อมาจะเป็นแบบจำลองอิทธิพลแบบสุ่ม (Random effect model) จะเป็นการอธิบายแบบจำลอง
ในลักษณะสุ่ม (Stochastic model หรือ Statistical model) ที่แสดงค่าความแปรปรวนต่างๆของค่าพารามิเตอร์
ทางเภสัชจลนศาสตร์ ในบางงานวิจัยที่ไม่ได้ใช้คำว่า IIV IOV หรือ RUV อาจจะใช้เป็นอักษรกรีกแทนเช่น η (Eta,
“อี-ต้า”) κ (Kappa, “แคป-ป้า”) ω (Omega, “โอ-เม-ก้า”) และ σ (Sigma, “ซิก-ม่า”) เป็นต้น
สำหรับคำว่า non-linear คือความสัมพันธ์ในแบบจำลองทั้ง Fixed effect และ Random effect นั้นไม่
สามารถอธิบายด้วยสมการเส้นตรงได้ อาจอธิบายเป็นความสัมพันธ์ลักษณะอื่นที่ ไม่เป็นเส้นตรง เช่น แบบจำลอง
เอกซ์โพเนนเชียล (Exponential model) แบบจำลองยกกำลัง (Power model) หรือ แบบจำลองอิทธิพลสูงสุด
(Maximum effect model: E max) เป็นต้น เมื่อได้แบบจำลองจากการศึกษาเภสัชจลนศาสตร์ประชากรแล้ว
ค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์ที่จำเพาะต่อผู้ป่วย ก็สามารถนำไปใช้ในการคำนวนระดับยา การปรับขนาดยา
ที่เหมาะสมตามปัจ จัย ต่างๆ ที่ส ่งผลต่อค่าพารามิเตอร์ทางเภสัช จลนศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญ (Significant
covariates) หรือใช้ข้อมูลจากการจำลองในการแนะนำขนาดยาเริ่มต้นของกลุ่มประชากรจำเพาะได้1-4, 23
การนำผลจากการศึกษาเภสัชจลนศาสตร์ประชากร ไปใช้ในงานบริบาลทางเภสัชกรรม
ตำราที ่ ใช้ ใ นการเรี ย นการสอนเภสั ช จลนศาสตร์ ใ นประเทศไทย 9, 24 ส่ ว นใหญ่ ส ู ต รที ่ ใช้ ใ นการหา
ค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์ ยังคงมีที่มาจากการศึกษาเภสัชจลนศาสตร์ของประชากรในต่างประเทศ
ในขณะที่แต่ละกลุ่มประชากรนั้นมีความแตกต่างกันหลายประการ ส่งผลให้ค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์
อาจมีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ตำราเภสัชจลนศาสตร์ที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ได้ มีการพัฒนา
ปรับปรุงสูตรขึ้นมาใหม่ เพื่อให้การทำนายหาค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์แม่นยำมากขึ้น25-28
ดังนั้นการนำข้อมูลมาใช้ในงานบริบาลทางเภสัชกรรมที่เหมาะสมที่สุด ควรเลือกงานวิจัยที่พัฒนาล่าสุด ที่
มีลักษณะของประชากรในงานวิจัยสอดคล้องกับผู้ป่วยในงานบริบาลทางเภสัชกรรม ยกตัวอย่างเช่น ในงานติดตาม
ตรวจวัดระดับยา (Therapeutic drug monitoring: TDM) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนวนระดับยาในเลือดของยา
ที่มีช่วงในการรักษาแคบ (Narrow therapeutic range) ในผู้ป่วยที่เป็นคนไทย เมื่อจะคำนวณหาระดับยาควรใช้
ข้อมูลที่มาจากเภสัชจลนศาสตร์ประชากรในคนไทย จะทำให้การทำนายนั้นแม่นยำมากที่สุด1-3
ตัวอย่างการนำความรู้ด้านเภสัชจลนศาสตร์ประชากรไปใช้ในทางคลินิก
1. การคำนวนระดับยาและกำหนดขนาด Phenytoin ในงานติดตามตรวจวัดระดับยา
เดิมตำราที่ใช้ในเภสัชจลนศาสตร์9 มีการแนะนำค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์ของ Phenytoin คือ
Vm = 7.22 mg/kg/day และ Km = 4.44 mg/L ซึ่งค่านี้นำมาจากงานวิจัยของ Sheiner BL, Beal LS [1980]29
ประชากรในงานวิจัยนี้เป็นชาว Switzerland เมื่อนำค่าไปแทนในสูตรของ Loading dose เพื่อให้ระดับยาถึงช่วง
ของการรักษา จะได้ขนาดยาโดยประมาณเป็น 750 mg จากการศึกษาเภสัชจลนศาสตร์ประชากรของ Phenytoin
ในผู้ป่วยโรคลมชักชาวไทยพบว่า ค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์ในประชากรไทยมีความแตกต่างไปจากที่
กล่าวไว้ตำรา30 คือ Vm = 12.5 mg/kg/day และ Km = 16.1 mg/L ดังนั้นเมื่อเภสัชกรนำค่าพารามิเตอร์ที่ได้
จากการศึกษาไปหา Loading dose ขนาดยาโดยประมาณต้องเพิ่ม จาก 750 mg เป็น 1000 mg ในคนไทย เป็น
ต้น
2. การให้ยาในผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ
2.1. การปรับขนาดยา Voriconazole ตามค่า Albumin และยาร่วม
เมื่อต้องการแนะนำ Maintenance doses ของยา Voriconazole สำหรับการป้องกันหรือรักษา
Invasive aspergillosis ในผู ้ ป ่ ว ยโรคทางโลหิ ตวิท ยา จากการศึ ก ษาเรื ่ อ งผลกระทบของ Albumin และ
Omeprazole ต่อเภสัชจลนศาสตร์ของประชากรในสภาวะคงตัวของ Voriconazole และการพัฒนารูปแบบการ
ปรับปริมาณยา Voriconazole ให้เหมาะสมในผู้ป่วยโรคทางโลหิตวิทยาชาวไทย 31 พบว่าในผู้ป่วยที่ได้รับยาร่วม
เป็น Omeprazole ในขนาดยาต่ำกว่าหรือเท่ากับ 20 mg ต่อวันร่วมกับมีระดับ Albumin อยู่ที่ 1.5 ถึง 3 g/dL
3.01 ถึง 4 g/dL และ 4.01 ถึง 4.5 g/dL ขนาดยา Voriconazole ที่เหมาะสมจะเป็น 50 mg 100 mg และ 200
mg ทุก 12 ชั่วโมง ตามลำดับ แต่หากผู้ป่วยได้รับยาร่วมเป็น Omeprazole ตั้งแต่ 40 mg ต่อวันขึ้นไปร่วมกับมี
ระดับ Albumin อยู่ที่ 1.5 ถึง 3 g/dL และ 3.01 ถึง 4.5 g/dL ขนาดยาที่เหมาะสมจะเป็น 50 mg และ 100 mg
ทุก 12 ชั่วโมง ตามลำดับ
2.2. การให้ขนาดยา Efavirenz ตามผลการตรวจพันธุกรรม และยาร่วม
แม้ว่าขนาดยา Efavirenz สำหรับชาวไทยที่ติดเชื้อเอชไอวี ตามแนวทางการวินิจฉัย รักษา และการ
ป้องกันเอชไอวี ประเทศไทย คือ 600 mg รับประทานวันละครั้ง32 ซึ่งแนวโน้มของระดับยา Efavirenz ที่เกินช่วง
ของการรักษาในประชากรไทยมีมากถึง ร้อยละ 28.316 โดยปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุด ต่อระดับยาที่เกินช่วงของการ
รักษาดังกล่าวคือความผัน แปรทางพัน ธุกรรม CYP2B6 16-18, 33-36 จากการศึกษาเรื่องการปรับขนาดของยา
Efavirenz ตามแบบจำลองเภสัชพันธุศาสตร์-เภสัชจลนศาสตร์ของประชากรผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย
พบว่ า ควรมี ก ารปรับ ขนาดยา Efavirenz ตามผลพหุ ส ั ณ ฐาน (Polymorphism) ของ CYP2B6 516G>T
[rs3745274]16 และได้แนะนำว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีชาวไทย ควรได้รับขนาด 400 mg 300 mg และ 100 mg
รับประทานวันละครั้ง หากมีลักษณะของพันธุกรรมเป็น CYP2B6 516GG 516GT และ 516TT ตามลำดับ ใน
ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีชาวไทยที่ได้รับยา Rifampicin ในการรักษาวัณโรคเป็นยาร่วม และมีลักษณะ
ของพันธุกรรมเป็น CYP2B6 516GG 516GT และ 516TT ควรเพิ่มขนาดยา Efavirenz เป็น 800 mg 600 mg
และ 200 mg รับประทานวันละครั้ง ตามลำดับ
ในทางปฏิบัติ เภสัชกรสามารถประยุกต์ผ ลการวิจัยข้างต้นในการปฏิบัติงานบริบาลทางเภสัช กรรม
ตัวอย่างกรณีศึกษาในผู้ป่วยรายหนึ่ง เมื่อเภสัชกรพบผู้ป่วยรายนี้ที่จำเป็นที่จะต้องได้รับยา Efavirenz จึงได้แนะนำ
ผู้ป่วยไปตรวจผลทางพันธุกรรมและมีผลออกมาแสดงดัง รูปที่ 5 จากการประเมินพบว่าผู้ป่วยรายนี้ ไม่ได้รับยา
Rifampicin เป็ น ยาร่ ว ม และมี ล ั ก ษณะผลทางพั น ธุ ก รรมเป็ น CYP2B6 *1/*9 คื อ เป็ น CYP2B6 516GT
polymorphism17, 18, 21 จึงได้แนะนำขนาดยาที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยรายนี้คือ 300 mg รับประทานวันละครั้ง16 จะ
เห็นได้ว่าขนาดยาที่ผู้ป่วยได้รับจะเหลือเพียงครึ่งหนึ่งจากที่แนวทางการรักษาแนะนำ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
การใช้ยาต้านไวรัสจำเป็นที่จะต้องได้รับยาตลอดชีวิต ดังนั้นเมื่อลดปริมาณขนาดยาลง ก็จะประหยัดงบประมาณ
ของประเทศไทยในการรักษาได้อย่างมหาศาล รวมถึงการลดความเสี่ยงของผู้ป่วยที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์จาก
ยาด้วยในขณะเดียวกัน