You are on page 1of 41

รายงานวิชาโครงสร้ างและภาษาอังกฤษ 2

เรื่ อง การสรุปรายงานโครงสร้ างภาษาอังกฤษ

จัดทําโดย
นายธัญเทพ อารี ย์วงศ์
นักศึกษาชันปี
้ ที่ 1 รหัสนักศึกษา 6440307134

เสนอ
อาจารย์ศิริชยั เทียมหัวนอก

รายงานนี ้เป็ นส่วนหนึง่ ของวิชาโครงสร้ างและภาษาอังกฤษ 2


ภาคเรี ยนที่ 2 ปี การศึกษา 2564
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา สาขาภาษาอังกฤษธุรกิจ
คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์

รายงานวิชาโครงสร้ างและภาษาอังกฤษ 2
เรื่ อง การสรุปรายงานโครงสร้ างภาษาอังกฤษ
จัดทําโดย
นายธัญเทพ อารี ย์วงศ์
นักศึกษาชันปี
้ ที่ 1 รหัสนักศึกษา 6440307134

เสนอ
อาจารย์ศิริชยั เทียมหัวนอก

รายงานนี ้เป็ นส่วนหนึง่ ของวิชาโครงสร้ างและภาษาอังกฤษ 2


ภาคเรี ยนที่ 2 ปี การศึกษา 2564
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา สาขาภาษาอังกฤษธุรกิจ
คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์

คำนำ
รายงานฉบับนี ้เป็ นส่วนหนึง่ ของวิชาโครงสร้ างและการใช้ ภาษา
อังกฤษ 2 รหัสวิชา 207122 ภาคเรี ยนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 โดยมีจดุ
ประสงค์เพื่อรวบรวมการสรุปรายงานจาก การนําเสนอและข้ อสอบกลาง
ภาคและปลายภาค
ผู้จดั ทำคาดหวังเป็ นอย่างยิ่งว่าการจัดทำเอกสารฉบับนี ้จะมีข้อมูลที่
เป็ นประโยชน์ และเป็ นตัวอย่างรายงานให้ กบั นักศึกษารุ่นต่อๆไปได้ เพื่อ
เป็ นแนวทางในการศึกษา
นายธัญเทพ อารี ย์วงศ์
ผู้จดั ทํา

สารบัญ
เรื่ อง หน้ า
สรุปเรื่ อง Sentence Problems 1
สรุปเรื่ อง Quote-Reported-speech 7
สรุปเรื่ อง Complex sentence, compound complex sentence 11
สรุปเรื่ อง Phrase 15
สรุปเรื่ อง Simple sentences & Compound sentence 19
สรุปเรื่ อง Clause 26
สรุปเรื่ อง Parallelism 29
สรุปเรื่ อง Passive voice 31
กระดาษคําตอบข้ อสอบกลางภาค 34
ข้ อสอบและคําตอบปลายภาค 39
1

Sentence Problems
ปั ญหาที่สว่ นใหญ่พบเสมอคือปั ญหาด้ านไวยากรณ์ความสำคัญระหว่าง
คำในประโยคและการ เขียนซึง่ เห็นได้ ชดั จากการวิเคราะห์เรี ยงความและ
ข้ อเขียนอื่น ๆ ของคนไทยปั ญหาดังกล่าว ส่วนมากเกิดขึ ้นจากอิทธิพลของ
ภาษาไทยซึง่ เข้ าไปแทรกอยูใ่ นการแสดงความคิดเห็นเป็ น ภาษาอังกฤษ
และทำให้ ข้อความที่เขียนนันแม้
้ วา่ จะใช้ ถ้อยคำภาษาอังกฤษก็ตาม แต่ใช้
รูปแบบ หรื อโครงสร้ างซึง่ คล้ าย ๆ กับภาษาไทยหรื อกึง่ ไทยกึง่ อังกฤษซึง่
ต้ องนับว่าผิดกฎไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษและในบางกรณีท ำให้ ผ้ เู ขียนไม่
อาจสามารถสื่อความหมายแก่ผ้ อู า่ นได้ ควร วิเคราะห์และทำความเข้ าใจ
กับปั ญหาดังกล่าวจะช่วยลดความผิดพลาดในการเขียนภาษาอังกฤษได้

1. การใช้ ตวั อักษรขึ ้นต้ นตัวพิมพ์ใหญ่ (Capitalization) คือการใช้ ตวั อักษร


พิมพ์ใหญ่เมื่อเริ่ มต้ น ประโยคและสําหรับคํานามเฉพาะตัวอย่าง We are
writing to inform you that We would like to launch our new product
in December. คำว่า“ We” อยูใ่ นระหว่างประโยคซึง่ ทำให้ การใช้ ตัวพิมพ์
ใหญ่ไม่ถ กู ต้ องซึง่ ที่ถ กู ควรเป็ น We are writing to inform you that we
would like to launch our new product in December.

2. ข้ อผิดพลาดในการใช้ บพุ บท (Errors in the use of preposition) คือคำ


ที่ใช้ เชื่อ มคำนามกับ คํานามหรื อ เชื่อ มคํา นามกับ วลีห รื อ ประโยคเพื่อ
อธิบายความสัมพันธ์ในเชิง เวลาสถานที่ค วาม เคลือ่ นไหวและวิธีก าร
นอกจากนันยั ้ งมีการใช้ บพุ บทในคำปรากฏร่ วม (collocation) เช่นนามคู่
กับบุพบท (reason for) คุณศัพท์คกู่ บั บุพบท (aware of) และกริ ยาคูก่ บั
บุพบท (work for) ตัวอย่าง I would like to rent the place in that day.
การใช้ บพุ บท in that day ไม่ถกู ต้ องตามหลัก ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
เนื่องจากบุพบทที่ใช้ ร่วมกับวันคือบุพบท on” ดังนันประโยคที
้ ่ถกู ต้ อง จึง
ต้ องแก้ เป็ น I would like to rent the place on that day.
2

3. การใช้ คำศัพท์ไม่ถกู ต้ อง (Wrong Choice of words) ตัวอย่าง Finally,


whether you would like to have more information, please do not
hesitate to contact me. การใช้ whether ในบริ บทนี ้ให้ ความหมายของ
ประโยคนี ้ไม่ถกู ต้ องคำที่ถกู ต้ องควรเป็ น if ทังนี
้ ้ผู้เขียนอาจสับสนในการใช้
whether if ในหัวข้ อ Reported Speech ซึง่ ในบริ บทนันทั ้ งสองคำมี
้ ความ
หมายเหมือ นกัน แต่ใ น การใช้ ท วั่ ไปคำว่า if จะแปลว่า ถ้ า และคำว่า
whether แปลว่า ไม่วา่ หรื อ หรื อ ไม่ด งั นันประโยคที
้ ่ถ กู ต้ อ ง ควรจะเป็ น
Finally, if you would like to have more information, please do not
hesitate to contact me

4.การสะกดคำ(Misspelling)มีการสะกดคำศัพท์ที่ผิดโดยแบ่งเป็ นคำศัพท์
ประเภทกริ ย าคำนาม เป็ น หลัก ตัว อย่า งที่ 1 I am writting in relation
to ......…... ผู้เขียนสะกดคำว่า writting ผิดเนื่องจาก คำนี ้มีการใช้ พยัญ
ชะ + เพีย งหนึง่ ตัวและจะใช้ ส องตัว ในกริ ย าช่อ งที่ 3 คือคำว่า written
ประโยค ignons I am writing in relation to ........ ตัว อย่า งที่ 2 Thank
you for your email which I recieved yesterday. คำว่า recieved ที่ถกู
ต้ องควรสะกดเป็ น received เนื่องจากตาม กฎไวยากรณ์สระที่ตามพยัญ
ชนะตัว C ต้ องสะกดด้ วย ei ประโยคข้ างต้ นจึงต้ องเขียนใหม่เป็ น Thank
you for your email which I received yesterday.

5. การใช้ รูปกริ ยาไม่ถกู ต้ อง (Errors in the use of verb forms) มีการใช้


รูปกริ ยาที่ไม่ถกู ต้ อง ตัวอย่างที่ 1 We will charges you .... รูปกริ ยาช่วย
will ใช้ เมื่อกล่าวถึงสิง่ ที่จะทำในอนาคตโดย จะต้ องตามด้ วยกริ ยาช่องที่ 1
คือ คำว่า charge การใส่ s ท้ า ยคำเป็ น รูป กริ ย าของ Simple present
tense ที่มีประธานเป็ นเอกพจน์รูปกริ ยาที่ถกู ต้ องจึงต้ องเขียนว่า We will
charge you... ตัวอย่าง ที่ 2 We think it convenient to .... ประโยคข้ าง
ต้ นมีการละกริ ยาคำ convenient เป็ นคุณศัพท์จงึ จำเป็ นต้ องกริ ยาช่วย
เพื่อเชื่อมประธานเนื่องจากประธาน it เป็ นเอกพจน์กริ ยาช่วยที่ถกู ละคือ is
ดังนันประโยคที
้ ่ถกู ต้ องควรจะเป็ น We think it is convenient to .....
3

6. ปั ญหาการใช้ relative clauses ปั ญหาในการเขียน relative clauses


แบ่ง ออกเป็ น ปั ญ หาใหญ่ 5 ปั ญ หาคือ ปั ญ หาความสับ สนระหว่า ง
restrictive แ ล ะ nonrestrictive relative clauses ปั ญ ห า เ ก ี่ย ว ก บั
relative clauses ที่แสดงการเป็ นเจ้ าของ
• ปั ญ หาเกี่ย วกับ relative clauses ที่ต้ อ งใช้ ค ำบุพ บทคูก่ บั relative
pronoun
• ปั ญหาการใส่คําสรรพนามในตำแหน่งกรรมตรงผิด
• ปั ญหาการละ BE ใน relative clause ที่มี predicate adjective
7.ปั ญ หาการใช้ ค ำคุณ ศัพ ท์ปั ญ หาการใช้ ค ำคุณ ศัพ ท์น ี ้แยกออกเป็ น
ปั ญหาใหญ่ 3 ปั ญหาคือ
- ปั ญหาการใช้ predicate adjective โดยไม่ใช้ กริ ยา BE
- ปั ญหาการใช้ คํานามแทนคําคุณศัพท์หลัง BE
- ปั ญหาการละ suffix – ed หลัง linking verbs

8.ปั ญหาการใช้ อนุประโยคเสริ มประโยคหลักปั ญหาการใช้ อนุประโยค


เสริ มประโยคหลัก (Complementation) อย่างถูกต้ องแบ่งออกเป็ นปั ญหา
ใหญ่ 7 ปั ญหาดังนี ้
- ปั ญหาการใช้ โครงสร้ างแบบ The reason ... is that ......
- ปั ญหาการใช้ in order to – ปั ญหาการใช้ นําเชื่อม as..
- ปั ญหาเกี่ยวกับคำถามที่อยูใ่ นประโยคบอกเล่า
- ปั ญหาการใช้ โครงสร้ างประโยคเกี่ยวกับเหตุและผล
- ปั ญหาเกี่ยวกับโครงสร้ างซึง่ ใช้ gerunds
- ปั ญหาการผันกริ ยาที่สองในอนุประโยคที่มีคำกริ ยามากกว่าหนึง่ คำ

9.ปั ญหาการเขียนตามคําแปลภาษาไทยปั ญหาที่เกิดขึ ้นจากการเขียน


ตามคําแปลภาษาไทยมี ดังนี ้คือ
- ปั ญหาการใช้ although, even though และ though
- ปั ญหาการใช้ there is / there are สับสนกับ have
- ปั ญหาการละคำสรรพนาม
4

- ปั ญหาการใช้ คำ ever
- ปั ญหาการใช้ คำ whether
- ปั ญหาการใช้ คำ win, lose, defeat, beat

10. ปั ญหาในการใช้ รูปเอกพจน์และพหูพจน์ในวลีที่ข ึ ้นต้ นด้ วยค่า one


One of + นามวลีมีหลาย คนที่ใช้ รูปเอกพจน์พหูพจน์ผิดในวลีที่ข ึ ้นต้ น
ด้ วยคำ one ไม่วา่ วลีนนจะเป็
ั้ นโครงสร้ าง superlative ดังที่ศกึ ษาหรื อเป็ น
วลีอื่นก็ตาม One type (kind, form) + คำนามปั ญหาอีกอย่างหนึง่ ที่พบ
คือ ปั ญ หาเกี่ย วกับ วลีท ี่ข ึ ้นต้ น ด้ ว ย one ซึง่ ถ้ า พิจ ารณาอย่า งผิว เผิน ดู
เหมือนจะเป็ นวลี ประเภทเดียวกับที่ได้ ศกึ ษาไปแล้ วในข้ อความข้ างต้ น แต่
ถ้ าวิเคราะห์อย่างรอบคอบจะเห็นว่า แตกต่างกันวลีประเภทนี ้มักจะใช้
one กับคำว่า type, kind หรื อ form 8 จาก 37

11. ความผิดพลาดในการแปรประโยคความผิดพลาดในการแปลประโยค
ที่มีคำศัพท์ที่มี ความหมายหลายนัยทำให้ เกิดความสับสนซึง่ ทำให้ เกิด
ความหมายผิดเพี ้ยนตัวอย่างที่ 1 Pilot can find no place to land. แปล
ว่าไม่มีตำแหน่งนำร่องบนพื ้นดินควรแปลว่านักบินไม่สามารถหาจุด ลง
จอดได้ ตัว อย่า งที่ 2 "I was wondering whether you would like to a
party." แปลว่าคุณอยากเข้ าพรรคเรา ไหมควรแปลว่า " ไม่ทราบว่าคุณ
อยากไปร่วมงานเลี ้ยงไหม

12. การแปลประธานที่ไ ร้ ค วามหมาย (Dummy subject) ประโยคใน


ภาษาอังกฤษจำเป็ นต้ องมี ประธานดังนันคำสรรพนาม
้ it ในบางประโยค
ไม่มีความหมายเพราะไม่ได้ ทำหน้ าที่แทนคำนาม ตัวใด แต่มีเพื่อประกอบ
5

ประโยคให้ ครบตามหลักไวยากรณ์ตวั อย่าง It's awersome! แปลว่ามัน


คือความดีเลิศมันคือที่สดุ มันคือเป็ นที่ดีเลิศควรแปลว่าสุดยอด
13. คำกริ ยาคูค่ ำว่า " ask for” เป็ นคำกริ ยาคู่ (Phrasal verb) ที่เกิดจาก
กริ ยา ask + for เมื่อนำมาใช้ ในรูปประโยคจะเกิดเป็ นความหมายใหม่
แปลว่าขอ (to request) แต่เกิดความผิดพลาดในการ แปลโดยแปลแยก
ส่วนคำว่า ask และ for ดังตัวอย่างตัวอย่างประโยค They asked for the
discount แปลว่าพวกเขาถามเพื่อส่วนลดพวกเขาถามหาส่วนลดควรแปล
ว่าพวกเขาขอส่วนลด ปั ญหาเกี่ยวกับ Pronoun การใช้ คำสรรพนามจะ
ต้ องสอดคล้ องกับคำสรรพนามที่อ้างถึงในแง่ บุรุษเพศและพจน์ (pronoun
agreement with antecedent) คำที่อ ้ า งถึง น นเรี ั ้ ย กว่า antecedent
ต วั อ ย า่ ง The student turned in his report. • The girls finished
preparing their lessons. • The club members enjoyed their trip to
the museum

ปั ญ หาอันเนื่อ งมาจาก Misplaced Modifiers Misplaced modifier คือ


คำขยายที่เอาไว้ ผิดที่ผิด ตำแหน่งในประโยคทำให้ ดเู หมือนว่าขยายผิดค่า
ปั ญหานี ้เกิดขึ ้นเพราะผู้เขียนไม่ได้ ใส่ค ำขยาย 9 จาก 37 นันติ ้ ดกับคำที่
ควรขยายส่วนมาก misplaced modifier นี ้จะเป็ นบุพบทวลีหรื อ relative
clause ที่ วางไว้ ใ นประโยคผิด ที่ใ ห้ ด ตู วั อย่า งต่อ ไปนี ้ Everyone was
born in March in this room. เนื่อ งจากใส่บ พุ บทวลี in room ผิด ที่ด ู
เหมือนว่าทุกคนเกิดในเดือนมีนาคม ในห้ องนี ้ซึง่ คงแปลก มากนอกจากว่า
เป็ นห้ องสูติกรรมที่โรงพยาบาลควรแก้ เป็ น Everyone in this room was
born in March. ในประโยคนี ้บุพบทวลี in this room ใส่ติดกับคำที่ควรจะ
ขยายคือ Everyone แล้ วทำให้ ประโยคมีความหมายว่าทุกคนในห้ องนี ้
เกิดในเดือนมีนาคม

Quote- Reported- speech


6

Direct Speech คือ การยกคำพูดจริ งๆของผู้พดู ทังหมดมาเล่


้ าให้ ฟังโดย
ไม่เปลี่ยนแปลง โดยอาศัย การนำคำพูดนันมาไว้ ้ อยูใ่ นเครื่ องหมายคำพูด
(Quotation Marks ) โดยมี comma (3) คัน่ กลางระหว่างประโยคที่ยกมา
พูดถึง และ ประโยคหลัก โดยประธานที่อยูใ่ นเครื่ องหมาย คำพูดจะต้ อง
เป็ นตัวใหญ่เสมอ Indirect Speech (Reported Speech) คือ การนำคํา
พูดมารายงานให้ ผ้ อู ื่นฟั ง หรื อ การดัดแปลง คําพูดมาให้ เป็ นคําพูดของผู้
เล่านัน่ เอง Indirect Speech แบ่งเป็ น 3 ประเภทดังนี ้ โดยแต่ละประเภท
จะมีกฎในการเปลี่ยนแตกต่างกันไป
1. Indirect Speech – Statement คือ รูป ประโยคบอกเล่า หรื อ ประโยค
ปฏิเสธมีหลักการเปลี่ยน ดังนี ้
1.1. ตัดเครื่ องหมาย comma (,) และเครื่ องหมายคำพูด (...) ออก
1.2. เปลี่ย น Reporting Verb ตามความเหมาะสม (ดูห ลัก การเปลี่ย น
Reporting Verb จาก ตาราง ด้ านบน) และจะเติม that หลัง Reporting
Verbs หรื อไม่ก็ได้
1.3. เปลี่ย นสรรพนามให้ เ หมาะสม (ดูห ลัก การเปลี่ย นสรรพนามจาก
ตารางด้ านบน)
1.4. เปลี่ยนค่าแสดงระยะใกล้ เป็ นไกลและ ระบุเวลา
1.5 การเปลี่ยน Tense ของคำกริ ยาในคำพูดให้ เข้ ากับ Reporting verb มี
2 แบบดังต่อ ไปนี ้ถ้ า คำกริ ยานำเป็ นปั จ จุบ นั (Present) ไม่ต้อ งเปลี่ยน
แปลวง Tense ใน Indirect speech เช่น Direct speech: John says, "I
like Mathematics." Indirect speech: John says (that) he likes
Mathematics. ข้ อ สัง เกตเมื่อ เปลี่ย นเป็ น Indirect แล้ ว สรรพนามต้ อ ง
เปลี่ยนไปตามประธานถ้ า คำกริ ยานำเป็ นอดีต (Past) ต้ องเปลี่ยนแปลง
Tense ใน Indirect speech ดังนี ้

1. Present simple tense เปลี่ย นเป็ น past simple tense เช่น Direct
speech: He said, " I want to swim." Indirect speech: He said that
he wanted to swim.
2. Present continuous tense เปลี่ยนเป็ น Past continuous tense เช่น
7

Direct speech: Jenny said, " I am not going to Bangkok." Indirect


speech: Jenny said ( that) she was not going to Bangkok.
3. Present perfect tense เปลี่ย นเป็ น Past perfect tense เช่น Direct
speech: Tom said, " I have finished my work." Indirect speech:
Tom said ( that) he had finished his work.
4. Past simple tense เปลี่ย นเป็ น Past perfect tense เช่น Direct
speech: Malee said, " I went to Bangkok." Indirect speech: Malee
said ( that) she had gone to Bangkok.
5. Will เปลี่ยนเป็ น Would เช่น Direct speech: John and Tom said, "
We will go to Bangkok." Indirect speech: John and Tom said ( that)
they would go to Bangkok.
6. shall เปลี่ยนเป็ น should เช่น Direct speech: They said, " We shall
go to Bangkok." Indirect speech: They said ( that) they should go
to Bangkok.
7. can เปลี่ย นเป็ น could เช่น Direct speech: Jim said," I can' t
speak Thai. " Indirect speech: Jim said ( that) he couldn' t speak
Thai.

8. may เปลี่ยนเป็ น might เช่น Direct speech: Peter said, " I may not
go to Bangkok." Indirect speech: Peter said ( that) he might not go
to Bangkok.
9. must เปลี่ย นเป็ น had to เช่น Direct speech: My mother said," I
must go to Bangkok. " Indirect speech: My mother said ( that) she
had to go to Bangkok.

2. Indirect Speech-Commands, Requests, Suggestions ค ือ ร ูป


ประโยคขอร้ องหรื อขออนุญาตมีหลักการเปลี่ยนดังนี ้
2.1. ใช้ ก ริ ย านำ (Reporting Verb) ให้ เ หมาะสมเช่น tell / told (บอก),
8

ask / asked (ขอร้ อ ง), request / requested (ขอร้ อ ง), beg / begged
(0), advise / advised (แนะนำ), propose / proposed (เสนอแนะ),
command / commanded (ส งั่ ), order / ordered (ส งั่ ), forbid /
forbade (สัง่ ,ห้ าม), warn / warned (เตือน)
2.2. ใช้ to + V.1 ในการบอก, แนะนำ, ขอร้ องหรื อสัง่ ให้ ทำถ้ าเป็ นปฏิเสธ
หรื อห้ ามทำใช้ not to + V.1
2.3. ถ้ า ประโยค Direct Speech ไม่ม ีก รรมให้ เ ติม กรรมในประโยค
Indirect Speech
2.4. ถ้ า ในประโยค Direct Speech มีคำว่า please ให้ ตดั ออก

3. Indirect Speech - Question คือรูปประโยคคำถามมีหลักการเปลี่ยน


ดังนี ้
3.1. ตัดเครื่ องหมายคำถาม (?) ออกเพื่อให้ อยูใ่ นรูปประโยคบอกเล่า
3.2. เ ป ล ี่ย น ก ริ ย า น (Reporting Verb) จ า ก say, said, told เ ป็ น
ask/asked (ถาม), inquire / inquired of สอบถาม)
3.3. ประโยคคำถามที่ข ึ ้นต้ น ด้ ว ย Verb do, to have, to be, และกริ ย า
ช่วย (Auxiliary verbs) Will, Can, etc. เป็ นต้ นจะต้ องเชื่อมประโยคด้ วย
if, whether, whether or not, whether ..., or not to
3.4. ประโยคคำถามที่ข ึ ้นด้ ว ย Wh-Questions: What, Where, When,
Why, Who, Whom, Whose และ How ใช้ คำเหล่านี ้เป็ นตัวเชื่อมประโยค
ได้ เลย
คำกริยาที่ใช้ ใน Reported Speech
admit agree announce
answer argue boast
doubt estimate explain
9

fear feel insist


mention reply report
reveal say state

Complex sentence, compound complex sentences


Complex sentence ประโยคที่ประกอบด้ วยอนุประโยคที่มีความสำคัญ
ไม่เท่ากัน 2 อนุประโยคมารวมกัน ได้ แก่
1) Main Clause หรื อ Independent Clause เป็ นอนุประโยค ที่เป็ นอิสระ
มีความหมายสมบูรณ์ใน ตัวเอง และสามารถอยูต่ ามลำพังได้
2) Subordinate Clause หรื อ Dependent Clause เป็ นประโยคไม่อิสระ
ต้ องอาศัยประโยคหลัก ตัวอย่างเช่น Love cannot be found because it
never exists. เราจะไม่สามารถหาความรักเจอเพราะมันไม่เคยมีอยูจ่ ริ ง
Main Clause= Love cannot be found Subordinate Clause because
it never exists วิธีการเชื่อมเข้ าด้ วยกัน

1. ใช้ Subordinate Conjunction ได้ แก่ After, until, because, since, so


that, that, if, though, than เป็ นต้ น
2.ใช้ Relative Pronoun ได้ แ ก่ who, whom, that, whose, which ซึง่
สามารถทำหน้ าที่ได้ หลาย Subject, Object, Possessive, Preposition
3. ใช้ Relative Adverb 1 where - in which, when - in which, why -
for which ตัวอย่างประโยควิธีการเชื่อม
10

1.การใช้ Subordinate Conjunction


I don't care anything as long as you stay with me. ฉันไม่สนใจอะไร
ทังนั
้ นตราบเท่
้ าที่คณ
ุ อยูก่ บั ฉัน

2.การใช้ Relative Pronoun


ทำหน้ าที่เป็ น Subject : The camera that is on the bed is mine, กล้ อง
ที่วางอยูบ่ นเตียงเป็ นของ
ทำหน้ าที่เป็ น Object : The novel that I am reading is great. นิยายที่
ฉันกำลังอ่านอยูเ่ ยี่ยมยอดมาก
ทำหน้ าที่เป็ น Possessive : The actor whose film are very popular is
addicted to drugs. นักแสดงคนที่มีภาพยนตร์ โด่งดังมากติดสารเสพติด
ทำหน้ า ที่เ ป็ น ใน Preposition : I love the city in which I live. ฉัน รัก
เมืองที่ฉนั อยู่

3.การใช้ Relative Adverb


The beach where we went yesterday was very crowded.
ชายทะเลที่เราไปเมื่อวานนี ้มีคนหนาแน่นมาก
Do you know the reason why she hates me? คุณทราบเหตุผลไหมว่า
ทำไมหล่อนถึงเกลียดฉัน
The first day when I saw you was really impressive. วันแรกที่ฉนั เจอ
คุณช่างน่าประทับใจ เหลือเกิน
11

ตัวอย่ างประโยค complex sentence


ประโยคปฏิเสธ
1.I didn't know who he was. ฉันไม่ร้ ูวา่ เขาเป็ นใคร
2.It is so difficult that I can't do it. มันยากมากจนกระทัง่ ผมทำไม่ได้
3.She doesn't know where he is going, หล่อนไม่ร้ ูวา่ เขาจะไปที่ไหน.
ประโยคคำถาม
1. Is there anybody here whose name hasn't been called? มีใครที่นี่
ที่ชื่อยังไม่ได้ รับการเรี ยก ไหม?
2. Which way should we turn at the stoplight? ที่ไฟแดงเราควรเลี ้ยว
ไปทางไหน?
3. Do you know how she did it? คุณทราบไหมว่าหล่อนทําได้ อย่างไร?

ประโยคบอกเล่า
1. The woman who is standing there is my wife, ผู้หญิงผู้ซงึ่ กำลังยืน
อยูท่ ี่นนั่ เป็ นภรรยาผม
2. The prize will go to the writer whose story shows the most
imagination. รางวัลจะไปถึงผู้เขียนซึง่ เป็ นเรื่ องที่แสดงให้ เห็นจินตนาการ
มากที่สดุ
3. I know the man whose car is red. ฉันรู้จกั ผู้ชายซึง่ รถของเขามีสีแดง
, Compound Complex Sentence คือประโยคที่ประกอบกันขึ ้นระหว่าง
Compound Sentence ก บั ป ร ะ โ ย ค Complex Sentence ด งั น นั ้
Compound Complex Sentence จึงประกอบด้ วย ประโยค หลัก (Main
Clause) ตังแต่ ้ 2 ประโยคขึ ้นไปและประโยครองหรื อ อนุป ระโยค
(Subordinate Clause) อย่างน้ อย 1 ประโยค
ตัวอย่ างประโยค
While Somsak played the guitar, the boy sang and the girl
danced. ขณะที่สมศักดิ์เล่นกีตาร์ เด็กผู้ชายก็ได้ ร้องเพลงและเด็กผู้หญิง
ก็ได้ เต้ นรำ
12

ประโยคบอกเล่า
When I grow up, I want to be a ballerina, and my mom is proud of
me.
เมื่อฉันโตขึ ้น ฉันอยากเป็ นนักบัลเล่ต์ และแม่ก็ภมู ิใจในตัวฉัน
Sarah cried when her cat got sick, but she soon got better. ซาร่า
ร้ องไห้ เมื่อแมวของเธอป่ วย แต่ไม่นานเขาก็ดีขึ ้น

ประโยคคำถาม
I have an exam tomorrow and I haven't read any books, so should
I go on a trip today?
ฉันมีสอบและยังไม่ได้ อา่ นหนังสือดังนันวั
้ นนี ้ฉันควรไปเที่ยวดีไหม?
Why does Ann have a brand name bag and luxury cars, for her
house is rich? ทําไมแอนถึงมี กระเป๋ าแบรนด์เนมและรถหรู เพราะบ้ าน
เธอรวยเหรอ?

ประโยคปฏิเสธ
Although it is a nice restaurant, I don't like it here, and I think that
the music is too loud.
แม้ วา่ มันจะเป็ นภัตตาคารที่ดี ฉันก็ไม่ชอบที่นี่ และฉันคิดว่าดนตรี ดังเกิน
ไป
Because I don't like cake, I don't buy cake from the mall, and I
don't like it so much.
เพราะฉันไม่ชอบเค้ ก ฉันไม่ได้ ซื ้อเค้ กจากห้ าง และฉันไม่ชอบมันมาก
13

phrase
วลี (phrases) คือกลุม่ คำที่ประกอบด้ วยคำต่าง ๆ ที่นำมาเรี ยงกันอย่างมี
ความหมายและทำหน้ าที่ ใดหน้ า ที่ห นึง่ ในประโยค เช่น เป็ น ประธาน
กริ ยา กรรม ส่วนเสริ ม ส่วนกริ ยาวิเศษณ์ วลีไม่ได้ ประกอบด้ วยทังภาค้
ประธานและภาคแสดง (นักภาษาศาสตร์ บางคน เช่น Chomsky ถือว่า
คำๆ เดียว ก็เป็ นวลี แต่ในชุดการสอนนี ้ถือว่า วลีคือกลุม่ คำที่ประกอบด้ วย
คำตังแต่
้ 2 คำขึ ้นไป ที่ทำหน้ าที่ในหน้ าที่หนึง่ ในประโยค)

Verb phrase ( VP)


Verb phrase (กริ ยาวลี) จะมี main verb (กริ ยาหลัก ) 1 ตัว และอาจมี
auxiliary verbs (กริ ยาช่วย) อยูข่ ้ างหน้ าด้ วย
Verb phrase อาจประกอบด้ ว ย main verb เพีย งตัว เดีย วก็ไ ด้ ลองดู
ประโยคต่อไปนี ้นะครับ (verb phrase คือสีแดง)
We play tennis every day.
He plays tennis every day.
I played tennis last week.
หรื อจะมี auxiliary verbs ปรากฏร่วมด้ วยก็ได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี ้ (ตัวบาง
คือ auxiliary verb ตัวหนาคือ main verb)
I will play tennis tomorrow. ( will play = verb phrase)
I can' t play tennis. ( can' t play = verb phrase)
Verb phrases ในตัวอย่างเหล่านี ้ถือเป็ น tensed verb phrases (กริ ยา
วลีที่แสดง tense) นอกจากนี ้ ยังมี verb phrase อีกประเภทหนึง่ ที่เรี ยกว่า
14

non-tensed verb phrase (กริ ยาวลีที่ไม่แสดง tense) ดูตวั อย่างกันเลย


ครับ (tensed verb phrase เป็ น สีแ ดง; non-tensed verb phrase เป็ น
สีน้ำเงิน)
I love playing tennis. ฉันชอบเล่นเทนนิส
I saw her being killed. ฉันเห็นหล่อนถูกฆ่า
I don' t want to upset my mom. ฉันไม่อยากทำให้ แม่เสียใจ

Adjective phrase ( AdjP)


Adjective phrase (คุณศัพ ท์ว ลี) คือ กลุม่ คำที่มี adjective เป็ น คำหลัก
และอาจมีส ว่ นขยายอยูด่ ้ ว ย Adjective phrase อาจจะประกอบด้ ว ย
adjective ตัว เดีย วโดด ๆ หรื อ อาจจะมีส ว่ นขยายข้ า ง หน้ า ที่เ รี ย กว่า
premodifer และส่วนขยายข้ างหลังที่เรี ยกว่า postmodifier ด้ วยก็ได้ ม
ลองดูต วั อย่างกันเลย (adjective phrase คือ ส่ว นที่ขีด เส้ น ใต้ ) Jack is
handsome.
handsome เป็ น AdjP ที่มี handsome คำหลัก ไม่ มี modifier

John is very intelligent.


very intelligent เป็ น AdjP ที่ม ี intelligent เป็ นคำหลัก และมี very
เป็ น premodifier
John is afraid of heights.
afraid of heights เป็ น AdjP ที่ม ี afraid เป็ นคำหลัก และมี of
heights เป็ น postmodifier
We are happy to see you.
happy to see you เป็ น AdjP ที่มี happy เป็ นคำหลัก และมี to see
you เป็ น postmodifier
I am relieved that nobody was hurt.
relieved that nobody was hurt เป็ น AdjP ที่มี relieved เป็ นคำหลัก
15

และมี that nobody was hurt เป็ น postmodifier


Adverb phrase ( AdvP)
Adverb phrase (กริ ยาวิเศษณ์วลี) คือกลุม่ คำที่มี adverb เป็ นคำหลัก
และอาจมีส ว่ นขยายอยูด่ ้ ว ย Adverb phrase อาจจะประกอบด้ ว ย
adverb ตัว เดีย วโดดๆ หรื อ อาจจะมีส ว่ นขยายข้ า งหน้ า ที่ เรี ย กว่า
premodifer และส่วนขยายข้ างหลังที่เรี ยกว่า postmodifier ด้ วยก็ได้

ลองดูตวั อย่างกันเลย (adverb phrase คือส่วนที่ขีดเส้ นใต้ )


The engine was running smoothly.
smoothly เป็ น AdvP ที่มี smoothly เป็ นคำหลัก ไม่ มี modifier
You' re driving too fast!
too fast เ ป็ น AdvP ท ่ มี ี fast เ ป็ น ค ำ ห ล ัก แ ล ะ ม ี too เ ป็ น
premodifier Adverb phrase ( AdvP)
Adverb phrase (กริ ยาวิเศษณ์วลี) คือกลุม่ คำที่มี adverb เป็ นคำหลัก
และอาจมีส ว่ นขยายอยูด่ ้ ว ย Adverb phrase อาจจะประกอบด้ ว ย
adverb ตัว เดีย วโดด ๆ หรื อ อาจจะมีส ว่ นขยายข้ า งหน้ า ที่ เรี ย กว่า
premodifer และส่วนขยายข้ างหลังที่เรี ยกว่า postmodifier ด้ วยก็ได้

ลองดูตวั อย่างกันเลย (adverb phrase คือส่วนที่ขีดเส้ นใต้ )


The engine was running smoothly.
smoothly เป็ น AdvP ที่มี smoothly เป็ นคำหลัก ไม่ มี modifier
You' re driving too fast!
too fast เ ป็ น AdvP ท ่ มี ี fast เ ป็ น ค ำ ห ล ัก แ ล ะ ม ี too เ ป็ น
premodifier Prepositional phrase ( PP)
Prepositional phrase (บุพบทวลี) มีโครงสร้ างคือ preposition + noun
phrase เช่น in my bedroom
PP นี ้มี in เป็ น preposition ตามด้ วย noun phrase คือ my bedroom on
the table
PP นีมี เป็ น preposition ตามด้ วย noun phrase คือ the table
16

เราลองมาดูกนั นิดนึงว่า เมื่อ prepositional phrase ปรากฏอยูใ่ นประโยค


มันทำหน้ าที่อะไรได้ บ้ าง (prepositional phrase คือส่วนที่ขีดเส้ นใต้ )
I like to read in bed.
บุพบทวลี in bed ทำหน้ าที่เป็ น adverbial ขยายกริ ยา read
I took several courses in history.
บุพบทวลี in history ทำหน้ าที่เป็ น postmodifier ของคำนาม courses
I am not happy with my marks this term.
บุพบทวลี with my marks ทำหน้ าที่เป็ น postmodifier ของคำคุณศัพท์
happy
Simple sentences & Compound sentence
What is a simple sentence? Simple sentence คือ ประโยคที่ม ีเ พีย ง
ประโยคเดียวหรื อโดยเฉพาะ อย่างยิ่งประโยคอิสระที่มีประธานและภาค
แสดง Simple sentences มักจะประกอบด้ วยประธาน กริ ยาและกรรม
หรื อ S + V + O และสร้ างความคิดที่สมบูรณ์อย่างไรก็ตามเนื่องจากกริ ยา
ธรรมดาเป็ นกริ ยาหรื อวลีกริ ยาเท่านันประโยคง่
้ ายๆจึงสามารถประกอบ
ขึ ้นจากประธานและ กริ ยา (S + V) เท่านัน้
ประโยคบอกเล่า
1. S + V + O
subject + verb + Object
ประธาน + กริ ยา + กรรม
I eat rice. ฉันกินข้ าว
He buys a car. เขาซื ้อรถยนต์
She likes cats. หล่อนชอบแมว
simple sentence
1. Jo drinks Singha very often. โจดื่มสิงห์ทกุ วัน
2. I drink Leo every day. ฉัน ดื่ม ลีโ อทุก วัน ตัว อย่า งที่ 1, 2 เรี ย กว่า
ประโยคความเดียวประกอบด้ วยประธานและกริ ยาตัวอย่างประโยค ต่อ
ไปนี ้บางประโยคจะมีกริ ยา 1 ตัว แต่บางประโยคเป็ นกลุม่ กริ ยาที่มี 2-3 ตัว
นัน่ เป็ นเพราะ โครงสร้ างทางภาษาเป็ นเช่นนัน้ แต่ให้ ถือว่ามีกริ ยาแค่ 1 ตัว
17

เพราะมีแค่การกระทําเดียวเท่านัน้
Simple Sentences Structure
1. ประโยคที่ใช้ verb to be เป็ นคำกริ ยาหลักถ้ าประโยคมี verb to be
(is, am, are) เป็ นคำ กริ ยาหลักเราสามารถใช้ not หลัง verb to be ได้
เลยโดยเราสามารถเขียนย่อ is not ให้ เป็ น isn't และย่อ are not ให้
เป็ น aren't ได้ แต่ส ำหรับ am not นันเราจะไม่
้ ใ ช้ รูป ย่อ โครงสร้ า ง
Subject + verb to be + not + (object / complement) He isn't an
engineer. เขาไม่ใ ช่ วิศ วกร (รูป ประโยคบอกเล่า คือ He is an
engineer.) They aren't students. พวกเขาไม่ได้ เป็ น ประโยคปฏิเสธ
นักเรี ยน (รูปประโยคบอกเล่าคือ They are students.)
Simple Sentences Structure
ประโยคปฏิเสธ
2. ประโยคที่ไม่ได้ ใช้ verbtobe เป็ น คำกริ ยาหลัก ถ้ าประโยคมีค ำกริ ย า
หลักเป็ นคำกริ ยาอื่นที่ ไม่ใช่ verb to be เราจะใช้ do / does + not ไว้
หน้ าคำกริ ยาหลักโดยเราสามารถเขียนย่อ do not เป็ น don't และย่อ
does not ให้ เป็ น doesn't ได้ โครงสร้ าง Subject + do / does + not +
verb 1 + (object / complement) He doesn't love me. เขาไม่ได้ รัก
ฉัน (รูป ประโยคบอกเล่า คือ He loves me.) Her friends don't like
me. เพื่อน ๆ ของเธอไม่ชอบฉัน (รูปประโยคบอกเล่าคือ Her friends
like me.)
ตัวอย่างเพิ่มเติมของ Simple Sentence ในแบบต่าง ๆ The students
are happy. = ประธาน + กริ ย า + ส่ว นเติม เต็ม San bought the
clothes. = ประธาน + กริ ย า + กรรม She is reading. = ภาค
ประธาน + ภาคแสดง Linda opens the store. = ภาคประธาน +
กริ ยา + กรรมตรง I like his idea. = ภาคประธาน + กริ ยา + กรรมตรง
The company is big and famous. = ภาคประธาน + กริ ยา + ส่วน
เติมเต็มขยายประธาน The news made company staffs happy. =
ภาคประธาน + กริ ยา +กรรม + ส่วนเติมเต็มขยายกรรมกล่าวโดยสรุป
ได้ ว า่ ประโยคความเดีย วจะต้ อ งประกอบด้ ว ย 1 ประธาน 1 กริ ย า
18

นัน่ เองในส่วนของกรรมส่วนเติมเต็มและส่วนขยายอื่น ๆ นันผู ้ ้ เขียน


สามารถ นําไปประยุกต์ใช้ ได้ ตามความเหมาะสมของแต่ละโอกาส
3. ประโยคคำถาม (Interrogative Sentence) เช่น Were you born in
Bangkok? คุณเกิดที่ กรุงเทพฯหรื อ Does he own this house? เขา
เป็ นเจ้ าของบ้ านหลังนี ้หรอ
4. ประโยคขอร้ อ ง (Imperative Sentence) เช่น Please open the
window. กรุณาเปิ ดหน้ าต่าง หน่อย Be quiet in the library. จงเงียบ
เมื่ออยูใ่ นห้ องสมุด Get out of here. ออกไปจากที่นี่เสีย
5. ประโยคอุท าน (Exclamatory Sentence) เช่น How nice she is!
หล่อนช่างดูดีจริ งๆ What a terrible temper he has! เขาช่างมีอารมณ์
ร้ ายอะไรอย่างนี ้ How cold it is! อากาศหนาวอะไรอย่าง Compound
Sentence คือประโยคความรวมการนำประโยคความเดียวมากกว่า 2
ประโยคขึ ้นไป มาเชื่อมเข้ าด้ วยกันโดยใช้ คำสันธานหรื อที่เรี ยกง่ายๆ ว่า
คำเชื่อมประโยคปกติแล้ วเราสามารถ เขียนประโยคความเดียวเพื่อสื่อ
ความหมายได้ แต่การสร้ างประโยคความรวมจะทำให้ ประโยคด ไหล
ลื่นมากขึ ้นหรื อเชื่อมโยงกันมากกว่าการใส่เครื่ องหมายจุด full stop
เพื่อ แบ่ง ประโยค ตัวอย่า งประโยคหลัง เครื่ อ งหมาย” คือ การเขีย น
ประโยคความเดียวแยกกันส่วนประโยค ด้ านหลังเครื่ องหมาย →” จะ
เป็ นการสร้ างประโยคความรวมโดยใช้ คำเชื่อมแล้ ว
- I cannot live without my mobile phone. Mary cannot live
without her computer.
cannot live without my mobile phone, but Mary cannot live
without her computer.
- Students wear uniforms. Teachers wear formal clothes.
Lawyers wear suits.
Students wear uniforms, but teachers wear formal clothes, and
lawyers wear suits.

คําเชื่อมในประโยคความรวม
19

โดยปกติแล้ ว เราจะใช้ ค ำเชื่อมเพื่อสร้ างประโยคความรวม คำที่เรา


สามารถใช้ ได้ มี 7 คำ ดังต่อไปนี ้ for, and, nor, but, or, yet, so หรื อที่
เรี ยกสันๆว่
้ า FANBOYS การเลือกใช้ ค ำเชื่อ ม ประโยคนันขึ ้ ้นอยูก่ บั
ความหมายของประโยคที่ผ้ เู ขียนประโยคต้ องการ ดังนันพวกเราจึ
้ งต้ อง
เลือกคำเชื่อมให้ เหมาะสม For เพราะคำเชื่อมว่า for ในกรณีของการ
ใช้ เพื่อสร้ างประโยคความ รวมจะมีความหมายเหมือนคำว่า because
ที่แปลว่าเพราะว่าไม่ใช่แปลว่าสำหรับเราจะใช้ เมื่อ ประโยคที่ 2 เป็ น
สาเหตุของประโยคที่ 1

ตัวอย่ างประโยค
• I went to school late, for it rained heavily.
• Kayla cannot drink milk, for she is lactose- intolerant.
• Deforestation is a serious problem, for logging companies
destroy forests illegally. And และ คําเชื่อม and เป็ นคําเชื่อมที่นิยมใช้
อย่างแพร่หลายและสามารถใช้ ได้ ในหลายกรณี เช่น เชื่อมประโยคที่มี
คุณค่าเท่าเทียมกัน บอกว่าประโยคที่ 2 เกิดขึ ้นตามมาหลังจากประโยคที่
1 บอกว่าประโยคที่ 2 เป็ นผลลัพธ์ของประโยคที่ 1
ตัวอย่ างประโยค
• I went to Hong Kong in 2019, and I loved it so much.
• Playing the piano is beneficial to children, and many parents
support this activity.
Nor ไม่ด้วยเช่นกัน คำเชื่อม nor จะใช้ ในประโยคความเดียวประโยคที่ 2
ที่นำมาต่อกับประโยคที่ 1 ที่ใช้ คำว่า never/ neither เพื่อบอกว่าประโยค
ความรวมนี ้ไม่ได้ เกิดขึ ้นหรื อไม่เป็ นจริ ง นอกจากนี ้โครงสร้ างประโยคหลัง
คำ nor จะต้ อ งมีก ารสลับ นำคำกริ ย าขึ ้นต้ น ก่อ นประธานในประโยค
ตัวอย่ างประโยค
• Celebrities never enjoy their privacy, nor can they go on
vacation.
20

• Some students never go abroad, nor do they eat international


food.
• This show never stops promoting vitamins, nor does it end on
time. But แต่ คำเชื่อม but จะใช้ ในกรณีที่ประโยคที่ 2 ขัดแย้ งกับประโยค
ที่ 1

ตัวอย่ างประโยค
• I want to go to your house, but I need to finish my work.
• The blue necktie is gorgeous, but the red one is cheaper.
Or หรื อ เราจะใช้ คําเชื่อม or เพื่อบอกถึงทางเลือก
ตัวอย่ างประโยค
• Should we go to Phuket, or should we stay at home?
• He can order a pizza, salad, or fried chickens. .
• We could drive, or we can take the subway.
Yet ถึงแม้ วา่
หลักการการใช้ คำเชื่อม yet จะคล้ ายคลึงกับคำว่า but เราจะใช้ คำเชื่อม
yet ในความหมายที่วา่ ทัง้ ๆ ที่ หรื อถึงแม้ วา่
ตัวอย่ างประโยค
• Greg went out, yet he had not finished his homework.
• People like spending, yet saving is a must.
• Turtles are slow, yet they can win the race. So ดังนัน้ คำเชื่อม so
แปลว่า ดัง นัน้ เราจะใช้ ค ำเชื่อ มนี ้ เมื่อ ประโยคแรกคือ เหตุผ ลสำหรับ
ประโยคที่สอง
ตัวอย่ างประโยค
• My father went on a business trip, so I came with my mom.
• Ginger is Jennie' s favourite herb, so she adds it to her water.
• His car went through muddy roads, so he got his car washed.
การใช้ คอมมาใน Compond Sentence
ในประโยคความรวมเราต้ องใส่เครื่ องหมายจุลภาค (,) หรื อที่เราเรี ยกว่า
21

คอมม่า ก่อนประโยคที่ 2 หรื อ 3 ในประโยคความรวม

Semicolon
semicolon คือ เครื่ องหมาย “อัฒภาค” ใช้ เชื่อมประโยคที่มีความหมาย
สัมพันธ์กนั ให้ เสริ มกัน และกันด้ านความหมาย โดยไม่ต้องใช้ ค ำเชื่อม ดัง
ตัวอย่างต่อไปนี ้
ตัวอย่ างประโยค
• Tony is wearing a blue hat; other students are wearing black
hats.
• โทนี่สวมหมวกสีน้ำเงิน นักเรี ยนคนอื่นๆ สวมหมวกสีดำ
• Tony can play the guitar; he can also play the drums.
• โทเล่นกีตาร์ เปี ม เขาเล่นกลองเป็ นอีกด้ วย เชื่อมกันด้ วย , + conjunction
**Conjunction หรื อ คำสัน ธานประเภท For – And – Nor – But - Or –
Yet - So หรื อ เรี ยกค่า เหล่านี ้รวมกลุม่ ได้ ว่า FANBOYS
Ex. I like to drink soft drink, and I drink it almost every day.
(ฉันชอบดื่มน้ำอัดลมมาก และฉันก็ดื่มเกือบทุกวันเลย)
Ex. She likes reading books, but I like watching movies.
(เธอชอบอ่านหนังสือ แต่ฉนั ชอบดูหนัง)

Clause
Clause (อนุป ระโยคหรื อ ประโยคย่อ ย) คือ กลุม่ คํา ที่ป ระกอบไปด้ ว ย
22

ประธานและกริ ยา เป็ นส่วน หนึง่ ของประโยค (Sentence) ซึง่ ในประโยค


จะมี Clause ก็ได้ Clause แบ่งเป็ น 2 แบบ คือ
1. Independent Clause (อน ปุ ระโยคอิส ระ ) เป็ น อน ปุ ระโยคที่ม ี
โครงสร้ างสมบูรณ์ในตัว ประกอบด้ วยประธานและภาคแสดง เช่น
My father is a doctor.
My father = ประธาน is a doctor = ภาคแสดง

2. Dependent Clause (อนุประโยคไม่อิสระ) เป็ นอนุประโยคไม่สมบูรณ์


อยูล่ ำพังไม่ได้ ต้ องมี โครงสร้ าง Independent Clause ร่วมด้ วยจึงจะ
เป็ นประโยคที่สมบูรณ์ โดยแบ่งออกเป็ น 3 ประเภท ดังนี ้
Noun Clause (นามานุป ระโยค) Noun Clause คือ อนุป ระโยคที่ท ำ
หน้ าที่เสมือนเป็ นคำนาม ประกอบไปด้ วยประธานและกริ ยา โดยมักขึ ้น
ต้ นด้ วยค่าเหล่านี ้
How That What Whatever When Where Whether Which
Whichever Who Whoever Whom Whomever Why
- หน้ าที่ของ Noun Clause - ทําหน้ าที่เป็ นประธานของกริ ยา
Ex. What happened was great.
Ex. Whoever is coming to the party must bring a gift.
- ทำหน้ าที่เป็ นกรรมของกริ ยา โดยจะตามหลังคำกริ ยา
Ex. I don't know how he can be reached. (ทำหน้ าเป็ นกรรมตรง)
Ex. Give whoever answers the message. (ทำหน้ าที่เป็ นกรรมรอง)

- ทําหน้ าที่เป็ นกรรมของบุพบท Ex. John is the owner of that red car
parked outside. Ex. I like to think about how noun clause make
me better writer
- ทําหน้ าที่เป็ นส่วนเติมเต็ม (Complement)
Ex. She knows that I am a teacher.
Ex. Tom' s problem was that he couldn' t make a decision.
Adjective Clause (คุณานุประโยค)
23

Adjective Clause คือ อนุประโยคที่ทำหน้ าเป็ นคำคุณศัพท์เพื่อขยายคำ


นามและสรรพนาม จะ นําหน้ าด้ วยคําเชื่อม 2 ชนิด คือ
Pronoun- who whom that which whose
Ex. I don' t like people who drink water without a straw.
Relative Adverb - when where why
Ex. We visited the house where our mother was born.

Adverb Clause (วิเศษณานุประโยค) Adverb Clause คือ อนุประโยคที่


ทำหน้ าที่เป็ นคำวิเศษณ์เพื่อขยายคำกริ ยา คำคุณศัพท์ คำวิเศษณ์ และทัง้
Clause มี 9 ชนิด ดังนี ้
1. ขยายกริ ย าเผือ แสดงเวลา (Adverb Clause of Time) เช่น when,
whenever, while, whilst, before, after, as soon as. Ex. We were
watching TV when the bell rang. Ex. He went home while it was
still light.
2. ขยายกริ ยาเผื่อบอกสถานที่ (Adverb Clause of Place) เช่น where,
wherever. Ex. Where there' s smoke, there' s fire. Ex. I will follow
you wherever you go.
3. ขยายกริ ยาเพื่อแสดงอาการ (Adverb Clause of Manner) เช่น as, as
if, although, albeit
Ex. As you are sorry, I' ll forgive you this one time.
4. ขยายกริ ยาวิเศษณ์หรื อคุณศัพท์เพื่อแสดงการเปรี ยบเทียบ (Adverb
Clause of Comparison) เช่น than, as... as, so... as
Ex. He is older than he looks.
Ex. Tom is not so clever as you think
5. ขยายกริ ย าหรื อ คุณ ศ พั ท์เ พื่อ แสดงเหตุผ ล (Adverb Clause of
Cause/Reason) เช่น because, as, since.
Ex. Please go ahead of me, because I have something to do.
6. ขยายกริ ยาเพื่อแสดงจุดมุง่ หมาย (Adverb Clause of Purpose) เช่น
so (that), in case, lest, in order that, for fear ( that)
24

Ex. We eat so that we can live.


Ex. He did everything in order that he could get the prize.
7. ขยายกริ ยา คุณศัพท์ วิเศษณ์เพื่อแสดงผลลัพธ์ (Adverb Clause of
Result) เช่น so...that, such... that
**so+ adj. + that + Clause = มากเสียจนกระทัง่
Ex. So kind was she that everyone liked her.
Ex. Tom worked so hard that he succeeded.
8. ขยายกริ ยาเพื่อแสดงเงื่อนไข (Adverb Clause of Condition) เช่น if,
unless, provided that, on condition that.
Ex. If you will help, we' ll finish sooner.
Ex. You won' t succeed unless you work hard.

9. ขยายกริ ยา หรื อ คุณศัพท์ เพื่อแสดงการยอมรับ (Adverb Clause of


Concession) เช่น thought, although, however, whatever.
Ex. she is persistent though she doesn' t look so..
Ex. Although it rained, everyone had a good time.

Parallelism
คือ โครงสร้ างคูข่ นาน เป็ นการเขียนโดยกำหนดให้ องค์ประกอบในประโยค
มีไวยากรณ์ไปใน ทิศทางเดียวกัน มีหน้ าที่เดียวกัน เพื่อให้ ข้ อความใน
ประโยคต่อเนื่อง ทำให้ ลีลาในการเขียนนัน้ มีความสละสลวย และทำให้ ผ้ ู
อ่านติดตามเรื่ อง และเข้ าใจแนวคิดของผู้เขียนได้ อย่างชัดเจน การเขียน
โดยใช้ โครงสร้ างคูข่ นานมักใช้ ได้ ในระดับคำ คือเป็ นคำเดียวโดดๆ หรื อใช้
ในระดับ กลุม่ คำวลี คืออนุประโยค
โดยมีคำสันธานต่อไปนี ้เป็ นตัวเชื่อม ... and / or / but / than / as well as
... both... and either ... or... neither ... nor ... not only but also ...
ตัวอย่ างประโยคภาษาอังกฤษ
Not Parallel: Jack likes hiking, swimming, and to ride a bicycle.
Parallel: Jack likes hiking, swimming, and riding a bicycle. ประโยค
25

แรก ไม่ Paralel เพราะ to ride เป็ น To infinitive แต่ hiking และ
swimming อยูใ่ นรูป Gerund และในประโยคที่ส อง Parallel เพราะทัง้
ส า ม ค ำ อ ย ใู่ น รูป Gerund ท งั ้ ห ม ด Not Parallel: The production
manager was asked to write his report quickly, accurately, and in
a detailed manner. Parallel: The production manager was asked to
write his report quickly, accurately, and thoroughly.
ประโยคแรก ไม่ Parallel เพราะ in a detailed manner แม้ จะถูกต้ อง ทาง
ไวยากรณ์ คือ ทำหน้ าที่เป็ น Adverb เหมือนกับ quickly และ accurately
แต่หน้ าตามันไม่ คูข่ นานกับทังสองคำ
้ แต่ประโยคที่สอง Parallel เพราะ
ทังสามคำ
้ อยูใ่ นรูป Adverb ที่ลงท้ ายด้ วย by ทังสาม

Not Parallel: The teacher said that he was a poor student because
he waited until the last minute to study for the exam, completed
his lab problems in a careless manner, and his motivation was
low. Parallel: The teacher said that he was a poor student because
he waited until the last minute to study for the exam, completed
his lab problems in a careless manner, and lacked motivation.
ประโยคแรก ไม่Parallel เพราะ his motivation was low เป็ นประโยค แต่
ส่วนอื่น waited และ completed อยูใ่ นรูปกริ ยา Past Simple Tense แต่
ประโยคที่ส อง Parallel เพราะทังสามคำอยู
้ ใ่ น รูป กริ ย า Past Simple
Tense ทังหมด
้ คือ waited, completed และ lacked Not Parallel: The
dictionary can be used to find these: word meanings,
pronunciations, correct spelling, and looking up irregular verbs.
Parallel: The dictionary can be used to find these: word meanings,
pronunciations, correct spelling, and irregular verbs. ประโยคแรก
ไม่Parallel เพราะ looking up irregular verbs เป็ น Gerund Phrase แต่
ส่วนอื่นๆ เป็ น Noun คือ word meanings, pronunciations และ correct
spelling แต่ประโยคที่สอง Parallel เพราะทังสี ้ ่คำอยูใ่ นรูป Noun เหมือน
กันทังหมด
้ Passive voice 27 จาก 37 Passive Voice คือ ประโยคภาษา
อังกฤษที่สื่อสารในรูปแบบของการถูกกระทำ ประโยคใน Passive Voice
26

จะใช้ เพื่อบอกว่าประธานที่เป็ นคน หรื อสิง่ ของนันถู ้ กทำอะไร แทนการ


บอกว่า ใครกระทําสิง่ ใด
โครงสร้ างของ Passive Voice
Subject+ verb to be + past participle เราลองมาดูต วั อย่า งประโยค
Passive Voice โดยทัว่ ไปกันก่อนนะครับ ทังนี ้ ้ ประโยค Passive Voice
จะสามารถใช้ ไ ด้ ใ นทุก รูป tense ทัง้ 12 tenses แต่ใ นบทนี ้เราจะยก
ตัวอย่างเฉพาะ tense ที่ จะพบเจอบ่อยๆ ให้ ศกึ ษากันก่อนครับ
• The T- shirts designed by Murakami were sold out.
• Traffic laws in our city were changed to enforce stricter rules.
• My cousin was fired from her job because of COVID- 19.
หลักการใช้ Passive Voice
1. เพื่อเน้ นวัตถุหรื อสิง่ ของที่ทำหน้ าที่เป็ นประธานของประโยค
• You are required to attend the service at church.
2. ในกรณีที่เราไม่ร้ ูว่าใครเป็ นคนทำกริ ยานัน้
• Second-handed products were imported to Thailand from
Japan.
3. ในกรณีที่เราไม่จำเป็ นต้ องรู้วา่ ใครเป็ นคนทำกริ ยานัน้
• The victim was injured during a fight last night in an illegal
casino.
ดังนัน้ เราจะเห็นว่าโครงสร้ างประโยคจำเป็ นจะต้ องมี verb to be เสมอ
คำกริ ยาช่อง 3 ส่วนใหญ่ แล้ วจะเติม ed ยกเว้ นบางคำที่จะต้ องผัน แต่
หลัก ที่จ ะต้ อ งทํา ให้ แ น่ใ จก็ค ือ เราจะต้ อ งเปลี่ย น verb to be ตาม
ไวยากรณ์ในเรื่ องของ tense ที บอกเวลาให้ เหมาะสมตามความต้ องการ
ของผู้พดู เช่น Past simple tense, Present simple tense หรื อ Present
Perfect Tense เป็ นต้ น
เราลองมาดูการใช้ verb to be ในประโยค ใน Tense ต่างๆ กันครับ
Present Simple Tense ในรูปแบบ Passive Voice
โครงสร้ าง Subject+ is/ am/ are + V. 3
• Coffee is roasted before being brewed for customers.
27

• Fake news is banned on the platform because it is misleading.


Present Continuous Tense ในรูปแบบ Passive Voice
โครงสร้ าง Subject + is/ am/ are + being+ V. 3
• The bridge is being closed at the moment so it can be repaired.
• She is being treated in a hospital after the accident.
Past Simple Tense ในรูปแบบ Passive Voice
โครงสร้ าง Subject + was/ were + V. 3
• After my father was taken to see my business, he was impressed
by my success.
• Stray cats were neutered by the council to stop the increase of
their population.
Future Simple Tense ในรูปแบบ Passive Voice
โครงสร้ าง Subject + will + be + V. 3
• The weather forecast section during the show will be canceled in
the next few days.
• Her computer will be fixed next week at a computer store.
นอกจากนี ้ verb to be ยัง สามารถใช้ ต ามหลัง กริ ย าช่ว ยที่เ ราเรี ย กว่า
modal verbs ได้ อีกด้ วยเช่น may, might, will, ought to และ can, หรื อ
คำกริ ยาอื่นๆที่จำเป็ นจะต้ องตามหลังด้ วยคำกริ ยา infinitive.

เพื่อให้ เราเข้ าใจมากขึ ้น ลองไปดูประโยคตัวอย่างกันครับ


• The ceremony for all graduates will be postponed until further
• International travelers have to be quarantined after their arrival.
• Students' homework can be submitted online nowadays.
notice. บางครัง้ เรายังสามารถใช้ รูปกริ ยา Verb to be ที่เติม ing ได้ อีก
ด้ วยในกรณีที่เราต้ องการจะพูดถึง Passive Voice ที่ตามหลังคำกริ ยาที่
28

ต้ องตามหลังด้ วย verb ing หรื อคำบุพบท ลองดูประโยคตัวอย่างกัน


• My grandfather was excited about being visited without notice. •
• The boy cried after being punished for something he did not do.
• Obese children dislike being bullied at school

บทสรุป ท้ า ยบท Passive Voice โครงสร้ า งของประโยค Passive


Voice จะต้ อ งมี Verb to be และ verb ช่อง 3 กริ ย า verb to be จะผัน
ตาม tense ต่างๆ ขึ ้นอยูก่ บั ความต้ องการของผู้พดู หรื อผู้เขียน คํากริ ยา
verb to be สามารถอยูต่ ามหลังกริ ยาช่วย modal verbs ได้

กลางภาค
29
30
31
32
33

ปลายภาค
34
35
36
37

You might also like