Professional Documents
Culture Documents
Benchmarking คือ การทำ benchmarking กับคู่แข่งขันโดยตรง 2.3 Industry benchmarking คือ การทำ benchmarking กับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรม
เดียวกัน แต่ไม่ใช่คู่แข่งขันกันโดยตรง 2.4 Generic Benchmarking คือ การทำ benchmarking กับองค์กรใดก็ตามที่มีความเป็นเลิศในกระบวนการทำงาน
นั้นๆ ซึ่งองค์กรนั้นอาจมีธุรกิจที่แตกต่างกับเราโดยสิ้นเชิง
แนวทางการทำ Benchmarking ประกอบด้วย 1.Benchmarking แบบกลุ่ม คือ การทำ Benchmarking โดยรวมกลุ่มกับองค์กรอื่น ที่มีความ
ต้องการจะทำ Benchmarking เหมือนกัน ทำให้ประหยัดเวลาในการดำเนินการ เป็นการสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ดี แต่ต้องฟังเสียงข้างมากของทุก
องค์กรในกลุ่มว่าต้องการเน้น หรือทำ Benchmarking ในเรื่องไหน แบบไหนหากหัวข้อ Benchmarking ที่กลุ่มต้องการทำไม่ตรงกับความต้องการของเราเท่าที่
ควร ประโยชน์ที่ได้รับก็อาจจะน้อยลงไป 2.Benchmarking แบบเดี่ยว คือ การมีเพียงองค์กรเดียวที่ต้องการที่จะทำ benchmarking จึงกำหนดหัวข้อที่ต้องการ
ทำและดำเนินการตามกระบวนการ Benchmarking ที่ได้วางแผนไว้ สามารถเลือกผู้ที่จะเป็นคู่เปรียบเทียบได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรที่เราไปขอเปรียบเทียบด้วย
นั้น มีความประสงค์จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเราหรือไม่
ขั้นตอนการทำ Benchmarking ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก และ 10 ขั้นตอนย่อยๆ ดังนี้ 1.การวางแผน 2. การวิเคราะห์ 3. การบูรณาการ 4. การปฏิบัติ
ข้อควรระวังในการใช้ Benchmarking ประกอบด้วย 1.อย่าเน้น Benchmarking เพียงแค่การวัดเปรียบเทียบ: ต้องเน้นผลจากการวัดเพื่อเรียนรู้
และถ่ายทอดความรู้ เพื่อพัฒนากระบวนงาน หน่วยงาน/ องค์กร 2.อย่าลืมที่จะเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล: เนื่องจาก การจะบรรลุการทำ benchmarking ใน
ขั้นแรกได้ ต้องรู้ว่าจะวัดสิ่งไหน ดังนั้น หากขาดข้อมูลเหล่านั้นไป ก็เป็นอันจบตั้งแต่เริ่ม จึงควรพิจารณา ความเป็นไปได้ของการได้มา และความคุ้มค่าของข้อมูล
ด้วย 3.อย่าลอกเลียนแบบการ Benchmarking ของคนอื่น: เพราะกระบวนงาน/ หน่วยงาน/องค์กรที่แตกต่างกัน มีจุดมุ่งหมาย/ พันธกิจ/ วิสัยทัศน์/ กลยุทธ์ที่
ต่างกัน ย่อมมีการวัดเปรียบเทียบต่างกันด้วย ดังนั้น หากประสงค์จะทำ benchmarking ตนเองพึงจะต้องพัฒนาด้วยตนเอง เพื่อให้เหมาะกับตน 4.อย่าทำ
Benchmarking โดยไม่ชัดเจนว่าทำเพื่ออะไร: มิฉะนั้น การทำ benchmarking ก็จะสูญเปล่า กลายเป็นอุปสรรค ภาระงานที่เพิ่ม ทรัพยากรสูญเสียโดยไม่
จำเป็น 5.อย่าหวังว่า Benchmarking จะเสร็จได้รวดเร็ว: เพราะ benchmarking เป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องใช่ว่าจะมีวันเสร็จสิ้น และไม่ต้องทำอีก ในขณะ
เดียวกัน แม้จะทำอย่างต่อเนื่อง ก็ใช่ว่า benchmarking จะบรรลุผลในระยะเวลาอันสั้น 6.อย่าละเลยการเตรียมความพร้อมขององค์กร องค์กรเองก็ต้องมีการ
ปรับตัวรับการทำ Benchmarking อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการปรับวัฒนธรรมองค์กร สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้, การปรับลักษณะการบริหารแบบสั่งการควบคุม สู่
การทำงานร่วมกัน-สนับสนุน-ให้คำแนะนำ (มากกว่าสั่งให้ทำ) การสร้างเครือข่าย-การแชร์ข้อมูลระหว่างพันธมิตร Benchmarking ขององค์กร ความสัมพันธ์ของ
Benchmarking, Benchmark, Best Practices ความสัมพันธ์ของสามคำนี้มีความเกี่ยวข้องกันกล่าวคือ กระบวนการทำ Benchmarking นำไปสู่การค้นพบผู้ที่
เป็น Benchmark หรือผู้ปฏิบัติได้ดีที่สุดว่าเป็นใคร และผู้ที่เป็น Benchmark สามารถตอบคำถามเราได้ว่า Best Practices หรือวิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุดที่นำไปสู่
ความเป็นเลิศนั้นเขาทำได้อย่างไร
ขอบเขตของการทำ Benchmarking การทำ Benchmarking ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การการกระทำที่กระบวนการใดกระบวนการหนึ่ง หรือระดับใด
ระดับหนึ่งเท่านั้น benchmarking สามารถนำไปใช้ได้ทั่วทุกที่ในองค์กร ทั้งระดับกลยุทธ์และระดับปฏิบัติการ หรือ benchmarking กระบวนการโดยเปรียบ
เทียบที่ปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) หรือผลลัพธ์ (Output) ของกระบวนการ เราสามามารถทำ benchmarking ได้ทุกเรื่องแล้วแต่ว่าจะนำไปใช้
เรื่องอะไร สามารถทำ benchmarking ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ หรือผลลัพธ์ได้ benchmarking สามารถทำได้ทั้งระดับกลยุทธ์และระดับปฏิบัติการ
ทำไมต้อง Benchmarking 1)เพราะหลักการของ benchmarking สนับสนุนการไม่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต คือ “ไม่มีเหตุผลใดที่จะเชื่อว่า สิ่งที่
เราทำนั้นดีที่สุด” 2)เพราะหลักการของ benchmarking ลดความหยิ่งผยอง ให้ถ่อมตัวโดยยอมรับว่า “เรามีบางด้านอ่อนด้อยกว่าผู้อื่น” คือ รู้จุดยืน จุดเด่นและ
จุดด้อยของตน 3)เพราะวิธีการของ benchmarking ผลักดันให้เกิดความใส่ใจต่อโลกภายนอก เปิดหูเปิดตาผู้บริหารให้ ติดตาม ตรวจสอบ เฝ้าดู การ
เปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อมทั้งในเชิงที่เป็นโอกาสและภาวะคุกคาม รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของคู่แข่ง 4)เพราะวิธีการของ benchmarking
สร้างวัฒนธรรมในการยอมรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ การเรียนรู้และการพัฒนามิใช่เทศกาล แต่เป็นงานประจำที่ต้องทำอยู่เสมอ ซึ่งการแลกเปลี่ยนความรู้
ระหว่างกัน การฝึก อบรม การค้นคว้า การรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญล้วนเป็นการเรียนรู้ทั้งสิ้น 5)เพราะกระบวนการ benchmarking ต้องวัดและเปรียบเทียบ
การวัดย่อมต้องมีความชัดเจนว่าจะวัดอะไร การเปรียบเทียบย่อมต้องประเมินได้ นั่นย่อมหมายถึง การต้องอาศัยข้อเท็จจริงและข้อมูล (Face & Data) โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งข้อมูลเชิงปริมาณในการทำงาน มิใช่ประสบการณ์หรือความรู้สึก 6)เพราะ benchmarking ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะเป้าหมาย
(Target) การพัฒนามีความชัดเจนและท้าทาย (ผู้ที่เก่งกว่า หรือ เก่งที่สุด) วิธีการเดินทาง (Mean) สู่เป้าหมายเป็นไปได้ (มีผู้เคยทดลองและเคยได้ผลมาแล้ว)
หรือการเรียนรู้จากผู้อื่น และการเดินตามเฉพาะทางที่ควรเดิน ไม่ต้องเสียเวลากับความผิดพลาด หรือหลงทาง เช่นนี้ไหนเลยจะไม่ก้าวกระโดด
ลักษณะสำคัญของ Benchmarking เป็นวิธีการสร้างเป้าหมายของวิธีการปฏิบัติ และพัฒนางานให้มีคุณภาพที่ดี โดยขึ้นอยู่กับองค์กรที่เลือกวิธีการ
ปฏิบัติงานที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับธุรกิจหรืองานนั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือใหม่ สำหรับระบบงานที่ต้องการคุณภาพ มีการค้นคว้าและการพยายามเลียนแบบที่ดีที่สุด
โดยการจูงใจให้ ทุกคนในองค์กรมีส่วนเกี่ยวข้อง มีการศึกษาเรื่องของตนเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งBenchmarking มีลักษณะที่สำคัญดังนี้ 1.การหาข้อเท็จจริง
https://kantakannikar.blogspot.com/2012/09/benchmarking.html?view=flipcard 2/3
16/5/2564 ความเป็ นมาของ Benchmarking | Kru Kanta
[http://2.bp.blogspot.com/-
E3GJ0Z61Xec/UGhBStxmBqI/AAAAAAAAAB0/Ric-
xM9xmTk/s1600/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%872.JPG]
0
เพิ่มความคิดเห็น
ป้อนความคิดเห็นของคุณ...
แสดงความคิดเห็นในฐานะ:
6290508 ออกจากระบบ
เผยแพร่ ดูตัวอย่าง
แจ้งเตือนฉัน
https://kantakannikar.blogspot.com/2012/09/benchmarking.html?view=flipcard 3/3