Professional Documents
Culture Documents
merged เอกสารไฟฟ้ากระแสตรง
merged เอกสารไฟฟ้ากระแสตรง
กระแสไฟฟ้า
ขั้วบวก ขั้วลบ
สนามไฟฟ้า
e Q
2
เวลา (วินาที)
5 20
ตัวอย่างที่ 2 ลวดโลหะสม่าเสมอมีพื้นที่หน้าตัด 0.5 ตารางมิลลิเมตร มีมวล 50 กรัม และมีความหนาแน่น 8 กรัม/
ลูกบาศก์เซนติเมตร เมื่อปล่อยกระแสผ่านลวด 5 แอมแปร์ ทาให้เกิดการไหลผ่านพื้นที่หน้าตัดหนึ่งของอิเล็กตรอน
6.0 10 23 อนุภาค จงหาอัตราเร็วลอยเลื่อนของอิเล็กตรอนในหน่วย cm s
2
2. กฎของโอห์ม
กฎของโอห์มกล่าวไว้ว่า “ปริมาณประแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวนาหนึ่ง จะแปรผันตรงกับความต่างศักย์” สามารถ
เขียนความสัมพันธ์ได้เป็น
I V
หรือ I kV
V
จะได้ I (2)
R
เมื่อ I คือ กระแสไฟฟ้า (แอมแปร์, A )
V คือ ความต่างศักย์ (โวลต์, V )
R คือ ความต้านทาน (โอห์ม, )
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดต่างก็มีความต้านทาน ยกตัวอย่างเช่น
1. ตัวต้านทานค่าคงตัว ค่าความต้านทานจากตัวต้านทานนี้สามารถอ่านได้จากแถบสีบนตัวต้านทาน โดยทั่วไป
มี 4 แถบ แต่ละแถบสีใช้แทนตัวเลขอันมีความหมายดังนี้
แถบที่ 1 บอกเลขตัวแรก
แถบที่ 2 บอกเลขตัวที่สอง
แถบที่ 3 บอกเลขยกกาลังของสิบ และคูณกับเลขสองตัวแรก
แถบที่ 4 บอกความคลาดเคลื่อนเป็นร้อยละ
และแต่ละแถบสีมีความหมายเป็นตัวเลขดังนี้
แถบสี แถบที่ 1 แถบที่ 2 แถบที่ 3 แถบที่ 4
แทนเลข แทนเลข คูณด้วย ความคลาดเคลื่อน
ดา 0 0 1 -
น้าตาล 1 1 10 1 ± 1%
แดง 2 2 10 2 ± 2%
ส้ม 3 3 103 -
เหลือง 4 4 10 4 -
เขียว 5 5 105 -
น้าเงิน 6 6 10 6 -
ม่วง 7 7 - -
เท่า 8 8 - -
ขาว 9 9 - -
ทอง - - 10 -1 ± 5%
เงิน - - 10-2 ± 10%
ตัวต้านทานค่าคงตัวจึงทาหน้าที่จากัดค่ากระแสไฟฟ้าในวงจร
2. ตัวต้านทานแปรค่า สามารถแปรค่าได้จากการหมุนหรือเลื่อนหน้าสัมผัส ตัวต้านทานแปรค่าจึงทาหน้าที่
ควบคุมกระแสไฟฟ้าในวงจร
3
3. พลังงานไฟฟ้า และกาลังไฟฟ้า
ตัวอย่างที่ 11 เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000 วัตต์ สามารถใช้กับไฟบ้านได้ 220 โวลต์ ถ้าไฟตกเหลือ 200 โวลต์ เตารีดนี้
จะกาลังไฟฟ้าได้เท่าใด
E r
แรงเคลื่อนไฟฟ้า คือ พลังงานไฟฟ้าที่ทาให้ประจุ Q เคลื่อนที่ครบวงจรต่อประจุหนึ่งหน่วย
เมื่อประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ภายในวงจร ย่อมมีความต่างศักย์ไฟฟ้าภายในวงจร ดังนี้
1. ความต่างศักย์ภายในตัวต้านทาน ( VR )
2. ความต่างศักย์ภายในแบตเตอรี่ ( Vr )
จากกฎการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานไฟฟ้าที่ประจุได้รับจากแบตเตอรี่จะเท่ากับพลังงานไฟฟ้าที่ประจุใช้ไปใน
วงจร สามารถเขียนสมการได้เป็น
QE QVR QVr
และจากกฎของโอห์ม สามารถหาแรงเคลื่อนไฟฟ้าได้เป็น
E I R r (6)
เมื่อ E คือ แรงเคลื่อนไฟฟ้า (โวลต์, J )
I คือ กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (แอมแปร์, A )
R คือ ความต้านทานของตัวต้านทาน (ความต้านทานภายนอก) (โอห์ม, )
r คือ ความต้านทานของแบตเตอรี่ (ความต้านทานภายใน) (โอห์ม, )
(5) กาลังไฟฟ้าภายในตัวต้านทาน
5. การต่อตัวต้านทานและแบตเตอรี่
การต่อตัวต้านทาน คือ การนาตัวต้านทานมากกว่า 1 ตัว มาต่อร่วมกัน เพื่อให้ได้ความต้านทานสมมูล (ความ
ต้านทานรวม) ความต่างศักย์ หรือกระแสไฟฟ้าตามต้องการ ซึ่งมีการต่อ 2 ประเภท ดังนี้
(1) การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม มีลักษณะดังนี้
1. กระแสรวมทัง้ หมด เท่ากับ กระแสที่ผ่านตัวต้านทานแต่ละตัว ( I เท่า)
2. ความต่างศักย์รวม เท่ากับ ผลบวกของความต่างศักย์คร่อมตัวต้านทานแต่ละตัว ( V แบ่ง)
3. ความต้านทานรวมจะได้เป็น
8
R1 R1 R2 R3 ... (7)
(2) การต่อตัวต้านทานแบบขนาน มีลักษณะดังนี้
1. กระแสรวมทั้งหมด เท่ากับ ผลรวมของกระแสที่ผ่านตัวต้านทานแต่ละตัว ( I แบ่ง)
2. ความต่างศักย์คร่อมตัวต้านทานแต่ละตัวมีค่าเท่ากัน และเท่ากับความต่างศักย์ของวงจร ( V เท่า)
3. ความต้านทานรวมจะได้เป็น
1 1 1 1
... (8)
R1 R1 R2 R3
A B
30 Ω R
12 Ω
6Ω 4Ω
7Ω 5Ω
9
6Ω 6Ω 4Ω
5Ω 5Ω
6Ω 5Ω 9Ω 6Ω
10 Ω 5Ω 10 Ω
A B
6Ω 6Ω
12 Ω 5Ω 6Ω
10
6Ω
B D
4Ω 5Ω
4Ω
6Ω 5Ω
(2) 2Ω 3Ω
A
6Ω 4Ω
6Ω 5Ω
(3) 2Ω 3Ω
A
6Ω 4Ω
5Ω 6Ω
11
(2)
3Ω 12 Ω 4Ω
A B
12 Ω
(3) 3Ω
4Ω 1Ω
A B
2Ω
E1 E2 E3
r1 r2 r3
2. ถ้าต่อแบบขัดกัน จะทาให้มีกระแสไฟฟ้าสวนทางกัน จะได้แรงเคลื่อนไฟฟ้ารวมเป็น Eรวม E1 E2 E3 และ
ความต้านทานภายในรวมเป็น rรวม r1 r2 r3 ตามรูป
12
E1 E2 E3
r1 r2 r3
(2) การต่อแบตเตอรี่แบบขนาน มีลักษณะคือ แบตเตอรี่ที่นามาต่อแบบขนาน ต้องมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าขนาด
เท่ากัน เท่ากับ แรงเคลื่อนไฟฟ้ารวม นั่นคือ Eรวม E1 E2 E3 และความต้านทานภายในรวมเป็น
1 1 1 1
rรวม r1 r2 r3
12 V 9V 4V
1Ω 1Ω 1Ω
1Ω 1Ω
1Ω
13
12 V 1 Ω
12 V
1 Ω1 Ω
3Ω
12 V 9V
1Ω 1Ω 1Ω
12 V 5V 9V
2Ω 2Ω 2Ω
6. วงจรวีตสโตนบริดจ์ และกฎของเคอร์ชอฟท์
วงจรวีตสโตนบริดจ์ เป็นการต่อตัวต้านทานแบบขนานและมีตัวต้านทานขั้นกลางระหว่างการต่อแบบขนานที่
ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ดังรูป
R1 R3
X
A B
R5
Y
R2 R4
เราสามารถหาความสัมพันธ์ของความต้านทานในวงจรวีตสโตรบริดจ์ เพื่อพิสูจน์ความเป็นวงจรวีตสโตรบริดจ์
ของวงจรใด ๆ
กาหนดให้ VAX คือ ความต่างศักย์ระหว่างจุด A และ X มีกระแสไหลผ่านตัวต้านทาน R1 เป็น I1
14
A B
4Ω
2Ω 10 Ω
3Ω 12 Ω 4Ω
A B
6Ω
15
4Ω 4Ω
5Ω
8Ω 4Ω
B
8Ω 8Ω
I2 R3
E3
2V
1Ω
1Ω 2Ω
A
3V 6V
7. เครื่องวัดทางไฟฟ้า
IG X
G
R
IS RS
การนาชันต์มาต่อขนานจะทาให้เกิดการแบ่งกระแสไฟฟ้าออกเป็นสองส่วน คือ
(1) กระแสไฟฟ้าสูงสุดที่ผ่านแกลแวนอมิเตอร์ เท่ากับ I G
(2) กระแสไฟฟ้าที่ผ่านชันต์ มีค่า I S I IG
เนื่องจากแกลแวนอมิเตอร์และชันต์ต่อขนานกัน ดังนั้นความต่างศักย์ระหว่างปลายของชันต์จะเท่ากับความ
ต่างศักย์ระหว่างขั้วของแกลแวนอมิเตอร์ สามารถเขียนสมการได้เป็น
I S RS I G RG
เมื่อ ISคือ กระแสไฟฟ้าที่ผ่านชันต์ มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
I G คือ กระแสไฟฟ้าที่ผ่านแกลแวนอมิเตอร์ มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
RS คือ ความต้านทานของชันต์ มีหน่วยเป็น โอห์ม ()
RG คือ ความต้านทานของแกลแวนอมิเตอร์ มีหน่วยเป็น โอห์ม ()
ดังนั้น การสร้างแอมมิเตอร์ ควรใช้ชันต์ที่มีความต้านทาน RS หาได้จาก
I G RG
RS (18)
I IG
เมื่อ I คือ กระแสไฟฟ้าในวงจร มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
2. โวลต์มิเตอร์ สามารถวัดความต่างศักย์สูงสุดที่เกิน VG ได้ตามต้องการโดยนาตัวต้านทานที่เรียกว่า มัลติ
พลายเออร์ ซึ่งมีความต้านทาน RM มาก ๆ มาต่ออนุกรมกับแกลแวนอมิเตอร์ ตามรูป
VM
VG RM
IG X
G
R
V
18
การนามัลติพลายเออร์มาต่ออนุกรมจะทาให้เกิดการแบ่งความต่างศักย์ออกเป็นสองส่วน คือ
(1) ความต่างศักย์สูงสุดระหว่างขั้วของแกลแวนอมิเตอร์ เท่ากับ VG
(2) ความต่างศักย์ระหว่างปลายของมัลติพลายเออร์ มีค่า VM V VG
เนื่องจากแกลแวนอมิเตอร์และมัลติพลายเออร์ต่ออนุกรมกัน ดังนั้นกระแสไฟฟ้าที่ผ่านมัลติพลายเออร์จะ
เท่ากับกระแสไฟฟ้าที่ผ่านแกลแวนอมิเตอร์ สามารถเขียนสมการได้เป็น
VM VG
RM RG
เมื่อ VM คือ ความต่างศักย์ระหว่างปลายของมัลติพลายเออร์ มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)
VG คือ ความต่างศักย์ระหว่างขั้วของแกลแวนอมิเตอร์ มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)
RM คือ ความต้านทานของมัลติพลายเออร์ มีหน่วยเป็น โอห์ม ()
ดังนั้น การสร้างโวลต์มิเตอร์ ควรใช้มัลติพลายเออร์ที่มีความต้านทาน RM หาได้จาก
V I G RG
RM (19)
IG
เมื่อ V คือ ความต่างศักย์ในวงจร มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)
3. โอห์มมิเตอร์ สามารถวัดความต้านทานได้โดยนาตัวต้านทานแปรค่าและแบตเตอรี่มาต่ออนุกรมกับแกล
แวนอมิเตอร์ และนาปลายสายวัดไปแตะที่ปลายของตัวต้านทานที่ต้องการวัดความต้านทาน RX สามารถอ่านค่าได้
ดังนี้
(1) ถ้าปลายสายวัดไม่แตะกัน จะไม่มีกระแสไฟฟ้าผ่านมิเตอร์ เข็มจะชี้ที่ RX
(2) ถ้าปลายสายวัดแตะที่ปลายของตัวต้านทาน RX ที่มีค่ามาก กระแสไฟฟ้าจะมีค่าน้อย เข็มจะเบนน้อย
(3) ถ้าปลายสายวัดแตะที่ปลายของตัวต้านทาน RX ที่มีค่าน้อยมาก กระแสไฟฟ้าจะมีค่ามาก เข็มจะเบนเต็ม
สเกลชี้ที่ RX 0
การใช้โอห์มมิเตอร์วัดความต้านทาน ต้องนาปลายสายวัดมาแตะกันเพื่อตรวจสอบว่าเข็มชี้ที่ 0 โอห์ม หรือไม่
ถ้าเข็มไม่ชี้ที่ 0 โอห์ม ต้องปรับความต้านทานแปรค่าจนกระทั่งเข็มชี้ที่ 0 โอห์ม ก่อนนาไปวัดความต้านทาน
e Q
2
เวลา (วินาที)
5 20
ตัวอย่างที่ 2 ลวดโลหะสม่าเสมอมีพื้นที่หน้าตัด 0.5 ตารางมิลลิเมตร มีมวล 50 กรัม และมีความหนาแน่น 8 กรัม/
ลูกบาศก์เซนติเมตร เมื่อปล่อยกระแสผ่านลวด 5 แอมแปร์ ทาให้เกิดการไหลผ่านพื้นที่หน้าตัดหนึ่งของอิเล็กตรอน
6.0 10 23 อนุภาค จงหาอัตราเร็วลอยเลื่อนของอิเล็กตรอนในหน่วย cm s
2
2. กฎของโอห์ม
กฎของโอห์มกล่าวไว้ว่า “ปริมาณประแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวนาหนึ่ง จะแปรผันตรงกับความต่างศักย์” สามารถ
เขียนความสัมพันธ์ได้เป็น
I V
หรือ I kV
V
จะได้ I (2)
R
เมื่อ I คือ กระแสไฟฟ้า (แอมแปร์, A )
V คือ ความต่างศักย์ (โวลต์, V )
R คือ ความต้านทาน (โอห์ม, )
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดต่างก็มีความต้านทาน ยกตัวอย่างเช่น
1. ตัวต้านทานค่าคงตัว ค่าความต้านทานจากตัวต้านทานนี้สามารถอ่านได้จากแถบสีบนตัวต้านทาน โดยทั่วไป
มี 4 แถบ แต่ละแถบสีใช้แทนตัวเลขอันมีความหมายดังนี้
แถบที่ 1 บอกเลขตัวแรก
แถบที่ 2 บอกเลขตัวที่สอง
แถบที่ 3 บอกเลขยกกาลังของสิบ และคูณกับเลขสองตัวแรก
แถบที่ 4 บอกความคลาดเคลื่อนเป็นร้อยละ
และแต่ละแถบสีมีความหมายเป็นตัวเลขดังนี้
แถบสี แถบที่ 1 แถบที่ 2 แถบที่ 3 แถบที่ 4
แทนเลข แทนเลข คูณด้วย ความคลาดเคลื่อน
ดา 0 0 1 -
น้าตาล 1 1 10 1 ± 1%
แดง 2 2 10 2 ± 2%
ส้ม 3 3 103 -
เหลือง 4 4 10 4 -
เขียว 5 5 105 -
น้าเงิน 6 6 10 6 -
ม่วง 7 7 - -
เท่า 8 8 - -
ขาว 9 9 - -
ทอง - - 10 -1 ± 5%
เงิน - - 10-2 ± 10%
ตัวต้านทานค่าคงตัวจึงทาหน้าที่จากัดค่ากระแสไฟฟ้าในวงจร
2. ตัวต้านทานแปรค่า สามารถแปรค่าได้จากการหมุนหรือเลื่อนหน้าสัมผัส ตัวต้านทานแปรค่าจึงทาหน้าที่
ควบคุมกระแสไฟฟ้าในวงจร
3
3. พลังงานไฟฟ้า และกาลังไฟฟ้า
ตัวอย่างที่ 11 เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000 วัตต์ สามารถใช้กับไฟบ้านได้ 220 โวลต์ ถ้าไฟตกเหลือ 200 โวลต์ เตารีดนี้
จะกาลังไฟฟ้าได้เท่าใด
E r
แรงเคลื่อนไฟฟ้า คือ พลังงานไฟฟ้าที่ทาให้ประจุ Q เคลื่อนที่ครบวงจรต่อประจุหนึ่งหน่วย
เมื่อประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ภายในวงจร ย่อมมีความต่างศักย์ไฟฟ้าภายในวงจร ดังนี้
1. ความต่างศักย์ภายในตัวต้านทาน ( VR )
2. ความต่างศักย์ภายในแบตเตอรี่ ( Vr )
จากกฎการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานไฟฟ้าที่ประจุได้รับจากแบตเตอรี่จะเท่ากับพลังงานไฟฟ้าที่ประจุใช้ไปใน
วงจร สามารถเขียนสมการได้เป็น
QE QVR QVr
และจากกฎของโอห์ม สามารถหาแรงเคลื่อนไฟฟ้าได้เป็น
E I R r (6)
เมื่อ E คือ แรงเคลื่อนไฟฟ้า (โวลต์, J )
I คือ กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (แอมแปร์, A )
R คือ ความต้านทานของตัวต้านทาน (ความต้านทานภายนอก) (โอห์ม, )
r คือ ความต้านทานของแบตเตอรี่ (ความต้านทานภายใน) (โอห์ม, )
(5) กาลังไฟฟ้าภายในตัวต้านทาน
5. การต่อตัวต้านทานและแบตเตอรี่
การต่อตัวต้านทาน คือ การนาตัวต้านทานมากกว่า 1 ตัว มาต่อร่วมกัน เพื่อให้ได้ความต้านทานสมมูล (ความ
ต้านทานรวม) ความต่างศักย์ หรือกระแสไฟฟ้าตามต้องการ ซึ่งมีการต่อ 2 ประเภท ดังนี้
(1) การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม มีลักษณะดังนี้
1. กระแสรวมทัง้ หมด เท่ากับ กระแสที่ผ่านตัวต้านทานแต่ละตัว ( I เท่า)
2. ความต่างศักย์รวม เท่ากับ ผลบวกของความต่างศักย์คร่อมตัวต้านทานแต่ละตัว ( V แบ่ง)
3. ความต้านทานรวมจะได้เป็น
8
R1 R1 R2 R3 ... (7)
(2) การต่อตัวต้านทานแบบขนาน มีลักษณะดังนี้
1. กระแสรวมทั้งหมด เท่ากับ ผลรวมของกระแสที่ผ่านตัวต้านทานแต่ละตัว ( I แบ่ง)
2. ความต่างศักย์คร่อมตัวต้านทานแต่ละตัวมีค่าเท่ากัน และเท่ากับความต่างศักย์ของวงจร ( V เท่า)
3. ความต้านทานรวมจะได้เป็น
1 1 1 1
... (8)
R1 R1 R2 R3
A B
30 Ω R
12 Ω
6Ω 4Ω
7Ω 5Ω
9
6Ω 6Ω 4Ω
5Ω 5Ω
6Ω 5Ω 9Ω 6Ω
10 Ω 5Ω 10 Ω
A B
6Ω 6Ω
12 Ω 5Ω 6Ω
10
6Ω
B D
4Ω 5Ω
4Ω
6Ω 5Ω
(2) 2Ω 3Ω
A
6Ω 4Ω
6Ω 5Ω
(3) 2Ω 3Ω
A
6Ω 4Ω
5Ω 6Ω
11
(2)
3Ω 12 Ω 4Ω
A B
12 Ω
(3) 3Ω
4Ω 1Ω
A B
2Ω
E1 E2 E3
r1 r2 r3
2. ถ้าต่อแบบขัดกัน จะทาให้มีกระแสไฟฟ้าสวนทางกัน จะได้แรงเคลื่อนไฟฟ้ารวมเป็น Eรวม E1 E2 E3 และ
ความต้านทานภายในรวมเป็น rรวม r1 r2 r3 ตามรูป
12
E1 E2 E3
r1 r2 r3
(2) การต่อแบตเตอรี่แบบขนาน มีลักษณะคือ แบตเตอรี่ที่นามาต่อแบบขนาน ต้องมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าขนาด
เท่ากัน เท่ากับ แรงเคลื่อนไฟฟ้ารวม นั่นคือ Eรวม E1 E2 E3 และความต้านทานภายในรวมเป็น
1 1 1 1
rรวม r1 r2 r3
12 V 9V 4V
1Ω 1Ω 1Ω
1Ω 1Ω
1Ω
13
12 V 1 Ω
12 V
1 Ω1 Ω
3Ω
12 V 9V
1Ω 1Ω 1Ω
12 V 5V 9V
2Ω 2Ω 2Ω
6. วงจรวีตสโตนบริดจ์ และกฎของเคอร์ชอฟท์
วงจรวีตสโตนบริดจ์ เป็นการต่อตัวต้านทานแบบขนานและมีตัวต้านทานขั้นกลางระหว่างการต่อแบบขนานที่
ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ดังรูป
R1 R3
X
A B
R5
Y
R2 R4
เราสามารถหาความสัมพันธ์ของความต้านทานในวงจรวีตสโตรบริดจ์ เพื่อพิสูจน์ความเป็นวงจรวีตสโตรบริดจ์
ของวงจรใด ๆ
กาหนดให้ VAX คือ ความต่างศักย์ระหว่างจุด A และ X มีกระแสไหลผ่านตัวต้านทาน R1 เป็น I1
14
A B
4Ω
2Ω 10 Ω
3Ω 12 Ω 4Ω
A B
6Ω
15
4Ω 4Ω
5Ω
8Ω 4Ω
B
8Ω 8Ω
I2 R3
E3
2V
1Ω
1Ω 2Ω
A
3V 6V
7. เครื่องวัดทางไฟฟ้า
IG X
G
R
IS RS
การนาชันต์มาต่อขนานจะทาให้เกิดการแบ่งกระแสไฟฟ้าออกเป็นสองส่วน คือ
(1) กระแสไฟฟ้าสูงสุดที่ผ่านแกลแวนอมิเตอร์ เท่ากับ I G
(2) กระแสไฟฟ้าที่ผ่านชันต์ มีค่า I S I IG
เนื่องจากแกลแวนอมิเตอร์และชันต์ต่อขนานกัน ดังนั้นความต่างศักย์ระหว่างปลายของชันต์จะเท่ากับความ
ต่างศักย์ระหว่างขั้วของแกลแวนอมิเตอร์ สามารถเขียนสมการได้เป็น
I S RS I G RG
เมื่อ ISคือ กระแสไฟฟ้าที่ผ่านชันต์ มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
I G คือ กระแสไฟฟ้าที่ผ่านแกลแวนอมิเตอร์ มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
RS คือ ความต้านทานของชันต์ มีหน่วยเป็น โอห์ม ()
RG คือ ความต้านทานของแกลแวนอมิเตอร์ มีหน่วยเป็น โอห์ม ()
ดังนั้น การสร้างแอมมิเตอร์ ควรใช้ชันต์ที่มีความต้านทาน RS หาได้จาก
I G RG
RS (18)
I IG
เมื่อ I คือ กระแสไฟฟ้าในวงจร มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A)
2. โวลต์มิเตอร์ สามารถวัดความต่างศักย์สูงสุดที่เกิน VG ได้ตามต้องการโดยนาตัวต้านทานที่เรียกว่า มัลติ
พลายเออร์ ซึ่งมีความต้านทาน RM มาก ๆ มาต่ออนุกรมกับแกลแวนอมิเตอร์ ตามรูป
VM
VG RM
IG X
G
R
V
18
การนามัลติพลายเออร์มาต่ออนุกรมจะทาให้เกิดการแบ่งความต่างศักย์ออกเป็นสองส่วน คือ
(1) ความต่างศักย์สูงสุดระหว่างขั้วของแกลแวนอมิเตอร์ เท่ากับ VG
(2) ความต่างศักย์ระหว่างปลายของมัลติพลายเออร์ มีค่า VM V VG
เนื่องจากแกลแวนอมิเตอร์และมัลติพลายเออร์ต่ออนุกรมกัน ดังนั้นกระแสไฟฟ้าที่ผ่านมัลติพลายเออร์จะ
เท่ากับกระแสไฟฟ้าที่ผ่านแกลแวนอมิเตอร์ สามารถเขียนสมการได้เป็น
VM VG
RM RG
เมื่อ VM คือ ความต่างศักย์ระหว่างปลายของมัลติพลายเออร์ มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)
VG คือ ความต่างศักย์ระหว่างขั้วของแกลแวนอมิเตอร์ มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)
RM คือ ความต้านทานของมัลติพลายเออร์ มีหน่วยเป็น โอห์ม ()
ดังนั้น การสร้างโวลต์มิเตอร์ ควรใช้มัลติพลายเออร์ที่มีความต้านทาน RM หาได้จาก
V I G RG
RM (19)
IG
เมื่อ V คือ ความต่างศักย์ในวงจร มีหน่วยเป็น โวลต์ (V)
3. โอห์มมิเตอร์ สามารถวัดความต้านทานได้โดยนาตัวต้านทานแปรค่าและแบตเตอรี่มาต่ออนุกรมกับแกล
แวนอมิเตอร์ และนาปลายสายวัดไปแตะที่ปลายของตัวต้านทานที่ต้องการวัดความต้านทาน RX สามารถอ่านค่าได้
ดังนี้
(1) ถ้าปลายสายวัดไม่แตะกัน จะไม่มีกระแสไฟฟ้าผ่านมิเตอร์ เข็มจะชี้ที่ RX
(2) ถ้าปลายสายวัดแตะที่ปลายของตัวต้านทาน RX ที่มีค่ามาก กระแสไฟฟ้าจะมีค่าน้อย เข็มจะเบนน้อย
(3) ถ้าปลายสายวัดแตะที่ปลายของตัวต้านทาน RX ที่มีค่าน้อยมาก กระแสไฟฟ้าจะมีค่ามาก เข็มจะเบนเต็ม
สเกลชี้ที่ RX 0
การใช้โอห์มมิเตอร์วัดความต้านทาน ต้องนาปลายสายวัดมาแตะกันเพื่อตรวจสอบว่าเข็มชี้ที่ 0 โอห์ม หรือไม่
ถ้าเข็มไม่ชี้ที่ 0 โอห์ม ต้องปรับความต้านทานแปรค่าจนกระทั่งเข็มชี้ที่ 0 โอห์ม ก่อนนาไปวัดความต้านทาน