Professional Documents
Culture Documents
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาข้อมูลในการวิจัย เรื่องการศึกษาและวิเคราะห์ข้อผิดพลาดในการแปลภาษาจีน
เป็นภาษาไทยในระดับคาและระดับประโยคของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ครั้งนี้ได้มีการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวคิด
ทฤษฎีในการวิจัยดังนี้
1. หลักการแปล (ทฤษฎีและกระบวนการ)
2. หลักไวยากรณ์ภาษาจีนและภาษาไทย
3. กลวิธีการแปลของผู้เรียนและข้อผิดพลาดของการแปล
1. หลักการแปล
การแปลมีกาเนิ ดขึ้น มาตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริส ตกาล และเริ่มวิวัฒ นาการอย่างรวดเร็ว
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งในยุคนั้นการแปลได้ขยายตัวเข้าสู่วิทยาการด้านอื่น ๆ หลากหลาย
สาขา จนทาให้การแปลพัฒนาขึ้นจนมีระบบระเบียบของทฤษฎีที่หลายหลากจนสามารถจัดได้ว่าเป็น
ศาสตร์แห่งวิทยาการ ที่อาจเรียกได้ว่า “วิทยาการแปล” (คู่มือนักแปลอาชีพ น.14)
ทฤษฎีพนื้ ฐานของการแปล
ทฤษฎีพื้นฐานของการแปลในปัจจุบันประกอบด้วย
1. ทฤษฎีภาษาศาสตร์
2. ทฤษฎีจิตวิทยา
3. ทฤษฎีการตลาด
4. ทฤษฎีการสื่อสารมวลชน
7
กระบวนการแปล
กระบวนการแปลในยุคปัจจุบันมีกระบวนการดังต่อไปนี้
1. กระบวนการแปลของไนด้าและเทเบอร์
2. กระบวนการแปลของลาร์สัน
ชนิดของการแปล
การแปลแบ่งในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
1. การแปลแบบตรงตัว
2. การแปลแบบเอาความหรือการแปลแบบเสรี
ลักษณะของการแปล
การแปลในสมัยปัจจุบันสามารถแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะดังนี้
1. การแปลที่ศักดิ์สิทธิ์ คือการแปลที่รักษาภาษาและโครงสร้างของต้นฉบับ ไว้อย่างเคร่งครัด
จนเกือบขาดการสื่ อความหมายโดยสิ้ น เชิง การแปลลั กษณะนี้มักใช้กั บการแปลคั มภีร์ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์
คาสวดมนต์ เป็นต้น
2. การแปลตามตัวอักษร คือการแปลที่คงรูปโครงสร้างของภาษาไปไว้มากจนไม่คานึงถึง
โครงสร้างของภาษาที่มีความแตกต่างกัน การแปลในลักษณะนี้จะยึ ดการแปลแบบคาต่อคา ซึ่งมักจะ
ใช้ในการสอนภาษาต่างประเทศ
3. การแปลความหมายเพื่อการสื่อสาร คือการแปลแบบตีความของสาร และถ้อยคาภาษา
ในต้นฉบับ แล้วเรียบเรียงเป็นภาษาตามโครงสร้างของภาษาปลายทาง โดยไม่ยึดติดกับถ้อยคาและ
โครงสร้างของภาษาต้นฉบับ
4. การแปลเพื่ออาชีพ คื อการแปลงานต่าง ๆ จากภาษาต่างประเทศ หรือจากภาษาไทย
เป็นภาษาต่างประเทศตามความต้องการของตลาด งานเหล่านี้มีจานวนมากและต้องการความถูกต้อง
แม่นยาและเร่ งด่ว น อาทิ งานแปลด้านกฎหมาย ด้านธุรกิจ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านอักษรศาสตร์
เป็ น ต้ น ซึ่ ง การแปลลั ก ษณะนี้ จ ะผสมผสานการแปลจาก 3 ลั ก ษณะข้ า งต้ น ไว้ ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู่ กั บ
ความต้องการของตลาด แต่ส่วนมากจะยึดรูปแบบการแปลความหมายเพื่อการสื่อสารเป็นสาคัญ
ขั้นตอนการแปล
ขั้นตอนการแปลประกอบด้วย 4 ขั้นตอนดังนี้
1. วิเคราะห์ต้นฉบับ
2. อ่านเพื่อทาความเข้าใจต้นฉบับ
3. ผละจากภาษาของต้นฉบับ
4. ถ่ายทอดความหมายของต้นฉบับมาเป็นภาษาปลายทาง หรือการเขียนบทแปล
9
แผนภูมิแสดงขั้นตอนการแปล
2. หลักไวยากรณ์ภาษาจีนและภาษาไทย
หลั ก ไวยากรณ์ เ ป็ น หนึ่ ง ในหั ว ใจส าคั ญ ของการแปลหากไม่ เ ข้ า ใจหลั ก ไวยากรณ์ ข อง
ภาษาต้นฉบับและภาษาปลายทาง (ในงานวิจัยนี้หมายถึงหลักไวยากรณ์ของภาษาจีนและภาษาไทย)
จะไม่สามารถสร้างสรรค์งานแปลที่ดีได้ เนื่องจากไวยากรณ์ของภาษาต่าง ๆ นั้น แฝงไปด้วยวัฒนธรรม
และแนวคิดของชนผู้ใช้ภาษานั้น ๆ ด้วย ดังนั้นนักแปลจะต้องเข้าใจไวยากรณ์ของภาษาต้นฉบับและ
ภาษาปลายทางเป็นอย่างดี
ไวยากรณ์ภาษาจีนและภาษาไทยโดยพื้นฐานมีความคล้ายคลึงกัน โครงสร้างของประโยค
พื้นฐานล้วนมีโครงสร้ างที่เหมือกัน คือ ประธาน + กริ ยา + กรรม แต่ที่ต่างกันคือโครงสร้างของ
ส่ ว นขยาย เช่น คาขยายค านาม การแสดงความเป็ นเจ้า ของ การระบุตาแหน่ งสถานที่ เป็นต้ น
ยกตัวอย่างเช่น
wǒ xǐ huān zú qiú
1. 我 喜 欢 足 球
ฉัน ชอบ ฟุตบอล
wǒ de shū
2. 我 的 书
ฉัน ของ หนังสือ
wǒ zài xuéxiào shàng kè
3. 我 在 学 校 上 课
ฉัน อยูท่ ี่ โรงเรียน เรียนหนังสือ
10
จากตัวอย่างประโยคจะเห็นได้ว่าโครงสร้างประโยคของภาษาจีนและภาษาไทยนั้น มีความ
เหมือนกันในตัวโครงสร้างคือ ประธาน + กริยา + กรรม ดังประโยคตัวอย่างที่ 1 แต่เมื่อดูตัวอย่าง
ประโยคที่ 2 และ 3 เราจะเห็ น ว่ า ต าแหน่ ง โครงสร้ า งประโยคของทั้ ง 2 ภาษามี ค วามต่ า งกั น
อย่ า งชั ด เจน ดั ง ตั ว อย่ า งที่ 2 ในภาษาจี น จะกล่ า วถึ ง ประธานผู้ เ ป็ น เจ้ า ของสิ่ ง ของนั้ น ก่ อ นแล้ ว
wǒ de shū
จึงกล่าวถึงกรรมที่เป็นสิ่งของดังตัวอย่า ง 我 的 书 ฉัน ของ หนังสือ แต่ในภาษาไทยสิ่งของ
wǒ zài xuéxiào shàng kè
จะเป็นกรรมที่เป็นประธานคือ หนังสือของฉัน และดังตัวอย่างที่ 3 我 在 学 校 上 课
ฉันอยู่ที่โรงเรียนเรียนหนังสือ ในโครงสร้างภาษาจีนสถานที่จะตามหลังประธานและอยู่หน้ากริยา แต่
ในภาษาไทยสถานที่จะอยู่ท้ายประโยคคือ ฉันเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน ดังนั้นหากผู้แปลไม่เข้าใจ
ไวยากรณ์ของทั้งสองภาษาอย่างถ่องแท้ ก็จักทาให้เกิดข้อผิดพลาดในการสื่ อความหมายจากการ
แปลได้
ทั้งนี้สิ่งที่สาคัญอีกอย่างของการแปลภาษาคือการเลือกใช้ความหมายของคาซึ่งในภาษาจีน
นั้ น คาที่มีห ลายความหมายนั้ น มี มาก ผู้ แปลจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในความหมายของค าที่ มี
หลายความหมายเหล่านี้เป็นอย่างดี มิเช่นนั้นจักทาให้เกิดการแปลความหมายที่ผิดพลาดจนทาให้
ความหมายของฉบั บ แปลผิ ด เพี้ ย นหรื อ คลาดเคลื่ อ นไปจากภาษาต้ น ฉบั บ ยกตั ว อย่ า งเช่ น
zǒu
走 มีความหมายแปลว่า เดิน หรือ ไป ดังนั้นหากมีประโยคที่ใช้คานี้จะต้องดูบริบทที่ผู้เขียนต้นฉบับ
สื่อออกมาดังตัวอย่างประโยคที่จะยกตัวอย่างต่อไปนี้
wǒ zǒudào nā biān qù
1. 我 走 到 那 边 去
ฉัน เดิน ไปตรงนั้น
tā zǒu le bù zhīdàoshēng me shíhoucáinéng hu
2. 他 走 了不 知 道 生 么 时 候 才 能 回来。
เขา ไป แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้กลับมา
3. กลวิธีการแปลและข้อผิดพลาดของการแปล
สุพรรณี ปิ่นมณี (2552) ได้ยกตัวอย่างข้อผิดพลาดของการแปลไว้ในหนังสือ แปลได้ แปลดี
ทั ก ษะการแปลส าหรั บ ผู้ เ รี ย นในระดั บ มหาวิ ท ยาลั ย ว่ า ข้ อ ผิ ด พลาดของนั ก แปลที่ พ บมี ดั ง นี้
(1) แปลผิดความหมายและแปลผิดไวยากรณ์ (2) แปลผิดลีลาภาษา (3) แปลผิดระดับภาษา เช่น
ภาษาพูดกับภาษาที่เป็นทางการ (4) แปลเกิน (5) แปลขาด (6) แปลผิดวัฒนธรรม (7) แปลจุดเน้น
ต่างกัน (8) แปลโดยใช้คา ผิ ด (9) แปลน้าเสียงต่างกัน เช่นคาบอกอารมณ์ความรู้สึก (10) แปลโดยใช้
คาที่มีความหมายเดียวกันแต่มีนัยต่างกัน
11