Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 1
บทนำ
ควำมเป็ นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
ไว้ท้งั สิ้น 9 รู ปแบบ คือ (1) ใช้บทเรี ยนสาเร็จรู ป (2) เพือ่ นช่วยเพือ่ นสอนเป็ นกลุ่ม (3) เพือ่ นช่วย
เพื่อนสอนตัวต่อตัว (4) ครู สอนเป็ นกลุ่ม (5) ครู สอนตัวต่อตัว (6) ใช้ทาแบบฝึ กหัดเพิ่มเติมจาก
สมุดแบบฝึ กหัด (7) มอบหมายงานให้ทาเพิ่มขึ้น (8) ใช้บทเรี ยนโมดูลหรื อชุดการสอน (9) ใช้สื่อ
วัสดุอุปกรณ์ประกอบการสอน
จากประสบการณ์การสอนคณิ ตศาสตร์เรื่ อง เซต ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 มา พบว่ามีนกั เรี ยน
ที่สอบไม่ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 60 มีเป็ นจานวนมากซึ่ งในปี การศึกษา 2558, 2559 พบว่า มีนักเรี ยน
26% , 15% ที่สอบไม่ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 60 ตามลาดับ
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผูว้ ิจยั จึงต้องซ่ อมเสริ มนักเรี ยน โดยสนใจนาแบบฝึ กซ่ อมเสริ ม
คณิ ตศาสตร์ เรื่ อง เซต รายวิชา ค31101 คณิ ตศาสตร์ พ้ืนฐาน ชั้นมัธยมศึ กษาปี ที่ 4 มาเป็ นสื่ อ
ประกอบการเรี ยนซ่ อมเสริ มแล้วนาผลที่ได้จากการศึกษามาเป็ นแนวทางในการปรับปรุ งการเรี ยนการ
สอนวิชา คณิ ตศาสตร์ เรื่ อง เซต รายวิชา ค31101 คณิ ตศาสตร์ พ้ืนฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ให้มี
ประสิทธิภาพและน่าสนใจมากยิง่ ขึ้น
ควำมมุ่งหมำยของกำรวิจัย
ควำมสำคัญของกำรวิจัย
ผลจากการวิจยั ครั้งนี้ สามารถนาไปเป็ นแนวทางในการพัฒนาการเรี ยนการสอนวิชา
คณิ ตศาสตร์สาหรับครู ผสู ้ อนและผูท้ ี่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เพือ่ ปรับปรุ งและพัฒนาคุณภาพ
ของการจัดการเรี ยนการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้มีประสิทธิภาพ
สูงขึ้น
4
ขอบเขตของกำรวิจัย
กลุ่มประชำกรในกำรวิจัย
กลุ่ ม ประชากรที่ ใ ช้ใ นการวิจ ัย ครั้ ง นี้ เป็ นนัก เรี ย นชั้น มัธ ยมศึ กษาปี ที่ 4 โรงเรี ย น
จอมสุ รางค์อุปถัมภ์ จังหวัดพระนครศรี อยุธยา ภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2560 ที่ได้มาจากการเลือก
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยได้ค ะแนนสอบเรื่ อ ง ความคิ ด รวบยอดเกี่ ย วกับ การ
ดาเนินการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต ไม่ถึงร้อยละ 60 จานวน 12 คน
ระยะเวลำที่ใช้ ในกำรวิจัย
ดาเนิ นการวิจยั ในภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2560 ใช้เวลาในการจัดการเรี ยนการสอน
นอกเวลาเรี ยน ตั้งแต่เวลา 16.00 น. – 17.00 น. ทุกวัน จานวน 8 ชัว่ โมง ประกอบด้วย ทดสอบก่อน
เรี ยน เป็ นระยะเวลา 1 ชัว่ โมง กิจกรรมการเรี ยนซ่ อมเสริ มโดยใช้แบบฝึ ก เป็ นระยะเวลา 6 ชัว่ โมง
และทดสอบหลังเรี ยน เป็ นระยะเวลา 1 ชัว่ โมง
เนื้อหำทีใ่ ช้ ในกำรวิจัย
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจยั ครั้งนี้ เป็ นเนื้อหาวิชาคณิ ตศาสตร์พ้นื ฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษา
ปี ที่ 4 หน่วยการเรี ยนรู ้ เซต เรื่ อง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการดาเนินการของเซต และการแก้โจทย์
ปั ญหาเกี่ยวกับเซต
ตัวแปรที่ศึกษำ
1. ตัว แปรอิ ส ระ คื อ การจัด กิ จ กรรมการเรี ย นการสอนโดยใช้แ บบฝึ กซ่ อ มเสริ ม
คณิ ตศาสตร์
2. ตัวแปรตาม คือ คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนซ่อมเสริ มวิชาคณิ ตศาสตร์
นิยำมศัพท์ เฉพำะ
1. การสอนซ่อมเสริ ม หมายถึง การจัดการเรี ยนการสอนนอกชั้นเรี ยนปกติในเนื้อหาวิชา
ที่ได้เรี ยนมาแล้วในชั้นเรี ยนปกติ ให้แก่นกั เรี ยนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนต่ากว่าเกณฑ์ร้อยละ 60
ของคะแนนเต็ม จากการวิจยั ครั้งนี้ ผูว้ จิ ยั ใช้แบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง เซต รายวิชา ค31101
คณิ ตศาสตร์ พ้ืน ฐาน ชั้นมัธยมศึ กษาปี ที่ 4 เป็ นสื่ อ ประกอบการสอนซ่ อ มเสริ ม เพื่ อ ช่ ว ยเพิ่ ม
5
สมมติฐำนของกำรวิจัย
ในการวิจยั ครั้งนี้ผวู ้ จิ ยั ได้ต้งั สมมติฐานของการวิจยั ไว้ดงั นี้
1. นักเรี ยนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนโดยแบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ มี
คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนหลังเรี ยนสูงกว่าก่อนเรี ยน
2. นักเรี ยนที่ได้รับการจัดกิ จกรรมการเรี ยนการสอนโดยแบบฝึ กซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์
หลังเรี ยนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนหลังเรี ยนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60
6
บทที่ 2
แนวคิด ทฤษฎีและงำนวิจัยที่เกีย่ วข้ อง
จากการวิจ ัย ที่ เ กี่ ย วกับ การเรี ย นซ่ อ มเสริ ม ที่ ก ล่ า วมาข้า งต้น สามารถสรุ ป ได้ ว่ า
การจัดกิ จกรรมการเรี ยนการสอนซ่ อ มเสริ มที่มี นักการศึก ษาทาการวิจ ัยไว้แล้วนั้นใช้วิธี ก ารที่
แตกต่างกัน ซึ่ งแต่ละวิธีมีจุดหมายของการวิจยั เหมือนกัน คือ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
และมุ่งเน้น ที่จะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนของนักเรี ยนให้สูงขึ้น ฉะนั้นในการเรี ยนการ
สอนเพื่อให้บรรลุเป้ าประสงค์ดงั กล่าว ครู ผสู ้ อนจะต้องศึกษาวิธีการสอนซ่ อมเสริ ม เพื่อนามาใช้
สอนนักเรี ยนให้สามารถพัฒนาตนได้อย่างเต็มตามศักยภาพ
บทที่ 3
วิธีดำเนินกำรวิจัย
กำรกำหนดประชำกรและกำรสุ่ มกลุ่มตัวอย่ ำง
กลุ่มประชำกรในกำรวิจัย
กลุ่ ม ประชากรที่ ใ ช้ใ นการวิจ ัย ครั้ ง นี้ เป็ นนัก เรี ย นชั้น มัธ ยมศึ กษาปี ที่ 4 โรงเรี ย น
จอมสุ รางค์อุปถัมภ์ จังหวัดพระนครศรี อยุธยา ภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2560 ที่ได้มาจากการเลือก
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยได้ค ะแนนสอบเรื่ อ ง ความคิ ด รวบยอดเกี่ ย วกับ การ
ดาเนินการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต ไม่ถึงร้อยละ 60 จานวน 12 คน
เนื้อหำทีใ่ ช้ ในกำรวิจัย
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจยั ครั้งนี้ เป็ นเนื้อหาวิชาคณิ ตศาสตร์พ้นื ฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษา
ปี ที่ 4 หน่วยการเรี ยนรู ้ เซต เรื่ อง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการดาเนินการของเซต และการแก้โจทย์
ปั ญหาเกี่ยวกับเซต
ระยะเวลำที่ใช้ ในกำรวิจัย
ดาเนิ นการวิจยั ในภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2560 ใช้เวลาในการจัดการเรี ยนการสอน
นอกเวลาเรี ยน ตั้งแต่เวลา 16.00 น. – 17.00 น. ทุกวัน จานวน 8 ชัว่ โมง ประกอบด้วย ทดสอบก่อน
เรี ยน เป็ นระยะเวลา 1 ชัว่ โมง กิจกรรมการเรี ยนซ่ อมเสริ มโดยใช้แบบฝึ ก เป็ นระยะเวลา 6 ชัว่ โมง
และทดสอบหลังเรี ยน เป็ นระยะเวลา 1 ชัว่ โมง
24
กำรเก็บรวบรวมข้ อมูล
การวิจ ัย ในครั้ งนี้ เป็ นการพัฒ นาผลสัม ฤทธิ์ ทางการเรี ย น โดยใช้แ บบฝึ กซ่ อ มเสริ ม
คณิ ตศาสตร์ หน่ วยการเรี ยนรู ้ เซต เรื่ อง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการดาเนินการของเซต และการ
แก้โจทย์ปัญหาเกี่ ยวกับเซต เป็ นการวิจยั เชิ งทดลอง ซึ่ งดาเนิ นการทดลองโดยใช้แบบแผนการ
ทดลองแบบกลุ่ ม เดี่ ย วสอบก่ อ นเรี ย นและหลัง เรี ย น (One-Group Pretest-Posttest Design) ซึ่ ง มี
รู ปแบบการวิจยั ดังนี้
ตาราง แบบแผนการทดลอง
สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง
T1 แทน การทดสอบก่อนเรี ยน (Pre Test)
T2 แทน การทดสอบหลังเรี ยน (Post Test)
X แทน การใช้แบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์
ผูว้ จิ ยั ได้ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลดังขั้นตอนต่อไปนี้
1. คัด เลื อ กนัก เรี ย นเข้า กลุ่ ม ประชากร โดยทดสอบความรู ้ ท างคณิ ต ศาสตร์ เ รื่ อ ง
ความคิดรวบยอดการดาเนิ นการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต ซึ่ งใช้แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ หน่ วยการเรี ยนรู ้ เซต เรื่ อ ง ความคิดรวบยอด
เกี่ยวกับการดาเนิ นการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต รายวิชา ค31101 คณิ ตศาสตร์
พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ใช้ระยะเวลา 1 ชัว่ โมง โดยนักเรี ยนในกลุ่มประชากรคือ นักเรี ยนที่มี
ผลคะแนนสอบไม่ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 60
26
กำรจัดกระทำและวิเครำะห์ ข้อมูล
การวิเคราะห์ขอ้ มูล
ในการวิจยั ครั้งนี้ ผูว้ จิ ยั มีลาดับขั้นตอนในการวิเคราะห์ขอ้ มูลดังนี้
1. คานวณหาค่าสถิติพ้นื ฐาน ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คะแนน
ต่าสุ ด คะแนนสู งสุ ดของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ หน่ วยการเรี ยนรู ้
เซต เรื่ อง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการดาเนินการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต
2. เปรี ย บเที ย บความแตกต่ า งของคะแนนผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นซ่ อ มเสริ ม
คณิ ตศาสตร์ หน่ วยการเรี ยนรู ้ เซต เรื่ อง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการดาเนินการของเซต และการ
แก้โ จทย์ปั ญ หาเกี่ ย วกับ เซต ระหว่า งก่ อ นเรี ย นและหลังเรี ย น ด้ว ยการวิเ คราะห์ ค่ าที (t-test for
dependent samples) ที่ระดับนัยสาคัญทางสถิติ .05
3. เปรี ยบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์หลังเรี ยน หน่วย
การเรี ยนรู ้ เซต เรื่ อ ง ความคิดรวบยอดเกี่ ยวกับการดาเนิ นการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหา
เกี่ยวกับเซต กับเกณฑ์ร้อยละ 60
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
ในการวิจยั ครั้งนี้ ผูว้ จิ ยั ได้ใช้สถิติการวิเคราะห์ขอ้ มูล ดังนี้
1. สถิติพ้นื ฐาน
1.1 ค่าเฉลี่ย (Mean)
1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
27
2. สถิติที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพเครื่ องมือ
หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC: Index of Objective Congruence) ของผลสัมฤทธิ์
ทางการเรี ยนซ่ อ มเสริ มคณิ ต ศาสตร์ หน่ วยการเรี ยนรู ้ เซต เรื่ อ ง ความคิดรวบยอดเกี่ ยวกับ การ
ดาเนินการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต
3. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน
เปรี ย บเที ย บผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นซ่ อ มเสริ ม คณิ ต ศาสตร์ ก่ อ นและหลัง
ดาเนิ นการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนโดยใช้แบบฝึ กซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ โดยใช้สูตร t-test
dependent sample
เปรี ยบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์หลังเรี ยน กับ
เกณฑ์ร้อยละ 60 โดยใช้สูตร t-test for one sample
28
บทที่ 4
ผลกำรวิเครำะห์ ข้อมูล
กำรวิเครำะห์ ข้อมูล
การวิเคราะห์ขอ้ มูลและการแปลผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลในการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรี ยนซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ที่มีคะแนนสอบไม่ผา่ นเกณฑ์ ร้อยละ
60 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนซ่ อมเสริ มในครั้งนี้ ผูว้ ิจยั ได้นาเสนอข้อมูลตามลาดับ
ดังนี้
ส่ วนที่ 1 ข้ อมูลพืน้ ฐำน
ข้อ มู ลพื้นฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ ก่อนและ
หลังการจัดกิจกรรมการเรี ยนซ่อมเสริ ม
ผลกำรวิเครำะห์ ข้อมูล
ส่ วนที่ 1 ข้ อมูลพืน้ ฐำน
ข้อ มู ลพื้นฐานของคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ ก่อนและ
หลังการจัดกิจกรรมการเรี ยนโดยใช้แบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ ดังนี้
กลุ่มประชากร N คะแนนเต็ม 0 M SD df t p
หลังทดลอง 12 30 12 16.25 2.60 11 5.67 .000*
ระดับนัยสาคัญทางสถิติ .05
จากตารางข้า งต้น พบว่ า หลัง การจัด กิ จ กรรมการเรี ย นซ่ อ มเสริ ม นั ก เรี ย นมี ค ะแนน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่
ระดับ .05 (t = 5.67 , p = .000)
31
บทที่ 5
สรุป อภิปรำยผล และข้ อเสนอแนะ
การวิจยั ในครั้งนี้ เป็ นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน โดยใช้แบบฝึ กซ่ อมเสริ มคณิ ต ศาสตร์
หน่วยการเรี ยนรู ้ เซต เรื่ อง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการดาเนินการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับ
เซต ของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ที่มีคะแนนวิชาคณิ ตศาสตร์ไม่ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 60
ควำมมุ่งหมำยของกำรวิจัย
ในการวิจยั ครั้งนี้ผวู ้ จิ ยั ได้ต้งั ความมุ่งหมายไว้ดงั นี้
1. เพื่อเปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนซ่ อ มเสริ มคณิ ตศาสตร์ ก่ อ นและหลังได้รับการจัด
กิจกรรมการเรี ยนการสอนโดยใช้แบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์
2. เพื่อเปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ หลังได้รับการจัดกิจกรรมการ
เรี ยนการสอนโดยใช้แบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ กับ เกณฑ์ร้อยละ 60
สมมติฐำนของกำรวิจัย
ในการวิจยั ครั้งนี้ผวู ้ จิ ยั ได้ต้งั สมมติฐานของการวิจยั ไว้ดงั นี้
1. นักเรี ยนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนโดยแบบฝึ กซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ มีคะแนน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนหลังเรี ยนสูงกว่าก่อนเรี ยน
2. นักเรี ยนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนโดยแบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ หลังเรี ยนมี
คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนหลังเรี ยนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60
วิธีดำเนินกำรวิจยั
กลุ่มประชำกรในกำรวิจัย
กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจยั ครั้งนี้ เป็ นนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรี ยนจอมสุ รางค์
อุ ป ถัม ภ์ จัง หวัด พระนครศรี อ ยุธ ยา ภาคเรี ย นที่ 1 ปี การศึ ก ษา 2560 ที่ ไ ด้ม าจากการเลื อ กแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) โดยได้คะแนนสอบเรื่ อง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการดาเนินการของเซต และการแก้
โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต ไม่ถึงร้อยละ 60 จานวน 12 คน
32
ระยะเวลำที่ใช้ ในกำรวิจัย
ดาเนินการวิจยั ในภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2560 ใช้เวลาในการจัดการเรี ยนการสอนนอกเวลา
เรี ยน ตั้งแต่เวลา 16.00 น. – 17.00 น. ทุกวัน จานวน 8 ชัว่ โมง ประกอบด้วย ทดสอบก่อนเรี ยน เป็ นระยะเวลา
1 ชัว่ โมง กิจกรรมการเรี ยนซ่ อมเสริ มโดยใช้แบบฝึ ก เป็ นระยะเวลา 6 ชัว่ โมง และทดสอบหลังเรี ยน เป็ น
ระยะเวลา 1 ชัว่ โมง
เนื้อหำทีใ่ ช้ ในกำรวิจัย
เนื้ อ หาที่ ใ ช้ใ นการวิจ ัย ครั้ ง นี้ เป็ นเนื้ อ หาวิช าคณิ ต ศาสตร์ พ้ืน ฐาน ระดับ ชั้น มัธ ยมศึ ก ษา
ปี ที่ 4 หน่ วยการเรี ยนรู ้ เซต เรื่ อง ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการดาเนินการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหา
เกี่ยวกับเซต
ตัวแปรที่ศึกษำ
1. ตัวแปรอิสระ คือ การจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอนโดยใช้แบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์
2. ตัวแปรตาม คือ คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนซ่อมเสริ มวิชาคณิ ตศาสตร์
กำรวิเครำะห์ ข้อมูล
ในการวิจยั ครั้งนี้ ผูว้ จิ ยั มีลาดับขั้นตอนในการวิเคราะห์ขอ้ มูลดังนี้
1. คานวณหาค่าสถิติพ้ืนฐาน ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ ย ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คะแนนต่ าสุ ด
คะแนนสู ง สุ ดของคะแนนผลสัม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นซ่ อ มเสริ มคณิ ตศาสตร์ หน่ ว ยการเรี ย นรู ้ เซต เรื่ อ ง
ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการดาเนินการของเซต และการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต
33
สรุปผลกำรวิจยั
1. หลังการจัดกิ จกรรมการเรี ยนซ่ อ มเสริ มนักเรี ยนมี คะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนซ่ อ มเสริ ม
คณิ ตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรี ยน อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 36.38 , p = .000)
2. หลังการจัดกิ จกรรมการเรี ยนซ่ อ มเสริ มนักเรี ยนมี คะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนซ่ อ มเสริ ม
คณิ ตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 (t = 5.67 , p = .000)
กำรอภิปรำยผล
หลัง การจัด กิ จ กรรมการเรี ย นซ่ อ มเสริ ม นัก เรี ย นมี ค ะแนนผลสัม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นซ่ อ มเสริ ม
คณิ ตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรี ยน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และหลังการจัดกิจกรรมการเรี ยนซ่ อ ม
เสริ ม นัก เรี ย นมี คะแนนผลสัม ฤทธิ์ ทางการเรี ย นซ่ อ มเสริ มคณิ ตศาสตร์ สู งกว่า เกณฑ์ร้ อ ยละ 60 อย่า งมี
นัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ซึ่ งเป็ นไปตามสมมติฐานที่ต้ งั ไว้ ทั้งนี้ อาจเนื่ องมาจากเหตุผลหลายประการ
ดังนี้
1.การสอนซ่อมเสริ มโดยใช้ แบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง เซต รายวิชา ค31101 คณิ ตศาสตร์
พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ทาให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนซ่ อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง เซต รายวิชา ค31101
คณิ ตศาสตร์พ้นื ฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 สู งขึ้น ทั้งนี้ เป็ นเพราะการสอนซ่ อมเสริ มโดยใช้แบบฝึ กซ่ อมเสริ ม
มุ่งเน้นให้นักเรี ยนสามารถฝึ กฝนได้ดว้ ยตนเอง โดยครู มีบทบาทใน การจัดการเรี ยนซ่ อมเสริ มที่กระตุน้ ให้นักเรี ยน
เกิดการเรี ยนรู ้และคอยให้คาชี้แนะ เพือ่ สร้างความกระจ่างชัด ในส่วนที่นกั เรี ยนยังไม่เข้าใจหรื อมีขอ้ สงสัยอยู่ เป็ น
การให้การเสริ มแรงแก่ นักเรี ยนอย่างต่ อเนื่ อง ทั้งนี้ เพื่อให้นักเรี ยนเกิ ดความมั่นใจในการเรี ยน และภู มิ ใจใน
ความสามารถของตนเอง ซึ่ งสอดคล้องกับกฎการเสริ มแรงของ Throndike (สุ จินดา พัชรภิญโญ , 2548) ที่ว่าการ
สร้างแบบฝึ กที่ดีน้ นั ควรมีความสม่าเสมอในการฝึ กและมีการเสริ มแรงเป็ นประจา เพือ่ สร้างให้นกั เรี ยนเกิด
ความภูมิใจในตนเองและรู ้สึกว่าตนเองประสบความสาเร็จในงานนั้น ๆ
34
2. ในการจัดการเรี ยนการสอนซ่ อ มเสริ มวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่ อ ง เซต โดยใช้แบบฝึ กซ่ อ มเสริ ม
คณิ ตศาสตร์ เรื่ อง เซต รายวิชา ค31101 คณิ ตศาสตร์พ้นื ฐาน ชั้นมัธยมศึกษา ปี ที่ 4 เมื่อเรี ยนจบในแต่ล ะ
ชัว่ โมง ผูว้ จิ ยั ได้เปิ ดโอกาสให้นกั เรี ยนซักถามในเนื้อหาที่ยงั ไม่เข้าใจ และช่วยกันสรุ ปบทเรี ยน โดยครู เป็ น
ผูค้ อยชี้แนะเพิม่ เติมบางส่ วนเท่านั้น ก่อนที่จะให้นักเรี ยนทาแบบฝึ กหัด ซึ่ งส่ งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
ซ่อมเสริ มของนักเรี ยนสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจยั ของวัชรี บูรณสิงห์
3. การเรี ยนซ่อมเสริ มโดยใช้แบบฝึ กซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง เซต รายวิชา ค31101 คณิ ตศาสตร์
พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ทาให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์เรื่ อง เซต สูงขึ้น เนื่องมาจาก
การใช้แบบฝึ กซ่ อมเสริ ม นักเรี ยนสามารถศึกษาและฝึ กซ้ า ๆได้ตามที่ตอ้ งการจนกว่าจะพัฒนาขึ้นในระดับที่ดี ซึ่ ง
สอดคล้องและเป็ นไปตามกฎแห่ งการฝึ กฝนของ Throndike (สุ จินดา พัชรภิญโญ, 2548) ที่กล่าวว่าสิ่ งใดที่
บุคคลทาบ่อย ๆ หรื อมีการฝึ กฝนอย่างสม่าเสมอ บุคคลนั้นย่อมทาสิ่งนั้นได้ดีและเนื่องจากการทาแบบฝึ กทา
ให้นกั เรี ยนได้รับทราบข้อบกพร่ องของตนเองสามารถศึกษาเพิม่ เติมหรื อพัฒนาเรื่ องนั้น ๆ ได้อย่างต่อเนื่ อง
สอดคล้องกับผลงานวิจยั ของ สุรภี ฤทธิวงศ์ (2549) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนวิชาคณิ ตศาสตร์ ของ
นักเรี ยนที่ได้รับการสอนซ่อมเสริ มโดยใช้แบบฝึ กซ่อมเสริ มวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง การแก้โจทย์ปัญหาร้อยละ
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนวิชาคณิ ตศาสตร์ของนักเรี ยนสูงกว่าเกณฑ์ร้อ ยละ
50 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และยังสอดคล้องกับงานวิจยั ของ จิรพันธ์ ขันจินะ (2548) ที่ได้
ศึกษาการสร้างแบบฝึ กวิชาคณิ ตศาสตร์เพือ่ แก้ไขข้อบกพร่ องในการแก้โจทย์ปัญหาเรื่ องร้อยละของนักเรี ยน
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 ผลการวิจยั พบว่า ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง ร้อยละ สู ง
กว่าก่อนการใช้แบบฝึ ก อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ข้ อสั งเกตจำกกำรวิจยั
1. นักเรี ยนที่เป็ นประชากร คือ นักเรี ยนที่มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน เรื่ อ ง เซต ต่ ากว่าร้อยละ 60
เมื่อผูว้ จิ ยั นานักเรี ยนกลุ่มดังกล่าวมาสอนซ่อมเสริ มนอกเวลา ในชัว่ โมงแรกๆ นักเรี ยนบางส่วนยังขาดความ
กระตือรื อร้นและขาดความสนใจต่อการเรี ยนเท่าที่ควร อาจเป็ นเพราะนักเรี ยนยังไม่เข้าใจกิจกรรมการเรี ยน
การสอนซ่ อมเสริ ม และยังไม่ค่อยกล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่ งกันและกันในการทากิจกรรมกลุ่ม ครู จึง
ต้อ งสร้างความเข้าใจและชี้ แจงให้เห็ นประโยชน์ของการทากิ จกรรมต่าง ๆ แก่ นักเรี ยน นักเรี ยนจึงกล้า
แสดงออกมากขึ้นและมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
35
ข้ อเสนอแนะ
ควรมีการศึกษาผลการใช้แบบฝึ กในการพัฒนานักเรี ยนในด้านอื่น ๆ ไม่เฉพาะแค่การใช้ซ่อมเสริ ม
ควรมีการศึกษาการใช้แบบฝึ กเพือ่ พัฒนาความสามารถด้านคณิ ตศาสตร์ของนักเรี ยนที่มีความสามารถพิเศษ
ทางด้านคณิ ตศาสตร์ เพื่อ พัฒนานักเรี ยนให้มีความสามารถที่สูงขึ้นหรื อ อาจศึกษาผลการใช้แบบฝึ กใน
เนื้อหาอื่น ๆไม่เพียงแต่เฉพาะวิชาคณิ ตศาสตร์เท่านั้นเพือ่ เป็ นการพัฒนาการจัดการเรี ยนรู ้ในสาระการเรี ยนรู ้
ต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิง่ ขึ้น