Professional Documents
Culture Documents
week 12 กฎของแก๊ส 1-2564
week 12 กฎของแก๊ส 1-2564
Brownian Motion
นิยามของแก๊สอุดมคติ (ต่อ)
• มีขนำดของแต่ละโมเลกุลเล็กมำก จนถือได้ว่ำปริมำตรแต่ละโมเลกุลน้อยจนเกือบเป็นศูนย์เมื่อเทียบกับ
ปริมำตรของภำชนะที่บรรจุ
• ไม่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุล แต่จะมีแรงกระทำต่อโมเลกุลของแก๊สเมื่อมีกำรชนกันเองหรือชนกับ
ผนังภำชนะ
• กำรชนกันระหว่ำงโมเลกุลนั้น เป็นกำรชนแบบยืดหยุ่น คือไม่มีกำรสูญเสียพลังงำนเลย มีกำรอนุรักษ์ทั้ง
พลังงำนจลน์และโมเมนตัม
• สำหรับระบบที่ประกอบด้วยแก๊สบริสุทธิ์ชนิดหนึ่ง ย่อมแสดงว่ำโมเลกุลของแก๊สดังกล่ำวต่ำงคล้ำยกัน
กฎของแก๊สอุดมคติ
กฎของบอยล์
(Boyle’s law)
เขำค้นพบควำมสัมพันธ์ที่แปรผกผันกันระหว่ำงควำมดันกับปริมำตรของแก๊ส
โดยเมื่อเพิ่มควำมดันจะทำให้ปริมำตรของแก๊สลดลง หรือเมื่อเพิ่มปริมำตรจะทำ
ให้ควำมดันของแก๊สลดลง
กฎของบอยล์
(Boyle’s law)
จำกกรำฟสำมำรถเขียนควำมสัมพันธ์ได้ดังนี้
1
Pα หรือ 𝑃𝑉 = 𝐾1 ที่สภาวะ T, n คงที่
V
V 𝑉
constant
และเนื ่องจำก = ค่ำคงที่ ดังนั้น
𝑇
จำกรูปสำมำรถเขียนควำมสัมพันธ์ได้ดังนี้ T
V1 V2 V3 VN
𝑉
V α T หรือ = K2 ที่สภาวะ P, n คงที่ T1 T2 T3 TN
𝑇
กฎของชาร์ลส์
(Charles’s law)
จำกกรำฟสำมำรถเขียนควำมสัมพันธ์ได้ดังนี้
𝑃
P∝T หรือ = K3
𝑇
Pressure
(atm)
ที่สภำวะ V, n คงที่
𝑃
และเนื่องจำก = ค่ำคงที่ ดังนั้น
𝑇
P1 P2 Pn
Temperature (K)
= =
T1 T2 Tn
ควำมดันของแก๊สแปรผันตรงกับอุณหภูมิของแก๊ส
Avogadro’s law
กฎของอาโวกาโดร
"ที่อุณหภูมิและความดันคงที่ แก๊สที่มีจานวนโมเลกุลเท่ากันจะมีปริมาตรเท่ากัน"
ดังนั้นปริมำตรของแก๊ส จึงสำมำรถบอกถึงจำนวนโมเลกุลและจำนวนโมลของแก๊สได้เช่นกัน
Avogadro’s law
กฎของอาโวกาโดร จำกรูปเมื่ออุณหภูมิ (T) และควำมดัน (P) คงที่
ปริมำตร (V) จะแปรผันตำมจำนวนโมล (n) ของแก๊ส
ซึ่งก่อนหน้ำนี้เรำได้ทรำบมำแล้วว่ำแก๊ส 1 โมล มี
ปริมำตรเท่ำกับ 22.4 L หรือ 22.4 dm3
Avogadro’s law
กฎของอาโวกาโดร
จำกกรำฟสำมำรถเขียนควำมสัมพันธ์ได้ดังนี้
V
V∝n หรือ ที่สภำวะ P, T คงที่
n
V
เนื่องจาก = ค่ำคงที่
n
ดังนั้น
V1 V2 V3
= =
n1 n2 n3
Avogadro’s law
กฎของอาโวกาโดร
ตัวอย่ำงปรำกฏกำรณ์ที่
อธิบำยด้วยกฎของอำโวกำโด
กฎของแก๊สอุดมคติ
(Ideal gas law)
หน่วยมาตรฐานต่าง ๆ ของความดันและการแปลงหน่วย
ปริมำตรของแก๊สต่ำง ๆ ในสภำวะมำตรฐำน
ที่ STP แก๊สทุกชนิดปริมำณ 1 โมล จะมีปริมำตรโดยประมำณ 22.4 ลิตร
ปริมำตรของแก๊สต่ำง ๆ ในสภำวะมำตรฐำน
แม้ว่ำแก๊สทุกชนิดจะมีปริมำตรเท่ำกันที่ STP แต่จะมีมวลต่อโมล (molar mass) ไม่เท่ำกัน
ปริมำตรต่อโมลของแก๊สที่ STP
17 g 40 g 44 g 71 g 38 g 28 g 2g 4g
รวมสมการของแก๊สจากกฎของบอยล์, ชาร์ลส์ และ เกย์-ลูสแซก
กฎของบอยล์ 𝑃𝑉 = 𝐾1
𝑉 เมื่อรวมควำมสัมพันธ์
กฎของชาร์ลส์ = K2 𝑃𝑉
𝑇 จะได้สมกำร = K4
𝑇
กฎของเกย์-ลูสแซก
𝑃
= K3 𝑃 1 𝑉1 𝑃 2 𝑉2
𝑇 หรือ =
𝑇1 𝑇2
รวมสมการของแก๊สจากกฎของบอยล์, ชาร์ลส์ และ เกย์-ลูสแซก
T1 < T2 < T3
𝑃1 𝑉1 𝑃2 𝑉2
=
𝑇1 𝑇2
PV
ดังนั้น เมื่อแทนค่ำ ในสมกำร = K4 ด้วยสภำวะมำตรฐำนดังที่กล่ำวมำ จะได้
T
5 N −3 m3
PV (1.013×10 2 )(n×22.4×10 mol)
m
K4 = =
T 273.15 K
PV N.m
= n(8.30723 )
T mol.K
PV = nRT
จำกสมกำรของแก๊สอุดมคติ PV = nRT
เมื่อ R = gas constant
= ค่ำคงที่แก๊ส มีค่ำ 8.31 N.m/K.mol หรือ 8.31 J/K.mol
และถ้ำกำหนดให้ N = จำนวนโมเลกุลของแก๊ส
NA = Avogadro’s number = 6.021023 อนุภำค/โมล
ดังนั้นจำนวนโมล n = N/NA
เมื่อแทนค่ำ n ดังกล่ำว ลงในสมกำรแก๊สอุดมคติ จะได้สมกำรควำมสัมพันธ์ใหม่คือ
N โดยที่ k B =
R
PV = RT = Nk B T NA
NA ซึ่งค่ำ k B = ค่ำคงที่โบลต์มนั น์ (Boltzmann constant) = 1.3810-23 J/K
ตัวอย่างที่ 1 แก๊สชนิดหนึ่งมีปริมำตร 1.00 m3 อุณหภูมิ 27 °C ควำมดัน 1 atm จงหำปริมำตรของแก๊สจำนวนนี้ที่อุณหภูมิ
127 °C และควำมดัน 2 atm อุณหภูมิลดลงเหลือ 20 °C
ที่สภาวะ STP หมายถึง อุณหภูมิ 0°C และความดัน 1 บรรยากาศ หรือ 1.013 × 105 Pa
จำกสมกำร 𝑃𝑉 = 𝑁𝑘𝐵 T
𝑃𝑉
จะได้ N =
kB 𝑇
(1.013×105
N/m2)(1 m3 )
แทนค่า N =
1.38×10−23 J/K (273.15 K)
มวล
ควำมหนำแน่น =
ปริมาตร
ควำมหนำแน่นของแก๊สที่สภำวะมำตรฐำน
จงคำนวณควำมหนำแน่น
ของแก๊สฮีเลียมและแก๊สไนโตรเจนที่ STP
ควำมหนำแน่นของแก๊สที่สภำวะมำตรฐำน
ควำมหนำแน่นเป็น
สัดส่วนโดยตรงกับ
molar mass
กฎของดาลตันสาหรับความดันย่อย
(Dalton’s law of partial pressure)
กฎของดาลตันสาหรับความดันย่อย
“สำหรับแก๊สผสม ควำมดันของแก๊สแต่ละชนิดขึ้นกับจำนวนโมเลกุลของแก๊สชนิดนั้น”
N
จำกสมกำร PV = nRT หรือ PV = Nk B T โดยที่ n = และ R = k B NA
NA
จะได้ PV = (N1 + N2 + N3)k B T
N1kB T N2kB T N3kB T
P= + +
V V V ดังนั้นจึงสำมำรถสรุปได้ว่ำ
หรือ P = (P1 + P2 + P3)
ความดันร่วม = ความดันย่อยบวกกัน
กฎของดาลตันสาหรับความดันย่อย
* ควำมดันของแก๊สแต่ละชนิดจะเป็นสัดส่วนกับจำนวนโมลของแก๊ส Pαn
* ควำมดันรวมทั้งหมดจะเป็นผลรวมของควำมดันของแก๊สแต่ละชนิด P = P
i
กฎของดาลตันสาหรับความดันย่อย
สำหรับแก๊สผสมในภำชนะเดียวกันที่อุณหภูมิ T เดียวกัน แก๊สทุกชนิดจะมีปริมำตร V เท่ำกัน
และจำกกฎควำมดันย่อย P = P1 + P2 + P3 + … และจำกสมกำรของแก๊สอุดมคติ PV = nRT จะได้ว่ำ
PAVA
ถัง A, nA
RTA
PBVB
จำกสมกำร ถัง B, nB
RTB
PV = nRT PCVC
ถัง C, nC
RTC
PV
โมลรวม n
RT
PV PA VA PB VB PC VC
จำกสมกำร n = nA + nB + nC แทนค่ำจำกสมกำรจะได้ RT
=
RTA
+
RTB
+
RTC
PV PA VA + PB VB + PC VC
โดยที่ T = TA = TB = TC ทำให้ได้ =
RT RT
PA VA + PB VB + PC VC
และจำก V = VA + VB + VC ดังนั้น P=
VA + V B + Vc
(1)(2)+(2)(3)+(3)(5)
P= = 2.3 atm ตอบ
2+3+5
ตัวอย่างเหตุการณ์ในชีวิตประจาวันที่เกี่ยวข้องกับเรือ่ งของความดันย่อย
“เป็นการศึกษาการเคลื่อนที่ของแก๊สแต่ละโมเลกุล”
อ้ำงอิงจำกสมมติฐำนแบบจำลองแก๊สอุดมคติ
1. เป็นทรงกลมขนำดเล็ก
2. แก๊สประกอบด้วยอนุภำคจำนวนมำกที่มีขนำดเล็กมำก จนถือได้ว่ำอนุภำคของแก๊สไม่มี
ปริมำตรเมื่อเทียบกับขนำดภำชนะที่บรรจุ โมเลกุลของแก๊สอยู่ห่ำงกันมำก ทำให้แรงดึงดูด
และแรงผลักระหว่ำงโมเลกุลน้อยมำก จนถือได้ว่ำไม่มีแรงกระทำต่อกัน
3. โมเลกุลของแก๊สเคลื่อนที่อย่ำงรวดเร็วในแนวเส้นตรง เป็นอิสระ ด้วยอัตรำเร็วคงที่ และ
ไม่เป็นระเบียบ เมื่อชนผนังภำชนะก็จะเปลี่ยนทิศทำงและอัตรำเร็ว
ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส (Kinetic theory of gas)
“ด้วยเหตุที่โมเลกุลแก๊สเคลื่อนที่ด้วยอัตรำเร็วสูง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุลแก๊สแทบจะไม่มีเลย
พลังงำนของโมเลกุลจึงอยู่ในรูปของ “พลังงำนจลน์” (Kinetic energy, KE) เพียงอย่ำงเดียว”
แก๊สโมเลกุลอะตอมเดี่ยว ตัวอย่างแก๊สโมเลกุลอะตอมเดี่ยวที่มักพบ เช่น He, Ne หรือ Ar เป็นต้น
ใช้อธิบำยได้เฉพำะแก๊สอะตอมเดี่ยว โมเลกุลของแก๊สมีลักษณะเป็นจุด
โดยคิดเฉพำะกำรเคลื่อนที่ (translation motion) 3 แกน คือ แกน x, y และ z
หรือเรียกว่ำมีองศำควำมเป็นอิสระ (degree of freedom: D) เท่ำกับ 3
1
แต่ละองศำควำมเป็นอิสระมีพลังงำน = k T
2 B
ดังนั้นพลังงำนจลน์เฉลี่ยใน 3 ทิศทำง 3
ของแก๊สโมเลกุลอะตอมเดี่ยวจึงเป็น KE = kBT
2
ดังนั้นพลังงำนจลน์เฉลี่ยใน 7 ทิศทำง 7
ของแก๊สโมเลกุลอะตอมคู่จึงเป็น KE = k B T
2
ดังนั้นโมเลกุลที่มี degree of freedom = D จะมีสมกำรควำมสัมพันธ์คือ KE = D k B T
2
ถ้ำระบบมี N โมเลกุล KE รวม จะถูกเรียกว่ำ พลังงานภายในของระบบ = U
D
นั่นคือ U= N. KE =
2
k B TN หรือ U = D2 nRT
แสดงว่ำถ้ำ T = คงที่ T = 0 ดังนั้น U คงที่ด้วย U = 0
ในควำมเป็นจริง แก๊สโมเลกุลอะตอมคู่ทั่วในอำจจะไม่มีกำรเคลื่อนในบำงลักษณะ เช่น กำรสั่น
(ยกเว้นอุณหภูมิจะสูงมำก ๆ) จึงอำจจะตัดควำมเป็นไปได้ในกำรเคลื่อนที่แนวกำรสั่นออกไปได้ ทำให้
แก๊สโมเลกุลอะตอมคู่มีค่ำ degree of freedom เท่ำกับ 5 ส่งผลให้สมกำรค่ำเฉลี่ยพลังงำนจลน์อำจ
เท่ำกับ
5 5
KE = k B T
2
หรือ U = RT
2
จำกทฤษฎีจลน์ในกำรเคลื่อนที่ของอะตอมแก๊สทั้งแบบเดี่ยวหรือคู่ ซึ่งเป็นกำรเคลื่อนที่พร้อม ๆ กันในหลำยทิศทำง ดังนั้น
ในกำรคำนวณควำมเร็วเคลื่อนที่ของอะตอม ต้องใช้วิธีกำรเฉลี่ยในทุกทิศทำง ซึ่งควำมเร็วเฉลี่ยนี้ถูกกำหนดในนำมของ
Vrms (Root mean square velocity) ซึ่งมีสูตรในกำรคำนวณได้ดังนี้
3kBT 3RT
Vrms = ഥ2 =
V =
m M
โดยที่
kB ค่ำคงที่ของโบลต์ซมันน์ (Boltzmann constant) = 1.38 × 10-23 J/K
T อุณหภูมิ (K)
m มวลของโมเลกุล (kg)
M น้ำหนักโมเลกุล (g/mol)
ตัวอย่างที่ 5 ค่ำอัตรำเร็วรำกที่สองเฉลี่ยของโมเลกุลไฮโดรเจน ณ อุณหภูมิ 300 K เป็นเท่ำใด
กำหนดมวลของโมเลกุลไฮโดรเจน 1.67 x 10-27 kg
วิธีทา แก๊สไฮโดรเจนถือเป็นแก๊สโมเลกุลอะตอมคู่
3kBT
จำกสมกำร Vrms =
m
3
จำกสมกำร KE = k T
2 B
3
แทนค่ำ KE = (1.38 × 10−23 J/K)(303 K)
2