Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 18
ไฟฟ้ากระแสสลับ
ในปั จ จุ บั น เป็ น ที่ เ ข้ า ใจกั น โดยทั่ ว ไปแล้ ว ว่ า ไฟฟ้ า มี ค วามส าคั ญ ไม่ ยิ่ ง หย่ อ นไปกว่ า
สิ่งจาเป็นอย่างอื่นๆ อันเกี่ยวข้องอยู่กับการดารงชีพ การอานวยความสะดวกนานาประการ การผลิต
ต่างๆและอาจจะนับรวมไปถึงการให้กาเนิดสิ่งอานวยความบันเทิงอย่างมากมายในยุคนี้ ไฟฟ้าที่
เข้าใจกันอยู่แล้ว ก็คือ ไฟฟ้าสถิตและไฟฟ้ากระแส เราได้กล่าวถึงไฟฟ้ากระแสตรงไว้แล้ว จึงจะได้
ให้ทาความเข้าใจเกี่ยวกับไฟฟ้ากระแสสลับต่อไปนี้
1. เครื่องกาเนิดกระแสสลับ
เครื่องมือที่ก่อกาเกิดไฟฟ้ากระแสสลับ คือ เครื่องกาเนิดกระแสสลับ (alterating current generator
หรือ alternator) ประกอบด้วยขดลวดหมุนอยู่ในสนามแม่เหล็ก ดังรูป (ก) ปลายทั้งสองของขดลวด
นี้ต่อกับวงแหวนปลายละอัน วงแหวนแต่ละอันมีแปรงแตะและมีสายไฟฟ้าต่อจากแปรงเพื่อนาเอา
ไฟฟ้าไปใช้
ในรูป (ข) แสดงภาพของขดลวดและสนามแม่เหล็กเมื่อมองเข้าไปในแนวตั้งฉาก
ON = เส้นปกติของพื้นที่ของขดลวด (ตรงจุดกลาง)
A = พื้นที่ของขดลวด
= มุมที่เส้นปกติกระทากับแนวสนามแม่เหล็ก
B = การเหนี่ยวนาแม่เหล็กของสนามแม่เหล็ก
2
N = จานวนรอบของขดลวด
= ฟลักซ์แม่เหล็กที่ผ่านพื้นที่ A = BA cos
ถ้า e = แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาในขณะใดๆ
d d
e = N N (AB cos )
dt dt
d
= NBA sin
dt
d
แต่ = อัตราเร็วเชิงมุม =
dt
เมื่อการหมุนเป็นไปด้วยอัตราที่สม่าเสมอ = จึงได้
t
= t
จะมีค่ามากที่สุดเมื่อ sin t = 1
Em = NBA
ดังนั้น สมการจึงเขียนได้เป็น
e = Em sin t
ถ้า f = ความถี่เป็นรอบต่อวินาที ได้ = 2f ดังนั้น จึงได้
e = Em sin 2 ft
สมการนี้เมื่อเขียนเป็นกราฟ จะได้เป็นรูป
รูป แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาซึ่งเปลี่ยนแปลงตามเวลา
e = Em sin t
2. วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ
ประกอบด้วยเครื่องกาเนิดกระแสสลับและส่วนประกอบอีก 3 อย่างคือ
1. ตัวต้านทาน (resistor)
2. ตัวจุ (capacitor)
3. ตัวเหนี่ยวนา (inductor)
2.1วงจรซึ่งมีตัวจุอย่างเดียว
วงจรรูปประกอบด้วยเครื่องกาเนิดกระแสสลับซึ่งมีแรงเคลื่อนไฟฟ้า e = Em sin
และตัวจุ ซึ่งมีความจุ (capacitance) เป็น C ฟารัด
5
e = Em sin t
รูป ตัวจุในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ
ให้ i เป็นกระแสไฟฟ้าในขณะใดๆ (instantaneous current)
q เป็นประจุไฟฟ้าที่ตัวจุ C ในขณะใด ๆ
VC เป็นความต่างศักย์ของตัวจุ C ในขณะใดๆ
จะได้ VC = e = Em sin t
q
= Em sin t
C
q = CEm sin t
ดังนั้น dq
= C Em cos t
dt
dq
แต่ = i
dt
จึงได้ i = C Em cos t
Em
เขียนใหม่เป็น i = cost
1
C
1
ปริมาณ ( ) นี้มีชื่อเรียกว่า ความต้านแห่งการจุ (capacitive reactance) นิยมเขียนแทนด้วย
C
XC และมีหน่วยเป็นโอห์ม (ohm) กล่าวคือ
1
XC = เรียกว่า ความต้านแห่งการจุ
C
ดังนั้น สมการสุดท้ายจึงกลายเป็น
Em
i = cost
Xc
Em
ปริมาณ คือ กระแสไฟฟ้าซึ่งมีความสูงสุดของวงจรเขียนแทนด้วย Im
Xc
Em
ดังนั้น i = Im cos t โดยที่ Im =
Xc
6
I = Im sin t
2
จะเห็นได้ว่า Vc กับ i มีลักษณะของกราฟเป็นแบบเดียวกันผิดกันที่มุม t กับ t
2
เท่านั้น กล่าวคือ กระแสไฟฟ้า i นาหน้า (lead) ความต่างศักย์ Vc เป็นมุม เรเดียน หรือ
2
ความต่างศักย์ VC ตามหลัง (lag) กระแส i เป็นมุม เรเดียน
2
มุม นี้มีชื่อเรียกกันว่า มุมเฟส (phase angle) เขียนแทนด้วย
2
สรุปได้ว่า มุมเฟส คือ มุมที่กระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์นาหน้าหรือตามหลังซึ่งกัน
และกัน
นาสมการ Vc = Em sin t กับ i = Im sin t มาเขียนเป็น
2
กราฟซ้อนกันโดยใช้แกนนอนเป็น t ร่วมกัน จะได้เป็นรูป
รูป แสดงกระแสไฟฟ้านาหน้าความต่างศักย์เป็นมุม
2.2 วงจรซึ่งมีตัวเหนี่ยวนาอย่างเดียว
7
รูป ตัวเหนี่ยวนาในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ
Em
di = sin tdt
L
Em
di = L
sin tdt
i = Em
cost C
L
ดังนั้น i = Em
cost
L
Em
= sin(t )
L 2
ปริมาณ L นี้มีชื่อเรียกกันว่า ความต้านแห่งการเหนี่ยวนา (inductive
reactance) นิยมเขียนแทนด้วย XL และมีหน่วยเป็นโอห์ม กล่าวคือ
XL = L เรียกว่า ความต้านแห่งการเหนี่ยวนา
ดังนั้น สมการสุดท้ายจึงกลายเป็น
Em
i = sin(t )
L 2
i = Im sin t
2
VL = Em sin t
i = Im sin t
2
จะเห็นได้ว่า VL กับ i มีลักษณะของกราฟเป็นแบบเดียวกัน ผิดกันที่มุม t กับ t
2
เท่านั้น กล่าวคือ กระแสไฟฟ้า i ตามหลังความต่างศักย์ VL เป็นมุม เรเดียน หรือความต่าง
2
ศักย์ VL นาหน้ากระแสไฟฟ้า i เป็นมุม เรเดียน
2
จานวนมุม นี้ คือ มุมเฟส ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นั่นเอง กราฟของ VL กับ i มี
2
ลักษณะดังรูป
9
รูป ความต่างศักย์นาหน้ากระแสไฟฟ้าเป็นมุม
2.3วงจรซึ่งมีตัวต้านทานอย่างเดียว
วงจรรูป ประกอบด้วยไนดาโนกระแสสลับซึ่งมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าเป็น e = Em sin t
และตัวต้านทานซึ่งมีความต้านทาน
ให้ i เป็นกระแสไฟฟ้าในขณะใดๆ
VL เป็นความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวต้านทานในขณะใดๆ
รูป ตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ
VR = iR
VR = e = Em sin t
iR = Em sin t
Em
ได้ i = sin t
R
10
Em
จานวน คือ กระแสไฟฟ้าซึ่งมีค่าสูงสุดของวงจร Im คือ
R
Em
= Im
R
ดังนั้น i = Im sin t
นาความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวต้านทาน คือ VR กับกระแสไฟฟ้า i ที่ไหลผ่านตัว
ต้านทานในขณะเดียวกันนั้นมาเทียบกัน คือ
VR = Em sin t
i = Im sin t
จะเห็นได้ว่า VR กับ i มีลักษณะของกราฟเป็นแบบเดียวกันทุกประการ และมุมเฟส 0
หมายความว่ากระแสไฟฟ้า i กับความต่างศักย์ VR ไปพร้อมๆกัน ดังรูป
รูป กระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ซึ่งมีเฟสเหมือนกัน
สรุปได้ว่า i นาหน้า VC เป็นมุม
2
i ตามหลัง VL เป็นมุม
2
i ไปพร้อมกับ VR
รูปเวกเตอร์แสดงความต่างเฟสระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์
3 .สมการทั่วไปของแรงเคลื่อนไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า
ต่อไปนี้เราจะเขียนสมการของแรงเคลื่อนไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าเป็นรูปดังนี้
แรงเคลื่อนไฟฟ้า e = Em sin t
i = Im sin t เมื่อ i นาหน้า e เป็นมุม
i = Im sin t เมื่อ i นาหลัง e เป็นมุม
i = Im sin t เมื่อ i กับ e ไปพร้อมกัน
4. ค่ายังผลของกระแส
ไฟฟ้ า กระแสสลั บ นั้ น เป็ น ไฟฟ้ า ซึ่ ง มี ค่ า เปลี่ ย นแปลงอยู่ ต ลอดเวลา ไม่ ว่ า จะเป็ น
แรงเคลื่อนไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้า จะเปลี่ยนค่าอยู่เรื่อยๆ จากค่าศูนย์ถึงค่าสูงสุด คือ Em หรือ
Im เมื่อให้ไฟฟ้ากระแสสลับทางาน เช่น ให้เปลี่ยนรูปเป็นความร้อนหรือแสงสว่างหรือเปลี่ยนรูป
เป็นพลังงานกล ค่าของไฟฟ้ากระแสสลับที่จะทางานดังกล่าวนี้ อาจคิดค่าโดยเฉลี่ยแทนค่าซึ่ง
เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั้นได้ ค่าโดยเฉลี่ยของไฟฟ้ากระแสสลับดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกโดยเฉพาะ
ว่า ค่ายังผล (effective value) ซึ่งมีคานิยามโดยกาหนดจากกระแสไฟฟ้า ดังนี้
ค่ายังผลของกระแสไฟฟ้าสลับใดๆ กาหนดให้เป็นค่าของกระแสไฟฟ้าขนาดสมาเสมอ ซึ่ง
จะทาให้เกิดความร้อนจานวนเดียวกันในเวลาเท่ากัน เมื่อปล่อยให้ผ่านความต้านทานอันเดียวกัน
กระแสไฟฟ้าสลับมีสมการเป็น i = Im sin t
ให้ I เป็นค่ายังผลของกระแสไฟฟ้าสลับนี้
ตามคาจากัดความที่กล่าวแล้ว เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าสลับ i = Im sin t ผ่านความ
ต้านทาน R อันหนึ่งในเวลาอันหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าอันมีค่ายังผล I ผ่านความ
12
dH = I m
2
R sin 2 tdt
0 0
2
Im R T
H = sin tdt
2
0
sin 2
จาก sin
2
d = จึงได้
2 4
I m R t sin 2t T
2
H =
2 4 0
I m R t
, t 2 .T 2
2
= 0 0 0
2 T
2
I m RT
H =
2
ถ้า E เป็นค่ายังผลของแรงเคลื่อนไฟฟ้านั้น
Em
E = = 0.707 Em
2
ตัวอย่าง ไฟฟ้ากระแสสลับอันหนึ่งมีสมการของกระแสไฟฟ้าเป็น
I = 10 sin 400t ในหน่วยแอมแปร์
4
ให้หา ก. ค่ายังผลของกระแสไฟฟ้า I
ข. ความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับนี้
ค. มุมเฟส
วิธีทา โดยเทียบกับสมการทั่วไปของกระแสไฟฟ้า I = Im sin t
ค่าของกระแสสูงสุด Im = 10 แอมแปร์
= 400 เรเดียนต่อวินาที
มุมเฟส = เรเดียน
4
400
ความถี่ f = = = 63.7 เฮิร์ทซ์
2 2
ค. มุมเฟส = เรเดียน โดยกระแสตามความต่างศักย์
4
14
ค่าของความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับนั้น ในทางปฏิบัติใช้ค่ายังผล
และเครื่องวัดไฟฟ้ากระแสสลับ ไม่ว่าจะเป็นโวลต์มิเตอร์หรือแอมมิเตอร์ ก็จะชี้บอกค่าดังกล่าว
ของความต่างศักย์หรือกระแสไฟฟ้า เช่น ที่พูดกันว่า ไฟบ้านมีความต่างศักย์ 220 โวลต์ เลข
220 โวลต์นี้เป็นค่ายังผลของความต่างศักย์ ซึ่งมีความหมายว่า ความต่างศักย์สูงสุดมีค่าเท่ากับ
2 220 311.08 โวลต์ ดังนั้นต่อไปนี้เมื่อกล่าวถึงกระแสไฟฟ้า แรงเคลื่อนไฟฟ้า หรือความ
ต่างศักย์ เราจะหมายถึงค่ายังผลเสมอไป
5. ความต่างศักย์
ในเรื่องไฟฟ้ากระแสสลับ ความต่างศักย์ระหว่างสองจุดใดๆ มีวิธีคิดคล้ายกับกระแสตรง
คือ ยังคงใช้กฎของโอห์ม คือ
ความต่างศักย์ = กระแส ความต้านทาน
มีรายละเอียดดังนี้
1. ความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวต้านทาน
2. ความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวเหนี่ยวนา
ในกรณีนี้ VL = IXL
โดยที่ VL นาหน้ากระแสไฟฟ้า I เป็นมุม เรเดียนที่ได้กล่าวมาแล้ว จึงเขียนเวกเตอร์ของ
2
VL ตั้งฉากกับเวกเตอร์ของ I ดังรูปข้างล่าง ซึ่งมีความหมายว่า VL นา I เป็นมุม เรเดียน
2
3. ความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวจุ
ตัวจุซึ่งมีความจุเป็น C ฟารัด มีไฟฟ้ากระแสสลับ I แอมแปร์ผ่าน ทาให้เกิดมีความต่าง
1
ศักย์ VC ขึ้นระหว่างปลายทั้งสองดังรูป ความต้านทานแห่งการจุ XC =
C
ในกรณีนี้ VC = IXC
16
โดยที่ VC ตามหลัง I เป็นมุม เรเดียน ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ดังนั้น จึงเขียน
2
รูปเวกเตอร์ VC ตามหลังเวกเตอร์ I เป็นมุม เรเดียน
2
6. วงจรไฟฟ้ากระแสสลับซึ่งมี R L และ C
ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับมี R L และ C ต่อกันอยู่ โดยอาจเป็นการต่อแบบอนุกรม
ขนานหรือผสมก็ได้ การคานวณก็ยังคงใช้หลักที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง โดยพิจารณาเป็นขั้นๆไป
1. การต่อ R L C แบบอนุกรม
ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนา และตัวจุต่ออนุกรมกัน มีหลักสาคัญคือ
1. R L และ C มีกระแส I ตัวเดียวกัน
2.ความต่างศักย์รวม V มีค่าเท่ากับเวกเตอร์ลัพธ์ของเวกเตอร์ VR VL และ VC
เช่นเดียวกับที่แล้วมา
1
XL = L และ XC =
C
VR = IR (เท่ากับ I)
VL = IXL (นาหน้า I เป็มุม )
2
VC = IXC (นาหลัง I เป็มุม )
2
ผลรวมของ R XL และ XC มีชื่อเรียกว่า ความชัด (impedance) และเขียนด้วยอักษร Z
17
V = IZ
18
V = (V R ) 2 (V L VC ) 2 เมื่อ VL VC
IZ = ( IR ) 2 ( IX L IX C ) 2
Z = ( R) 2 ( X L X C ) 2
XL XC
(ค) tan =
R
ได้ค่าของ tan เท่ากัน
V L VC IX L IX C XL XC
อาจพิสูจน์ได้ว่า tan = = =
VR IR R
วิธีทา
ก. ความตานแห่งการเหนี่ยวนา X L L 1,000 0.2 200 โอห์ม ความต้านแห่งการจุ
1 1
XC 1,000 โอห์ม
C 1,000 1 106
ข. R L และ C ต่ออนุกรมกันดังรูปมีหลักสาคัญว่า การต่ออนุกรมกันจะต้องมี
กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเป็นอันเดียวกัน คือ 0.1 แอมแปร์ที่กาหนดให้มา
19
มุมเฟส หาได้จากรูป(ข)
VC V L 80 4
tan =
VR 60 3
4
= tan 1 หรือ 53.13 องศา นา V
3
4
โดยกระแสไฟฟ้า I นาหน้าความต่างศักย์รวม V เป็น = tan 1 จึงอาจเขียนสมการของ
3
ความต่างศักย์ และกระแสไฟฟ้าได้ดังนี้
4
กระแสไฟฟ้า i = I m sin1,000t tan 1
3
เพื่อความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น จะหาค่าความต่างศักย์รวมระหว่างจุด AB
ระหว่างจุด A และจุด B ความต่างศักย์มีเพียง VL และ VC เท่านั้น ส่วน VR ไม่
21
รูป เวกเตอร์แสดงความต่างเฟสของความต่างศักย์กับกระแสไฟฟ้า
1 1
XC = 50 โอห์ม
C 500 40 106
Z = R X
2
C XL
2
= 402 302
= 50 โอห์ม
22
รูป เวกเตอร์แสดงความต่างเฟสของความขัดและกระแสไฟฟ้า
V 220
กระแสไฟฟ้า I = 4.4 แอมแปร์
Z 50
X C X L 30 3
tan = , tan 1 , I นา V
R 40 4
VR = IR = 4.4 40 = 176 โวลต์
VL = IXL = 4.4 20 = 88 โวลต์
VC = IXC = 4.4 50 = 220 โวลต์
หมายเหตุ ตรวจสอบคาตอบได้จาก
V = VR 2 VC VL 2 = 1762 200 882 = 1762 1322
= 220 โวลต์
2. การต่อ R L C แบบขนาน
ตัวต้านทาน R โอห์ม ตัวเหนี่ยวนา L เฮนรี และตัวจุ C ฟารัด ต่อขนานกัน และต่อกับ
ไฟฟ้ากระแสสลับ
V = ความต่างศักย์
ตัวเหนี่ยวนามีความต้านแห่งการเหนี่ยวนา XL
ตัวจุมีความต้านแห่งการจุ XC
23
(ค) เวกเตอร์แสดงความต่างเฟสของกระแสไฟฟ้าและส่วนกลับของ R XL XC
V
กระแสที่ผ่าน L IL = (ตาม V 90 องศา)
XL
V
กระแสที่ผ่าน C IC = (นา V 90 องศา )
XC
V
กระแสรวม I =
Z
จากรูป (ข) ได้
I = (I R )2 (IC IC )2
สมมติว่า LC มากว่า IL
IC I L
tan =
IR
2
V V V
2
V
แทนค่า =
Z R X C X L
2
1 1 1
2
1
เอา V ตัวร่วมออกได้ =
Z R X C X L
3.การต่อ R L C แบบผสม
คานวณโดยอาศัยหลักการต่อแบบอนุกรมและแบบขนานผสมกัน ดังวงจรไฟฟ้า
ตัวอย่าง ตัวต้านทานขนาด 3 โอห์ม ตัวเหนี่ยวนาและตัวจุต่อกับไฟฟ้ากระแสสลับ ทาให้
XL = 6 โอห์ม และ XC = 2 โอห์ม จงหาค่าของความขัดระหว่างจุด AB
25
รูป วงจรไฟฟ้าต่อกันแบบผสม
วิธีทา
ให้ I1 = กระแสในสายที่มี R
I2 = กระแสในสายที่มี L และ C
I = กระแสรวม
V = ความต่างศักย์ระหว่างจุด
V V
คิดสายที่มี R I1 = = (ทับกับ V)
R 3
คิดสายที่มี L และ C
V = VL-VC = 6I2-2I2 = 4I2
V
I2 = (ตามหลัง V เป็นมุม )
4 2
26
รูป เวกเตอร์แสดงความต่างเฟสของกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์
รูป เวกเตอร์แสดงความต่างเฟสของกระแสรวมและความต่างศักย์
I = ( I1 ) 2 ( I 2 ) 2
V
I =
Z
27
2 2
V V V 1 1 5
= = V = V
Z 3 4 9 16 12
12
ดังนั้น ความขัด Z = = 2.4 โอห์ม
5
7. อภินาทในวงจรไฟฟ้า
โดยทั่วไปแล้ว อภินาท (resonance) บอกถึงปรากฎการณ์ที่มีการเสริมกันหรือแม้แต่
ขัดกัน ที่มีผลมากที่สุดสาหรับภาวะหนึ่งๆ เมื่อเทียบกับภาวะข้างเคียง ดังรายละเอียดบางส่วนได้
กล่าวมาแล้ว และที่จะกล่าวต่อไปอีกในส่วนที่เป็นฟิสิกส์ยุดใหม่ สาหรับในวงจรไฟฟ้าในส่วนนี้
จะแบ่งการพิจารณาเป็นอย่างๆไป
1. อภินาทในวงจร R L C ที่ต่ออนุกรม
เมื่อ R L C ต่ออนุกรมกัน และต่อกับไฟฟ้ากระแสสลับ เวกเตอร์ของ R XL
Z = ( R) 2 ( X L X C ) 2
28
โดยที่ XL = L 2fL
1 1
XC =
C 2fC
1
r =
LC
1 1
หรือ fr =
2 LC
โดย L เป็นเฮนรี
C เป็นฟารัด
r เป็นเรเดียนต่อวินาที
fr เป็นเฮิร์ทซ์
2. อภินาทในวงจร L C ที่ต่อขนาน
ตัวเหนี่ยวนากับตัวจุซึ่งต่อขนานกันอยู่ และต่อไฟฟ้ากระแสสลับซึ่งมีความต่างศักย์เป็น V
ดังแสดงในรูป อาจเกิดอภินาทขึ้นได้ ภาวะของการเกิดอภินาทแบบนี้คือ กระแสไฟฟ้า IL กับ LC
มีค่าเท่ากันคือ
IL = IC ดังนั้น I = 0
V V
หรือ =
XL XC
1
rL =
r C
30
1
ดังนั้น r = 2f r =
LC
สมการที่จะได้เหมือนกันแบบต่ออนุกรมที่ได้กล่าวมาแล้ว ขณะที่เกิดอภินาทแบบขนานนี้
กระแสไฟฟ้ารวม I = IC - IL = 0 ซึ่งตรงกันข้ามกับแบบอนุกรมเพราะได้กระแสน้อยที่สุด
8. กาลังของไฟฟ้ากระแสสลับ
กาลังของไฟฟ้าของกระแสสลับในขณะใดๆมีค่าเท่ากับผลคูณระหว่างความต่างศักย์กับ
กระแสไฟฟ้าในขณะนั้นๆ
ถ้า v = ความต่างศักย์ในขณะใด = Vm sin
i = กระแสไฟฟ้าในขณะนั้น = Im sin
p = กาลังในขณะใด (instantaneous power)
จึงได้ p = vi
Vm I m [cos - cos ( 2 + ) ]
1
=
2
1 Vm Im
เนื่องจาก Vm I m = . = VI
2 2 2
ดังนั้น
P = VI [ cos - cos ( 2 + )]
31
1 2
P = pd เมื่อคิดเฉลี่ยจาก 1 รอบ
2 0
แทนค่ากาลัง p จากที่ทามาแล้วจะได้
1
เนื่องจาก cos( 2 )d =
2
cos( 2 )d ( 2 )
= 1
sin ( 2 + )
2
cos 0 sin2 0
VI 1
จะได้ p = 2 2
2 2
= VI
(2 cos )
2
32
= VI cos
ดังนั้น p = VI cos
กาลังเฉลี่ย P นี้มีชื่อเรียกกันเป็นอีกอย่างหนึ่งว่า กาลังกัมมันต์ (active power) และ
ต่อไปนี้เมื่อพูดถึงกาลังในไฟฟ้ากระแสสลับ เราจะหมายถึงกาลังเฉลี่ย P นี้เสมอ ในสูตรนี้
V = ค่ายังผลของแรงเคลื่อนไฟฟ้าหรือความต่างศักย์
I = ค่ายังผลของกระแสไฟฟ้า
= มุมเฟส
สาหรับ VI จะเรียกว่า กาลังปรากฏ ( apparent power ) และค่าของ cos มีชื่อเรียกว่า ตัว
ประกอบกาลัง(power factor) เพราะเป็นตัวคูณ VI ซึ่งจะทาให้กาลัง P มีค่ามากก็ได้ น้อยก็ได้ ตัว
ประกอบกาลังนี้มีค่าจาก 0 ถึง 1 (cos 90 = 0 และ cos 0 = 1) ดังนั้น สาหรับ VI ค่าหนึ่งๆถ้า =
90 (ในกรณีที่วงจรเป็นชนิดเหนี่ยวนาล้วน หรือชนิดจุล้วน) กาลัง P จะเท่ากับศูนย์ ถ้า = 0
กาลังไฟฟ้าที่ใช้จะมีค่ามากที่สุด (เท่ากับ VI)
สาหรับตัวจุมี = 90 ดังนั้นกาลังไฟฟ้าที่ใช้
=
P = VI cos 90 0
ตัวเหนี่ยวนาซึ่งไม่มีความต้านทานเลย = 90 กาลังไฟฟ้าที่ใช้
P = VI cos 90 = 0
สาหรับตัวต้านทาน(R) มี = 0 จะใช้กาลังไฟฟ้า
P = VI cos 0 = VI
จึงสรุปได้ว่า ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับซึ่งมี R L และ C ต่อกันอยู่ ไม่ว่าจะต่อกันใน
แบบใดกาลังไฟฟ้าจะใช้ที่ R เท่านั้น ดังนั้น เมื่อจะคิดกาลัง ก็คิดเฉพาะที่ R เท่านั้นเอง คือ
P = VI cos = VI cos 0 = VI
= (IR) I = I2 R
หรือ = V V = V2
R R
ดูตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่าง วงจรไฟฟ้ากระแสสลับประกอบด้วย R L และ C ต่ออนุกรมกันอยู่ระหว่างสอง
จุดซึ่งมีความต่างศักย์ 120 โวลต์ วงจรนี้มีความต้านทาน 75 โอห์ม และความชัด 150 โอห์ม ให้หา
กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในวงจรนี้
วิธีทา
วิธีท1ี่ ทาแบบคิดรวม เนื่องจากเป็นวงจรต่ออนุกรม จึงมีเวกเตอร์ของ R และ Z ดังรูป
33
รูป เวกเตอร์แสดงความต่างเฟส
V 120 4
I = = = = 0.8 แอมแปร์
Z 150 5
กาลังที่ใช้ P = VI cos
75
= 1200.8
150
= 48 วัตต์
cos = 18
= 18
(จากรูป 19.26)
1 19.7
V 100
กระแสไฟฟ้าในสายนี้ I 1 = = = 20 แอมแปร์
Z1 5
V 100
กระแสไฟฟ้าในสายนี้ I 2 = = = 10 แอมแปร์
Z2 10
= 1,800 วัตต์
9. การใช้ปริมาณเชิงซ้อนในไฟฟ้ากระแสสลับ
ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับความต่างศักย์และกระแสในตัวเหนี่ยวนาและตัวจุมีความต่าง
เฟสกันอยู่ 90 เมื่อนาค่าเหล่านี้มาเขียนเป็นแผนภาพแสดงเฟส (phasor diagram) จะได้ทิศดัง
แสดงในแผนภาพ รูปจะเห็นว่าถ้าเขียน I ซึ่งเป็นกระแสผ่านวงจรให้อยู่ในแนวแกน X ความต่าง
ศักย์ V L จะอยู่ในแนว
1. วงจร R L C ต่อแบบอนุกรม
เมื่อมีกระแส I ผ่านวงจร จะเกิดความต่างศักย์เป็น V R V L V C บนตัวต้านทานตัว
เหนี่ยวนา และตัวจุ ตามลาดับ ดังรูป เมื่อเทียบค่า Vรวม ของวงจรทั้งหมดตามหลักของจานวน
เชิงซ้อน จะได้ความต่างศักย์รวม
V = V R + jV L - jV C
หรือ V = V R + j(V - V C )
L
tan 1 VL VC
นั่นคือ =
VR
ให้สังเกตด้วยว่า เป็นบวกเมื่อ V L > V C และ เป็นลบเมื่อ V L < V C ค่าของ มี
ตั้งแต่ + 90 ถึง - 90
ตัวอย่าง จงหาขนาดและเฟสของความต่างศักย์รวมของวงจรอนุกรมของตัวต้านทานตัว
เหนี่ยวนา และตัวจุ เมื่อ R = 2 , X L = 3 และ X C = 4 โดยมีกระแสไฟฟ้าในวงจร 1
แอมแปร์
วิธีทา VR = 21 = 2โวลต์
VL = 31 = 3 โวลต์
VC = 41 = 4 โวลต์
จาก V = V R + j(V L - V C )
แทนค่า V R V L และ V C จะได้
V = 2 + j (3-4) = (2- j ) โวลต์
หาขนาดได้คือ V = 2 2 12 = 5 โวลต์
เฟสของ V เมื่อเทียบกับแกนจริง
= tan 1 1
2
= -26.5
นั่นคือ V มีเฟสตามหลัง I หรือ V R เป็นมุม 26.5
เนื่องจากกระแส I ผ่านวงจรอนุกรมของ R L C ความต่างศักย์บน R L C จะคานวณ
ความต่างศักย์ได้จากผลคูณของกระแส j กับความต้านทานหรือความต้าน ดังนั้นสมการของ V
จึงเขียนได้เป็น
V = IZ = IR + jIX L - jIX C
หรือ Z = R + jX L - jX C
เมื่อ Z = ความขัดของวงจร
นาสมการ มาเขีย นในระนาบเชิงซ้อน โดยให้ R มีเฟสอยู่ในแนวแกนจริง จะได้ผลดัง
รูป
38
รูป แผนภาพของความขัด
หรือ Z = 2 2 12 = 5 โอห์ม
เฟสของ Z เทียบกับ R คือ
= tan 1 X L X C
R
= tan 1 1
2
39
= -26.5
นั่นคือ Z มีเฟสตามหลัง R เป็นมุม 26.5
2. วงจร R L C ต่อแบบขนาน
รูป R L C ต่อแบบขนาน
I = I R + jI C - jI L
= I R + j(I C - I L )
ขนาดของ I หาได้จาก
= I R2 I C I L
2
I
V V V V
= j j
Z R XC XL
1 1 1 1
หรือ = j
Z R C
X X L
1
ขนาดของ คานวณได้จาก
Z
2
1 1 1
2
1
=
Z R X C X L
1 1
ความต่างเฟสของ เทียบกับ คือ
Z R
1 1
X X
= tan 1 C L
1
R
มุม มีค่าอยู่ระหว่าง + 90 0 - 90
การหาความต่างเฟสของความขัด Z ของวงจรอาจหาได้จากการเปลี่ยนเครื่องหมายของความต่าง
1 1
เฟสของ ให้ตรงกันข้าม เช่น เมื่อความต่างเฟสของ เขียนได้ว่า
Z Z
1 1
X X
1 = tan 1 C L
Z 1
R
ความต่างเฟสของ Z จะเขียนได้เป็น
1 1
Z = tan 1 X C X L
1
R
จะไม่พิสูจน์วิธีการนี้ ณ ที่นี้ ผู้ที่สนใจอาจศึกษาได้จากเรื่องการเขียนแผนภาพแสดงเฟสแบบเชิง
ขั้ว(polar) จากตาราวิชาไฟฟ้ากระแสสลับขั้นก้าวหน้าทั่วไป
1 1 1
= j
40 24 60
= 1
j
= 1
1 j ต่อโอห์ม
40 40 40
Z = 40
= 20 1 j
1 j
และ Z = 20 2 โอห์ม
= tan 1 1 = 45
3. วงจร R L C ต่อแบบผสม
โดยอาศัยหลักการของวงจรที่ต่ออย่ างอนุกรมและการต่ออย่างขนาน จะสามารถ
วิเคราะห์วงจรที่ต่อกันแบบผสมได้ จากวงจรที่กาหนดให้ ดังรูป
43
Z1 = R 1 - jX C = 3 – j4
หรือ Z = 32 4 2 = 5 โอห์ม
V 100
I1 = = = 4(3 + j4)
Z 3 j4
I1 = 4 32 4 2 = 20 แอมแปร์
tan 1 4
1 = = 53
3
นั่นคือ I 1 มีเฟสนาหน้า V เป็นมุม 53
44
ข. คานวณเกี่ยวกับแขนง EF ทานองเดียวกับแขนง CD
100
I2 = = (6 – j8) I2 = 6 2 82 = 10 แอมแปร์
6 j8
tan 1 8
2 = = - 53
6
นั่นคือ I 2 มีเฟสตามหลัง V เป็นมุม 53
ค. I หาได้จากผลบวกของ I 1 และ I 2
tan 1 8
= = 24
18
นั่นคือ I มีเฟสนาหน้า V เป็นมุม 24
Z = 180
= 50
= 50
9 j 4
18 j8 9 j4 97
Z = 5.07 โอห์ม
45
Z = Z1 Z 2
= 3 j 46 j8
Z1 Z 2 3 j 4 6 j8
50
=
9 j4
Z = 5.07 โอห์ม
ซึ่งได้ผลตรงกัน
4. การคานวณกาลังไฟฟ้ากระแสสลับด้วยวิธีจานวนเชิงซ้อน
จานวนกาลังไฟฟ้าได้จากผลคูณของความต่างศักย์กับกระแสที่ทาให้เกิดความต่าง
ศักย์นั้น เมื่อ V และ I อยู่ในรูปจานวนเชิงซ้อน เช่น เมื่อ V = a + jb และ I = c + jd การ
คานวณค่ากาลังไฟฟ้าจะเอา V คูณ I ตรงๆไม่ได้ เพราะจะได้ผลไม่ถูกต้องกับที่เป็นจริง ให้
พิจารณาแผนภาพแสดงเฟสของ V และ I ซึ่งเขียนในระนาบเชิงซ้อน ดังรูป จากสมการ
กาลังไฟฟ้าเมื่อคิดจากส่วนประกอบของ V และ I คูณกันจะได้
P = ac cos 0 + bd cos 0 + ad cos 90 + bc cos 90
= ac + bd
ถ้าเราทดลองนา V และ I มาคูณกันตรงๆ และหาภาคจริงจะได้
รูป แผนภาพแสดงเฟสของความต่างศักย์และกระแส
46
5. คานวณความถี่อภินาทของวงจรด้วยวิธีเลขเชิงซ้อน
วงจรที่ประกอบด้วย L และ C จะมี R ด้วยหรือไม่ก็ตาม มีความถี่ธรรมชาติหรือ
ความถี่อภินาทประจาตัว จะค านวณหาได้ด้วยวิธีจานวนเชิงซ้อน โดยอาศัย หลัก ส าคัญที่ว่าที่
ความถี่อภินาทของวงจรค่าความขัดรวมของวงจรจะเป็นจานวนจริงซึ่งหมายความว่าเทอมที่เป็น
จานวนจินตภาพของความขัดของวงจรจะต้องเป็นศูนย์ ซึ่งทาความต่างเฟสของความต่างศักย์และ
กระแสเป็นศูนย์ด้วย
ที่ความถี่ใดๆ Z = R + jX
ที่ความถี่อภินาท Z = R
และ jX = 0
จากข้อแม้ที่ว่า jX ต้องเป็นศูนย์นี้ทาให้สามารถคานวณกาค่าความถี่อภินาทของวงจรได้
การหาความถี่อภินาทของวงจร R L C แบบต่างๆอาจแสดงได้ดังต่อไปนี้
47
ก. ความถี่อภินาทของวงจร R L C ต่อแบบอนุกรม
ความขัดของวงจร Z = R + j(X L - X C )
ที่ความถี่อภินาท f r’ Z = R , j X L X C = 0
ได้ XL = XC
1
ดังนั้น f =
2 LC
ที่ความถี่อภินาท f r Z = R
1 1
j = 0
XC XC
XC = XL
1
ดังนั้น fr =
2 LC
ความขัดของวงจรคิดได้จากความขัดของสองแขนงรวมกันแบบขนาน คือ
48
jX C R jX L
Z =
jX C R jX L
X C X L jRX C
=
R j X L X C
X C X L jRX C R j X L X C
Z =
R 2 X L X C
2
L
= 2 L2
C
R2
หรือ 2
= 1
LC L2
ถ้าเขียน 02 = 1
= ความถี่อภินาท (เชิงมุม) ของวงจรเมื่อ R=0
LC
R2
= 02
L2
1 R2
หรือ fr = 02 2
2 L
49
10. อุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสสลับ
เนื่องจากไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นไฟฟ้ากระแสที่จ่ายไปตามบ้านเรือนและหน่วยใช้พลัง งาน
อื่นๆทั่วไป จึง ควรจะทราบถึงอุปกรณ์ที่เกี่ย วข้องบ้างพอสมควร ที่ย กมาอธิบายไว้นี้เป็นเพีย ง
ตัวอย่างอันพบเห็นเสมอๆที่น่าจะทาความเข้าใจได้ในหลักการ
1. หลอดเรืองแสง
รูป เวกเตอร์แสดงความต่างเฟสของความขัดและกระแส
I = I I cos 2 I 2 I 1 sin 2
2 2
V V V
= cos sin
Z1 X C Z1
กระแสรวม I มีค่าน้อยที่สุดเมื่อ
2
V V
sin = 0
X C Z1
และโดยอาศัยเวกเตอร์แสดงความต่างเฟสตามรูป จะได้
Z1 Z1 Z 12 R 2 X L2
XC = = Z1 = =
sin XL XL XL
1 R 2 2 L2
คือ =
C L
L
C =
R 2 L2
2
V V R VR
I min = cos = =
Z1 Z1 Z1 R 2 L2
2
I min VR R 2 X L2 R
= =
I1 R 2 2 L2 V R 2 L2
2
2. หม้อแปลง
หม้อแปลง (transformer) เป็นเครื่องมือทางไฟฟ้าที่ใช้สาหรับเปลี่ยนความต่างศักย์ไฟฟ้า
กระแสสลับให้สูงขึ้นหรือต่ากว่าเดิม โดยใช้หลักการเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้า เครื่ องมือชนิดนี้
ประกอบด้ ว ยขดลวดสองขด พั น อยู่ บ นแกนเหล็ ก อั น เดี ย วกั น ดั ง แสดงในรู ป (ก) เมื่ อ ปล่ อ ย
กระแสไฟฟ้ากระแสสลับเข้าไปในขดลวดหนึ่ง จาให้เกิดมีฟลักซ์แม่เหล็ก ซึ่งแปรค่าตลอดเวลา
เกิดขึ้นในแกนเหล็กนั้น การแปรค่าของฟลักซ์แม่เหล็กดังกล่าวนี้ก็จะไปเกิดการแปรค่ าฟลักซ์ใน
ขดลวดอีกขดหนึ่งด้วย ทาให้เกิดมีไฟฟ้าเหนี่ยวนาขึ้นในขดลวดขดที่สองนี้ ดังนั้น จึงบอกได้ว่า
กาลังไฟฟ้าถ่ายทอดจากขดลวดอันแรกซึ่งเรียกว่า ขอลวดปฐมภูมิ (primary) ไปยังขอลวดอันที่สอง
ซึ่งเรียกว่า ขดลวดทุติยภูมิ (secondary) หม้อแปลงไฟฟ้านี้โดยทั่วไปนิยมเขียนเป็นรูปง่ายๆแทน
รูปจริง
ฟลักซ์แม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากขดลวดปฐมภูมินั้น ไม่ได้ไปสู่ขดลวดทุติยภูมิทั้งหมด(ผ่าน
ขดลวดทั้งสอง) เรียกว่า ฟลักซ์รวม (mutual flux) ส่วนฟลักซ์แม่เหล็กที่วนอยู่เฉพาะในขดลวด
ขดใดขดหนึ่ง เรียกว่า ฟลักซ์รั่วไหล (leakage flux)
ก าลัง ไฟฟ้ า ที่ ส่ง จากขดลวดปฐมภูมิไ ปยั งขดลวดทุติย ภูมินั้นบางส่วนถูก ใช้ไ ปในการ
กลายเป็นความร้อนในขดลวดทั้งสองและในเนื้อแกนเหล็ก คือ เกิดความล้า (hysterysis) และมี
กระแสวน (eddy current) เกิดขึ้น ดังนั้น กาลังไฟฟ้าที่ส่งออกไปจากขดลวดทุติยภูมิจึงน้อยกว่าที่
ได้รับเข้ามาทางปฐมภูมิ แต่น้อยกว่ากันไม่มากนัก ผลเสียเนื่องจากความล้า ก็อาจลดลงได้ โดย
การเลือกใช้แกนเหล็กที่มีวงแห่งความล้า (hysterysisloop) เล็กๆและผลเสียเนื่องจากกระแสวน ก็
52
ย่อมได้ E1 = N 1 d และ E 2 = N2 d
dt dt
E1 N1
จึงได้ =
E2 N2
อ้างอิง
ศาสตราจารย์แสวง โพธ์เงิน.ฟิสิกส์ 2.กรุงเทพฯ.สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
,2549.