Professional Documents
Culture Documents
กระบวนการคิดและการวิเคราะห์
1.1 หลักการและกระบวนการคิดของมนุษย์
“ การคิดนั้นอาจคิดได้หลายอย่าง จะคิดให้วัฒนะคือคิดแล้วทาให้เจริญงอก
งามก็ได้ จะคิดให้หายนะคือคิดแล้วทาให้พินาศฉิบหายก็ได้ การคิดให้เจริญจึง
ต้องมีหลักอาศัย หมายความว่า เมื่อคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต้องตั้งใจให้มั่นคงใน
ความเป็นกลาง ไม่ปล่อยให้อคติอย่างหนึ่งอย่างใดครอบงา ให้มีแต่ความจริงใจ
ตรงตามเหตุตามผลที่ถูกแท้และเป็นธรรม ”
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงกล่าวในพิธี
พระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยรามคาแหง ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2521
ด้วยเหตุนี้กระบวนการคิดจึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเพื่อนาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดารงชีวิต
1.1.1 ธรรมชาติของการคิด
การคิดเป็นกระบวนการทางานของสมอง โดยใช้ประสบการณ์มาสัมพันธ์กับสิ่งเร้า ข้อมูล และ
สิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหา แสวงหาคาตอบ ตัดสินใจหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ โดยธรรมชาติของการคิดสามารถ
กล่าวเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
1. การคิดเป็นกระบวนการคิดทางสมองที่เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา การจะห้ามความคิดนั้นทาได้ยาก
จึงต้องแสวงหาหนทางหรือวิธีการเพื่อพัฒนาคุณภาพการคิดของมนุษย์ให้คิดแล้วได้ประโยชน์ทั้งต่อตนเองและ
สังคม
2. การคิดเป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง กระบวนการคิดมีขั้นตอนแตกต่างกันไปแล้วแต่ประเภท
ของการคิด เช่น การคิดจาแนกแยกแยะ ซึ่งเป็นการคิดขั้นพื้นฐานมีขั้นตอนย่อย 3 ขั้นตอนได้แก่
(1) กาหนดมิติที่จะแยกแยะระหว่างสิ่ง 2 สิ่ง
(2) มีการเปรียบเทียบระดับของ 2 สิ่ง ว่าเหมือนกันหรือไม่ในมิติที่กาหนด
(3) สรุปความเหมือนหรือต่างระหว่างของ 2 สิ่งนั้น
ในขณะที่กระบวนการคิดแก้ปัญหาซึ่งถือว่าเป็นการคิดขั้นสูงประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ได้แก่
(1) ระบุปัญหา
(2) วิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหา
(3) แสวงหาหนทางแก้ปัญหาหลาย ๆ ทาง
(4) เลือกทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
(5) ลงมือดาเนินการแก้ปัญหาตามวิธีที่เลือก
(6) รวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลจากผลการลงมือแก้ปัญหา
(7) สรุปผลการแก้ปัญหา
3. เราสามารถกาหนดให้มนุษย์คิดได้โดยกาหนดเงื่อนไขการปฏิบัติหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิด
2
1.1.2 การเกิดของการคิด
การคิดของมนุษย์เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าใดๆ แล้วเกิดปัญหา เกิดความสงสัย หรือเกิด
ความขัดแย้งขึ้นในสมอง จึงหาหนทาง หาวิธีการแก้ปัญหา ตอบข้อสงสัยหรือพยายามขจัดความขัดแย้งให้หมด
ไป อาจสรุปแนวความคิดดังกล่าวเป็นแผนภูมิได้ดังนี้
สิ่งเร้า
กระบวนการรับรู้ (โสตทั้ง 5)
สภาวะความไม่สมดุล
(เกิดข้อสงสัย เกิดปัญหา เกิดความขัดแย้ง)
ความต้องการปรับสภาวะสมดุล
กระบวนการคิด
(ตอบข้อสงสัย ตอบปัญหา ขจัดความขัดแย้ง)
3
1.1.3 องค์ประกอบของการคิด
การคิดจะเกิดขึ้นในตัวมนุษย์หรือไม่ คิดแล้วได้ผลการคิดเป็นอย่างไร เกิดประโยชน์ต่อตนเองมากน้อย
เพียงใด จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของการคิดในแต่ละครั้ง ซึ่งโดยทั่วไปการคิดของมนุษย์จะมีองค์ประกอบ
ดังต่อไปนี้
1. สิ่งเร้า สิ่งเร้าเป็นองค์ประกอบแรกที่จะเป็นสื่อหรือเป็นตัวกระตุ้นที่ก่อให้เกิดการคิด สิ่งเร้าเป็น
อะไรก็ได้ที่ทาให้บุคคลเกิดการรับรู้ เช่น วัตถุ สิ่งของ ภาพ เสียง ข้อมูล สัญลักษณ์ กิจกรรมต่างๆ เป็นต้น
2. การรับรู้ บุคคลสามารถรับรู้ได้โดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวสัมผัส
3. จุดมุ่งหมายในการคิด ในการคิดแต่ละครั้งผู้คิดจะต้องมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนว่าตนเองต้องการ
คิดเพื่ออะไร เช่น เพื่อตัดสินใจ เพื่อแก้ปัญหา เพื่อให้ได้ความรู้ใหม่ หรือเพื่อสร้างสรรค์งานใหม่ การมี
จุดมุ่งหมายในการคิดจะช่วยให้การคิดถูกทาง เลือกใช้วิธีคิดถูกต้องและได้ผลการคิดตรงกับความต้องการของ
ตนเอง
4. วิธีการคิด การคิดเพื่อตัดสินใจ เพื่อแก้ปัญหาหรือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่นั้น จะต้องเลือกวิธีคิดให้
ตรงกับจุดมุ่งหมายในการคิด เช่น คิดเพื่อการตัดสินใจจะต้องใช้วิธีการคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดเพื่อ
แก้ปัญหาจะต้องใช้วิธีการคิดแบบแก้ปัญหา หรือเพื่อให้ได้ผลงานใหม่จะต้องใช้วิธีการคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น
5. ข้อมูลหรือเนื้อหา ในการคิดแต่ละครั้งจาเป็นต้องมีข้อมูลหรือเนื้อหาประกอบการคิด จึงจะทา
ให้การคิดนั้นสมบูรณ์ คือคิดอะไร(ข้อมูล หรือเนื้อหา) และคิดอย่างไร(ขั้นตอนการคิด) ข้อมูลหรือเนื้อหาที่จะ
ใช้ประกอบการคิดใดๆ อาจเป็นความรู้และประสบการณ์เดิมที่บุคคลนั้น ๆ เก็บสะสมไว้ในสมอง หรือเป็น
ข้อมูลความรู้ใหม่ที่ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ในการคิดแต่ละครั้งบุคคลที่มีข้อมูลหรือเนื้อหาประกอบการคิด
มากกว่าหรือดีกว่าจะได้ผลของการคิดที่มีคุณภาพมากกว่า
1.1.4 ประเภทของการคิด
การคิดแบ่งได้หลายแบบแต่ในที่นี้จะนาเสนอการคิด 2 ประเภท คือ
1. การคิดพื้นฐาน ประกอบด้วยทักษะต่างๆ ดังนี้ การสังเกต การสารวจ การจาแนกแยกแยะ การ
เปรียบเทียบ การจัดกลุ่ม การจัดหมวดหมู่ การเชื่อมโยง สัมพันธ์ การจัดลาดับ การให้เหตุผล การเดา การ
คาดคะเน การตั้งสมมติฐาน การประเมิน การตัดสินใจ การเลือก การให้ความหมาย การแปลความหมาย
การตีความ และการสรุปเรื่องราวสาคัญ เป็นต้น
2. การคิดระดับสูง ประกอบด้วยทักษะต่างๆ ดังนี้ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดแก้ปัญหา
การคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ และการคิดสังเคราะห์ ซึ่งทักษะการคิดระดับสูงอาจจาเป็นต้องใช้ทักษะ
การคิดแกนหรือทักษะการคิดพื้นฐานหลายทักษะมาประกอบกัน
2.1 การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นการคิดที่ผ่านกระบวนการ
ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มีเหตุผล เกี่ยวกับข้อมูลหรือสภาพการณ์ที่ปรากฏ โดยอาศัยความรู้ ความคิด
ประสบการณ์ของตนเอง และข้อมูลหลักฐานที่เชื่อถือได้ เพื่อแสวงหาความรู้ หรือความจริงที่จะนาไปสู่การ
สรุปและตัดสินใจอย่างสมเหตุสมผล
4
2. ลูกสาวของสมศรีคือลูกสาวของแม่ฉัน ดังนั้นฉันเป็นอะไรกับสมศรี
ก. เป็นแม่ของสมศรี ข. เป็นลูกของสมศรี
ค. เป็นหลานของสมศรี ง. ฉันคือสมศรี
2. ให้ลองลากเส้นตรง 4 เส้นผ่านทุกจุดโดยไม่ยกมือขึ้นและไม่ทับจุดเดิม
2. จากรูปที่กาหนดให้มีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทั้งหมดกี่รูป
6
3. จากรูปที่กาหนดให้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์กี่รูป (รูปเล็ก)
4. ถ้าคุณถึกแก่กว่าคุณดอนและคุณจอมอ่อนกว่าคุณจุ๋ม คุณจุ๋มแก่กว่าคุณดอนแต่อ่อนกว่าคุณถึก
ในสี่คนนี้ใครอายุมากที่สุด Franka
jingo .
8 ลิตร
5 ลิตร
3 ลิตร
แบบฝึกหัด 1.1
1. จากรูปให้หยิบไม้ขีดไฟออก 2 ก้านแล้วทาให้ได้รูปสามเหลี่ยมด้านเท่า 2 รูป
2. ให้ย้ายไม้ขีดไฟ 1 ก้านแล้วทาให้ได้สมการที่ถูกต้อง
3. จากรูปที่กาหนดให้มีรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดกี่รูป
• ③
② ①
→
M
•
i. ii. • '
8
8. จากจุดที่กาหนดให้สามารถสร้างส่วนของเส้นตรงได้ทั้งหมดกี่เส้น
11
10 12
+ + = 12
– = 6
จงหาค่าของ + +
19. จงเติม 2 พจน์ถัดไปของลาดับที่กาหนดให้
(1) 0 2 4 6 …… ……
(2) 100 99 94 92 87 …… ……
(3) 2 4 8 16 …… ……
(4) 2500 500 100 20 …… ……
(5) AB2 EF4 IJ6 …… ……
20. ด.ญ.น้าอ้อย ด.ญ.น้าฝน ด.ช.น้าตาล และ ด.ช.น้าเงิน มีชื่อเล่น คือ นก กบ ไก่ ปลา จงหาว่าใครชื่อ
เล่นอะไร เมื่อ
- น้าอ้อยเตี้ยกว่านก แต่สูงกว่า ไก่ ผู้ซึ่งเป็นหลานสาวปู่ซิว
- นกอายุมากกว่าน้าตาลแต่อายุน้อยกว่าปลา
10
1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลและข่าวสาร
การตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นจะบรรลุตามเป้าหมายได้ ควรมีการตัดสินใจภายใต้การอ้างอิงหรือ
ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอาจเป็นข้อมูลข่าวสารเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ข้อมูลในอดีต หรืออาจต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม
และข้อมูลหลายๆ ทางมาประกอบการพิจารณาตัดสินใจ หลังจากได้ข้อมูลข่าวสารแล้วจึงนามาวิเคราะห์เพื่อ
หาข้อสรุป
1.2.1 ความหมายของคาที่ควรทราบและความหมายข้อมูลข่าวสาร
ในการศึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลและข่าวสาร มีคาบางคาที่ผู้ศึกษาควรเข้าใจความหมายให้ถ่องแท้
เพื่อจะได้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น คาต่างๆ เหล่านี้ คือ
ประชากร (population) หมายถึง ที่รวมหรือกลุ่มของสิ่งที่สนใจศึกษาทั้งหมด โดยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
อาจเป็น คน สัตว์ สิ่งของหรือเหตุการณ์ต่างๆ ก็ได้ เช่น สนใจศึกษารายได้ของเกษตรกรไทย ประชากร คือ
เกษตรกรไทยทุกคน สนใจศึกษาจานวนโค กระบือ ที่ใช้ในการเกษตรกรรม ประชากร คือ จานวนโค กระบือ
ทั้งหมดในประเทศไทย เป็นต้น
ประชากรจาแนกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ
1. ประชากรอันตะ (finite population) หมายถึง ประชากรที่สามารถระบุจานวนสมาชิกได้แน่นอน
ว่ามีจานวนเท่าใด เช่น จานวนพลเมืองในประเทศไทย จานวนรถยนต์ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร
จานวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ในรอบ 1 ปี เป็นต้น
2. ประชากรอนันต์ (infinite population) หมายถึง ประชากรที่มีขนาดใหญ่มากจนไม่สามารถระบุ
จานวนที่แน่นอนได้ เช่น ปริมาณปลาทูในบริเวณอ่าวไทย จานวนแมลงในป่า
ตัวอย่าง (sample) หมายถึง บางส่วนของประชากรที่ถูกนามาเพื่อศึกษาแทนประชากร ทั้งนี้ด้วย
เหตุผลที่ว่าประชากรมักมีขนาดใหญ่ การศึกษาลักษณะของประชากรโดยศึกษาจากสมาชิกทุกหน่วยใน
ประชากรทาได้ยาก และเป็นการสิ้นเปลืองทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย อีกทั้งแม้ว่าจะศึกษาจากประชากรโดยตรง ก็
ใช่ว่าจะได้ตัวเลขที่แท้จริง คงได้ค่าเลขโดยประมาณซึ่งใกล้เคียงความจริงเท่านั้น การศึกษาประชากรจาก
ตัวอย่างก็สามารถให้ผลใกล้เคียงกับความจริงได้ ทั้งให้ประโยชน์ในเรื่องความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย
ด้วย ดังนั้น การศึกษาประชากรโดยผ่านทางตัวอย่างจึงเป็นที่นิยมใช้กัน
พารามิเตอร์ (parameter) หมายถึง ตัวแทนที่ใช้สรุปถึงคุณสมบัติหรือลักษณะของประชากร ตัว
เลขที่ใช้สรุปถึงคุณสมบัติของประชากร เรียกว่า ค่าพารามิเตอร์
ค่าพารามิเตอร์ ในทางสถิติ หมายถึง ค่าที่แท้จริง ที่หาได้โดยวิธีการทางสถิติจากทุกหน่วยของ
ประชากรเพื่ออธิบายถึงลักษณะต่าง ๆ ของประชากร ค่าพารามิเตอร์นี้เป็นค่าคงที่ เช่น
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ใช้สัญลักษณ์ อ่านว่า มิว
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สัญลักษณ์ อ่านว่า ซิกมา
โดยปกติค่าพารามิเตอร์ไม่สามารถคานวณหาออกมาได้โดยตรง ทั้งนี้ เพราะประชากรมีขนาดใหญ่มาก
ค่าสถิติ (statistic) หมายถึง ค่าที่ใช้สรุปถึงคุณสมบัติหรือลักษณะของตัวอย่าง โดยคานวณได้จาก
ข้อมูลตัวอย่างที่สุ่มมาศึกษา เช่น
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ใช้สัญลักษณ์ X
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สัญลักษณ์ s
11
1.2.2 การนาเสนอข้อมูล
การนาเสนอข้อมูล เป็นระเบียบวิธีการทางสถิติที่นาข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีต่าง ๆ
มาจัดเพื่อแสดงรายละเอียดของข้อมูล ทาให้อ่านได้สะดวก เข้าใจง่ายและตีความได้รวดเร็ว ทั้งนี้ก็เพื่อ
ประโยชน์ในการเผยแพร่ สื่อความหมาย และเพื่อประโยชน์สาหรับวิเคราะห์ในขั้นสูงขึ้น การนาเสนอข้อมูล
ทางสถิติทาได้หลายวิธีเพื่อให้เหมาะสมกับข้อมูลและสอดคล้องกับความต้องการ เช่น การนาเสนอในรูป
บทความ การนาเสนอเป็นตาราง การนาเสนอด้วยแผนภูมิและกราฟ เป็นต้น ในทางปฏิบัติการจะเลือกใช้วิธีใด
ขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมูลและวัตถุประสงค์ของการนาเสนอ
การนาเสนอข้อมูลเชิงคุณภาพ วิธีที่นิยมใช้กันคือ
1. การนาเสนอในรูปของบทความ เช่น
จากหนังสือ สถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2544 รายงานว่า “ปี 2544 ประเทศไทยมีสถานบริการ
สาธารณสุขของรัฐทั่วประเทศ ทั้งสิ้น 1,213 แห่ง ซึ่ง สถานีอนามัยมีมากที่สุด คือ 852 แห่ง รองลงมา คือ
โรงพยาบาลชุมชน 303 แห่ง โรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป 36 แห่ง และสานักงานสาธารณสุข
จังหวัด 22 แห่ง”
การนาเสนอข้อมูลโดยวิธีนี้ ถ้าหากผู้เสนอข้อมูล ต้องการให้เห็นการเปรียบเทียบตัวเลขชัดเจนยิ่งขึ้น ก็
สามารถนาเสนอข้อมูลในรูปของข้อความกึ่งตาราง เป็นการนาเสนอข้อมูลที่มีข้อความและมีส่วนตัวเลขที่ถูก
นาเสนอข้อมูลด้วยตาราง เพื่อให้ผู้อ่านเห็นชัดเจน และสามารถเปรียบเทียบได้ง่าย เช่น
ในปี 2544 สถานบริการสาธารณสุขของรัฐทั่วประเทศ เป็นดังนี้
สถานีอนามัย 852 แห่ง
โรงพยาบาลชุมชน 303 แห่ง
โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป 36 แห่ง
สานักงานสาธารณสุขจังหวัด 22 แห่ง
2. การนาเสนอข้อมูลโดยใช้ตาราง
เป็นการจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปของตาราง เพื่อให้ข้อมูลอยู่ในรูปกะทัดรัด ง่ายต่อการอ่าน และยังช่วยให้สามารถ
เปรียบเทียบข้อมูลดังกล่าวได้ด้วย เช่น
อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในปี พ.ศ. 2546
3. การนาเสนอข้อมูลโดยใช้แผนภูมิหรือรูปภาพ การนาเสนอเป็นตารางแม้จะทาให้เห็นการ
เปรียบเทียบระหว่างตัวเลขแต่ก็ไม่สามารถเห็นความแตกต่างได้ง่ายและรวดเร็วเหมือนกับการจัดให้อยู่ใน
รูปภาพ ในที่นี้จะพิจารณาการนาเสนอข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยแผนภูมิง่าย ๆ บางแบบดังนี้
แผนภูมิแสดงอัตราส่วนการส่งผ่านข้อมูลในการเชื่อมต่อแบบต่างๆ
แผนภูมิแสดงผลผลิตจากการใช้ดินที่หมักแตกต่างกัน
15
แผนภูมิแสดงสถิติจานวนรายได้จากการขนส่งสินค้าของบริษัทแห่งหนึ่งโดยการ
ใช้การขนส่งที่แตกต่างกัน
แผนภูมิเปรียบเทียบปริมาณฝนรายเดือนสะสมในจังหวัดกรุงเทพมหานคร
17
15 -
30
30 -
25
15 -
To 20 10
20 _
15
15 -
10
10 -
5-
' l r
-
du
pl f
' I I
b
.
Diner
B '
Ct C Pt
ข. กราฟเส้น ^
40 - @
15 -
30 -
•
15 -
•
20 _ • • •
15 - ,
10 _ •
5-
I r.NU
p' 't
B
b di { to b f
ค. แผนภูมิรูปภาพ
.
I I I
A
Bt I I I I
B I I I I
↳ I I I I I I
C I I I I I I I I
Dt I I I I
P I I I I I
f I I
found I •
5M
18
18
16
14
12
10
0
38 43 48 53 58 63 68 73
20
18
16
14
12
10
0
38 43 48 53 58 63 68 73
18
16
14
12
10
0
38 43 48 53 58 63 68 73
21
160,000
140,000
120,000
100,000
เกษตรกรรมบำบัด
80,000
อุตสำหกรรมบำบัด
60,000
กำรฝึ กหัดอำชีพ
40,000
20,000
0
2539 2540 2541 2542 2543
22
แบบฝึกหัด 1.2
1. จงสร้างแผนภูมิแท่งแสดงการเปรียบเทียบจานวนนักเรียนชายและหญิง ในปีการศึกษา↑2548– 2552
""
ดังนี้ Hoof
1200 -
2. จงสร้างแผนภูมิรูปภาพแสดงจานวนผู้ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ดังตาราง
ชนิดของโรค จานวนผู้ป่วย (คน)
โรคตาแดง 120
โรคอหิวา 100
โรคผิวหนัง 150
โรคท้องร่วง 80
โรคไข้หวัด 130
4. กาหนดข้อมูล
45 44 54 50 42 46 60 55 47 51 52 42 49 43 54
48 47 50 55 55 49 53 52 49 54 53 49 48 57 60
47 51 52 45 44 54 50 42 48 47 50 55 55 48 52
จงสร้างตารางแจกแจงความถี่ที่มีความกว้างแต่ละชั้นเป็น 5 พร้อมทั้งนาเสนอข้อมูลด้วยรูปหลายเหลี่ยมแห่ง
ความถี่และแสดงด้วยเส้นโค้งความถี่
23
5. สมมติว่าข้อมูลที่กาหนดเป็นอายุของคนในชุมชนแห่งหนึ่ง 50 คน จงนาเสนอข้อมูลนี้ด้วยแผนภาพกิ่งและ
ใบ
37 35 58 44 39
66 59 44 33 34
31 46 63 31 20
63 32 52 33 49
65 69 53 38 41
44 23 62 54 54
68 45 28 48 36
61 65 38 69 59
42 65 49 21 51
23 64 40 43 43
จากแผนภาพที่ได้ จะบอกได้หรือไม่ว่าการแจกแจงของอายุคนในชุมชนแห่งนี้มีลักษณะอย่างไร