Professional Documents
Culture Documents
อารีนา หะยีเตะ
ARINA HAYEETEH
คณะ ครุ ศาส ตร์ มหาวิ ท ย าลั ย ราชภั ฏ ย ะ ลา อนุ มั ติ ใ ห้ นั บ วิ ท ย านิ พนธ์ ฉบั บ นี้
เป็ นส่ วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสู ตรครุ ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนอิสลามศึกษา
.........................................................คณบดีคณะครุ ศาสตร์
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. กฤษฎา กุณฑล)
วันที่.........เดือน.........................พ.ศ.................
บทคัดย่ อ
Abstract
วิทยานิ พนธ์ฉบับนี้ สาเร็ จสมบูรณ์ ได้ดว้ ยความกรุ ณาและความช่ วยเหลื ออย่างดี ยิ่งจาก
อาจารย์ ดร. มูหดั มัดตอลาล แกมะ ประธานกรรมการที่ปรึ กษาวิทยานิพนธ์ ที่ให้ความช่วยเหลือ
และให้กาลัง ใจแก่ผูว้ ิจยั อย่างดียิ่งตลอดมา ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นิ ตยา เรื องแป้ น และอาจารย์
ดร. อับดุลรอแม สุ หลง กรรมการที่ปรึ กษาวิทยานิ พนธ์/กรรมการสอบวิทยานิ พนธ์ ท่านทั้งสอง
ได้เสี ยสละเวลาให้คาปรึ กษาและช่วยเหลือเสนอแนะที่เป็ นประโยชน์และมีค่าอย่างยิง่ ต่อการทาวิจยั
ตลอดจนให้คาแนะนา ในการจัดพิมพ์เอกสารจนสาเร็ จลุล่วงไปด้วยดี ผูว้ ิจยั ขอขอบคุณเป็ นอย่างสู ง
ไว้ ณ โอกาสนี้
ขอขอบคุณประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ อาจารย์ ดร.อับดุลฮากัม เฮ็งปิ ยา ที่เสี ยสละ
เวลามาเป็ นประธานกรรมการสอบ และได้ให้คาแนะนาในการทาวิทยานิ พนธ์เพื่อนาไปปรับแก้
ให้สมบูรณ์ที่สุด ขอขอบคุณ คณาจารย์หลักสู ตรการสอนอิสลามศึกษาทุกท่าน ที่ได้ให้ความรู้และ
ประสบการณ์อนั มีค่ายิง่ ต่อผูว้ จิ ยั ขอขอบคุณผูเ้ ชี่ ยวชาญที่ช่วยตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่ องมือ
ขอขอบคุณผูบ้ ริ หารโรงเรี ยนทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ทดลองใช้เครื่ องมือและการเก็บข้อมูลเพื่อ
การวิจ ัย ตลอดจนครู และนัก เรี ย นทุ ก ท่ า นที่ ใ ห้ค วามร่ ว มมื อ เป็ นอย่า งดี ใ นการทดลองและเก็ บ
รวบรวมข้อมูล ขอขอบคุณสานักงานบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ที่คอยอานวยความสะดวก
ในการดาเนินเรื่ องการทาวิทยานิพนธ์เป็ นอย่างดี
ขอขอบคุ ณกาลังใจจากเพื่ อนๆ ที่ คอยถามไถ่ และให้กาลังใจเสมอมา และขอขอบคุ ณ
สมาชิ กทุกท่านในครอบครั วที่ คอยสนับสนุ นเป็ นกาลังใจและแรงผลักดันสาคัญทาให้วิทยานิ พนธ์
ฉบับนี้สาเร็ จลุล่วงไปด้วยดี
อารี นา หะยีเตะ
ฌ
สารบัญ
หน้ า
บทคัดย่อภาษาไทย..................................................................................................................... ง
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ................................................................................................................. ฉ
กิตติกรรมประกาศ...................................................................................................................... ซ
สารบัญ....................................................................................................................................... ฌ
สารบัญตาราง............................................................................................................................. ฏ
สารบัญภาพ................................................................................................................................ ฐ
บทที่ 1 บทนา
ความเป็ นมาและความสาคัญของปัญหา...................................................................... 1
. วัตถุประสงค์ของการวิจยั ............................................................................................ 4
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ......................................................................................... 4
ขอบเขตของการวิจยั ................................................................................................... 5
1. ขอบเขตด้านประชากร................................................................................... 5
2. ขอบเขตด้านเนื้อหา........................................................................................ 5
3. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจยั ............................................................................... 5
4. ตัวแปรที่ศึกษา............................................................................................... 5
นิยามศัพท์เฉพาะ......................................................................................................... 6
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้ อง
หลักสู ตรอิสลามศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.................................................. 8
ภาษามลายู................................................................................................................... 11
ทฤษฎีการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ...................................................................................... 17
แผนการจัดการเรี ยนรู้.................................................................................................. 34
การวัดและประเมินผล................................................................................................. 39
การวัดความพึงพอใจ................................................................................................... 50
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน..................................................................... 52
เอกสารงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................... 58
ญ
สารบัญ (ต่ อ)
หน้ า
1. งานวิจยั ในประเทศ........................................................................................ 58
2. งานวิจยั ต่างประเทศ...................................................................................... 61
กรอบแนวคิดในการวิจยั ............................................................................................. 62
สมมุติฐานการวิจยั ....................................................................................................... 62
บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย
ขอบเขตของการวิจยั …………...………………………...…...................................... 63
การดาเนินการวิจยั ....................................................................................................... 63
เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั ............................................................................................. 64
การสร้างและหาคุณภาพของเครื่ องมือ........................................................................ 64
การวิเคราะห์และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล........................................................ 70
1. วิธีการวิเคราะห์ขอ้ มูล………………............................................................ 70
2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล..................................................................... 70
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล.......................................................................... 72
ขั้นตอนการวิเคราะห์ขอ้ มูล......................................................................................... 72
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล................................................................................................. 73
บทที่ 5 สรุ ป อภิปรายผลและข้ อเสนอแนะ
สรุ ปผลการวิจยั ............................................................................................................ 76
อภิปราย....................................................................................................................... 77
ข้อเสนอแนะ................................................................................................................ 80
บรรณานุกรม.............................................................................................................................. 81
ภาคผนวก................................................................................................................................... 88
ภาคผนวก ก สถิติที่ใช้ในการวิจยั ................................................................................ 89
ภาคผนวก ข ค่า IOC ในการวิจยั ................................................................................. 94
ภาคผนวก ค เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั ......................................................................... 98
ภาคผนวก ง ค่าความเชื่ อมัน่ ........................................................................................ 141
ภาคผนวก จ หนังสื อขอความอนุเคราะห์ในการวิจยั ................................................... 144
ฎ
สารบัญ (ต่ อ)
หน้ า
ภาคผนวก ฉ รายชื่ อหน่วยงานที่ให้ทดลองเครื่ องมือ................................................... 149
ภาคผนวก ช รายชื่ อหน่วยงานที่ทาการวิจยั ................................................................. 151
ภาคผนวก ซ รายชื่อผูเ้ ชี่ยวชาญที่ตรวจสอบคุณภาพเครื่ องมือ.................................... 153
ภาคผนวก ฌ ผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน................................................. 155
ประวัติผ้ ูทาวิทยานิพนธ์ ............................................................................................................. 159
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้ า
1 ตารางแสดงการวิเคราะห์มาตรฐานการเรี ยนรู ้ สาระวิชาภาษามลายู ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 12
2 เทียบพยัญชนะภาษามลายูอกั ษรรู มีกบั อักษรไทย......................................................... 13
3 เทียบพยัญชนะเดี่ยว (ตัวอักษร คาอ่าน และอักษรเทียบเคียงในภาษาไทย)........................ 15
4 พยัญชนะผสม (ตัวอักษร คาอ่าน และอักษรเทียบเคียงในภาษาไทย)........................... 16
5 เทียบสระเสี ยงเดี่ยวกับเสี ยงในภาษาไทย...................................................................... 16
6 เทียบสระประสมหรื อสระผสมกับเสี ยงในภาษาไทย................................................... 17
7 เทียบสระเดี่ยว (ตัวอักษรกับคาอ่าน)............................................................................. 17
8 เทียบสระผสม (ตัวอักษรกับคาอ่าน)............................................................................. 17
9 การแบ่ง กิ จ กรรมเรื่ องพยัญ ชนะและสระ สาระวิชาภาษามลายู สาหรับนัก เรี ย น
ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนบ้านน้ าดา โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู้แบบร่ วมมือและ
กาหนดเวลาที่ใช้แผนการจัดการเรี ยนรู ้......................................................................... 66
10 ตารางแสดงการวิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์การเรี ยนรู ้ และกาหนดจานวนข้อสอบ.......69
11 ตารางแสดงแผนปฏิบตั ิการวิจยั .................................................................................... 71
12 ประสิ ทธิ ภาพของแผนการจัดการเรี ยนรู้ เรื่ องพยัญชนะและสระ สาระวิชาภาษามลายู
สาหรับนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนบ้านน้ าดา โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้
แบบร่ วมมือ ตามเกณฑ์มาตรฐาน E1/E2 = 80/80.......................................................... 73
13 เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน เรื่ องพยัญชนะและสระ สาระวิชาภาษามลายู
ก่อนเรี ยนและหลังเรี ยน ตามแผนการจัดการเรี ยนรู ้ โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ 74
14 ระดับความพึงพอใจของผูเ้ รี ยนที่ได้รับการสอนตามแผนการจัดการเรี ยนรู้ โดยใช้
รู ปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ...................................................................................... 75
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้ า
1 ขั้นตอนการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ ที่พฒั นาโดยผูว้ จิ ยั ...................................................... 31
2 กรอบแนวคิดในการวิจยั พัฒนามาจากรู ปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ โดยเลือกรู ปแบบ
การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิค CIRC และ NHT นาไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรี ยน
การสอนในขั้นตอนกระบวนการเรี ยนรู ้ในแต่ละแผนการเรี ยนรู ้ เรื่ องพยัญชนะและสระ
สาระวิชาภาษามลายู สาหรับนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนบ้านน้ าดา........ 62
1
บทที่ 1
บทนำ
ควำมเป็ นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
เฉี ย งใต้ เป็ นประชาคมที ่มีค วามหลากหลายทางภาษาและชาติพ นั ธุ ์ค ่อ นข้า งสู ง เมื ่อ เทีย บกับ
ประชาคมอื่นในองค์การระหว่างประเทศด้วยกันที่มีอยูข่ ณะนี้ แม้วา่ ภาษาอังกฤษเป็ นภาษาทางการ
ของประชาคมอาเซี ยนในการติ ดต่อสื่ อสารอย่า งเป็ นทางการก็ ตาม แต่ ประชากรส่ วนใหญ่ของ
ประชาคม ก็เป็ นกลุ่มประชากรที่ มีภาษามลายูเป็ นภาษาที่ หนึ่ งอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศ
อินโดนีเซี ย มาเลเซี ย บรู ไนดารุ สสลาม และบางส่ วนในสิ งคโปร์ ฟิ ลิปปิ นส์ พม่า กัมปงจามในเขมร
และจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่ งประชากรส่ วนใหญ่นบั ถือศาสนาอิสลามและพูดภาษามลายู
เป็ นภาษาที่หนึ่ง และใช้ภาษามลายูในชี วิตประจาวันเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวทาให้ภาษามลายู
มีความสาคัญในประชาคมอาเซี ยนอย่างยิ่ง (ดร. สุ รินทร์ พิศสุ วรรณ, 2555 อ้างถึงใน อับดุลสุ โก ดินอะ,
2555 : ไม่ปรากฏเลขหน้า)
ดังนั้น การศึกษาภาษามลายูจึงนับได้วา่ เป็ นภาษาที่ควรส่ งเสริ มให้มีการจัดการเรี ยน
การสอนอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ เพื่อพัฒนาให้ผเู้ รี ยนสามารถสื่ อสารและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้
แต่จากการสารวจผลการทดสอบมาตรฐานอิส ลามศึก ษา (I-Net) ระดับ อิส ลามศึก ษาตอนต้น
(อิบ ตีด าอีย ะห์ ) ปี การศึกษา 2559 ที่ผา่ นมา พบว่าผลการเรี ยนระดับประเทศสาระวิชาภาษามลายู
โรงเรี ยนบ้านน้ าดา ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 39.00 และคะแนนผลสัมฤทธิ์ การทางเรี ยนรายวิชาภาษา
มลายู ได้คะแนนเฉลี่ยร้อย 34.00 (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2559 : 7)
จากข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็ นว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนสาระวิชาภาษามลายูของ
นักเรี ยนที่ค่อนข้างต่า สมควรที่จะต้องมีการพัฒนาการจัดการเรี ยนการสอนให้ดีข้ ึน ดังนั้น ในการที่จะ
ยกระดับสาระวิชาภาษามลายูให้สูงขึ้น ผูว้ ิจยั มีแนวทางที่จะพัฒนากิ จกรรมและแผนการจัดการเรี ยนรู ้
ที่เหมาะสมและมีประสิ ทธิ ภาพในการจัดการเรี ยนการสอน สาระการเรี ยนรู้ภาษามลายู ตามหลักสู ตร
แกนกลางการศึ กษาขั้นพื้ นฐานอิ สลามศึ กษา พ.ศ. 2551 โดยใช้รู ปแบบการเรี ย นรู ้ แ บบร่ ว มมื อ
เนื่ องจากการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมือเป็ นวิธีหนึ่ งที่จะช่ วยพัฒนาระบบการเรี ยนการสอน เป็ นวิธีหนึ่ ง
ที่ส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้แบบมีส่วนร่ วม ซึ่ งจะช่วยให้ผเู้ รี ยนได้รับประสบการณ์ตรง ได้รับการ
ฝึ กฝนทักษะกระบวนการแสวงหาความรู ้ ทักษะการคิดการแสดงออก ทักษะการสร้ างความรู ้ ใหม่
และทักษะการทางานเป็ นกลุ่ม ซึ่ งจัดว่าเป็ นวิธีเรี ยนที่สามารถนามาประยุกต์ให้เหมาะสมกับการเรี ยน
การสอนที่มีคุณภาพได้อีกวิธีหนึ่ ง และนับว่าเป็ นวิธีเรี ยนที่ควรนามาใช้ได้ดีกบั การเรี ยนการสอน
ในปั จจุบนั เพื่อให้การเรี ยนรู ้ของนักเรี ยนเป็ นไปอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ ดังที่ (ดวงกมล สิ นเพ็ง, 2551 :
185) ได้ให้ความหมายของการเรี ยนแบบร่ วมมือว่าเป็ นการจัดการเรี ยนการสอนที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ น
ศูนย์กลางที่มุ่งพัฒนาผูเ้ รี ยนให้มีส่วนร่ วมในการเรี ยน โดยใช้กิจกรรมกลุ่ มเรี ยนรู ้ ร่วมกันเป็ นกลุ่ ม
อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ อาศัยหลักพึ่งพากัน เพื่อความสาเร็ จร่ วมกันในการทางาน มีปฏิสัมพันธ์กนั
เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นข้อมูลและการเรี ยนรู ้ต่างๆ ซึ่ งเป็ นการพัฒนาทักษะทางสังคม รวมทั้ง
3
วัตถุประสงค์ ของกำรวิจัย
1. ด้ ำนผู้เรียน
1.1 นักเรี ยนมีความรู ้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่ใช้ในการจัดการเรี ยนการสอน
1.2 นักเรี ยนสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนสาระวิชาภาษามลายูเพิ่มขึ้น
1.3 นักเรี ยนมีเจตคติต่อการเรี ยนวิชาภาษามลายูโดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ
ได้ดียงิ่ ขึ้น
2. ด้ ำนผู้สอน
2.1 เป็ นแนวทางในการจัดการเรี ยนรู้ สาหรับครู ผสู้ อนอิสลามศึกษา เพื่อพัฒนาการจัด
การเรี ยนการสอน สาระวิชาภาษามลายูให้มีประสิ ทธิ ภาพมากยิง่ ขึ้น
2.2 สามารถจัดการเรี ยนการสอนสาระวิชาภาษามลายูอย่างเป็ นระบบ
5
3. ด้ ำนสถำนศึกษำ
3.1 เป็ นหลักฐานเพื่อรองรับการประเมินการประกันคุณภาพการศึกษา
3.2 ผ่านตัวบ่งชี้ในการจัดการเรี ยนการสอนด้านการวิจยั ชั้นเรี ยนได้
ขอบเขตของกำรวิจัย
1. ขอบเขตด้ านประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจยั คือ นัก เรี ย นชั้นประถมศึ ก ษาปี ที่ 2 โรงเรี ย นบ้านน้ า ดา
ที่เรี ยนในรายวิชาภาษามลายู ภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2559 จานวน 16 คน
2. ขอบเขตด้ านเนือ้ หา
ผูว้ จิ ยั ได้ศึกษาและพัฒนาแผนการจัดการเรี ยนรู้ เรื่ องพยัญชนะและสระ สาระวิชาภาษา
มลายู สาหรับนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนบ้านน้ าดา โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ
ประกอบด้วย 4 แผนย่อย ดังนี้
แผนการจัดการเรี ยนรู้ที่ 1 พยัญชนะในภาษามลายูอกั ษรรู มี
(Huruf-huruf Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
แผนการจัดการเรี ยนรู้ที่ 2 สระในภาษามลายูอกั ษรรู มี
(Vokal Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
แผนการจัดการเรี ยนรู้ที่ 3 สระผสมในภาษามลายูอกั ษรรู มี
(Diftong Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
แผนการจัดการเรี ยนรู้ที่ 4 พยัญชนะผสมในภาษามลายูอกั ษรรู มี
(Gugusan Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
3. ระยะเวลำทีใ่ ช้ ในกำรวิจัย
ผูว้ จิ ยั ได้ดาเนินการทดลองในภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2559 เป็ นเวลา 8 สัปดาห์
4. ตัวแปรทีศ่ ึกษำ
ตัวแปรต้น : 1) การจัดการเรี ยนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรี ยนรู้แบบร่ วมมือ
ตัวแปรตาม : 1) ประสิ ทธิภาพของแผนการจัดการเรี ยนรู้
2) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนรู ้
3) ระดับความพึงพอใจของนักเรี ยน
6
นิยำมศัพท์ เฉพำะ
บทที่ 2
1. วิสัยทัศน์ และจุดมุ่งหมาย
หลักสู ตรอิสลามศึ กษา ตามหลักสู ตรแกนกลางการศึ กษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551ได้ยึดวิสัยทัศน์ของหลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 ที่พฒั นาผูเ้ รี ยนให้เป็ นผูท้ ี่มี
ความศรัทธามัน่ ต่ออัลลอฮฺ มี บุคลิ กภาพตามแบบอย่างนบี มูฮมั มัด ﷺมีความ
สมดุ ลทางด้า นความรู้ คุ ณธรรม มี จิตสานึ กในความเป็ นพลเมืองไทยและพลโลกที่ ดี เพื่ อพัฒนา
ตนเอง ครอบครั วและสังคม ก่ อให้เกิ ดสั นติ สุข ทั้ง โลกนี้ และโลกหน้า โดยมี จุดมุ่ งหมายในการ
จัดการเรี ยนการสอนอิสลามศึกษา เพื่อมุ่งพัฒนาผูเ้ รี ยนให้เป็ นคนดี มีปัญญา มีความสุ ข มีศกั ยภาพ
ในการศึกษาต่อและประกอบอาชี พ เพื่อให้เกิ ดกับผูเ้ รี ยนเมื่อผูเ้ รี ยนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้
(กระทรวงศึกษาธิการ, สานักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2553 : 3-5)
1. มีความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ปฏิบตั ิตนตามแบบอย่างของนบีมูฮมั มัด
ﷺตลอดจนมีคุณธรรม จริ ยธรรมอิสลาม และค่านิ ยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินยั
และปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมของศาสนา
2. มีความรู ้ ความเข้าใจ มีทกั ษะในการอ่านอัลกุรอ่าน ความสมารถในการสื่ อสาร
การคิด การแก้ปัญหาโดยยึดหลักการอิสลาม การใช้เทคโนโลยี มีทกั ษะชี วิต และสามารถนาหลัก
คาสอนไปใช้ในการดารงชีวติ ประจาวันได้
9
2. สมรรถนะสาคัญของผู้เรี ยน
การจัดการเรี ยนรู้หลักสู ตรอิสลามศึกษา พุทธศักราช 2551 มุ่งเน้นพัฒนาผูเ้ รี ยนให้มี
คุณภาพ ซึ่ งจะช่วยให้ผเู ้ รี ยนเกิดสมรรถนะที่สาคัญ ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิ การ, สานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน 2553 : 6-7)
1. ความสามารถในการสื่ อสาร เป็ นความสามารถในการรับและส่ งสาร มีวฒั นธรรม
ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู ้ความเข้าใจ ความรู ้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยน
ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อนั จะเป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา
ต่อรองเพื่อขจัดและลดปั ญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรื อไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล
และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วธิ ีการสื่ อสาร ที่มีประสิ ทธิ ภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต่อ
ตนเองและสังคม
2. ความสามารถในการคิด เป็ นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์
การคิดอย่างสร้ างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็ นระบบ เพื่อนาไปสู่ การสร้ า ง
องค์ความรู ้หรื อสารสนเทศเพื่อการตัดสิ นใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็ นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ
ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู ้ ประยุกต์ความรู ้มาใช้
ในการป้ องกันและแก้ไขปั ญหา และมีการตัดสิ นใจที่มีประสิ ทธิ ภาพ โดยคานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
ต่อตนเอง สังคมและสิ่ งแวดล้อม
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ เป็ นความสามารถในการนากระบวนการต่างๆ
ไปใช้ในการดาเนิ นชี วิตประจาวัน การเรี ยนรู ้ดว้ ยตนเอง การเรี ยนรู ้อย่างต่อเนื่ อง การทางานและ
10
กลุ่ม ระดับ
มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วดั สาระการเรี ยนรู้
สาระ ชั้น
ภาษา ป. 2 ย1 รู้และเข้าใจกระบวนการ 1. ออกเสี ยงพยัญชนะ -พยัญชนะ (huruf)
มลายู ฟั ง พู ด อ่ า นและเขี ย น มี สระพยางค์ และบอก huruf besar, huruf kecil
ทัก ษะและเห็ น คุ ณ ค่ า ใน ความหมายค าศัพ ท์ -สระ (Vokal)
การใช้ภาษามลายูเพื่อการ ที่กาหนด -ตัวสะกด (huruf konsonan)
เรี ยนรู้ ศึ ก ษาค้น คว้า จาก 2. อ่านเขียนพยัญชนะ -จานวนนับที่เป็ นหลักสิ บ
แหล่ ง วิ ท ยาการเกี่ ย วกับ สระและคาที่กาหนด -คาศัพท์เกี่ยวกับเพื่อน
ศาสนาอิสลามและสื่ อสาร 3. สนทนาโดยใช้ ห้องสมุด สิ่ งแวดล้อม สัตว์
อย่างสร้างสรรค์ ประโยคที่กาหนด ผลไม้
-ประโยคสนทนา บอกเล่า
คาถาม และคาสั่ง
ภาษามลายู
1. อักษรในภาษามลายู
ภาษามลายูมีอกั ษรที่ใช้ในการเขียน 2 ชนิดคือ อักษรยาวี (Jawi) และอักษรรู มี (Rumi)
นอกจากนี้ ชาวมลายูยงั รับอักษรอาหรับมาใช้ 30 ตัว และได้ประดิษฐ์เพิ่มขึ้นมาใหม่อีก 7 ตัว เพื่อให้
ครบตามจานวนเสี ยงในภาษามลายู รวมเป็ นทั้งหมด 37 ตัว โดยใช้เขียนภาษามลายูมาแต่แรก จวบจน
เสี ยเอกราชให้แก่องั กฤษ ตัวอักษรรู มีจึงถูกนามาใช้แทนอักษรยาวีและเป็ นที่นิยมกันมาก เนื่องจาก
เขียนง่ายกว่าอักษรยาวี
ตัวอักษรรู มี (Rumi Script) คือตัวอักษรโรมัน หรื อตัวอักษร a b c… ที่ใช้เขียน
ภาษาอังกฤษ โดยนามาใช้เขียนภาษามลายูแทนตัวอักษรยาวีที่มีกฎเกณฑ์และวิธีเขียนที่ยากกว่า ผูร้ ู้
ภาษาอังกฤษอยูแ่ ล้วสามารถเรี ยนภาษามลายูได้อย่างรวดเร็ ว ด้วยเหตุที่ใช้ตวั เขียนชนิ ดเดียวกัน จึง
เป็ นผลให้ภาษามลายูในปั จจุบนั ใช้อกั ษรรู มีกนั อย่างแพร่ หลายกว่าอักษรยาวี ยกเว้นใน 5 จังหวัดภาคใต้
ของประเทศไทย (ที่พูดภาษามลายูทอ้ งถิ่น) ใช้อกั ษรยาวีกนั มากกว่าอักษรรู มี จนอาจกล่าวได้วา่ ใช้
อักษรยาวีกนั เกื อบทั้งหมด จึงเป็ นเหตุให้เรี ยกภาษามลายูทอ้ งถิ่นว่าภาษายาวี แต่แท้จริ งแล้วไม่มี
ภาษายาวี มีแต่อกั ษรยาวี (Huruf Jawi) (ประเสริ ฐ เย็นประสิ ทธิ์ , 2557 : 5-6)
2. พยัญชนะภาษามลายูอกั ษรรู มี
พยัญชนะ เป็ นรากฐานและเป็ นหัวใจสาคัญในการเริ่ มต้นการเรี ยนรู ้ เพื่อให้นกั เรี ยน
รู ้จกั พยัญชนะและสระนาไปสู่ การอ่านออกและเขียนได้
ประเสริ ฐ เย็นประสิ ทธิ์ (2557 : 6-7) ได้กล่าวว่า พยัญชนะภาษามลายูในรู ปของอักษร
รู มี หรื อ (โรมัน) นั้นมี 26 ตัว (A-Z) เหมือนภาษาอังกฤษ รวมกับอักษรคู่ที่ถูกประดิษฐ์ข้ ึนมาเพื่อ
แทนเสี ยงอื่นอีก 5 ตัว คือ Gh, Kh, Ng, Ny และ Sy รวมแล้วเป็ น 31 ตัว สามารถแบ่งอักษรทั้ง 31 ตัว
ดังกล่าวออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ทาหน้าที่เป็ นพยัญชนะและกลุ่มที่ทาหน้าที่เป็ นสระ
สาหรับกลุ่มที่ทาหน้าที่เป็ นพยัญชนะนั้น สามารถแบ่งกลุ่มย่อยได้ 2 กลุ่มคือ
1. พยัญชนะเดี่ยว มี 21 ตัว คือ
(ตัวพิมพ์ใหญ่)
B, C, D, F, G, H, J, K, L, M, N, P, Q, R, S, T, V, W, X, Y และ Z
(ตัวพิมพ์เล็ก)
b, c, d, f, g, h, j, k, l, m, n, p, q, r, s, t, v, w, x, y และ z
2. พยัญชนะควบหรื อพยัญชนะผสม มี 5 ตัว คือ
Gh, Kh, Ng, Ny และ Sy ดังตารางที่ 2
13
อักษรรู มี อักษรไทย
B (b) บ
C (c) จ, ช
D (d) ด
F (f) ฟ
G (g) กฺ (เสี ยง Gun ในภาษาอังกฤษ)
Gh (gh) รฺ (เสี ยง ในภาษาอาหรับ)
H (h) ฮ
J (j) ยฺ (เสี ยง jark ในภาษาอังกฤษ)
K (k) ก
Kh (kh) ค
L (l) ล
M (m) ม
N (n) น
Ng (ng) ง
Ny (ny) ญ
P (p) ป
Q (q) ก
R (r) ร
S (s) ซ, ส
Sy (sy) ซ
T (t) ต
V (v) ว
W (w) ว
X (x) ซ
Y (y) ย
Z (z) ซ
14
หมายเหตุ
จากตารางข้างต้น จะพบว่าตัวอักษรรู มีในภาษามลายูบางตัวอักษรจะเที ยบเป็ นเสี ย ง
ภาษาไทยต่างจากภาษาอังกฤษเป็ นภาษาไทย ดังนี้ คือ อักษร c เทียบ เป็ น อักษร จ อักษร p เทียบ
เป็ นอักษร ป อักษร t เทียบเป็ นอักษร ต
และในภาษามลายูอกั ษรรู มี จะมีพยัญชนะผสมเพิ่มจากภาษาอังกฤษ 5 อักษร ได้แก่ Gh
Kh Ng Ny และ Sy ดังตารางที่ 4
3. สระภาษามลายูอกั ษรรู มี
สระในภาษามลายูอกั ษรรู มี สามารถจัดกลุ่มได้ 2 กลุ่มเช่นกัน คือ สระเสี ยงเดี่ยวหรื อ
สระแท้ และสระประสมหรื อสระผสม ได้แก่
1. สระเสี ยงเดี่ยว สามารถเขียนได้ 5 รู ป แต่มี 6 เสี ยง คือ A (a), E (e), (Taling), E (e)
(Pepet), I (i), O (o), และ U (u) ดังตารางที่ 5
ตัวอักษร คาอ่าน
A สระ อา / อะ
E สระ เออ / เอ
I สระ อี / อิ
O สระ โอ
U สระ อู / อุ
ตัวอักษร คาอ่าน
Ai สระไอ
Au สระ เอา
Ia สระ เอีย
Ua สระ อัว
Iau สระ เอียว
Oi สระ ออย
17
ต้องแก้ไขปั ญหาที่ ใ ดและอย่า งไร เพื่ อให้การท างานกลุ่ ม มี ประสิ ท ธิ ภาพดี ก ว่าเดิ ม เป็ นการฝึ ก
กระบวนการกลุ่มอย่างเป็ นกระบวนการ
ทิศนา แขมมณี (2551 : 64) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบของหลักการเรี ยนรู้ แบบร่ วมมือ
มี 5 ประการ ประกอบด้วย
1. การเรี ยนรู้ตอ้ งอาศัยหลักการพึ่งพากัน (Positive interdependence) โดยถือว่าทุกคน
มีความสาคัญเท่าเทียมกันและจะต้องพึ่งพากันเพื่อความสาเร็ จร่ วมกัน
2. การเรี ยนรู ้ที่ดีตอ้ งอาศัยการหันหน้าเข้าหากันมีปฏิสัมพันธ์กนั (Face to face
interaction) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นข้อมูลและการเรี ยนรู ้ต่างๆ
3. การเรี ยนรู ้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (Social skills) โดยเฉพาะทักษะในการ
ทางานร่ วมกัน
4. การเรี ยนรู ้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group processing) ที่ใช้
ในการทางาน
5. การเรี ยนรู ้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรื อผลสัมฤทธิ์ ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถ
ตรวจสอบและวัดประเมินได้ (Individual accountability)
ชัยวัฒน์ สุ ทธิ รัตน์ (2553 : 44-46) ได้กล่าวว่า การเรี ยนแบบร่ วมมือไม่ได้หมายถึง
การจัดการผูเ้ รี ยนมานัง่ ทางานเป็ นกลุ่มเท่านั้น แต่สมาชิ กในกลุ่มทุกคนจะต้องรับผิดชอบในหน้าที่
เพื่อความสาเร็ จของกลุ่ม โดยได้สรุ ปองค์ประกอบการเรี ยนแบบร่ วมมือ ดังนี้
1. การปรึ กษาหารื อกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสมาชิ กในกลุ่ม ซึ่ งจะทาให้เกิดกิจกรรม
ทางปัญญา เกิดรู ปแบบทางสังคม มีการตอบสนองด้วยคาพูด
2. ความรับผิดชอบของสมาชิ กแต่ละคน ซึ่ งครู จะต้องประเมินว่าสมาชิ กของกลุ่ม
มีการช่ วยเหลืองานของกลุ่มมากน้อยเท่าใด
3. ทักษะการทางานกลุ่มหรื อทักษะทางสังคม มีการช่วยเหลือซึ่ งกันและกันและร่ วมมือ
กัน
4. ความสัมพันธ์ในทางบวก ผูเ้ รี ยนต้องเกิดความรู ้สึกว่าความสาเร็ จของแต่ละคนขึ้นอยู่
กับความสาเร็ จของกลุ่ม
5. กระบวนการกลุ่มเกิดขึ้นเมื่อสมาชิกในกลุ่มอภิปรายอภิปรายถึงประสิ ทธิ ภาพของ
ความสาเร็ จในการทางาน
จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1994 : 31 อ้างถึงใน ลักขณา สริ วฒั น์,
2557 : 193-206) อธิ บายว่า การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเกิดขึ้นได้ตอ้ งมีองค์ประกอบที่สาคัญ 5 ประการดังนี้
1. การพึ่งพาและช่วยเหลือกัน (Positive Interdependence) การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือจะต้อง
ตระหนักอยู่เสมอว่าสมาชิ กกลุ่ มทุกคนมีความสาคัญเท่ากันเพราะความสาเร็ จของกลุ่ มขึ้ นอยู่กบั
21
สาหรับนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนบ้านน้ าดา โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ ได้แก่
รู ปแบบการเรี ยนรู้แบบร่ วมมือเทคนิค CIRC และ NHT ดังนี้
14. รู ปแบบการเรี ยนรู้แบบร่ วมมือเทคนิค CIRC
คาว่า CIRC ย่อมาจากคาว่า Cooperative Integrated Reading and Composition
เป็ นรู ปแบบการเรี ยนการสอนแบบร่ วมมื อที่ ใช้ในการสอนอ่ านและเขี ยนโดยเฉพาะ รู ปแบบนี้
ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรมคือ กิจกรรมการอ่านแบบเรี ยน การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ
และการบูรณาการภาษากับการเรี ยน สลาวิน (Slavin, 1995 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี , 2557 : 270)
กระบวนการจัดการเรี ยนรู้
1. ครู แบ่งกลุ่มนักเรี ยนตามระดับความสามารถในการอ่าน นักเรี ยนในแต่ละกลุ่ม
จับคู่ 2 คน หรื อ 3 คน ทากิจกรรมการอ่านแบบร่ วมมือกัน
2. ครู จดั ทีมใหม่โดยให้แต่ละทีมมีนกั เรี ยนต่างระดับความสามารถอย่างน้อย 2
ระดับ ที มทากิ จกรรมร่ วมกัน เช่ น เขี ยนรายงาน แต่งความ ทาแบบฝึ กหัดและแบบทดสอบต่างๆ
และมีการให้คะแนนผลงานของแต่ละทีม ทีมใดได้คะแนน 90 % ขึ้นไป จะได้รับประกาศนี ยบัตร
เป็ น “ซุปเปอร์ทีม” หากได้รับคะแนนตั้งแต่ 80-89 % ก็จะได้รับรางวัลรองลงมา
3. ครู พ บกลุ่ มการอ่ า นประมาณวันละ 20 นาที แจ้ง วัตถุ ป ระสงค์ใ นการอ่ า น
แนะนาคาศัพท์ใหม่ๆ ทบทวนศัพท์เก่าต่อจากนั้นครู จะกาหนดแนะนาเรื่ องที่อ่านแล้วให้ผเู ้ รี ยนทา
กิจกรรมต่างๆ ตามที่ครู จดั เตรี ยมไว้ให้ เช่น อ่านเรื่ องในใจแล้วจับคู่อ่านออกเสี ยงให้เพื่อนฟั ง และ
ช่ วยกันแก้จุดบกพร่ องหรื อครู อาจจะให้นักเรี ยนช่ วยกันตอบคาถามวิเคราะห์ตวั ละคร วิเคราะห์
ปัญหาหรื อทานายว่าเรื่ องจะเป็ นอย่างไรต่อไป เป็ นต้น
4. หลังจากกิ จกรรมอ่าน ครู นาการอภิ ปรายเรื่ องที่ อ่าน โดยครู จะเน้นการฝึ ก
ทักษะต่างๆ ในการอ่าน เช่น การจับประเด็นปั ญหา การทานาย เป็ นต้น
5. นักเรี ยนรับการทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรี ยนจะได้รับคะแนนเป็ น
ทั้งรายบุคคลและทีม
6. นักเรี ยนจะได้รับการสอนและฝึ กทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เช่น ทักษะ
การจับใจความสาคัญ ทักษะการอ้างอิง ทักษะการใช้เหตุผล เป็ นต้น
7. นักเรี ยนจะได้รับชุดการเรี ยนการสอนเขียน ซึ่ งผูเ้ รี ยนสามารถเลือกหัวข้อ
การเขียนได้ตามความสนใจ นักเรี ยนจะช่วยกันวางแผนเขียนเรื่ อง และช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง
และในที่สุดตีพิมพ์ผลงานออกมา
8. นักเรี ยนจะได้รับการบ้านให้เลือกอ่านและหนังสื อที่สนใจ และเขียนรายงาน
เรื่ องที่อ่านเป็ นรายบุ คคล โดยให้ผปู ้ กครองช่ วยตรวจสอบพฤติกรรมการอ่านของนักเรี ยนที่บา้ น
โดยมีแบบฟอร์มให้
27
หน้าที่ ของสมาชิ กของกลุ่ ม แจ้งวัตถุ ประสงค์ของบทเรี ยน และการทากิ จกรรมร่ วมกัน และฝึ กฝน
ทักษะพื้นฐานจาเป็ นสาหรับการทากิจกรรมกลุ่ม
2. ขั้นสอน ครู ผสู ้ อนนาเข้าสู่ บทเรี ยน แนะนาเนื้ อหา แนะนาแหล่งข้อมูลและมอบหมาย
งานให้นกั เรี ยนแต่ละกลุ่ม
3. ขั้นทากิจกรรมกลุ่ม ผูเ้ รี ยนเรี ยนรู ้ร่วมกันในกลุ่มย่อย โดยที่แต่ละคนมีบทบาทและ
หน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย เป็ นขั้นที่สมาชิ กในกลุ่มจะได้ร่วมกันรับผิดชอบต่อผลงานของกลุ่ม
ในขั้นนี้ ครู อาจกาหนดให้ผเู ้ รี ยนใช้เทคนิ คต่าง ๆ เช่น แบบ JIGSAW, TGT, STAD, TAI, GT, LT,
NHT, CO-OP CO-OP เป็ นต้น ในการทากิจกรรมแต่ละครั้งเทคนิ คที่ใช้แต่ละครั้งจะต้องเหมาะสม
กับวัตถุ ประสงค์ในการเรี ยนแต่ละเรื่ อง ในการเรี ยนครั้งหนึ่ งๆ อาจต้องใช้เทคนิ คการเรี ยนแบบ
ร่ วมมือหลายๆ เทคนิคประกอบกัน เพื่อให้เกิดประสิ ทธิ ผลในการเรี ยน
4. ขั้นสรุ ปบทเรี ยนและประเมินผลการทางานกลุ่ม ผูส้ อนและผูเ้ รี ยนช่ วยกันสรุ ป
บทเรี ยนถ้ามีสิ่งที่ผเู ้ รี ยนยังไม่เข้าใจครู อธิ บายเพิ่มเติม และผูเ้ รี ยนช่วยกันประเมินผลการทางานกลุ่ม
และพิจารณาว่าอะไรคือจุดเด่นของงาน และอะไรคือสิ่ งที่ควรปรับปรุ ง
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 122-123) ได้กล่าวว่า ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรี ยนแบบ
ร่ วมมือ ได้แก่
1. ขั้นเตรี ยมการ
1.1 ผูส้ อนชี้แจงจุดประสงค์ของบทเรี ยน
1.2 ผูส้ อนจัดกลุ่มผูเ้ รี ยนเป็ นกลุ่มย่อยกลุ่มละประมาณไม่เกิน 6 คนมีสมาชิกที่มี
ความสามารถแตกต่างกันผูส้ อนแนะนาวิธีการทางานกลุ่มและบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม
2. ขั้นสอน
2.1 ผูส้ อนนาเข้าสู่ บทเรี ยนพร้อมบอกปั ญหาหรื องานที่ตอ้ งการให้กลุ่มแก้ไขหรื อ
คิดวิเคราะห์หาคาตอบ
2.2 ผูส้ อนแนะนาแหล่งข้อมูลค้นคว้าหรื อให้ขอ้ มูลพื้นฐานสาหรับการคิดวิเคราะห์
2.3 ผูส้ อนมอบหมายงานที่กลุ่มต้องทาให้ชดั เจน
3. ขั้นทากิจกรรมกลุ่ม
3.1 ผูเ้ รี ยนร่ วมมือกันทางานตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับทุกคนร่ วมรับผิดชอบ ร่ วมคิด
ร่ วมแสดงความคิดเห็ นการจัดกิ จกรรม ในขั้นนี้ ครู ควรใช้เทคนิคการเรี ยนรู ้แบบร่ วมร่ วมใจที่น่าสนใจ
และเหมาะสมกับผูเ้ รี ยนเช่นการเล่าเรื่ องรอบวงมุมสนทนาคู่ตรวจสอบคู่คิด ฯลฯ
3.2 ผูส้ อนสังเกตการณ์ทางานของกลุ่มคอยเป็ นผูอ้ านวยความสะดวกให้ความกระจ่าง
ในกรณี ที่ผเู ้ รี ยนสงสัยต้องการความช่วยเหลือ
29
ขั้นที่ 1 ขั้นนาหรือขั้นเตรียมความพร้ อม
ขั้นที่ 2 ขั้นสอน
ขั้นที่ 3 ขั้นทากิจกรรม
แผนการจัดการเรียนรู้
1. ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้
แผนการจัดการเรี ยนรู้ เป็ นเครื่ องมื อสาคัญ ส าหรับผูส้ อนในการวางแผนการสอน
เป็ นการเตรี ยมการสอนอย่างเป็ นลายลักษณ์ อกั ษรไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็ นแนวทางการสอนสาหรับครู
อันจะช่วยให้การเรี ยนการสอนบรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดไว้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 213) ได้กล่าวว่า แผนกการจัดการเรี ยนรู้ การใช้สื่อการเรี ยนรู้
และการวัดประเมินผลที่ สอดคล้องกับสาระการเรี ยนรู ้ และจุดประสงค์การเรี ยนรู ้ ที่กาหนดไว้ใน
หลักสู ตร
ทิพย์วิมล วังแก้วหิ รัญ (2551 : 220) ได้กล่ าวว่า การวางแผนการสอนหรื อการวางแผน
การจัดการเรี ยนรู ้ เป็ นการเตรี ยมกิ จกรรมและข้อมูลที่ ตอ้ งใช้ในการสอนของผูส้ อนล่ วงหน้าอย่าง
เป็ นลายลักษณ์อกั ษร ซึ่งในแผนการจัดการเรี ยนรู้ประกอบด้วยผลการเรี ยนรู้ที่คาดหวัง จุดประสงค์
การเรี ยนรู้ สาระการเรี ยนรู้ (เนื้อหา) ขั้นตอนการดาเนินกิจกรรมการเรี ยนรู ้ สื่ อและแหล่งเรี ยนรู ้ การ
วัดและการประเมินผล โดยผูส้ อนต้องจัดเตรี ยมข้อมูลดังกล่าวอย่างสอดคล้องต่อเนื่ องกันเพื่อเป็ น
ประโยชน์ในการนาไปปฏิบตั ิจริ ง
ชนาธิ ป พรกุล (2551 : 85-86) กล่าวว่าแผนการจัดการเรี ยนรู ้เป็ นแนวทางการจัดกิจกรรม
การเรี ยนการสอนที่ เขี ยนไว้ล่วงหน้า ทาให้ผสู ้ อนมี ความพร้ อม และมัน่ ใจว่าจะสามารถสอนได้
บรรลุ จุดประสงค์ที่ได้กาหนดไว้ และดาเนิ นการสอนได้ราบรื่ น โดยแผนการจัดการเรี ยนรู ้ มีอยู่ 2
ประเภท ได้แก่
1. แผนการจัดการเรี ยนรู ้ ระดับหน่วยการเรี ยน เป็ นแผนที่ระบุเฉพาะกิจกรรมหลักๆ
ที่ผสู ้ อนหรื อผูเ้ รี ยนทา โดยไม่มีรายละเอียดอธิ บายไว้ว่าผูเ้ รี ยนและผูส้ อนควรทาอะไรและอย่างไร
บ้าง หรื อเป็ นการระบุจุดประสงค์ไว้กว้างๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดมากมายนัก
35
2. ความสาคัญของแผนการจัดการเรียนรู้
แผนการจัดการเรี ยนรู ้ มีความสาคัญต่อการจัดการเรี ยนรู ้ เพื่อให้ผเู ้ รี ยนรั บการพัฒนา
การเรี ยนรู ้อย่างเป็ นระบบ เพราะผูส้ อนได้เตรี ยมการจัดการเรี ยนรู ้ให้แก่นกั เรี ยน โดยได้มีการวางแผน
การจัดการเรี ยนรู้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรี ยนรู ้ เพื่อให้เกิดแผนการจัดการเรี ยนรู ้
ที่มีประสิ ทธิภาพและประสิ ทธิผลในการจัดการเรี ยนรู้ ดังที่มีนกั วิชาการได้กล่าวถึง ความสาคัญของแผน
การจัดการเรี ยนรู้ ดังนี้
สุ วิทย์ มูลคา และคณะ (2551 : 58) ได้กล่าวถึง ความสาคัญของแผนการจัดการเรี ยนรู้
ไว้วา่
1. ทาให้เกิดการวางแผนวิธีสอนที่ดีวิธีเรี ยนที่ดีที่เกิดจากการผสมผสานความรู ้และ
จิตวิทยาการศึกษา
2. ช่วยให้ครู ผสู ้ อนมีคู่มือการจัดการเรี ยนรู ้ที่ทาไว้ล่วงหน้าด้วยตนเองและทาให้ครู
มีความมัน่ ใจในการจัดการเรี ยนรู ้ได้ตามเป้ าหมาย
36
3. องค์ ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
องค์ป ระกอบของแผนการจัดการเรี ยนรู้ เป็ นขั้นสาคัญที่ ผูส้ อนต้องวางแผนอย่า ง
รอบคอบในจัดกิจกรรมการเรี ยนรู ้ ซึ่ งสามารถสรุ ปจากนักวิชาการ ได้ดงั นี้
วิมลรัตน์ สุ นทรโรจน์ (2551 : 281-282) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบที่ควรเขียนให้ชดั เจน
ในแผนการจัดการเรี ยนรู ้ได้แก่
1. ชื่อเรื่ องหรื อชื่อหัวเรื่ องย่อย
2. จานวนชัว่ โมง
3. สาระสาคัญ
4. จุดประสงค์การเรี ยน
5. สาระการเรี ยนรู้
6. สื่ อ / แหล่งการเรี ยนรู ้
7. กระบวนการเรี ยนรู้
8. การวัดผลประเมินผล
ชนาธิป พรกุล (2551 : 86) ได้สรุ ปองค์ประกอบสาคัญของแผนการจัดการเรี ยนรู ้วา่ มี
7 ประการ ได้แก่
1. เรื่ องและเวลาที่ใช้สอน
2. ผลการเรี ยนรู้ที่คาดหวัง/จุดประสงค์การเรี ยนรู้
3. สาระสาคัญ
4. เนื้อหา (สาระ)
5. กิจกรรมการเรี ยนรู ้ (กิจกรรมการเรี ยนการสอน)
6. สื่ อการเรี ยนรู ้และแหล่งการเรี ยนรู ้ (สื่ อการเรี ยนการสอน)
7. การวัดและประเมินผล
สันติ บุญภิรมย์ (2553 : 130) ได้กล่าวว่า แผนการจัดการเรี ยนรู้ควรประกอบด้วยหัวข้อ
ต่างๆ ดังนี้
1. ส่ วนประกอบตอนต้นหรื อส่ วนหัวของแผนการจัดการเรี ยนรู ้ ได้แก่ ชื่ อวิชา รหัสวิชา
กลุ่มสาระ ระดับชั้น เวลาที่ใช้สอนต่อสัปดาห์ ภาคเรี ยน ชื่อผูส้ อน และชื่อสถานศึกษา
2. ส่ วนประกอบตอนกลางของแผนการจัดการเรี ยนรู ้ ได้แก่ คาอธิ บายรายวิชา มาตรฐาน
การเรี ยนรู ้ ตัวชี้ วดั จุ ดประสงค์การเรี ย นรู ้ สาระสาคัญ สาระการเรี ย นรู ้ (หัวข้อเนื้ อหาหลักและ
หัวข้อรอง) หากใช้ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในส่ วนนี้ ควรมีเนื้ อหาสาระโดยสังเขป กิจกรรม
การเรี ยนรู ้ (ระบุรายชัว่ โมง) สื่ อและแหล่งการเรี ยนรู ้ การวัดและประเมินผล กิจกรรมเสนอแนะและ
โครงงานนักเรี ยน บันทึกการสอนและการวิจยั ในชั้นเรี ยน
38
การวัดและประเมินผล
1. ความหมายของการวัดและประเมินผล
เมษา นวลศรี (2556 : 7-10) กล่าวว่า การวัดผล (Measurement) หมายถึง กระบวนการ
ในการก าหนดตัวเลขตามกฎเกณฑ์ใ ห้ แก่ สิ่ ง ต่ า งๆ เพื่ อ ที่ จะได้รวบรวมผลทั้ง หมดไปพิ จารณา
ตัดสิ นใจตามเกณฑ์ที่กาหนด/เกณฑ์มาตรฐาน ส่ วนการประเมินผล (Evaluation) หมายถึง กระบวนการ
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการวัดพฤติกรรมของบุคคลเพื่อนาผลมาพิจารณา/ตัดสิ น/ประเมินค่า
ตามเกณฑ์มาตรฐานแล้วนาเสนอเป็ นข้อมูลย้อนกลับให้แก่ผสู ้ อนที่จะสามารถนาไปใช้เป็ นแนวทาง
ในการพัฒนาตนเองต่อไป
เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2552 : 4) อธิ บายของการประเมินไว้วา่ เป็ นกระบวนการ
อย่างเป็ นระบบที่นามาใช้ต่อเนื่ องจากการทดสอบและการวัดผล จึงอาจกล่าวได้วา่ การประเมินผล
หมายถึ ง การตีค่าสิ่ งที่เราวัดได้ รวมถึ งการตัดสิ นคุ ณค่าด้วย นอกจากนั้น การประเมินผลจะต้อง
มีเกณฑ์ (Criteria) หรื อวัตถุประสงค์ (Objective) หรื อมาตรฐาน (Standard) ที่แน่นอนซึ่ งกาหนดขึ้น
ในแต่ละครั้ง
พิชิต ฤทธิ์ จรู ญ (2550 : 5) กล่าวว่า การประเมินผล หมายถึง การตัดสิ นคุณค่าหรื อ
คุณภาพของผลที่ได้จากการวัดโดยเปรี ยบเทียบกับผลการวัดอื่นๆ หรื อเกณฑ์ที่ต้ งั ไว้
ทิวตั ถ์ มณี โชติ (2549 : ไม่ปรากฏหน้า) ได้กล่าวว่า การวัดเป็ นกระบวนการกาหนด
ตัวเลขหรื อสัญลักษณ์แทนปริ มาณหรื อคุณภาพของคุณลักษณะหรื อคุ ณสมบัติของสิ่ งที่ตอ้ งการวัด
ส่ วนการวัดผลนั้น เป็ นกระบวนการกาหนดตัวเลขหรื อสัญลักษณ์ แทนปริ ม าณหรื อคุ ณภาพของ
คุณลักษณะหรื อคุณสมบัติของสิ่ งที่ตอ้ งการวัด โดยสิ่ งที่ตอ้ งการวัดนั้นเป็ นผลมาจากการกระทาหรื อ
กิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ งหรื อหลายอย่างร่ วมกัน เช่ น การวัดผลการเรี ยนรู ้ สิ่ งที่วดั คือ ผลที่เกิ ดจาก
การเรี ยนรู้ของผูเ้ รี ยน ส่ วนการประเมินนั้น เป็ นกระบวนการต่อเนื่ องจากการวัด คือ นาตัวเลขหรื อ
สัญลักษณ์ที่ได้จากการวัดมาตีค่าอย่างมีเหตุผล โดยเทียบกับเกณฑ์หรื อมาตรฐานที่กาหนดไว้ เช่ น
โรงเรี ยนกาหนดคะแนนที่น่าพอใจของวิชาคณิ ตศาสตร์ ไว้ที่ร้อยละ 60 นักเรี ยนที่สอบได้คะแนน
40
ตั้ง แต่ 60 % ขึ้ นไป ถื อว่าผ่านเกณฑ์ที่น่าพอใจ หรื ออาจจะกาหนดเกณฑ์ไ ว้หลายระดับ เช่ นได้
คะแนนไม่ถึงร้ อยละ 40 อยู่ในเกณฑ์ควรปรับปรุ งร้ อยละ 40-59 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ร้อยละ 60-79
อยู่ใ นเกณฑ์ดี และร้ อยละ 80 ขึ้ นไป อยู่ในเกณฑ์ดีมาก เป็ นต้น ลักษณะเช่ นนี้ เรี ยกว่า เป็ นการ
ประเมิน ส่ วนการประเมินผล มีความหมายเช่ นเดี ยวกับการประเมิน แต่เป็ นกระบวนการต่อเนื่ อง
จากการวัดผล ซึ่ งภาษาอังกฤษมีหลายคาที่ใช้มากมี 2 คา คือ Evaluation และ Assessment 2 คานี้
มีความหมายต่างกัน คือ Evaluation เป็ นการประเมินตัดสิ นมีการกาหนดเกณฑ์ชดั เจน (Absolute Criteria)
เช่น ได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป ตัดสิ นว่าอยูใ่ นระดับดี ได้คะแนนร้อยละ 60–79 ตัดสิ นว่าอยูใ่ นระดับ
พอใช้ ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 60 ตัดสิ นว่าอยูใ่ นระดับควรปรับปรุ ง Evaluation จะใช้กบั การประเมิน
การดาเนินงานทัว่ ๆ ไป เช่น การประเมินโครงการ (Project Evaluation) การประเมินหลักสู ตร (Curriculum
Evaluation) ส่ วน Assessment) เป็ นการประเมินเชิงเปรี ยบเทียบใช้เกณฑ์เชิ งสัมพันธ์ (Relative Criteria)
เช่น เทียบกับผลการประเมินครั้งก่อน เทียบกับเพื่อนหรื อกลุ่มใกล้เคียงกัน (Assessment) มักใช้ในการ
ประเมินผลสัมฤทธิ์ เช่น ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนการประเมินตนเอง (Self Assessment)
จะเห็นได้วา่ การวัดและการประเมินผลเป็ นกระบวนการพิจารณาตัดสิ นความสามารถ
ของบุ คคล ด้วยวิธีก ารวัดในรู ป แบบต่า งๆ เพื่อนาผลที่ ไ ด้ม าประเมิ นผลดู ว่ากิ จกรรมที่ ทาต่า งๆ
เป็ นไปตามจุดมุ่งหมายที่ต้ งั ไว้มากน้อยเพียงใด แล้วนาผลที่ได้มาตัดสิ น หรื อสรุ ปคุณภาพของการ
จัดการศึ กษาว่ามี ประสิ ทธิ ภาพมากน้อยเพียงใด หลักสู ตรเหมาะสมหรื อไม่ ควรปรั บปรุ งแก้ไ ข
อย่างไร อันจะทาให้การเรี ยนการสอนตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสู ตรที่กาหนดไว้
2. จุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผล
จุดมุ่ง หมายของการวัดและประเมินผล มีความสาคัญอย่างยิ่ง ต่อการจัดการเรี ย น
การสอน เพราะเป็ นการจัดลาดับความสามารถของผูเ้ รี ยนในการทากิจกรรม ซึ่ งช่วยให้การเรี ยนการสอน
เป็ นไปตามแผนการสอนที่กาหนดไว้ และสามารถประเมินวิธีสอนของผูส้ อน ว่าวิธีการสอนช่วยให้
ผูเ้ รี ยนเกิ ดการเรี ยนรู ้ หรื อควรปรับปรุ ง อันจะทาให้การเรี ยนการสอนบทเรี ยนเดิ ม ในครั้ งต่อไป
มีประสิ ทธิ ภาพยิง่ ขึ้น ซึ่ งนักวิชาการได้กล่าวถึง จุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผล ดังนี้
รุ่ งฤดี แผลงศร (2560 : 339–340) ได้กล่าวว่า การวัดและการประเมินผลมีจุดมุ่งหมาย
ดังต่อไปนี้
1. เพื่อประเมินผลผูเ้ รี ยนว่ามีความรู ้ ความเข้าใจบทเรี ยนมากน้อยเพียงใด โดยผูส้ อน
พิจารณาจากผลการประเมินตามวัตถุประสงค์การสอนที่กาหนดไว้ในแผนการสอน หากผูเ้ รี ยนสอบ
ไม่ผา่ นวัตถุประสงค์ขอ้ ใด ผูส้ อนจะได้อธิ บายเพิ่มเติมประเด็นที่ผเู ้ รี ยนสอบไม่ผา่ นต่อไป
2. เพื่อจัดลาดับความสามารของผูเ้ รี ยนในการแบ่งชั้นเรี ยนหรื อการแบ่งกลุ่มทากิจกรรม
ได้อย่างเหมาะสม ซึ่ งช่วยให้การเรี ยนการสอนเป็ นไปตามแผนการสอนที่กาหนดไว้
41
3. เครื่องมือวัดและประเมินผล
เครื่ องมือหรื อเทคนิ คที่ใช้ในการวัดผลการศึกษามีหลายชนิ ด และมีลกั ษณะการใช้
ที่แตกต่ า งกันตามโอกาสหรื อสถานการณ์ ซึ่ งผูว้ ิจยั ได้รวบรวมทฤษฎี เกี่ ย วกับ เครื่ องมื อวัดและ
ประเมินผลจากนักวิชาการต่างๆ ดังนี้
สมนึก ภัททิยธนี (2551 : 32-64) ได้กล่าวถึง เครื่ องมือหรื อเทคนิคที่ใช้ในการวัดผลมี 8
ชนิด ดังนี้
1. การสังเกต (Observation) คือ การพิจารณาปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหา
ความจริ งบางประการโดยอาศัยประสาทสัมผัสของผูส้ ังเกตโดยตรง ทาให้ ได้ขอ้ มูลแบบปฐมภูมิ
(Primary data) ซึ่ งเป็ นข้อมูลที่น่าเชื่ อถื อ แบ่งออกได้ 2 แบบ คือ การสังเกตโดยผูส้ ังเกตเข้าไปร่ วม
ในเหตุการณ์หรื อกิจกรรม (Participant observation) กับการสังเกตโดยผูส้ ังเกตไม่ได้เข้าไปร่ วม
ในเหตุการณ์หรื อกิจกรรม (Non-participant observation)
2. การสัมภาษณ์ (Interview) คือ การสนทนาหรื อการพูดโต้ตอบกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย
เพื่อค้นหาความรู ้ ความจริ ง ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ล่วงหน้า การสัมภาษณ์นอกจากจะได้รับ
ข้อมู ลตามต้องการแล้ว ยัง ช่ วยให้ท ราบข้อเท็จจริ งของผูถ้ ู กสั ม ภาษณ์ ในด้านบุ คลิ ก ภาพอี ก ด้วย
โดยทัว่ ไปการสัมภาษณ์มีอยู่ 2 แบบ คือ การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Non structured interview or
unstructured interview) กับการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interview)
3. แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็ นเครื่ องมือชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กนั มาก โดยเฉพาะ
การเก็บข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเป็ นวิธีการที่สะดวก และสามารถใช้วดั ได้อย่างกว้างขวาง
ทั้ง ข้อมู ล และข้อเท็จจริ ง ในอดี ต ปั จจุ บ นั และการคาดคะเนเหตุ ก ารณ์ ใ นอนาคต แบบสอบถาม
ส่ วนใหญ่จะอยู่ในรู ปของคาถามเป็ นชุ ดๆ เพื่อวัดในสิ่ งที่ตอ้ งการจะวัด โดยมีคาถามเป็ นตัวกระตุน้
เร่ งเร้าให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา เป็ นเครื่ องมือที่นิยมใช้วดั ทางด้านจิตพิสัย (Affective
domain) โดยแบบสอบถามจะมีส่วนประกอบสาคัญ 3 ส่ วน คือ คาชี้ แจงในการตอบแบบสอบถาม
สถานภาพทัว่ ไป และข้อคาถามเกี่ยวกับพฤติกรรมที่จะวัด ซึ่ งแบบสอบถามโดยทัว่ ไปมีอยู่ 2 ชนิ ด
คือ แบบสอบถามชนิดปลายเปิ ด กับแบบสอบถามแบบปลายปิ ด
4. การจัดอันดับ (Rank Order) เครื่ องมือชนิ ดนี้ ใช้สาหรับจัดอันดับของข้อมูลหรื อ
ผลงานต่างๆ ของนักเรี ยน แล้วจึงคิดให้คะแนนภายหลังเพื่อการประเมิน ครู ไม่ควรให้คะแนนทันที
43
5. ประโยชน์ ของการวัดและประเมินผล
การวัดและประเมินผลการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนมีประโยชน์ต่อการจัดการเรี ยนรู ้หลายด้าน
ไม่วา่ จะเป็ น ด้านการจัดการเรี ยน ด้านแนะแนว ด้านการบริ หาร และด้านการวิจยั ซึ่ งสามารถสรุ ป
จากนักวิชาการ ได้ดงั นี้
ทิวตั ถ์ มณี โชติ (2549 : ไม่ปรากฏหน้า) ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของการวัดและการประเมิน
ผลการเรี ยนรู ้จาแนกเป็ นด้านๆ ดังนี้
1. ด้านการจัดการเรี ยนรู้
การวัดและประเมินผลการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนมีประโยชน์ต่อการจัดการเรี ยนรู ้หรื อ
การจัดการเรี ยนการสอน ดังนี้
1.1 เพื่อจัดตาแหน่ง (Placement) ผลจากการวัดบอกได้วา่ ผูเ้ รี ยนมีความรู้ ความสามารถ
อยู่ในระดับใดของกลุ่มหรื อเปรี ยบเทียบกับเกณฑ์แล้วอยู่ในระดับใด การวัดและประเมิน เพื่อจัด
ตาแหน่งนี้ มักใช้ในวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ
1.1.1 เพื่อคัดเลือก (Selection) เป็ นการใช้ผลการวัดเพื่อคัดเลือกเพื่อเข้าเรี ยน
เข้าร่ วมกิจกรรม -โครงการ หรื อเป็ นตัวแทน (เช่นของชั้นเรี ยนหรื อสถานศึกษา) เพื่อการทากิจกรรม
หรื อการให้ทุนผลการวัดและประเมินผลลักษณะนี้คานึงถึงการจัดอันดับที่เป็ นสาคัญ
1.1.2 เพื่อแยกประเภท (Classification) เป็ นการใช้ผลการวัดและประเมินเพื่อ
แบ่งกลุ่มผูเ้ รี ยน เช่น แบ่งเป็ นกลุ่มอ่อน ปานกลาง และเก่ง แบ่งกลุ่มผ่าน-ไม่ผา่ นเกณฑ์ หรื อตัดสิ น
ได้-ตก เป็ นต้น เป็ นการวัดและประเมินที่ยดึ เกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มเป็ นสาคัญ
1.2 เพื่อวินิจฉัย (Diagnostic) เป็ นการใช้ผลการวัดและประเมินเพื่อค้นหาจุดเด่น
จุดด้อยของผูเ้ รี ยนว่ามีปัญหาในเรื่ องใด จุดใดมากน้อยแค่ไหน เพื่อนาไปสู่ การตัดสิ นใจการวางแผน
การจัดการเรี ยนรู ้และการปรับปรุ งการเรี ยนการสอนให้มีประสิ ทธิ ภาพยิ่งขึ้น เครื่ องมือที่ใช้วดั เพื่อ
48
การวัดความพึงพอใจ
1. ความหมายความพึงพอใจ
ความพึงพอใจ เป็ นตัวชี้วดั หนึ่งที่มีความสาคัญในการจัดการเรี ยนการสอนที่สามารถ
ทาให้ผูส้ อนทราบถึงความพึงพอใจของนักเรี ยนที่ มีต่อการจัดการเรี ยนการสอนนั้นหรื อไม่ ซึ่ งมี
นักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึง ความหมายของความพึงพอใจ ดังนี้
ชวลิต ชูกาแพง (2551 : 107) ได้สรุ ปความหมายของความพึงพอใจไว้วา่ คือ ความสนใจ
ชื่ นชอบ และเต็มใจในการปฏิบตั ิกิจกรรมนั้นๆ และพึงพอใจจนเกิ ดความสนุ กสนานและเพลิ ดเพลิ น
ตัวอย่างเช่น ร้องราทาเพลงร่ วมกับคนอื่นด้วยความสนุ กสนานพอใจสนุ กกับบทละคร วิทยุ โทรทัศน์
สนุ กกับการสนทนาเรื่ องใดเรื่ องหนึ่ ง สนุ กกับการเล่นเกมตัวเลข ฯลฯ การแสดงความสนุกสนาน
พึงพอใจนั้น บางคนอาจจะแสดงออกมาให้เห็ นได้อย่างเปิ ดเผย แต่บางคนอาจจะไม่แสดงให้เห็ น
เปิ ดเผยก็ได้ การประเมินด้านความพึงพอใจจึงต้องอาศัยความรอบคอบ
พรรณี ลี กิจวัฒนะ (2554 : 176) แบบวัดความพึงพอใจ หมายถึง ชุดของข้อคาถาม
ด้านความรู ้ สึกหรื อท่าทีของบุคคลที่มีต่อสิ่ งหนึ่ งสิ่ งใดในทางบวกหรื อลบ ซึ่ งมีการกาหนดระดับ
ของค าตอบไว้เ ป็ นช่ วงๆ ที่ ต่ อ เนื่ อ งกัน และแต่ ล ะช่ วงมี ห น่ ว ยเท่ า กัน ให้ผูต้ อบเลื อกตอบตาม
ความรู้สึกที่แท้จริ ง
จารุ วรรณ บุตรสุ วรรณ์ (2553 : 26) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู ้สึก
นึ กคิด รู ้สึกพอใจ ชอบใจ หรื อเจตคติของบุคคลที่มีต่อการทางานหรื อ ปฏิบตั ิกิจกรรมในเชิงบวก
ดังนั้น สรุ ปได้วา่ ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติทางบวกของบุคคลที่มีต่อสิ่ งใด
สิ่ งหนึ่ ง เมื่อมีสิ่งที่ตรงต่อความรู ้สึกและความต้องการของบุคคล จึงจะทาให้บุคคลนั้นเกิดความ
พึงพอใจ มีขวัญและมีกาลังใจ มีความภาคภูมิใจในความสาเร็ จของสิ่ งที่ทา และสิ่ งเหล่านี้ จะส่ งผล
ต่อประสิ ทธิ ภาพและประสิ ทธิ ผลต่อสิ่ งที่ทาส่ งผลถึงความก้าวหน้าและความสาเร็ จ
51
2. การสร้ างแบบวัดความพึงพอใจ
การวิจยั ครั้งนี้ ผูว้ จิ ยั ได้ทาการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการวัดความพึงพอใจและการสร้าง
แบบวัดความพึงพอใจ โดยได้ศึกษาจากนักวิชาการและทฤษฎีต่างๆ ดังนี้
ชวลิต ชูกาแพง (2551 : 112-113) ได้อธิ บายวิธีวดั และประเมินจิตพิสัยว่า สามารถทาได้
หลายวิธีแต่วธิ ี ที่นิยมมีดงั นี้
1. การสังเกต (Observation) โดยสังเกตการพูด การกระทา ของนักเรี ยนที่มีต่อสิ่ งใด
สิ่ งหนึ่งที่ครู ตอ้ งการวัด
2. การสัมภาษณ์ (Interview) เป็ นการพูดคุยกับนักเรี ยนในประเด็นที่ครู อยากรู ้เป็ นวิธีการ
ที่ตอ้ งอาศัยเทคนิคและความชานาญพิเศษของผูส้ ัมภาษณ์ที่จะจูงใจให้ผถู ้ ูกสัมภาษณ์ตอบคาถาม
ให้ตรงกับข้อเท็จจริ ง
3. การใช้แบบวัดมาตราส่ วนประมาณค่า (Rating Scale) รู ปแบบการวัดที่นิยมใช้คือ
มาตราส่ วนประมาณค่าแบบของลิเคอร์ ท (Likert)
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2542 : 90-95) ได้กล่าวว่า การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ
ตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) ดังนี้
1. ศึกษาวิธีการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ
2. ศึกษาเอกสารและงานวิจยั เกี่ ยวกับการวัดความพึงพอใจของนักเรี ยนที่ มีต่อการ
เรี ยนรู้ตามแผนการจัดการเรี ยนรู ้แบบต่างๆ
3. สร้า งแบบวัดความพึง พอใจของนัก เรี ยนที่มีต่อการเรี ยนรู ้ตามแผนการจัดการ
เรี ยนรู ้ โดยผูต้ อบแบบสอบถามพิจารณาว่าข้อความแต่ละข้อตรงกับความรู ้ สึกพึงพอใจมากน้อย
เพียงใด แล้วให้ทาเครื่ องหมาย ในช่องนั้น ๆ
การให้คะแนน
มากที่สุด ให้ 5 คะแนน
มาก ให้ 4 คะแนน
ปานกลาง ให้ 3 คะแนน
น้อย ให้ 2 คะแนน
น้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน
4. นาแบบวัดความพึงพอใจของนักเรี ยนที่มีต่อกิจกรรมการเรี ยนรู้ตามแผนการจัดการ
เรี ยนรู ้ ที่สร้ างขึ้นเสนอให้ผเู ้ ชี่ ยวชาญ จานวน 5 ท่าน เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิ งโครงสร้ างโดย
พิ จ ารณาค่ า ความสอดคล้อ ง (IOC) โดยใช้เ กณฑ์ใ นการคัด เลื อ กคื อข้อ ที่ มี ค่ า ตั้ง แต่ 0.50-1.00
คัดเลือกไว้
52
แบบทดสอบวัดผลสั มฤทธิ์ทางการเรียน
1. ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสั มฤทธิ์ทางการเรียน
ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนเป็ นความสามารถของนักเรี ยนในด้านต่างๆ ที่เกิดจากนักเรี ยน
ได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรี ยนการสอนของครู ซึ่ งครู มีความจาเป็ นที่จะต้องการสร้าง
เครื่ องมือวัดให้มีคุณภาพ ในการสร้างเครื่ องมือวัดให้มีคุณภาพนั้น นักวิชาการได้ให้ความหมายของ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนไว้ดงั นี้
ศิริชยั กาญจนวาสี (2556 : 165) ได้ให้ความหมายของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน
ว่าเป็ นแบบสอบ ที่ใช้วดั ผลการเรี ยนรู ้ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการเรี ยนการสอนที่ผสู ้ อนได้จดั ขึ้น เพื่อ
การเรี ยนรู้ น้ นั สิ่ งที่มุ่งวัดจึ งเป็ นสิ่ งที่ ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้ ภายใต้สถานการณ์ ที่กาหนดขึ้ น ซึ่ งอาจเป็ น
ความรู ้หรื อทักษะบางอย่าง ส่ วนใหญ่จะเน้นทักษะทางสมองหรื อความคิด อันบ่งบอกถึงสถานภาพ
ของการเรี ยนรู ้ที่ผา่ นมา หรื อสภาพการเรี ยนรู ้ที่บุคคลนั้นได้รับ
พิสณุ ฟองศรี (2552 : 114) ได้ให้ความหมายของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ ว่า แบบสอบวัด
ความรู ้ ซึ่ งเป็ นการวัดความรู ้ เนื้อหาที่สอนหรื ออบรม เพื่อตัดเกรดหรื อตัดสิ นผล
เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2552 : 16) แบบสอบผลสัมฤทธิ์ คือ แบบสอบที่สร้างขึ้น
เพื่อใช้ในการวัดผลของการเรี ยนการสอน
53
2. ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสั มฤทธิ์
มีนกั วิชาการได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน ดังนี้
พิชิต ฤทธิ์ จรู ญ (2550 : 96) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ออกเป็ น 2
ประเภท คือ
1. แบบทดสอบที่ครู สร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ ของผูเ้ รี ยน
เฉพาะกลุ่มที่ครู สอน เป็ นแบบทดสอบที่ครู สร้างขึ้นใช้กนั โดยทัว่ ไปในสถานศึกษา มีลกั ษณะเป็ น
แบบทดสอบข้อเขียน (paper and pencil test) ซึ่ งแบ่งออกได้อีก 2 ชนิดคือ
1.1 แบบทดสอบอัตนัย (subjective or essay test) เป็ นแบบทดสอบที่กาหนด
คาถามหรื อปั ญหาให้แล้วให้ผตู ้ อบเขียนโดยแสดงความรู ้ ความคิด เจตคติ ได้อย่างเต็มที่ แบบทดสอบ
อัตนัยหรื อความเรี ยง เป็ นแบบทดสอบที่ให้ผตู้ อบหาคาตอบเอง โดยการเขียนบรรยายหรื อแสดง
ความคิ ดเห็ น วิพากษ์วิจารณ์ เรื่ องราว พฤติ กรรมต่ างๆ จากความรู ้ และประสบการณ์ ที่ไ ด้รับมา
ลักษณะของแบบทดสอบนี้อาจจะเป็ นโจทย์ หรื อคาถามที่กาหนดเป็ นสถานการณ์ หรื อปั ญหาอย่าง
กว้างๆ หรื อเฉพาะเจาะจง
1.1.1 ชนิ ดของแบบทดสอบอัตนัย (พิชิต ฤทธิ์ จรู ญ, 2550 : 101) ได้แบ่ง
แบบทดสอบอัตนัย ออกเป็ น 2 ชนิดคือ
1.1.1.1 แบบตอบขยาย หรื อแบบไม่จากัดคาตอบ เป็ นแบบทดสอบที่เปิ ด
โอกาสให้ผตู้ อบแสดงความคิดเห็น อธิ บาย บรรยาย อภิปรายได้อย่างเต็มที่ มักใช้กบั นักเรี ยนในระดับ
ชั้นสู ง ลักษณะของคาถามมักจะมีคาว่า จงอธิ บาย จงอภิปราย เปรี ยบเทียบ วิเคราะห์ แสดงความคิดเห็น
ข้อเสนอแนะ สรุ ป วางแผน ออกแบบการทดลอง ตั้งสมมุติฐาน ตั้งเกณฑ์ตดั สิ น ประเมินผลหรื อ
การแก้ปัญหา
1.1.1.2 แบบจากัดคาตอบหรื อแบบตอบสั้น เป็ นแบบทดสอบที่ถามแบบ
จาเพาะเจาะจง ให้ตอบสั้นภายในขอบเขตที่กาหนดไว้ โดยทัว่ ไปจะกาหนดขอบข่ายและความยาว
54
1. งานวิจัยในประเทศ
กอเซ็ง มะสารี (2556 : บทคัดย่อ) ได้พฒั นาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนวิชาอะกีดะห์ของ
นักเรี ยนชั้นอิสลามศึกษาตอนปลายปี ที่ 1 (ซานาวีย)์ โดยรู ปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ ผลการวิจยั
พบว่า 1) แผนการจัดการเรี ยนการสอนแบบร่ วมมือวิชาอะกีดะห์ สาหรับนักเรี ยนชั้นอิสลามศึกษา
ตอนปลายปี ที่ 1 มีประสิ ทธิ ภาพอยูใ่ นระดับ 84.65/83.85 2) นักเรี ยนที่เรี ยนจากแผนการจัดการเรี ยน
การสอนแบบร่ วมมือมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนสู งกว่าก่อนเรี ยนอย่างมีนยั สาคัญทางสถิ ติที่ระดับ
.01 3) นักเรี ยนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรี ยนการสอนวิชาอะกีดะห์ตามแผนที่การจัดการเรี ยน
การสอนที่ใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมืออยูใ่ นระดับมาก
สุ กญั ญา จันทร์ แดง (2556 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาผลการจัดการเรี ยนด้วยชุ ดการสอน
แบบร่ วมมือที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนและความสามารถในการทางานร่ วมกัน วิชาวิทยาศาสตร์
ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 ผลการวิจยั พบว่า 1) ผลการเรี ยนรู้ทางการเรี ยนของนักเรี ยนที่เรี ยน
ด้วยชุ ดการสอนแบบร่ วมมือ มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนสู งกว่าก่อนเรี ยนอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ
ที่ระดับ 0.05 2) ความสามารถในการทางานร่ วมกันของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 ที่เรี ยนด้วยชุด
การสอนแบบร่ วมมือ มีพฤติกรรมในการทางานร่ วมกันอยูใ่ นระดับดีมาก 3) ความคิดของนักเรี ยน
เห็นต่อการเรี ยนการสอนด้วยชุดการสอนแบบร่ วมมืออยูใ่ นระดับดีมาก
รัสริ นทร์ เสนารัถรัฐพงศ์ (2551 : บทคัดย่อ) ได้จดั กิจกรรมการเรี ยนรู ้แบบกลุ่มร่ วมมือ
กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ภาษาไทย เรื่ องการผันวรรณยุกต์โดยใช้นิ้วมือ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 ผลการวิจยั
พบว่า 1) แผนการจัดกิ จกรรมการเรี ยนรู ้ แบบกลุ่มร่ วมมือ เรื่ อง การผันวรรณยุก ต์โดยใช้นิ้วมือ
ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 ที่สร้างขึ้น มีประสิ ทธิ ภาพเท่ากับ 89.39/87.08 ซึ่ งเป็ นไปตาม เกณฑ์ที่ต้ งั ไว้
2) มีค่าดัชนีประสิ ทธิ ผลของการเรี ยนรู้ ดว้ ยแผนการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู ปแบบกลุ่มร่ วมมือ เรื่ อง
การผันวรรณยุกต์โดยใช้นิ้วมือ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 เท่ากับ 78.39 3) นักเรี ยนมีความพึงพอใจ
ในการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู ้โดยรวมและรายข้อทุกข้ออยูร่ ะดับมาก 4) ผลการใช้แผนการจัดกิจกรรม
การเรี ยนรู้ พบว่า การจัดกิจกรรมการเรี ยนรู ้ ทาให้นกั เรี ยนได้ฝึกกระบวนการทางานเป็ นกลุ่มในการ
ผันวรรณยุกต์โดยใช้นิ้วมือประกอบ ทาให้นกั เรี ยนเข้าใจง่ายขึ้น มีความมัน่ ใจในตนเอง กล้าแสดงออก
จากเดิมนักเรี ยนไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าพูด ซักถามก็ไม่ตอบ หลังจากได้เรี ยนรู้ดว้ ยกิจกรรมการเรี ยน
แบบกลุ่มร่ วมมือทาให้นกั เรี ยนกล้าอภิปราย ซักถามปั ญหาที่เกิดขึ้น กล้าแสดงออก รู้จกั แบ่งหน้าที่
ความรับผิดชอบ คนที่เก่งงกว่าไม่เห็นแก่ตวั แต่จะมีบางแผนที่จะต้องปรับปรุ งการจัดกิจกรรม
59
2. งานวิจัยต่ างประเทศ
การ์ ฮาม (Graham, 2006 : unpaged อ้างอึงใน สมจิต ขันธุ ปัทม์, 2553 : 73) ได้ศึกษา
การวิจยั และฝึ กปฏิบตั ิในวิชาชี พการสอนที่มีผลทาให้มีการปรับปรุ งทฤษฎีการสอนที่หลากหลาย
หนึ่งในนั้นคือการเรี ยนรู ้แบบมีส่วนร่ วมจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการใช้ทฤษฎีการเรี ยนรู ้แบบมี
ส่ วนร่ วมมีผลต่อความสาเร็ จของนักเรี ยนการศึกษาวิชาสังคมศึกษา 2 ห้องเรี ยนโดยใช้วิธีการเรี ยนรู้
แบบร่ วมมือพบความแตกต่างของวิธีการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือส่ งผลให้นกั เรี ยนประสบความสาเร็ จใน
การเรี ยนสู งขึ้นและทาให้ตดั สิ นใจได้วา่ วิธีการนี้ทาให้การเรี ยนประสบความสาเร็ จเพิ่มขึ้นมากกกว่า
วิธีการเรี ยนรู ้แบบอื่นๆในการเรี ยนวิชาเดียวกัน
ฟาร์ โลว์ (Farlow, 2004 : 395 อ้างถึงใน สมจิตร เดชครอบ, 2552 : 39) ได้ศึกษา
เกี่ ยวกับการสร้ างชุ มชนชั้นเรี ยนและการใช้กลยุทธ์ในการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมือกันของนักเรี ยนที่ มี
ความต้องการพิเศษความมุ่งหมายของการวิจยั ครั้งนี้ คือศึกษาการใช้กลยุทธ์ในการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมือ
เป็ นวิธีการสร้ างสภาพแวดล้อมของชั้นเรี ยนแบบรวมสาหรั บนักเรี ยนที่มีความต้องการพิเศษการ
วิจยั เป็ นกรณี ศึกษากับนักเรี ยน 3 ประเภทได้แก่กลุ่มนักเรี ยนที่บกพร่ องด้านการเรี ยนรู ้และอีกสอง
กรณี เป็ นนักเรี ยนในกลุ่มเสี่ ยงผูว้ ิจยั ทาการเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตการสัมภาษณ์และประเมินจาก
ปฏิกิริยาโต้ตอบของนักเรี ยน ผลการวิจยั พบว่านักเรี ยนสามารถเรี ยนรู ้ได้เพิ่มขึ้นและนักเรี ยนเรี ยนรู้
ได้ดีรวมทั้งสามารถแสดงการตอบสนองที่ดีข้ ึนด้วยกระบวนการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือกัน
อาร์ มสตรอง (Armstrong, 2003 : 884 อ้างถึงใน จารุ วรรณ บุตรสุ วรรณ์ 2553 : 29)
ได้ศึ กษาเปรี ยบเที ยบผลการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมื อในการจัดกลุ่ ม นัก เรี ยนโดยยึดเกณฑ์ผลสัม ฤทธิ์
ทางการเรี ยนโดยเป็ นทีม (STAD) ได้ทาการศึกษาค้นคว้ากับนักเรี ยน 47 คนที่เรี ยนอยูใ่ นเกรด 12
ที่ได้รับการสอนแบบดั้งเดิ มโดยใช้ตาราเรี ยนการอธิ บายการบรรยายเอกสารประกอบการเรี ยนกับ
การสอนแบบกลุ่มร่ วมมือจัดกลุ่มโดยใช้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน ผลการศึกษาพบว่า นักเรี ยนที่เรี ยน
โดยวิธีการสอน 2 วิธีดงั กล่าวมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนดีและสะดวกต่อการเรี ยนรู ้สังคมศึกษาไม่
แตกต่างกันและตามข้อมูลเชิ งคุณภาพจากการสอบถามครู และนักเรี ยนพบว่าการเรี ยนแบบร่ วมมือ
ช่ วยให้นกั เรี ย นเรี ย นรู ้ทาให้นกั เรี ย นมีค วามสนุ กสนานกับการเรี ยนมากจึง ควรนาไปใช้ใ นการ
สอนให้เหมาะสมในการจัดตารางเรี ยนแบบเน้นบล็อกเวลา
สตีลส์ (Steals, 1990 : 1564 อ้างถึงใน แสนประเสริ ฐ ปานเนียม, 2552 : 72) ได้ศึกษา
ด้านการและเขียน โดยใช้ยทุ ธิ วธิ ี การสอนแบบร่ วมมือโดยใช้เทคนิค CIRC กับนักเรี ยนเกรด 9 และ
11 จานวน 81 คน ผลการทดลองพบว่า คะแนนทดสอบมาตรฐานในการอ่านและและเขียนของกลุ่ม
เกรด 9 เป็ นที่น่าพอใจ ส่ วนกลุ่มทดลองในกลุ่มนักเรี ยนเกรด 11 มีคะแนนเพิ่มขึ้นในด้านการอ่าน
คะแนนของกลุ่มควบคุมของนักเรี ยนเกรด 11 ลดลงทั้งการอ่านและการเขียน
62
จากการศึ ก ษางานวิ จยั ทั้ง ในและต่ า งประเทศ สรุ ป ได้ว่า การจัดการเรี ย นรู ้ โดยใช้
รู ปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ ไม่วา่ จะเป็ นเทคนิ ค TAI, CIRC, LT, GI, และ STAD ฯลฯ เป็ น
กิจกรรมการเรี ยนรู ้ที่สามารถส่ งผลให้มีประสิ ทธิ ภาพของแผนและสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนสู งขึ้นและ
ยังส่ งผลให้ผเู ้ รี ยนเกิดความพึงพอใจในการเรี ยนได้ดี รวมทั้งนักเรี ยนสามารถปฏิบตั ิงานกลุ่มร่ วมกัน
อย่างมีประสิ ทธิ ภาพและมีความสุ ขสนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ เป็ นอย่างดียงิ่
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม
สมมุติฐานการวิจัย
บทที่ 3
วิธีดำเนินกำรวิจยั
กลุ่มทดลอง O1 X O2
เมื่อ
O1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรี ยน
O2 หมายถึง การทดสอบหลังเรี ยน
X หมายถึง การสอนโดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ
ขอบเขตของกำรวิจัย
1. ประชำกร
ประชากรได้แก่ นักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ย นบ้านน้ าดา ภาคเรี ยนที่ 1
ปี การศึกษา 2559 จานวน 16 คน
2. ระยะเวลำทีใ่ ช้ ในกำรวิจัย
ผูว้ จิ ยั ได้ดาเนินการทดลองในภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2559
กำรดำเนินกำรวิจัย
เครื่องมือทีใ่ ช้ ในกำรวิจัย
กำรสร้ ำงและหำคุณภำพของเครื่องมือ
1. แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู้
1.1 แผนการจัดการเรี ยนรู้ โดยใช้ รูปแบบการเรี ยนรู้ แบบร่ วมมือ แผนกำรจัดกำรเรี ยนรู้
เรื่ องพยัญชนะและสระ สำระวิชำภำษำมลำยู สำหรับนักเรี ยนชั้นประถมศึกษำปี ที่ 2 โรงเรี ยนบ้ำนน้ ำดำ
โดยใช้รูปแบบกำรเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมือ ผูว้ ิจยั ได้ดำเนิ นกำรสร้ ำงและหำคุ ณภำพตำมลำดับขั้นตอน
ดังนี้
65
ต่ อแผนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ ว่ำมี ประโยชน์ มำก ให้ท้ งั ควำมรู ้ และควำมสนุ กสนำน ใบควำมรู้ มี ภำพ
ประกอบสวยงำมน่ำเรี ยน ตัวหนังสื อชัดเจนอ่ำนง่ำย ส่ วนข้อบกพร่ องมีคำศัพท์ที่นกั เรี ยนไม่เข้ำใจ
ควำมหมำย และไม่คุน้ เคย ผูว้ จิ ยั ได้นำไปแก้ไขแล้ว
1.1.8.3 ทดลองครั้งที่ 3 ขั้นกำรทดลองกลุ่มเสมือน โดยนำแผนกำรจัดกำร
เรี ยนรู ้ ที่ผ่ำนกำรปรั บปรุ งแก้ไขจำกข้อบกพร่ องในกำรทดลองครั้ งที่ 2 ไปทดลองใช้ก บั นักเรี ย น
ชั้นประถมศึกษำปี ที่ 2 โรงเรี ยนพระรำชประสงค์บำ้ นทรำยขำว จำนวน 16 คน
1.1.8.4 ขั้นการทดลองภาคสนามกับกลุ่มเป้ าหมาย โดยนาแผนการจัดการ
เรี ยนรู ้ที่ผา่ นการปรับปรุ งแก้ไขจากข้อบกพร่ องในการทดลองครั้งที่ 3 ไปใช้จริ งกับนักเรี ยนชั้นประถม
ศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนบ้านน้ าดา จานวน 16 คน
แผนการจัด จานวน
เนือ้ หา จุดประสงค์ การเรี ยนรู้
การเรี ยนรู้ ข้ อสอบ
3 สระผสมในภำษำมลำยู - อ่านเขียนสระผสมและคาที่กาหนดได้ 7
อักษรรู มี (Diftong - เขี ย นค ำศัพ ท์ แ ละบอกควำมหมำยจำก
Dalam Bahasa Melayu สระผสมภำษำมลำยูได้
Tulisan Rumi)
4 พยัญชนะผสมในภำษำ - อ่ ำ นเขี ย นพยัญ ชนะผสมและค ำศัพ ท์ ที่ 8
มลำยูอกั ษรรู มี กำหนดได้
(Gugusan Dalam - จำแนกคำที่เป็ นพยัญชนะผสมภำษำมลำยู
Bahasa Melayu รู มีกบั พยัญชนะที่ เป็ นภำษำมลำยูญำวีและ
Tulisan Rumi) ภำษำไทยได้
รวม 30
1. กำรวิเครำะห์ ข้อมูล
การวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้ค่าสถิติ ดังนี้
1. ข้อมูลที่ได้จากการหาคุณภาพของแผนการจัดการเรี ยนการเรี ยนรู้ วิเคราะห์โดยหา
ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC โดยใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกคือ ข้อที่มีค่า ตั้งแต่ 0.60 - 1.00
2. ข้อมูลที่ได้จากการหาคุ ณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนโดยการ
หาความยากง่าย ค่าอานาจจาแนก และค่าความเชื่อมัน่
3. ข้อมูลที่ได้จากการหาคุ ณภาพของแบบวัดความพึงพอใจของนักเรี ยนที่มีต่อการ
จัดการเรี ยนรู้โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ วิเคราะห์โดยค่าเฉลี่ย (µ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
( ) และค่าความเชื่อมัน่
4. ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบสมมุติฐาน วิเคราะห์โดยการทดสอบค่าที t-test
เม.ย.
ของกิจกรรม
เม.ย.
พ.ค.
พ.ค.
มี.ค.
มี.ค.
ก.พ.
ก.ค.
ธ.ค.
ม.ค.
มิ.ย.
มิ.ย.
1. ศึกษาเอกสาร/งานวิจยั ที่
เกี่ยวข้อง
2. ศึกษาประชากร/กลุ่มตัวอย่าง
3. สร้างเครื่ องมือทดลองใช้
ปรับปรุ งแก้ไข
4. เก็บรวบรวมข้อมูล จากกลุ่ม
ตัวอย่าง
5. วิเคราะห์ขอ้ มูลและ แปล
ความหมาย
6. เขียนต้นฉบับวิทยานิพนธ์
7. พิมพ์วทิ ยานิพนธ์เข้าเล่ม
8. เสนอวิทยานิพนธ์
72
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
ขั้นตอนการวิเคราะห์ ข้อมูล
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
แผนการจัด
E1 E2 E1/E2 การแปลผล
การเรี ยนรู้ ที่
1 82.81 82.14 82.81/82.14 มีประสิ ทธิ ภาพสู งกว่าเกณฑ์
2 82.19 81.25 82.19/81.25 มีประสิ ทธิ ภาพสู งกว่าเกณฑ์
3 84.06 83.92 84.06/83.92 มีประสิ ทธิ ภาพสู งกว่าเกณฑ์
4 85.94 82.03 85.94/82.03 มีประสิ ทธิ ภาพสู งกว่าเกณฑ์
รวม 83.75 82.29 83.75/82.29 มีประสิ ทธิ ภาพสู งกว่าเกณฑ์
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ N คะแนนเต็ม µ t
ก่อนเรี ยน 16 30 16.63 1.40 21.13**
หลังเรี ยน 16 30 24.69 1.95
p < 0.01
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัย
อภิปรายผล
ของนักเรี ยนที่เรี ยนด้วยชุ ดการสอนแบบร่ วมมือ มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนสู งกว่าก่อนเรี ยน อย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ความสามารถในการทางานร่ วมกันของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษา
ปี ที่ 6 ที่เรี ยนด้วยชุ ดการสอนแบบร่ วมมื อ มีพฤติกรรมในการทางานร่ วมกันอยู่ในระดับดีมาก 3)
ความคิดของนักเรี ยนเห็นต่อการเรี ยนการสอนด้วยชุดการสอนแบบร่ วมมือ อยูใ่ นระดับดีมาก
3. ระดับความพึงพอใจของนักเรี ยนที่มีต่อการจัดการเรี ยนรู ้ โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบ
ร่ วมมือ พบว่า โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับมาก แสดงว่า นักเรี ยนพอใจกับวิธีการเรี ยนโดยใช้รูปแบบ
การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ เนื่ องจาก การเรี ยนรู ้โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ เป็ นการจัดกิจกรรม
การเรี ยนการสอนที่เน้นการทางานกลุ่ม ส่ งผลให้ผเู ้ รี ยนมีความสนใจ และกระตุน้ ความสนใจของผูเ้ รี ยน
ได้ดี ช่ วยให้นกั เรี ยนกระตือรื อร้นและมีความช่วยเหลือซึ่ งกันและกัน ทาให้ผเู้ รี ยนมีความสนุ กสนาน
ในการเรี ยนและมีความพึงพอใจในการเรี ยนมากยิง่ ขึ้น ซึ่ งสอดคล้องกับงานวิจยั ของปาริ ชาติ นุ ริศกั ดิ์
(2551 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาแผนการจัดการเรี ยนรู้ภาษาไทย เรื่ องการอ่านเชิ งวิเคราะห์โดยใช้แบบฝึ ก
ทักษะประกอบการจัดกิจกรรมด้วยกลุ่มร่ วมมือแบบ STAD ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 ผลการวิจยั พบว่า
1) แผนการจัดการเรี ยนรู ้และแบบฝึ กทักษะการอ่านเชิ งวิเคราะห์ประกอบกิจกรรมด้วยกลุ่มร่ วมมือแบบ
STAD ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 มีประสิ ทธิ ภาพเท่ากับ 89.05/87.70 ซึ่ งสู งกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ต้ งั ไว้ 2)
มีค่าดัชนีประสิ ทธิ ผลของแผนการจัดการเรี ยนรู ้เท่ากับ 0.7210 หมายความว่า นักเรี ยนมีความก้าวหน้า
ทางการเรี ยนรู ้เพิม่ ขึ้น ร้อยละ 72.10 และ 3) นักเรี ยนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรี ยนด้วยแผนการจัด
การเรี ยนรู ้ การอ่านเชิ งวิเคราะห์ โดยใช้แบบฝึ กทักษะประกอบกิ จกรรมด้วยกลุ่มร่ วมมือแบบ STAD
โดยรวมอยูใ่ นระดับมาก
เมื่ อพิจารณาประเด็นความพึงพอใจของนักเรี ยนต่อการจัดการเรี ยนรู ้ โดยใช้รูปแบบ
การเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมือ เรื่ องพยัญชนะและสระ โดยภาพรวมอยู่ในระดับความพึงพอใจระดับมาก
เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยรายข้อ นักเรี ยนมีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมากที่สุดและระดับมากที่สุดเท่ากัน
คือ นักเรี ยนชอบเรี ยนวิชาภาษามลายูโดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมือและกิจกรรมการจัดการ
เรี ยนรู ้ โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมื อทาให้นกั เรี ยนมีความช่ วยเหลื อซึ่ งกันและกัน (µ= 4.69)
รองลงมาคือ สื่ อการเรี ยนการสอนมีความเหมาะสมในการเรี ยนรู้ (µ = 4.63 และ µ = 4.56 ตามลาดับ)
และประเด็นที่ นักเรี ยนมี ความพึ งพอใจต่ าที่ สุ ด คื อ บรรยากาศในห้องเรี ยนท าให้นักเรี ยนมี ความ
กระตือรื อร้นในการเรี ยน ( µ= 3.75)
80
ข้ อเสนอแนะ
ข้ อเสนอแนะในการนาแผนการจัดการเรียนรู้ ไปใช้
1. รู ปแบบการจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ สามารถทาให้นกั เรี ยนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน
สู ง ขึ้ น และนักเรี ย นมี ค วามพึ ง พอใจต่ อกิ จกรรมการเรี ย นรู ้ อยู่ใ นระดับมาก แสดงความคิ ดเห็ น
มี โอกาสท ากิ จกรรมร่ วมกับ กลุ่ ม เพื่ อนในหลายๆ ด้า น ส่ ง เสริ ม ให้นัก เรี ย นเกิ ด การเรี ย นรู ้ และ
มีทกั ษะกระบวนการคิ ดที่ หลากหลาย ดังนั้น จึ งควรส่ งเสริ มกิ จกรรมอย่างนี้ อย่างต่อเนื่ อง ซึ่ งจะ
ส่ งผลไปยังการเรี ยนรู ้ที่สูงขึ้นต่อไป
2. การดาเนิ นกิจกรรมการสอน ครู ผสู ้ อนควรคานึ งถึงความแตกต่างและความสามารถ
ของนักเรี ยนแต่ละคน ควรให้มีการแบ่งกลุ่มนักเรี ยนที่มีความสามารถต่างกัน เช่น นักเรี ยนเก่ง ปาน
กลาง และอ่อน ให้อยู่กลุ่มเดี ยวกัน โดยให้นักเรี ยนที่ เรี ยนเก่ง หรื อปานกลาง ช่ วยสอนนักเรี ยนที่
อ่อน เพื่อให้นกั เรี ยนที่อ่อนมีกาลังใจในการเรี ยนมากขึ้น
3. ครู ควรส่ งเสริ มให้นกั เรี ยนทุกคนได้มีโอกาสแสดงบทบาทเป็ นผูน้ าและผูต้ ามที่ดี เพื่อให้
สามารถทางานกลุ่มได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพและให้นกั เรี ยนทุ กคนได้แสดงความคิ ดเห็ นในฐานะ
สมาชิกของกลุ่มและสามารถอภิปรายร่ วมกับสมาชิกคนอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสม
ข้ อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่ อไป
1. ควรมีการพัฒนาแผนโดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู้แบบร่ วมมือไปประยุกต์ใช้ในกลุ่มสาระ
การเรี ยนรู ้อื่นๆ เช่น ในกลุ่มสาระภาษาอาหรับ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ฯลฯ เป็ นต้น
2. ควรมีการพัฒนาแผนโดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมือ โดยเพิ่มทักษะการอ่าน
การเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห์ ในการกิจกรรมกลุ่ม
3. ควรมีการพัฒนาแผนโดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ โดยการบูรณาการทักษะ
การอ่าน การเขียนภาษามลายูอกั ษรรู มี กับภาษาอังกฤษ
4. ควรมีการพัฒนาและปรับเนื้ อหาให้มีความหลากหลาย และสื่ อการเรี ยนรู้ให้มีความ
น่าสนใจมากกว่านี้ เพื่อให้นกั เรี ยนมีความกระตือรื อร้นในการเรี ยนมากยิง่ ขึ้น
82
บรรณานุกรม
83
บรรณานุกรม
บรรณานุกรม (ต่ อ)
ธานิ น ทร์ ศิ ล ป์ จารู . (2551). การวิ จั ย และวิ เ คราะห์ ข้ อ มู ล ทางสถิ ติ ด้ ว ย SPSS. พิ ม พ์ค รั้ งที่ 9.
กรุ งเทพฯ : บิสซิ เนสอาร์แอนด์ดี.
นพพร ธนะชัยขันธ์ . (2557). สถิ ติเบื้องต้ นสาหรั บ การวิจัย : ฉบับ เสริ ม การวิเคราะห์ ข้อ มู ลด้ ว ย
โปรแกรม Excel = Basic statistics for research. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุ งเทพฯ : วิทยพัฒน์.
บัญญัติ ชานาญกิจ (2557). การจัดการเรียนรู้ แบบร่ วมมือ. [Online], Available :
http://www.lit.ac.th/kmlearning/articleview.php?aid=560003&pn=1 [2558 พฤษภาคม 1]
บุญใจ ศรี สถิตย์นรากูร. (2555). การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพเครื่ องมือวิจัย : คุณสมบัติการวัด
เชิงจิตวิทยา. กรุ งเทพฯ : สานักพิมพ์แห่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บุญชม ศรี สะอาด. (2553). การวิจัยเบือ้ งต้ น. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุ งเทพฯ : สุ วรี ิ ยสาสน์.
ปาริ ชาติ นุ ริศกั ดิ์. (2551). การพัฒนาการอ่ านเชิ งวิเคราะห์ โดยใช้ แบบฝึ กทักษะประกอบการจัดกิจกรรม
ด้ วยกลุ่มร่ วมมือแบบ STAD ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4. การศึกษาค้นคว้าอิสระ ปริ ญญาการศึกษา
มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ประสาท เนื องเฉลิม. (2556). วิจัยการเรียนการสอน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุ งเทพฯ : สานักพิมพ์แห่ ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประเสริ ฐ เย็นประสิ ทธิ์ . (2557). สมุดภาพคาศัพท์ อาเซียน : มลายู. กรุ งเทพฯ : สถาพรบุค๊ ส์ จากัด.
ปั ณฑิตา สุ กดา, นพเก้า ณ พัทลุง และอมลวรรณ วีระธรรมโม. (2556) .ผลการจัดการเรี ยนรู้ แบบร่ วมมือ
เทคนิค CIRC ร่ วมกับการใช้ ผังกราฟิ กที่มีต่อการอ่ านจับใจความภาษาไทยและการเขียน
สรุ ปความของนักเรี ยนชั้ นประถมศึกษาปี ที่ 3. ในการวิจยั เพื่อพัฒนาสังคมไทย.วันที่ 10
พฤษภาคม 2556 (หน้า 494). สงขลา : มหาวิทยาลัยทักษิณ.
ปิ ลันธนา โต๊ะสิ งห์. (2553). ผลการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้ ภาษาไทยชั้ นประถมศึกษาปี ที่ 5 เรื่องคา
ควบกลา้ รลว โดยการจัดการเรี ยนรู้ แบบร่ วมมือเทคนิค LT ประกอบแบบฝึ กทักษะ.
วิทยานิพนธ์ ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสู ตรและการสอน มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม.
พรรณี ลีกิจวัฒนะ. (2554). วิธีการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุ งเทพฯ : คณะครุ ศาสตร์
พิชิต ฤทธิ์ จรู ญ. (2550). หลักการวัดและประเมินผลทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุ งเทพฯ : เฮ้าส์
ออฟเคอร์มิสท์.
พิสณุ ฟองศรี . (2552). วิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุ งเทพฯ : พรอพเพอร์ ต้ ีพริ้ น.
85
บรรณานุกรม (ต่ อ)
บรรณานุกรม (ต่ อ)
สมจิต ขันธุ ปัทม์. (2553). ผลการจั ดการเรี ยนรู้ สาระภูมิศาสตร์ เรื่ องแผนที่ช้ ั นมัธยมศึ กษาปี ที่ 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดยใช้ กจิ กรรมกลุ่มร่ วมมือเทคนิค
GI. การศึกษาค้นคว้าอิสระ ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสู ตรและการสอน
มหาวิทยาลัย มหาสารคาม.
สมจิตร เดชครอบ. (2552). การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้ ด้วยกลุ่มร่ วมมือแบบ TAI เรื่ อง
ประโยคกลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ภาษาไทย ชั้ นประถมศึ กษาปี ที่ 2. การศึกษาค้นคว้าอิสระ
ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสู ตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สมถวิล วิจิตรวรรณา และคณะ. (2556). การวิจัยเพือ่ พัฒนาการเรียนการสอน. กรุ งเทพฯ : เจริ ญดีมนั่ คง.
สมนึก ภัททิยธนี. (2551). การวัดผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กาฬสิ นธุ์ : ประสานการพิมพ์.
สมบัติ การจนารักพงค์. (2549). นวัตกรรมการศึ กษา ชุ ดคู่มือการประเมินทักษะการคิด ตามหลักสู ตร
การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2554. กรุ งเทพฯ : ชีเอ็ดยูเคชัน่ .
สันติ บุญภิรมย์. (2553). การบริหารงานวิชาการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ : ไทยร่ มเกล้ า.
สาลี รักสุ ทธี. (2553). คู่มือการจัดทาสื่ อนวัตกรรมและแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบสื่ อนวัตกรรม.
กรุ งเทพฯ : สานักพิมพ์พฒั นาศึกษา.
สุ กญั ญา จันทร์ แดง. (2556, พฤษภาคม-สิ งหาคม). ผลการจัดการเรี ยนด้ วยชุ ดการสอนแบบร่ วมมือ
ที่มีต่อผลสั มฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการทางานร่ วมกัน วิชาวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6. วารสารวิชาการ. 6 (2) : 567
สุ คนธ์ สิ นธพานนท์ และคณะ. (2552). การจัดกระบวนการเรี ยนรู้ : เน้ นผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ. กรุ งเทพฯ :
อักษรเจริ ญทัศน์.
สุ คนธ์ สิ นธพานนท์ และจินตนา วีรเกียติสุนทร. (2556). การจัดการเรี ยนรู้ ของครู ยุคใหม่ ...............
สู่ ประชาคมอาเซียน. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุ งเทพฯ : เทคนิคพริ้ นติ้ง.
สุ ณี ตีเวียง. (2553) การพัฒนาความสามารถด้ านการอ่ านเชิ งวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ภาษาไทย
ชั้ นประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใช้ กิจกรรมกลุ่มร่ วมมือแบบ NHT. การศึกษาค้นคว้าอิสระ
ปริ ญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสู ตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สุ วิท ย์ มูลคา และคณะ. (2551). การเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู้ ที่เน้ นการคิด . พิม พ์ค รั้ งที่ 3.
กรุ งเทพฯ : ภาพพิมพ์.
87
บรรณานุกรม (ต่ อ)
ภาคผนวก
89
ภาคผนวก ก
สถิตทิ ี่ใช้ ในการวิจัย
90
สถิติทใี่ ช้ ในการวิจัย
1
n 1 St2
µ=
F
E2 n 100
B
t
D
n D D
2 2
n 1
เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่ได้จากการเปรี ยบเทียบค่าวิกฤตเพื่อทราบ
ความเป็ นนัยสาคัญ
D แทน ค่าผลต่างระหว่างคู่คะแนน
n แทน จานวนกลุ่มตัวอย่างหรื อจานวนคู่คะแนน
94
ภาคผนวก ข
ค่ า IOC ในการวิจัย
95
คะแนนการประเมินของผู้เชี่ ยวชาญ
ข้ อที่ ∑ ค่ า IOC ความหมาย
คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3
1 +1 0 +1 2 0.6 ใช้ได้
2 0 +1 +1 2 0.6 ใช้ได้
3 +1 +1 +1 3 1.0 ใช้ได้
4 +1 +1 +1 3 1.0 ใช้ได้
5 +1 +1 +1 3 1.0 ใช้ได้
97
คะแนนการประเมินของผู้เชี่ ยวชาญ
ข้ อที่ ∑ ค่ า IOC ความหมาย
คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3
6 +1 +1 +1 3 1.0 ใช้ได้
7 +1 0 +1 2 0.6 ใช้ได้
8 +1 +1 0 2 0.6 ใช้ได้
9 +1 +1 +1 3 1.0 ใช้ได้
10 +1 +1 +1 3 1.0 ใช้ได้
ภาคผนวก ค
เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย
99
แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ 1
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ย 1 รู้และเข้าใจกระบวนการฟั งพูดอ่านและเขียนมีทกั ษะและเห็นคุณค่าในการใช้ภาษามลายู
เพื่อการเรี ยนรู ้ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและการสื่ อสารอย่างสร้างสรรค์
2. ตัวชี้วดั
1. ออกเสี ยงพยัญชนะสระและบอกความหมายคาศัพท์ที่กาหนด
2. อ่านเขียนพยัญชนะสระและคาที่กาหนด
3. สาระสาคัญ
พยัญชนะ เป็ นรากฐานและเป็ นหัวใจสาคัญในการเริ่ มต้นการเรี ยนรู้ เพื่อให้นกั เรี ยนรู้จกั
พยัญชนะนาไปสู่ การอ่านออกและเขียนได้ ซึ่ งพยัญชนะภาษามลายูอกั ษรรู มี มีท้ งั หมด 26 ตัว มีท้ งั
ตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
5. สาระการเรี ยนรู้
1. พยัญชนะในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Huruf-huruf Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
มีท้ งั หมด 26 ตัว ได้แก่ A, B, C, D, E, F, G, H, I, J, K, L, M, N, O, P, Q, R, S, T, U, V, W, X, Y, และ Z
2. เรี ยนรู้พยางค์ปิด (suku kata tertutup) และพยางค์เปิ ด (suku kata terbuka)
2.1 พยางค์ปิด (suku kata tertutup) คือ พยางค์ที่มีพยัญชนะอยูส่ ่ วนท้ายของคา ตัวอย่างเช่น
Pen, Cat, Bas เป็ นต้น
2.2 พยางค์เปิ ด (suku kata terbuka) คือ พยางค์ที่มีสระอยูส่ ่ วนท้ายของคา ตัวอย่างเช่น
Ibu, Kami, Saya เป็ นต้น
100
7. ผลงาน/ภาระงานของผู้เรียน
1. ผลงาน : ใบงานการทางานกลุ่มหรื อรายบุคคล
2. ภาระงาน : การนาเสนอเป็ นกลุ่มหรื อรายบุคคล
9. การวัดและประเมินผล
9.1 การวัด
จุดประสงค์ การเรี ยนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ นา้ หนักคะแนน
1. อ่านออกเสี ยงและเขียน - ประเมิ น กิ จ กรรม - แบบประเมิ น กิ จ กรรม 10 คะแนน
พยัญชนะภาษามลายูอกั ษร การมี ส่ วนร่ วมใน การมีส่วนร่ วมในการทางาน
รู มี ทั้ง 26 ตัว ได้ถูกต้อง การทางานกลุ่ม กลุ่มจากใบงานที่ 1
2. จาแนกและแยกแยะได้ - ทดสอบ - ใบงานที่ 2 10 คะแนน
ระหว่า งพยางค์ปิ ดและ
พยางค์เปิ ด
รวม 20 คะแนน
102
ลงชื่อ..........................................................
( )
ตาแหน่ง ผูอ้ านวยการโรงเรี ยน
......../........../.................
บันทึกหลังการสอน
ปัญหา/อุปสรรค
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
แนวทางแก้ไข
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
ลงชื่อ.............................................(ผูส้ อน)
(นางสาวอารี นา หะยีเตะ)
ตาแหน่ง...................................................
......../........../.................
104
ใบความรู้
Bb Dd
Aa Cc Ee
Ff Hh Ii
Gg Hh
Jj Ll Mm Oo
Kk
Pp Rr Tt
Qq Ss
Uu Vv Ww Yy Zz
ชื่อ................................................นามสกุล........................................เลขที่...............กลุ่มที่........
105
ใบงาน
เรื่อง พยัญชนะในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Huruf-huruf Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
D
A E
L N
Q T
U
X
ชื่อ..................................................นามสกุล.......................................เลขที่...............กลุ่มที่........
106
ใบความรู้
เรื่อง พยางค์ ปิด (Suku Kata Tertutup) และพยางค์ เปิ ด (Suku Kata Terbuka)
ชื่อ.................................................นามสกุล.........................................เลขที่...............กลุ่มที่........
107
ใบงาน
เรื่อง พยางค์ ปิด (Suku Kata Tertutup) และพยางค์ เปิ ด (Suku Kata Terbuka)
ชื่อ...................................................นามสกุล...........................................เลขที่............กลุ่มที่........
108
แบบประเมินกิจกรรมการมีส่วนร่ วมในการทางานกลุ่ม
กลุ่มที่.....................................
สมาชิกภายในกลุ่ม
1. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล............................................เลขที่……….
2. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล..............................................เลขที่……….
3. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล..............................................เลขที่……….
4. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล..............................................เลขที่……….
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
5 4 3 2 1
ด้านการอ่าน
1. อ่านได้ถูกต้อง
2. อ่านได้คล่อง
3. อ่านได้ครบถ้วน
ด้านการเขียน
1. เขียนได้ถูกต้อง
2. เขียนได้ครบถ้วน
3. เขียนได้สวยงาม เรี ยบร้อย
ด้านการทางานเป็ นกลุ่ม
1. มีความสามัคคีในการทางานกลุ่ม
2. มีส่วนร่ วมในการแสดงความคิดเห็น
3. กระตือรื อร้นและมีน้ าใจช่วยเหลือสมาชิกในกลุ่ม
4. รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
ระดับคะแนน
5 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ มากที่สุด
4 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ มาก
3 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ ปานกลาง
2 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ น้อย
1 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ น้อยที่สุด
เกณฑ์ คะแนน
ช่ วงคะแนน ระดับคุณภาพ
8-10 ดี
5-7 ปานกลาง
ต่ากว่า ปรับปรุ ง
110
แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ 2
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ย 1 รู้และเข้าใจกระบวนการฟั งพูดอ่านและเขียนมีทกั ษะและเห็นคุณค่าในการใช้ภาษามลายู
เพื่อการเรี ยนรู ้ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและสื่ อสารอย่างสร้างสรรค์
2. ตัวชี้วดั
1. ออกเสี ยงพยัญชนะ สระ และบอกความหมายคาศัพท์ที่กาหนด
2. อ่านเขียนพยัญชนะ สระ และคาที่กาหนด
3. สาระสาคัญ
พยัญชนะและสระ เป็ นรากฐานและเป็ นหัวใจสาคัญในการเริ่ มต้นการเรี ยนรู ้ เพื่อให้
นักเรี ยนรู ้จกั พยัญชนะและสระนาไปสู่ การอ่านออกและเขียนได้ ซึ่ งสระ ในภาษามลายู มีท้ งั หมด 5 รู ป
ได้แก่ (A E I O U)
5. สาระการเรี ยนรู้
1. เรี ยนรู ้การอ่านออกเสี ยงพยัญชนะร่ วมกับสระในภาษามลายูอกั ษรรู มี เช่น BA, BE, BI,
BO, BU, CA, CE, CI, CO, CU ฯลฯ
2. อ่านเขียนพยัญชนะร่ วมกับสระในภาษามลายูอกั ษรรู มี เช่น Baju, Kayu, Madu เป็ นต้น
7. ผลงาน/ภาระงานของผู้เรียน
1. ผลงาน : ใบงาน สมุดบันทึก
2. ภาระงาน : การนาเสนอและทาใบงานเป็ นกลุ่มหรื อรายบุคคล
ชั่วโมงที่ 2
5. ครู ทบทวนความรู ้เดิมพร้อมกับทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจจากใบความรู ้ที่ได้
เรี ยนรู ้จากชัว่ โมงที่ผา่ นมา โดยทดสอบการอ่านเป็ นกลุ่ม จากนั้นครู แจกใบงานโดยนักเรี ยนทาเป็ น
รายบุคคล
ขั้นที่ 4 ขั้นสรุ ปบทเรียนและประเมินผล
1. ครู และนักเรี ยนร่ วมกันสรุ ปสาระสาคัญของบทเรี ยนและอธิ บายเพิ่มเติมในส่ วน
ที่นกั เรี ยนยังไม่เข้าใจ
2. ครู และนักเรี ยนตรวจสอบความถูกต้องของใบงาน พร้อมประเมินผลการจัดการเรี ยน
การสอนตามสภาพความเป็ นจริ ง เช่น การประเมินกิจกรรมการมีส่วนร่ วมในการทางานกลุ่ม การรวบรวม
ข้อมูลจากใบงานหรื อกิจกรรมการเรี ยนของผูเ้ รี ยน
3. ร่ วมกันอ่านดุอาอหลังเรี ยนและอ่านซูเราะฮฺอลั อัสรี
9. การวัดและประเมินผล
9.1 การวัด
4. จุดประสงค์ การเรี ยนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ นา้ หนัก
คะแนน
1. อ่านออกเสี ยงพยัญชนะ - ประเมิ น กิ จ กรรม - แบบประเมิ นกิ จกรรมการ 10 คะแนน
ร่ วมกับ สระภาษามลายูไ ด้ การมี ส่ วนร่ วมใน มีส่วนร่ วมในการทางานกลุ่ม
ถูกต้อง การ ทางานกลุ่ม
2. อ่านเขียนพยัญชนะร่ วม - ทดสอบ - ใบงาน 10 คะแนน
กับสระและคาที่กาหนดได้
รวม 20 คะแนน
ลงชื่อ..........................................................
( )
ตาแหน่ง ผูอ้ านวยการโรงเรี ยน
......../........../.................
บันทึกหลังการสอน
ปัญหา/อุปสรรค
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
แนวทางแก้ไข
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
ลงชื่อ.............................................(ผูส้ อน)
( นางสาวอารี นา หะยีเตะ)
ตาแหน่ง...................................................
......../........../.................
114
ใบความรู้
เรื่อง สระในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Vokal Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
Vokal Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi Ada 5 Huruf (A,E,I,O,U)
A E I O U
B BA BE BI BO BU
C CA CE CI CO CU
D DA DE DI DO DU
F FA FE FI FO FU
G GA GE GI GO GU
H HA HE HI HO HU
J JA JE JI JO JU
K KA KE KI KO KU
L LA LE LI LO LU
M MA ME MI MO MU
N NA NE NI NO NU
P PA PE PI PO PU
Q QA QE QI QO QU
R RA RE RI RO RU
S SA SE SI SO SU
T TA TE TI TO TU
V VA VE VI VO VU
W WA WE WI WO WU
X XA XE XI XO XU
Y YA YE YI YO YU
Z ZA ZE ZI ZO ZU
ชื่อ..................................................นามสกุล.........................................เลขที่..............กลุ่มที่.........
115
ใบงาน
เรื่อง สระในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Vokal Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
__U __ A
BAJU _ _ _ _ K__ __U
_ _ _ _ _ _ _ _
B__L__ T__L__
_ _ _ _ _ _ _ _
ชื่อ.................................................นามสกุล.........................................เลขที่...............กลุ่มที่........
116
แบบประเมินกิจกรรมการมีส่วนร่ วมในการทางานกลุ่ม
กลุ่มที่.....................................
สมาชิกภายในกลุ่ม
1. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
2. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
3. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
4. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
5 4 3 2 1
ด้านการอ่าน
1. อ่านได้ถูกต้อง
2. อ่านได้คล่อง
3. อ่านได้ครบถ้วน
ด้านการเขียน
1. เขียนได้ถูกต้อง
2. เขียนได้ครบถ้วน
3. เขียนได้สวยงาม เรี ยบร้อย
ด้านการทางานเป็ นกลุ่ม
1. มีความสามัคคีในการทางานกลุ่ม
2. มีส่วนร่ วมในการแสดงความคิดเห็น
3. กระตือรื อร้นและมีน้ าใจช่วยเหลือสมาชิกในกลุ่ม
4. รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
ระดับคะแนน
5 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ มากที่สุด
4 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ มาก
3 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ ปานกลาง
2 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ น้อย
1 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ น้อยที่สุด
เกณฑ์ คะแนน
ช่ วงคะแนน ระดับคุณภาพ
8-10 ดี
5-7 ปานกลาง
ต่ากว่า ปรับปรุ ง
118
แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ 3
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ย 1 รู้และเข้าใจกระบวนการฟังพูดอ่านและเขียนมีทกั ษะและเห็นคุณค่าในการใช้ภาษามลายู
เพื่อการเรี ยนรู ้ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและสื่ อสารอย่างสร้างสรรค์
2. ตัวชี้วดั
1. ออกเสี ยงพยัญชนะสระและบอกความหมายคาศัพท์ที่กาหนด
2. อ่านเขียนพยัญชนะสระและคาที่กาหนด
3. สาระสาคัญ
พยัญชนะและสระ เป็ นรากฐานและเป็ นหัวใจสาคัญในการเริ่ มต้นการเรี ยนรู ้ เพื่อให้
นักเรี ยนรู ้จกั พยัญชนะนาไปสู่ การอ่านออกและเขียนได้
5. สาระการเรียนรู้
1. เรี ยนรู้สระผสมในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Diftong Dalam Bahasa Melayu Tulisan
Rumi) ai, au, oi ได้
2. เรี ยนรู้คาศัพท์และบอกความหมายคาศัพท์จากสระผสมในภาษามลายูอกั ษรรู มีได้
7. ผลงาน/ภาระงานของผู้เรียน
1. ผลงาน : ใบงานการทางานกลุ่มหรื อรายบุคคล
2. ภาระงาน : การนาเสนอและทาใบงานเป็ นกลุ่มหรื อรายบุคคล
9. การวัดและประเมินผล
9.1 การวัด
จุดประสงค์ การเรี ยนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ นา้ หนักคะแนน
1. อ่านเขียนสระผสมและ - ประเมิ น กิ จ กรรม - แบบประเมินกิจกรรมการ 10 คะแนน
คาที่กาหนดได้ การมี ส่ วนร่ วมใน มี ส่ วนร่ วมในการท างาน
การทางานกลุ่ม กลุ่ม
2. เขี ย นค าศัพ ท์แ ละบอก - ทดสอบ - ใบงาน 10 คะแนน
ความหมายจากสระผสม
ภาษามลายูได้
รวม 20 คะแนน
ลงชื่อ..........................................................
( )
ตาแหน่ง ผูอ้ านวยการโรงเรี ยน
......../........../.................
บันทึกหลังการสอน
ปัญหา/อุปสรรค
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
แนวทางแก้ไข
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
ลงชื่อ.............................................(ผูส้ อน)
( นางสาวอารี นา หะยีเตะ)
ตาแหน่ง...................................................
......../........../.................
122
ใบความรู้
เรื่อง สระผสมในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Diftong Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
ai au oi
au aurat pulau
…
ชื่อ..................................................นามสกุล.........................................เลขที่..............กลุ่มที่.........
123
ใบงาน
เรื่อง สระผสมในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Diftong Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
.………. Kedai
.………. Pisau
Kedai Pulau
.………. Hijau
.………. Tupai
.………. Kerbau
ชื่อ..................................................นามสกุล.........................................เลขที่..............กลุ่มที่.........
124
แบบประเมินกิจกรรมการมีส่วนร่ วมในการทางานกลุ่ม
กลุ่มที่.....................................
สมาชิกภายในกลุ่ม
1. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล............................................เลขที่……….
2. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
3. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
4. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
5 4 3 2 1
ด้านการอ่าน
1. อ่านได้ถูกต้อง
2. อ่านได้คล่อง
3. อ่านได้ครบถ้วน
ด้านการเขียน
1. เขียนได้ถูกต้อง
2. เขียนได้ครบถ้วน
3. เขียนได้สวยงาม เรี ยบร้อย
ด้านการทางานเป็ นกลุ่ม
1. มีความสามัคคีในการทางานกลุ่ม
2. มีส่วนร่ วมในการแสดงความคิดเห็น
3. กระตือรื อร้นและมีน้ าใจช่วยเหลือสมาชิกในกลุ่ม
4. รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
ระดับคะแนน
5 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ มากที่สุด
4 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ มาก
3 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ ปานกลาง
2 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ น้อย
1 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ น้อยที่สุด
เกณฑ์ คะแนน
ช่ วงคะแนน ระดับคุณภาพ
8-10 ดี
5-7 ปานกลาง
ต่ากว่า ปรับปรุ ง
126
แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ 4
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ย 1 รู้และเข้าใจกระบวนการฟั งพูดอ่านและเขียนมีทกั ษะและเห็นคุณค่าในการใช้ภาษามลายู
เพื่อการเรี ยนรู ้ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและสื่ อสารอย่างสร้างสรรค์
2. ตัวชี้วดั
1. ออกเสี ยงพยัญชนะสระและบอกความหมายคาศัพท์ที่กาหนด
2. อ่านเขียนพยัญชนะสระและคาที่กาหนด
3. สาระสาคัญ
พยัญชนะและสระ เป็ นรากฐานและเป็ นหัวใจสาคัญในการเริ่ มต้นการเรี ยนรู ้ เพื่อให้
นักเรี ยนรู ้จกั พยัญชนะนาไปสู่ การอ่านออกและเขียนได้
5. สาระการเรี ยนรู้
1. เรี ยนรู้คาที่เป็ นพยัญชนะผสมในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Gugusan Dalam Bahasa Melayu
Tulisan Rumi) gh sy kh ny ng
2. เรี ยนรู้คาที่เป็ นพยัญชนะผสมภาษามลายูอกั ษรู มีกบั พยัญชนะที่เป็ นภาษามลายูอกั ษรญาวี
และภาษาไทยได้
127
7. ผลงาน/ภาระงานของผู้เรียน
1. ผลงาน : ใบงานการทางานกลุ่มหรื อรายบุคคล
2. ภาระงาน : การนาเสนอและทาใบงานเป็ นกลุ่มหรื อรายบุคคล
ชั่วโมงที่ 2
6. ครู ทบทวนความรู ้เดิมพร้อมกับทดสอบความรู้เดิมเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
นักเรี ยนจากใบความรู ้ที่ได้เรี ยนรู ้จากชัว่ โมงที่ผา่ นมา โดยการตั้งคาถามให้นกั เรี ยนตอบคาถามเป็ นกลุ่ม
จากนั้นครู แจกใบงานโดยนักเรี ยนทาเป็ นรายบุคคล
ขั้นที่ 4 ขั้นสรุ ปบทเรียนและประเมินผล
1. ครู และนักเรี ยนร่ วมกันสรุ ปสาระสาคัญของบทเรี ยนและอธิ บายเพิ่มเติมในส่ วน
ที่นกั เรี ยนยังไม่เข้าใจ
2. ครู และนักเรี ยนตรวจสอบความถูกต้องของใบงาน พร้อมประเมินผลการจัดการ
เรี ยนการสอนตามสภาพความเป็ นจริ ง เช่ น การประเมินกิ จกรรมการมีส่วนร่ วมในการทางานกลุ่ม
การรวบรวมข้อมูลจากใบงานหรื อกิจกรรมการเรี ยนของผูเ้ รี ยน
3. ร่ วมกันอ่านดุอาอหลังเรี ยนและอ่านซูเราะฮฺอลั อัสรี
9. การวัดและประเมินผล
9.1 การวัด
จุดประสงค์ การเรี ยนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ นา้ หนักคะแนน
1. อ่านเขียนพยัญชนะผสม - ประเมิ น กิ จ กรรม - แบบประเมิ นกิ จกรรม 10 คะแนน
และคาศัพท์ที่กาหนดได้ การมี ส่ วนร่ วมในการ การมี ส่ ว นร่ ว มในการ
ทางานกลุ่ม ทางานกลุ่ม
2. จาแนกคาที่เป็ นพยัญชนะ - ทดสอบ - ใบงาน 10 คะแนน
ผสมภาษามลายูรูมีกบั ภาษา
มลายูญาวีและภาษาไทยได้
รวม 20 คะแนน
ลงชื่อ..........................................................
( )
ตาแหน่ง ผูอ้ านวยการโรงเรี ยน
......../........../.................
บันทึกหลังการสอน
ปัญหา/อุปสรรค
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
แนวทางแก้ไข
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
ลงชื่อ.............................................(ผูส้ อน)
( นางสาวอารี นา หะยีเตะ)
ตาแหน่ง...................................................
......../........../.................
130
ใบความรู้
เรื่อง พยัญชนะผสมในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Gugusan Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
Gh Sy Kh Ny Ng
A E I O U
ชื่อ..................................................นามสกุล.........................................เลขที่..............กลุ่มที่.........
131
ใบงาน
เรื่อง พยัญชนะผสมในภาษามลายูอกั ษรรู มี (Gugusan Dalam Bahasa Melayu Tulisan Rumi)
/ง / /
/ / /
/ / /
ชื่อ..................................................นามสกุล.........................................เลขที่..............กลุ่มที่.........
132
แบบประเมินกิจกรรมการมีส่วนร่ วมในการทางานกลุ่ม
กลุ่มที่.....................................
สมาชิกภายในกลุ่ม
1. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล............................................เลขที่……….
2. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
3. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
4. ชื่อ…………………………………………..นามสกุล.............................................เลขที่……….
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
5 4 3 2 1
ด้านการอ่าน
1. อ่านได้ถูกต้อง
2. อ่านได้คล่อง
3. อ่านได้ครบถ้วน
ด้านการเขียน
1. เขียนได้ถูกต้อง
2. เขียนได้ครบถ้วน
3. เขียนได้สวยงาม เรี ยบร้อย
ด้านการทางานเป็ นกลุ่ม
1. มีความสามัคคีในการทางานกลุ่ม
2. มีส่วนร่ วมในการแสดงความคิดเห็น
3. กระตือรื อร้นและมีน้ าใจช่วยเหลือสมาชิกในกลุ่ม
4. รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
ระดับคะแนน
5 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ มากที่สุด
4 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ มาก
3 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ ปานกลาง
2 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ น้อย
1 หมายถึง คะแนนอยูใ่ นระดับ น้อยที่สุด
เกณฑ์ คะแนน
ช่ วงคะแนน ระดับคุณภาพ
8-10 ดี
5-7 ปานกลาง
ต่ากว่า ปรับปรุ ง
134
แบบทดสอบก่ อนเรียนและหลังเรียน
สาระวิชาภาษามลายู เรื่องพยัญชนะและสระ
ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนนา้ ดา
คำอธิบำย
1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน เป็ นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ
3 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ 30 คะแนน
2. เขียนชื่อ-นามสกุล เลขที่นงั่ สอบ ในกระดาษคาตอบ
3. ในการตอบให้ใช้ดินสอ ทาเครื่ องหมาย × ในกระดาษคาตอบในตัวเลื อก
ที่ถูกต้องที่สุดเพียงคาตอบเดียว
135
แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
สาระวิชาภาษามลายู เรื่องพยัญชนะและสระ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนนา้ ดา
5. Huruf selepas (E) ialah? 10. Lihat gambar manakah bacaan yang betul?
A. H A. batu
B. I B. baju
C. F C. kayu
136
11. Lihat gambar manakah tulisan yang betul? 17. Cari huruf diftong pada kata berikut?
A. sudu A. ikan
B. kuku B. pantai
C. buku C. sukan
13. “Kedai”manakah huruf diftong? 19. Lihat gambar dan pilihkan jawapan yang
A. Ke betul?
B. da A. talee
C. ai B. tali
C. talie
14. “Saya pergi ke pantai” manakah huruf
diftong? 20. Lihat gambar dan penuhkan tempat kosong?
A. saya A. R, D
B. pergi B. D, K
C. pantai (__ U__A) C. K, D
15. “Saya main bola” manakah huruf diftong? 21. Lihat gambar dan penuhkan tempat kosong?
A. saya A. A, U
B. main B. A, E
C. bola (B__J__) C. A, I
16. “Zainab pergi ke pulau” manakah huruf 22. Lihat gambar dan pilih jawapan yang betul?
diftong semua? A. kerbau
A. Zainab, pergi B. krabu
B. pergi, pulau C. kerbua
C. Zainab, pulau
137
23. Manakah huruf gugusan = خ 28. “Orang yang beriman akan masuk syurga”
A. gh carikah huruf gugusan diatas?
B. sy A. orang
C. kh B. beriman
C. syurga
24. Manakah huruf gugusan = ش
29. “Akhir” ialah huruf gugusan ……….?
A. gh
A. خ
B. sy
B. ش
C. kh
C. غ
25. Manakah huruf gugusan = غ
30. “Maghrib” ialah huruf gugusan……… ?
A. gh
A. خ
B. ng
B. ش
C. ny
C. غ
26. Manakah huruf gugusan =
A. gh
B. ng
C. ny
ชื่อ......................................นำมสกุล................................. เลขที่..............
138
เฉลยข้ อสอบ
ข้ อที่ เฉลย ข้ อที่ เฉลย
1 B 21 A
2 B 22 A
3 C 23 C
4 A 24 B
5 C 25 A
6 B 26 C
7 B 27 B
8 A 28 C
9 C 29 A
10 B 30 C
11 C
12 A
13 C
14 C
15 B
16 C
17 B
18 C
19 B
20 C
139
แบบสอบถามความพึงพอใจ
คาชี้แจง
1. แบบสอบถามนี้ สร้างขึ้นเพื่อถามความพึงพอใจของต่อการจัดการเรี ยนรู ้ เรื่ องพยัญชนะ
และสระ สาระวิชาภาษามลายู สาหรับนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรี ยนบ้านน้ าดา โดยใช้รูปแบบ
การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ ซึ่ งมีท้ งั หมด 10 ข้อ
2. วิธีตอบแบบสอบถามให้นกั เรี ยนอ่านข้อความแล้วพิจารณาว่ามีความพึงพอใจตรงกับ
คาตอบใดให้ทาเครื่ องหมาย ลงในช่องว่างที่ตรงกับระดับความพึงพอใจในช่องนั้น
5 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด
4 หมายถึง พึงพอใจมาก
3 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง
2 หมายถึง พึงพอใจน้อย
1 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด
140
แบบสอบถามความพึงพอใจ
ระดับความพึงพอใจ
รายการแสดงความคิดเห็น
5 4 3 2 1
1. เนื้อหามีความน่าสนใจและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรี ยนรู ้
2. บรรยากาศในห้องเรี ยนทาให้นกั เรี ยนมีความกระตือรื อร้นใน
การเรี ยน
3. นักเรี ยนชอบเรี ยนวิชาภาษามลายูโดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู้
แบบร่ วมมือ
4. บรรยากาศของการเรี ยนท าให้ นักเรี ยนมี ความรั บผิ ดชอบต่ อ
ตนเองและกลุ่ม
5. การจัดกิ จกรรมการเรี ย นการสอนเปิ ดโอกาสให้นัก เรี ย นมี
ส่ วนร่ วมในการทากิจกรรม
6. กิ จกรรมการเรี ยนการสอนส่ งเสริ มการเรี ยนรู ้ ร่วมกันทาให้
นักเรี ยนมีความสนุกสนานและมีความสามัคคีในการทางานกลุ่ม
7. การจัดการเรี ยนการสอนทาให้เข้าใจเนื้ อหาได้ง่าย
8. การจัดการเรี ยนการสอนช่วยให้นกั เรี ยนสร้างความรู้ ความเข้าใจ
ด้วยตนเองได้
9. สื่ อการเรี ยนการสอนมีความเหมาะสมในการเรี ยนรู้ของนักเรี ยน
10. กิจกรรมการจัดการเรี ยนรู ้โดยใช้รูปแบบการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ
ทาให้นกั เรี ยนมีความช่วยเหลือซึ่ งกันและกัน
ขอขอบคุณที่ให้ความร่ วมมือ
141
ภาคผนวก ง
ค่ าความเชื่อมั่น
142
ภาคผนวก จ
หนังสื อขอความอนุเคราะห์ ในการวิจัย
145
146
147
148
149
ภาคผนวก ฉ
รายชื่อหน่ วยงานที่ใช้ ทดลองเครื่องมือ
150
ภาคผนวก ช
รายชื่อหน่ วยงานที่ทาการวิจัย
152
รายชื่อหน่ วยงานที่ทาการวิจัย
ภาคผนวก ซ
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
154
รายนามผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
ผลทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน
การเปรียบเทียบผลสั มฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
คะแนนการเรียนรู้ ค่ า D
คนที่ ค่ า t คานวณ
คะแนนก่อนเรียน (30) คะแนนหลังเรียน (30) D D2
1 17 26 9 81
2 15 21 6 36
3 16 23 7 49
4 18 25 7 49
5 17 23 6 36
6 16 24 8 64
7 15 26 11 121
8 18 27 9 81
9 17 25 8 64
10 17 24 7 49 21.13**
11 13 22 9 81
12 18 27 9 81
13 18 25 7 49
14 18 26 8 64
15 16 23 7 49
16 17 28 11 121
รวม 266 395 129 16,641
16.63 24.69
1.40 1.96
ร้อยละ 55.42 82.29
ประวัตผิ ้ทู ำวิทยำนิพนธ์