Professional Documents
Culture Documents
อนุรักษ์
อนุรักษ์
โดย
นายอนุรักษ์ เร่ งรัด
โดย
นายอนุรักษ์ เร่ งรัด
By
Mr. Anurak Rengrad
......................................................................
(รองศาสตราจารย์ ดร.ปานใจ ธารทัศนวงศ์)
คณบดีบณั ฑิตวิทยาลัย
วันที..........เดือน...................... พ.ศ..............
อาจารย์ทีปรึ กษาวิทยานิพนธ์
1. อาจารย์ ดร.อุบลวรรณ ส่ งเสริ ม
2. ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ไชยยศ ไพวิทยศิริธรรม
3. อาจารย์ ดร.กนิษฐา เชาว์วฒั นกุล
คณะกรรมการตรวจสอบวิทยานิพนธ์
.................................................... ประธานกรรมการ
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.มาเรี ยม นิลพันธุ์)
............/......................../..............
จ
กิตติกรรมประกาศ
วิทยานิ พนธ์ ฉบับนี สําเร็ จลุ ล่วงไปได้ด้วยการให้ความช่ วยเหลื อแนะนําของ อาจารย์ ดร.
อุบลวรรณ ส่ งเสริ ม ซึงเป็ นอาจารย์ทีปรึ กษาวิทยานิ พนธ์ ได้กรุ ณาให้คาํ แนะนํา แก้ไขร่ างวิทยานิพนธ์
และชีแนะในเวลาทีสงสัย หรื อมีปัญหา ให้กาํ ลังใจในการทํางานเสมอมา ผูว้ ิจยั จึงขอกราบขอบพระคุณ
อาจารย์เป็ นอย่างสู ง
ขอบพระคุณ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.มาเรี ยม นิลพันธุ์ ทีกรุ ณาเป็ นประธานในการพิจารณา
วิทยานิ พนธ์ โดยมี อาจารย์ ดร.พินดา วราสุ นนั ท์ ผูท้ รงคุณวุฒิ อาจารย์ ดร.กนิ ษฐา เชาว์วฒั นกุล
และผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ไชยยศ ไพวิทยศิริธรรม เป็ นกรรมการในการสอบวิทยานิพนธ์ ได้กรุ ณา
ตรวจสอบ แก้ไขวิทยานิ พนธ์ฉบับนีให้ถูกต้องสมบูรณ์ยิงขึน ตลอดจนคณาจารย์ในสาขาวิชาหลักสู ตร
และการนิเทศ ทีได้ให้ความรู้ และสังสอนศิษย์ ให้ประสบผลสําเร็ จ
ขอบพระคุณผูเ้ ชียวชาญในการตรวจเครื องมือ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. แสงเดือน เจริ ญฉิ ม
อาจารย์ ดร. วิเนตร แสนหาญ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. เอกนฤน บางท่าไม้ อาจารย์กญ ั ญารัตน์
สอาดเย็น และ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ วสันต์ เดือนแจ้ง ทีได้กรุ ณาทีให้คาํ แนะนํา ข้อคิดเห็น ตรวจสอบ
และแก้ไขเครื องมือในการวิจยั ให้มีคุณภาพ
ขอบพระคุณบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ทีให้การสนับสนุนทุนอุดหนุนการ
ทําวิทยานิพนธ์ จากเงินงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุน ประจําปี งบประมาณ 2557
ขอบคุณพีๆ หลักสู ตร รุ่ น 4 และ 55 ในสาขาวิชาหลักสู ตรและการนิ เทศทุกท่าน ทีเป็ น
แรงกาย แรงใจ คอยช่วยเหลือ ให้คาํ ปรึ กษากับผูว้ จิ ยั
ขอบพระคุณคณะครู อาจารย์ และนักเรี ยน โรงเรี ยนไทรโยคมณี กาญจน์วิทยา ทีได้ให้ความ
ร่ วมมือในการให้ขอ้ มูลในการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์ 1 โดยใช้การ
จัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชัน
มัธยมศึกษาปี ที 1 จนสําเร็ จลุล่วง ตลอดจนความห่วงใยทีให้เสมอมา
ท้ายนี ผูว้ ิจยั ขอน้อมรําลึกถึงอํานาจบารมีของคุณพระศรี รัตนตรัย และสิ งศักดิสิ ทธิ ทังหลาย
ทีอยูใ่ นสากลโลก อันเป็ นทีพึงให้ผวู้ ิจยั มีสติปัญญาในการจัดทําวิทยานิ พนธ์ ผูว้ ิจยั ขอให้เป็ นกตเวทิตา
แด่ บิ ดา มารดา ครอบครั ว ญาติ มิ ตร คุ ณนันทิ นี มณี กาญจน์ คุ ณไชยันต์ โชติ ยะปุ ตตะ ตลอดจน
ผูเ้ ขียนหนังสื อ และบทความต่าง ๆ ที ให้ความรู ้ แก่ผูว้ ิจยั จนสามารถให้วิทยานิ พนธ์ฉบับนี สําเร็ จได้
ด้วยดี
ฉ
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย ...................................................................................................................... ง
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ................................................................................................................. จ
กิตติกรรมประกาศ ....................................................................................................................... ฉ
สารบัญตาราง .............................................................................................................................. ฎ
สารบัญแผนภูมิ............................................................................................................................. ฑ
บทที
1 บทนํา .................................................................................................................................. 1
ความสําคัญและความเป็ นมาของปั ญหา.................................................................... 1
กรอบแนวคิดในการวิจยั .......................................................................................... 7
คําถามการวิจยั .......................................................................................................... 17
วัตถุประสงค์การวิจยั ............................................................................................... 17
สมมติฐานการวิจยั ................................................................................................... 18
ขอบเขตของการวิจยั ................................................................................................ 18
นิยามศัพท์เฉพาะ ..................................................................................................... 19
ประโยชน์ทีได้รับ .................................................................................................... 21
2 วรรณกรรมทีเกียวข้อง ....................................................................................................... 22
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551..................................... 22
กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ............................................................................. 25
หลักสู ตรสถานศึกษา โรงเรี ยนไทรโยคมณี กาญจน์วทิ ยา ........................................ 26
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจยั ทีเกียวกับแบบฝึ กทักษะ
ความหมายของแบบฝึ กทักษะ........................................................................ 34
ความสําคัญของแบบฝึ กทักษะ ...................................................................... 37
ช
บทที หน้า
หลักในการสร้างแบบฝึ กทักษะ …………………………………………….. 36
หลักจิตวิทยาทีเกียวกับการสร้างแบบฝึ กทักษะ ............................................. 44
ลักษณะแบบฝึ กทักษะทีดี .............................................................................. 46
งานวิจยั ทีเกียวกับการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ ................................................... 47
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจยั เกียวกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบปั ญหาเป็ นฐาน
ความหมายของการจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน .................................... 49
วัตถุประสงค์ของการจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน .................................. 51
เสนอแนวทางปฏิบตั ิในการจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน ....................... 52
ขันตอนในการจัดการเรี ยนรู ้แบบปั ญหาเป็ นฐาน............................................ 53
บทบาทของผูเ้ รี ยนและผูส้ อนในการจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน .......... 61
ประเมินผลการเรี ยนรู้ โดยการจัดการเรี ยนรู้แบบปัญหาเป็ นฐาน ................... 69
งานวิจยั ทีเกียวข้องกับการจัดการเรี ยนรู้แบบปัญหาเป็ นฐาน
งานวิจยั ภายในประเทศ ....................................................................... 70
งานวิจยั ต่างประเทศ ............................................................................ 72
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจยั เกียวกับความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์
ความหมายของปั ญหาและการแก้ปัญหา ....................................................... 74
ประเภทของปัญหาคณิ ตศาสตร์ ..................................................................... 77
องค์ประกอบทีส่ งเสริ มในการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ ..................................... 79
ขันตอนการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ .................................................................. 82
ยุทธวิธีในการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ ............................................................... 85
งานวิจยั ทีเกียวข้องกับการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์
งานวิจยั ภายในประเทศ ....................................................................... 86
งานวิจยั ต่างประเทศ ............................................................................ 87
ซ
บทที หน้า
3 วิธีดาํ เนินการวิจยั ................................................................................................................ 90
กรอบดําเนินการวิจยั ............................................................................................. 91
วิธีดาํ เนินการวิจยั
ขันตอนที 1 วิจยั (R1 : Research) .......................................................... 92
ขันตอนที 2 พัฒนา (D1 : Development) ................................................... 101
ขันตอนที 3 วิจยั (R2 : Research) .......................................................... 118
ขันตอนที 4 พัฒนา (D2 : Development) ................................................... 122
4 การวิเคราะห์ขอ้ มูล ............................................................................................................. 127
ผลการศึกษาข้อมูลพืนฐานและความต้องการในการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ ............ 128
ผลการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ .................................................................................. 138
ผลการทดลองใช้แบบฝึ กทักษะ............................................................................. 3
ผลการประเมินผลและปรับปรุ งแบบฝึ กทักษะ ..................................................... 6
5 สรุ ปผลการวิจยั อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ................................................................... 152
สรุ ปผล ............................................................................................................. 154
อภิปรายผล ............................................................................................................ 156
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะเพือการนําไปใช้ ..................................................................... 162
ข้อเสนอแนะสําหรับการวิจยั ครังต่อไป ....................................................... 163
รายการอ้างอิง .............................................................................................................................. 164
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายนามผูเ้ ชียวชาญตรวจเครื องมือ ...................................................... 173
ภาคผนวก ข เครื องมือเก็บรวบรวมข้อมูลพืนฐานและความต้องการ ...................... 175
ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลพืนฐานและความต้องการในการพัฒนา
แบบฝึ กทักษะ ....................................................................... 182
ฌ
บทที หน้า
ภาคผนวก ง เครื องมือทีใช้ในการประเมินผล ........................................................ 199
ภาคผนวก จ ผลการตรวจสอบคุณภาพเครื องมือ .................................................... 213
ภาคผนวก ฉ ผลการหาประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะ ......................................... 239
ภาคผนวก ช แผนการจัดการเรี ยนรู้และแบบฝึ กทักษะ ........................................... 245
ภาคผนวก ซ คะแนนความสามารถในการแก้ปัญหา ก่อนเรี ยนและหลังเรี ยน ........ 286
ภาคผนวก ฌ ผลการทดสอบสมมติฐาน .................................................................. 289
ภาคผนวก ญ รู ปภาพการดําเนินกิจกรรมและผลงานนักเรี ยน ................................. 292
ภาคผนวก ฎ หนังสื อเชิญผูเ้ ชียวชาญตรวจเครื องมือวิจยั
หนังสื อขอทดลองเครื องมือวิจยั และ
หนังสื อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ....................... 298
ประวัติผวู้ จิ ยั ................................................................................................................................. 6
ญ
สารบัญตาราง
ตารางที หน้า
1 โครงสร้างรายวิชาคณิ ตศาสตร์ ค 21201…………………………………………..…... 30
2 หน่วยการเรี ยนรู ้ที 1 เรื องการประยุกต์ 1 ……………………………………………… 33
3 การสังเคราะห์ความหมายของแบบฝึ กทักษะ ………………………….…...…………. 36
4 การสังเคราะห์องค์ประกอบของแบบฝึ กทักษะ ……………………………………..… 37
5 กรอบการเรี ยนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน …………………………………………….…. 54
6 การสังเคราะห์ขนตอนการจั
ั ดการเรี ยนรู ้แบบปัญหาเป็ นฐาน …………………….…… 59
7 บทบาทครู และนักเรี ยนในการจัดการเรี ยนรู้แบบปัญหาเป็ นฐาน ……………….…….. 67
8 สรุ ปวิธีการดําเนินการตามขันตอนที 1 การวิจยั (R1 : Research) ………….………...... 99
9 องค์ประกอบภายในแบบฝึ กทักษะ ……………………………………………………. 103
10 เนือหาและการกําหนดมาตรฐานการเรี ยนรู ้ ผลเรี ยนรู ้ ……….………………….......... 107
11 สรุ ปวิธีการดําเนินการตามขันตอนที 2 การพัฒนา (D1 : Development) ……………... 116
12 แสดงแบบแผนการวิจยั …………………….…………………………………….……. 118
13 แผนการจัดการเรี ยนรู้ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื อง การประยุกต์ 1 …….……………….……. 121
14 สรุ ปวิธีการดําเนินการตามขันตอนที 3 การวิจยั (R2 : Research) …………………....... 122
15 เกณฑ์การตรวจแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา ……………….……… 124
16 แสดงเกณฑ์การประเมินความสามารถในการแก้ปัญหา ………………………..……... 125
17 สรุ ปวิธีการดําเนินการตามขันตอนที 4 การพัฒนา (D2 : Development) ……………… 126
18 ผลการวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหา (ก่อนเรี ยน) ……….……………......… 131
19 ข้อมูลพืนฐานและความต้องการในการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ ……….……………….... 132
20 สถานภาพและข้อมูลทัวไปของครู กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ……….…………. 135
21 การคํานวณหาประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะ แบบรายบุคคล ……….………..……. 141
22 การคํานวณหาประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะ แบบกลุ่มเล็ก ………..………..…..…. 141
23 การคํานวณหาประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะ แบบภาคสนาม ……….………….…... 142
ฎ
ตารางที หน้า
24 ประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์ 1 …………..……. 145
25 ผลการเปรี ยบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหา ก่อนและหลังใช้แบบฝึ กทักษะ
วิชาคณิ ตศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปัญหาเป็ นฐาน สําหรับนักเรี ยน
ชันมัธยมศึกษาปี ที 1 …………………………………...………………..……. 146
26 ผลการเปรี ยบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหา ก่อนและหลังใช้แบบฝึ กทักษะ
วิชาคณิ ตศาสตร์ ตามขันตอนการแก้ปัญหาแบบปัญหาเป็ นฐาน สําหรับนักเรี ยน
ชันมัธยมศึกษาปี ที1/1 ด้วย t – test แบบ Dependent …………………….……. 147
27 ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรี ยนทีมีต่อแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์
เรื องการประยุกต์ 1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปัญหาเป็ นฐานเพือส่ งเสริ ม
ความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1 ………... 148
28 คะแนนความสามารถในการแก้ปัญหา (ก่อนเรี ยน) วิชาคณิ ตศาสตร์ …………………. 197
29 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แบบสอบถามเกียวกับการศึกษาข้อมูลพืนฐานและ
ความต้องการของนักเรี ยนต่อการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ …………………….…... 214
30 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แบบสัมภาษณ์เกียวกับการถามข้อคิดเห็นและ
ข้อเสนอแนะเกียวกับการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ สําหรับครู กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้
คณิ ตศาสตร์ ………………………………………...………………….…….. 215
31 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แผนการจัดการเรี ยนที 1 รู ปเรขาคณิ ต ………….……. 216
32 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แผนการจัดการเรี ยนที 2 รู ปเรขาคณิ ต ………….……. 218
33 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แผนการจัดการเรี ยนที 3 จํานวนนับ ...………….……. 220
34 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แผนการจัดการเรี ยนที 4 จํานวนนับ ...………….……. 222
35 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แผนการจัดการเรี ยนที 5 ร้อยละในชีวติ ประจําวัน ….... 224
36 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แผนการจัดการเรี ยนที 6 ร้อยละในชีวติ ประจําวัน ….... 226
37 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แผนการจัดการเรี ยนที 7 ปัญหาชวนคิด …………….... 228
38 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แผนการจัดการเรี ยนที 8 ปัญหาชวนคิด …………….... 230
39 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบฝึ กทักษะ เล่มที 1 ………………………….... 232
ฏ
ตารางที หน้า
40 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบฝึ กทักษะ เล่มที 2 ………………………….... 233
41 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบฝึ กทักษะ เล่มที 3 ………………………….... 234
42 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบฝึ กทักษะ เล่มที 4 ………………………….... 235
43 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรี ยน(หลังเรี ยน)….... 236
44 ค่าดัชนีความสอดคล้องจากการประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้องของ
แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา ……........................……..….. 237
45 การหาค่าความเชือมันของแบบทดสอบอัตนัย เรื องการประยุกต์1 ……….…….…...... 238
46 ผลการคํานวณหาประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะ แบบรายบุคคล ……….…….…….. 240
47 ผลการคํานวณหาประสิ ทธิ ภาพของแบบฝึ กทักษะ แบบกลุ่มเล็ก ………..…..…...…... 240
48 ผลการคํานวณหาประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะ แบบภาคสนาม ……….………….. 241
49 ค่าประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะทดลองจริ งกับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1/1……. 242
50 คะแนนความสามารถพืนฐานในการแก้ปัญหา เรื องการประยุกต์1 …………..……….. 287
ฐ
สารบัญแผนภูมิ
แผนภูมิที หน้า
1 กรอบแนวคิดในการวิจยั ……………………………………………………….…….. 16
2 ขันตอนในการสร้างแบบฝึ กทักษะ ……………………………………………….….. 39
3 ขันตอนในการจัดการเรี ยนรู ้แบบปั ญหาเป็ นฐาน ……………………………………. 68
4 กรอบดําเนินการวิจยั ………………………………………………………………….. 91
5 ขันตอนการสร้างแบบสอบถาม ……………………………………………………….. 95
6 ขันตอนการสร้างแบบสัมภาษณ์ ……………………………………………………… 98
7 ขันตอนในการสร้างแบบฝึ กทักษะประกอบการจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน …... 105
8 ขันตอนการสร้างแผนการจัดการเรี ยนรู ้ ……………………………………………… 110
9 ขันตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา ……………………. 112
10 ขันตอนในการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นทีมีต่อแบบฝึ กทักษะ……………….... 115
ฑ
1
บทที่ 1
บทนํา
ความสําคัญและความเปนมาของปญหา
สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอยางรวดเร็ว เปนผลสืบเนื่องมาจากความเจริญ กาวหนา
ของวิทยาการตางๆสังคมปจจุบันจึง เปนสัง คมที่ ใชวิทยาศาสตร เทคโนโลยีและเปนสั งคมของ
ขอมูลขาวสารหรือสังคมสารสนเทศมากขึ้นระบบการศึกษาปจจุบันชวยพัฒนามนุษยใหเปนผูที่มี
ความรูความสามารถรูจักติดตามขอมูล ขาวสาร วิทยาการใหมๆ รูเทาทันการเปลี่ยนแปลงตางๆที่
เกิดขึ้นอยางรวดเร็วและหลากหลาย รูจักคิดวิเคราะห ตัดสินใจ ใหเหตุผลและแกปญหาไดอยาง
สรา งสรรค มีค วามสามารถและทั ก ษะในการติ ดตอ สื่อสารกั บ บุ คคลอื่น ซึ่ง สอดคลองกั บ ยุ ค
ศตวรรษที่ 21 คนที่จะประสบความสําเร็จในชีวิตจะมีเพียงความรูอยางเดียวคงจะไมเพียงพอ แต
ตองมีทักษะในการแกปญหาและคิดริเริ่มสรางสรรค หาสิ่งที่แปลกใหมควบคูกัน (Shinn, 2004)
ดังนั้นการจัดการศึกษาซึ่งถือเปนการเตรียมพรอมในการสรางคนใหมีศักยภาพ จึงจําเปน
ตองมีการปรับปรุง พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนใหเหมาะสม เพื่อสงเสริมนักเรียนใหมีศักยภาพ
เพียงพอที่จะดํารงชีวิตไดอยางดีและมีความสุข ซึ่งในประเทศไทยเองไดมีการพัฒนาการจัดการ
ศึกษาใหสอดคลองดวย ดังจะเห็นไดจากการปฏิรูปการศึกษาในป 2542 ที่เนนใหความสําคัญกับ
การจัดการเรียนการสอนที่เนนผูเรียนเปนสําคัญและพัฒนาทักษะการคิด และทักษะตางๆ ใหกับ
ผูเรียนอยางเต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2548) จึงกําหนดใหหลักสูตรแกนกลางการ
ศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เปนหลักสูตรที่มุงพัฒนาผูเรียนใหมีคุณภาพตามมาตรฐานการ
เรียนรู และเกิดสมรรถนะสําคัญ 5 ประการ คือ 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถใน
การคิด 3) ความสามารถในการแกปญหา 4) ความสามารถในการใชทักษะชีวิต และ 5) ความ
สามารถในการใชเทคโนโลยี โดยกําหนดความสามารถดานการคิด ใหผูเรียนมีความสามารถในการ
คิดวิเคราะห การคิดสังเคราะห การคิดอยางสรางสรรค การคิดอยางมีวิจารณญาณและการคิดเปน
ระบบ เพื่อนําไปสูการสรางองคความรูหรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคม
ไดอยางเหมาะสม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : ความนํา) อีกทั้งยังตองยึดการจัดการศึกษาที่สอด
คลองกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545หมวด 4
1
1
2
เรื่องควรมีลัก ษณะอย า งไร มีกิ จกรรมอะไรบ า ง มีค วามยาวเพี ยงไรจะนํา เสนอโดยใช รู ปภาพ
ประกอบหรือไม 6) สรางแบบทดสอบ ซึ่งอาจมีแบบทดสอบเชิงสํารวจ แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัย
ข อ บกพร อ ง แบบทดสอบความก า วหน า เฉพาะเรื่ อ ง เฉพาะตอบแบบทดสอบที่ ส ร า งจะต อ ง
สอดคลองกับเนื้อหาหรือทักษะที่วิเคราะหไว 7) นําแบบฝกทักษะไปทดลองใช เพื่อหาขอบกพรอง
คุณภาพของแบบฝกและคุณภาพของแบบทดสอบ 8) ปรับปรุงแกไข 9) รวบรวมเปนชุด จัดทําคํา
ชี้แจง คูมือการใช สารบัญ เพื่อใชประโยชนตอไปและพรรณี ชูไทย (2546: 9) กลาวถึงหลักการ
พัฒนาแบบฝก ทักษะวา ครูผูส รา งตองคํา นึง ถึง ระดับชั้นความรู ความสามารถของผู เรียน ความ
แตกตางของผูเรีย น เรีย งเนื้อหาจากง า ยไปหายาก เน นการแก ป ญหา มี คํา ชี้แจงสั้นๆ ใชเวลา
เหมาะสม เนื้อหานาสนใจ มีหลากหลาย ทาทายความสามารถ จะเห็นไดวาการพัฒนาแบบฝกทักษะ
ที่เหมาะสมจะทําใหผูเรียนมีพัฒนาการเรียนรู ความชํานาญ ความสามารถในการแกปญหา ทราบความสามารถ
ในการเรียนและสามารถตรวจสอบความกาวหนาของตนเองได
ดวยความสําคัญขางตน ผูวิจัยจึงไดพัฒนาแบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตรเรื่องการประยุกต1
โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่1 โดยการศึกษาขอมูลพื้นฐาน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 โครงสรางหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนไทรโยคมณีกาญจนวิทยา พุทธศักราช
2553 (ฉบั บ ปรั บ ปรุ ง 2556) กลุ ม สาระการเรี ย นรู ค ณิ ต ศาสตร ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาตอนต น
(ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1- 3) ศึกษาความตองการและความสามารถของผูเรียน ตลอดจนเอกสารและ
งานวิจัยที่เกี่ยวของกับ ความสามารถในการแกปญหา การจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน และ
แนวคิดการดําเนินการวิจัยและพัฒนา มาสรางแบบฝกทักษะ เพื่อที่จะเปนสื่อ นวัตกรรม ใชเปน
แนวทางในการพัฒนาความสามารถในการแกปญหา และเปนการวางรากฐานใหผูเรียนมีทักษะดาน
การคิดแกปญหา เพื่อเปนกําลังสําคัญในการแกปญหาของชาติและสรางสรรคสิ่งใหมๆตอไป
กรอบแนวคิดในการวิจัย
การวิจัย เรื่อง การพัฒนาแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1 โดยใชการ
จัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปที่1 ผูวิจัยไดทําการศึกษาคนควาแนวคิด ทฤษฎีตางๆเปนแนวทางในการพัฒนาแบบ
ฝกทักษะดังกลาว ไดแก ทฤษฎี การเรียนรูของธอรนไดค (Thorndike) เกี่ยวกับกฎแหงการฝกหัด
(Law of Exercise) วา ถาบุคคลไดกระทํา หรือฝกฝน ทบทวนบอยๆ ก็จะกระทําไดดีและเกิดความ
ชํานาญ แตถาไมไดฝกฝนหรือทบทวนบอยๆ ก็จะกระทําสิ่งนั้น ไดไมดีและไมเกิดความชํานาญ
นอกจากนี้ทฤษฎีการวางเงื่อนไขและการเสริมแรงของสกินเนอร เนนที่ปฏิกิริยาตอบสนอง คือ
พฤติกรรมที่ทําดวยความสมัครใจและสิ่งที่กระทําใหปฏิกิริยาตอบสนอง คือ ตัวเสริมแรง ทฤษฎี
8
ตองการที่จะแกปญหา ซึ่งครูอาจจะใชคําถามในการกระตุนใหนักเรียนไดอภิปรายและเสนอความ
คิดเห็นตอปญหา เมื่อมองเห็นถึงความเปนไปไดในการแกปญหา ขั้นที่ 3 ขั้นนิยามวา เรารูอะไร
(What We Know) เราจําเปนตองรูอะไร (What We Need to Know) และแนวคิดของเรา (Our Ideas)
ในขั้นนี้มีจุดมุงหมายเพื่อสงเสริมใหผูเรียนไดพัฒนาสิ่งที่ตนรู อะไรที่จําเปนตองรู และแนวคิด
อะไรที่ไ ดจ ากสถานการณป ญหา สง เสริม ใหผูเรียนไดพิ จารณาถึงความรูที่ตนเองมี เกี่ ยวกั บ
สถานการณปญหาและเตรียมใหผูเรียนพรอมที่จะรวบรวมขอมูล เพื่อนําไปแกปญหา ในขั้นนี้
ผูเรียนจะทําความเขาใจปญหาและพรอมที่สํารวจ คนควาหาความรูเพื่อการแกปญหา ครูจะให
นักเรียนไดกําหนดสิ่งที่ตนรูจากสถานการณปญหา สิ่งที่จําเปนตองเรียนรูเพิ่มเติมที่จะมาสงเสริมให
สามารถแกปญหาได ขั้นที่ 4 ขั้นกําหนดปญหา จุดมุงหมายในขั้นนี้ เพื่อสนับสนุนใหผูเรียนกําหนด
ปญหาที่แทจริงจากสถานการณที่ไดเผชิญ และกําหนดเงื่อนไขที่ขัดแยงกับเงื่อนไขที่ปรากฏใน
สถานการณปญหาที่กําหนดให ซึ่งจะชวยใหไดคําตอบของปญหาที่ดี ขั้นที่ 5 ขั้นการคนควา
รวบรวมขอมูล และเสนอขอมูล ผูเรียนจะชวยกันคนควาขอมูลที่จําเปนตองรูจากแหลงขอมูลที่
กําหนดไวแลวนําขอมูลเหลานั้น มาเสนอตอกลุมใหเขาใจตรงกันจุดมุงหมายในขั้นนี้ ประการแรก
เพื่อสนับสนุนใหผูเรียนวางแผนและดําเนินการรวบรวมขอมูลอยางมีประสิทธิภาพ พรอมทั้งเสนอ
ขอมูลนั้นตอกลุม ประการที่สองเพื่อสงเสริมใหผูเรียนเขาใจวาขอมูลใหมที่คนความา ทําใหเขาใจ
ปญหาอยางไร และจะประเมินขอมูลใหมเหลานั้นวาสามารถชวยเหลือใหเขาใจปญหาไดอยางไร
ดวย ประการที่สาม เพื่อสงเสริมใหผูเรียนมีความสามารถทางการสื่อสารและการเรียนรูแบบรวมมือ
ซึ่งชวยใหการแกปญหามีประสิทธิภาพ ขั้นที่ 6 ขั้นการหาคําตอบที่เปนไปได จุดมุงหมายในขั้นนี้
เพื่อใหผูเรียนไดเชื่อมโยงระหวางขอมูลที่คนควากับปญหาที่กําหนดไวแลวแกปญหาบนฐานขอมูล
ที่คนความา เนื่องจากปญหาที่ใชในการเรียนรู สามารถมีคําตอบไดหลายคําตอบ ดังนั้นในขั้นนี้
ผูเรียนจะตองคนหาคําตอบที่สามารถเปนไปไดใหมากที่สุด ขั้นที่ 7 ขั้นการประเมินคาของคําตอบ
จุดมุงหมายในขั้นนี้ เพื่อสนับสนุนใหผูเรียนทําการประเมินคาสิ่งที่มาชวยในการแกปญหา(ขอมูลที่
คนความา) และผลของคําตอบที่ไดในแตละปญหาวาทําใหเรียนรูอะไร ซึ่งนักเรียนจะแสดงเหตุผล
และรวมกันอภิปรายในกลุม โดยใชขอมูลที่คนความาเปนพื้นฐาน ขั้นที่ 8 ขั้นการแสดงคําตอบและ
การประเมินผลงาน ในขั้นนี้มีจุดมุงหมาย เพื่อสนับสนุนใหผูเรียนเชื่อมโยงและแสดงถึงสิ่งที่ผูเรียน
ไดเรียนรู ไดความรูมาอยางไร และทําไมความรูนั้นถึงสําคัญ ในขั้นนี้นักเรียนจะเสนอผลงานออก
มาที่แสดงถึงกระบวนการเรียนรูตั้งแตตนจนไดคําตอบของปญหา ซึ่งเปนการประเมินผลงานของ
ตนเองและกลุมไปดวย ขั้นที่ 9 ขั้นตรวจสอบปญหาเพื่อขยายการเรียนรู ในขั้นนี้มีจุดมุงหมาย
เพื่อใหผูเรียนรวมกันกําหนดสิ่งที่ ตองการเรียนรูตอไป นักเรียนจะพิจารณาจากปญหาที่ไดดําเนิน
การไปแลววามีประเด็นอะไรที่ตนสนใจอยากเรียนรูอีก เพราะในขณะดําเนินการเรียนรูนักเรียน
13
เปนปญหาสําหรับการเรียนรูโดยใชปญหาเปนฐาน ประเด็นที่ครูยกมานั้นจะตองเปนประเด็นที่มี
ความสัมพันธกับความรูในเนื้อหาวิชาและทักษะที่ตองการใหนักเรียนไดรับ
ขั้นที่ 2 ทําความเขาใจกับปญหา (Understanding of The Problem) นักเรียนรวมกัน
เรียนรู ใหผูเรียนรวมอภิปรายแสดงความคิดเห็นเพื่อทําความเขาใจกับปญหาใหชัดเจน และสามารถ
อธิบายสิ่งตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับปญหาได เชน โจทยกําหนดอะไร ตองการอะไร
ขั้นที่ 3 ดําเนินการศึกษาคนควาปญหา (The Study of Problem) เปนขั้นที่นักเรียน
แตละคน ดําเนินการศึกษาคนควา เพื่อวางแผนการแกปญหาดวยวิธีการที่หลากหลาย หรืออาจมา
จากความรู/ประสบการณเดิม และสามารถหาไดจากแหลงขอมูล หรือสื่อตางๆเชนใบความรู ใบ
กิจกรรม เอกสารแนะแนวทาง หนังสือเรียน Internet เปนตน
ขั้นที่ 4 สังเคราะหขอมูลและปฏิบัติ (The Synthesis of Data and Procedure)
กิจกรรมในขั้นตอนนี้เนนฝกทักษะการคิดแกปญหา ใหกับผูเรียน เปนขั้นที่ผูเรียนแตละคนสราง
ทางเลือกหรือกําหนดแนวทางการแกปญหา อาจมีการสรางสื่อ วาดภาพประกอบหรือจัดการกับ
สาระความรูใหม ซึ่ง แตกตา งจากการทํ า รายงานธรรมดา แตเ ปนการนํ าเสนอแนวทาง วิธีก าร
แกปญหาที่ชัดเจน ดําเนินการแกปญหาตามวิธีการแกปญหาที่หลากหลาย ภายใตพื้นฐานของการคิด
วิเคราะห การคิดริเริ่มสรางสรรค เปนตน
ขั้นที่ 5 สรุปผลการแกไขปญหาและความรูที่ได (The Conclusion of Solution)
การจัดกิจกรรมในขั้นตอนนี้เปนการฝกคิดแกปญหา เปนขั้นที่ผูเรียนแตละคนนําความรูที่ไดจาก
การคิดแกปญหา ความคิด/วิธีการที่แปลกใหม หรือแนวทางจากการศึกษาคนควาเพิ่ มเติม และนํามา
สรางมโนทัศนคําอธิบายของสถานการณปญหาดวยตนเอง ตรวจคําตอบ ประมวลความรูที่ไดวามี
ความสอดคลองเหมาะสมสําหรับการแกปญหาที่เกิดขึ้นเพียงใด และสรุปเปนภาพรวม
รูปแบบการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐานนี้ จึง มีสวนชวยใหผูเรียนไดพัฒนาทักษะ
ความสามารถในการแกปญหา สามารถนําความรูไปประยุกตใชในการแกปญหาตอไปไดอยางมี
ประสิทธิภาพ (Barrows and Tamblyn, 1980: 193, Delisle 1997 : 7, Erickson 1999 : 520, Hmelo
and Evensen, 2000 : 6, Illinois Mathematics and Science Academy, 2001 และสุนทรี คนเที่ยง,
2544 : 12) และยังมีสวนในการสงเสริมพัฒนาความคิดสรางสรรคของผูเรียนอีกดวย (Illinoi
Mathematics and Science Academy, 2001) ความสามารถในการแกปญหาและความคิดสรางสรรค
ทางคณิตศาสตรจึงเปนทักษะที่มีความสําคัญและจําเปนอยางยิ่ง ตอการสงเสริมและพัฒนาบุคคลให
มีคุณภาพ ความสามารถในการแกปญหา เปนความสามารถและความชํานาญในการใชกระบวนการ
ตางๆ ทางสมอง ประสบการณ การเขาใจปญหา ตลอดจนความพยายามในการคิดคนหาคําตอบ
เพื่อใหไดคําตอบ โดยการนําความรู ทักษะรวมถึงวิธีการตาง ๆ ในการหาคําตอบเมื่ อกําหนด
15
สถานการณหรือคําถามที่เปนปญหาทางคณิตศาสตรมาให ซึ่งกระบวนการดังกลาวมีการดําเนินการ
เปนลําดับขั้นตอนและจะตองใชยุทธวิธีตางๆเพื่อนําไปสูความสําเร็จในการแกปญหา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (2544: 191-195) ไดเสนอยุทธวิธีการ
แกปญหาทางคณิตศาสตรไวดังนี้
การจัดการเรียนรูเพื่อใหผูเรียนมีทักษะกระบวนการแกปญหาไดนั้น ผูสอนตองให
โอกาสผูเรียนไดฝกคิดดวยตนเองใหมากโดยจัดสถานการณหรือปญหาหรือเกมที่นาสนใจทาทาย
ใหอยากคิด เริ่มดวยปญหาที่เหมาะกับศักยภาพของผูเรียนแตละคนหรือผูเรี ยนแตละกลุม โดยอาจ
เริ่ ม ด ว ยป ญ หาที่ ผู เ รี ย นสามารถใช ค วามรู ที่ เ รี ย นมาแล ว มาประยุ ก ต ก อ น ต อ จากนั้ น จึ ง เพิ่ ม
สถานการณหรือปญหาที่แตกตางจากที่เคยพบมา สําหรับผูเรียนที่มีความสามารถสูงผูสอนการควร
เพิ่มปญหาที่ยาก ซึ่งตองใชความรูที่ซับซอนหรือมากกวาที่กําหนดไวในหลักสูตรใหนักเรียนไดฝก
คิดดวย การจัดการเรียนรูที่ใชกระบวนการแกปญหาดังกลาวนี้ ผูสอนสามารถจัดกิจกรรมใหผูเรียน
รูอยางคอยเปนคอยไป โดยกําหนดประเด็นคําถามนําใหคิดและหาคําตอบเปนลําดับเรื่อยไปจน
ผูเรียนหาคําตอบไดหลังจากนั้นใหปญหาตอๆไป ผูสอนจึงคอยๆ ลดประเด็นคําถามลงไปจนสุด
ทาย เมื่อเห็นวาผูเรียนมีทักษะในการแกปญหาเพียงพอแลวก็ไมจําเปน ตองใหประเด็นคําถามชี้นําก็
ได ในการจัดใหผูเรียนรูกระบวนการแกปญหาตามลําดับขั้นตอนนั้น เมื่อผูเรียนเขาใจกระบวนการ
แลว การพัฒนาใหมีทักษะ ผูสอนควรเนนฝกการวิเคราะหแนวคิดอยางหลากหลายในขั้นวางแผน
แกปญหาใหมาก เพราะเปนขั้นตอนที่มีความสําคัญและยากสําหรับผูเรียน จากการศึกษาคนควา
ขางตน ยุทธวิธีการแกปญหาคณิตศาสตรนั้นจําเปนตองใหผูเรียนรูจักขั้นตอนการแกปญหา เลือก
วิธีการแกปญหาใหเหมาะสมกับปญหาและในการสอนของครูนั้นจะตองมีการกระตุนใหผูเรียนได
รูจักคิดอยูเสมอ เพื่อใหไดมาซึ่งวิธีการที่เหมาะสมที่สุด ภายใตยุทธวิธีการแกปญหาของผูเรียน
จากแนวคิ ด และขั้ น ตอนต า งๆในการพั ฒ นาแบบฝ ก ทั ก ษะวิ ช าคณิ ต ศาสตร เรื่ อ ง
การประยุ ก ต 1 โดยใช ก ารจัดการเรียนรู แบบป ญหาเป นฐาน เพื่ อสง เสริม ความสามารถในการ
แกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่กลาวมาขางตน ผูวิจัยไดกําหนดกรอบแนวคิดใน
การวิจัย ดังแสดงไวในแผนภูมิที่ 1
16
แผนภูมิที่ 1 แสดงกรอบแนวคิดในการวิจัย
17
คําถามการวิจัย
1. ขอมูล พื้นฐานและความตองการในการพัฒนาแบบฝกทั ก ษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่อง
การประยุกต1 โดยใช การจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการ
แกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 เปนอยางไร
2. แบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหา
เปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ผูวิจัย
สรางขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ 80/80 หรือไม
3. การทดลองใช แบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการ
เรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยม
ศึกษาปที่ 1 เปนอยางไร
4. ผลการประเมินและปรับปรุงแบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 โดยใช
การจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 เปนอยางไร
4.1 ความสามารถในการแกปญหาหลังเรียนสูงกวากอนเรียนหรือไม
4.2 ความคิดเห็นของนักเรียนตอแบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1
โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 อยูในระดับใด
วัตถุประสงคการวิจัย
1. เพื่อศึกษาขอมูลพื้นฐานและความตองการในการพัฒนาแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร
เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการ
แกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
2. เพื่อพัฒนาแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรู
แบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่1
ใหมีประสิทธิภาพตามเกณฑ 80/80
3. เพื่อทดลองใชแบบฝก ทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 โดยใช การจัดการ
เรีย นรู แบบปญ หาเป นฐาน เพื่ อส งเสริม ความสามารถในการแก ป ญหา สํ า หรับ นั ก เรีย นชั้ น
มัธยมศึกษาปที่ 1
18
สมมติฐานการวิจัย
1. แบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหา
เป นฐาน เพื่ อสง เสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนัก เรียนชั้นมั ธยมศึ กษาปที่ 1 มี
ประสิทธิภาพตามเกณฑ 80/80
2. ความสามารถในการแกปญหาหลังใชแบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1
โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 สูงกวากอนเรียน
3. ความคิดเห็นของนั ก เรี ย นที่มีตอแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1
โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 อยูในระดับมาก
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรและกลุมตัวอยาง
ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจนวิทยา
จังหวัดกาญจนบุรี ที่กําลังศึกษาอยูในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2557 จํานวน 5 หองเรียน จํานวน
165 คน
กลุมตัวอยาง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่1/1 โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจนวิทยา
จังหวัดกาญจนบุรี ที่กําลังศึกษาอยูในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2557 จํานวน 35 คน ที่ไดมาดวย
วิธีการสุมอยางงาย (Simple Random Sampling) โดยการใชหองเรียนเปนหนวยสุม(Sampling Unit)
19
2. ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรตน คือ แบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตรและการจัดการเรียนรูแบบปญหา
เปนฐาน
ตัวแปรตาม คือ 1. ความสามารถในการแกปญหา
2. ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีตอแบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตร
โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน
3. ขอบเขตของเนื้อหา
เนื้อหาที่ใชในการทดลอง หนวยการเรียนรูที่1 วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1
เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนัก เรียนชั้นมัธ ยมศึ กษาป ที่ 1 ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551และหลักสูตรสถานศึกษา กลุมสาระการเรียนรู
คณิตศาสตร โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจนวิทยา ประกอบดวยเนื้อหาและระยะเวลาเรียนตอไปนี้
1. รูปเรขาคณิต จํานวน 4 ชั่วโมง
2. จํานวนนับ จํานวน 4 ชั่วโมง
3. รอยละ ในชีวิตประจําวัน จํานวน 4 ชั่วโมง
4. ปญหาชวนคิด จํานวน 4 ชั่วโมง
4. ระยะเวลาในการทดลอง
ผูวิจัยกําหนดระยะเวลาในการทดลองจํานวน 8 แผนการเรียนรู แตละแผนใชเวลา
2 ชั่วโมง รวมระยะเวลาเปน 16 ชั่วโมง รวมเปนเวลา 8 สัปดาห ในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2557
นิยามศัพทเฉพาะ
1. แบบฝกทักษะ หมายถึ งสื่อ เอกสารที่ผูวิจัยสรางขึ้น เพื่อสงเสริมความสามารถในการ
แกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ซึ่งสอดคลองกับมาตรฐานและผลการเรียนรู วิชา
คณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้ นฐาน พุทธศักราช 2551 ดําเนินการสรางแบบ
ฝกทักษะ ทั้งหมด 4 ชุด ประกอบดวยชื่อเรื่อง คํานํา คําชี้แจง สารบัญ วัตถุประสงค แบบทดสอบ
กอนเรียน แบบฝกทักษะการแกปญหา และแบบทดสอบหลังเรียน
2. การพัฒนาแบบฝกทักษะ หมายถึง กระบวนการสรางแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร
เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการ
แกปญหา โดยดําเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1) ศึกษาขอมูลพื้นฐานและความตองการในการพัฒนา
แบบฝกทักษะ 2) พัฒนาแบบฝกทักษะ 3) ทดลองใชแบบฝกทักษะ และ 4) การประเมินผลและ
ปรับปรุงแบบฝกทักษะ
20
ประโยชนที่ไดรับ
1. ไดแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร โดยใชการจัดการเรียนรู แบบปญหาเปนฐาน เพื่อ
สงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 1 ที่ พั ฒ นาขึ้ น ตรงกั บ
ความตองการของผูเรียน
2. เปนแนวทางในการพัฒนาความสามารถในการแกปญหา ในการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนของนักเรียนใหดียิ่งขึ้นตอไป
3. เพื่อเปนแรงจูงใจใหครูคณิตศาสตรแสวงหาวิธีการสอนและผลิตเครื่องมือ เพื่อสงเสริม
ใหนักเรียนมีความสามารถในการแกปญหา
4. เปนประโยชนตอผูที่ตองการศึกษาหาขอมูลเพิ่มเติมในการพัฒนาแบบฝกทักษะ วิชา
คณิ ตศาสตร เรื่ อ งการประยุ ก ต 1 โดยใช ก ารจัด การเรี ย นรู แ บบป ญ หาเป น ฐาน เพื่ อ สง เสริ ม
ความสามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
22
บทที 2
วรรณกรรมทีเกียวข้ อง
การวิจยั เรื อง การพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การ
จัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชัน
มัธยมศึกษาปี ที 1 ผูว้ จิ ยั ได้ศึกษาหลักการ แนวคิดและงานวิจยั ทีเกียวข้องตามหัวข้อดังต่อไปนี
1. หลัก สู ต รแกนกลางการศึ ก ษาขันพื นฐาน พุ ท ธศัก ราช 2551 และหลัก สู ตร
สถานศึกษา กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ โรงเรี ยนไทรโยคมณี กาญจน์วทิ ยา
2. แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจยั ทีเกียวกับการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ
3. แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจยั เกียวกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบปั ญหาเป็ นฐาน
4. แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจยั เกียวกับความสามารถในการแก้ปัญหา
. หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสู ตรสถานศึกษา กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ คณิตศาสตร์ โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจน์ วิทยา จังหวัดกาญจนบุรี
วิสัยทัศน์
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผูเ้ รี ยนทุกคนซึ งเป็ น
กําลังของชาติ ให้เป็ นมนุษย์ทีมีความสมดุล ทังด้านร่ างกายความรู ้ คุณธรรม มีจิตสํานึ กในความเป็ น
พลเมืองไทยและเป็ นพลโลกยึดมันในการปกครองตามระบอบประชาธิ ปไตย อันมีพระมหากษัตริ ย ์
ทรงเป็ นประมุข มีความรู ้และทักษะพืนฐาน รวมทังเจตคติทีจําเป็ นต่อการศึกษาต่อการประกอบ
อาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสําคัญบนพืนฐานความเชือว่า ทุกคนสามารถ
เรี ยนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
หลักการ
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 มีหลักการทีสําคัญดังนี
1. เป็ นหลักสู ตรการศึกษา เพือความเป็ นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน
การเรี ยนรู้ เป็ นเป้ าหมายสําหรับพัฒนาเด็กและเยาวชน ให้มีความรู้ทกั ษะเจตคติและคุณธรรมบน
พืนฐานของความเป็ นไทยควบคู่กบั ความเป็ นสากล
2. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาเพือปวงชน ทีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา
อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ
3. เป็ นหลักสู ตรการศึกษา ทีสนองการกระจายอํานาจให้สังคม มีส่วนร่ วมในการ
จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิน
22
23
วิสัยทัศน์
โรงเรี ยนไทรโยคมณี กาญจน์วิทยา เป็ นสถานศึกษาทีปฏิ รูปการเรี ยนรู้ ให้ผูเ้ รี ยนสามารถ
พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพและมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ
พันธกิจ
1. จัดกระบวนการเรี ยนการสอนทีเน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสําคัญ โดยใช้วิธีการสอนทีหลากหลาย
มุ่งเน้นให้ ผูเ้ รี ยนเป็ นคนดี มีปัญญา อยูใ่ นสังคมอย่างมีความสุ ข สามารถนําความรู้ไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ ประจําวันได้อย่างเหมาะสม
2. จัดและพัฒนาการเรี ยนการสอนให้ตอบสนองความต้องการของชุมชน เสริ มสร้างความ
สัมพันธ์และความร่ วมมือระหว่างโรงเรี ยน ผูป้ กครอง ชุมชน
3. จัดการเรี ยนการสอน ให้นกั เรี ยนมีความรู ้และทักษะพืนฐานตามหลักสู ตรและสามารถ
สื อสารกับผูอ้ ืนได้อย่างเหมาะสม
4. พัฒนาการวัดผลและประเมินผลทีหลากหลายอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
5. พัฒนาคุณภาพผูเ้ รี ยน ให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์และได้ตามมาตรฐานการศึกษา
ของชาติ
6. จัดกิจกรรมส่ งเสริ มอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ งแวดล้อม และภูมิปัญญาท้องถิน
เป้าประสงค์
นักเรี ยนโรงเรี ยนไทรโยคมณี กาญจน์วิทยา สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพและมี
คุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ
คุณลักษณะทีพึงประสงค์ ของนักเรียน
1. นักเรี ยนมีความรับผิดชอบ
มีระเบียบวินยั
. ซือสัตย์ สุ จริ ต
. ขยัน หมันเพียร
. เมตตา กรุ ณา
. กิริยางดงาม
. ปลอดยาเสพติด
27
คุณภาพผู้เรียน
เมือจบชันมัธยมศึกษาปี ที 3
มีความคิดรวบยอดเกี ยวกับจํานวนจริ ง มีความเข้าใจเกี ยวกับอัตราส่ วน สัดส่ วน
ร้อยละ เลขยกกําลังทีมีเลขชีกําลังเป็ นจํานวนเต็ม รากทีสองและรากทีสามของจํานวนจริ ง สามารถ
ดําเนิ นการเกียวกับจํานวนเต็ม เศษส่ วน ทศนิ ยม เลขยกกําลัง รากทีสองและรากทีสามของจํานวน
จริ ง ใช้การประมาณค่าในการดําเนินการและแก้ปัญหา และนําความรู ้เกียวกับจํานวนไปใช้ในชี วิต
จริ งได้
มีความรู ้ ความเข้าใจเกี ยวกับพืนทีผิวของปริ ซึม ทรงกระบอก และปริ มาตรของ
ปริ ซึม ทรงกระบอก พีระมิด กรวย และทรงกลม เลือกใช้หน่วยการวัดในระบบต่าง ๆ เกียวกับความ
ยาว พืนที และปริ มาตรได้อย่างเหมาะสม พร้อมทังสามารถนําความรู ้เกียวกับการวัดไปใช้ในชี วิต
จริ งได้
สามารถสร้างและอธิบายขันตอนการสร้างรู ปเรขาคณิ ตสองมิติ โดยใช้วงเวียนและ
สันตรง อธิ บายลักษณะและสมบัติของรู ปเรขาคณิ ตสามมิติซึงได้แก่ ปริ ซึม พีระมิด ทรงกระบอก
กรวย และทรงกลมได้
มีความเข้าใจเกียวกับสมบัติของความเท่ากันทุ กประการและความคล้ายของรู ป
สามเหลียม เส้นขนาน ทฤษฎีบทพีทาโกรัสและบทกลับ และสามารถนําสมบัติเหล่านันไปใช้ใน
การให้ เ หตุ ผ ลและแก้ ปั ญ หาได้ มี ค วามเข้า ใจเกี ยวกับ การแปลงทางเรขาคณิ ต (Geometric
Transformation)ในเรื องการเลือนขนาน (Translation) การสะท้อน (Reflection) และการหมุน
(Rotation) และนําไปใช้ได้
สามารถนึกภาพและอธิบายลักษณะของรู ปเรขาคณิ ตสองมิติและสามมิติ
สามารถวิเคราะห์และอธิ บายความสัมพันธ์ของแบบรู ป สถานการณ์ หรื อปั ญหา
และสามารถใช้สมการเชิ งเส้นตัวแปรเดียว ระบบสมการเชิ งเส้นสองตัวแปร อสมการเชิ งเส้นตัว
แปรเดียว และกราฟในการแก้ปัญหาได้
สามารถกําหนดประเด็น เขียนข้อคําถามเกี ยวกับปั ญหาหรื อสถานการณ์ กําหนด
วิธีการศึก ษา เก็บ รวบรวมข้อมูล และนําเสนอข้อมูล โดยใช้แผนภูมิรูป วงกลม หรื อรู ปแบบอื นที
เหมาะสมได้
เข้าใจค่ากลางของข้อมูลในเรื องค่าเฉลียเลขคณิ ต มัธยฐาน และฐานนิ ยมของข้อมูล
ทียังไม่ได้แจกแจงความถี และเลื อกใช้ได้อย่างเหมาะสม รวมทังใช้ความรู ้ ในการพิจารณาข้อมูล
ข่าวสารทางสถิติ
28
ชันมัธยมศึกษาปี ที 1
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ พนฐาน
ื รหัสวิชา ค 21101 จํานวน 60 ชัวโมง/ภาค 1.5 หน่วยกิต
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ พนฐาน
ื รหัสวิชา ค 21102 จํานวน 60 ชัวโมง/ภาค 1.5 หน่วยกิต
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ เพิมเติม รหัสวิชา ค 21201 จํานวน 40 ชัวโมง/ภาค 1.0 หน่วยกิต
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ เพิมเติม รหัสวิชา ค 21202 จํานวน 40 ชัวโมง/ภาค 1.0 หน่วยกิต
ชันมัธยมศึกษาปี ที 2
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ พนฐาน
ื รหัสวิชา ค 22101 จํานวน 60 ชัวโมง/ภาค 1.5 หน่วยกิต
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ พนฐาน
ื รหัสวิชา ค 22102 จํานวน 60 ชัวโมง/ภาค 1.5 หน่วยกิต
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ เพิมเติม รหัสวิชา ค 22201 จํานวน 40 ชัวโมง/ภาค 1.0 หน่วยกิต
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ เพิมเติม รหัสวิชา ค 22202 จํานวน 40 ชัวโมง/ภาค 1.0 หน่วยกิต
ชันมัธยมศึกษาปี ที 3
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ พนฐาน
ื รหัสวิชา ค 23101 จํานวน 60 ชัวโมง/ภาค 1.5 หน่วยกิต
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ พนฐาน
ื รหัสวิชา ค 23102 จํานวน 60 ชัวโมง/ภาค 1.5 หน่วยกิต
รายวิชา คณิ ตศาสตร์ เพิมเติม รหัสวิชา ค 23201 จํานวน 40 ชัวโมง/ภาค 1.0 หน่วยกิต
รายวิชา คณิ ตศาสตร์เพิมเติม รหัสวิชา ค 23202 จํานวน 40 ชัวโมง/ภาค 1.0 หน่วยกิต
29
คําอธิบายรายวิชา
ค 21201 คณิตศาสตร์ เพิมเติม จํานวน 40 ชัวโมง/ภาค 1.0 หน่ วยกิต
ศึ กษา ฝึ กทักษะการคิ ดคํานวณ ฝึ กการแก้ปั ญหา และฝึ กทักษะกระบวนการทาง
คณิ ตศาสตร์ เกี ยวกับการประยุกต์ รู ปเรขาคณิ ต จํานวนนับ ร้อยละในชีวิตประจําวัน ปั ญหาชวน
คิดจํานวนและตัวเลข ระบบตัวเลขโรมัน ระบบตัวเลขฐานต่าง ๆ การเปลียนฐานในระบบตัวเลข การ
ประยุกต์ของจํานวนนับและเลขยกกําลัง การคิดคํานวณ โจทย์ปัญหา การสร้าง การแบ่งส่ วนของ
เส้นตรง การสร้างมุมต่าง ๆ การสร้างรู ปสามเหลียมและรู ปสี เหลียมด้านขนาน
โดยการจัดประสบการณ์ หรื อการสร้ างสถานการณ์ ทีใกล้ตวั ให้ผูเ้ รี ยนได้ศึก ษา
ค้นคว้า โดยการปฏิบตั ิจริ ง พิสูจน์ สรุ ป รายงานผล เพือพัฒนาทักษะ กระบวนการในการคิดคํานวณ
การแก้ปั ญหา การให้เหตุ ผล การสื อความหมายทางคณิ ตศาสตร์ และการนําประสบการณ์ ด้า น
ความรู ้ ความคิด ทักษะกระบวนการทีได้ ไปใช้ในการเรี ยนรู ้สิงต่าง ๆ และใช้ในชี วิตประจําวันอย่าง
สร้างสรรค์ รวมทังเห็นคุณค่าและมีเจตคติทีดีต่อคณิ ตศาสตร์ สามารถทํางานอย่างเป็ นระบบระเบียบ
รอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ มีความเชือมันในตนเอง มีความซื อสัตย์สุจริ ต มีวินยั
ใฝ่ เรี ยนรู ้ มีความมุ่งมันในการทํางาน มีจิตสาธารณะ และมีคุณธรรมจริ ยธรรม เพือการพัฒนาสู่
ประชาคมอาเซียน
ผลการเรียนรู้ (จํานวน 11 ผลการเรี ยนรู้)
1. อ่านและเขียนเลขโรมันได้
2. บอกค่าของเลขโดดและเขียนตัวเลขฐานต่างๆ ทีกําหนดให้ได้
3. ใช้ความรู ้เกียวกับจํานวนเต็มและเลขยกกําลังในการแก้ปัญหาได้
4. ใช้การประมาณค่าในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม
5. ใช้การสร้างพืนฐาน สร้างมุมขนาดต่างๆได้
6. ใช้ความรู้และทักษะกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ แก้ปัญหาต่างๆได้
7. ใช้วธิ ี การทีหลากหลายในการแก้ปัญหาได้
8. ให้เหตุผลประกอบการตัดสิ นใจและสรุ ปผลได้อย่างเหมาะสม
9. ใช้ภาษาสัญลักษณ์ทางคณิ ตศาสตร์ในการสื อสาร การสื อความหมาย และการนําเสนอได้
อย่างถูกต้องและชัดเจน
10. เชือมโยงความรู ้ต่างๆในคณิ ตศาสตร์และนําความรู้ หลักการ กระบวนการทางคณิ ตศาสตร์
ไปเชือมโยงกับศาสตร์ อืนๆได้
11. มีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์
30
แผนการ เวลา
แบบฝึ กทักษะ ผลการเรียนรู้ เนือหา
จัดการเรียนรู้ (ชัวโมง)
1 1. ใช้ความรู้และทักษะ - ทดสอบความรู ้ก่อนเรี ยน 2
กระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ - สมบัติของรู ปสามเหลียม
2 รู ปเรขาคณิ ต แก้ปัญหาต่างๆได้ - จุดภายใน จุดภายนอก 2
สะกิดใจ 2.ใช้วธิ ีการทีหลากหลายใน - แทนแกรม
การแก้ปัญหา
3. มีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์
3 จํานวนนับ 1. ใช้ความรู้และทักษะ - จํานวนเฉพาะ 2
4 หรรษา กระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ - การหา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. 2
แก้ปัญหาต่างๆได้
5 1. ใช้ความรู้และทักษะ - ร้อยละ เปอร์ เซ็นต์ ต้นทุน 2
ร้อยละใน กระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ ขาดทุน กําไร ค่านายหน้า
ชีวติ ประจําวัน แก้ปัญหาต่างๆได้ ดอกเบีย
6 2.ใช้วธิ ีการทีหลากหลายใน - โจทย์ปัญหาร้อยละ 2
การแก้ปัญหา
7 1. ใช้ความรู้และทักษะ - กิจกรรมผลบวกของจํานวนคี 2
กระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ มีอะไรอยูเ่ ท่าไร เงิน จํานวน
แก้ปัญหาต่างๆได้ เรี ยงอิฐปูพนื
8 2.ใช้วธิ ีการทีหลากหลายใน - กิจกรรมแบ่งทีดินปลูกผัก 2
การแก้ปัญหา - มีลูกอมอยูก่ ีเม็ด
ปัญหาชวนคิด 3. เชือมโยงความรู ้ต่างๆใน - ทดสอบความรู้หลังเรี ยน
คณิ ตศาสตร์ และนําความรู้
หลักการ กระบวนการทาง
คณิ ตศาสตร์ไปเชือมโยงกับ
ศาสตร์อืนๆ
4. มีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์
34
จาก ตารางที 2 ผลการเรี ยนรู ้ ของแต่ละแบบฝึ กทักษะ หน่ วยการเรี ยนรู ้ ที 1 เรื องการ
ประยุกต์ 1 มีแบบฝึ กทักษะจํานวน 4 เล่ม ประกอบด้วย เล่ มที 1 เรื องรู ปเรขาคณิ ต สะกิ ดใจ
ประกอบด้วย การทดสอบความรู ้ก่อนเรี ยน สมบัติของรู ปสามเหลียม จุดภายใน จุดภายนอก และ
แทนแกรม ใช้แผนการจัดการเรี ยนรู้ที 1 และ 2 จํานวน 4 ชัวโมง มีผลการเรี ยนรู้ คือ 1) ใช้ความรู้
และทักษะกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ แก้ปัญหาต่างๆได้ 2)ใช้วธิ ีการทีหลากหลายในการแก้ปัญหา
3) มีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์ เล่มที 2 เรื อง จํานวนนับหรรษา ประกอบด้วย จํานวนเฉพาะและการ
หา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ใช้แผนการจัดการเรี ยนรู้ที 3 และ 4 จํานวน 4 ชัวโมง มีผลการเรี ยนรู้ คือใช้
ความรู้ และทักษะกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ แก้ปัญหาต่างๆได้ เล่มที 3 เรื องร้ อยละในชี วิต
ประจําวัน ประกอบด้วยร้อยละ เปอร์ เซ็นต์ ต้นทุ น ขาดทุ น กําไร ค่านายหน้า ดอกเบีย และโจทย์
ปัญหาร้อยละ ใช้แผนการจัดการเรี ยนรู้ที 5 และ 6 จํานวน 4 ชัวโมง มีผลการเรี ยนรู้ คือ 1)ใช้ความรู้
และทักษะกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์แก้ปัญหาต่างๆได้ 2)ใช้วธิ ีการทีหลากหลายในการแก้ปัญหา
และเล่มที 4 เรื องโจทย์ปัญหาชวนคิด ประกอบด้วย กิจกรรมผลบวกของจํานวนคี มีอะไรอยูเ่ ท่าไร
เงิน จํานวนเรี ยงอิฐปูพนื กิจกรรมแบ่งทีดินปลูกผัก มีลูกอมอยูก่ ีเม็ดและทดสอบความรู้หลังเรี ยน ใช้
แผนการจัดการเรี ยนรู้ที 7 และ 8 จํานวน 4 ชัวโมง มีผลการเรี ยนรู ้คือ1)ใช้ความรู้และทักระบวนการ
ทางคณิ ตศาสตร์ แก้ปัญหาต่างๆได้ 2)ใช้วิธีการทีหลากหลายในการแก้ปัญหา 3) เชือมโยงความรู้
ต่างๆในคณิ ตศาสตร์ และนําความรู้ หลักการ กระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ ไปเชื อมโยงกับศาสตร์
อืนๆ 4) มีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์
. แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยทีเกียวกับการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ
แบบ ฝึ กทักษะ ถื อเป็ นสื อหรื อนวัตกรรมที จําเป็ นอย่างหนึ งที จะทําให้การเรี ยนการสอน
บรรลุ ผ ล อี ก ทังยัง สามารถช่ ว ยในการฝึ กทัก ษะผู ้เ รี ย นได้ดี นัก การศึ ก ษาได้ใ ห้ ค วามหมาย
ความสําคัญ การสร้างแบบฝึ กทักษะและประเด็นต่างๆทีสําคัญไว้หลายประการดังต่อไปนี
ความหมายของแบบฝึ กทักษะ
แบบฝึ กทักษะ หรื อ แบบฝึ ก มีความหมายเดี ยวกันซึ งบางครังจะเรี ยกว่า แบบฝึ ก
บางครั งก็ เรี ย กว่า แบบฝึ กทัก ษะ เพราะเป็ นนวัตกรรมที ครู นํา มาใช้ใ นการฝึ กทัก ษะของผูเ้ รี ย น
เพือให้เกิ ดรู ปแบบในการเรี ยนการสอนและเพิมประสิ ทธิ ภาพของการเรี ยนให้สูงยิงขึ น ดังมีนัก
การศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของแบบฝึ กทักษะไว้ ดังนี
35
จากตารางที 3 จึ งสรุ ปได้ว่าแบบฝึ กทักษะหมายถึ งเอกสารที ผูว้ ิจยั สร้ างขึน เพือพัฒนา
ความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1 ซึ งสอดคล้องกับมาตรฐานและ
ผลการเรี ยนรู้ วิชาคณิ ตศาสตร์ ตามหลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551
ตารางที 4 การสังเคราะห์องค์ประกอบของแบบฝึ กทักษะ
องค์ประกอบของ แบบทดสอบ แบบทดสอบ
ชือ คํา คํา วัตถุประสงค์ แบบฝึ ก
แบบฝึ กทักษะ สารบัญ ก่ อนเรียน หลังเรียน
เรือง นํา ชีแจง การเรียนรู้ ทักษะ
ชือผู้วจิ ัย
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545) √ - √ √ - √ √ √
อุบลวรรณ ปรุ งวนิชพงษ์ (2548) √ √ √ - √ √ √ √
วราภรณ์ ระบาเลิศ (2552) √ √ √ √ √ √ √ √
สุภาวดี คําฝึ กฝน (2552) √ √ √ - √ √ √ √
พัฒนพงศ์ บรรณการ (2552) √ √ √ - √ √ - √
3. เขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม และกําหนดเกณฑ์การทดสอบเพือให้สัมพันธ์กบั
จุดประสงค์
4. กําหนดกลวิธีการสอนหรื อส่ วนประกอบของการสอน เช่น ขันนํา เสนอเนื อหา
หรื อขันฝึ กปฏิบตั ิ
5. เลือกรู ปแบบการสอนและสื อทีจะนํามาสร้างเป็ นแบบฝึ กทักษะ
6. วางแผนการผลิต พัฒนาสื อ ตรวจสอบขันตอนในการพัฒนาสื อ เพือให้สอด
คล้องกับโครงสร้างการสอน
7. วางแผน และกําหนดกลวิธีทีจะใช้ในการประเมินผลขันปฏิบตั ิการ (Formative
Evaluation) รวบรวมข้อมูลในขันการวัดการเรี ยนรู ้รายจุดประสงค์ เพือนําไปพิจารณาปรับปรุ งหรื อ
อาจมีการทดสอบใหม่
8. วางแผนขันตอนในการใช้เครื องมือ
9. ดําเนินการประเมินผลขันสรุ ป
10. นําแบบฝึ กทักษะทีผลิตออกเผยแพร่
วิมลรัตน์ สุ นทรโรจน์ (2549: 98) ได้กล่าวถึงขันตอนการสร้างแบบฝึ กทักษะ ดังนี
1. ศึกษาปัญหาและความต้องการ โดยศึกษาจากการผ่านจุดประสงค์การเรี ยนรู ้และ
ผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยน
2. วิเคราะห์เนื อหาหรื อทักษะทีเป็ นปั ญหา ออกเป็ นเนื อหาหรื อทักษะย่อยๆ เพือใช้
ในการสร้างแบบทดสอบและแบบฝึ ก
3. พิจารณาวัตถุประสงค์ รู ปแบบ และขันตอนในการใช้แบบฝึ ก เช่น จะนําแบบฝึ ก
ไปใช้อย่างไร ในแต่ละชุดประกอบด้วยอะไรบ้าง
4. สร้างแบบทดสอบ ซึ งอาจเป็ นแบบทดสอบเชิงสํารวจ แบบทดสอบเพือวินิจฉัย
ข้อบกพร่ อง แบบทดสอบความก้าวหน้าเฉพาะตอน โดยแบบทดสอบทีสร้างจะต้องสอดคล้องกับ
เนือหาหรื อทักษะทีวิเคราะห์ในตอนที 2
5. สร้างบัตรฝึ กหัด เพือใช้พฒั นาทักษะแต่ละทักษะ ในแต่ละบัตรจะมีคาํ ถามให้
นักเรี ยนตอบ
6. สร้างบัตรอ้างอิง เพือใช้อธิ บายคําตอบหรื อแนวทางการตอบแต่ละเรื องการสร้าง
บัตรอ้างอิงนีอาจทําเพิมเติมเมือได้นาํ แบบฝึ กนันไปทดลองใช้แล้ว
7. สร้างแบบบันทึกความก้าวหน้า เพือใช้บนั ทึกผลการทดสอบหรื อผลการเรี ยนใน
แต่ละเรื องแต่ละตอน สอดคล้องกับแบบทดสอบความก้าวหน้า
41
สํา หรั บ ชัย ยงค์ พรหมวงศ์แ ละคณะ (2540: 101-102, อ้า งถึ ง ใน วัน เ พ็ ญ
คุ ณ พิ ริ ยะเทวี , 2548: 67) ได้กาํ หนดตัวเลขเป็ นร้อยละของประสิ ทธิภาพมีค่าเป็ น E1/E2
E1 = × 100
E2 = × 100
ลักษณะแบบฝึ กทักษะทีดี
การสร้างแบบฝึ กทักษะให้มีคุณภาพ เหมาะสําหรับการนําไปใช้กบั นักเรี ยนแต่ละ
ระดับ ชั น ต้องศึกษาองค์ประกอบหลายๆ ประการ มีนกั การศึกษาหลายท่านได้เสนอแนะเกียวกับ
ลักษณะของแบบฝึ กทักษะทีดีไว้ ดังนี
ศรศักดิ ศรี ตระกูล ( : 22-23) ได้เสนอแนะลักษณะแบบฝึ กทักษะทีดีไว้ ดังนี
. ควรมีขอ้ เสนอแนะในการใช้
. ควรมีคาํ หรื อข้อความให้อย่างจํากัดและฝึ กอย่างเสรี
. คําสังหรื อตัวอย่างไม่ควรยาวเกินไป
. ถ้าต้องการให้ศึกษาด้วยตนเอง แบบฝึ กควรมีหลายรู ปแบบ
. ควรใช้จิตวิทยาและกระบวนการเรี ยนรู้ของเด็ก
. ควรสร้างขึนเพือฝึ กสิ งทีจะสอนและเกียวข้องกับนักเรี ยน
. คําพูดหรื อเนื อหาควรเกียวข้องกับชี วิตประจําวัน และเป็ นสิ งทีนักเรี ยน
พบเห็นอยูแ่ ล้ว
. สิ งทีฝึ กแต่ละครังควรเป็ นบทสันๆและเข้าใจง่ายไม่น่าเบือและทีสําคัญ
ต้องยัวยุและกระตุน้ ให้เด็กสนใจอยากฝึ ก
นอกจากนี ริ เวอร์ (River, 1968: 33) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึ กทักษะทีดีดงั นี
1. ต้องมีการฝึ กนักเรี ยนมากพอควร ในเรื องใดเรื องหนึงก่อนทีจะมีการฝึ ก
เรื องอืนๆ ต่อไป
2. แต่ละบทควรฝึ กโดยใช้แบบประโยคเพียงหนึงแบบ
3. ฝึ กทังโครงสร้างใหม่และสิ งทีเรี ยนมาแล้ว
4. ประโยคทีฝึ กควรเป็ นประโยคสันๆ
5. ควรใช้ประโยคและคําศัพท์ทีใช้พดู กันในชีวติ ประจําวันทีนักเรี ยนรู ้จกั ดี
6. เป็ นแบบฝึ กทักษะทีนักเรี ยนใช้ความคิดด้วย
7. แบบฝึ กทักษะควรมีหลายๆ แบบเพือไม่ให้นกั เรี ยนเกิดความเบือหน่าย
8. ควรฝึ กให้นกั เรี ยนสามารถนําสิ งทีเรี ยนมาแล้วไปใช้ประโยชน์ใน
ชีวติ ประจําวัน
9. ฝึ กให้นกั เรี ยนสามารถใช้สิงทีเรี ยนมาแล้วติดต่อกับผูอ้ ืนได้
วันเพ็ญ คุณพิริยะทวี (2548: 63)ได้เสนอแนวคิดเกียวกับลักษณะแบบฝึ กทักษะทีดีไว้
ว่าควรมีความสอดคล้องกับเนือหาในบทเรี ยน เป็ นไปตามลําดับความยากง่ายเนือเรื องควรเกี ยวข้ อ ง
47
แนวคิด/แนวทาง
ข้อเท็จจริ ง ประเด็นทีต้องศึกษาค้นคว้า วิธีการศึกษา
ในการแก้ปัญหา
55
ส่ วนส่ ง เสริ ม วิช าการ มหาวิท ยาลัย วลัย ลัก ษณ์ ได้จดั ทําคู่ มื อการเรี ย นรู ้ แ บบใช้
ปัญหาเป็ นฐาน โดยเสนอขันตอนการจัดการเรี ยนรู ้ไว้ทงสิ ั น 7 ขันตอน ดังนี
ขันที 1 อธิ บายคําศัพท์ทีไม่เข้าใจ (Clarifying Unfamiliar Terms) กลุ่ม
ผูเ้ รี ยนทําความเข้าใจคําศัพท์และข้อความทีปรากฏอยูใ่ นโจทย์ปัญหาให้ชดั เจน
ขันที 2 ตังปั ญหา (Problem Definition) กลุ่มผูเ้ รี ยนร่ วมกันระบุปัญหาหลัก
ทีปรากฏในโจทย์ปัญหานันว่าเป็ นปั ญหาอะไร
ขันที 3 ระดมสมอง (Brainstorm) กลุ่มผูเ้ รี ยนระดมสมองวิเคราะห์ปัญหา
โดยอาศัยความรู ้เดิมของสมาชิกกลุ่มทุกคนและทุกความคิดมีค่า
ขันที 4 วิเคราะห์ปัญหา (Analyzing the Problem) กลุ่มผูเ้ รี ยนอธิ บายและ
ตังสมมติ ฐานที เชื อมโยงกัน กับ ปั ญ หาตามที ได้ร ะดมสมองกัน ช่ ว ยกัน คิ ดอย่า งมี เ หตุ ผ ล สรุ ป
รวบรวมความรู ้และแนวคิดของกลุ่ม
ขันที 5 สร้างประเด็นการเรี ยนรู้ (Formulating Learning Issues) กลุ่ม
ผูเ้ รี ยนกําหนดวัตถุ ประสงค์การเรี ยนรู ้ เพือค้นหาข้อมูลที จะอธิ บายผลการวิเคราะห์ ทีตังไว้ กลุ่ ม
ร่ วมกันสรุ ป ว่าความรู ้ ส่วนใดรู ้ แล้ว ส่ วนใดที ยังไม่รู้หรื อจําเป็ นต้องไปค้นคว้าเพิมเติ มเพือจะได้
อธิบายปั ญหานัน
ขันที 6 ค้นคว้าหาความรู้ดว้ ยตนเอง (Self - Directed Learning) กลุ่มผูเ้ รี ยน
ค้นคว้า รวบรวมสารสนเทศจากสื อและแหล่งการเรี ยนรู ้ต่างๆ เช่น ห้องสมุด อินเตอร์ เน็ต ฯลฯ เพือ
พัฒนาทักษะการเรี ยนรู้ดว้ ยตนเอง
ขันที 7 รายงานต่อกลุ่ม (Reporting) กลุ่ มผูเ้ รี ยนนํารายงานข้อมูลหรื อ
สารสนเทศใหม่ทีได้มาจากการค้นคว้าเพิมเติ มมาอภิปราย วิเคราะห์ สังเคราะห์ เพือสรุ ปเป็ นองค์
ความรู้
กุลยา ตันติผลาชีวะ (2548: 79) อธิ บายไว้วา่ กระบวนการแก้ปัญหาเป็ นขันตอนที
สําคัญของการเรี ยนรู้แบบเน้นปั ญหาเป็ นฐาน จากประเด็นปั ญหาทีกลุ่มผูเ้ รี ยนได้รับจากผูส้ อน เมือ
ผูส้ อนแนะนําเกียวกับการศึกษาปั ญหา แหล่งข้อมูลประกอบการศึกษาแล้วผูเ้ รี ยนต้องดําเนิ นการ
เรี ยนเอง 4 ขันตอน ดังนี
ขันที 1 ศึกษาปั ญหาและตังสมมุติฐาน เมือกลุ่มผูเ้ รี ยนได้รับประเด็น
ปัญหาแล้วให้กลุ่มทําความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่าจุดประสงค์การเรี ยนรู ้คืออะไร แล้วจึงจะวิเคราะห์
ประเด็นปั ญหา ตังสมมุ ติฐานเพือหาคําตอบ โดยผูเ้ รี ยนประเมิ นตนเองว่าต้องใช้ความรู ้ อะไร
สาขาวิชาใด จะค้นหาจากแหล่งไหน เพือเป็ นพืนฐานของการศึกษาหาเหตุผลและคําอธิ บาย เพือ
ประมวลว่าอะไรคือประเด็นปั ญหาสาเหตุและคําตอบปั ญหาให้ได้
58
ตารางที 6 การสังเคราะห์ขนตอนการจั
ั ดการเรี ยนรู ้แบบปัญหาเป็ นฐาน
สเตปเพียน และแกล เดลลีส เซวอย และฮิวจ์ Barrows และ สํานักงาน ส่ วนส่ งเสริ ม กุลยา อนุรักษ์
แลกเกอร์ (Stepien (Delisle, (Savoil and Hugles Roblyn เลขาธิการ วิชาการ ตันติผลา เร่ งรัด
and Gallagher, 1993 1997: 1994, อ้างถึงใน (1980: สภาการศึกษา มหาวิทยาลัย ชีวะ(2548: (ผูว้ ิจยั )
, อ้างถึงใน วัชรา เล่า 26-36 วัชรา เล่าเรี ยนดี, 144 - 145) (2550) วลัยลักษณ์ 79)
เรี ยนดี , 2554: 110) 2554 : 110-111)
ขันที 1 ขันที 1 ขันที 1 ขันที 1 ขันที 1 ขันที 1 ขันที 1 ขันที 1
เข้าสู่ปัญหาและ การ ระบุปัญหาที นําเสนอด้วย กําหนดปัญหา อธิ บายคําศัพท์ ศึกษาปัญหา การเชือม
นิยามปัญหา เชือมโยง เหมาะ สม ปัญหา ทีไม่เข้าใจ และตัง โยงปัญหา
สําหรับผูเ้ รี ยน สมมุติฐาน และนํา เสนอ
ปัญหา
ขันที 2 ขันที 2 ขันที 2 เชือมโยง ขันที 2 สร้าง ขันที 2 ขันที 2 ขันที 2 ศึกษา ขันที 2
หาข้อมูล รวบรวม กําหนด ปัญหากับบริ บทของ ประเด็นการ ทําความเข้าใจ ตังปัญหา ค้นคว้าด้วย ทําความ
ข้อมูลทีเกียวข้อง กรอบ ผูเ้ รี ยน เรี ยนระหว่าง ปัญหา ตนเอง เข้าใจกับ
การศึกษา อภิปรายกลุ่ม ปัญหา
ขันที 3สังเคราะห์ ขันที 3 ขันที 3 มอบหมาย ขันที 3 ขันที 3 ขันที 3 ขันที 3 ขันที 3
ข้อมูลและปฏิบตั ิ การศึกษา ความรับผิด ชอบให้ จัดลําดับ ดําเนิน ระดมสมอง ประยุกต์ ดําเนิน
ปัญหา ผูเ้ รี ยน ความสําคัญ การศึกษา ความรู ้ การศึกษา
ของประเด็น ค้นคว้า ค้นคว้า
การเรี ยนและ
การมอบงาน
ขันที 4 ขันที 4 ขันที 4 ขันที 4 ขันที 4 ขันที 4 ขันที 4
การรวบ กระตุน้ ความร่ วมมือ สรุ ปความรู ้ที สรุ ปผลการ วิเคราะห์ปัญหา ประเมินผล สังเคราะห์
รวมความ ได้หลังการ แก้ไขปัญหา การเรี ยนรู ้ ข้อมูลและ
รู ้ เลือก เรี ยน และความรู ้ทีได้ ปฏิบตั ิ
แนวทาง
แก้ปัญหา
ขันที 6 ขันที 6
นําเสนอและ ค้นคว้า
ประเมินผลงาน หาความรู ้
ด้วยตนเอง
ขันที 7
รายงานต่อกลุ่ม
60
จากตารางที 6 การสังเคราะห์ขนตอนการจั
ั ดการเรี ยนรู ้แบบปั ญหาเป็ นฐาน ใช้ขนตอนใน
ั
การวิจยั ครังนี 5 ขันตอนต่อไปนี
ขันที 1 การเชือมโยงปั ญหาและนําเสนอปั ญหา(The Related Problem and Problem
Presentation) เป็ นขันตอนในการสร้างปั ญหา เพราะในการเรี ยนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน ผูเ้ รี ยน
จะต้องมีความรู้ สึกว่าปั ญหานันมี ความสําคัญต่อตนก่ อน ครู ควรเลือกหรื อออกแบบปั ญหาให้
สอดคล้องกับผูเ้ รี ยน ดังนันในขันนี ครู จะสํารวจประสบการณ์ ความสนใจของผูเ้ รี ยนแต่ละบุคคล
ก่อนเพือเป็ นแนวทางในการเลือกหรื อออกแบบปั ญหา โดยครู จะยกประเด็นทีเกียวข้องกับปั ญหา
ขึนมาร่ วมกันอภิปรายก่อนแล้วครู และนักเรี ยนช่วยกันสร้างปั ญหาทีผูเ้ รี ยนสนใจขึนมาเพือนําไป
เป็ นปั ญหาสําหรับการเรี ยนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน ประเด็นทีครู ยกมานันจะต้องเป็ นประเด็นทีมี
ความสัมพันธ์กบั ความรู ้ในเนือหาวิชาและทักษะทีต้องการให้นกั เรี ยนได้รับ
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปั ญหา (Understanding of the Problem ) นักเรี ยนร่ วมมือ
กันเรี ยนรู้ ให้ผูเ้ รี ยนร่ วมอภิ ปรายแสดงความคิ ดเห็ นเพือทําความเข้าใจกับปั ญหาให้ชัดเจน และ
สามารถอธิ บายสิ งต่าง ๆ ทีเกียวข้องกับปัญหาได้ เช่น โจทย์กาํ หนดอะไร ต้องการอะไร
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า (The Study of Problem) เป็ นขันทีนักเรี ยนแต่ละ
คน ดําเนิ นการศึกษาค้นคว้า เพือวางแผนการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทีหลากหลาย หรื ออาจมาจาก
ความรู้ /ประสบการณ์ เ ดิ ม และสามารถหาได้จ ากแหล่ ง ข้อ มู ล หรื อ สื อต่ า งๆ เช่ น ใบความรู ้
ใบกิจกรรม เอกสารแนะแนวทาง หนังสื อเรี ยน Internet เป็ นต้น
ขันที 4 สังเคราะห์ขอ้ มูลและปฏิบตั ิ (The Synthesis of Data and Procedure)
กิ จกรรมในขันตอนนี เน้นฝึ กทักษะการคิดแก้ปัญหาให้กบั ผูเ้ รี ยน เป็ นขันทีผูเ้ รี ยนแต่ละคนสร้ าง
ทางเลื อกหรื อกําหนดแนวทางการแก้ปัญหา อาจมี การสร้ างสื อ วาดภาพประกอบหรื อจัดการกับ
สาระความรู้ ใ หม่ ซึ งแตกต่ า งจากการทํา รายงานธรรมดา แต่เ ป็ นการนํา เสนอแนวทาง วิ ธี ก าร
แก้ปัญหาทีชัดเจน ดําเนินการแก้ปัญหาตามวิธีการแก้ปัญหาทีหลากหลาย ภายใต้พืนฐานของการคิด
วิเคราะห์ การคิดริ เริ มสร้างสรรค์ เป็ นต้น
ขันที 5 สรุ ปผลการแก้ปัญหาและความรู ้ทีได้ (The Conclusion of Solution)
การจัดกิจกรรมในขันตอนนีเป็ นการฝึ กคิดแก้ปัญหา เป็ นขันทีผูเ้ รี ยนแต่ละคนนําความรู ้ทีได้จากการ
คิดแก้ปัญหา ความคิด/วิธีการทีแปลกใหม่ หรื อแนวทางจากการศึ กษาค้นคว้าเพิมเติ ม และนํามา
สร้างมโนทัศน์คาํ อธิบายของสถานการณ์ปัญหาด้วยตนเอง ประมวลความรู ้ทีได้วา่ มีความสอดคล้อง
เหมาะสมสําหรับการแก้ปัญหาทีเกิดขึนเพียงใด และสรุ ปเป็ นภาพรวม
61
บทบาทผู้สอน
การเรี ยนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน อาจารย์ผสู ้ อนจะมีบทบาททีแตกต่างไปจากการ
เรี ยนการสอนแบบเดิม คือ ไม่ใช่ผเู ้ ชียวชาญทีทําหน้าทีให้ความรู ้ ถ่ายทอดความรู ้แก่ผเู ้ รี ยนเพียงอย่าง
เดียว แต่จะเป็ นผูจ้ ดั ประสบการณ์ให้ผเู ้ รี ยนรักในวิชานันให้มีวิธีเรี ยนทีถูกวิธีและเสริ มสร้างปั ญญา
ในระดับสู ง นอกจากนี อาจารย์ยงั มีบทบาทเป็ นผูอ้ าํ นวยความสะดวกในการเรี ยน สร้างบทเรี ยนที
เป็ นสถานการณ์ปัญหาทีจะกระตุน้ ให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้ในเนื อหาทีเป็ นแนวคิดสําคัญของปั ญหานัน
ตลอดจนการประเมินผลการเรี ยนการเป็ นผูอ้ าํ นวยความสะดวกในการเรี ยน การทีผูเ้ รี ยนรู้ดว้ ยตนเอง
ได้นนอาจารย์
ั ผสู้ อน จะต้องมีดว้ ยกัน 2 กลุ่ม คือ
1. ผูเ้ ชี ยวชาญ (Resource Person) เป็ นผูใ้ ห้ความรู ้แก่ผเู ้ รี ยนในแขนงทีตนเอง
เชียวชาญ จะสอนเมือเป็ นความต้องการของผูเ้ รี ยน และสอนในขอบเขตเนือหาทีผูเ้ รี ยนต้องการ
63
● ศึกษาขันตอนการสอน
บทบาทผู้สอน ● จัดทําแผนการจัดการเรี ยนรู ้
บทบาทผู้เรียน
ในการจัดการเรียนรู้ ● จัดทําเครื องมือวัดและประเมินผล
● ถามคําถามให้คิดละเอียด ● ตังคําถามในประเด็นทีอยากรู ้
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปั ญหา ● ระดมสมองหาความหมาย/นิ ยาม
● กระตุน้ ยัวยุ ให้คิดต่อ
● ช่วยตรวจสอบแนะนําความ ● อธิ บายสถานการณ์ของปั ญหา
● ช่วยตรวจสอบการประมวลสร้าง ● แต่ละคนนําเสนอข้อมูลทีได้
ความรู้ใหม่ ขันที 5 สรุ ปผลการแก้ปัญหาและ ทังหมดมาประมวลสร้างเป็ นองค์
● พิจารณาความเหมาะสม ความรู ้ทีได้ ความรู ้ใหม่และสรุ ปผล
จากการประเมิ น ผลการเรี ย นรู ้ โดยใช้ปั ญ หาเป็ นฐานที กล่ า วมาข้า งต้น ในการ
ประเมินนันควรจะทําตังแต่เริ มแรกของการเรี ยนการสอน ซึ งสามารถสรุ ปได้ดงั นี
1. การประเมินผลผูเ้ รี ยน ผูส้ อนทําการประเมิ นผูเ้ รี ยนทังในด้านของ
ความรู้ ทักษะและการทํางานกลุ่ม
2. การประเมินผลของตัวผูส้ อนเอง เพือเป็ นการสะท้อนตัวผูส้ อนเองว่า
ผูเ้ รี ย นบรรลุ ผลการเรี ยนรู ้ หรื อไม่ จากการจัดกิ จกรรมโดยใช้ปั ญหาเป็ นฐาน และเพื อเป็ นการ
ปรับปรุ งในการเรี ยนการสอนครังต่อไป
3. การประเมินผลปั ญหาทีใช้ในการจัดการเรี ยนรู้ เพือดูวา่ เหมาะสมกับ
ผูเ้ รี ยนหรื อไม่และปัญหานันทําให้ผเู ้ รี ยนเกิดการเรี ยนรู ้ดว้ ยตนเองหรื อไม่
4. ใช้วธิ ีการในการประเมินทีหลากหลาย และประเมินผูเ้ รี ยนตังแต่เริ มแรก
จนจบบทเรี ยน
5. ประเมินผลตามสภาพจริ ง
งานวิจัยต่ างประเทศ
เอลเชฟเฟ (Elshafei, 1998: Online) ได้ทาํ การศึกษาเพือเปรี ยบเทียบผลการเรี ยนรู้
ของนักเรี ยนทีเรี ยนด้วยวิธีการเรี ยนรู ้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐานกับการเรี ยนแบบปกติในวิชาพีชคณิ ต 2
โดยได้ทาํ การวิจยั กึงทดลองกับนักเรี ยนโรงเรี ยนมัธยมศึกษาตอนปลายในรัฐแอตแลนตา จํานวน 15
ห้องเรี ยน 342 คน แบ่งเป็ นห้องเรี ยนแบบปกติ 8 ห้อง และเรี ยนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน 7 ห้อง
ผลการวิจยั พบว่านักเรี ยนทีเรี ยนด้วยวิธีการเรี ยนรู ้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน มีผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยน
สู งกว่านักเรี ยนทีเรี ยนด้วยวิธีการเรี ยนแบบปกติอย่างมีนยั สําคัญ ซึ งเป็ นผลมาจากการทีนักเรี ยน
เรี ยนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ดว้ ยตนเอง มีการรวมกลุ่มกันแก้ปัญหาและ
สามารถคิดค้นวิธีการแก้ปัญหาได้ดีกว่านักเรี ยนทีเรี ยนแบบปกติ
73
4. แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยทีเกียวกับความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์
ความหมายของปัญหาและการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์
มีนกั การศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการแก้ปัญหาไว้ดงั นี
บรังคา (ชัยรัตน์ สุ ลาํ นาจ 2547: 6, อ้างอิงจาก Branca, 1980: 3 – 8)ได้ให้ความหมาย
ของการแก้ปัญหาไว้ 3 ประการ ดังนี
1. การแก้ปัญหาในฐานะที เป็ นเป้ าหมายของการเรี ยนรู ้ คณิ ตศาสตร์ (Problem
Solving as a Goal) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็ นเหตุผลหนึ งทีสําคัญต่อการเรี ยนคณิ ตศาสตร์
ดังนันในการแก้ปัญหาจึงเป็ นอิสระจากคําถามหรื อปั ญหาเฉพาะเจาะจงใด ๆ หรื อวิธีการและเนือหา
สาระใด ๆ
2. การแก้ปัญหาในฐานะทีเป็ นกระบวนการ (Problem Solving as a Process) สิ งที
ถือว่าสําคัญเมือการแก้ปัญหาเป็ นกระบวนการ คือ วิธีการ ยุทธวิธี หรื อเทคนิคเฉพาะต่างๆ ที
นักเรี ยนจําเป็ นต้องใช้ในการแก้ปัญหาแบบต่าง ๆ กระบวนการแก้ปัญหาเหล่านี จึงเป็ นสาระสําคัญ
และเป็ นเป้ าหมายหลักของหลักสู ตรคณิ ตศาสตร์
3. การแก้ปัญหาในฐานะเป็ นทักษะพืนฐาน (Problem Solving as a Basic Skill) เมือ
การแก้ปัญหาจัดเป็ นทักษะพืนฐานการเรี ยนการสอนคณิ ตศาสตร์ จึงให้ความสําคัญกับลักษณะเฉพาะ
ของโจทย์ปัญหา แบบของปั ญหา และวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ทีควรรู้ จุดเน้นอยูท่ ีสาระสําคัญของ
การแก้ปัญหาทีทุกคนต้องเรี ยนรู ้ การเลือกปั ญหาและเทคนิควิธีการแก้ปัญหาเหล่านัน
75
ดอสเซย์ และคนอืนๆ (Dossey and others, 2002: 72) กล่าวว่า การแก้ปัญหา คือ
กระบวนการโดยให้ตอบคําถามหรื อการจัดการกับสถานการณ์ ปั ญหาทียากและน่ าเบือ สําหรับ
บุคคลหนึ งอาจเป็ นเรื องปกติ และการคํานวณที คล่องแคล่วสําหรับอีกบุ คคลหนึ ง กระบวนการ
แก้ปัญหาจึงต้องใช้การสร้างองค์ความรู ้ตามวิถีทางใหม่ ๆ หรื อทีแตกต่างจากเดิม ใช้หลักในการ
วางแผนหรื อยุทธวิธีทีจะนําไปสู่ เป้ าหมายทีต้องการ และการได้มาซึงความรู ้ใหม่ทีเป็ นไปได้เกียวกับ
สถานการณ์นนๆกระบวนการนี
ั อาจจะยุง่ ยากซับซ้อนขึน เมือมีการต้องการสร้างการเชื อมโยง ซึ ง
นักเรี ยนจะได้ประสบการณ์จากกระบวนการนีและสามารถพัฒนายุทธวิธีการแก้ปัญหาทีหลากหลาย
เบลล์ (Bell, 1978: 311 ) กล่าวว่า การแก้ปัญหามีความสําคัญและเหมาะทีจะใช้ใน
การเรี ยนการสอนคณิ ตศาสตร์ ทังนีเพราะการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ ช่วยให้นกั เรี ยนพัฒนาศักยภาพ
ในการวิเคราะห์ และเป็ นเครื องมื อช่ วยให้ประยุกต์ศกั ยภาพเหล่ านันไปสู่ สถานการณ์ ใหม่ การ
แก้ปัญหาช่วยให้นกั เรี ยนเรี ยนรู ้ ขอ้ เท็จจริ ง ทักษะ มโนคติและหลักการต่างๆโดยการแสดงการ
ประยุกต์ใช้ในคณิ ตศาสตร์ เองและสัมพันธ์กบั สาขาอืนๆ
โพลยา (Polya, 1980: 1) กล่าวว่า การแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ เป็ นการหาวิถีทางทีจะ
หาสิ งไม่รู้ในปั ญหา เป็ นการหาวิธีการทีจะนําสิ งทียุง่ ยากออกไป หาวิธีการทีจะเอาชนะอุปสรรคที
เผชิ ญอยู่ เพือจะให้ขอ้ สงสัย ลงเอยหรื อคําตอบที มีความชัดเจน แต่ ว่าสิ งเหล่ านี ไม่ไ ด้เกิ ดขึ น
ทันทีทนั ใด
เพอดิคาริ ส (Perdikaris, 1993: 423) กล่าวว่า การแก้ปัญหาเป็ นการเตรี ยมการพัฒนา
ทักษะคณิ ตศาสตร์ ทีนําไปสู่ แนวความคิดใหม่ เป็ นการกระตุน้ การเรี ยนรู้และการสร้างสรรค์ทาง
คณิ ตศาสตร์แก่นกั เรี ยน ความสําคัญในการแก้ปัญหาจะทําให้เกิดการพัฒนาคุณลักษณะทีต้องการแก่
นักเรี ยน เช่น ความใฝ่ รู้ ความอยากรู้ อยากเห็น
เคนเนดี และทิป(Kennedy and Tipp, 1997: 81) กล่าวว่า การแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์
หมายถึงการแสดงออกของแต่ละบุคคลในการตอบสนองสถานการณ์ทีเป็ นปั ญหา
นัฎกัญญา เจริ ญเกียรติบวร (2547: 32) กล่าวว่าการแก้ปัญหา หมายถึง สถานการณ์
หรื อคําถาม ทีผูแ้ ก้ปัญหาต้องค้นคว้าหาวิธีการมาแก้ปัญหา เพือให้ได้คาํ ตอบโดยไม่มีการระบุวิธีการ
ในการแก้ปัญหาไว้อย่างชัดเจน ทังนี ขึนอยูก่ บั วิธีการ การใช้ความรู้ประสบการณ์และการตัดสิ นใจ
ของผูแ้ ก้ปัญหาอย่างเหมาะสม
จันทรา ประเสริ ฐกุล (2547: 32) กล่าวว่า กระบวนการหรื อวิธีการ ยุทธวิธี เทคนิค
เฉพาะต่างๆทีผูแ้ ก้ปัญหาต้องใช้ความรู ้ มโนคติ การคิดวิเคราะห์ ประสบการณ์ และทักษะพืนฐาน
ต่างๆทีมีอยูไ่ ปประยุกต์ใช้ตลอดจนหาแนวทางปฏิบตั ิ เพือให้ปัญหานันหมดไปและบรรลุจุดหมายที
ต้องการ
76
สภาครู คณิ ตศาสตร์ แห่ งชาติสหรั ฐอเมริ กา NCTM (2000: 52) กล่ าวว่าการ
แก้ปัญหาคือ ชิ นงานทีทําโดยยังไม่รู้วิธีการทีได้มาซึ งคําตอบในทันที ในการหาคําตอบ นักเรี ยน
จะต้องใช้ประโยชน์จากความรู ้ทีมีอยู่เหล่านันเพือนําไปสู่ กระบวนการแก้ปัญหา นักเรี ยนจะต้อง
ฝึ กฝนบ่อย ๆ เพือทีจะพัฒนาและทําให้เกิดความรู ้ใหม่ ๆ การแก้ปัญหาไม่ได้มีเป้ าหมายในการหา
คําตอบเพียงอย่างเดียวแต่ขึนอยูก่ บั วิธีการของการกระทําให้ได้มาของคําตอบ นักเรี ยนจะต้องหา
โอกาส ฝึ กฝนอยูเ่ ป็ นประจํา รวมทังได้แก้ปัญหาทีซับซ้อนขึนและให้มีการสะท้อนแนวคิดในการ
แก้ปัญหานันออกมาด้วย ซึ งได้กาํ หนดมาตรฐานของการแก้ปัญหาสําหรับนักเรี ยนอนุ บาลถึงเกรด
12 ดังนี
1. สร้างองค์ความรู ้เกียวกับคณิ ตศาสตร์ จากปั ญหาต่าง ๆ
2. การแก้ปัญหานันได้บงั เกิดขึนในคณิ ตศาสตร์ และในบริ บทอืน ๆ
3. ประยุกต์และดัดแปลงยุทธวิธีอย่างหลากหลายในการแก้ปัญหา
4. ควบคุมและพิจารณาบนกระบวนการการแก้ปัญหาเกียวกับคณิ ตศาสตร์
ณัฐธยาน์ สงคราม (2547: 4) กล่าวว่า การแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ หมายถึง การแสดง
แนวคิดในการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ ซึ งอาศัยกระบวนการทางสมอง ประสบการณ์ ความรู้ทีได้
ศึกษามา ความพยายามทีได้ตดั สิ นใจว่าจะใช้วิธีการใดในการแก้ปัญหา วัดจากความสามารถใน
4 ด้าน ดังนี
1. ความสามารถในการแก้ปัญหา หมายถึง การแปลความหมายปั ญหา พิจารณา
ปัญหาว่าต้องการอะไร ปั ญหากําหนดอะไรให้บา้ ง สาระความรู ้ใดทีเกียวข้องบ้าง คําตอบของปั ญหา
จะอยูใ่ นรู ปแบบใดการทําความเข้าใจปั ญหาอาจใช้วิธีการต่างๆ เช่น การเขียนรู ป การเขียนแผนภาพ
การเขียนสาระด้วยถ้อยคําของตนเอง
2. ความสามารถในการวางแผน หมายถึง การพิจารณาว่าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการใด
จะแก้ปัญหาอย่างไร
3. ความสามารถในการดําเนิ นการตามแผน หมายถึง การลงมือปฏิบตั ิตามแผนที
วางไว้โดยเริ มตรวจสอบความเป็ นไปได้ของแผน การแสดงเหตุผลในการคิดแล้วลงมือปฏิ บตั ิ
จนกระทังหาคําตอบได้
4. ความสามารถในการตรวจสอบผล หมายถึง การมองย้อนกลับทีขันตอนต่างๆที
ผ่านมาซึงวัดได้โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์
77
6. ความสามารถในการเลือกวิธีการทางคณิ ตศาสตร์ทีถูกต้อง
7. ความสามารถในการค้นหาข้อมูลทีขาดหายไป
8. ความสามารถในการเปลียนปั ญหาทีเป็ นประโยคภาษาให้เป็ นประโยค
สัญลักษณ์ทางคณิ ตศาสตร์
จากการศึกษาเอกสารข้างต้นสรุ ปได้วา่ องค์ประกอบทีส่ งเสริ มในการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์
มี 2 ประการ คือ
1. องค์ประกอบทีเกียวกับผูแ้ ก้ปัญหา ซึ งเกียวกับความสามารถในการศึกษาปั ญหา
แล้วตีความปัญหา แปลงปัญหาจากรู ปแบบหนึงไปอีกรู ปแบบหนึง จัดลําดับขันตอนในการวิเคราะห์
หารู ปแบบและข้อสรุ ปในการแก้ปัญหา
2. องค์ประกอบทีเกียวกับสภาพแวดล้อม มีบรรยากาศทีเอือต่อการพัฒนาความ
สามารถในการแก้ปัญหา
ขันตอนการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์
กระบวนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ตามแนวคิดของ โพลยา (Polya, 1957: 16 -17)
ประกอบ ด้วย ขันตอนสําคัญ 4 ขันตอน คือ
ขันที 1 ขันทําความเข้าใจปั ญหา เป็ นการมองไปที ตัวปั ญหาพิจารณาว่าปั ญหา
ต้องการอะไร ปั ญหากําหนดอะไรให้บา้ งมีสาระความรู ้ใดทีเกียวข้องบ้าง คําตอบของปั ญหาจะอยูใ่ น
รู ปแบบใด การทําความเข้าใจปั ญหาอาจใช้วิธีการต่างๆ เช่น การเขียนรู ป เขียนแผนภูมิ การเขียน
สาระปัญหาด้วยถ้วยคําของตนเอง
ขันที 2 ขันวางแผนเป็ นขันตอนสําคัญทีจะต้องพิจารณาว่าจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการ
ใด จะแก้ปัญหาอย่างไรปั ญหาทีให้มีความสัมพันธ์กบั ปั ญหาทีเคยมีประสบการณ์ในการแก้มาก่อน
หรื อไม่ ขันวางแผนเป็ นขันตอนทีผูแ้ ก้ปัญหาจะต้องพิจารณาความสัมพันธ์ของสิ งต่างๆ ในปั ญหา
ผสมผสานกับประสบการณ์ในการแก้ปัญหาทีผูแ้ ก้ปัญหามีอยู่ แล้วกําหนดแนวทางในการแก้ปัญหา
ขันที 3 ขันดําเนินการตามแผนเป็ นขันตอนทีต้องลงมือปฏิบตั ิตามแผนทีวางไว้โดย
เริ มตรวจสอบความเป็ นไปได้ของแผน เพิมเติมรายละเอียดต่างๆ ของแผนให้ชดั เจน แล้วลงมือ
ปฏิบตั ิจนกระทังสามารถหาคําตอบได้หรื อค้นพบวิธีการแก้ปัญหาใหม่
ขันที 4 ขันตรวจสอบเป็ นขันตอนทีผูแ้ ก้ปัญหาต้องมองย้อนกลับไปทีขันตอนต่างๆ
ทีผ่านมา เพือพิจารณาความถูกต้องของคําตอบและวิธีการแก้ปัญหาและมีวิธีการแก้ปัญหาอืนอีก
หรื อไม่
83
ยุทธวิธีในการแก้ ปัญหาคณิตศาสตร์
ในด้านยุทธวิธีของการแก้ปัญหาได้มีผทู ้ ีเสนอยุทธวิธีในการแก้ปัญหาไว้ได้แก่
แคโรล กรี นส์และคณะ (ยุพิน พิพิธกุล, 2530: 134-135 , อ้างอิงจาก Carole Greens
and Others, 1972: 67; Problem Solving in The Mathematics Laboratory) ได้กล่าวถึงวิธีการในการ
แก้ปัญหาว่าอาจจะใช้กลวิธีหลายๆ อย่าง จึงจะแก้ปัญหาได้ กลวิธีต่างๆ มีดงั นี
1. วิธีการคาดคะเนหรื อเดาคําตอบไว้ล่วงหน้า ลองเดาดูเสี ยก่อนเพือจะได้
หาสิ งทีจะต้องอ้างถึงต่อไป
2. การทําให้เป็ นอย่างง่ายๆ มี 2 แบบ คือ
2.1 ทําโจทย์ให้เป็ นกรณี ทีง่ายๆ เท่าทีจะทําได้แล้วลองหารู ปและ
ความ สัมพันธ์เพือขยายไปเป็ นโจทย์เดิมทีซับซ้อนขึน
2.2 แยกแยะโจทย์เดิม วิเคราะห์ปัญหาย่อยๆ แล้วรวบรวมผลเข้าสู่
ปัญหาเดิม
3. การทดลอง ใช้การทดลองเพือแก้ปัญหา เช่น การโยนลูกเต๋ า การสร้าง
รู ป การวัดการคํานวณ ฯลฯ คอยสังเกตดูวา่ จะเปลียนแปลงอย่างไร เป็ นการทดลองเพือเก็บข้อมูล
พิจารณา
4. การสร้างแผนภาพ ช่วยทําให้ปัญหาเป็ นรู ปธรรมทีเห็นได้ชดั เจน ซึ งทํา
ให้มองเห็นแนวทางในการคิด ช่วยในการหาคําตอบได้
5. การทําตารางเก็บข้อมูลจากโจทย์ปัญหา การทําตารางจะช่วยให้มองเห็น
ข้อทีเหมือนกันหรื อแตกต่างกัน เห็นรู ปแบบได้ชดั เจน อันจะนําไปสู่ การสรุ ปการแก้ปัญหาได้
6. การเขียนกราฟ กราฟเป็ นแทนข้อมูลต่างๆช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ของ
ข้อมูลเห็นแนวทางของสิ งทีน่าจะเป็ นไปได้
สถาบันส่ งเสริ มการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (2544: 191-195) ได้เสนอ
ยุทธวิธีการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ไว้ดงั นี
การจัดการเรี ยนรู้เพือให้ผเู้ รี ยนมีทกั ษะ / กระบวนการแก้ปัญหาได้ ผูส้ อนต้องให้
โอกาสผูเ้ รี ยนได้ฝึกคิดด้วยตนเองให้มาก โดยจัดสถานการณ์หรื อปั ญหาหรื อเกมทีน่าสนใจ ท้าท้าย
ให้อยากคิด เริ มด้วยปั ญหาทีเหมาะกับศักยภาพของผูเ้ รี ยนแต่ละคนหรื อผูเ้ รี ยนแต่ละกลุ่ม โดยอาจ
เริ มด้วยปั ญหาทีผูเ้ รี ยนสามารถใช้ความรู ้ทีเรี ยนมาแล้วมาประยุกต์ก่อนต่อจากนันจึงเพิมสถานการณ์
หรื อปั ญหาทีแตกต่างจากทีเคยพบมา สําหรับผูเ้ รี ยนทีมีความสามารถสู งผูส้ อนการควรเพิมปั ญหาที
ยากซึ งต้องใช้ความรู ้ ทีซับซ้อนหรื อมากกว่าทีกําหนดไว้ในหลักสู ตรให้นกั เรี ยนได้ฝึกคิดด้วย การ
86
งานวิจัยทีเกียวข้ องกับความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์
งานวิจัยในประเทศ
ณัฐธยาน์ สงคราม (2547: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถในการ
แก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 6 โดยใช้กิจกรรมประกอบเทคนิ คการ
ประเมินจากสภาพจริ ง ผลการวิจยั พบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยน
กลุ่มทีใช้กิจกรรมประกอบเทคนิคการประเมินจากสภาพจริ งหลังจากการใช้กิจกรรมสู งกว่าก่อนการ
ใช้กิจกรรม อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติทีระดับ .01
นัฏกัญญา เจริ ญเกียรติบวร (2547: บทคัดย่อ) ได้ทาํ การวิจยั เพือศึกษาความสามารถ
ในการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ เรื องฟังก์ชนั ของนักเรี ยนระดับประกาศนี ยบัตรวิชาชี พชันปี ที 2
ก่อนการทดลองและหลังการทดลอง โดยใช้การเรี ยนแบบร่ วมมือ ผลการศึกษาพบว่า ความสามารถ
ในการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยนหลังจากใช้การเรี ยนแบบร่ วมมือ สู งกว่าก่อนใช้แบบ
การเรี ยนแบบร่ วมมือ อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติทีระดับ .01
วลีพร เดชเดชา (2547: บทคัดย่อ) ได้ทาํ การวิจยั เพือการศึกษาความสามารถใน
การแก้ปัญหาของนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 3 ทีได้รับการสอนซ่อมเสริ มภาพลักษณ์มโนทัศน์ทาง
เรขาคณิ ต ผลการวิจยั พบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาทางเรขาคณิ ตของนักเรี ยนชันมัธยมปี ที 3
ทีได้รับการสอนซ่ อมเสริ มภาพลักษณ์ มโนทัศน์ทางเรขาคณิ ต หลังการทดลองสู งกว่าก่ อนการ
ทดลอง อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติทีระดับ .01
87
งานวิจัยต่ างประเทศ
การ์ ดูโน (Garduno, 1998: 3053-A) ได้ศึกษาผลกระทบของการสอนวิธีการ
แก้ปัญหาโดยใช้เทคนิ คการเรี ยนรู้ร่วมกันทีมีต่อผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนวิชาคณิ ตศาสตร์ เจตคติทีมี
ต่อวิชาคณิ ตศาสตร์ ความสามารถส่ วนตัวทางคณิ ตศาสตร์ และองค์ความรู ้ทงหมด ั งานวิจยั นีได้ใช้
แบบแผนการทดลองแบบสอบก่อนทดลองและหลังทดลอง มีกลุ่มควบคุมโดยเลือกนักเรี ยนอย่างสุ่ ม
เข้าเป็ นกลุ่มควบคุมกลุ่มหนึ งในระหว่างการเรี ยนพิเศษภาคฤดูร้อนนักเรี ยนทัง 3 กลุ่ม จะต้องเรี ยน
วิชาสถิติและความน่าจะเป็ นโดยวิธีแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์แบบเรี ยนรู ้ดว้ ยตนเอง นักเรี ยนในกลุ่ม
ทดลองทัง 2 กลุ่มจะใช้วิธีการสอนด้วยเทคนิ คการเรี ยนรู ้ ร่วมกัน โดยกลุ่มทดลองแรกจะจัดให้
นักเรี ยนชาย-หญิงเรี ยนร่ วมกัน ส่ วนกลุ่มทดลองทีสองจะแยกนักเรี ยนชาย-หญิงออกจากกัน สําหรับ
กลุ่ มควบคุ มจะใช้วิธีสอนแบบเรี ยนรวมทังกลุ่มซึ งเน้นการแข่งขันและผลการเรี ยนของแต่ละคน
ผลสัม ฤทธิ ทางการเรี ย นสถิ ติ แ ละความน่ า จะเป็ น ความสามารถส่ ว นตัว และเจตคติ ที มี ต่ อวิ ช า
คณิ ตศาสตร์ จะได้รับการประเมินทังก่อนและหลังการทดลอง ข้อมูลทีได้รับจากการประเมินตัวแปร
ทัง 3 นี จะถูกวิเคราะห์โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่ วมและการวิเคราะห์ฟังก์ชนั แบบ
แยกส่ วน ส่ วนการประเมินองค์ความรู ้ ทงหมดของนั
ั กเรี ยนจะกระทําโดยกระบวนการวิเคราะห์
เนือหาวิชา แม้วา่ ในทางทฤษฎีจะเสนอแนะว่าเทคนิ คการเรี ยนรู ้ร่วมกัน (โดยเฉพาะในกลุ่มทีเป็ น
เพศเดียวกัน) จะเป็ นวิธีการสอนทีเป็ นประโยชน์มากสําหรับนักเรี ยนหญิง แต่ผลการวิจยั พบว่า ใน
ด้านผลสัมฤทธิทางการเรี ยนหรื อความสามารถทางการเรี ยนหรื อความสามารถส่ วนตัว ไม่พบความ
แตกต่าง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิ ติ ในด้านเจตคติทีมีต่อวิชาคณิ ตศาสตร์ พบความแตกต่างอย่างมี
นัยสําคัญทางสถิติ นักเรี ยนชาย-หญิงในกลุ่มควบคุมผูท้ ีมีคะแนนสู งสุ ด ได้แสดงให้เห็นว่ามีความ
เข้าใจในองค์ความรู ้ ทงหมดดี
ั กว่ากลุ่มทดลองทัง 2 กลุ่ม นักเรี ยนชาย-หญิ งในกลุ่ มควบ คุมทีมี
คะแนนตําได้แสดงให้เห็นว่ามีความเข้าใจใน องค์ความรู ้ทงหมดน้
ั อยกว่ากลุ่มทดลองทัง 2 กลุ่ม
88
สรุ ป
บทที่ 3
วิธีดําเนินการวิจัย
ซึ่งผูวิจัยไดกําหนดเปนกรอบดําเนินการวิจัย ดังแผนภูมิที่ 4
90
ขั้นตอนที่ 1 (วิจัย) ขั้นตอนที่ 2 (พัฒนา) ขั้นตอนที่ 3 (วิจัย) ขั้นตอนที่ 4 (พัฒนา)
ศึกษาขอมูลพื้นฐานและความ ผลการประเมินและปรับปรุงแบบฝกทักษะ
การพัฒนาแบบฝกทักษะ การทดลองใชแบบฝกทักษะ
1. วิ เ คราะห ห ลั ก สู ต รแกนกลางการ พัฒนาแบบฝกทักษะฉบับราง 1. ทดสอบความสามารถในการ 1. ประเมิ น ความสามารถในการ
ศึกษาขั้นพื้ นฐาน พุ ทธศั กราช 2551 และ ประกอบดวย แกปญหา กอนใชแบบฝกทักษะ แกปญหา
หลั ก สู ต รสถานศึ ก ษาโรงเรี ย นไทรโยค 1. ชื่อเรื่อง 2. นํ า แบบฝ ก ทักษะไปทดลอง 2. ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มี
มณี ก าญจน วิ ท ยา กลุ ม สาระการเรี ย นรู 2. คํานํา ใช กั บ นั ก เรี ย นมั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ ตอแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่อง
คณิตศาสตร 3. คําชี้แจง 1/1 การประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรู
4. สารบัญ
2. ศึกษา แนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยที่ 3. ทดสอบความสามารถในการ แบบป ญ หาเป น ฐาน เพื่ อ ส ง เสริ ม
5. วัตถุประสงค (มาตรฐาน และผลการ
เกี่ยวของ กับการพัฒนาแบบฝกทักษะและ เรียนรู) แก ป ญ หา หลั ง การใช แ บบฝ ก ความสามารถในการแกปญหา สําหรับ
การจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน 6. แบบทดสอบกอนเรียน ทักษะ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1/1
3. ศึกษาความสามารถในการแกปญหา 7. แบบฝกทักษะ
(กอนเรียน) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1/1 8. แบบทดสอบหลังเรียน
4. ศึกษาขอมูลพื้นฐาน ความตองการ
ตรวจสอบคุณภาพแบบฝกทักษะดาน ไมผาน
จากนั ก เรี ย น เกี่ ย วกั บ องค ป ระกอบของ ปรับปรุง ผลการประเมิน
ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผูเชี่ยวชาญ
แบบฝ ก ทั ก ษะ เนื้ อ หา การวั ด และการ
และหาคาดัชนีความสอดคลอง
ประเมินของแบบฝกทักษะ ผาน
5. ศึกษาขอคิดเห็นหรือขอเสนอแนะ
ปรับปรุงแกไข แบบฝกทักษะฉบับสมบูรณ
ของครู กลุ ม สาระการเรี ย นรู ค ณิ ต ศาสตร
เกี่ ย วกั บ องค ป ระกอบของแบบฝ กทั กษะ หาประสิทธิภาพ E1/ E2
เนื้ อ หา การวั ด และประเมิ น ผลแบบฝ ก
-แบบรายบุคคล (Individual Tryout)
ทักษะ -แบบกลุมเล็ก (Small Group Tryout)
-แบบภาคสนาม (Filed Tryout)
104
แผนภูมทิ ี่ 4 กรอบดําเนินการวิจัย
91
92
4. ศึกษาขอมูลพื้นฐานและความตองการในการพัฒนาแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร
เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการ
แกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 จํานวน 1 หองเรียน จํานวน 35 คน โดยการสอบถาม
เกี่ยวกับ 1) องคประกอบของแบบฝกทักษะ 2) เนื้อหา และ3) การวัดและประเมินผลของแบบฝกทักษะ
นําเสนอขอ มูลทางสถิติ ดวยคาเฉลี่ย ( x ) สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะหเนื้อหา
(Content Analysis)
5. ศึ ก ษาข อ คิ ด เห็ น และข อ เสนอแนะเกี่ ย วกั บ การพั ฒ นาแบบฝ ก ทั ก ษะ วิ ช า
คณิ ต ศาสตร เรื่ อ งการประยุ ก ต 1 โดยใช ก ารจั ด การเรี ย นรู แ บบป ญ หาเป น ฐาน เพื่ อ ส ง เสริ ม
ความสามารถในการแกปญหา จากครูกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร จํานวน 5 ทาน ในโรงเรียน
ไทรโยคมณีกาญจนวิทยา โดยการสอบถามเกี่ยวกับ 1) องคประกอบของแบบฝกทักษะ 2) เนื้อหา และ
3) การวัดและประเมินผลของแบบฝกทักษะ เก็บขอมูลโดยการสัมภาษณ ใชวิเคราะห เนื้อหา (Content
Analysis) และนําเสนอในรูปแบบพรรณนาความ
การสรางและตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถาม ผูวิจัยดําเนินการดังตอไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาแนวคิด หลักการ ทฤษฎี วิจัยที่เกี่ยวของ ขอมูลพื้นฐาน และความ
ตองการของการพัฒนาแบบฝกทักษะ
ขั้นตอนที่ 2 นําขอมูลที่ไดในการศึกษามาประมวล เพื่อกําหนดเปนโครงสรางของ
แบบสอบถามเกี่ยวกับขอบขายของ องคประกอบ เนื้อหาแบบฝกทักษะ การวัดและประเมินผลแบบฝก
ทักษะ กําหนดเปนคําถามแบบตรวจสอบรายการ (Check List ) และแบบคําถามปลายเปด โดยขอ
คําแนะนําจากอาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ
ขั้นตอนที่ 3 สรา งแบบสอบถามตามขอบเขตเนื้อ หาในพฤติก รรมบ ง ชี้ ที่ กํ า หนด
จากนั้นนําแบบสอบถามที่สรางเสร็จเสนออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธตรวจสอบ แลวนําขอคําถามมา
ปรับปรุงแกไข ใหมีความกระชับและชัดเจน
ขั้นตอนที่ 4 นําแบบสอบถามเสนอผูเชี่ยวชาญ ดานหลักสูตรและวิธีการสอน ดา น
จิตวิทยาและการเรียนรู ดานเนื้อหา ดานสื่อและนวัตกรรมและดานการวัดและประเมินผล จํานวน 5
ทาน เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยการนําแบบประเมินคาดัชนีความสอดคลอง
ไปใหผูเชี่ยวชาญแตละทานพิจารณาลงความเห็นและใหคะแนนโดยมีเกณฑการใหคะแนนดังนี้
+1 แนใจวาขอคําถามในแบบสอบถามมีความสอดคลองกับจุดประสงค
0 ไมแนใจวาขอคําถามในแบบสอบถามมีความสอดคลองกับจุดประสงค
-1 แนใจวาขอคําถามในแบบสอบถามไมมีความสอดคลองกับจุดประสงค
แลวนําคะแนนที่ไดจากผูเชี่ยวชาญแตละคนมาคํานวณหาคาดัชนีความสอดคลอง (Index
of Item Objective Congruence : IOC) จากสูตร IOC =
IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคลองของขอคําถามในแบบสอบถาม
∑R หมายถึง ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผูเชี่ยวชาญทั้งหมด
N หมายถึง จํานวนผูเชี่ยวชาญ
คาดัชนี (Index of Item Objective Congruence : IOC) หากคาดัชนี IOC ที่คํานวณ
ได มากกวา หรือเทากับ 0.50 แสดงวาขอคําถามในแบบสอบถามมีความเหมาะสมหรือสอดคลองกับ
จุดประสงคหรือกับลักษณะพฤติกรรม (มาเรียม นิลพันธุ 2555 : 177)
คาดัชนี (Index of Item Objective Congruence : IOC) ไดคาที่ผูเชี่ยวชาญตรวจสอบ
มีคาเทากับ 1.00 แสดงวาขอคําถามในแบบสอบถามมีความเหมาะสมหรือสอดคลองกับจุดประสงค
หรือกับลักษณะพฤติกรรม
95
ขั้นตอนที่ 2 นําขอมูลที่ไดมากําหนดเปนโครงสรางของแบบสอบถาม
สรางแบบสอบถาม แลวนําเสนออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธตรวจสอบ
ขั้นตอนที่ 3
เพื่อใหขอเสนอแนะแลวนํามาปรับปรุงแกไข
ขั้นตอนที่ 5 นําแบบสอบถามที่ปรับปรุงแกไขในประเด็นที่ผูเชี่ยวชาญเสนอแนะ
แผนภูมิที่ 5 แสดงขั้นตอนการสรางแบบสอบถาม
การเก็บรวบรวมขอมูล
การเก็บรวบรวมขอมูลจากการสอบถาม
ศึ ก ษาข อ มู ล พื้ น ฐานและความต อ งการเกี่ ย วกั บ การพั ฒ นาแบบฝ ก ทั ก ษะวิ ช า
คณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบป ญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความ
สามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ผูวิจัยไดนําแบบสอบถามไปสอบถาม
เกี่ยวกับ 1) องคประกอบของแบบฝกทักษะ 2) เนื้อหา และ3) การวัดและประเมินผลของแบบฝกทักษะ
กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1/1 จํา นวน 35 คน โดยกํ าหนดขั้นตอนการเก็ บรวบรวมขอมู ลจาก
แบบสอบถาม ดังนี้
96
การวิเคราะหขอมูลจากแบบสอบถาม
ขอมูลพื้นฐานและความตองการในการพัฒนาแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่อง
การประยุ ก ต 1 โดยใช ก ารจั ด การเรี ย นรู แ บบป ญ หาเป น ฐาน เพื่ อ ส ง เสริ ม ความสามารถในการ
แกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 จํานวน 1 ฉบับ โดยตอนที่ 1 สอบถามขอมูลพื้นฐาน
และความตองการ เกี่ยวกับ 1) องคประกอบของแบบฝกทักษะ 2) เนื้อหา และ3) การวัดและประเมินผล
ของแบบฝกทักษะ นําเสนอขอมูลทางสถิติ ดวยคาเฉลี่ย ( x ) สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการ
วิเคราะหเนื้อหา (Content Analysis) และขอเสนอแนะในตอนที่ 2 ดวยการวิเคราะหเนื้อหา (Content
Analysis)
การสรางและตรวจสอบคุณภาพแบบสัมภาษณ ผูวิจัยดําเนินการดังตอไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาแนวคิด หลักการ ทฤษฎี จากหนังสือ และงานวิจัยที่เกี่ยวของกับการ
พัฒนาแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน
เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
ขั้นตอนที่ 2 นําขอมูลที่ไดจากการศึกษามาประมวล เพื่อกําหนดวัต ถุประสงคของการ
สัมภาษณ
ขั้ นตอนที่ 3 สรา งประเด็ นการสัม ภาษณต ามขอบเขตของเนื้อ หา จากการกํ า หนด
วัตถุประสงค จากนั้นนําประเด็นการสัมภาษณที่สรางเสร็จ สรางเปนแบบสัมภาษณ เสนออาจารยที่
ปรึกษาวิทยานิพนธตรวจสอบ ใหขอเสนอแนะแลวนํามาปรับปรุงแกไข
ขั้นตอนที่ 4 นําแบบการสัมภาษณเสนอผูเชี่ยวชาญ จํานวน 5 ทาน เพื่อตรวจสอบความ
เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ภาษาที่ใช และการประเมิ นผลที่ถูกตองโดยการนําแบบ
ประเมินคาดัชนีความสอดคลอง ไปใหผูเชี่ยวชาญแตละทานพิจารณาลงความเห็นและใหคะแนน แลว
นําคะแนนที่ไดจากผูเชี่ยวชาญแตละคน คํานวณหาคาดัชนีความสอดคลอง (Index of Item Objective
Congruence : IOC)
ซึ่งหากคาดัชนี IOC ที่คํานวณได มากกวา หรือเทากับ 0.50 แสดงวาขอคําถามใน
แบบสัมภาษณ มีความเหมาะสมหรือสอดคลองกับจุดประสงคหรือกับลักษณะพฤติกรรม (มาเรียม
นิลพันธุ 2555 : 177)
คาดัชนี (Index of Item Objective Congruence :IOC) ไดคาที่ผูเชี่ยวชาญตรวจสอบมีคา
เทากับ 1.00 แสดงวาขอคําถามในแบบสัมภาษณ มีความเหมาะสมหรือสอดคลองกับจุดประสงคหรือ
กับลักษณะพฤติกรรม
ขั้นตอนที่ 5 นําแบบสัมภาษณที่ไดรับขอเสนอแนะ คือการถามใหครบทุกประเด็นของ
การพั ฒนาแบบฝก ทัก ษะ เพื่ อ ที่จ ะไดข อมู ล ที่ เป น ประโยชน มาปรั บปรุง แก ไ ขในข อ คํ า ถามแล ว
ใหอาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธและผูเชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อความสมบูรณของเครื่องมือที่ใช
ในการวิจัยกอนนําไปใช
98
ขั้นตอนที่ 2 นําขอมูลที่ไดมากําหนดเปนวัตถุประสงคของการสัมภาษณ
ขั้นตอนที่ 5 นําแบบสัมภาษณที่ผูเชี่ยวชาญเสนอแนะไปปรับปรุงแกไข
แผนภูมิที่ 6 แสดงขั้นตอนการสรางแบบสัมภาษณ
การเก็บรวบรวมขอมูล
การเก็บรวบรวมขอมูลจากการสัมภาษณ
ขอคิดเห็นและขอเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่อง
การประยุกต 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา
จากครูกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร จํานวน 5 ทาน ในโรงเรียนไทรโยคมณีกาญจนวิทยา เก็บ
ขอมูลโดยการสัมภาษณ ใชวิเคราะหเนื้อหา (Content Analysis) และนําเสนอในรูปแบบพรรณนา
ความ มีขั้นตอนดังตอไปนี้
1. ผูวิจัยดําเนินการขออนุญาตผูบริหารสถานศึกษา เพื่อเก็บขอมูลจากครูกลุ มสาระ
การเรียนรูค ณิตศาสตร
2. นัดหมายครูกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร แตละทาน เพื่อระบุวัน เวลาและ
สถานที่ เพื่อดําเนินการสัมภาษณ
3. ผูวิจัยทําหนาที่เปนผูดําเนินการสัมภาษณดวยตนเอง โดยขออนุญาตทําการบันทึก
ขอมูลในการสัมภาษณ แลวนําขอมูลที่ไดมาวิเคราะหโดยใชคารอยละ (%) และการวิเคราะหเนื้อหา
(Content Analysis) แลวเขียนรายงาน
99
การวิเคราะหขอมูลจากแบบสัมภาษณ
ขอคิดเห็นและขอเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่อง
การประยุกต 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา
จํานวน 1 ฉบับ โดยการวิเคราะหสถานภาพและขอมูลทั่วไปในตอนที่ 1 ใชสถิติคารอยละ จากนั้น
นําเสนอในรูปตารางประกอบคําบรรยาย สวนในตอนที่ 2 โดยการวิเคราะหเนื้อหา (Content Analysis)
และนําเสนอแบบพรรณนาความเรียง และวิเคราะหแบบสัม ภาษณแบบมีโครงสรางเกี่ ยวกั บ 1)
องคประกอบของแบบฝกทักษะ 2) เนื้อหา และ3) การวัดและประเมินผลของแบบฝกทักษะ
ขั้นตอนที่ 1 วิจัย (R1 : Research) : การศึกษาขอมูลพื้นฐานและความตองการใน
การพัฒนาแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปน
ฐาน เพื่ อ ส ง เสริ ม ความสามารถในการแก ป ญ หา สํ า หรั บ ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 1 ผู วิ จั ย ได ส รุ ป
วิธีดําเนินการวิจัย ดังตารางที่ 8
ตารางที่ 8 สรุปวิธีการดําเนินการตามขั้นตอนที่ 1 การวิจัย (R1: Research) การศึกษาขอมูลพื้นฐาน
และความตองการในการพัฒนาแบบฝกทักษะ
วัตถุประสงคการวิจัย วิธีการ กลุมเปาหมาย/ เอกสาร เครื่องมือ การวิเคราะหขอมูล
วิ เ คราะห ห ลั ก สู ต รแกน วิเคราะห- หลั ก สู ต รแกนกลาง แบบ วิเคราะหเนื้อหา
กลางการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตร การศึ ก ษาขั้ น พื้ น ฐาน วิเคราะห (Content Analysis)
พุ ท ธ ศั ก ร า ช 2 5 5 1 แ ล ะ พุทธศักราช 2551 เอกสาร แลวนําเสนอแบบ
หลั ก สู ต รสถานศึ ก ษา กลุ ม -หลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตร พรรณนาความ
สาระการเรี ย นรู ค ณิ ต ศาสตร โรงเรียนไทรโยค
โรงเรี ย น ไทรโยคมณีก าญจน มณีกาญจนวิทยา
วิทยา กลุมสาระการเรียนรู
คณิตศาสตร
เพื่ อศึ ก ษาแนวคิด ทฤษฎี ศึกษา - เอกสารงานวิ จั ย ที่ แบบ วิเคราะหเนื้อหา
งานวิ จัย ที่ เกี่ ย วกั บ การพั ฒนา เอกสาร เกี่ยวกั บแบบฝกทักษะ สรุป (Content Analysis)
แบบฝกทักษะ และการจัดการ และการจั ด การเรี ย นรู งานวิจัย นําเสนอแบบ
เรียนรูแบบปญหาเปนฐาน แบบปญหาเปนฐาน พรรณนาความ
100
กลุมเปาหมาย/
วัตถุประสงคการวิจัย วิธีการ เครื่องมือ การวิเคราะหขอมูล
เอกสาร
เพื่ อ ศึ ก ษาความสามารถ วิเคราะห นักเรียนชั้น แบบทดสอบ คาเฉลี่ย ( x ) และ
ในการแกปญหา (กอนเรียน) คะแนน มัธยมศึกษาปที่ 1/1 วัดความ สวนเบี่ยงเบน
จํานวน 35 คน สามารถใน มาตรฐาน(S.D.)
การแกปญหา
เพื่อศึกษาขอมูลพื้นฐาน สอบถาม - นักเรียน แบบสอบถาม คารอยละ(%)
และความตองการเกี่ยวกับ 1) ความ มัธยมศึกษา วิเคราะหเนื้อหา
องคประกอบของแบบฝก ตองการ ปที่ 1/1 จํานวน 35 (Content Analysis)
ทักษะ 2) เนื้อหา และ3) การ คน คาเฉลี่ย ( x ) และ
วัดและประเมินผลของแบบ สวนเบี่ยงเบน
ฝกทักษะ มาตรฐาน (S.D.)
เพื่อศึกษาขอคิดเห็นและ การ ครูกลุมสาระการ แบบ คารอยละ(%) และ
ขอเสนอแนะเกี่ยวกับ 1) องค สัมภาษณ เรียนรูคณิตศาสตร สัมภาษณ การวิเคราะห
ประกอบ 2) เนื้ อ หา และ3) จํานวน 5 ทาน เนื้อหา
การวั ด และประเมิ น ผลของ (Content Analysis)
แบบฝกทักษะ
101
การพัฒนาแบบฝกทักษะ
1. สังเคราะหขอมูลที่ไดจากขั้นตอนที่ 1 เพื่อนํามาเปนแนวทางในการพัฒนาเคาโครง
แบบฝก ทัก ษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุ กต 1 โดยใช ก ารจัดการเรียนรูแบบป ญหาเปนฐาน
เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
2. กําหนดมาตรฐานการเรียนรู ผลการเรียนรู เพื่อเปนแนวทางในการพัฒนาแบบ
ฝกทักษะ การเรียงลําดับเนื้อหากอนและหลัง การจัดลําดับขั้นตอนของกิจกรรมการเรียนรู
3. สรางแบบฝกทักษะ จํานวน 4 เลม วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1 โดยใชการ
จัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับชั้นมัธยมศึกษา
ปที่ 1 ประกอบดวย
3.1 ชื่อเรื่อง ประเด็นสําคัญ หรือหัวขอบทเรียนไดแก รูปเรขาคณิต จํานวน
นับ รอยละในชีวิตประจําวัน และปญหาชวนคิด
3.2 คํ า นํ า เพื่ อบอกวั ตถุ ป ระสงค ข องการพั ฒ นาแบบฝก ทั ก ษะ แนะนํ า
รายละเอียดตางๆ เกี่ยวกับแบบฝกทักษะ
3.3 สารบัญ สวนที่บอกตําแหนงเนื้อหา กิจกรรมตางๆ ภายในแบบฝกทักษะ
3.4 วัตถุประสงค ของแบบฝกทักษะ เพื่อใหนักเรียนมีความรูความเขาใจ
เกี่ยวกับการแกโจทยปญหา ตามมาตรฐาน ค 6.1 มีความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การ
สื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตางๆทางคณิตศาสตร
ศาสตรอื่น ๆ และมีความคิดริเริ่มสรางสรรค และผลการเรียนรู 1) ใชความรูและทักษะกระบวนการทาง
คณิตศาสตร แกปญหาตาง ๆได 2) ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคําตอบที่ได
3.5 คําชี้แจงในการใชแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1
โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับชั้น
มัธยมศึกษาปที่ 1
3.6 แบบทดสอบกอนเรียน เรื่อง การประยุกต1 เปน แบบอัตนัย จํานวน 5 ขอ
เพื่อวัดความสามารถในการแกปญหา
3.7 เนื้อหาแบบฝกทักษะ หนังสือเรียนคณิตศาสตรพื้นฐาน มัธยมศึกษา
ปที่ 1 เลม1 หนวยการเรียนรูที่ 1 เรื่อง การประยุกต 1 ประกอบดวย รูปเรขาคณิต จํานวนนับ รอยละใน
ชีวิตประจําวัน และปญหาชวนคิด มีกิ จ กรรมและสื่ อ ที่ ห ลากหลายในแบบฝ ก ทักษะที่สงเสริม
ความสามารถในการแกปญหา อาทิเชน กิจกรรมการแกปญหา การตอบคําถาม เกมกิจกรรมเสริม
ทักษะนอกเวลาเรียน และแบบฝกทักษะเพิ่มเติม
103
สรางแผนการจัดการเรียนรูที่ใชรวมกับแบบฝกทักษะ ที่ใชการจัดการเรียนรูแบบ
ขั้นตอนที่ 4
ปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา
ขั้นตอนที่ 5 นําเสนอแผนการจัดการเรียนรูตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธและ
ผูเชี่ยวชาญ เพื่อประเมินคุณภาพ ตรวจสอบ หาคา IOC
ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรูตามคําแนะนําของอาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ
ขั้นตอนที่ 6
และผูเชี่ยวชาญ ทั้ง 5 ทาน
แผนภูมิที่ 8 แสดงขั้นตอนการสรางแผนการจัดการเรียนรู
ขั้นตอนในการสรางแบบทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหา
การสรางแบบทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหา กอนและหลังเรียน เรื่อง
วิชาคณิตศาสตร การประยุกต 1 เปนแบบทดสอบแบบอัตนัย 10 ขอ เลือกใช 5 ขอ จํานวน 1 ฉบับ เพื่อ
ทดสอบกอนการทดลองและหลังการทดลอง ซึ่งผูวิจัยสรางขึ้นตามลําดับขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุม
สาระการเรียนรูคณิตศาสตร วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 ค 21201 ศึกษาเนื้อหา และวิธีการ
สรางแบบทดสอบแบบอัตนัย
ขั้นตอนที่ 2 การสรางแบบทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหา แบบอัตนัย
จํานวน10 ขอ เลือกขอสอบ จํานวน 5ข อ ทดสอบกอนและหลัง เรีย น วิช าคณิตศาสตร เรื่อง
การประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อเปนเครื่องมือการวิจัย
ขั้นตอนที่ 3 นําแบบทดสอบ เสนอตอผูเชี่ยวชาญขอรับการประเมินคุณภาพ หาคา
ความสอดคลองของแบบทดสอบโดยกํา หนดเกณฑความสอดคลองที่ยอมรับไดตองมีคาตั้งแต 0.50
โดยเสนอตอผูเชี่ยวชาญ จํานวน 5 ทาน ผูเชี่ยวชาญดานหลักสูตรและวิธีการสอน ผูเชี่ยวชาญดาน
จิตวิทยาและการเรียนรู ผูเชี่ยวชาญดานเนื้อหา ผูเชี่ยวชาญดานสื่อและนวัตกรรม และผูเชี่ยวชาญดาน
การวัดและประเมินผล เพื่อนําไปหาคาดัชนีความสอดคลอง
ซึ่งหากคาดัชนี IOC ที่คํานวณได มากกวา หรือเทากับ 0.50 แสดงวาขอคําถามใน
แบบทดสอบมีความเหมาะสมหรือสอดคลองกับจุดประสงคหรือกับลักษณะพฤติกรรม (มาเรียม
นิลพันธุ 2555 : 177)
คาดัชนี IOC (Index of Item Objective Congruence : IOC ) ไดคาที่ผูเชี่ยวชาญตรวจ
สอบแลว มีคาเทากับ 1.00 แสดงวาขอคําถามในแบบทดสอบมีความเหมาะสมหรือสอดคลองกับจุด
ประสงคหรือพฤติกรรม
ขั้นตอนที่ 4 นําแบบทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหา เรื่อง การประยุกต 1
ไปทดลองใช กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2/1 จํานวน 30 คน ซึ่งไมใชกลุมตัวอยางที่ใชใน
การวิจัยครั้งนี้ ซึ่งกําลังเรียนอยูในภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2557 โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจนวิทยา
ขั้นตอนที่ 5 นําแบบทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหา เรื่อง การประยุกต 1 ที่
นักเรียนทํามาตรวจใหคะแนน ตามเกณฑที่กําหนด
ขั้นตอนที่ 6 นําแบบทดสอบมาหาคาระดับความยากงาย โดยกําหนด คาความยากงาย
ใหมีคาอยูระหวาง 0.20 - 0.80 นําแบบทดสอบมาหาคาอํานาจจําแนก คัดเลือกขอสอบ 5 ขอ
การพิจารณา คาอํานาจจําแนกควรจะมีคาตั้งแต 0.20 ขึ้นไป (มาเรียม นิลพันธุ 2555 : 186-187)
112
การสรางแบบทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหา กอนและหลังเรียน
ขั้นตอนที่ 2 วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1 เพื่อเปนเครื่องมือการวิจัย
ขั้นตอนที่ 6 นําแบบทดสอบมาหาคาระดับความยากงายและหาคาอํานาจจําแนก
ขั้นตอนที่ 8 นําแบบทดสอบที่หาคาความเชื่อมั่นแลวไปทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหา
กอนและหลังการใชแบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1
แผนภูมิที่ 9 ขั้นตอนในการสรางแบบทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหา
113
การวิเคราะหขอมูล
1. ตรวจแบบทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหา แบบอัตนัย จํานวน 5 ขอ
ขอละ10 คะแนน รวม 50 คะแนน ตามเกณฑการตรวจแตละขั้นตอน มาวิเคราะหโดยใชระดับ
คะแนนที่กําหนด
2. นําคะแนนที่ไดจากการทดสอบวัดความสามารถในการแกปญหากอนและหลัง
การใชแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหา
เปนฐาน สําหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 มาหาคาเฉลี่ย ( ) สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.) วิเคราะหเปรียบเทียบความแตกตางของคะแนนโดยใชสถิ ติทดสอบแบบไมเปนอิสระตอกัน
(t-test แบบ Dependent) เพื่อหาคาความตางกอนและหลังการใชแบบฝกทักษะ
การปรับปรุงและแกไขแบบสอบถามความคิดเห็น
นําแบบสอบถามที่ผานการพิจารณาแลว มาปรับปรุงแกไข ในประเด็นการปรับขอคําถามใหมี
ความชัดเจน ภาษาที่ใชเขาใจงาย และกระชับ ที่อาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ และผูเชี่ยวชาญเสนอแนะ เพื่อ
ความสมบูรณของเครื่องมือที่ใชในการวิจัย
จากขั้นตอนการสรางแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนขางตน สามารถสรุปขั้นตอน
การสรางไดดังแผนภูมิที่ 10
สรางแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนมีตอแบบฝกทักษะ
ขั้นตอนที่ 2 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน
นําแบบสอบถามความคิดเห็นที่สรางขึ้นเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ ผูเชี่ยวชาญ
ขั้นตอนที่ 3
เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมและความถูกตองเชิงเนื้อหา (IOC)
แผนภูมิที่ 10 ขั้นตอนในการสรางแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีตอแบบฝกทักษะ
การวิเคราะหขอมูล
นําขอมูล มาวิเคราะหโดยใชระดับ ความคิดเห็น เสนอคาเป นคาเฉลี่ย ( ) สวนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (S.D.) และวิเคราะหเนื้อหา (Content Analysis) จากนั้นนําคาเฉลี่ยที่ไดจากการวิเคราะห
116
ไปทําการเปรียบเทียบกับเกณฑเพื่อใชในการแปลความหมายรายขอ โดยใชเกณฑประเมินของ
(บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 102-163) ดังนี้
คาเฉลี่ยระหวาง 4.50 – 5.00 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับดีมาก
คาเฉลี่ยระหวาง 3.50 – 4.49 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับดี
คาเฉลี่ยระหวาง 2.50 – 3.49 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับปานกลาง
คาเฉลี่ยระหวาง 1.50 – 2.49 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับพอใช
คาเฉลี่ยระหวาง 1.00 – 1.49 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับตองปรับปรุง
การวิเคราะห
วัตถุประสงค วิธีการ กลุมเปาหมาย เครื่องมือ
ขอมูล
2. เพื่อตรวจสอบ - หาคุณภาพและ - อาจารยที่ปรึกษา - แบบฝก - วิเคราะห
คุณภาพและหา ประสิทธิภาพของ วิทยานิพนธ ทักษะที่ เนื้อหา
ประสิ ท ธิ ภ าพของ แบบฝกทักษะโดย -ผูเชี่ยวชาญ ดาน สงเสริม - หาคาความ
แบบฝกทักษะ การจัดเรียนรูแบบหลักสูตรและวิธีสอน ความ สอดคลอง
เรื่อง การประยุกต 1 ปญหาเปนฐานที่สง
-ผูเชี่ยวชาญ ดาน สามารถ (IOC)
วิชาคณิตศาสตร เสริมความสามารถ จิตวิทยาและการเรียนรู การแก - ประสิทธิภาพ
เพื่อสงเสริมความ ในการแกปญหา -ผูเชี่ยวชาญดานสื่อและ ปญหา ของแบบฝก
สามารถการแก - ทดลองใชกับ นวัตกรรม ทักษะเกณฑ
ปญหา โดยใชการ นักเรียน 3 คน -ผูเชี่ยวชาญ ดานเนื้อหา 80/80
จัดการเรียนรูแบบ - ทดลองใชกับ -ผูเชี่ยวชาญ ดานการวัด
ปญหาเปนฐาน นักเรียน 9 คน และ การประเมินผล
- ทดลองภาคสนาม - นักเรียนชั้นมัธยม
กับนักเรียน 30 คนศึกษาปที่ 1 โรงเรียน
ไทรโยคมณีกาญจน
วิทยา ที่ไมใชกลุม
ตัวอยาง
3. การปรับปรุง - ตรวจสอบความ ผูเชี่ยวชาญ ดาน - แบบฝก - วิเคราะห
แกไขแบบฝกทักษะ เหมาะสมของ หลักสูตรและวิธีสอน ทักษะ เนื้อหา
เรื่องการประยุกต 1 องคประกอบใน -ผูเชี่ยวชาญ ดาน ฉบับราง (Content
วิชาคณิตศาสตร โดย แบบฝกทักษะ จิตวิทยาและการเรียนรู Analysis)
ใชการจัดการเรียนรู - ปรับปรุงแกไขแบบ -ผูเชี่ยวชาญดานสื่อและ - หาคาดัชนี
แบบปญหาเปนฐาน ฝกทักษะฉบับรางที่ นวัตกรรม ความ
เพื่อสงเสริมความ พัฒนา ขึ้นตามการ -ผูเชี่ยวชาญ ดานเนื้อหา สอดคลอง
สามารถในการ ประเมินจาก -ผูเชี่ยวชาญ ดานการวัด (IOC)
แกปญหา ผูเชี่ยวชาญ กอน และการประเมินผล
นํามาทดลองใช
118
วัตถุประสงค
เพื่อทดลองใชแบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการ
เรี ย นรู แ บบป ญ หาเป น ฐาน เพื่ อ ส ง เสริ ม ความ สามารถในการแก ป ญ หา สํ า หรั บ นั ก เรี ย นชั้ น
มัธยมศึกษาปที่1 แบบแผนการวิจัยครั้งนี้เปนแบบแผน Pre Experimental Design ใชแบบหนึ่งกลุม
สอบกอนและหลัง (The One – Group Pretest – Posttest Design) (มาเรียม นิลพันธุ 2555 : 144)
แบบแผนการวิจัย
ตารางที่ 12 แสดงแบบแผนการวิจัย
สอบกอน ทดลอง สอบหลัง
T1 X T2
T1 หมายถึง ทดสอบความสามารถในการแกปญหากอนใชแบบฝกทักษะวิชา
คณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1 โดยการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน
X หมายถึ ง ทํ า การทดลองด ว ยแบบฝ ก ทั ก ษะวิ ช าคณิ ต ศาสตร เรื่ อ งการ
ประยุกต 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา
T2 หมายถึง ทดสอบความสามารถในการแกปญ หาหลังใชแบบฝกทักษะ วิชา
คณิตศาสตร เรื่อ งการประยุ ก ต 1 โดยใช ก ารจัดการเรี ยนรู แบบป ญหาเปนฐาน เพื่ อสง เสริ ม
ความสามารถในการแกปญหา
วิธีดําเนินการ
ในการทดลองใชแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต 1 โดยใชการ
จัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการแกปญหา สําหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปที่ 1/1 จํานวน 35 คน มีวิธีการดําเนินการตามลําดับขั้นตอนดังนี้
119
วัตถุประสงค
ผลการประเมินแบบฝกทักษะ วิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรู
แบบปญหาเปนฐาน สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่1 เพื่อนําผลการประเมินมาปรับปรุงแกไข
ใหเปนแบบฝกทักษะฉบับสมบูรณ
123
วิธีดําเนินการ
ผูวิจัย ไดดําเนินการประเมินผลการใช แบบฝ กทัก ษะวิช าคณิตศาสตร เรื่องการ
ประยุกต 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
มีขั้นตอนดังนี้
1. ประเมินความสามารถในการแกปญหา เปน แบบทดสอบแบบอัตนัย จํานวน 5
ขอ แลวนําผลการทดสอบมาหาคาความตางของคะแนนเฉลี่ยกอนและหลังการทดลองใช แบบฝก
ทักษะวิชาคณิตศาสตร เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน
2. สอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีตอ การใชแบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตร
เรื่องการประยุกต 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน จํานวน 10 ขอ โดยสอบถาม
เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู บรรยากาศในการเรียนรู การวัดและประเมินผล และ
ประโยชนที่ไดรับ
3. การปรับปรุง การแกไขแบบฝกทักษะ โดยนําผลการประเมินและขอเสนอมาใช
ในการปรับปรุงแกไข เพื่อใหแบบฝกทักษะมีความสมบูรณและเหมาะสมในการนําไปใช
ตารางที่ 16 แสดงเกณฑการประเมินความสามารถในการแกปญหา
คะแนนรอยละ ระดับความสามารถในการแกปญหา
80 - 100 ดีมาก
70 - 79 ดี
60 – 69 ปานกลาง
50 – 59 พอใช
ต่ํากวา 50 ตองปรับปรุง
2. สอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีตอ การใชแบบฝกทักษะวิชาคณิตศาสตร
เรื่องการประยุกต1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบปญหาเปนฐาน เพื่อสงเสริมความสามารถในการ
แกปญหา จํานวน 10 ขอ โดยสอบถามเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู บรรยากาศในการ
เรียนรู การวัดและประเมินผล และประโยชนที่ไดรับ
โดยเปนแบบมาตราสวนประเมินคา (Rating Scale) 5 ระดับของลิเคิรท (Likert) ดังนี้
ความคิดเห็นอยูในระดับดีมาก ใหคะแนน 5 คะแนน
ความคิดเห็นอยูในระดับดี ใหคะแนน 4 คะแนน
ความคิดเห็นอยูในระดับปานกลาง ใหคะแนน 3 คะแนน
ความคิดเห็นอยูในระดับพอใช ใหคะแนน 2 คะแนน
ความคิดเห็นอยูในระดับตองปรับปรุง ใหคะแนน 1 คะแนน
เกณฑการแปลความหมาย โดยใชเกณฑประเมินของ บุญชม ศรีสะอาด, (2545: 102-163)
ดังนี้
คาเฉลี่ยระหวาง 4.50 – 5.00 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับดีมาก
คาเฉลี่ยระหวาง 3.50 – 4.49 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับดี
คาเฉลี่ยระหวาง 2.50 – 3.49 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับปานกลาง
คาเฉลี่ยระหวาง 1.50 – 2.49 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับพอใช
คาเฉลี่ยระหวาง 1.00 – 1.49 หมายถึง ความคิดเห็นอยูในระดับตองปรับปรุง
3. การปรับปรุง การแกไขแบบฝกทักษะ โดยนําผลการประเมินและขอเสนอมาใช
ในการปรับปรุงแกไข เพื่อใหแบบฝกทักษะมีความสมบูรณและเหมาะสมในการนําไปใช
126
การวิเคราะห
วัตถุประสงค วิธีการ กลุมเปาหมาย เครื่องมือ
ขอมูล
เพื่ อเปรีย บเที ยบความ ทํา นักเรียนชั้น แบบทดสอบ คาเฉลี่ย ( X )
สามารถในการแก ป ญ หา แบบทดสอบ มัธยมศึกษาปที่ วัดความ สวนเบี่ยงเบน
ก อ นและหลั ง ใช แ บบฝ ก 1/1 สามารถใน มาตรฐาน
ทั ก ษะ วิ ช าคณิ ต ศาสตร จํานวน 35 คน การแกปญหา (S.D.) และ
เรื่องการประยุกต1 โดยใช โรงเรียนไทรโยค คาสถิติ
การจั ด การเรี ย นรู แ บบ มณีกาญจนวิทยา t-test แบบ
ป ญหาเป นฐาน เพื่ อส ง Dependent
เสริมความสามารถในการ
แกปญหา สําหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1
เพื่ อ ศึ ก ษ า ค ว า ม คิ ด สอบถาม นักเรียนชั้นมัธยม แบบสอบถาม - วิเคราะห
เห็ น ของนั ก เ รี ย น ที่ มี ต อ ความคิดเห็น ศึ ก ษาป ท่ี 1/1 ความคิดเห็น เนือ้ หา (Content
แ บ บ ฝ ก ทั ก ษ ะ วิ ช า จํานวน 35 คน Analysis)
คณิ ต ศาส ตร เรื่ อ ง การ โรงเรียนไทรโยค - รอยละ (%)
ประยุกต1 โดยใชการจัด มณีกาญจนวิทยา -คาเฉลี่ย ( x )
การเรียนรูแบบปญหาเปน -สวนเบี่ยงเบน
ฐาน เพื่ อสง เสริมความ มาตรฐาน
สามารถในการแก ป ญ หา (S.D.)
สํ า ห รั บ นั ก เ รี ย น ชั้ น
มัธยมศึกษาปที่ 1
127
บทที 4
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
การวิจยั เรื อง การพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การ
จัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชัน
มัธยมศึกษาปี ที 1 เป็ นลักษณะของการวิจยั และพัฒนา (Research and Development : R&D)
ประกอบด้วยขันตอนการดําเนิ นการ 4 ขันตอน ดังนี 1) ศึกษาข้อมูลพืนฐานและความต้องการใน
การพัฒ นาแบบฝึ กทัก ษะ 2) พัฒ นาแบบฝึ กทัก ษะ 3) ทดลองใช้ แ บบฝึ กทัก ษะ และ 4)
การประเมินผลและปรับปรุ งแบบฝึ กทักษะ
การวิเคราะห์ ข้อมูล
เสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล เป็ น 4 ตอน ดังนี
ตอนที 1 ผลการศึกษาข้อมูลพืนฐานและความต้องการในการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชา
คณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุก ต์1 โดยใช้ก ารจัดการเรี ย นรู้ แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพื อส่ ง เสริ ม
ความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1
ตอนที 2 ผลการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ เรื องการประยุกต์1 วิชาคณิ ตศาสตร์ โดยใช้การ
จัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชัน
มัธยมศึกษาปี ที 1 ให้มีประสิ ทธิภาพตามเกณฑ์ /
ตอนที 3 ผลการทดลองใช้แบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การ
จัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชัน
มัธยมศึกษาปี ที 1
ตอนที 4 ผลการประเมิ น และปรั บ ปรุ งแบบฝึ กทั ก ษะ วิ ช าคณิ ตศาสตร์ เรื อง
การประยุกต์ 1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้ แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการ
แก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที1 มีขนตอนดั
ั งนี
ตอนที 4.1 ผลการเปรี ยบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหา ก่ อนและหลังใช้
แบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน
สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1
ตอนที 4.2 ผลการศึ ก ษาความคิ ดเห็ นของนั ก เรี ยนที มี ต่ อแบบฝึ กทัก ษะ วิช า
คณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุก ต์ 1 โดยใช้ก ารจัด การเรี ย นรู้ แบบปั ญ หาเป็ นฐาน เพื อส่ ง เสริ ม
ความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1
127
128
ในการคิดวิเคราะห์ การคิ ดสัง เคราะห์ การคิ ดอย่างสร้ างสรรค์ การคิ ดอย่างมี วิจารณญาณและ
การคิดเป็ นระบบ เพือนําไปสู่ การสร้างองค์ความรู ้หรื อสารสนเทศ เพือการตัดสิ นใจเกียวกับตนเอง
และสังคมได้อย่างเหมาะสม และความสามารถในการแก้ปัญหา เป็ นความสามารถในการแก้ปัญหา
อุปสรรคต่างๆที เผชิ ญได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูล
สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลียนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆในสังคม แสวงหาความรู ้
ประยุกต์ความรู ้ มาใช้ในการป้ องกันและแก้ไขปั ญหาและมีการตัดสิ นใจที มีประสิ ทธิ ภาพ โดย
คํานึงถึงผลกระทบทีเกิดขึนต่อตนเองสังคมและสิ งแวดล้อม
อีกทังยังพบว่าการจัดการศึกษา โดยเน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสําคัญ ต้องมีการเชื อมโยงกับศาสตร์
อืนๆ สอดคล้องกับ สาระและมาตรฐานการเรี ยนรู้ สาระการเรี ยนรู้คณิ ตศาสตร์ หลักสู ตรแกนกลาง
การศึ ก ษาขันพื นฐาน พุ ท ธศัก ราช 2551 สาระที 6 ทัก ษะและกระบวนการทางคณิ ต ศาสตร์
มาตรฐาน ค 6.1 มีความสามารถในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื อสาร การสื อความหมายทาง
คณิ ตศาสตร์ และการนําเสนอ การเชือมโยงความรู ้ต่าง ๆ ทางคณิ ตศาสตร์ และเชื อมโยงคณิ ตศาสตร์
กับศาสตร์ อืนๆ และมีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์ ซึงจะต้องมีการศึกษา ฝึ กทักษะการคิดคํานวณ ฝึ กการ
แก้ปัญหา และฝึ กทักษะกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์
ดังนันผูว้ ิจยั จัดให้ผเู้ รี ยนได้เรี ยน เนื อหาเรื องการประยุกต์1 วิชาคณิ ตศาสตร์ เพิมเติม เวลา
16 ชัวโมง จํานวน 1.0 หน่วยกิต ประกอบด้วยเนือหา 1) รู ปเรขาคณิ ต 2) จํานวนนับ 3) ร้อยละใน
ชี วิตประจําวัน และ 4) ปั ญหาชวนคิด เพือพัฒนาผูเ้ รี ยน ให้เป็ นไปตามหลักการ จุดมุ่งหมายและสมรรถนะ
ตามหลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 และหลัก สู ต รสถานศึกษาโรงเรี ยน
ไทรโยคมณี กาญจน์วิทยา กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ คณิ ตศาสตร์ ในการส่ งเสริ มความสามารถในการ
แก้ปัญหา
2. ผลการศึกษา แนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยทีเกียวข้ อง ต่ อการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิตศาสตร์
เรื องการประยุกต์ 1 โดยใช้ การจัดการเรี ยนรู้ แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริมความสามารถในการ
แก้ปัญหา
ผลการวิเคราะห์ แนวคิ ด ทฤษฎี งานวิจยั ที เกี ยวข้อง ต่อการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชา
คณิ ต ศาสตร์ เรื องการประยุ ก ต์ 1 โดยใช้ก ารจัด การเรี ย นรู้ แ บบปั ญ หาเป็ นฐาน เพื อส่ ง เสริ ม
ความสามารถในการแก้ปัญหา พบว่า องค์ประกอบของแบบฝึ กทักษะที สํา คัญ มี ดงั นี ชื อเรื อง
คํา นํา คํา ชี แจง สารบัญ วัตถุ ป ระสงค์ก ารเรี ย นรู ้ แบบทดสอบก่ อนเรี ย น แบบฝึ กทัก ษะ และ
แบบทดสอบหลังเรี ยน สําหรับการจัดการเรี ยนรู ้ทีจะทําให้ผเู ้ รี ยนเกิดความสามารถในการแก้ปัญหา
ประกอบการใช้แบบฝึ กทักษะ คือ การจัดการเรี ยนรู้แบบปัญหาเป็ นฐาน เป็ นรู ปแบบของการจัดการ
130
จํานวนนักเรียน
ข้ อมูลพืนฐานและความต้ องการ ร้ อยละ
(คน)
1. นักเรียนใช้ แบบฝึ กทักษะทีครู ผ้สู อนจัดเตรียมให้ ประกอบการเรี ยน
1.1 เคย 35 100
รวม 35 100
2. ความรู้ สึกนักเรียนต่ อแบบฝึ กทักษะประกอบการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
2.1 ชอบ 35 100
รวม 35 100
3. องค์ ประกอบภายในแบบฝึ กทักษะทีนักเรียนต้ องการ
3.1 ชือเรื อง 35 100
3.2 คํานํา 35 100
3.3 คําชีแจง 34 97.14
3.4 สารบัญ 35 100
3.5 วัตถุประสงค์ (มาตรฐาน และผลการเรี ยนรู้) 33 94.29
3.6 แบบทดสอบก่อนเรี ยน 32 91.43
3.7 แบบฝึ กทักษะ 35 100
3.8 แบบทดสอบหลังเรี ยน 35 100
4. นักเรียนคิดว่าเนือหาในแบบฝึ กทักษะ ควรมีลกั ษณะ
4.1 เน้นเรื องทีเกียวข้องกับชีวิตประจําวัน 35 100
4.2 พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา 35 100
4.3 เข้าใจง่าย ไม่ยากจนเกินไป 35 100
4.4 เรี ยงลําดับจากง่ายไปหายาก 35 100
4.5 พัฒนาความรู ้พนฐานทางคณิ
ื ตศาสตร์ บวก ลบ คูณและหาร 35 100
ตรงกับความสามารถในระดับมัธยมศึกษาปี ที 1
133
จํานวนนักเรียน
ข้ อมูลพืนฐานและความต้ องการ ร้ อยละ
(คน)
5. นักเรียนต้ องการให้ ครู ประเมินผลงานของนักเรียนในรู ปแบบใด
5.1 การตรวจชินงาน (การทําแบบฝึ กทักษะของนักเรี ยน) 34 97.14
5.2 การทําแบบทดสอบ 30 91.43
5.3 การสอบถาม 2 5.71
5.4 การนําเสนอผลงานหน้าชันเรี ยน 4 28.57
6. นักเรียนต้ องการให้ ใครเป็ นผู้ประเมินผลงานของนักเรียน
6.1 ครู ผสู้ อนเป็ นผูป้ ระเมิน 34 97.14
6.2 ประเมินผลงานด้วยตนเอง 11 31.43
6.3 เพือนประเมินเพือน 17 48.57
6.4 ผูป้ กครองประเมิน 8 22.86
ด้ านการวัดและ ประเมินผล
ควรมีการวัดผลและประเมินผลทีหลากหลาย การตรวจจากแบบฝึ กทักษะ การสังเกตจาก
การร่ วมกิ จกรรมในชันเรี ยน การตอบคําถาม มีทงครู
ั เป็ นผูป้ ระเมิน เพือนประเมิน เป็ นต้น อีกทัง
การตรวจโจทย์ปัญหา ต้องมีความสอดคล้องกับขันตอนของ การจัดการเรี ยนรู้แบบปัญหาเป็ นฐาน
ด้ านอุปสรรคทีเกิดขึนต่ อการใช้ แบบฝึ กทักษะ
การใช้ ค ํา สั งคํา ชี แจงไม่ ชั ด เจน ทํา ให้ นัก เรี ยนทํา แบบฝึ กทัก ษะได้ ไ ม่ ถู ก ต้อ ง ขาด
วัตถุ ประสงค์ หรื อไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทีตังไว้ โจทย์ยากจนเกิ นไป ในการแก้ไขปั ญหา
ดังกล่าว ควรศึกษาแนวทางในการสร้างแบบฝึ กทักษะให้ชดั เจน ศึกษาและวิเคราะห์ความสามารถ
ของผูเ้ รี ยน วิเคราะห์เนือหา ก่อนลงมือสร้างแบบฝึ กทักษะ
ข้ อเสนอแนะเพิมเติม
แบบฝึ กทักษะ ชุดแรกหรื อการเริ มเนือหา ต้องกระตุน้ ให้ผเู ้ รี ยนเกิดการคิด ไม่วา่ จะเป็ นการ
วิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ สุ ดท้า ยต้องให้ผู้เรี ยนมีค วามคิ ดรวบยอดในเนื อหานันๆ การเสนอ
ปั ญหาในการสอนควรเริ มจากปั ญหาง่ายๆ สอดคล้องกับสิ งทีอยู่รอบตัวในชี วิตประจําวัน ในการ
แก้ปัญหาควรมี ขนตอนการแก้
ั ปัญหาที ชัดเจน มีการดึ งเอาความรู ้เดิ มมาประยุกต์ใช้ เมือผูเ้ รี ยน
สามารถแก้ปั ญหาได้ จึ ง ปรั บ ปั ญหาให้มี ค วามยากขึ น เพื อที จะฝึ กให้ผูเ้ รี ยนแก้ปั ญหาที มี ความ
หลากหลาย
จะเห็นได้วา่ ผลการศึกษาข้อมูลพืนฐานและความต้องการในการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชา
คณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความ
สามารถในการแก้ปั ญหา สําหรั บนัก เรี ย นชันมัธ ยมศึ กษาปี ที 1 ทังจากที ได้จากการวิเคราะห์
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุ ท ธศัก ราช และหลัก สู ต รสถานศึกษาโรงเรี ยน
ไทรโยคมณี กาญจน์วิทยา กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ การศึกษา แนวคิด ทฤษฎี งานวิจยั ที
เกี ยวข้องต่อการพัฒนาแบบฝึ กทัก ษะ และการจัดการเรี ย นรู้ แบบปั ญหาเป็ นฐาน การวิเคราะห์
ความสามารถในการแก้ปัญหา (ก่อนเรี ยน) ของนักเรี ยนในชันมัธยมศึกษาปี ที 1 การศึกษาข้อมูล
พืนฐานและความต้องการในการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ เรื องวิชาคณิ ตศาสตร์ การประยุกต์1 โดยใช้
การจัดการเรี ยนรู ้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยน
ชันมัธยมศึกษาปี ที1 โดยการสอบถามเกียวกับ 1) องค์ประกอบของแบบฝึ กทักษะ 2) เนื อหา และ3)
การวัดและประเมินผลของแบบฝึ กทักษะ และการศึกษาข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกียวกับการ
พัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์ 1 โดยใช้การจัดการเรี ย นรู้ แบบปั ญหา
138
ตอนที 4.2 ผลการศึ ก ษาความคิ ดเห็ น ของนั ก เรี ยนที มี ต่อแบบฝึ กทัก ษะ วิช า
คณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความ
สามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1 แบ่งเป็ น 2 ตอนดังนี
ตอนที 1 เป็ นแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรี ยน เกียวกับการพัฒนาแบบฝึ ก
ทัก ษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุก ต์1 โดยใช้ก ารจัด การเรี ยนรู้ แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพื อ
ส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา ในด้านต่างๆ คือ การจัดกิจกรรมการเรี ยนรู ้ บรรยากาศใน
การเรี ยนรู้ การวัดและประเมินผล และประโยชน์ทีได้รับ จํานวนทังสิ น 1 ข้อ โดยเป็ นแบบมาตรา
ส่ วนประเมินค่า (Rating Scale) ระดับของลิเคิร์ท (Likert) ดังนี ความคิดเห็ นอยู่ในระดับดีมาก
ระดับดี ระดับปานกลาง ระดับพอใช้ และระดับต้องปรับปรุ ง รายละเอียดดังตารางต่อไปนี
ตารางที 27 ผลการศึกษาความคิดเห็นของนั ก เรี ยนทีมีต่อแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื อง
การประยุกต์1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถ
ในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1
ระดับ ลําดับ
ข้ อ ข้ อความ X S .D.
ความคิดเห็น ที
การจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้
1 วิธีการเรี ยนทีเริ มต้นด้วยสถานการณ์ปัญหาก่อน 4.14 0.55 ดี
การเรี ยนรู้ เป็ นวิธีการทีเหมาะสม
2 แบบฝึ กทักษะช่วยทําให้การทําโจทย์ปัญหา 4.60 0.55 ดีมาก
ถูกต้องมากขึน
3 การทําแบบฝึ กทักษะประกอบการจัดการเรี ยนรู้ 4.57 0.66 ดีมาก
แบบปั ญหาเป็ นฐาน ทําให้นกั เรี ยนสามารถแก้
โจทย์ปัญหาได้
ด้ านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4.44 0.43 ดี 1
บรรยากาศในการเรียนรู้
4 ในชันเรี ยนเป็ นบรรยากาศแห่งการเรี ยนรู ้ . . ดี
5 ครู สนับสนุน/เปิ ดโอกาสนักเรี ยนสามารถ . . ดี
อภิปรายและแลกเปลียนความรู ้กบั เพือน
ด้ านบรรยากาศในการเรี ยนรู้ 4.23 0.65 ดี 4
149
จากตารางที 27 ผลการศึ ก ษาความคิ ดเห็ น ของนั ก เรี ยน ที มี ต่อ แบบฝึ กทัก ษะ วิช า
คณิ ต ศาสตร์ เรื องการประยุก ต์ 1โดยใช้ก ารจัดการเรี ย นรู้ แ บบปั ญ หาเป็ นฐาน เพื อส่ ง เสริ ม
ความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1 พบว่า โดยภาพรวมนักเรี ยนมี
ความคิดเห็นอยูใ่ นระดับดี ( X = 4.37 , S.D = 0.37 ) เมือพิจารณาเป็ นรายด้านพบว่า นักเรี ยนมีความ
คิดเห็นอยู่ในระดับดี ในทุกด้าน เรี ยงตามลําดับคือ ด้านการจัดกิ จกรรมการเรี ยนรู ้ ( X = 4.44 ,
S.D = 0.43 ) ด้านการวัดและประเมินผล ( X = 4.43 , S.D = 0.50 ) ด้านประโยชน์ทีได้รับ
( X = 4.40 , S.D = 0.50 ) และด้านบรรยากาศในการเรี ยนรู้ ( X = 4.23 , S.D = 0.65 )
150
บทที 5
สรุ ปผล อภิปรายผล และข้ อเสนอแนะ
การวิจยั เรื องการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การ
จัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชัน
มัธยมศึกษาปี ที 1 เป็ นลักษณะของการวิจยั และพัฒนา (Research and Development : R&D) ใช้แบบ
แผนการวิจยั แบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและหลัง (The One Group Pretest – Posttest Design)
ประชากรทีใช้ในการศึกษาครั งนี ได้แก่ นักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1 จํานวน 5 ห้องเรี ยน รวม
จํานวนนักเรี ยน165 คนกลุ่ม ตัวอย่างทีใช้ในการวิจยั คือนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1/1 จํานวน 35
คน ภาคเรี ยนที 1 ปี การศึกษา 2557 โรงเรี ยนไทรโยคมณี กาญจน์วทิ ยา
ผูว้ ิจยั ได้กาํ หนดรายละเอียดวิธีดาํ เนิ นการวิจยั มี 4 ขันตอน ดังนี ขันตอนที วิจยั (R1 :
Research) : การศึกษาข้อมูลพืนฐานและความต้องการ ขันตอนที พัฒนา (D1 : Development) :
การพัฒนาแบบฝึ กทักษะ ขันตอนที วิจยั (R2 : Research) : การทดลองใช้แบบฝึ กทักษะขันตอนที
พัฒนา (D2 : Development) : การประเมินผลและปรับปรุ ง แบบฝึ กทักษะ มีวตั ถุประสงค์ 1. เพือ
ศึ ก ษาข้อ มู ล พื นฐานและความต้อ งการในการพัฒ นาแบบฝึ กทัก ษะ วิ ช าคณิ ต ศาสตร์ เรื อง
การประยุกต์1โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้
ปั ญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1 2. เพือพัฒนาแบบฝึ กทักษะวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื อง
การประยุกต์1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้ แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการ
แก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1 ให้มีประสิ ทธิ ภาพตามเกณฑ์ / 3. เพือทดลอง
ใช้แบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน
เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1 4. ผลการประเมิน
และปรับปรุ งแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบ
ปั ญหาเป็ นฐาน สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที1 มีวตั ถุประสงค์เฉพาะดังนี 4.1 เพือเปรี ยบเทียบ
ความสามารถในการแก้ปัญหา ก่อนและหลังใช้แบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1
โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1 4.2 เพือศึกษา
ความคิดเห็นของนั ก เรี ยนทีมีต่อแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การ
จัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชัน
มัธยมศึกษาปี ที 1
152
153
สรุ ปผล
อภิปรายผล
แบบฝึ กทักษะ ได้แก่ ทฤษฎี การเรี ยนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike) เกียวกับกฎแห่งการฝึ กหัด (Law
of Exercise) ว่าถ้าบุคคลได้กระทํา หรื อฝึ กฝน ทบ ทวนบ่อยๆ ก็จะกระทําได้ดีและเกิดความชํานาญ
แต่ถา้ ไม่ได้ฝึกฝนหรื อทบทวนบ่อยๆ ก็จะกระทําสิ งนันได้ไม่ดีและไม่เกิดความชํานาญ นอกจากนี
ทฤษฎีการวางเงือนไขและการเสริ มแรงของสกินเนอร์ เน้นทีปฏิกิริยาตอบสนอง คือ พฤติกรรมทีทํา
ด้วยความสมัครใจและสิ งทีกระทําให้ปฏิ กิริยาตอบสนอง คือ ตัวเสริ มแรง ทฤษฎี ของสกิ นเนอร์
สนับสนุ นให้ใช้เครื องช่วยสอน คื อแบบฝึ กทักษะ ให้ความสําคัญของการเสริ มแรง ควรทําอย่าง
สมําเสมอ จัดสิ งเร้าให้กบั ผูเ้ รี ยนจนผูเ้ รี ยนค้นพบตัวเองในทีสุ ด และด้วยการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ ที
ใช้ก ารการจัดการเรี ยนรู้ แบบปั ญหาเป็ นฐาน ที เป็ นวิธีก ารสอนที จะช่ วยส่ งเสริ ม ให้นักเรี ยนมี
ความสามารถในการแก้ปัญหา ดังคํากล่าวของ ทิศนา แขมมณี (2554 : 137-138) ได้ให้หลักการ
การจัดการเรี ยนรู้แบบใช้ปัญหาเป็ นฐานว่าเป็ นการจัดการเรี ยนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็ นหลัก เป็ น
การจัดสภาพการณ์ ของการเรี ยนการสอนทีใช้ปั ญหาเป็ นเครื องมื อในการช่ วยให้ผูเ้ รี ยนเกิ ดการ
เรี ยนรู้ ต ามเป้ าหมาย โดยผู้ส อนอาจนํา ผู้เ รี ยนไปเผชิ ญ สถานการณ์ ปั ญ หาจริ ง หรื ออาจจัด
สภาพการณ์ ให้ผเู ้ รี ยนเผชิ ญปั ญหา และฝึ กกระบวนการวิเคราะห์ปัญหาและแก้ปัญหาร่ วมกันเป็ น
กลุ่ ม ซึ งจะช่ วยให้ผูเ้ รี ยนเกิดความเข้าใจในปั ญหานันอย่างชัดเจน ได้เห็ นทางเลื อกและวิธีการที
หลากหลายในการแก้ปัญหานัน รวมทังช่วยให้ผเู ้ รี ยนเกิดความใฝ่ รู ้ เกิดทักษะกระบวนการคิด และ
กระบวนการแก้ปัญหาต่างๆ และยังมีงานวิจยั ทีแสดงถึงความสําเร็ จของการจัดการเรี ยนการสอน
สอคล้องกับ ราตรี เกตบุตตา (2546: 96-98) ได้ทาํ การวิจยั เกียวกับ เรื องผลของการเรี ยนแบบใช้
ปั ญหาเป็ นหลัก ต่อความสามารถในการแก้ปั ญหาและความคิ ดสร้ างสรรค์ท างคณิ ตศาสตร์ ของ
นัก เรี ยนชันมัธ ยมศึก ษาปี ที 2 ผลการศึ ก ษาพบว่า นักเรี ย นที เรี ยนแบบใช้ปัญหาเป็ นหลัก มี
ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิ ตศาสตร์ สูงกว่านักเรี ยนทีเรี ยนแบบปกติ อย่างมีนยั สําคัญทาง
สถิติทีระดับนัยสําคัญ .05 แต่มีความคิดสร้างสรรค์ทางคณิ ตศาสตร์ ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนยั สําคัญ
ทางสถิติทีระดับนัยสํา คัญ .05 งานวิจยั ของรังสรรค์ ทองสุ ขนอก (2547: 82-86) ได้ทาํ การวิจยั
เกี ยวกับ เรื องชุ ดการเรี ยนการสอนทีใช้ปัญหาเป็ นหลักในการเรี ยนรู้ เรื องทฤษฎีจาํ นวนเบืองต้น
ระดับมัธยมศึกษาปี ที 4 ผลการวิจยั พบว่านักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 4 ทีเรี ยนเรื องทฤษฎีจาํ นวน
เบื องต้น โดยใช้ชุ ด การเรี ย นการสอนที ใช้ปั ญ หาเป็ นหลัก มี ผ ลการเรี ย นผ่า นเกณฑ์ ต ังแต่
ร้อยละ 60 ขึนไปของคะแนนเต็ม เป็ นจํานวนมากกว่าร้อยละ 50 ของจํานวนนักเรี ยนทังหมดที
ระดับนัยสําคัญ .01 และงานวิจยั ของ ศุภิสรา โททอง ( : บทคัดย่อ) ได้ทาํ การวิจยั เกียวกับ เรื อง
การเปรี ยบเทียบผลการเรี ยนรู ้ระหว่างการสอนโดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน (PBL) กับการสอนตามคู่มือ
ของ สสวท. กลุ่ ม สาระการเรี ย นรู ้ ค ณิ ต ศาสตร์ เรื องการวัด ความยาวในชันประถมศึ ก ษาปี ที
160
ผลการวิจยั พบว่า นักเรี ยนที ได้รับการสอนโดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน (PBL) มี ผลการเรี ยนรู้ สาระ
คณิ ตศาสตร์ เรื องการวัดความยาว สู งกว่านักเรี ยนทีได้รับการสอนตามคู่มือของ สสวท. อย่างมี
นัย สํ า คัญ ทางสถิ ติ ที ระดับ . และ นัก เรี ย นที ได้รั บ การสอนโดยใช้ ปั ญ หาเป็ นฐาน (PBL)
สาระคณิ ตศาสตร์ เรื องการวัดความยาวมีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมาก
3. ผลการทดลองใช้แบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การจัดการ
เรี ยนรู้ แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรั บนักเรี ยนชันมัธยม
ศึกษาปี ที 1 จํานวน คน จากการทดสอบ มีคะแนนหลังเรี ยนสู งกว่าก่อนเรี ยน สอดคล้องกับ
งานวิจยั ของ อาจารี ย ์ สฤษดิไพศาล (2547 : บทคัดย่อ) ได้ทาํ การวิจยั เรื องการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ
วิชาคณิ ตศาสตร์ สําหรับนักเรี ยนชันประถมศึกษาปี ที 3 ผลการวิจยั พบว่า ผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยน
วิช าคณิ ตศาสตร์ ข องนัก เรี ย นชันประถมศึ ก ษาปี ที 3 ที ได้รั บ การสอนโดยใช้แบบฝึ กทัก ษะ
คณิ ตศาสตร์หลังเรี ยนสู งกว่าก่อนเรี ยน อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติทีระดับ .01 สอดคล้องกับงานวิจยั
ของ สมหมาย ศุภพินิ (2551 : บทคัดย่อ) ได้พฒั นาแบบฝึ กทักษะกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์
เรื อง ร้ อ ยละ ชันประถมศึ ก ษาปี ที 5 ผลการวิ จ ัย พบว่า แบบฝึ กทัก ษะกลุ่ ม สาระการเรี ย นรู ้
คณิ ตศาสตร์ เรื องร้อยละ ชันประถมศึกษาปี ที 5 มีประสิ ทธิภาพเท่ากับ 76.69/79.61 และนักเรี ยนชัน
ประถมศึกษาปี ที 5 มีผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนเรื องร้ อยละ หลังเรี ยนสู งกว่าก่อนเรี ยน ด้วยแบบฝึ ก
ทักษะอย่างมีนยั สําคัญทางสถิติทีระดับ .01 และยังสอดคล้องกับ วุฒิ ถนอมวิริยะกุล ( ) ทีทํา
การวิ จ ัย เรื องการสร้ า งแบบฝึ กทัก ษะการแก้โ จทย์ปั ญ หาคณิ ต ศาสตร์ สาระจํา นวนและการ
ดําเนิ นการ สํา หรั บนักเรี ยนชันประถมศึ กษาปี ที จังหวัดระยอง ผลการวิจยั พบว่า ผลสัม ฤทธิ
ทางการเรี ยนวิชาคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยนหลังใช้แบบฝึ กทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิ ตศาสตร์ สูง
กว่าก่อนใช้ อย่างมีนยั สําคัญทีระดับ .
4. ผลการประเมินและปรับปรุ งแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้
การจัดการเรี ยนรู ้แบบปัญหาเป็ นฐาน สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที1 มีขนตอนดั
ั งนี
4. ผลการเปรี ยบเที ย บความสามารถในการแก้ ปั ญ หาก่ อ นและหลั ง ใช้
แบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน
สํา หรั บ นัก เรี ย นชันมัธ ยมศึ ก ษาปี ที 1 พบว่า จากการทํา แบบทดสอบวัด ความสามารถในการ
แก้ปัญหา คะแนนเฉลียก่อนเรี ยนมีค่าเท่ากับ 2.5 จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน ชีให้เห็นว่าความสามารถ
พืนฐานในการแก้ปัญหา อยู่ในเกณฑ์ตอ้ งปรับปรุ ง นักเรี ยนเริ มต้นกับการแก้ปัญหาไม่ถูก ไม่สามารถ
เชื อมโยงความรู ้ ได้ ขาดความเป็ นขันตอนในการหาคําตอบ ซึ งเมื อได้มี การพัฒนาแบบฝึ กทักษะ
ประกอบการสอนแบบปั ญหาเป็ นฐาน ทีปั ญหาจะเป็ นตัวกระตุน้ ให้นกั เรี ยนแก้ปัญหาหรื ออยากเรี ยนรู ้
161
ข้ อเสนอแนะ
ข้ อเสนอแนะเพือการนําไปใช้
1. ก่ อนการจัดกิ จกรรมการเรี ยนรู ้ หรื อให้นักเรี ยนแก้โจทย์ปัญหา โดยใช้ขนตอนแบบ
ั
ปั ญหาเป็ นฐาน ครู ควรอธิ บายขันตอนแก้ปัญหา ทัง ขันตอน อย่างละเอียดและชัดเจน เพือความ
ถูกต้องและความเข้าใจในการแก้โจทย์ปัญหา
2. จากผลการวิจยั การพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยใช้การ
จัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชัน
มัธยมศึกษาปี ที 1 พบว่า คะแนนเฉลียหลังเรี ยนสู งกว่าก่อนเรี ยน แสดงว่านักเรี ยนมีพฒั นาการใน
การเรี ยนรู ้และสามารถแก้ปัญหาได้มากขึน ดังนันสถานศึกษาควรส่ งเสริ มให้ครู ได้พฒั นาแบบฝึ ก
ทักษะโดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน ไปใช้ในการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ เพือเป็ นการ
พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรี ยน
3. ปั ญหาทีใช้เป็ นฐานในการเรี ยนรู ้ในแต่ละหน่วยการเรี ยน ครู อาจจะใช้ปัญหาลักษณะ
แตกต่างกันในด้านเนื อหา แต่มีแนวทางในการหาคําตอบที คล้ายคลึ งกันและความยากง่ ายของ
ปั ญหาใกล้เคียงกัน เพือเป็ นการส่ งเสริ มให้นกั เรี ยนเกิ ดการเรี ยนรู ้ ทีหลากหลาย การทีจัดกิจกรรม
การเรี ยนรู ้ลกั ษณะนี ผูส้ อนจะต้องให้ความสําคัญกับการสร้างปั ญหาทีใช้เป็ นฐานในลักษณะนี เป็ น
อย่างยิง ทุกปั ญหาทีใช้เป็ นฐานจะต้องกระตุน้ ให้นักเรี ยนได้ใช้ความรู้ ความสามารถเพือเป็ น
แนวทางในการแก้ปัญหาอย่างครบถ้วน ครอบคลุมสาระการเรี ยนรู้ทีต้องการ และต้องส่ งเสริ มให้
นักเรี ยนเกิดความเข้าใจในเนือหายิงขึนเมือนักเรี ยนได้ร่วมกันอภิปราย
163
รายการอ้างอิง
ภาษาไทย
กนิษฐา พวงไพบูลย์. (2552). สาระน่ ารู้ สําหรับครูคณิตศาสตร์ : รวมบทความประสบการณ์การสอน.
กรุ งเทพฯ : สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุ งเทพฯ :
โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประแทศไทย
กรมวิชาการ. (2540). การจัดการเรียนการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ . กรุ งเทพฯ :
โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว.
จักรพรรดิ คงนะ. (2550). “การพัฒนาแบบฝึ กการอ่านภาษาอังกฤษทีเกียวกับปัญหาของวัยรุ่ นตอนต้น
สําหรับนักเรี ยนชันประถมศึกษาปี ที 6.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญาศึกษาศาสตมหาบัณฑิต.
สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
จันตรา ธรรมแพทย์. (2550). “การพัฒนาแบบฝึ กทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิ ตศาสตร์ สําหรับ
นักเรี ยนช่วงชันที 2 ทีมีผลสัมฤทธิทางการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ ตา.”
ํ วิทยานิพนธ์ ค.ม.
กรุ งเทพฯ :มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
จันทรา ประเสริ ฐกุล. (2547). “การพัฒนาทักษะความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ .”
วารสารคณะวิชาศึกษาทัวไป สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตขอนแก่ น. 1,1: (31-33
มกราคม- มิถุนายน 2547).
ฉวีวรรณ เศวตมาลย์. (2542). “การแก้ปัญหา.” เอกสารประกอบการอบรมกิจกรรมคณิ ตศาสตร์ .
กรุ งเทพฯ: สาขาการมัธยมศึกษา (การสอนคณิ ตศาสตร์ ).
ณัฐธยาน์ สงคราม. (2547). “การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรี ยนชันประถมศึกษา
ปี ที 6 โดยใช้กิจกรรมประกอบเทคนิคการประเมินจากสภาพจริ ง.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญา
การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการมัธยมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ.
ดรุ ณี เรื อนมันใจ. (2546). “การพัฒนาแบบฝึ กทักษะการอ่านเสริ มเพือพัฒนาความสามารถในการอ่าน
เอกสารจริ ง สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 5.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญาศึกษาศาสตร
มหาบัณฑิต. สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
165
ศรี สมัย สอดศรี . (2546). “การเปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนวิชาคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยน
ชันมัธยมศึกษาปี ที 3 เรื องโจทย์ปัญหาสมการเชิงเส้นสองตัวแปร โดยใช้กระบวนการสร้าง
ทักษะการแก้ปัญหากับการสอนตามปกติ.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต
สาขาวิชาการมัธยมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.
ศิริพร คล่องจิตต์. (2546). “การศึกษาผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ เรื อง โจทย์ปัญหาสมการ
เชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 2 ทีได้รับการจัดการเรี ยนการสอน
แบบ TAI.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการมัธยมศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.
ศุภิสรา โททอง. (2547). “การเปรี ยบเทียบผลการเรี ยนรู ้ระหว่างการสอนโดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน
(PBL) กับการสอนตามคู่มือของสสวท.กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ เรื อง การวัดความ
ยาว ในระดับชันประถมศึกษาปี ที 4.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา
หลักสู ตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ถ่ายเอกสาร.
สายใจ จําปาหวาย. (2549). “ผลการเรี ยนด้วยกิจกรรมการเรี ยนรู ้ โดยใช้ปัญหาเป็ นฐานและรู ปแบบ
ของสสวท. เรื อง บทประยุกต์ ทีมีต่อผลการเรี ยนรู ้ของนักเรี ยนชันประถมศึกษาปี ที 6.”
วิทยานิพนธ์ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสู ตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ถ่ายเอกสาร.
สิ ริพร ทิพย์คง. (2544). การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ . กรุ งเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว.
สุ ธิดา เกตุแก้ว. (2547). “ผลของการใช้กระบวนการสื อสารทีมีต่อผลสัมฤทธิทางการเรี ยนวิชา
คณิ ตศาสตร์และแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ ในการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยนระดับมัธยมศึกษา
ตอนต้น.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญาครุ ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสู ตรการสอนและ
เทคโนโลยีการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ถ่ายเอกสาร.
สุ นนั ทา สุ นทรประเสริ ฐ. (2544). การผลิตนวัตกรรมการเรียนการสอนการสร้ างแบบฝึ กเล่ม 2.
กรุ งเทพฯ: ชมรมพัฒนาความรู้ดา้ นระเบียบกฎหมาย.
สุ ภามาส เทียนทอง. (2553). “การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรี ยนชันประถมศึกษา
ปี ที 5 ทีจัดการเรี ยนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน.” วิทยานิพนธ์ปริ ญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต.
สาขาวิชาหลักสู ตรและการนิเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สุ นทรี คนเทียง. (2544). “การจัดการเรี ยนการสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษา.” วารสารข่ าวสารกอง
บริการการศึกษา. 12,1 (พฤษภาคม-มิถุนายน 2544) : 10 -19
สุ นีย ์ คล้ายนิล. (2547). “คณิ ตศาสตร์สาํ หรับโลกวันพรุ่ งนี.” วารสารการศึกษา วิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี. 32,131 (กรกฎาคม-สิ งหาคม 2547) : 12-22
169
ภาษาอังกฤษ
Ausubel, David,P. (1968). Educational Psychology : A Cognitive View. New York : Holt Rinehart
Winston, Inc.
Ai-Furaihi, Ali M.H. (2003). An Investingation of the relationship between students’ attitude
toward learning Mathematics, Dissertation Abstract International.(Online)
Available,2003 : http://www/ib.umi.com/dissertation/fullcit. Retrierced August, 14 2013.
Bell, Frederick H. (1978). Teaching and Learning Mathematics (in Secondary School).Dubuque,
lowa : Wm. C. Brown Company Publishers.
Charles , Randall ; & Lester , Frank. (1982). Teaching problem Solving. What Why & How.
Boston:Dale Seymour Publications.
Dimork, H.S. (1952). Administration of the Modern Camp. (3d ed.) New York: Association
Press, Houston Robert W, et al. (1972) . Development Instructional Modules; A Modular
System for Writing Modules. Houston, 188p.
Illinois Mathematics and Science Academy (IMSA). (2006). Introduction to PBL. Retrieved
May, 22 2013, From http://www.imsa.edu/team/cpbl/whatis/whatis/slide3.html.
Kreger, C. (1998). Problem-Based Learning. Online Retrieved, June, 28 2013,
http://www.cotf.edu/ete/teacher/tprob/trob.html.
McCarthy,D.S. (1998). A Teaching Experiment Using Problem-Based Learning at the
Elementary Level to Develop Decimal Concepts.Dissertation Abstracts Online.
Retrieved, June, 12 2013, http://thailis.uni.net.th/dao/detail.nsp.
Maddox, Hary. (1965). How to study, London: Wyman.Lid.
Pedersen, S. (2000). Cognitive Modeling During Problem- Based Learning: The Effects of A
Hypermedia Expert Tool . Unpublish doctoral Dissertation, university of Texas at
Austin, Austin,TX.
171
Prescott, Daniel A. (1961). Report of Conference on Child Study , Educational Bulletin. Faculty
of Education. Bangkok: Chulalongkorn University.
Rawat, D.S. and Cupta, S.L. (1970). Educational Wastage at the Primary Level: A Hand Book
for Teachers. New DelHi.: S.K. Kitchchula at Nalanda Press.
Schmidt, Henk G. (1983).The Rational Behind Problem Based Learning. Med Educ. 17: 11-16.
Shore, M. ; Shore, J.; & Boggs, S.(2004). Allied Health Application Integrated into
Developmental Mathematics Using Problem Based Learning. Mathematics &
Computer Education. 38, (2004 Spring).183-189.
Smith,Steven Harmon. (1982). Achievement and Long-Term Retention in Geometry Using
Mastery Learning , Student Choice and Tradition Learning in the Elementary
School. Dissertation Abstracts International. 42,8 (1982 February) : 3423-A.
Torp, Linda & Sage, Sara. (1998). Problem as Possibilities: Problem-Based Learning for K- 12.
Alexandria,Virgnia: Association for Supervision and Curriculum Development.
White, Harold B ,Dan Tries. (1996). Problem –Based Learning: A Case Study, Retrieved, June,
12 2013, from http:// www.udel.edu./pbl/dancease3.html]
172
ภาคผนวก
174
ภาคผนวก ก
รายนามผู้เชียวชาญตรวจเครื องมือ
ภาคผนวก ข
- แบบสอบถามข้อมูลพืนฐานและความต้องการของนักเรี ยน
- แบบสัมภาษณ์ ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกียวกับการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ
สําหรับครู กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์
- แบบสรุ ปความสามารถพืนฐานในการแก้ปัญหา (ก่อนเรี ยน) ของนักเรี ยน
ชันมัธยมศึกษาปี ที 1
176
4. นักเรี ยนคิดว่าเนือหาในแบบฝึ กทักษะ ควรมี หรื อ ไม่ สมควรมี ลักษณะใด พร้ อมทังให้
ข้ อคิดเห็นเพิมเติม
3) การพัฒนาแบบฝึ กทักษะ โดยใช้ก ารจัด การเรี ย นรู้ แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพื อส่ งเสริ ม
ความสามารถในการแก้ปัญหา ท่านคิดว่าควรมีการวัดและ ประเมินผลอย่างไร จึงจะเหมาะสมกับ
นักเรี ยนระดับชันมัธยมศึกษาปี ที 1
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
4) ปั ญหาทีท่านพบในการใช้แบบฝึ กทักษะ มีอะไรบ้าง และมีแนวทางในการแก้ไขปั ญหา
ดังกล่าวอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
5) ข้อเสนอแนะเพิมเติ มเกี ยวกับการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ โดยใช้การจัด การเรี ยนรู้ แบบ
ปัญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
.………………………………………………………………………………………………………
180
ความสามารถในการแก้ ปัญหา
ขันที 1 ขันที 2 ขันที 3 ขันที 4 ขันที 5
นักเรียน การเชือมโยง ทําความ ดําเนิน สังเคราะห์ สรุ ปผลการ รวม
ลําดับที ปัญหาและ เข้าใจ การศึกษา ข้อมูล แก้ไขปั ญหา คะแนน
นําเสนอปั ญหา กับปั ญหา ค้นคว้า และปฏิบตั ิ และความรู้ทีได้
(2 คะแนน) (2 คะแนน) (2 คะแนน) (2 คะแนน) (2 คะแนน)
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
181
ความสามารถในการแก้ ปัญหา
ขันที 1 ขันที 2 ขันที 3 ขันที 4 ขันที 5
นักเรียน การเชือมโยง ทําความ ดําเนิน สังเคราะห์ สรุ ปผลการ รวม
ลําดับที ปัญหาและ เข้าใจ การศึกษา ข้อมูล แก้ไขปั ญหา คะแนน
นําเสนอปั ญหา กับปั ญหา ค้นคว้า และปฏิบตั ิ และความรู้ทีได้
(2 คะแนน) (2 คะแนน) (2 คะแนน) (2 คะแนน) (2 คะแนน)
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
133
182
ภาคผนวก ค
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลพืนฐานและความต้ องการในการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ
แบบวิเคราะห์ หลักสู ตร
วิสัยทัศน์
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผูเ้ รี ยนทุกคนซึ งเป็ น
กําลังของชาติ ให้เป็ นมนุษย์ทีมีความสมดุล ทังด้านร่ างกายความรู้ คุณธรรม มีจิตสํานึกในความเป็ น
พลเมืองไทยและเป็ นพลโลกยึดมันในการปกครองตามระบอบประชาธิ ปไตย อันมีพระมหากษัตริ ย ์
ทรงเป็ นประมุข มีความรู ้และทักษะพืนฐานรวมทังเจตคติทีจําเป็ นต่อการศึกษาต่อการประกอบ
อาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสําคัญบนพืนฐานความเชื อว่า ทุกคนสามารถ
เรี ยนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
หลักการ
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 มีหลักการทีสําคัญดังนี
1. เป็ นหลัก สู ต รการศึ ก ษา เพื อความเป็ นเอกภาพของชาติ มี จุ ด หมายและ
มาตรฐานการเรี ย นรู้ เป็ นเป้ าหมายสํา หรั บ พัฒนาเด็กและเยาวชน ให้มีความรู้ ทกั ษะเจตคติแ ละ
คุณธรรมบนพืนฐานของความเป็ นไทยควบคู่กบั ความเป็ นสากล
2. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาเพือปวงชน ทีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา
อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ
3. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาทีสนองการกระจายอํานาจให้สังคม มีส่วนร่ วมในการ
จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิน
4. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาทีมีโครงสร้างยืดหยุ่นทังด้านสาระการเรี ยนรู ้เวลาและ
การจัดการเรี ยนรู้
5. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาทีเน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสําคัญ
6. เป็ นหลักสู ตรการศึกษาสําหรับการศึกษาในระบบนอกระบบและตามอัธยาศัย
ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้ าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรี ยนรู้และประสบการณ์
184
จุดหมาย
หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผูเ้ รี ยนให้เป็ นคนดี
มีปัญญา มีความสุ ข มีศกั ยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชี พ จึงกําหนดเป็ นจุดหมายเพือให้
เกิดกับผูเ้ รี ยน เมือจบการศึกษาขันพืนฐานดังนี
1. มีคุณธรรมจริ ยธรรมและค่านิ ยมทีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมีวินยั และ
ปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรื อศาสนาทีตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง
2. มีความรู้ ความสามารถในการสื อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี
และมีทกั ษะชีวติ
3. มีสุขภาพกายและสุ ขภาพจิตทีดีมีสุขนิสัยและรักการออกกําลังกาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสํานึกในความเป็ นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมันในวิถี
ชีวติ และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริ ยท์ รงเป็ นประมุข
5. มีจิตสํานึกในการอนุ รักษ์วฒั นธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา
สิ งแวดล้อม มีจิตสาธารณะทีมุ่งทําประโยชน์และสร้างสิ งทีดีงามในสังคมและอยูร่ ่ วมกันในสังคม
อย่างมีความสุ ข
สมรรถนะสํ าคัญของผู้เรี ยน
การพัฒนาผูเ้ รี ยนตามหลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนา
ผูเ้ รี ยนให้มีสมรรถนะสําคัญ 5 ประการดังนี
1. ความสามารถในการสื อสาร เป็ นความสามารถในการรั บ และส่ ง สารมี
วัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู ้ ความเข้าใจความรู ้ สึกและทัศนะของตนเอง
เพือแลกเปลียนข้อมูล ข่าวสารและประสบการณ์อนั จะเป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม
รวมทังการเจรจาต่อรอง เพือขจัดและลดปั ญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลื อกรับหรื อไม่รับข้อมูล
ข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื อสารทีมีประสิ ทธิ ภาพโดย
คํานึงถึงผลกระทบทีมีต่อตนเองและสังคม
2. ความสามารถในการคิ ด เป็ นความสามารถในการคิ ด วิเ คราะห์ การคิ ด
สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและการคิดเป็ นระบบ เพือนําไปสู่ การ
สร้างองค์ความรู้หรื อสารสนเทศ เพือการตัดสิ นใจเกียวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
185
สาระที 3 เรขาคณิต
มาตรฐาน ค 3.1 อธิบายและวิเคราะห์รูปเรขาคณิ ตสองมิติและสามมิติ
มาตรฐาน ค 3.2 ใช้การนึกภาพ (visualization) ใช้เหตุผลเกียวกับปริ ภูมิ (spatial reasoning) และ
ใช้แบบจําลองทางเรขาคณิ ต (geometric model) ในการแก้ปัญหา
สาระที 4 พีชคณิต
มาตรฐาน ค 4.1 เข้าใจและวิเคราะห์แบบรู ป (pattern) ความสัมพันธ์ และฟังก์ชนั
มาตรฐาน ค 4.2 ใช้นิพจน์ สมการ อสมการ กราฟ และตัวแบบเชิงคณิ ตศาสตร์ (Mathematical
model) อืน ๆ แทนสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนแปลความหมายและนําไปใช้
แก้ปัญหา
สาระที 5 การวิเคราะห์ ข้อมูลและความน่ าจะเป็ น
มาตรฐาน ค 5.1 เข้าใจและใช้วธิ ีการทางสถิติในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
มาตรฐาน ค 5.2 ใช้วิธีการทางสถิติและความรู ้เกียวกับความน่าจะเป็ นในการคาดการณ์ได้อย่าง
สมเหตุสมผล
มาตรฐาน ค 5.3 ใช้ความรู ้เกียวกับสถิติและความน่าจะเป็ นช่วยในการตัดสิ นใจและแก้ปัญหา
สาระที 6 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์
มาตรฐาน ค 6.1 มีความสามารถในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื อสาร การสื อความหมาย
ทางคณิ ตศาสตร์ และการนําเสนอ การเชือมโยงความรู ้ต่าง ๆ ทางคณิ ตศาสตร์
และเชือมโยงคณิ ตศาสตร์ กบั ศาสตร์อืนๆ และมีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์
คําอธิบายรายวิชา
ค 21201 คณิตศาสตร์ เพิมเติม จํานวน 40 ชัวโมง/ภาค 1.0 หน่ วยกิต
ศึ กษา ฝึ กทักษะการคิ ดคํานวณ ฝึ กการแก้ปั ญหา และฝึ กทักษะกระบวนการทาง
คณิ ตศาสตร์ เกียวกับการประยุกต์ รู ปเรขาคณิ ต จํานวนนับ ร้อยละในชีวิตประจําวัน ปั ญหาชวน
คิด จํานวนและตัวเลข ระบบตัวเลขโรมัน ระบบตัวเลขฐานต่าง ๆ การเปลี ยนฐานในระบบตัวเลข
การประยุกต์ของจํานวนนับและเลขยกกําลัง การคิดคํานวณ โจทย์ปัญหา การสร้าง การแบ่งส่ วน
ของเส้นตรง การสร้างมุมต่าง ๆ การสร้างรู ปสามเหลียมและรู ปสี เหลียมด้านขนาน
โดยการจัดประสบการณ์ หรื อการสร้ างสถานการณ์ ที ใกล้ตวั ให้ผูเ้ รี ยนได้ศึกษา
ค้นคว้า โดยการปฏิบตั ิจริ ง พิสูจน์ สรุ ป รายงานผล เพือพัฒนาทักษะ กระบวนการในการคิดคํานวณ
การแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื อความหมายทางคณิ ตศาสตร์ และการนําประสบการณ์ ด้า น
ความรู ้ ความคิด ทักษะกระบวนการทีได้ ไปใช้ในการเรี ยนรู ้สิงต่าง ๆ และใช้ในชีวติ ประจําวันอย่าง
สร้ า งสรรค์ รวมทังเห็ นคุ ณค่ าและมี เจตคติ ที ดี ต่อคณิ ต ศาสตร์ สามารถทํา งานอย่า งเป็ นระบบ
ระเบียบ รอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวจิ ารณญาณ มีความเชือมันในตนเอง มีความซื อสัตย์สุจริ ต
มีวินยั ใฝ่ เรี ยนรู ้ มีความมุ่งมันในการทํางาน มีจิตสาธารณะ และมีคุณธรรมจริ ยธรรม เพือการ
พัฒนาสู่ ประชาคมอาเซี ยน
ผลการเรียนรู้
1. อ่านและเขียนเลขโรมันได้
2. บอกค่าของเลขโดดและเขียนตัวเลขฐานต่างๆ ทีกําหนดให้ได้
3. ใช้ความรู้เกียวกับจํานวนเต็มและเลขยกกําลังในการแก้ปัญหาได้
4. ใช้การประมาณค่าในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม
5. ใช้การสร้างพืนฐาน สร้างมุมขนาดต่างๆได้
6. ใช้ความรู้และทักษะกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์แก้ปัญหาต่างๆได้
7. ใช้วธิ ี การทีหลากหลายในการแก้ปัญหาได้
8. ให้เหตุผลประกอบการตัดสิ นใจและสรุ ปผลได้อย่างเหมาะสม
9. ใช้ภาษาสัญลักษณ์ทางคณิ ตศาสตร์ในการสื อสาร การสื อความหมาย และการนําเสนอได้
อย่างถูกต้องและชัดเจน
10. เชือมโยงความรู ้ต่างๆในคณิ ตศาสตร์และนําความรู้ หลักการ กระบวนการทางคณิ ตศาสตร์
ไปเชือมโยงกับศาสตร์ อืนๆได้
11. มีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์
188
การสังเคราะห์ขนตอนการจั
ั ดการเรี ยนรู ้แบบปัญหาเป็ นฐาน (ต่อ)
สเตปเพียน และ เดลลีส (Delisle เซวอย และฮิวจ์ Barrows และ สํานักงาน ส่ วนส่ งเสริ ม กุลยา อนุรักษ์
แกลแลกเกอร์ 1997: 26-36 (Savoil and Roblyn (1980 เลขาธิการ วิชาการ ตันติผลา เร่ งรัด
(Stepien and Hugles 1994 , : 144- 145) สภา มหาวิทยาลัย ชีวะ (ผูว้ ิจยั )
Gallagher, 1993 อ้างถึงใน วัชรา การศึกษา วลัยลักษณ์ (2548:79)
, อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรี ยนดี 2554
(2550)
เล่าเรี ยนดี , 2554 : 110-111)
: 110)
ขันที 2 ขันที 2 ขันที 2 ขันที 2 ขันที 2 ขันที 2 ขันที 2 ขันที 2
หาข้อมูล การกําหนด เชือมโยงปัญหา สร้างประเด็น ทําความ ตังปัญหา ศึกษาค้นคว้า ทําความ
รวบรวมข้อมูลที กรอบการศึกษา กับบริ บทของ การเรี ยนใน เข้าใจปัญหา ด้วยตนเอง เข้าใจกับ
เกียวข้อง ผูเ้ รี ยน ระหว่าง ปัญหา
อภิปรายภายใน
กลุม่
ขันที 6 ขันที 6
นําเสนอและ ค้นคว้าหา
ประเมิน ความรู ้ดว้ ย
ตนเอง
ขันที 7
รายงานต่อกลุ่ม
196
จาก การสังเคราะห์ขนตอนการจั
ั ดการเรี ยนรู้แบบปัญหาเป็ นฐาน ใช้ขนตอนในการวิ
ั จยั ครัง
นี 5 ขันตอนต่อไปนี
ขันที 1 การเชือมโยงปั ญหาและนําเสนอปั ญหา ปั ญหา (The Related Problem and
Problem Presentation) เป็ นขันตอนในการสร้างปั ญหา เพราะในการเรี ยนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน
ผูเ้ รี ยนจะต้องมีความรู้สึกว่าปั ญหานันมีความสําคัญต่อตนก่อนครู ควรเลือกหรื อออกแบบปั ญหาให้
สอดคล้องกับผูเ้ รี ยน ดังนันในขันนี ครู จะสํารวจประสบการณ์ความสนใจของผูเ้ รี ยนแต่ละบุคคล
ก่อนเพือเป็ นแนวทางในการเลือกหรื อออกแบบปั ญหา โดยครู จะยกประเด็นทีเกียวข้องกับปั ญหา
ขึนมาร่ วมกันอภิปรายก่อนแล้วครู และนักเรี ยนช่วยกันสร้างปั ญหาทีผูเ้ รี ยนสนใจขึนมาเพือนําไป
เป็ นปั ญหาสําหรับการเรี ยนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน ประเด็นทีครู ยกมานันจะต้องเป็ นประเด็นทีมี
ความ สัมพันธ์กบั ความรู ้ในเนือหาวิชาและทักษะทีต้องการให้นกั เรี ยนได้รับ
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปัญหา (Understanding of the Problem ) นักเรี ยนร่ วมมือ
กันเรี ยนรู ้ ให้ผูเ้ รี ยนร่ วมอภิปรายแสดงความคิ ดเห็ นเพือทําความเข้าใจกับปั ญหาให้ชดั เจน และ
สามารถอธิ บายสิ งต่างๆ ทีเกียวข้องกับปัญหาได้ เช่น โจทย์กาํ หนดอะไร ต้องการอะไร
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า (The Study of Problem) เป็ นขันทีนักเรี ยนแต่ละ
คน ดําเนิ นการศึกษาค้นคว้า เพือวางแผนการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทีหลากหลาย หรื ออาจมาจาก
ความรู้ /ประสบการณ์ เดิ ม และสามารถหาได้จากแหล่ งข้อมูลหรื อสื อต่างๆ เช่ นใบความรู ้ ใบ
กิจกรรม เอกสารแนะแนวทาง หนังสื อเรี ยน Internet เป็ นต้น
ขันที 4 สังเคราะห์ขอ้ มูลและปฏิบตั ิ (The Synthesis of Data and Procedure)
กิ จกรรมในขันตอนนี เน้นฝึ กทักษะการคิดแก้ปัญหาให้กบั ผูเ้ รี ยน เป็ นขันทีผูเ้ รี ยนแต่ละคนสร้ าง
ทางเลื อกหรื อกําหนดแนวทางการแก้ปัญหา อาจมีการสร้ างสื อ วาดภาพประกอบหรื อจัดการกับ
สาระความรู ้ ใหม่ ซึ งแตกต่างจากการทํารายงานธรรมดา แต่เป็ นการนําเสนอแนวทาง วิธีการแก้
ปั ญหาทีชัดเจน ดําเนิ นการแก้ปัญหาตามวิธีการแก้ปัญหาทีหลากหลาย ภายใต้พืนฐานของการคิด
วิเคราะห์ การคิดริ เริ มสร้างสรรค์ เป็ นต้น
ขันที 5 สรุ ปผลการแก้ปัญหาและความรู ้ทีได้ (The Conclusion of Solution) การ
จัดกิจกรรมในขันตอนนีเป็ นการฝึ กคิดแก้ปัญหา เป็ นขันทีผูเ้ รี ยนแต่ละคนนําความรู ้ทีได้จากการคิด
แก้ปัญหา ความคิด/วิธีการทีแปลกใหม่ หรื อแนวทางจากการศึกษาค้นคว้าเพิมเติม และนํามาสร้าง
มโนทัศน์คาํ อธิ บายของสถานการณ์ ปัญหาด้วยตนเอง ประมวลความรู ้ ทีได้ว่ามี ความสอดคล้อง
เหมาะสมสําหรับการแก้ปัญหาทีเกิดขึนเพียงใด และสรุ ปเป็ นภาพรวม
197
ภาคผนวก ง
เครืองมือทีใช้ ในการประเมินผล
- แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา
- แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรี ยน (หลังจัดการเรี ยนรู้)
200
โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจน์ วทิ ยา
แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา เรือง การประยุกต์ 1
ชันมัธยมศึกษาปี ที 1 รายวิชา คณิตศาสตร์ เพิมเติม รหัสวิชา ค 21201 เวลาทีใช้ สอบ 6 นาที
คําชีแจง ให้นกั เรี ยนแสดงวิธีทาํ อย่างละเอียด จํานวน 5 ข้อ ข้อละ 10 คะแนน รวม 50 คะแนน
ชือ ………………………………….. นามสกุล ………….…………..เลขที …… ชัน ม.1/….
ข้ อที 3 จํานวนสองจํานวนมี ค.ร.น. เป็ น 504 และ ห.ร.ม เป็ น 24 ถ้าจํานวนหนึงคือ 72 จงหาอีก
จํานวนหนึง
ข้ อที 4 ปกรณ์ เป็ นพนักงานของบริ ษทั แห่งหนึงได้รับเงินเดือนเดือนละ 15,000 บาท เมือสิ นปี
บริ ษทั จ่ายเงินโบนัสให้ปกรณ์ 2.5 เท่าของเงินเดือนและได้หกั ภาษีเงินได้ ณ ทีจ่ายไว้ 10% จงหาว่า
ปกรณ์ได้รับเงินโบนัสหลังจากหักภาษีแล้วเท่าไร
วิธีทาํ ขันที 1 การเชือมโยงปัญหาและนําเสนอปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปั ญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 4 สังเคราะห์ขอ้ มูลและปฏิบตั ิ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 5 สรุ ปผลการแก้ไขปั ญหาและความรู ้ทีได้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
204
รู ปที 1 2 3 4 5 …. 60 … 100
จํานวนจุด 1 3 6 10
วิธีทาํ ขันที 1 การเชือมโยงปั ญหาและนําเสนอปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปั ญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 4 สังเคราะห์ขอ้ มูลและปฏิบตั ิ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 5 สรุ ปผลการแก้ไขปั ญหาและความรู ้ทีได้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
205
เฉลยแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า
โดยการวางเชือกให้ผลบวกของความยาวของด้านสองด้านใดๆ มากกว่าความยาว
ของด้านทีเหลือ
ขันที 4 สังเคราะห์ขอ้ มูลและปฏิบตั ิ
อาจวางเชือกให้มีความยาวของด้าน เป็ น 1.5 เมตร 1.5 เมตร และ 1 เมตร ซึ งความ
ยาวของแต่ละด้านไม่จาํ เป็ นต้องเป็ นจํานวนนับ
ขันที 5 สรุ ปผลการแก้ไขปัญหาและความรู ้ทีได้
นักเรี ยนมีเชือกเส้นหนึงยาว 4 เมตร นักเรี ยนจะสามารถนํามาขึงเป็ นสามเหลียมได้
โดยความยาวของแต่ละด้านไม่จาํ เป็ นต้องเป็ นจํานวนนับ
ตอบ สามารถสร้างรู ปสามเหลียมจากเชือกเส้นหนึงยาว 4 เมตร ได้ โดยความยาวของแต่
ละด้านไม่จาํ เป็ นต้องเป็ นจํานวนนับ
206
ข้ อที 3 จํานวนสองจํานวนมี ค.ร.น. เป็ น 504 และ ห.ร.ม เป็ น 24 ถ้าจํานวนหนึงคือ 72 จงหาอีก
จํานวนหนึง
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปัญหา
จากโจทย์กาํ หนด จํานวนสองจํานวนมี ค.ร.น. เป็ น 504 และ ห.ร.ม เป็ น 24 ถ้า
จํานวนหนึงคือ 72
โจทย์ตอ้ งการหา อีกจํานวนหนึง
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า
ใช้ความสัมพันธ์ของจํานวนนับสองจํานวนจากสู ตร
นันคือ a b = (ค.ร.น. ของ a และ b) × (ห.ร.ม. ของ a และ b)
ขันที 4 สังเคราะห์ขอ้ มูลและปฏิบตั ิ
จากสู ตร a b = (ค.ร.น. ของ a และ b) (ห.ร.ม. ของ a และ b)
จะได้ a 72 = 504 24
ดังนัน a =
a = 168
ขันที 5 สรุ ปผลการแก้ไขปั ญหาและความรู ้ทีได้
นันคือ อีกจํานวนหนึงคือ
ตอบ ๑๖๘
208
ข้ อที 4 ปกรณ์ เป็ นพนักงานของบริ ษทั แห่งหนึงได้รับเงินเดือนเดือนละ 15,000 บาท เมือสิ นปี
บริ ษทั จ่ายเงินโบนัสให้ปกรณ์ 2.5 เท่าของเงินเดือนและได้หกั ภาษีเงินได้ ณ ทีจ่ายไว้ 10% จงหาว่า
ปกรณ์ได้รับเงินโบนัสหลังจากหักภาษีแล้วเท่าไร
วิธีทาํ ขันที 1 การเชือมโยงปั ญหาและนําเสนอปัญหา
นิกรได้รับเงินโบนัส 2.5 เท่าของเงินเดือน
ดังนัน ปกรณ์ได้รับเงินโบนัส 2.5 15,000 บาท
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปั ญหา
โจทย์กาํ หนด ปกรณ์ได้รับเงินเดือนเดือนละ 23,600 บาท
สิ นปี บริ ษทั จ่ายเงินโบนัสให้ปกรณ์ . เท่าของเงินเดือน
และได้หกั ภาษีเงินได้ ณ ทีจ่ายไว้ %
โจทย์ตอ้ งการ ปกรณ์ได้รับเงินโบนัสหลังจากหักภาษีแล้วเท่าไร
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า
ถ้าได้รับเงินโบนัส 100 บาท จะได้รับจริ ง 100 – 10 = 90 บาท
ขันที 4 สังเคราะห์ขอ้ มูลและปฏิบตั ิ
ได้รับเงินโบนัส 2.5 15,000 บาท จะได้รับจริ ง (2.5 15,000 ) = 33,750 บาท
รู ปที 1 2 3 4 5 …. 10 … 20
จํานวนจุด 1 3 6 10
การพัฒนาแบบฝึ กทักษะ วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื องการประยุกต์1 โดยจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน
เพือส่ งเสริ มความสามารถในการแก้ปัญหา สําหรับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1
คําชีแจง
ตอนที 1 เป็ นแบบสอบถามเกียวกับความคิดเห็นของนักเรี ยน ทีมีต่อการจัดกิจกรรมการ
เรี ยนรู้ บรรยากาศในการเรี ยนรู้ การวัดและประเมินผล และประโยชน์ทีได้รับ จํานวนทังสิ น 1
ข้อ โดยเป็ นแบบมาตราส่ วนประเมินค่า (Rating Scale) ระดับของลิเคิร์ท (Likert) ดังนี
ความคิดเห็นอยูใ่ นระดับดีมาก ให้คะแนน คะแนน
ความคิดเห็นอยูใ่ นระดับดี ให้คะแนน คะแนน
ความคิดเห็นอยูใ่ นระดับปานกลาง ให้คะแนน คะแนน
ความคิดเห็นอยูใ่ นระดับพอใช้ ให้คะแนน คะแนน
ความคิดเห็นอยูใ่ นระดับต้องปรับปรุ ง ให้คะแนน คะแนน
และกรุ ณาทําเครื องหมาย / ลงในช่องว่างทีตรงกับความคิดเห็นของนักเรี ยนมากทีสุ ด
ระดับความคิดเห็น
ข้ อ ข้ อความ
5 4 3 2 1
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1 วิธีการเรี ยนทีเริ มต้นด้วยสถานการณ์ปัญหาก่อนการเรี ยนรู ้
เป็ นวิธีการทีเหมาะสม
2 แบบฝึ กทักษะช่วยทําให้การทําโจทย์ปัญหาถูกต้องมากขึน
3 การทําแบบฝึ กทักษะประกอบการจัดการเรี ยนรู้แบบ
ปัญหาเป็ นฐาน ทําให้นกั เรี ยนสามารถแก้โจทย์ปัญหาได้
บรรยากาศในการเรี ยนรู้
4 ในชันเรี ยนเป็ นบรรยากาศแห่งการเรี ยนรู ้
5 ครู สนับสนุน/เปิ ดโอกาสนักเรี ยนสามารถอภิปรายและ
แลกเปลียนความรู ้กบั เพือน
212
ระดับความคิดเห็น
ข้ อ ข้ อความ
5 4 3 2 1
การวัดและประเมินผล
6 นักเรี ยนพอใจต่อการวัดและประเมินผล ด้วยวิธีการที
หลากหลาย
7 มีการวัดและประเมินผลสมําเสมอ
ประโยชน์ ทได้
ี รับ
8 นักเรี ยนเข้าใจเนือหาและแก้ปัญหาได้ถูกต้อง
9 วิชาคณิ ตศาสตร์สามารถประยุกต์ใช้ได้ในชีวติ ประจําวัน
10 นักเรี ยนเข้าใจวิชาคณิ ตศาสตร์ มากขึน จากกิจกรรมทีได้ทาํ
ตอนที 2 ให้ นัก เรี ย นเขี ย นแสดงความคิ ด เห็ น เกี ยวกับ การใช้แ บบฝึ กทัก ษะ วิ ช า
คณิ ต ศาสตร์ เรื องการประยุ ก ต์ 1 โดยใช้การจัดการเรี ยนรู้แบบปั ญหาเป็ นฐาน เพือส่ งเสริ ม
ความสามารถในการแก้ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
213
ภาคผนวก จ
ผลการตรวจสอบคุณภาพเครืองมือ
- แบบสอบถามเกียวกับการศึกษาข้อมูลพืนฐานและความต้องการของนักเรี ยน
- แบบสัมภาษณ์ขอ้ คิดเห็นและข้อเสนอแนะเกียวกับการพัฒนาแบบฝึ กทักษะ
สําหรับครู กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์
- แผนการจัดการเรี ยนรู้ จํานวน 8 แผนการเรี ยนรู้
- แบบฝึ กทักษะ จํานวน 4 เรื อง
- แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา
- แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรี ยน (หลังจัดการเรี ยนรู้)
214
ตารางที 44 ความสอดคล้องจากการประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้องของแบบทดสอบ
วัดความสามารถในการแก้ปัญหา วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื อง การประยุกต์ 1 จํานวน 10 ข้อ
หมายเหตุ
การเลือกและการปรับปรุ งข้อสอบของผูว้ จิ ยั
1. ข้อสอบทีมีค่า p ระหว่าง 0.20 – 0.80 จัดเป็ นข้อสอบทีมีระดับความยากง่ายตามเกณฑ์
2. ข้อสอบทีมีค่า r ตังแต่ 0.20 ขึนไป จัดเป็ นข้อสอบทีมีค่าอํานาจจําแนก
ดังนัน ข้อสอบทีเลือกใช้ในการวิจยั ได้แก่ ข้อที 2 , 3 , 4 , 5 และ 9 ซึ งผ่านเกณฑ์ทงค่
ั าความ
ยากง่าย (p) และ ค่าอํานาจจําแนก (r)
239
ภาคผนวก ฉ
ผลการหาประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะ
- ค่าประสิ ทธิภาพ (E1/E2) ของแบบฝึ กทักษะ แบบรายบุคคล (Individual Tryout)
- ค่าประสิ ทธิภาพ (E1/E2) ของแบบฝึ กทักษะ แบบกลุ่มเล็ก (Small Group Tryout)
- ค่าประสิ ทธิภาพ (E1/E2) ของแบบฝึ กทักษะ แบบภาคสนาม (Filed Tryout)
- ค่าประสิ ทธิภาพของแบบฝึ กทักษะ ทดลองจริ งกับนักเรี ยนชันมัธยมศึกษาปี ที 1/1
240
ภาคผนวก ช
แผนการจัดการเรี ยนรู้ และแบบฝึ กทักษะ
246
แผนการจัดการเรี ยนรู้ ที 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ รายวิชาเพิมเติม รหัส ค 21201 ภาคเรียนที 1 ปี การศึกษา 2557
หน่ วยการจัดการเรียนรู้ ที 1 เรืองการประยุกต์ 1 ชันมัธยมศึกษาปี ที 1
เรือง รู ปเรขาคณิต (ความยาวของด้ านของรู ปสามเหลียม) เวลา 2 ชัวโมง
ผู้สอน นายอนุรักษ์ เร่ งรัด โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจน์ วทิ ยา จังหวัดกาญจนบุรี
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ค . อธิบายและวิเคราะห์รูปเรขาคณิ ตสองมิติและสามมิติ
มาตรฐาน ค 6.1 มีความสามารถในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื อสาร การสื อความหมาย
ทางคณิ ตศาสตร์ และการนําเสนอ การเชือมโยงความรู ้ต่าง ๆ ทางคณิ ตศาสตร์
และเชือมโยงคณิ ตศาสตร์ กบั ศาสตร์ อืน ๆ และมีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์
ผลการเรียนรู้
1. ใช้ความรู้และทักษะกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ แก้ปัญหาต่างๆได้
2.ใช้วธิ ี การทีหลากหลายในการแก้ปัญหา
3. มีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์
สาระสํ าคัญ/ความคิดรวบยอด
การสร้างรู ปสามเหลียม เมือกําหนดความยาวของด้านมาให้สามด้าน จะสามารถสร้างได้
เมือมีผลบวกของความยาวของด้านสองด้านใดๆ ของรู ปสามเหลียม ยาวมากกว่า ความยาวของด้าน
ทีเหลือเสมอ
คําถามสํ าคัญ
1. หากเรานําหลอดทีมีความยาว 1 หน่วยมาต่อกันให้เป็ นรู ปสามเหลียมจะทําได้ทุกครัง
หรื อไม่
2. ความสัมพันธ์ระหว่างผลบวกของความยาวของด้านสองด้านกับความยาวของด้านทีสาม
ของรู ปสามเหลียมใดๆเป็ นอย่างไร
จุดประสงค์
ด้ านความรู้ นักเรียนสามารถ
บอกความสัมพันธ์ระหว่างผลบวกของความยาวของด้านสองด้านกับความยาวของด้านที
สามของรู ปสามเหลียมใดๆ ได้
247
ด้ านทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ นักเรียนมีความสามารถใน
1. การสื อสาร : ใช้การสื อสารเพือปรึ กษาและวางแผนในการสร้างรู ปสามเหลียมกัน
ภายในกลุ่ม
2. การคิด : ใช้การคิดเพือหาแนวทางในการสร้างรู ปสามเหลียม
3. การแก้ปัญหา : ใช้กระบวนการแก้ปัญหา ว่าการสร้างรู ปสามเหลียมจากหลอดทีมีความ
ยาวรอบรู ปต่างๆต้องสร้างอย่างไร
ด้ านคุณลักษณะทีพึงประสงค์ นักเรียนเป็ นผู้ที
1. ซือสัตย์สุจริ ต
2. มีวนิ ยั
3. ใฝ่ เรี ยนรู้
4. มุ่งมันในการทํางาน
สาระการเรียนรู้
ความยาวของด้ านของรูปสามเหลียม
รูปสามเหลียม เป็ นรู ปปิ ดทีประกอบด้วยด้านสามด้าน
ความยาวรอบรู ปของรู ปสามเหลียม คื อ ผลบวกของความยาวของด้า นทุ ก ด้านของรู ป
สามเหลียม
ความสั มพันธ์ ของความยาวของด้ านของรูปสามเหลียม เป็ นดังนี ผลบวกของความยาวของ
ด้านสองด้านใดๆ ของรู ปสามเหลียม ยาวมากกว่า ความยาวของด้านทีเหลือเสมอ
ตัวอย่าง ความยาวส่ วนของเส้นทีกําหนดให้ต่อไปนีประกอบเป็ นรู ปสามเหลียมได้หรื อไม่
เพราะเหตุใด
1) 5, 3, 4
วิธีทาํ 5+3>4
5+4>3
3+4>5
ตอบ ด้านทีกําหนดให้ประกอบเป็ นรู ปสามเหลียมได้ เพราะนําด้านสองด้านรวมกันยาว
กว่าด้านทีสาม
248
2) 2, 2 , 5
วิธีทาํ 2+2<5
ตอบ ด้านทีกําหนดให้ประกอบเป็ นรู ปสามเหลียมไม่ได้ เพราะนําด้านสองด้านรวมกัน
ยังน้อยกว่าความยาวของด้านทีสาม
การวัดผลและการประเมินผล
ด้ านความรู้
ตาราง แสดงเกณฑ์การตรวจแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา แบบ Analytic Scoring
ขันที เกณฑ์ การประเมิน 2 คะแนน 1 คะแนน 0 คะแนน
1 การเชือมโยงปัญหา สามารถเขียน สามารถเขียน สามารถเขียนเชือมโยง
และนําเสนอปั ญหา เชือมโยงความรู้เดิม เชือมโยงความรู้เดิม ความรู ้เดิมกับปัญหา
กับปัญหา กับปัญหา ไม่ถูกต้อง
ทีเกิดขึนได้ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน
2 ทําความเข้าใจกับ สามารถเขียนสิ งที สามารถเขียนสิ งที เขียนสิ งทีโจทย์กาํ หนด
ปัญหา โจทย์กาํ หนดได้ โจทย์กาํ หนดได้ไม่ ได้ไม่ถูกต้อง
ครบถ้วนและถูกต้อง ครบทุกประเด็น
3 ดําเนินการศึกษา มีการวางแผนในการ มีการวางแผนในการ ไม่มีการวางแผนในการ
ค้นคว้า แก้ ปั ญหา แสดงวิธี แก้ ปั ญหา แสดงวิ ธี แก้ ปั ญหาแสดงวิ ธี ท ํ า
ทําเป็ นขันตอน ทํา ถูกต้องเป็ นบาง ไม่ถูกต้อง
ถูกต้อง ขันตอน
4 สังเคราะห์ขอ้ มูล มีการอ้างสู ตร มีการอ้างสู ตร ทฤษฎี มี ก ารอ้ า งสู ต ร ทฤษฎี
และปฏิบตั ิ ทฤษฎี หรื อวาดภาพ หรื อวาดภาพ หรื อวาดภาพประกอบ
ประกอบการอธิบาย ประกอบการอธิบาย การอธิ บาย ไม่ถูกต้อง
ถูกต้องเป็ นบางส่ วน
5 สรุ ปผลการแก้ไข มี ก ารสรุ ปผลของ มีการสรุ ปผล ไม่ สรุ ปผลไม่ถูกต้อง
ปัญหา คําตอบทีได้สมบูรณ์ สมบูรณ์คาํ ตอบทีได้ คําตอบผิด
และความรู้ทีได้ ถูกต้อง คลาดเคลือนกับ
คําตอบจริ ง
ระดับคะแนน
2 (ดี) 1 (ปานกลาง) 0 (ควรปรับปรุ ง)
หาคําตอบได้ถูกต้องครบถ้วน หาคําตอบได้ถูกต้องเป็ นบางส่ วน หาคําตอบได้ไม่ถูกต้อง
250
กิจกรรมการเรียนรู้ (ชัวโมงที 1)
1. ครู แจกเอกสารเกียวกับการปฐมนิเทศ เพือแนะนําเนื อหา ผลการเรี ยนรู้ ตลอดจนการ
วัดและประเมินผล ในภาคเรี ยน
2. ครู และนักเรี ยนตกลง กฎ กติกาในการจัดการเรี ยนการสอนร่ วมกัน
3. ครู ให้นกั เรี ยนทดสอบก่อนเรี ยน โดยให้เวลาในการทํา 50 นาที จากนันจึงเก็บแบบ
ทดสอบ เพือทําการตรวจ
กิจกรรมการเรียนรู้ (ชัวโมงที 2)
ขันนําเข้ าสู่ บทเรียน
ครู ท บทวนความรู ้ เดิ มของนัก เรี ยนโดยใช้ก ารสนทนาซัก ถามเกี ยวกับ รู ปสามเหลี ยมที
นักเรี ยนได้เรี ยนมาแล้ว เช่น นักเรี ยนคิดว่ารู ปสามเหลียมมีลกั ษณะเป็ นอย่างไร (มีมุมสามมุม มีด้าน
สามด้ าน เป็ นต้ น)
ขันกระบวนการเรียนรู้
ขันที 1 การเชือมโยงปั ญหาและนําเสนอปัญหา
ครู ให้นกั เรี ยนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 6 คน (เพือสอดคล้องกับกิจกรรม) พร้อมทังเลือก
หัวหน้ากลุ่ม และเขียนรายชื อสมาชิกส่ งให้กบั ครู แล้วยกสถานการณ์ ร่ วมกันอภิปรายว่า ถ้าหากเรา
นําหลอดทีมีความยาว 1 หน่วยหลายๆ หลอดมาต่อกันให้เป็ นรู ปสามเหลียมจะทําได้ทุกครังหรื อไม่
(ได้ /ไม่ ได้ ) อย่างไร
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปั ญหา
นักเรี ยนร่ วมกันเรี ยนรู ้ อภิปรายแสดงความคิดเห็น เพือทําความเข้าใจกับปั ญหาให้ชดั เจน
และสามารถอธิ บายสิ งต่าง ๆ ทีเกียวข้องกับปัญหาได้ เช่น โจทย์กาํ หนดอะไร ต้องการอะไร
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า
1. ครู แจกใบความรู ้ ให้แต่ละกลุ่มศึกษา
2. ครู อธิบายวิธีการสร้างรู ปสามเหลียม เมือกําหนดจํานวนของหลอดมาให้โดยใช้หลอด
และลวดกํามะหยีในการต่อเป็ นรู ปสามเหลียม เช่นจํานวนของหลอดมี 6 อัน ครู ก็ใช้หลอดต่อกันให้
เป็ นรู ปสามเหลียม โดยค่อยๆแจกแจงเป็ นกรณี ไปจนกว่าจะครบทุกกรณี
3. ครู แจกแบบฝึ กทักษะตอน ที 1 เรื อง ความยาวด้านของรู ปสามเหลียม พร้อมทังหลอด
และลวดกํามะหยี ให้นกั เรี ยนในแต่ละกลุ่มร่ วมกันทํา ประมาณ 10 นาที
251
สื อ/แหล่งการเรียนรู้
1. สื อการเรี ยนรู้
- หนังสื อเรี ยนรายวิชาเพิมเติม คณิ ตศาสตร์ เล่ม 1 ชันมัธยมศึกษาปี ที 1 (ของ สสวท.)
- หลอด
- ลวดกํามะหยี
- แบบฝึ กทักษะ ตอนที 1 เรื อง ความยาวของด้านของรู ปสามเหลียม
- แบบฝึ กทักษะ ตอนที 2 เรื อง ความยาวของด้านของรู ปสามเหลียม
2. แหล่งการเรี ยนรู้
- ห้องสมุด กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์
- สถานการณ์ทีเห็นในสิ งแวดล้อม เช่น ห้องเรี ยน โรงเรี ยน อืนๆ
252
บันทึกหลังการสอน
ผลการสอน
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ปัญหา / อุปสรรค
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ลงชือ........................................................ผูส้ อน
(นายอนุ รักษ์ เร่ งรัด)
โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจน์ วทิ ยา
แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา (ก่ อนเรียน) เรือง การประยุกต์ 1
ชันมัธยมศึกษาปี ที 1 รายวิชา คณิตศาสตร์ เพิมเติม รหัสวิชา ค 21201 เวลาทีใช้ สอบ 6 นาที
คําชีแจง ให้นกั เรี ยนแสดงวิธีทาํ อย่างละเอียด จํานวน 5 ข้อ ข้อละ 10 คะแนน รวม 50 คะแนน
ชือ ………………………………….. นามสกุล ………….…………..เลขที …… ชัน ม.1/….
ข้ อที 1 นักเรี ยนมีเชือกเส้นหนึงยาว 4 เมตร นักเรี ยนจะสามารถนํามาขึงเป็ นสามเหลียมได้หรื อไม่
ถ้าได้ ทําอย่างไร และถ้าทําไม่ได้ เพราะเหตุใด
วิธีทาํ ขันที 1 การเชือมโยงปัญหาและนําเสนอปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปั ญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 4 สังเคราะห์ขอ้ มูลและปฏิบตั ิ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 5 สรุ ปผลการแก้ไขปั ญหาและความรู ้ทีได้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
254
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
255
ข้ อที 3 จํานวนสองจํานวนมี ค.ร.น. เป็ น 504 และ ห.ร.ม เป็ น 24 ถ้าจํานวนหนึงคือ 72 จงหาอีก
จํานวนหนึง
ข้ อที 4 นิกรเป็ นพนักงานของบริ ษทั แห่งหนึงได้รับเงินเดือนเดือนละ 23,600 บาท เมือสิ นปี บริ ษทั
จ่ายเงิ นโบนัสให้นิกร 2.5 เท่าของเงินเดื อนและได้หกั ภาษีเงิ นได้ ณ ทีจ่ายไว้ 10% จงหาว่านิ กร
ได้รับเงินโบนัสหลังจากหักภาษีแล้วเท่าไร
วิธีทาํ ขันที 1 การเชือมโยงปัญหาและนําเสนอปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………..……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
รู ปที 1 2 3 4 5 …. 60 … 100
จํานวนจุด 1 3 6 10
วิธีทาํ ขันที 1 การเชือมโยงปั ญหาและนําเสนอปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 2 ทําความเข้าใจกับปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 3 ดําเนินการศึกษาค้นคว้า
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 4 สังเคราะห์ขอ้ มูลและปฏิบตั ิ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขันที 5 สรุ ปผลการแก้ไขปั ญหาและความรู ้ทีได้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
258
จากรู ป ABC มีดา้ นยาว BC ยาว a หน่วย ด้าน AC ยาว b หน่วย และด้าน AB ยาว c หน่วย จะ
ได้วา่
1. a + b > c
2. b + c > a
3. c + a > b
1) 5, 3,4 2) 2, 2 ,5
วิธีทาํ 5 + 3 > 4 วิธีทาํ 2+2<5
5+4>3
3+4>5
เขาใจกันหรือยังครับ!!
260
1. ให้นกั เรี ยนใช้หลอดจํานวน 3 อัน ถึง 8 อัน เพือต่อกันเป็ นรู ปสามเหลียมหนึงรู ป แล้ว
บันทึกผลทีได้ลงในตารางให้ครบทุกกรณี
8
261
4) ในกรณี ทวไปนั
ั กเรี ยนคิดว่าผลบวกของความยาวของด้านสองด้านใดๆ ของรู ปสาม เหลียม
สั มพันธ์ กับความยาวของด้านทีเหลืออย่างไร
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
263
1. ให้นกั เรี ยนใช้หลอดจํานวน 3 อัน ถึง 8 อัน เพือต่อกันเป็ นรู ปสามเหลียมหนึงรู ป แล้วบันทึกผล
ทีได้ลงในตารางให้ครบทุกกรณี
) , 8, 14
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….………………
2) 6, 9, 11
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
3) 7, 9, 11
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….………………
………………………………………………………………………………………………………
266
4) 5, 9, 16
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….………………
………………………………………………………………………………………………………
) , 10, 16
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
6) 10, 11, 24
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….………………
………………………………………………………………………………………………………
267
3) 7, 9, 11 4) 5, 9, 16
วิธีทาํ 7 + 9 > 11 วิธีทาํ 5 + 9 < 16
7 + 11 > 9
9 + 11 > 7
ตอบ ด้านทีกําหนดให้ประกอบเป็ น ตอบ ด้านทีกําหนดให้ประกอบเป็ น
รู ปสามเหลียมได้ เพราะนําด้านสองด้าน รู ปสามเหลียมไม่ได้ เพราะนําด้านสองด้าน
รวมกันยาวกว่า ด้านทีสามเสมอ รวมกันยังน้อยกว่าความยาวของด้านทีสาม
คํานํา
สารบัญ
เรือง หน้ า
วัตถุประสงค์การเรี ยนรู ้ 1
แบบฝึ กทักษะ ตอนที 1 เรื อง ความยาวของด้านของรู ปสามเหลียม 2
แบบฝึ กทักษะ ตอนที 2 เรื อง ความยาวของด้านของรู ปสามเหลียม 5
แบบฝึ กทักษะ เรื อง จุดภายในและจุดภายนอก 8
เฉลย แบบฝึ กทักษะ
ตอนที 1 เรื อง ความยาวของด้านของรู ปสามเหลียม 10
ตอนที 2 เรื อง ความยาวของด้านของรู ปสามเหลียม 12
เรื อง จุดภายในและจุดภายนอก 13
272
วัตถุประสงค์ การเรียนรู้
มีจุดประสงค์ในการเรียนดังนี
1. บอกความสัมพันธ์ระหว่างผลบวกของความยาวของด้านสองด้านกับความยาว
ของด้านทีสามของรู ปสามเหลียมใดๆ ได้
2. บอกได้วา่ จุดทีกําหนดให้ในรู ปเส้นโค้งปิ ดเชิงเดียวเป็ นจุดภายในหรื อ
จุดภายนอก
3. สร้ างแทนแกรมได้และบอกความสัมพันธ์ของรู ปเรขาคณิ ตต่ างๆ ของ
แทนแกรมได้
4. ใช้ความรู ้และทักษะกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์แก้ปัญหาต่างๆ ได้
ผลการเรียนรู้
1. ใช้ความรู ้และทักษะกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์แก้ปัญหาต่างๆได้
2.ใช้วธิ ีการทีหลากหลายในการแก้ปัญหา
3. มีความคิดริ เริ มสร้างสรรค์
273
1. ให้นกั เรี ยนใช้หลอดจํานวน 3 อัน ถึง 8 อัน เพือต่อกันเป็ นรู ปสามเหลียมหนึงรู ป แล้ว
บันทึกผลทีได้ลงในตารางให้ครบทุกกรณี
8
274
4) ในกรณี ทวไปนั
ั กเรี ยนคิดว่าผลบวกของความยาวของด้านสองด้านใดๆ ของรู ปสาม เหลียม
สั มพันธ์ กับความยาวของด้านทีเหลืออย่างไร
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
276
) , 8, 14
……………………………………………………………………………………….………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
2) 6, 9, 11
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
3) 7, 9, 11
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
4) 5, 9, 16
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
277
) , 10, 16
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
6) 10, 11, 24
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
278
3) 4)
5)
279
1. ให้นกั เรี ยนใช้หลอดจํานวน 3 อัน ถึง 8 อัน เพือต่อกันเป็ นรู ปสามเหลียมหนึงรู ป แล้วบันทึกผลที
ได้ลงในตารางให้ครบทุกกรณี
3) 7, 9, 11 4) 5, 9, 16
วิธีทาํ 7 + 9 > 11 วิธีทาํ 5 + 9 < 16
7 + 11 > 9
9 + 11 > 7
ตอบ ด้านทีกําหนดให้ประกอบเป็ น ตอบ ด้านทีกําหนดให้ประกอบเป็ น
รู ปสามเหลียมได้ เพราะนําด้านสองด้าน รู ปสามเหลียมไม่ได้ เพราะนําด้านสองด้าน
รวมกันยาวกว่า ด้านทีสามเสมอ รวมกันยังน้อยกว่าความยาวของด้านทีสาม
3) 4)
5)
284
ภาคผนวก ซ
คะแนนความสามารถในการแก้ปัญหา
ก่อนเรียนและหลังเรียน
287
ภาคผนวก ฌ
ผลการทดสอบสมมติฐาน
290
291
292
ภาคผนวก ญ
รูปภาพการดําเนินกิจกรรมการเรี ยนรู้ และผลงานนักเรียน
293
รูปภาพการดําเนินกิจกรรมการเรี ยนรู้
294
รู ปภาพการดําเนินกิจกรรมการเรี ยนรู้
295
ผลงานนักเรียนจากการทําแบบฝึ กทักษะ
296
ผลงานนักเรียนจากการทําแบบฝึ กทักษะ
297
ภาคผนวก ฎ
หนังสื อเชิญผู้เชียวชาญตรวจเครืองมือวิจัย
หนังสื อขอทดลองเครืองมือวิจัย
หนังสื อขอความอนุเคราะห์ ในการเก็บรวบรวมข้ อมูล
299
300
301
302
303
304
305
306
ประวัติผู้วจิ ัย