Professional Documents
Culture Documents
ถาม – ตอบ
วิ. แพง เลม ๗
เขตอํานาจศาล
สว นศาลซึ่ ง เป น สถานที่ ที่ มูล คดี เ กิด นั้ น คํ าว า มูล คดี
หมายถึงตน เหตุอัน เปน ที่ม าแหงการโตแ ยงสิท ธิอัน จะทําให
โจทก เ กิด อํ า นาจฟ อ ง (คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๒๘๔๑/๒๕๔๗)
ในคดีหนึ่งมูลคดีอาจเกิดขึ้นไดหลายแหงได (เทียบคําพิพากษา
ฎีกาที่ ๖๕๐๘/๒๕๔๗)
นายหนึ่ ง สั่ ง จ ายเช็ คใหแ กน ายสองที่จั ง หวัด นนทบุ รี
ซึ่งเกี่ย วของกับเหตุอันเปน ที่ม าแหงการโตแ ยงสิท ธิทําใหเกิด
อํา นาจฟ อ ง ถื อ ว า มูล คดี เ กิ ดขึ้ น ที่ จั ง หวัด นนทบุ รี นายสอง
มีสิทธิฟองนายหนึ่งตอศาลจังหวัดนนทบุรีไดตามมาตรา ๔ (๑)
อีกแหงหนึ่ง (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ ๒๐๑๖/๒๕๕๔)
นอกจากนี้ การที่ธนาคารปฏิเสธการจายเงิน ที่จังหวัด
เชี ย งใหม เ ป น ที่ ม าแห ง การโต แ ย ง สิ ท ธิ ที่ ทํ า ให น ายสองเกิ ด
อํานาจฟอ ง ถือ วามู ล คดีเ กิดขึ้ น ที่ จั งหวัด เชีย งใหม นายสอง
มีสิทธิฟองนายหนึ่งตอศาลจังหวัดเชียงใหมไดอีกแหงหนึ่งดวย
ตามมาตรา ๔ (๑) (คําพิพากษาฎีกาที่ ๘๕๐๖/๒๕๕๑)
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๒๘๔๑/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๖ น.๗๒
คําวามูลคดี หมายถึงตนเหตุอันเปนที่มาแหงการโตแยงสิทธิอัน
จะทําใหโจทกเกิดอํานาจฟอง
3
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๗
คําพิพากษาฎีก าที่ ๒๙๘/๒๕๕๕ ฎ.๒๓๑ คํารอ งของ
โจทก อ า งว า การดํ า เนิ น กระบวนพิ จ ารณาของศาลชั้ น ต น
ไมถูกตอง ไมชอบดวยกฎหมายเปนการผิดระเบียบ เนื่องจาก
โจทกไมเคยรูจัก ว. อางวาเปนผูรับมอบอํานาจจากโจทก และ
หนั ง สื อ มอบอํ า นาจให ว. ฟ อ งคดี นี้ โจทก ไ ม เ คยรู เ รื่ อ ง
ตลอดจนการลงลายมือชื่อในชองผูมอบอํานาจไมใชลายมือชื่อ
8
เสียทั้งหมดหรือบางสวนหรือสั่งแกไขหรือมีคําสั่งในเรื่องนั้น
อยางใดอยางหนึ่งตามที่ศาลเห็นสมควร ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจ ารณาความแพง มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง ได ศาลชั้น ตน
ชอบที่จ ะตอ งทําการไตสวนใหไดความจริง เสีย กอน หากได
ความจริงตามคํารองของโจทก ก็ชอบที่จะมีคําสั่งใหเพิกถอน
กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๘/๒๕๕๔ ฎ. ๑๕๑ กรณีที่โจทก
ยื่นฎีกา โจทกตองมาฟง คําสั่ง ศาลชั้น ตน ภายใน ๗ วัน ตามที่
ทนายโจทกลงชื่อรับทราบขอความที่ศาลชั้นตนสั่งไว เมื่อครบ
กําหนด ๗ วันนั้นแลว แมโจทกไมมารับทราบคําสั่งเองก็ยอม
ถือไดวาโจทกทราบคําสั่งของศาลที่ใหชําระคาขึ้นศาลเพิ่มนั้น
แลว ซึ่งโจทกก็ไมไดอุทธรณโ ตแยง คําสั่ง ศาลชั้นตนที่ใหเสีย
คาขึ้นศาลเพิ่ม นี้ และไมไดชําระคาขึ้นศาลเพิ่ม ภายในกําหนด
เวลาที่ศาลชั้น ตน มีคําสั่งไวดัง กลาว การที่ศาลชั้น ตน มีคําสั่ง
ไม รั บ ฎี ก าของโจทก จึ ง ชอบแล ว ดั ง นี้ ถึ ง แม ศ าลชั้ น ต น จะ
ดําเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบในการที่ไมแจงคําสั่งไมรับ
ฎีก าของโจทกใหโ จทกทราบก็ตาม แตเ มื่อ กรณีที่ศาลชั้น ตน
ไม รั บ ฎี ก าของโจทก เ ป น ไปโดยชอบเช น นี้ การที่ จ ะแก ไ ข
กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลชั้นตนดังกลาวโดยให
10
มีคําสั่งก็ไมเกิดประโยชนดังที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไว แตคดีนี้ก็เปน
บรรทัด ฐานใหศาลชั้ น ต น ปฏิบัติ วา กรณี ที่ศาลชั้ น ต น สั่ ง ให
ผูฎีกาชําระคาขึ้นศาลเพิ่ม หากผูฎีก าไมชําระ แลว ศาลชั้น ตน
สั่งไมรับฎีกา ศาลชั้นตนตองแจงคําสั่งไมรับฎีกาใหผูฎีกาทราบ
เพื่อใหผูฎีก าใชสิทธิยื่น คํารอ งอุทธรณ คําสั่งไมรับฎีก าตอ ไป
อนึ่ง ฎีก านี้เ ปน ทางปฏิบัติที่ตอ งทราบขั้นตอนในการทํางาน
จึงจะเขาใจขอกฎหมายไดอยางชัดเจน
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๘
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๙๘-๑๙๙๙/๒๕๕๔ ฎ.๑๐๒๐ ศาล
ชั้นตนมีคําสั่งวาจําเลยขาดนัดยื่น คําใหก ารในคดีสํานวนแรก
แลว ตอมาจําเลยนําคดีม าฟอ งโจทกเ ปนคดีสํานวนหลัง เมื่อ
คูค วามในคดีทั้ ง สองสํ า นวนเปน รายเดี ย วกั น หากรวมการ
พิ จ ารณาคดี เ ข า ด ว ยกั น แล ว จะเป น การสะดวก โดยศาล
เห็น สมควรเองก็ดี หรือ คูค วามยื่น คํา รอ งขอใหพิ จ ารณาคดี
รวมกันก็ดี เมื่อศาลไดฟงคูความทุกฝายแลว ถาเปนที่พอใจศาล
วาคดีทั้งสองสํานวนเกี่ยวเนื่องกัน ศาลก็มีอํานาจสั่งใหพิจารณา
คดีรวมกันได ทั้งคดีทั้งสองสํานวนนี้แมขออางที่อาศัยเปนหลัก
แหงขอหาแตละสํานวนจะตางกัน แตประเด็นแหงคดีเปนเรื่อง
เดีย วกัน วา ที่ดิน พิพาทเปน ของโจทกหรือจําเลย ขอ เท็จ จริง
12
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๔๐
คําพิพากษาฎีก าที่ ๔๗๔๑/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๖ น.๑๕๑
ตามคําฟ อ งโจทก เ รี ย กร อ งใหจํา เลยรับ ผิดชํ าระเงิน ตามเช็ ค
พรอมดอกเบี้ย ซึ่งจําเลยใหการตอสูวา โจทกแกไขวันที่สั่ง จาย
เช็คจากป ๒๕๔๑ เปน ๒๕๔๔ เปนการแกไขสาระสําคัญอัน
เปน การปลอมเช็ค และเมื่อ เช็คดังกลาวสั่งจายป ๒๕๔๑ แต
โจทกเรียกเก็บเงินป ๒๕๔๔ และ ๒๕๔๕ คดีจึงขาดอายุความ
ดังนั้น ปญหาที่วา จะมีการแกไขวันที่สั่งจายเช็คหรือไม จึงเปน
ขอสาระสําคัญและเปนประเด็นในคดี จําเลยเองก็ประสงคใหมี
การสงเช็คไปตรวจพิสูจน โดยระบุไวในบัญชีระบุพยาน ทั้งมี
คดีที่โจทกฟองจําเลยใหรับผิดชําระเงินตามเช็คอีกหลายคดีซึ่ง
จําเลยก็ใหการตอสูในทํานองเดียวกันวามีการแกไขวันที่สั่งจาย
ในเช็ค การที่จําเลยจะใชผลการตรวจพิสูจนโดยผูเชี่ยวชาญตาม
หลัก วิชาวามีก ารแกไขวัน ที่สั่งจายเช็คหรือ ไม เพื่อ ประกอบ
การซักถามพยานฝายตนหรือถามคานพยานโจทก ยอมทําให
การวินิจฉัยประเด็นในคดีไดกระจางและเปนธรรมยิ่งขึ้น กรณี
มีเหตุสมควรสงเช็คดังกลาวไปตรวจพิสูจน แมการสงตนฉบับ
13
เช็คไปตรวจพิสูจนอาจเปนเหตุใหมีการเลื่อนคดี แตเมื่อจําเลย
ไดยื่นคําแถลงขอใหมีการตรวจพิสูจนแลวกอนวันนัดสืบพยาน
โจทกนานประมาณ ๑๘ วัน และไมมีเหตุประการอื่นที่อาจสอ
วาจํ าเลยประสงคใ หก ารพิ จ ารณาคดี ลา ชา ลํ าพัง พฤติก ารณ
ดัง กลาวยัง ไมพอถือวาจําเลยมีเจตนาประวิง คดีหรือ ไมติดใจ
ที่จะสงเช็คไปตรวจพิสูจนดังที่โจทกอาง
จําเลยขอสง ตนฉบับเช็คไปตรวจพิสูจนเพื่อ นําผลการ
ตรวจพิสูจนมาประกอบในการซักถามและถามคานพยานของ
โจทก และจําเลยเมื่อ ไมไดรับอนุญาต จําเลยยอมไมมีผลการ
ตรวจพิ สู จ น ม าประกอบในการซั ก ถามและถามค า นพยาน
จําเลยจึง แถลงไมสืบพยาน การแถลงไมสืบพยานของจําเลย
ดังกลาว จึงเปนผลที่สืบเนื่องจากที่ไมมีการตรวจพิสูจนหาใช
เปนเหตุที่ทําใหไมสมควรสงเช็คไปตรวจพิสูจนแตอยางใด
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๔๒
คํา พิ พากษาฎี ก าที่ ๓๕๒/๒๕๕๔ ฎ. ๕๙๑ แมโ จทก
ไมไดเรียกผูใดเขามาแทนจําเลยที่ ๒ ผูเอาประกันภัยซึ่งมรณะ
ก็ไมทําใหสิทธิของโจทกที่จะเรียกรองเอาแกจําเลยที่ ๔ ผูรับ
ประกันภัยเสียไป จําเลยที่ ๔ ตองรับผิดตอโจทกตามประมวล
กฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๘๘๗ วรรคสอง
14
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๔๓
คํ า สั่ ง คํ า ร อ งศาลฎี ก าที่ ท.๔๖๙/๒๕๕๓ ฎ.๒๕๕๑
จํ า เลยถึ ง แก ค วามตายภายในกํ า หนดระยะเวลายื่ น ฎี ก า แม
สัญญาจางวาความระหวางจําเลยกับทนายความจะเปนอันระงับ
สิ้นไปเพราะจําเลยซึ่งเปนตัวการตาย ทนายความที่จําเลยแตงตั้ง
ไวและอยูในฐานะตัวแทนของจําเลยยังมีหนาที่ตองจัดการอัน
สมควรทุ ก อย า งเพื่ อ จะปกป ก รั ก ษาประโยชน อั น ตั ว การ
ไดม อบหมายแกตนไปจนกว า ทายาทหรือ ผูแทนของตัว การ
จะเขาปกปกรักษาประโยชนนั้น ๆ ได ตามประมวลกฎหมาย
แพงและพาณิชย มาตรา ๘๒๘ การที่ทนายจําเลยยื่นฎีกาแทน
จํา เลยภายหลั ง เมื่ อ จํ าเลยตายแล ว นับ ว า เป น การจั ด การอั น
สมควรเพื่อ จะปกปก รัก ษาประโยชนของจําเลย ยอมมีผลให
เปน ฎีกาของผูรองซึ่งเปนทายาทของจําเลยโดยผูรองเพีย งแต
ยื่น คํารองขอเขาเปน คูความแทนจําเลยผูมรณะตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๔๓ โดยไมตองขอให
ถือเอาฎีกาดังกลาวเปนฎีกาของผูรองอีก
15
คูความ
ขอ ๓ คําถาม โจทกฟอ งวาจําเลยที่ ๑ ขับรถยนตโ ดย
ประมาทชนกับ รถยนต ของโจทก จํ าเลยที่ ๑ กระทํา ไปใน
ทางการที่จางของจําเลยที่ ๒ นายจางซึ่งไดทําประกันภัยความ
รับผิดของจําเลยที่ ๒ ไวกับจําเลยที่ ๓ ซึ่งเปนบริษัทประกันภัย
ขอใหจําเลยทั้ง สามรวมกันชําระเงิน แกโ จทก ๑๐๐,๐๐๐ บาท
พร อ มดอกเบี้ย ระหว า งพิ จ ารณาของศาลชั้ น ต น จํ า เลยที่ ๑
มรณะ โจทกยื่นคํารองขอใหศาลหมายเรียกนายเอกทายาทของ
จําเลยที่ ๑ เขาเปนคูความแทนที่จําเลยที่ ๑ ผูมรณะ ศาลไตสวน
แลวอนุญาต ตอมาจําเลยที่ ๒ มรณะ แตโจทกไมไดยื่นคํารอง
ขอใหศาลหมายเรียกบุคคลใดเขาเปนคูความแทนที่จําเลยที่ ๒
ผูม รณะจนพนกําหนด ๑ ป ศาลสั่ง จําหนายคดีโจทกสําหรับ
จําเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความ เมื่อคดีเสร็จการพิจารณา ศาล
พิพากษาใหนายเอกและจําเลยที่ ๓ ชําระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
พรอมดอกเบี้ยตามฟอง กับใหนายเอกและจําเลยที่ ๓ ชําระคา
ฤชาธรรมเนียมแทนโจทกโ ดยกําหนดคาทนายความ ๓,๐๐๐
บาท ทั้งนี้ นายเอกจะรับผิดตอโจทกไมเกินกวาทรัพยมรดกของ
จําเลยที่ ๑ ที่ตกทอดแกนายเอก
ใหวินิจฉัยวา คําพิพากษาของศาลชั้นตนชอบหรือไม
16
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๕๕
คํา พิ พ ากษาฎีก าที่ ๖๑๒๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๑๐
ขณะเกิดเหตุ ช. นอ งชายโจทกอ ายุประมาณ ๑๖ ป และบิดา
โจทกถึงแกความตาย แตยังมี อ. มารดาที่ชอบดวยกฎหมายอยู
ดังนั้น อํานาจปกครองจึงตกอยูแก อ. มารดาของโจทก โจทกจึง
มิใชผูใชอํานาจปกครองดูแล ช. ตามกฎหมายและการที่โจทก
18
ฟองเรียกคาอุปการะเลี้ยงดูแทน ช. โดยมิไดรับมอบอํานาจจาก
อ. โจทก จึ ง ไม มี อํา นาจฟ อ งคดี แมจํ า เลยทั้ ง สองจะมิ ไ ด ย ก
ขอโตแยงในปญหาดังกลาวขึ้นตอสู แตปญหาเรื่องอํานาจฟอง
เปนขอกฎหมายอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๗ ศาลมี
อํานาจยกขึ้นวินิจฉัยได
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๑๕/๒๕๕๔ ฎ.๑๑๔๘ โจทกมิได
ฟองให ส. และ ม. รับผิดในฐานะทายาทผูรับมรดกของจําเลย
ส. และ ม. เขามาในคดีในฐานะเปนคูความแทนจําเลยซึ่งถึงแก
ความตายระหวางการพิจ ารณาคดีของศาลชั้น ตน เพื่อ ดําเนิน
กระบวนพิ จ ารณาแทนจํ า เลยต อ ไปเท า นั้ น ที่ ศ าลชั้ น ต น
พิพากษาให ส. และ ม. ทายาทของจําเลยรับผิดตอโจทกไมเกิน
กวาทรัพยมรดกที่ตกทอดแก ส. และ ม. จึงไมถูกตอง ศาลฎีกา
พิพากษาแกใหจําเลยเปนผูรับผิดดังกลาว
คํา พิพ ากษาฎีก าที่ ๒๙๙๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๔๑
คําฟอ งของโจทกที่ขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิก ถอนการขาย
ทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๓๔๒๒ พรอมทั้งสิ่งปลูกสราง
และใหจําเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๓๒๓
พรอ มสิ่ง ปลู ก สรา งโดย โจทกอา งวา เจา พนัก งานบัง คับคดี
ไมไดแจงประกาศขายทอดตลาดใหทราบ และขายทอดตลาด
19
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๕๗ (๑)
คําพิพากษาฎีก าที่ ๓๖๓๒/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๗๓
พ.ร.บ.ลักษณะปกครองทองที่ ฯ มาตรา ๕ ขอ ๑๔ บัญญัติให
ผูจัดการปกครองศาลเจามีอํานาจและหนาที่จัดการทั่ว ไปใน
กิจการเพื่อ ประโยชนแกศาลเจาโดยฐานะและกาลอันสมควร
และมีอํานาจหนาที่เขาเปนโจทกหรือจําเลยในอรรถคดีทั้งแพง
และอาญาอันเกี่ยวดวยเรื่องศาลเจาทุกประการ ผูรองสอดจึงมี
อํ า นาจดํ า เนิ น คดี ใ นฐานะเป น คู ค วามตามกฎหมายได ต าม
บทบั ง คั บ แห ง กฎเสนาบดี ดั ง กล า ว แต อ ย า งไรก็ ต ามการที่
ผูรองสอดยื่นคํารองสอดวา โจทกทั้งสองและผูถือกรรมสิทธิ์ -
รวมยกที่ ดิ น พิ พ าทให แ ก ผู ร อ งสอดแล ว ผู ร อ งสอดเข า
ครอบครองทําประโยชนในที่ดินพิพาทโดยสงบ เปดเผย ดว ย
21
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๕๗ (๓)
คําพิพากษาฎีกาที่ ๕๐๑๖/๒๕๕๕ ฎ. ๘๖๔ ฎีกาโจทก
ในขอกฎหมายวา ต. เปนคนตางดาว มีเชื้อชาติและสัญชาติจีน
ซึ่งการไดม าซึ่งที่ดินจะตองไดรับอนุญาตจากรัฐมนตรีวาการ
กระทรวงมหาดไทย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๘๖ แต
22
ขอใหศ าลเรี ย กผูใ หเ ชา (ผูข าย) เขาเปน จํา เลยร ว ม หรือ เป น
โจทกรวมกับผูเชา (ผูซื้อ) ในคดีนี้ไดเพื่อศาลจะไดวินิจฉัยชี้ขาด
ขอพิพาทระหวางผูเปนคูกรณีทั้งหลายรวมไปเปนคดีเดียวกัน
โจทกผูเ ชาไมอ าจเขาใช ประโยชนในทรัพ ยสิน ที่เ ช า
เพราะมี จํ าเลยซึ่ ง เป น บุ ค คลภายนอกรบกวนขัด สิ ท ธิ อ ยู ใ น
ทรัพยสินที่เชาอยูกอนตน การกระทําของจําเลยเชนวานั้น ยอม
เปนการโตแยงสิทธิของโจทกรวมซึ่งเปนผูใหเชา มิไ ดโตแยง
สิทธิของโจทกซึ่งเปนผูเชา เพราะโจทกยังมิไดมีสิทธิอยางใด
ในตัวทรัพยสินที่เชาเลย อยางไรก็ตาม ประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชย มาตรา ๔๗๗ ประกอบมาตรา ๕๔๙ จึง บัญญั ติ
ใหโ จทกซึ่ง เปนผูเชาชอบที่จ ะขอใหศาลเรียกผูใหเ ชาเขาเปน
จําเลยรวมหรือเปนโจทกรวมกับโจทกในคดีที่โจทกฟองขับไล
จําเลย เพื่อศาลจะไดวินิจฉัยชี้ขาดขอพิพาทระหวางผูเปนคูกรณี
ทั้งหลายรวมไปเปนคดีเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพื่อใหโจทกซึ่งเปนผูเชา
มีอํานาจฟองบุคคลภายนอกดังกลาวได ถึงแมวาบุคคลภายนอก
จะไดเปนฝายขอใหเรีย กผูใหเ ชาเขามาในคดีแลวก็ตาม การที่
โจทกมิไดขอใหศาลเรียกโจทกรวมเขามาในคดีเชนนี้ จึงมีผล
ใหโจทกไมมีอํานาจฟองจําเลย ทั้งไมมีเหตุผลที่จะใหถือวาศาล
นั้นเห็นสมควร หรือศาลเห็นจําเปนที่จะเรียกจําเลยเขามาในคดี
26
เพื่อประโยชนแหงความยุติธรรมแลวได
คําพิพากษาฎีก าที่ ๓๗๘๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๖ น.๑๑๕
โจทกเ ปน ผูรับจางกอ สรางโรงงาน ไดวาจางจําเลยรว มเป น
ผูรับจางชวงตามสัญญาจางทําของ มีจําเลยทําสัญญาค้ําประกัน
ตอโจทกวา หากจําเลยรวมผิดสัญญาจําเลยจะจายเงินใหโจทก
แทน ตอมาจําเลยรวมผิดสัญญากอสราง โจทกจึงฟองจําเลยให
รั บ ผิ ด ตามสั ญ ญาค้ํ า ประกั น แต ห นั ง สื อ ค้ํ า ประกั น มิ ไ ด มี
ขอ กําหนดใหตองเสนอขอ พิพาทตอ อนุญาโตตุล าการ การที่
จําเลยขอใหศาลหมายเรียกใหจําเลยรวมเขามาเปนคูความฝาย
ที่ส ามเพื่ อ จํ าเลยอาจใช สิท ธิไ ล เ บี้ ย เอาแก จํา เลยรว มไดต าม
ป.วิ . พ. มาตรา ๕๗ (๓) จํ า เลยร ว มไม อ าจยกความผู ก พั น
ระหวางโจทกกับจําเลยรวมตามสัญญาฉบับอื่นมาใชบังคับแก
โจทก สิ ท ธิ ใ นการฟ อ งคดี ข องโจทก มี อ ยู อ ย า งไรย อ มต อ ง
เปนไปตามขอตกลงในหนังสือค้ํา ประกัน เมื่อหนัง สือสัญญา
ค้ํ า ประกั น มิ ไ ด กํ า หนดให โ จทก ต อ งเสนอข อ พิ พ าทต อ
อนุญาโตตุลาการ โจทกจึงฟองจําเลยตอศาลชั้นตน ไดโดยไม
จําตองเสนอขอพิพาทตออนุญาโตตุลาการกอน
หนั ง สื อ ค้ํ า ประกั น ที่ โ จทก ฟ อ งจํ า เลยกั บ สั ญ ญาจ า ง
ทํ า ของระหว า งโจทก กั บ จํ า เลยร ว มเป น สั ญ ญาคนละฉบั บ
ทั้งหนังสือค้ําประกันมิใชเอกสารประกอบสัญญาหรือแนบทาย
27
จําเลยที่ ๒ มิไดอยูในฐานะเปนคูความคนละฝายกับจําเลยรวม
ที่ ๒ จําเลยที่ ๒ จึงไมมีสิทธิอุทธรณและฎีกาในปญหาเกี่ยวกับ
ความรับผิดของจําเลยรว มที่ ๒ โดยที่โจทกมิไดอุทธรณและ
ฎี ก า แม จํ า เลยร ว มที่ ๒ จะยื่ น คํ า แก อุ ท ธรณ แ ละคํ า แก ฎี ก า
คดีก็ไมมีประเด็นปญหาเกี่ยวกับความรับผิดของจําเลยรวมที่ ๒
ในชั้นอุทธรณและฎีก า คําสั่ง ของศาลชั้น ตน ที่ใหรับอุทธรณ
ของจําเลยที่ ๒ จึงไมชอบ การที่ศาลอุทธรณพิจารณาพิพากษา
อุทธรณของจําเลยที่ ๒ ในปญหาดังกลาวและที่ศาลชั้นตนสั่ง
รับฎีกาของจําเลยที่ ๒ ก็ไมชอบเชนกัน
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๖๐
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๖๒๗๑/๒๕๕๔ ฎ.๑๓๙๔ การที่
กรรมการผูมีอํานาจรวมกันลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัท
โจทกในใบแตงทนายความแตงตั้ง ว. เปนทนายโจทก และ ว.
ลงลายมือชื่อเปนโจทกฟองคดีนี้ ถือเปนกรณีที่โจทกฟองคดีนี้
ดวยตนเองโดยแตงตั้ง ว. เปนทนายความใหวาความและดําเนิน
กระบวนพิจารณาคดีนี้แทนตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๖๐ วรรคหนึ่ง
ไม ใ ช ก รณี ที่ โ จทก ม อบอํ า นาจให ว. เป น ผู แ ทนโจทก ต าม
มาตรา ๖๐ วรรคสอง ซึ่งตองมีหนังสือมอบอํานาจใหฟองคดีนี้
30
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๗๙
คําพิพากษาฎีก าที่ ๑๒๓๕/๒๕๕๕ ฎ.๔๘๔ ประมวล
กฎหมายวิ ธีพิ จ ารณาความแพง มาตรา ๗๙ วรรคหนึ่ ง มิไ ด
บัญญัติวาการปดหมายหรือปดประกาศจะตอ งปฏิบัติอยางไร
หรือตองระบุในรายงานการเดินหมายวาปดไว ณ ที่ใดที่แลเห็น
ได ง า ย ทั้ ง ไม มี ร ะเบี ย บกํ า หนดไว จึ ง อยู ใ นดุ ล พิ นิ จ ของ
เจ า พนั ก งานที่ จ ะป ด และรายงานให เ หมาะสมกั บ สถานที่
ที่จะปดซึ่งตองเปนที่เปดเผยใหเห็นไดงาย
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๘๔ (๓)
คําพิ พากษาฎี ก าที่ ๙๕๕๑/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๒๐๖
เมื่อจําเลยที่ ๙ และที่ ๑๐ ขาดนัดยื่นคําใหการ ศาลตองพิจารณา
วาคําฟองของโจทกสําหรับจําเลยที่ ๙ และที่ ๑๐ มีมูลและไมขัด
ตอกฎหมายหรือไม หากเห็นวามีมูลและไมขัดตอกฎหมาย ศาล
ก็ตองพิจารณาใหโจทกเปนฝายชนะคดีไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา
๑๙๘ ทวิ วรรคหนึ่ง และเมื่อโจทกมีคําขอบังคับใหจําเลยที่ ๙
และที่ ๑๐ ชําระหนี้ เ ปน เงิน จํานวนแน น อนและโจทกไดส ง
พยานเอกสารแทนการสืบพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๙๘ ทวิ
วรรคสาม (๑) แลว ศาลยอมพิพากษาใหจําเลยที่ ๙ และที่ ๑๐
รับผิดตอโจทกตามฟองได
31
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๘๔/๑
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๑๐/๒๕๕๕ ฎ.๒๙๕ โจทกมีชื่อ
เปนเจาของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท จึงไดรับประโยชน
จากขอสันนิษฐานของกฎหมายวา ที่ดิน พิพาทเปนของโจทก
จํ า เลยให ก ารว า ย. ภริ ย าจํ า เลยนํ า ที่ ดิ น พิ พ าทซึ่ ง ขณะนั้ น
33
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๘๗
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๐๔/๒๕๕๔ ฎ. ๙๔๒ ศาลชั้นตนมี
คําสั่งใหเจาพนักงานที่ดินทําการรังวัดที่ดินและทําแผนที่วิวาท
ตามคําขอของโจทก แมจะมีคําสั่งภายหลังจากโจทกและจําเลย
นําสืบพยานเสร็จสิ้นแลว แตก็เพื่อใหไดขอเท็จจริงตามที่โจทก
และจําเลยโตแยงกันวาจําเลยกอสรางรั้วรุกล้ําแนวเขตที่ดินดาน
ทิ ศ ตะวั น ออกและทิ ศ ตะวั น ตกของโจทก ห รื อ ไม ซึ่ ง เป น
ประเด็นขอพิพาทในคดี คําสั่งของศาลชั้นตนจึงเปนคําสั่งเพื่อ
ประโยชนแหงความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพง มาตรา ๘๖ วรรคทาย และแมคูความจะมิไดระบุเปน
พยานเพิ่มเติม ศาลก็สามารถรับฟงเปนพยานหลักฐานเพิ่มเติม
ไดตามมาตรา ๘๗ (๒)
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๙๐
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๘๓/๒๕๕๔ ฎ. ๑๑๒๙ เอกสารที่
จําเลยทั้ง สองอางเปน หลัก ฐานที่จําเลยที่ ๒ ไดซื้อ สินคาจาก
บริษัท ค. และมีการคิดบัญชีหักกลบลบหนี้กันแลว โจทกไดยื่น
คํารองคัดคานภายใน ๘ วัน นับแตวัน ที่สง เอกสารตอ ศาลวา
จําเลยทั้งสองไมสงสําเนาเอกสารใหแกโจทกกอนวันสืบพยาน
ไมนอยกวาเจ็ดวันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง
35
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๙๓
คํา พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๑๕๐๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๒๔
ป.รั ษ ฎากร มาตรา ๑๑๘ บั ญ ญั ติ เ พี ย งว า ตราสารใดไม ป ด
แสตมปบริบูรณจะใชตนฉบับ คูฉบับ คูฉีก หรือสําเนาตราสาร
นั้นเปนพยานหลักฐานในคดีแพงไมไดเทานั้น ไมไดบังคับถึง
เวลาที่ปด ดังนั้น แมสําเนาสัญญากูยืมเงินซึ่งเปนฉบับภาพถาย
ที่โ จทกแ นบมาเป น เอกสารทายคํ าฟอ งจะไมปรากฏการป ด
แสตมป แตเ มื่ อ ตน ฉบั บสัญญากูยืม เงิน ที่โ จทกนําสื บในชั้ น
พิจารณาไดปดแสตมปครบถวนบริบูรณมากอนแลวขณะโจทก
อางสงเปนพยานตอศาล จึงยอมใชเปนพยานหลักฐานได ทั้งนี้
โดยโจทกไ มจําตอ งได รับอนุญาตจากศาลใหป ดแสตมปอี ก
เพราะมิ ใ ช เ ป น กรณี ข ออนุ ญ าตป ด แสตมป ภ ายหลั ง อ า งส ง
เอกสารเปนพยานโดยเอกสารนั้นยังไมไดปดแสตมป ที่ศาลลาง
36
ทั้งสองรับฟงสัญญากูยืมเงินเปนพยานหลักฐานจึงไมเปนการ
ฝาฝนตอกฎหมาย
คําพิพากษาฎีกาที่ ๗๙๕๓/๒๕๕๓ ฎ.๒๒๘๒ เอกสาร
ใดจะใชเปนพยานหลักฐานไดหรือไม จะตองพิจารณาในแงวา
มีคุณ คา ตอ การพิสูจ นข อ เท็ จ จริง ตามประเด็ น ในคดี หรื อ ไม
มิใ ชพิ จ ารณาจากวั น เวลาที่ทํ าเอกสาร และแม โ จทกไ มอ า ง
เอกสารดัง กล า วเป น พยาน ท. ผู ทํา เอกสารดั ง กล าวก็ ค งจะ
เบิ ก ความไดค วามตามเอกสารอยูดี การทํา เอกสารดัง กล า ว
ขึ้น มาเป น เพี ย งพยานเอกสารประกอบคํา เบิก ความของ ท.
เทานั้น ดังนั้น แมจะทําเอกสารขึ้นในภายหลัง โจทกก็ยอมอาง
เอกสารนั้นเปนพยานเพื่อพิสูจนขอเท็จจริงที่ตนกลาวอางได
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๙๔
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๕๔๐/๒๕๕๕ ฎ.๔๖๘ โจทก ใ น
ฐานะตัว การฟอ งเรี ย กทรัพยคืน จาก ป. ในฐานะตัว แทนตาม
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๘๑๐ เปนการพิพาท
กันระหวางตัวการและตัว แทน แมโจทกไมมีหลักฐานการตั้ง
ตัว แทนเปน หนัง สื อ ก็ฟอ งรอ งให บัง คับคดีกัน ได ไมขัดต อ
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๗๙๘
37
มาแสดง จําเลยยอมมีสิทธินําสืบพยานบุคคลวาโจทกกับจําเลย
ไมมีเจตนาผูกพันกันตามขอความเกี่ยวกับการถมดินในสัญญา
ได ไมตองหามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔
คําพิพากษาฎีก าที่ ๓๕๔๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๔ น.๑๑๑
การที่จํ าเลยที่ ๑ อา งว ากู ยืม เงิน แทน จึง ตอ งมี หลั ก ฐานเป น
หนังสือแสดงตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๙๘ วรรคสอง การนําสืบ
ถึง การตั้ง ตัว แทนจึง ตอ งมีหลักฐานเปน หนัง สือ มาแสดง แต
จํ า เลยที่ ๑ หาได มี ห ลั ก ฐานที่ บ ริ ษั ท จ. ตั้ ง จํ า เลยที่ ๑ เป น
ตัวแทนกูยืมเงินกับโจทกมาแสดงเปนพยานหลักฐานไม จําเลย
ที่ ๑ เพียงแตอางพยานบุคคลมาสืบเปนพยานคือจําเลยที่ ๒ ซึ่ง
เปนกรรมการผูมีอํานาจกระทําการแทนจําเลยที่ ๑ และเปนผูลง
ลายมื อ ชื่อ เป น ผู กูแ ละประทั บ ตราสํ า คั ญ ของจํ า เลยที่ ๑ ใน
สัญญากูเงินที่ทํากับโจทกมาเบิกความยืนยันวาจําเลยที่ ๑ ผูยืม
เงินแทนบริษัท จ. เพราะ ว. ซึ่งเปนกรรมการผูมีอํานาจกระทํา
การแทนบริษัทดัง กลาวขอรอ ง เนื่ อ งจากบริษัทดัง กลาวไมมี
หลักทรัพยที่จะตองใชในการค้ําประกันและจํานองเปนประกัน
สว นพยานอื่น ของจําเลยที่ ๑ ที่นําสืบก็ลว นเปน พยานบุคคล
เชน กัน การนํ าสืบ ของจํา เลยที่ ๑ ดัง กลา วจึง เป น การนํ าสื บ
พยานบุ ค คลแก ไ ขเปลี่ ย นแปลงสั ญ ญากู เ งิ น ต อ งห า มตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔ (ข)
39
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๒๕
คําพิพ ากษาฎีก าที่ ๘๑๗๒/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๘๑
คําใหการของจําเลยที่ ๑ ปรากฏเพียงวา จําเลยที่ ๑ กับพวกชําระ
หนี้ใหแกโ จทกแลวไมนอยกวา ๓ ใน ๔ สว น โจทกนําบิล ที่
ชําระหนี้แลวมาฟองรองใหชําระอีก เอกสารบางฉบับมีรองรอย
ขูด ลบโดยไมมี ล ายมื อ ชื่ อ กํา กั บ โดยจํ า เลยที่ ๑ มิ ได โ ตแ ย ง
คัดคานใหชัดแจงวาสําเนาใบเสนอสินคาหรือสําเนาใบสงของ
ไมมีตนฉบับหรือตนฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางสวน หรือ
สําเนานั้นไมถูกตองอยางหนึ่งอยางใดตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๒๕
จึง ถือ ไม ได วา จํ าเลยที่ ๑ ได คั ดค านเอกสารดั ง กลา วไวแ ล ว
ประกอบกับขอเท็จจริงไดความจากโจทกเบิกความตอบทนาย
จําเลยที่ ๑ ถามคานวาเอกสารดังกลาวเปนสําเนาเนื่องจากเมื่อ
ตอนที่ออกใบวางบิลโจทกจะคืนใบเสนอสินคาหรือใบสงของ
ซึ่ง เปนหลัก ฐานวาสง สิน คาแลว ใหแกจําเลยที่ ๑ ดว ยทุกครั้ง
แสดงวาตนฉบับเอกสารดังกลาวอยูที่จําเลยที่ ๑ กรณีเชนนี้ถือ
ไดวาโจทกไมสามารถนําตนฉบับมาไดโดยประการอื่นอันมิใช
เกิดจากพฤติการณที่โจทกตองรับผิดชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา
๙๓ (๒) ศาลย อ มรั บ ฟ ง สํ า เนาเอกสารดั ง กล า วเป น พยาน
หลักฐานได
44
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๓๔
คํา พิพ ากษาฎี ก าที่ ๒๘๐๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๔ น.๘๕
โจทกฟอ งโดยกลาวถึง ขอ เท็จ จริง วา จําเลยที่ ๑ ไมสุจ ริตใช
แคชเชียรเ ช็ค ที่ไมสามารถเรี ยกเก็บเงิน ไดชําระราคาที่ดิน แก
โจทก นิติกรรมการซื้อ ขายที่ดินพิพาทจึงตกเปนโมฆียะ และ
นิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทระหวางจําเลยที่ ๑ กับจําเลย
ที่ ๒ ยอมไมสุจริตและไมชอบดวยกฎหมายตามหลักผูรับโอน
ไมมีสิทธิดีกวาผูโอน ดังนี้ เปนหนาที่ของศาลที่จะตองพิจารณา
วาขอเท็จ จริง ตามที่โจทกฟอ งนั้น มีกฎหมายขอใดบัญญัติให
โจทกเกิดสิทธิในการขอใหเพิกถอนนิติกรรมดังกลาวหรือไม
หากมีบัญญัติไวศาลยอมหยิบยกขึ้นมาปรับบทแกคดีของโจทก
ได ไมจําเปน ที่ ศาลจะตอ งพิพากษาใหสิทธิ โ จทกเ ฉพาะบท
กฎหมายที่โจทกอางเทานั้น เมื่อปรากฏวานิติกรรมการซื้อขาย
ที่ดินพิพาทระหวางโจทกกับจําเลยที่ ๑ เปนโมฆะ และปญหา
วานิติกรรมใดเปนโมฆะหรือไม เปนขอกฎหมายอันเกี่ยวดวย
ความสงบเรียบรอยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอํานาจยกขึ้น
วินิจ ฉัย ไดตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) จําเลยที่ ๑ ยอมไมมี
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไมอาจนําไปขายฝากแกจําเลยที่ ๒ จึง
มีเหตุใหเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหวางโจทก
46
ขอความและผลแหงคําพิพากษาและคําสั่ง
ขอ ๔ คําถาม โจทกฟองจําเลยเปนคดีนี้อางวาโจทก ซื้อ
ที่ดินจากจําเลย จําเลยปลูกสรางบานรุกล้ําในที่ดินของโจทกที่
ซื้อ มาจากจําเลย ขอใหจําเลยและบริวารหยุดกอ สรางและรื้อ
ถอนสิ่งปลูกสรางออกจากที่ดินดังกลาว จําเลยใหการและฟอง
แยงวา ที่ดินพิพาทเปนของจําเลยเพราะการจดทะเบียนซื้อขาย
เปนโมฆะ โจทกไมมีอํานาจฟอง และโจทกขัดขวางหามปราม
การกอสรางบานของจําเลยทําใหจําเลยไดรับความเสียหายอัน
เปน การทําละเมิด ตอจําเลย ขอใหย กฟองและใหโจทกชําระ
คาเสียหายแกจําเลย ๕๐๐,๐๐๐ บาท ชั้นชี้สองสถาน ศาลสอบ
คูความแลวขอเท็จจริงฟงไดวา คดีกอนโจทกและจําเลยถูกนาย
ดําฟองขอใหเพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดิน ศาลชั้นตน
วินิจฉัยวา โจทกรับโอนที่ดินโดยรูความจริงวาจําเลยเปนหนี้
นายดําและถูกดําเนินคดีขอหาโกงเจาหนี้ เปนการรั บโอนโดย
รูเทาถึงขอเท็จจริงอันเปนทางใหเจาหนี้เสียเปรียบ ถือไมไดวา
เปนการรับโอนโดยสุจริต เปนการฉอฉลตอเจาหนี้ พิพากษาให
เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหวางโจทกและจําเลย
คดีถึงที่สุดโดยไมมีผูใดอุทธรณ แลวโจทกจึงมาฟองจําเลยเปน
คดีนี้
48
สิ่งปลูกสรางออกจากที่ดินและจําเลยไมอาจฟองเรียกคาเสียหาย
จากการที่อางวาโจทกขัดขวางหามปรามการกอ สรางตอ เติม
บานของจําเลย หากขอเท็จจริงไดความวาที่ดินเปนของจําเลย
จึงจะมีขอพิจารณาตอไปวาการที่โจทกขัดขวางหามปรามการ
กอสรางตอเติมบานจําเลย จะเปนละเมิดและมีความเสียหายตอ
จําเลยหรือไมเพียงใด ความเสียหายตามฟองแยงของจําเลยจะ
เกิดมีขึ้นไดก็โดยอาศัยผลคดีนี้เปนสําคัญ หากยังไมปรากฏผล
คดี นี้ ข อ โต แ ย ง สิท ธิ ร ะหว า งโจทก กั บ จํา เลยจึง ยั ง ไมเ กิ ด ขึ้ น
จํ า เลยยั ง ไม อ าจนํ า คดี ม าฟ อ งได ฟ อ งแย ง ของจํ า เลยเป น
ฟองแยงที่มีเงื่อนไขซึ่งถือวาไมเกี่ยวกับฟองเดิม (คําพิพากษา
ฎีกาที่ ๖๔/๒๕๕๕)
เมื่อไดความวาโจทกไมมีอํานาจฟอง และฟองแยงของ
จําเลยไม เกี่ยวกับฟ อ งเดิม ศาลชอบที่จ ะสั่งงดสืบ พยานและ
พิพากษายกฟอง และยกฟองแยง
คําพิพากษาฎีก าที่ ๑๕๐๕/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๖ น.๓๑ ใน
คดีที่โจทกและจําเลยที่ ๑ ถูก จ. ฟองนั้น ศาลฎีกาไมรับวินิจฉัย
ฎี ก าโจทก ซึ่ ง เป น จํ า เลยที่ ๒ ในคดี ดั ง กล า วไว พิ จ ารณา
ขอเท็จ จริงจึง ตอ งฟงยุติตามที่ศาลอุทธรณวินิจ ฉัยมาวาโจทก
คดีนี้รับโอนที่ดินพิพาทพรอ มสิ่งปลูกสรางโดยรูความจริงวา
50
ในประเด็นที่ไดวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกันตามมาตรา
๑๔๘ ฟ อ งแย ง ของจํ า เลยจึ ง ไม เ ป น ฟ อ งซ้ํ า กั บ คดี ก อ น
(คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๗๐/๒๕๕๔)
ฟอ งแยงของจําเลยจึงไมตอ งหามตามที่โจทกใหก าร
แกฟองแยงไว
คําพิพากษาฎีก าที่ ๒๕๗๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๑๕
คดีแพงเดิมของศาลชั้นตน ศาลไดมีคําพิพากษาถึงที่สุดแลวและ
คูความในคดีดังกลาวกับคูความในคดีนี้เปนคูความเดียวกัน แต
ประเด็นในเรื่องกอนมีวา จําเลยที่ ๑ ไดกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท
โดยการครอบครองปรป ก ษ ห รื อ ไม ซึ่ ง ศาลในคดี ก อ นได
พิพากษายกคํารองขอโดยวินิจฉัยวา ผูรองซึ่งหมายถึงจําเลยที่ ๑
ในคดี นี้ อ า งว า ซื้ อ ที่ ดิ น พิ พ าทจากผู คั ด ค า นที่ ๑ และมี ก าร
สง มอบการครอบครองใหแกผูรอ งแล ว ขณะนั้น ที่ดิน พิพาท
มีเอกสารสิทธิเปน ส.ค.๑ เทากับผูรองอางการซื้อขายสมบูรณ
โดยการสง มอบการครอบครองแลว การที่ผูรอ งอางวาที่ดิน
พิพาทเปนของตนมาตั้งแตมีการซื้อขายกันโดยมิไดอางวาเปน
ของผูอื่น ยอมไมเขาองคประกอบในเรื่องครอบครองปรปกษ
ครั้นเมื่อผูคัดคานที่ ๒ ในคดีกอนกลับมาเปนโจทกฟองขับไล
จําเลยที่ ๑ ซึ่ง เป น ผูรอ งในคดีกอ นกั บบริว ารในคดีนี้ จําเลย
55
ทั้งสองก็ตอสูคดีและฟองแยงโดยอาศัยเหตุเรื่องที่จําเลยที่ ๑ ซื้อ
ที่ดินจากมารดาโจทกและไดเขาครอบครองทําประโยชนใน
ที่ดินติดตอกันเรื่อยมาจนถึงปจจุบัน จําเลยที่ ๑ จึงเปนเจาของ
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอันเปนเหตุผลเดียวกันกับคํารองในคดี
กอน ยอมเทากับจําเลยที่ ๑ ตอสูวา จําเลยที่ ๑ ซื้อ ที่ดินพิพาท
และการซื้อขายสมบูรณโดยการสงมอบการครอบครอง จําเลย
ที่ ๑ จึงเปนเจาของที่ดินโดยการครอบครองแลวดังที่ศาลชั้นตน
วิ นิ จ ฉั ย ในคดี ก อ น จํ า เลยที่ ๑ จึ ง ฟ อ งแย ง ขอให โ จทก จ ด
ทะเบียนโอนที่ดิน พิพาทใหแกจําเลยที่ ๑ เปนผูถือกรรมสิทธิ์
มาดวย ประเด็นที่จะตองวินิจฉัยตามฟองแยงของจําเลยทั้งสอง
จึง มีวา จําเลยที่ ๑ ซื้อและครอบครองที่ดิน พิพาทจนไดสิทธิ
ครอบครองกอ นออกโฉนดที่ดินแลวหรือไม หรือ อีกนัยหนึ่ง
ประเด็นขอพิพาทมีวา ที่ดินพิพาทเปนของโจทกหรือของจําเลย
ที่ ๑ ซึ่งตางกับประเด็นวินิจฉัยในเรื่องกอน ฟองแยงของจําเลย
ที่ ๑ จึงมิใชเปนการรื้อ รองฟองกันอีกในประเด็นที่ไดวินิจฉัย
โดยอาศัย เหตุอ ยางเดียวกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๘ กรณีจึง
ไมเปนฟองซ้ํากับคดีแพงเดิมของศาลชั้นตน
56
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๔๒
คําพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๒/๒๕๕๔ ฎ. ๘๗๐ โจทกฟองวา
จําเลยไดโอนสิทธิใชที่ดินและบานพิพาทใหโจทกแลว จําเลย
ไมยอมขนยายทรัพยสินและบริวารออกไป ขอใหศาลบังคับให
จํา เลยขนย า ยทรั พ ย สิ น และบริว ารออกไป จํา เลยให ก ารว า
โจทกจําเลยไมมีเ จตนาโอนสิทธิใชที่ดิน และบานพิพาท แต
จําเลยกูยืมเงินโจทกและใชทรัพยดังกลาวเปนประกันหนี้เงินยืม
ประเด็นขอพิพาทมีวาโจทกรับโอนสิทธิการใชที่ดินและบาน
พิพาทจากจํา เลยหรือ ไม มิได เ ปน ประเด็น พิพาทเรื่ อ งความ
ตกลงตามประมวลกฎหมายแพ ง และพาณิ ช ย มาตรา ๖๕๖
วรรคสองและวรรคสาม ทั้ง คูความมิไดนําสืบถึง ขอ เท็จ จริง
เรื่อ งการตกลงใหมีการคิดหนี้เงิน ยืม เปนจํานวนเทากับราคา
ทอ งตลาดแหง สิ่ง ของหรือ ทรั พยสิน ในเวลาและ ณ สถานที่
สงมอบกันตามมาตรา ๖๕๖ วรรคสอง กันไวหรือไม การที่ศาล
อุทธรณสรุปขอเท็จจริง วาคูความไมมีการตกลงคิดหนี้เงินยืม
แลวนํามาวินิจฉัยปญหาขอกฎหมายวาเปนการขัดตอความสงบ
เรียบรอยของประชาชน จึงเปนเรื่องนอกฟองนอกประเด็นและ
นอกสํานวน ทั้งเปนขอที่ไมไดยกขึ้นวากันมาโดยชอบในศาล
ตองฟงวาจําเลยไดโอนสิทธิก ารใชที่ดินและบานพิพาทใหแก
57
คําฟองโจทกทั้งสามขอใหเปดทางพิพาทเปนทางภาระจํายอม
แตประการเดีย ว แมคําฟอ งไดบรรยายวาที่ดินของโจทกที่ ๑
และที่ ๒ มีที่ดินของบุคคลอื่นลอมรอบไมมีทางออกไปสูทาง
สาธารณประโยชนก็ตาม แตโจทกทั้งสามก็มิไดขอใหเปดทาง
พิพ าทเปน ทางจํา เปน ดว ย ทั้ ง ในชั้น ชี้ สองสถานศาลชั้น ต น
กําหนดประเด็น ขอพิพาทแตเพียงวาทางพิพาทเปน ทางภาระ
จํายอมหรือไม และจําเลยตองรื้อถอนประตูเหล็กและรั้วออกไป
หรือไม การที่ศาลอุทธรณวินิจฉัยวาทางพิพาทเปนทางจํา เปน
จึงเปนการวินิจฉัยนอกประเด็นมิชอบดวยกฎหมาย
คําพิพากษาฎีก าที่ ๘๑๘๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๗ น. ๑๘๔
โจทกบรรยายฟองวา ที่ดินจําเลยอยูติดกับที่ดินโจทกทางดาน
ทิ ศ ตะวั น ตก โจทก ใ ช ที่ ดิ น ของจํ า เลยกว า ง ๔ เมตร ยาว
ประมาณ ๒๐๐ เมตร เปนทางเขาออกสูที่ดินโจทกโดยสงบและ
โดยเปดเผยเปนเวลากวา ๔๐ ป เนื่องจากไมมีทางเขาออกทาง
อื่น ทางดังกลาวจึงเปนทางภาระจํายอมตามกฎหมายและทาง
จําเปน ตอมาจําเลยทําคันดินปดกั้นทางดังกลาว ขอใหพิพากษา
วาทางพิพาทในที่ดินของจําเลยโฉนดเลขที่ ๒๘๒๐ ตกเปนทาง
ภาระจํายอมของที่ดินโจทก ใหจําเลยจดทะเบียนภาระจํายอม
โดยคําฟอ งโจทกมิไดบรรยายฟองเรื่องทางจําเปนตามมาตรา
๑๓๔๙ วาที่ดินโจทกมีที่ดินแปลงอื่นลอมอยูจนไมมีทางออกสู
60
ของโจทกมีผลบังคับใชอยูตามเดิม ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให
เพิกถอนใบแทนใบคูมือจดทะเบียนรถสําหรับรถยนตคันพิพาท
ที่อ อกโดยไมชอบนั้ น ได คํา พิพ ากษาศาลอุ ทธรณจึ ง ไม เ กิ น
คําขอ
ความสงบเรียบรอยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอํานาจยกขึ้น
วินิจ ฉัย ไดตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) จําเลยที่ ๑ ยอมไมมี
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไมอาจนําไปขายฝากแกจําเลยที่ ๒ จึง
มีเหตุใหเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหวางโจทก
กับจําเลยที่ ๑ และนิติกรรมการขายฝากระหวางจําเลยที่ ๑ กับ
จําเลยที่ ๒ ได
เมื่อศาลพิพากษาใหเพิก ถอนการจดทะเบีย นนิติกรรม
การซื้อขายและการขายฝากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแลว โจทก
ยอมกลับมามีชื่อเปนเจาของที่ดินในโฉนดที่ดินพิพาททั้งสอง
แปลงโดยทันที และ ป. ที่ดินฯ มาตรา ๖๑ วรรคแปด บัญญัติไว
ความว า ในกรณี ที่ ศ าลมี คํ า พิ พ ากษาหรื อ คํ า สั่ ง ถึ ง ที่ สุ ด ให
เพิกถอนหรือแกไขการจดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรมเกี่ยวกับ
อสัง หาริมทรัพยอยางใดแลว ใหเ จาพนัก งานที่ดิน ดําเนิน การ
ตามคํ า พิพ ากษาหรื อ คํ าสั่ ง นั้ น จึ ง ไม จํา ต อ งบัง คั บ ใหจํ า เลย
ทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมดังกลาว
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๔๓
คําพิพากษาฎีก าที่ ๒๔๕๔/๒๕๕๕ ฎ. ๗๕๕ โจทกมี
เวลาตรวจสอบคําฟอง ๗๖ วัน ซึ่ง เปน เวลานานประกอบกับ
โจทกเ ปนสถาบันการเงินยอมมีความระมัดระวัง เรื่องจํา นวน
63
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๔๔
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๔๘/๒๕๕๔ ฎ.๑๒๐๒ แมโจทก
เคยฟ อ งจํ า เลยทั้ ง สามเป น จํ า เลยในคดีแ พ ง หมายเลขแดงที่
๑๓๙๓๖/๒๕๔๕ ของศาลชั้นตนในขอหาเชนเดียวกับคดีนี้ แต
ในคดี ก อ นโจทก ฟ อ งบริ ษั ท ย. ซึ่ ง เป น ผู กู ยื ม เงิ น จํ า นวน
๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากบริษัทเงิน ทุน ธ. เปน จําเลยที่ ๑ และ
ฟองจําเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ คดีนี้เปนจําเลยที่ ๔ ที่ ๒ และที่ ๓
ตามลําดับ ในฐานะผูค้ําประกันหนี้รายนี้โดยจําเลยที่ ๒ นําที่ดิน
รวม ๑๑ โฉนด จํานอง ค้ําประกัน สวนคดีนี้โจทกฟองจําเลยที่
๔ ในคดี ดั ง กล า วเปน จํ า เลยที่ ๑ ในฐานะผู กู ยื ม เงิ น จํ า นวน
๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในคดีกอนเปน
ผูค้ําประกัน หนี้ โดยจําเลยที่ ๒ นําที่ดิน ทั้ง ๑๑ โฉนด ในคดี
กอนจํานองเปนประกันหนี้ในคดีนี้ ซึ่งผูกูยืมหาไดเปนคูความ
รายเดียวกันไม มูลหนี้ที่กูยืมก็คนละจํานวนกัน แมจําเลยที่ ๒
ในคดี ก อ นเป น ผู ค้ํ า ประกั น หนี้ ใ นคดี นี้ แ ละนํ า ที่ ดิ น ทั้ ง ๑๑
โฉนดในคดีกอนมาจํานองเปนประกันหนี้ในคดีนี้ดวย ก็หาได
มีกฎหมายหามมิใหเปนผูค้ําประกันและนําที่ดินแปลงเดียวกัน
ไปจํานองเปนประกันผูอื่นไดอีก ไม สวนการบังคับจํานองจะ
ดําเนินการบังคับไดอยางไรยอมเปนไปตามที่กฎหมายกําหนด
65
คดีนี้จึงไมเปนการดําเนินกระบวนพิจารณาซ้ํากับคดีกอนตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๑๔๔
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๔๕
คําพิพากษาฎีก าที่ ๑๕๐๕/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๖ น.๓๑ ใน
คดีที่โจทกและจําเลยที่ ๑ ถูก จ. ฟองนั้น ศาลฎีกาไมรับวินิจฉัย
ฎี ก าโจทก ซึ่ ง เป น จํ า เลยที่ ๒ ในคดี ดั ง กล า วไว พิ จ ารณา
ขอเท็จ จริงจึง ตอ งฟงยุติตามที่ศาลอุทธรณวินิจ ฉัยมาวาโจทก
คดีนี้รับโอนที่ดินพิพาทพรอ มสิ่งปลูกสรางโดยรูความจริงวา
จําเลยที่ ๑ เปน หนี้ จ. และถูกดําเนินคดีขอหาโกงเจาหนี้ เปน
การรั บ โอนโดยรู เ ท า ถึ ง ข อ เท็ จ จริ ง อั น เป น ทางให เ จ า หนี้
เสียเปรียบ ถือไมไดวาเปนการรับโอนโดยสุจริตเปนการฉอฉล
ตอ จ. เจาหนี้ แมโจทกและจําเลยที่ ๑ คดีนี้จะเปนจําเลยดวยกัน
ในคดีกอนก็ตาม ก็ตองถือวาโจทกและจําเลยที่ ๑ เปนคูความใน
กระบวนพิจ ารณาของศาลในคดีกอ นดว ย คําพิพากษาในคดี
ดังกลาวจึงมีผลผูกพันโจทกและจําเลยที่ ๑ คดีนี้ดวยตาม ป.วิ.พ.
มาตรา ๑๔๕ เมื่อ ศาลอุทธรณในคดีเ ดิมมีคําพิพากษายืน ตาม
คําพิพากษาศาลชั้นตนใหเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการ
ซื้อขายที่ดินพิพาทพรอมสิ่งปลูกสรางระหวางโจทกและจําเลย
ที่ ๑ แลว จึ ง ต อ งถือ วา โจทก และจํา เลยที่ ๑ ไมไ ดทํ าสั ญญา
66
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๔๖
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๑๗๒-๓๑๗๓/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๕ น.
๑๒๘ คดีในสํานวนที่สองศาลอุทธรณพิพากษายืน ใหโจทกรับ
ผิด ต อ จํา เลยที่ ๑ เป น เงิ น ๔๙,๑๕๐ บาท ฎี ก าของโจทก ใ น
สํ า นวนที่ ส องจึ ง ต อ งห า มฎี ก าตาม ป.วิ . พ. มาตรา ๒๔๙
วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไมรับวินิจฉัย
คดีในสํานวนแรกเมื่อวินิจฉัยวา จําเลยที่ ๑ ประมาทฝาย
เดียวแลว จึงทําใหคําวินิจฉัยของศาลอุทธรณในสํานวนที่สอง
ที่วา ว. ผูขับรถคันที่โจทกรับประกันภัยมีสวนประมาทหนึ่งใน
สามสวน และจําเลยที่ ๑ มีสวนประมาทสองในสามสวน ขัดกับ
คําวินิจ ฉัย ของศาลฎีกา เมื่อ เปน เชน นี้ตองบัง คับตาม ป.วิ.พ.
มาตรา ๑๔๖ วรรคหนึ่ง โดยถือตามคําพิพากษาศาลฎีกาที่ฟงวา
จําเลยที่ ๑ ประมาทฝายเดียว โจทกจึงไมตองรับผิดตอจําเลยที่ ๑
ตามคําพิพากษาศาลอุทธรณในสํานวนที่สอง
69
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๔๘
คําพิพากษาฎีก าที่ ๒๕๗๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๑๕
คดีแพงเดิมของศาลชั้นตน ศาลไดมีคําพิพากษาถึงที่สุดแลวและ
คูความในคดีดังกลาวกับคูความในคดีนี้เปนคูความเดียวกัน แต
ประเด็นในเรื่องกอนมีวา จําเลยที่ ๑ ไดกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท
โดยการครอบครองปรป ก ษ ห รื อ ไม ซึ่ ง ศาลในคดี ก อ นได
พิพากษายกคํารองขอโดยวินิจฉัยวา ผูรองซึ่งหมายถึงจําเลยที่ ๑
ในคดี นี้ อ า งว า ซื้ อ ที่ ดิ น พิ พ าทจากผู คั ด ค า นที่ ๑ และมี ก าร
สง มอบการครอบครองใหแกผูรอ งแล ว ขณะนั้น ที่ดิน พิพาท
มีเอกสารสิทธิเปน ส.ค.๑ เทากับผูรองอางการซื้อขายสมบูรณ
โดยการสง มอบการครอบครองแลว การที่ผูรอ งอางวาที่ดิน
พิพาทเปนของตนมาตั้งแตมีการซื้อขายกันโดยมิไดอางวาเปน
ของผูอื่น ยอมไมเขาองคประกอบในเรื่องครอบครองปรปกษ
ครั้นเมื่อผูคัดคานที่ ๒ ในคดีกอนกลับมาเปนโจทกฟองขับไล
จําเลยที่ ๑ ซึ่ง เป น ผูรอ งในคดีกอ นกั บบริว ารในคดีนี้ จําเลย
ทั้งสองก็ตอสูคดีและฟองแยงโดยอาศัยเหตุเรื่องที่จําเลยที่ ๑ ซื้อ
ที่ดินจากมารดาโจทกและไดเขาครอบครองทําประโยชนใน
ที่ดินติดตอกันเรื่อยมาจนถึงปจจุบัน จําเลยที่ ๑ จึงเปนเจาของ
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอันเปนเหตุผลเดียวกันกับคํารองในคดี
กอน ยอมเทากับจําเลยที่ ๑ ตอสูวา จําเลยที่ ๑ ซื้อ ที่ดินพิพาท
70
และการซื้อขายสมบูรณโดยการสงมอบการครอบครอง จําเลย
ที่ ๑ จึงเปนเจาของที่ดินโดยการครอบครองแลวดังที่ศาลชั้นตน
วิ นิ จ ฉั ย ในคดี ก อ น จํ า เลยที่ ๑ จึ ง ฟ อ งแย ง ขอให โ จทก จ ด
ทะเบียนโอนที่ดิน พิพาทใหแกจําเลยที่ ๑ เปนผูถือกรรมสิทธิ์
มาดวย ประเด็นที่จะตองวินิจฉัยตามฟองแยงของจําเลยทั้งสอง
จึง มีวา จําเลยที่ ๑ ซื้อและครอบครองที่ดิน พิพาทจนไดสิทธิ
ครอบครองกอ นออกโฉนดที่ดินแลวหรือไม หรือ อีกนัยหนึ่ง
ประเด็นขอพิพาทมีวา ที่ดินพิพาทเปนของโจทกหรือของจําเลย
ที่ ๑ ซึ่งตางกับประเด็นวินิจฉัยในเรื่องกอน ฟองแยงของจําเลย
ที่ ๑ จึงมิใชเปนการรื้อ รองฟองกันอีกในประเด็นที่ไดวินิจฉัย
โดยอาศัย เหตุอ ยางเดียวกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๘ กรณีจึง
ไมเปนฟองซ้ํากับคดีแพงเดิมของศาลชั้นตน
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๔๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๓ น.๙๐ คดี
กอน ศาลชั้นตนพิพากษายกฟองโดยวินิจฉัยวา ที่ดินพิพาทและ
โรงเรียนของจําเลยปลูกอยูบนที่ดินราชพัสดุ โจทกไมมีอํานาจ
ฟ อ ง โดยไม ไ ด วิ นิ จ ฉั ย ว า โจทก มี สิ ท ธิ ดี ก ว า จํ า เลยหรื อ ไม
อยางไร ศาลอุทธรณพิพากษายกคําพิพากษาศาลชั้นตน ใหศาล
ชั้นตนวินิจฉัย ในประเด็น วาโจทกไดรับความเสียหายหรือไม
เพี ย งใดเท านั้ น สว นประเด็ น ว า โจทก มี อํา นาจฟ อ งหรื อ ไม
วินิจฉัยวาโจทกมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกวาจําเลย จึงมี
71
อํานาจฟองขับไลจําเลยออกจากบานที่เชาได แตไมไดวินิจฉัย
วาโจทกมีสิท ธิฟอ งขับไลจํ าเลยออกจากที่ดิ น พิพาทและให
รื้อถอนโรงเรือนที่จําเลยปลูกสรางในคดีนี้ไดหรือไม ประเด็น
ปญหาวา โจทกมี สิท ธิฟอ งขับ ไล จําเลยและบริว ารพรอ มให
รื้อถอนบานเพิงไมไดหรือไม เปนประเด็นที่ศาลชั้นตนและศาล
อุทธรณในคดีกอ นยังไมไดวินิจฉัย แมการวินิจฉัยประเด็น นี้
จะตอ งอาศัยเหตุอยางเดียวกันเชนคดีนี้ก็ตาม ก็ยังถือไมไดวา
เปนคดีที่มีคําพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ไดวินิจฉัยโดยอาศัย
เหตุอยางเดียวกันอันจะเปนฟองซ้ํา จึงไมตองหามที่โจทกฟอง
จําเลยเปนคดีนี้
คําพิพากษาฎีก าที่ ๘๔๔๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๙๓
คดีกอนโจทกฟองขอใหพิพากษาวาทางพิพาทเปนทางภาระ
จํายอมโดยอายุความ ศาลชั้น ตน และศาลอุทธรณ พิพากษาวา
เปน ทางภาระจํายอมแกที่ดิน ของโจทกโ ดยอายุความ คดีถึ ง
ที่สุดแลว ซึ่งสิทธิของโจทกที่ไดทางภาระจํายอมโดยอายุความ
ยอมไดรับการคุมครองตามกฎหมายอยูแลว โจทกมาฟองคดีนี้
ขอใหบังคับจําเลยจดทะเบียนทางพิพาทเปนทางภาระจํายอม
ดังนี้ แมคําขอบังคับทายฟองจะแตกตางกัน แตประเด็นที่ตอง
พิจารณาก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน คือ ทางพิพาทเปนทาง
ภาระจํายอมหรือ ไม เปนกรณีที่โ จทกสามารถเรียกรองโดยมี
72
คําขอใหบังคับจําเลยจดทะเบียนทางพิพาทเปนทางภาระจํายอม
ในคดีกอนไดอยูแลว แตโจทกมิไดเรียกรองมาในคราวเดียวกัน
ในคดีกอ น กลับนํามาฟองเรีย กรอ งเพิ่ม เติม เปน คดีนี้ จึง เปน
ประเด็นที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกัน เปนฟองซ้ํากับคดี
กอ นตาม ป.วิ. พ. มาตรา ๑๔๘ โจทก ห าอาจอา งความรู เ ท า
ไมถึงการณและความเขาใจคลาดเคลื่อนสําคัญผิดไปหาไดไม
คําพิพากษาฎีก าที่ ๘๒๗๕/๒๕๕๔ ฎ.๑๘๑๐ คดีกอ น
จําเลยเปนโจทกยื่น ฟอ งโจทกทั้ง สองเปนจําเลยโดยบรรยาย
ฟองวา จําเลยเปนผูซื้อ และรับโอนสิทธิเรียกรอ งในสินทรัพย
รวมทั้งหนี้สินที่โจทกทั้งสองมีอยูกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย
ส. เมื่อ วั น ที่ ๓๐ กั น ยายน ๒๕๔๒ และมีคํา ขอให ศาลมีคํา -
พิพากษาบังคับใหโจทกทั้งสองชําระหนี้ดังกลาว โจทกทั้งสอง
ใหการตอวา จําเลยคํานวณหนี้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไมถูกตอง
และเรี ย กดอกเบี้ย เกิน กวา ที่ ก ฎหมายกํ า หนด โจทก ทั้ ง สอง
ไมเ คยผิดนัดชําระหนี้ จําเลยบอกกลาวบัง คับจํานองไมชอบ
ดว ยกฎหมาย ดัง นี้ มู ล เหตุ ต ามข อ อ า งและคํา ขอบั ง คับ ของ
โจทกทั้ง สองคดีนี้ ที่วา สัญ ญาซื้อ ขายสิทธิเ รีย กรอ งระหวา ง
จําเลยกับ ปรส. เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๒ อันเกี่ยวกับมูล
หนี้ของโจทกทั้งสองตกเปนโมฆะ โจทกทั้งสองไมตองรับผิด
ตอจําเลยในฐานะผูรับโอน จึงเปนเรื่องที่เกิดขึ้ น กอ นที่โ จทก
73
ในฐานะผูใหเชาซื้อ จึงถือวาไดทําสัญญาเชาซื้อกันเปนหนังสือ
มิได สัญญาเชาซื้อตกเปนโมฆะ ไมจําตองวินิจฉัยประเด็นอื่น
ที่อาศัยสิทธิตามสัญญาเชาซื้ออีก ใหยกฟองโจทก คดีถึงที่สุด
คดีนี้คําฟอ งของโจทกเ หมือนกับคดีกอ นทุก ประการ เมื่อ คดี
กอ นศาลไดมีคําพิพากษาถึง ที่สุดแลว โจทกจึง ไมอาจรื้อรอ ง
ฟองอีกไดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา
๑๔๘
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๕๑
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๖๙/๒๕๕๔ ฎ.๓๑ จําเลยทิ้งฟอง-
แยง แมศาลชั้นตนมิไดสั่งจําหนายคดีในสว นฟองแยง แตการ
ทิ้งฟองแยงยอมลบลางผลแหง การยื่นคําฟองแยงนั้น รวมทั้ง
กระบวนการพิจารณาอื่น ๆ ซึ่งมีมาตอภายหลังยื่นคําฟองแยง
และกระทําใหคูความกลับคืนเขาสูฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิไดมี
การยื่นฟองแยงเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง
มาตรา ๑๗๖ คําฟองแยงของจําเลยจึงมิไดยังคงอยูจนถึงวันที่ทํา
สัญญาประนี ประนอมยอมความที่ จ ะเขา เงื่อ นไขในการคื น
คาขึ้นศาลตามมาตรา ๑๕๑ วรรคสอง แหงประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพง ซึ่งใชบังคับอยูในขณะที่ศาลชั้นตนมีคําสั่ง
75
การที่ศาลชั้นตนมีคําสั่งใหคาขึ้นศาลสําหรับฟองแยงเปนพับจึง
ชอบแลว
หมายเหตุ (โดยทานอาจารยสมชัย ฑีฆาอุตมากร) คําพิพากษา
ฎีก าฉบับนี้ ศาลชั้น ตน ถือวาจําเลยทิ้ง ฟองแยง และมีคําสั่ง ให
คาขึ้นศาลเปนพับ ทําใหคดีนี้เสร็จไปจากศาลชั้นตน โดยมิได
วินิจฉัยในประเด็นแหงคดี อันมีผลเทากับเปนการจําหนายคดี
เสียจากสารบบความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
แพ ง มาตรา ๑๓๑ (๒) และมาตรา ๑๓๒ แล ว เพี ย งแต ศ าล
ชั้นตนหลงลืมมิไดสั่งจําหนายคดีเพื่อประโยชนในการควบคุม
คดีในงานธุรการของศาลเทานั้น จึงมิใชเรื่องที่จะกลับไปยอน
วิ นิ จ ฉั ย ถึ ง การทิ้ ง ฟ อ งแย ง และผลแห ง การทิ้ ง ฟ อ งแย ง ตาม
มาตรา ๑๓๒ และมาตรา ๑๗๖ อีก
สวนการคืนคาธรรมเนียมศาลหรือคาขึ้นศาลในกรณีที่มี
การทิ้ง ฟอ ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ ง มาตรา
๑๕๑ ที่ใชบั ง คับเดิม มิ ไดบัญ ญัติให ศาลมี อํานาจที่จ ะสั่ง คื น
คาธรรมเนียมศาลไดเ ลย แตปจ จุบันเมื่อ ไดมีก ารประกาศใช
พระราชบัญญั ติแกไ ขเพิ่ม เติม ประมวลกฎหมายวิธีพิ จ ารณา
ความแพง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลใชบังคับตั้งแตวันที่
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ซึ่งมาตรา ๑๕๑ วรรคสาม ที่แกไขใหม
76
บัญ ญัติ ให ศาลมี อํ านาจที่จ ะสั่ ง คืน คา ขึ้น ศาลบางส ว นตามที่
เห็นสมควร คําพิพากษาฎีกาฉบับนี้ตัดสินตามบทกฎหมายเดิม
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๗๒
คําพิพากษาฎีกาที่ ๕๔๐/๒๕๕๕ ฎ.๔๖๘ ในการฟองคดี
แพง โจทกเพียงบรรยายฟองใหปรากฏขอเท็จจริงโดยแจงชัด
ซึ่งสภาพแหงขอหาและขออางที่อาศัยเปนหลัก แหงขอหา ศาล
มีหนาที่นําหลักกฎหมายมาปรับขอเท็จจริงแหงคดีวาขอเท็จจริง
นั้น ต อ งด ว ยบทบั ญ ญั ติก ฎหมายลั ก ษณะใด และมี ผลทํ า ให
จําเลยตองรับผิดตอโจทกหรือไม เพียงใด การที่โจทกนําสืบวา
โจทกมอบหมายให ป. นําที่ดินของโจทกไปขายโดยตั้งราคาไว
๒๐๐,๐๐๐ บาท หากขายไดเกินราคาที่ตั้งไว สวนที่เ กินโจทก
ยกใหแก ป. นั้น เปนไปตามคําฟอ ง จึง ไมเปนขอเท็จจริงนอก
คําฟอ ง ส ว น ป. จะเปน ตัว แทนหรือนายหนาของโจทก เปน
ปญหาที่ศาลจะตองวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสํานวน
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๒๗๘๓/๒๕๕๔ ฎ. ๑๑๒๙ ฟ อ ง
เคลือบคลุมหรือไม ตองพิจารณาจากคําบรรยายฟองของโจทก
วาเปน คําฟอ งที่ไดแสดงโดยแจง ชัดซึ่ง สภาพแหง ขอ หาและ
คําขอบัง คั บ ทั้ง ขอ อ า งที่อ าศั ย เปน หลัก แหง ขอ หาเชน วานั้ น
ตามประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความแพ ง มาตรา ๑๗๒
77
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๗๓
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๑๒๗๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๔
ปญหาวาฟองแยงเปนฟองซอนหรือไมนั้น แมมูลคดีในคดีนี้กับ
ในคดีกอนเปน เรื่องเดีย วกัน แตในคดีกอนจําเลยฟอ งเรียกคา
ระวางจากบริ ษัท อ. และ ป. ในฐานะส ว นตั ว มิ ใช ใ นฐานะ
ตัว แทนโจทก คูความในคดีกอ นกับคดีนี้จึงเปน คนละคนกัน
ถือไมไดวาฟองแยงเปนฟองซอนกับฟองในคดีกอน ฟองโจทก
ไมเปนฟองซอน อยางไรก็ตาม หากจําเลยไดรับชําระหนี้ในมูล
เดีย วกัน กับมูล หนี้คดีนี้จ ากบริษัท อ. และ ป. จากผลแหง คดี
ดังกลาวไปกอนแลวจํานวนเทาใด ยอ มมีสิทธิไดรับชําระหนี้
จากโจทกในคดีนี้ล ดลงตามจํานวนเงิน ที่ไดรับชําระหนี้แลว
จึ ง สมควรกํ า หนดเงื่ อ นไขเกี่ ย วกั บ กรณี ดั ง กล า วไว ใ น
คําพิพากษาคดีนี้ดวย
78
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๗๔
คําสั่งศาลฎีกาที่ ๖๒๖๙/๒๕๕๔ ฎ.๑๓๗๗ ศาลชั้นตนมี
คําสั่ง ในฎีก าของจําเลยวา “รับฎีก า ใหจําเลยนําสง สําเนาให
โจทกแ กภ ายใน ๑๕ วั น นับ แตวั น นี้ หากสง ไมไ ดใ หแ ถลง
ภายใน ๑๕ วัน นับแตวันสงไมได มิฉะนั้นถือวาทิ้งฎีกา” โดยมี
คําสั่ ง ในวัน ที่ ๒๐ ธัน วาคม ๒๕๕๓ และในฎีก าของจํา เลย
หนาแรกมีขอความเปนตรายางประทับวา “ถาศาลไมอาจสั่งได
ในวันนี้ ผูยื่นจะมาติดตามเพื่อทราบคําสั่งทุก ๆ ๗ วัน มิฉะนั้น
ถื อ ว า ทราบคํ า สั่ ง แล ว ” โดยทนายจํ า เลยลงลายมื อ ชื่ อ ไว
ใตขอความดังกลาว ตองถือวาจําเลยทราบคําสั่งของศาลชั้นตน
แล ว และเปน หน าที่ ของจํ าเลยที่ จ ะตอ งนํ าส ง หมายนั ดและ
สําเนาฎีกาใหแกโจทกซึ่ง มีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลชั้นตนดว ย
ตนเอง การที่จําเลยเสียคาใชจายในการสงหมายนัดและสําเนา
ฎีก าโดยการวางเงิน ตอ ศาลชั้น ตน ตามระเบี ย บที่ศาลชั้ น ต น
กําหนด ไมทํ าใหจํ าเลยหมดหน าที่ จ ะตอ งจั ดการนํา สง ตาม
คําสั่ง ศาลชั้น ตน และจําเลยมีหนาที่ติดตามผลการสง หมายวา
สง ไดหรื อ ไม อ ยา งไร เมื่ อ เจ าหน าที่ศ าลไดนํา หมายนัด และ
สําเนาฎีกาไปสงใหแกโจทกเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๔ แต
สง ไม ไ ด เ พราะไม มี ผู ใ ดรั บ ไวแ ทน แม เ จ า หน า ที่ ศ าลจะทํ า
รายงานการสงหมายลงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ รายงานตอ
79
ศาลชั้นตนและศาลชั้นตนมีคําสั่งใหรอจําเลยแถลงเมื่อวันที่ ๑๘
มกราคม ๒๕๕๔ ก็ตาม ก็ตองถือวาจําเลยทราบวาไมสามารถ
สงหมายนัดและสําเนาฎีกาใหโจทกไดตั้งแตวันที่เจาหนาที่ศาล
นําหมายไปสงใหแกโจทกในวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๔ แลว
เมื่อจําเลยไมแถลงภายใน ๑๕ วัน นับแตวันสงไมไดตามที่ศาล
ชั้น ตนกําหนด แตม ายื่น คําแถลงขอเวลาตรวจสอบภูมิลําเนา
ของโจทกในวันที่ ๙ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ ซึ่งเปนเวลาหลังจาก
นั้น ประมาณ ๑ เดื อ น จึ ง ถือ วาเปน การเพิ ก เฉยไม ดําเนิน คดี
ภายในเวลาที่ ศ าลชั้ น ต น กํ า หนด เป น การทิ้ ง ฟ อ งฎี ก าตาม
ประมวลกฎหมายวิ ธีพิ จ ารณาความแพ ง มาตรา ๑๗๔ (๒)
ประกอบมาตรา ๒๔๖ และ ๒๔๗
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๗๕
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๗๙/๒๕๕๕ ฎ.๕๙๕ โจทกและ
จําเลยตางยังไมมีฝายใดนําพยานเข าสืบเพื่อสนับสนุน คําฟอ ง
หรือคําใหการของฝายตน การที่โจทกขอถอนฟองยอมเห็นได
วาไมมีเหตุที่จะทําใหจําเลยตองเสียเปรียบโจทกในเชิงคดี แม
จํ า เลยจะคั ด ค า นการที่ โ จทก ข อถอนฟ อ ง ศาลชั้ น ต น ก็ ใ ช
ดุลพินิจอนุญาตใหโจทกถอนฟองไดโดยชอบ
80
ถือเอาผูจัดการนิติบุคคลอาคารชุดตามรายการจดทะเบียนและ
รายการเปลี่ ย นแปลงข อ บั ง คั บ ของนิ ติ บุ ค คลอาคารชุ ด นั้ น
ตอ พนัก งานเจาหนาที่ แมผูคัดคานซึ่ง เปน ผูจัดการนิติบุคคล
อาคารชุ ด คนเดิ ม จะเป น ผู ยื่ น ฟ อ ง ยื่ น อุ ท ธรณ แ ละเป น ผู ล ง
ลายมื อ ชื่ อ แต ง ทนายความไว ก็ ต าม แต เ มื่ อ โจทก ไ ด มี ก าร
จดทะเบีย นเปลี่ย นแปลงผูจัดการนิ ติบุ คคลอาคารชุดมาเป น
จําเลยที่ ๗ แลว จําเลยที่ ๗ ยอมมีอํานาจถอนอุทธรณและถอน
ทนายความแทนโจทกได โดยถือ ว าเป น ความประสงคของ
โจทก ทั้งการถอนอุทธรณและถอนทนายความโจทกก็เปนสิทธิ
ของโจทก ไมถือ เปนการใชสิทธิโ ดยไมสุจ ริต ที่ศาลอุทธรณ
มีคําสั่ง อนุญาตใหโ จทกถอนอุท ธรณและถอนทนายความได
จึงเปนคําสั่งที่ชอบแลว
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๗๖
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๙๘-๑๙๒๑/๒๕๕๕ ฎ.๓๑๑ โจทก
ที่ ๘ ถอนคําฟองและศาลจําหนายคดีเฉพาะโจทกที่ ๘ ออกจาก
สารบบความแลว การถอนคําฟองยอ มลบลางผลแหงการยื่น
คําฟองนั้น รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่น ๆ อันมีมาตอภายหลัง
ยื่น คําฟอ ง และกระทํา ใหคูความกลับคืน สูฐานะเดิม เสมือ น
หนึ่ง มิไดมีก ารยื่นฟองเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
82
พิพาทดังกลาวเปนของจําเลย แตจําเลยกลับใหการในตอนหลัง
ว า ที่ ดิ น พิ พ าทเป น ทางสาธารณะ โจทก จึ ง ไม ใ ช ผู เ สี ย หาย
คําใหการในตอนหลังจึงขัดแยงกับคําใหการในตอนแรกซึ่งอาง
วาที่ดินพิพาทเปนของจําเลย คําใหการของจําเลยจึงไมชัดแจง
วาที่ดินพิพาทเปน ของจําเลยหรือเปน ทางสาธารณะ ไมชอบ
ด ว ยประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความแพ ง มาตรา ๑๗๗
วรรคสอง คดี ไม มี ประเด็น ขอ พิพ าทว าที่ ดิน พิพ าทเป น ทาง
สาธารณะหรื อ ไม จํ า เลยอุ ท ธรณ ว า ที่ ดิ น พิ พ าทเป น ทาง
สาธารณประโยชน โจทกไมไดรับความเสียหายจึงไมมีอํานาจ
ฟอ ง จึ ง เปน ข อ ที่ ไ ม ไ ดย กขึ้ น ว า กั น มาแล ว โดยชอบในศาล
ชั้น ตน ไมช อบด ว ยประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ ง
มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง
คําพิพากษาฎีกาที่ ๗๗๘๔/๒๕๕๔ ฎ.๑๔๕๗ คําใหการ
ของจําเลยที่วาโจทกจะมอบอํานาจให ก. เปนผูรับมอบอํานาจ
ช ว งทํ า การแทนหรื อ ไม จํ า เลยไม ท ราบและไม ข อรั บ รอง
หนังสือ มอบอํานาจเอกสารทายฟอ งเปนเพียงสําเนา จะมีการ
เปลี่ยนแปลงอํานาจที่เคยมอบกันไวหรือไม ทั้งทําขึ้นโดยชอบ
และถูกตองตามกฎหมายหรือไม จําเลยไมอาจทราบได ในชั้นนี้
จําเลยจึง ยัง ยอมรับไมได วาหนัง สือ มอบอํานาจทั้ง สองฉบับ
ถูกตองแทจริงและใชบังคับไดตามกฎหมายและขอปฏิเสธวา
87
หนังสือมอบอํานาจของโจทกไมชอบ ผูรับมอบอํานาจโจทก
ไมมีอํานาจฟอ งจําเลย เปน คําใหก ารที่ไมไดความชัดแจง ว า
จําเลยปฏิเสธฟองของโจทกวาการมอบอํานาจใหฟองคดีของ
โจทกไมถูกตองหรือไมชอบดวยกฎหมายอยางไร ตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง จึงไม
ทําใหเกิดประเด็นขอพิพาทใหศาลวินิจฉัย และถือวาจําเลยรับ
ขอเท็จจริงในเรื่องการมอบอํานาจใหฟองคดีแลว
คดี นี้ข อ โตแ ยง สิท ธิร ะหวา งโจทก กับ จํา เลยจึ ง ยั ง ไมเ กิด ขึ้ น
จําเลยยังไมอาจนําคดีมาฟองได ฟองแยงของจําเลยเปนฟองแยง
ที่มีเงื่อนไขซึ่งถือวาไมเกี่ยวกับฟองเดิม
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๐๔/๒๕๕๔ ฎ.๔๗๒ ตามคําฟอง
ของโจทกเปนเรื่องที่โจทกฟองหยาจําเลยที่ ๑ โดยอางวา จําเลย
ที่ ๑ เปนชูกับจําเลยที่ ๒ พรอมเรียกคาทดแทนจากจําเลยที่ ๒
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๒๓ อัน เปน เรื่อ งเกี่ย วกับการสิ้น สุด
แหง การสมรส สว นฟอ งแยง ของจําเลยที่ ๒ ที่อา งวา โจทก
เอาความเท็จมาฟองรองดําเนินคดีแกจําเลยที่ ๒ โดยไมสุจริต
การที่ โ จทก ไ ปร อ งเรี ย นต อ ผู บั ง คั บ บั ญ ชาของจํ า เลยที่ ๒
ทํ า ให จํ า เลยที่ ๒ ถู ก ตั้ ง คณะกรรมการสอบสวนทางวิ นั ย
หากคณะกรรมการหลงเชื่อจะทําใหจําเลยที่ ๒ ถูกออกจากงาน
และเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอใหโจทกชดใชคาเสียหายนั้น เปนคดี
อัน เกิดแตมูลละเมิดซึ่ง ไม ไดอ าศัย เหตุแหง การหยาและเรีย ก
คาทดแทนตามฟองเดิมเปนมูล หนี้ แตเปนการอางการกระทํา
อี ก ตอนหนึ่ ง ของโจทก อั น เป น คนละเรื่ อ งคนละประเด็ น
แตกต า งกั น กั บ คํ า ฟ อ งเดิ ม ฟ อ งแย ง ของจํ า เลยที่ ๒ จึ ง
ไม เ กี่ ย วกั บ คํ า ฟ อ งเดิ ม ไม ช อบด ว ย ป.วิ . พ. มาตรา ๑๗๗
วรรคสาม ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัว และ
วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๖
89
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๑๘๐
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๓๖๔๒/๒๕๕๕ ฎ. ๘๒๓ จํ า เลย
ยื่นคํารองขอแกไขคําใหการวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๓ กอนศาล
ชั้นตนนัดชี้สองสถานวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๓ ถือวาจําเลยได
ยื่น คํ าร อ งขอแกไ ขคํ าให ก ารก อ นวั น ชี้ ส องสถาน ชอบด ว ย
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๘๐ แลว สวนคํารอ งขอใหหมายเรียกบุคคล
ภายนอกเข า มาเป น จํ า เลยร ว ม จํ า เลยทั้ ง สองยื่ น ในวั น ที่ ๓
กันยายน ๒๕๕๓ พรอมกับคํารองขอแกไขคําใหการถือไดวา
เปนการยื่นพรอมกับคําใหการชอบดวยมาตรา ๕๗ (๓)
คําพิพากษาฎีกาที่ ๘๐๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๕ คํารอ ง
ขอแกไขคําใหการวาโจทกไมมีอํานาจฟองเพราะจําเลยไมเคย
กูและรับเงินจากโจทกจึงไมผิดสัญญาและไมตองรับผิดในหนี้
ใด ๆ เปนเรื่องที่จําเลยทราบดีตั้งแตกอนยื่นคําใหการตอสูคดี
ไมใชกรณีเกี่ยวกับความสงบเรียบรอยฯ จะยื่นขอแกไขหลังวัน
สืบพยานไมไดตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๘๐ สวนที่อางวาผูรับมอบ
อํานาจชวงไมมีอํานาจฟองคดี เพราะโจทกจดทะเบียนใหมโดย
ยังไมไดประกาศในราชกิจจานุเบกษาทําใหกรรมการโจทกไมมี
อํานาจมอบอํานาจ ทําใหหนังสือมอบอํานาจและหนังสือมอบ
ฉันทะสิ้นผล เปนเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบรอยฯ ศาลชั้นตน
ชอบที่จะอนุญาตใหแกไขเพิ่มเติมคําใหการได
90
แลวเปนคาจางคางชําระเทาใด ยอมชัดเจนเรื่องสภาพแหงขอหา
และคําขอบังคับแลว คําฟองจึงไมเคลือบคลุมดวย
อุทธรณและฎีกา
ขอ ๖ คําถาม โจทกทั้งสองฟองวา โจทกทั้งสองเปน
เจาของที่ดิน มือ เปลาติดแมน้ํา จําเลยรัง วัดเพื่อ ขอออกโฉนด
ที่ดินรุกล้ําที่ดินของโจทกทั้งสอง จําเลยใหการวาที่ดินดังกลาว
เป น ที่ ง อกจากที่ดิ น ของจํ าเลย จึ ง เปน กรรมสิ ท ธิ์ข องจํ าเลย
ระหวางพิจารณาโจทกที่ ๒ ยื่นคํารองขอถอนฟองจําเลย จําเลย
ไมคาน ศาลชั้นตนอนุญาตใหโจทกที่ ๒ ถอนฟอง และมีคําสั่ง
จํ า หน า ยคดี โ จทก ที่ ๒ ออกจากสารบบความ ศาลชั้ น ต น
พิจารณาแลว วินิจฉัยวาที่ดินพิพาทเปนที่ดินที่จําเลยถมขึ้นมา
ไมใชที่ง อกตามธรรมชาติ จึง เปน ที่ชายตลิ่ง อัน เปน สาธารณ
สมบัติของแผนดิน โจทกไมมีอํานาจฟอง พิพากษายกฟอง
ใหวินิจ ฉัย วา ก. โจทกที่ ๒ จะอุทธรณวาที่ดิน พิพาท
เปนของโจทกที่ ๒ ไดหรือไม
ข. จําเลยจะอุทธรณวาที่ดิน พิพาทเปน ที่งอกจากที่ดิน
ของจําเลยไดหรือไม
ขอ ๖ คํา ตอบ ก. โจทกที่ ๒ ขอถอนฟอ ง ศาลชั้น ต น
อนุญาตและสั่ง จําหนายคดีโ จทกที่ ๒ ออกจากสารบบความ
แลว การถอนคําฟอ งยอ มลบลางผลแหงการยื่น คํ าฟอ งนั้ น
รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่น ๆ อันมีม าตอภายหลังยื่นคําฟอ ง
93
และกระทําใหคูความกลับคืนสูฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิไดมีการ
ยื่นฟองเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา
๑๗๖ แมศาลชั้นตนวินิจฉัยวาที่ดินพิพาทเปนที่ชายตลิ่งอันเปน
สาธารณสมบัติของแผนดิน แตโจทกที่ ๒ มิใชคูความ และมิได
ถู ก กระทบสิ ท ธิ โจทก ที่ ๒ จึ ง ไม มี สิ ท ธิ อุ ท ธรณ (เที ย บ
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๙๘-๑๙๒๑/๒๕๕๕)
ข. แมศาลชั้นตนพิพากษายกฟอง แตคําวินิจฉัยวาที่ดิน
พิพาทเปนสาธารณสมบัติของแผนดินไมใชที่งอก กระทบสิทธิ
ของจําเลย จําเลยจึงอุทธรณวาที่ดินพิพาทเปนที่งอกจากที่ดิน
ของจําเลยได (คําพิพากษาฎีกาที่ ๗๗๙/๒๕๕๕ ฎ. ๖๔๗)
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๙๘-๑๙๒๑/๒๕๕๕ ฎ.๓๑๑ โจทก
ที่ ๘ ถอนคําฟองและศาลจําหนายคดีเฉพาะโจทกที่ ๘ ออกจาก
สารบบความแลว การถอนคําฟองยอ มลบลางผลแหงการยื่น
คําฟองนั้น รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่น ๆ อันมีมาตอภายหลัง
ยื่น คําฟอ ง และกระทํา ใหคูความกลับคืน สูฐานะเดิม เสมือ น
หนึ่ง มิไดมีก ารยื่นฟองเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพง มาตรา ๑๗๖ โจทกที่ ๘ จึงมิใชคูความและมิไดถูก
กระทบสิทธิจึงไมมีสิทธิอุทธรณ
94
เจาของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินทั้งสามแปลงปฏิเสธวาไมเคย
ยกที่ดินใหโจทก จึงเปนคดีพิพาทเกี่ย วกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ทั้งสามแปลงเปนคดี มีทุนทรัพย และศาลจะตองแยกพิจารณา
ที่ ดิ น แต ล ะแปลงออกต า งหากจากกั น เป น รายแปลง ราคา
ทรัพยสิน หรือ จํานวนทุน ทรัพยที่พิพาทกันในชั้นฎีก าจึงตอ ง
แยกพิจารณาออกตามราคาที่ดินแตละแปลง
คําพิพากษาฎีก าที่ ๓๖๘๒/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๖ น.๑๐๕
โจทกฟองขอใหบังคับจําเลยสงมอบโฉนดที่ดินพิพาทรวม ๘
โฉนดแกโจทก ใหขับไลจําเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
จําเลยใหการและฟองแยงวา ที่ดินพิพาททั้งแปดแปลงเปนของ
จําเลย กรณีจึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามคํา
ฟองเปนคดีมีทุนทรัพยจึงตองแยกออกเฉพาะที่ดินแตละแปลง
จําเลยอุทธรณขอใหศาลอุทธรณพิพากษาวาที่ดินพิพาทรวม ๒
แปลงเป น ของจํ า เลย ทุ น ทรั พ ย ที่ พิ พ าทกั น ในชั้ น อุ ท ธรณ
สําหรับที่ดินทั้งสองแปลง แตละแปลงมีราคาไมเกิน ๕๐,๐๐๐
บาท จําเลยอุทธรณวา ที่ดินทั้งสองแปลงเปนของจําเลยอันเปน
การอุทธรณโ ตแยงดุลพินิจ การรับฟง พยานหลัก ฐานของศาล
ชั้น ตน ซึ่งเปนปญหาขอ เท็จ จริง จึง ตอ งหามมิใหอุทธรณตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง แมศาลอุทธรณรับวินิจฉัยให
ก็เปนการไมชอบ ถือวาเปนขอที่ไมไดยกขึ้นวากันมาแลวโดย
102
มิใชอยูในทําเลการคาอันจะทําใหไดคาเชาที่สูงเปนพิเศษ ตาม
ลัก ษณะและสภาพแหง ที่ดิน เชื่อ วาอาจใหเ ชาไดในขณะยื่ น
ฟองไมเกินเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ที่จําเลยทั้งสามฎีกาวา ที่ดิน
พิพาทมิใชของโจทกแตที่ดินพาทแปลงที่ ๑ เปนของจําเลยที่ ๑
และที่ ๒ และที่ดินพิพาทแปลงที่ ๒ เปนของจําเลยที่ ๓ ทาง
ราชการออกหนังสือรับรองการทําประโยชนเลขที่ ๑๑๙๖ ของ
โจทกทับที่ดิน พิพาทของจําเลยทั้ง สาม จึงเปนการโตเถีย งใน
ขอเท็จจริงที่ศาลอุทธรณวินิจฉัยวา ที่ ดินพิพาทแปลงที่ ๑ และ
แปลงที่ ๒ เปนของโจทก คดีของจําเลยทั้งสามจึงตองหามฎีกา
ในปญหาขอ เท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความ
แพง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
คําพิพากษาฎีกาที่ ๖๕๑๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๒๔ แม
คาเสียหายที่ศาลชั้นตนและศาลอุทธรณกําหนดเปนคาปลงศพ
มี จํ า นวน ๓๐,๐๐๐ บาท จะเป น หนี้ ที่ โ จทก ทั้ ง สองมี สิ ท ธิ
รวมกัน ไมอ าจแบง แยกเปนหนี้โจทกแตล ะคนได แตในสว น
คา ขาดไร อุ ป การะที่ ศ าลชั้ น ตน และศาลอุ ท ธรณ กํ า หนดให
โจทกทั้งสองรวมกัน มาจํานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เปน หนี้
ที่ส ามารถแบ ง แยกเป น ส ว นของโจทก แ ตล ะคน โดยโจทก
ทั้ ง สองสามารถฟ อ งเรี ย กเฉพาะส ว นของตนโดยลํ า พั ง ได
ทุน ทรัพย พิพาทในชั้น ฎี ก าจึ ง ตอ งถือ ตามจํานวนค าเสี ย หาย
105
ดําเนินคดี เปนฎีกาที่โตแยงดุลพินิจในการรับฟงขอเท็จจริงของ
ศาลอุทธรณที่วินิจฉัยวาพฤติการณดังกลาวยัง ถือไมไดวาเปน
พฤติการณพิเศษตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๓ เปนฎีกาในขอเท็จจริง
แมเ ปน ปญหาเกี่ย วกับการดําเนิน กระบวนพิจ ารณาของศาล
ชั้น ตน แตเ มื่อ ทุน ทรัพยพิพาทกันในชั้น ฎีก าไมเ กิน สองแสน
บาท จึ ง ต อ งห า มมิ ใ ห ฎี ก าในป ญ หาขอ เท็ จ จริ ง ตาม ป.วิ . พ.
มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๑๕๖๗๐/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล. ๑๑ น. ๒๒๘
ศาลชั้นตนวินิจ ฉัย วา อายุความเริ่มนับแตวันที่ ๒๓ สิง หาคม
๒๕๔๘ เพราะโจทกรูถึงการละเมิดและรูตัวผูจะพึงตองใชคา
สินไหมทดแทนแลวตามบันทึก กฟก.๑ เลขที่ บข-ก.๑ (กม) ลง
วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๘ แตโจทกอุทธรณโตแยงวา ควรเริ่ม
นับเมื่อผูวาการโจทกทราบ มิใชเริ่มนับแตวันที่รับหนังสือจาก
สํ า นั ก งานขนส ง เขตพื้ น ที่ ๑ หรื อ ในวั น ที่ ๒๓ สิ ง หาคม
๒๕๔๘ ดัง นั้น การอุทธรณวา อายุความเริ่มนับเมื่อ ใดจึง จะ
ถูก ตอ งตามกฎหมาย เป น การอุท ธรณในปญหาขอ กฎหมาย
มิใชอุทธรณในปญหาขอเท็จจริง
คํา พิพ ากษาฎีก าที่ ๖๙๑๒/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๖ น.๒๐๒
จํ า เลยยื่ น คํ า ร อ งขอให ศ าลชั้ น ต น รั บ รองอุ ท ธรณ ใ นป ญ หา
ขอ เท็จ จริง ผูพิพากษาที่นั่ง พิ จ ารณาคดีในศาลชั้น ตน มีคําสั่ ง
109
คํา ร อ งดั ง กล าวว า “พิ เ คราะห แล ว มี เ หตุ อั น ควรอุ ท ธรณ ใ น
ปญหาขอเท็จจริงได” และมีคําสั่งในอุทธรณในวันเดียวกันวา
“ศาลรั บ รองให จํ า เลยอุ ท ธรณ ใ นป ญ หาข อ เท็ จ จริ ง ได
รับอุทธรณของจําเลย...” ซึ่งการรับรองอุทธรณของผูอุทธรณวา
มีเหตุอันควรอุทธรณในปญหาขอเท็จจริงไดนั้น ตองเปนการ
รับรองโดยชัดแจง แมคําสั่งของศาลชั้นตนที่สั่งในคํารองขอให
รับรองอุทธรณจะไมมีขอความยืนยันวาตนรับรองใหอุ ทธรณ
ในป ญ หาข อ เท็จ จริ ง ก็ต าม แต ข ณะเดี ย วกั น ศาลชั้ น ต น โดย
ผู พิ พ ากษานายเดี ย วกั น ได มี คํ า สั่ ง ในอุ ท ธรณ ข องจํ า เลยมี
ขอความยืนยันรับรองใหอุทธรณในปญหาขอเท็จจริงได เมื่อนํา
คําสั่งที่ศาลชั้นตนสั่งในคํารองและอุทธรณมาพิจารณาประกอบ
กันแลว รับฟงไดวา คํารับรองของศาลชั้นตนมีขอความที่แสดง
ใหเห็นวาเปนการรับรองใหอุทธรณในปญหาขอเท็จจริง จึงถือ
วาเปนการรับรองอุทธรณโดยชัดแจงแลว
คําพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๕๙/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๔ น.๑๗๗
ตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผูบริโภค ฯ มาตรา ๔๙ วรรคสอง,
๕๑ และ ๕๒ คําพิพากษาของศาลอุทธรณแผนกคดีผูบริโภคให
เปนที่สุด เวนแตศาลฎีกาจะอนุญาตใหฎีกาในปญหาขอเท็จจริง
สําหรับคดีที่มีทุน ทรัพยที่พิพาทในชั้นฎีก าเกิน สองแสนบาท
หรืออนุญาตใหฎีกาในปญหาขอกฎหมาย โดยผูฎีกาตองยื่นฎีกา
110
พรอมกับคํารองขอใหศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตใหฎีกาตอศาล
ชั้นตนเพื่อใหศาลชั้นตนสงคํารองดังกลาวพรอมฎีกาไปยังศาล
ฎีกาพิจารณา คดีนี้แมมีทุนทรัพยชั้นฎีกาเกินสองแสนบาท แต
จําเลยรวมยื่นฎีกาในปญหาขอเท็จจริงโดยมิไดยื่นคํารองขอให
ศาลฎี ก าพิ จ ารณาอนุ ญาตให ฎีก ามาดว ย จึ ง ไม ช อบด ว ยบท
กฎหมายดังกลาว แมศาลชั้นตนสั่งรับฎีกาก็เปนคําสั่งที่ไ มชอบ
ศาลฎีกาไมรับวินิจฉัย
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา
๒๒๔ วรรคสอง, ๒๔๘ วรรคสอง
คําพิพากษาฎีก าที่ ๗๘๕๓/๒๕๕๓ ฎ.๒๒๗๘ โจทก
ผูใหเชาฟองขับไลจําเลยที่ ๑ ผูเชาและบริวาร ซึ่งมีคาเชาไมเกิน
เดือ นละ ๔,๐๐๐ บาท จึง ตอ งหามอุทธรณในขอเท็จ จริง ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคสอง รวมถึงกรณีเกี่ยวกับการบังคับ
ผูรองซึ่งเปนบริวารของจําเลยที่ ๑ ในชั้นบังคับคดีอันเปนสาขา
ของคดีเ ดิม ก็ตอ งหามมิใหอุทธรณในขอ เท็จ จริง ตามมาตรา
๒๒๔ วรรคสอง เชนกัน
คําพิพากษาฎีก าที่ ๑๐๗๕๖/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล. ๑๑ น.๗๖
โจทกฟองขับไลจําเลยออกจากอสังหาริมทรัพยที่ดินตามฟอง
อันมีคาเชาหรืออาจใหเชาไดในขณะยื่นคําฟองไมเกินเดือนละ
111
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา
๒๒๕ วรรคสอง, ๒๔๙ วรรคสอง
คําพิพากษาฎีกาที่ ๕๐๑๖/๒๕๕๕ ฎ. ๘๖๔ ฎีกาโจทก
ในขอกฎหมายวา ต. เปนคนตางดาว มีเชื้อชาติและสัญชาติจีน
ซึ่งการไดม าซึ่งที่ดินจะตองไดรับอนุญาตจากรัฐมนตรีวาการ
กระทรวงมหาดไทย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๘๖ แต
ต. ถึงแกความตายเมื่อป ๒๕๓๔ โดยมิไดดําเนินการใหถูกตอง
จํ า เลยครอบครองที่ ดิ น ต อ มาจาก ต. หากถื อ ว า เป น การ
ครอบครองเพื่อตน ก็จะตองเริ่มนับระยะเวลาครอบครองใหม
นับถึงวันที่โจทกฟองคดีนี้จําเลยยังครอบครองที่ดินไมถึง ๑๐ ป
แม โ จทก ทั้ง หา เพิ่ง ยกขอ เท็ จ จริ ง ดั ง กลา วขึ้ น อา งในชั้ น ฎี ก า
ก็ ต าม แต เ ป น ป ญ หาเกี่ ย วกั บ อํ า นาจฟ อ งของ ต. จึ ง เป น
114
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๒๖
คําพิพากษาฎี ก าที่ ๕๐๑๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๖ น.๑๗๓
คําสั่งศาลชั้นตนที่อนุญาตใหเขาเปนจําเลยรวมเปนคําสั่งกอนที่
ศาลชั้นตนมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ทั้งมิใชคําสั่ง
ตามที่ร ะบุไวใน ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๗ และมาตรา ๒๒๘ จึง
เปนคําสั่งระหวางพิจารณา เมื่อโจทกไมไดโตแยงคําสั่งนั้นไว
เพื่อใชสิทธิอุทธรณฎีกาตาม ป.วิ.พ มาตรา ๒๒๖ (๒) ประกอบ
มาตรา ๒๔๗ โจทก จึ ง อุ ท ธรณ ฎี ก าคํ า สั่ ง ดั ง กล า วของศาล
ชั้นตนมิได
คําพิ พากษาฎี ก าที่ ๘๓๗๗/๒๕๕๓ ฎ.๒๓๒๙ คํ าสั่ ง
ของศาลชั้ น ต น ที่ ไ ม ส ง คํ า ร อ งของจํ า เลยที่ ๒ ไปให ศ าล
รัฐธรรมนูญพิจ ารณาวินิจฉัย เปน คําสั่งกอนที่ศาลชั้นตน จะมี
คําพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดี แมเปนคําสั่งเกี่ยวกับคํารองขอตาม
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๔๐ มาตรา ๒๖๔ ก็ เ ป น คํ า สั่ ง ในขั้ น ตอนการดํ า เนิ น
กระบวนพิ จ ารณาของศาลยุ ติ ธ รรม เป น คํ า สั่ ง ในระหว า ง
115
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๒๙
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๒๗๖/๒๕๕๕ ฎ.๕๓๗ แมจําเลย
อุทธรณคําสั่งศาลชั้นตน ที่ย กคํารอ งขอใหพิจารณาใหม มิได
อุทธรณคําพิพากษาศาลชั้นตน แตหากฟงไดตามคํารองขอให
พิจารณาใหมของจําเลยแลว ก็ยอมมีผลทําใหคําพิพากษาศาล
ชั้นตนเปนอันตองถูกเพิกถอนไปในตัว จําเลยจึงมีหนาที่ตองนํา
เงินคาธรรมเนียมศาลที่จะตองใชแกโจทกตามคําพิพากษาศาล
ชั้นตนมาวางศาลพรอมกับอุทธรณ ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจ ารณาความแพ ง มาตรา ๒๒๙ ด ว ย เมื่ อ จํ าเลยไมนํ า เงิ น
คาธรรมเนีย มดัง กลาว มาวางศาลพรอ มอุทธรณ อุทธรณของ
จําเลยจึงเปนอุทธรณที่ไมชอบดวยกฎหมาย แมศาลชั้นตนจะมี
คํา สั่ ง รับ อุ ท ธรณ ข องจํ า เลยมาโดยมิ ไ ด สั่ง ให จํา เลยวางเงิ น
คาธรรมเนียมดังกลาวกอน ก็ไมมีผลทําใหอุทธรณของจําเลยที่
ไมชอบดวยกฎหมายกลับเปนอุทธรณที่ชอบดวยกฎหมาย
ขอสังเกต กรณีไมวางเงินตามมาตรา ๒๒๙ มีคําพิพากษาฎีก า
ปรับบทได ๒ กรณี คื อ ปรั บบทตามมาตรา ๒๒๙ และตาม
มาตรา ๒๓๖ ความแตกตางอยูที่ศาลชั้นตนรับอุทธรณหรือศาล
ชั้ น ต น ไม รั บ อุ ท ธรณ หากศาลชั้ น ต น รั บ อุ ท ธรณ แ ล ว ศาล
อุ ท ธรณ เ ห็ น ว า ผู อุ ท ธรณ ไ ม ป ฏิ บั ติ ต ามมาตรา ๒๒๙ ศาล
อุทธรณพิพากษายกอุทธรณ เมื่อผูอุทธรณฎีกาขึ้นมา ศาลฎีก า
117
อุทธรณจะมีคําสั่งยกอุทธรณของจําเลยเสีย คําสั่งศาลอุทธรณ
ที่ใหยกอุทธรณของจําเลยจึงชอบแลว
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๑๐๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๓๑
คาทนายความที่ศาลอุทธรณกําหนดใหโจทกชําระแกจําเลยเปน
ความรั บ ผิ ดในเรื่ อ งคา ฤชาธรรมเนี ย มที่ โ จทก ผู ฎี ก าจะต อ ง
ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๙ หาใชหนี้ตามคําพิพากษาใน
เนื้อหาคดี อันโจทกจะพึงมีสิทธิยื่นคํารองขอทุเลาการบังคับคดี
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๓๑ วรรคหนึ่ง ไดไม ดังนั้น การที่โจทก
ยื่นฎีกาโดยจงใจนําเพียงคาธรรมเนียม (คาขึ้นศาล) ตามที่จําเลย
ไดรับอนุญาตใหดําเนินคดีอยางคนอนาถาในชั้นอุทธรณมาวาง
ศาลตามคํ าพิ พากษาศาลอุท ธรณพ ร อ มกับ ฎี ก าโดยมิไ ดว าง
คาทนายความที่ศาลอุทธรณกํ าหนดใหโ จทกชําระแกจําเลย
จึงเปนการยื่นฎีกาโดยมิชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๙ ชอบที่
ศาลชั้นตนจะมีคําสั่งไมรับฎีกาไดทันที เพราะมิใชกรณีที่โจทก
เสียคาขึ้นศาลชั้นฎีกาไมครบถวนที่ศาลชั้นตนซึ่งมีหนาที่ตรวจ
คํา คู ค วามจะต อ งมี คํ า สั่ ง ให โ จทก ชํ า ระให ค รบถ ว นภายใน
กําหนดระยะเวลาตามที่เห็นสมควรเสียกอนตาม ป.วิ.พ. มาตรา
๑๘ วรรคสอง
คําพิพากษาฎีก าที่ ๘๐๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๕ จําเลย
อุทธรณคําพิพากษาศาลชั้น ตน พร อ มยื่น คํารอ งขอดําเนิน คดี
119
อยางคนอนาถาในชั้นอุทธรณ และจําเลยไดยื่นอุทธรณคําสั่ง
ศาลชั้ น ต น มาด ว ย จํ า เลยย อ มได ย กเว น ไม ต อ งวางเงิ น
ค า ธรรมเนี ย มศาลในการอุ ท ธรณ คํ า พิ พ ากษาและเงิ น
คาธรรมเนียมซึ่งตองใชแทนคูความอีกฝายหนึ่งตามคําพิพากษา
แม จํ า เลยยื่ น อุ ท ธรณ คํ า สั่ ง ศาลชั้ น ต น แยกต า งหากอี ก ฉบั บ
ก็ไดรับการยกเวนเงินคาธรรมเนียมดังกลาวเชนกัน
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๓๑
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๒๐๓/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๖ น.๕๔ การ
ทุเลาการบังคับเปนกระบวนพิจารณา กฎหมายกําหนดใหอยูใน
อํานาจของศาลแตละชั้นศาล ถาเปนการขอทุเลาการบังคับใน
ระหว า งอุ ท ธรณ ก็ เ ป น เรื่ อ งที่ อ ยู ใ นอํ า นาจศาลอุ ท ธรณ
โดยเฉพาะ เมื่ อ จํา เลยยื่ น คํ า รอ งขอทุ เ ลาการบัง คั บและศาล
อุ ท ธรณ มี คํ า สั่ ง อนุ ญ าตให ทุ เ ลาการบั ง คั บ โดยให ว าง
หลัก ประกัน มิฉะนั้น ใหย กคํารอ ง จําเลยไมอ าจฎีก าคัดคาน
คําสั่งคํารองขอทุเลาการบังคับที่ศาลอุทธรณมีคําสั่งได เพราะ
คําสั่งดังกลาวไมอยูภายใตบังคับเรื่องการอุทธรณฎีกาอยางเรื่อง
อื่น ๆ
120
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๓๔
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๘/๒๕๕๔ ฎ. ๑๕๑ กรณีที่โจทก
ยื่นฎีกา โจทกตองมาฟง คําสั่ง ศาลชั้น ตน ภายใน ๗ วัน ตามที่
ทนายโจทกลงชื่อรับทราบขอความที่ศาลชั้นตนสั่งไว เมื่อครบ
กําหนด ๗ วันนั้นแลว แมโจทกไมมารับทราบคําสั่งเองก็ยอม
ถือไดวาโจทกทราบคําสั่งของศาลที่ใหชําระคาขึ้นศาลเพิ่มนั้น
แล ว ซึ่ ง โจทก ก็ ไ ม ไ ด อุ ท ธรณ โ ต แ ย ง คํ า สั่ ง ศาลชั้ น ต น
ที่ใหเสียคาขึ้นศาลเพิ่มนี้ และไมไดชําระคาขึ้นศาลเพิ่มภายใน
กําหนดเวลาที่ศาลชั้นตนมีคําสั่งไวดังกลาว การที่ศาลชั้นตนมี
คําสั่งไมรับฎีกาของโจทกจึงชอบแลว ดังนี้ ถึงแมศาลชั้นตนจะ
ดําเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบในการที่ไมแจงคําสั่งไมรับ
ฎีก าของโจทกใหโ จทกทราบก็ตาม แตเ มื่อ กรณีที่ศาลชั้น ตน
ไม รั บ ฎี ก าของโจทก เ ป น ไปโดยชอบเช น นี้ การที่ จ ะแก ไ ข
กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลชั้นตนดังกลาวโดยให
แจง คําสั่ง ใหโ จทกทราบเพื่อ อาจใชสิทธิอุทธรณคําสั่ง ไมรับ
ฎีกาไดก็ไมเปนประโยชนแตอยางใด จึงไมสมควรแกไข
ข อ สั ง เกต คดี นี้ ขั้ น ตอนในการสั่ ง ฎี ก าของศาลชั้ น ต น มี
๒ ขั้นตอน เมื่อ ศาลชั้นตนตรวจฎีกาแลว ศาลชั้นตนสั่ง ๑. ให
โจทกชําระคาขึ้น ศาลเพิ่ม ภายใน ๑๕ วัน ตอมาเมื่อโจทกไม
ชําระคาขึ้นศาลตามคําสั่ง ศาลชั้นตนจึงสั่ง ๒. ไมรับฎีกา การที่
121
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๓๖
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๘๕๔/๒๕๕๔ ฎ.๑๔๗๗ ศาล
อุทธรณมีคําสั่งยืนตามคําปฏิเสธของศาลชั้นตนที่ไมรับอุทธรณ
คําสั่งของจําเลยที่ ๑ ที่วาอุทธรณของจําเลยที่ ๑ ไมเปนสาระแก
คดีอัน ควรไดรับการวินิจ ฉัย คําสั่ง ของศาลอุทธรณเปน ที่สุด
ตามประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความแพ ง มาตรา ๒๓๖
วรรคหนึ่ง ตองหามมิใหฎีกา
จําเลยที่ ๒ ไมไดอุทธรณ จึง ไมมีสิทธิฎีกา เพราะเปน
ฎีกาในขอที่มิไดยกขึ้นวากันมาแลวโดยชอบในศาลอุทธรณ
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๔๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๓๕ เมื่อ
วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ จําเลยยื่นอุทธรณ ศาลชั้นตนมีคําสั่ง
ไมรับอุทธรณ เนื่องจากยื่นเกินกําหนดที่ศาลอนุญาต คือวัน ที่
๑๙ ธัน วาคม ๒๕๔๘ จําเลยอุทธรณคําสั่ง ไมรับอุทธรณ ศาล
ชั้นตนสั่งใหจําเลยนําเงินคาฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล
และนําเงิน มาชําระตามคําพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๓๔
ภายใน ๑๕ วันนับแตวันที่มีคําสั่ง วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๘
จําเลยอุทธรณคําสั่งดังกลาวและใหรับอุทธรณคําสั่งของจําเลย
123
ชั้นตนที่ไมอนุญาตใหจําเลยยื่นคําใหการ มิใชอุทธรณคําสั่งศาล
ชั้น ตน ที่ปฏิเ สธไมย อมรับอุทธรณตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๓๖
จําเลยจึงไมตองนําคาฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนํา
เงินมาชําระตามคําพิพากษาหรือหาประกัน ใหไวตาม ป.วิ.พ.
มาตรา ๒๓๔ ดัง ที่ศาลอุทธรณวินิจ ฉัย ศาลอุทธรณพิพากษา
ยกอุ ท ธรณ ข องจํ า เลยมาจึ ง ไม ถู ก ต อ ง ไม ช อบด ว ย ป.วิ . พ.
มาตรา ๒๔๒ (๑)
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๖๕๗/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล. ๑๑ น.๖๘
ป.วิ . พ. มาตรา ๒๓๖ วรรคหนึ่ง บั ญ ญัติ ว า “เมื่ อ คู ความยื่ น
คํารองอุทธรณคําสั่งศาลที่ปฏิเสธไมยอมรับอุทธรณ ใหศาลสง
คํา ร อ งเช น วา นั้ น ไปยั ง ศาลอุ ท ธรณ โ ดยไม ชั ก ช า พรอ มด ว ย
คําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีของศาลชั้นตนและฟองอุทธรณ
ถาศาลอุทธรณเห็นเปนการจําเปนที่จะตองตรวจสํานวน ใหมี
คําสั่งใหศาลชั้นตนสงสํานวนไปยังศาลอุทธรณ ในกรณีเชนนี้
ใหศาลอุทธรณพิจารณาคํารอ ง แลว มีคําสั่งยืน ตามคําปฏิเ สธ
ของศาลชั้นตนหรือมีคําสั่ง ใหรับอุทธรณ คําสั่งนี้ใหเปนที่สุด
แลว สงไปใหศาลชั้นตน อาน” ดัง นี้ ที่ศาลอุทธรณมี คําสั่ง วา
ที่ศาลชั้นตนยกคํารองขอเพิกถอนการขายทอดตลาดของจําเลย
สืบเนื่อ งมาจากจํา เลยไมว างเงิน หรือ หาประกัน ตอ ศาลตาม
จํานวนและภายในระยะเวลาที่กําหนด ชอบดวย ป.วิ.พ. มาตรา
125
การบังคับคดี
ขอ ๘ คําถาม ศาลพิพากษาใหจําเลยชําระเงินแกโจทก
๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร อ มดอกเบี้ ย เมื่ อ วั น ที่ ๑ กุ ม ภาพั น ธ
๒๕๕๖
ก. โจทกนําเจาพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงแรกซึ่งมี
ชือ่ จําเลยถือกรรมสิทธิ์รวมกับนายเอกซึ่งไดตกลงแบงแยกการ
ครอบครองที่ดินโดยลอมรั้วแบงแยกไวของแตละคนไวตั้งแตป
๒๕๕๕
ข. โจทกนําเจาพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงหลังซึ่ง
มีชื่อจําเลยถือกรรมสิทธิ์ แตที่ดินดังกลาวศาลจังหวัดเชียงใหม
พิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพัน ธ ๒๕๔๐ ใหจําเลยซึ่ง
เปนจําเลยคดีดัง กลาวโอนที่ดินพิพาทให นายโทซึ่งเปนโจทก
คดีดัง กลาวเขาถือ กรรมสิทธิ์ร วมกึ่ง หนึ่ง ซึ่ง จําเลยจะจัดการ
โอนใหภายใน ๒ เดือน นับแตวัน ที่ทําสัญญา หากไมโ อนให
ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้น จําเลยไมปฏิบัติตาม
คําพิพากษา นายโทไปขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน ตั้งแตวันที่ ๑
ธันวาคม ๒๕๔๐ แตขอใหรอเรื่องไวกอนโดยไมยอมชําระเงิน
คาธรรมเนียมในการโอนที่ดินตลอดมาจนถึงปจจุบัน
ใหวินิจ ฉัย วา นายเอกและนายโทจะขอกัน สว นที่ดิน
หรือเงินที่ไดจากการขายทอดตลาดไดหรือไม
128
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๖๔
คําสั่ง คําร อ งศาลฎี ก าที่ ท.๑๕๒๗/๒๕๕๓ ฎ.๒๕๘๑
โจทกฟองใหจําเลยชําระหนี้เงินและบังคับจํานอง มิใชพิพาท
กันดวยทรัพยสิน สิทธิหรือประโยชนอยางใดอยางหนึ่งที่จําเลย
จะรอ งขอเพื่ อ ใหไ ดรับความคุ ม ครอง โดยขอใหง ดการขาย
ทอดตลาดทรั พ ย จํ า นองไว ชั่ ว คราวในระหว า งฎี ก า ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๒๖๔
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๗๑
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๒๘๐๙-๒๘๑๐/๒๕๕๔ ฎ.๔๙๗
หลังจากโอนตึกและที่ดินใหแก ส. ไปแลว ตึกพิพาทยังใชเปน
สํา นั ก งานของบริ ษั ท ก. ที่ มี จํ าเลยกั บ ส. เป น กรรมการผู มี
อํานาจ ทั้งจําเลยยังพักอาศัยอยูในตึกพิพาท แมบริษัท ก. จะเปน
ผูเชาตึกพิพาทจาก ส. แตจําเลยก็ยังเปนผูจัดการดูแลครอบครอง
133
ตึก จึงถือไมไดวาสภาพแหงการบังคับคดีไมเปดชองใหกระทํา
ได จําเลยซึ่ง เปน ลูก หนี้ตามคําพิพากษาหรือ ส. ผูซื้อ ตึก และ
ที่ดิน ยังจะตองปฏิบัติตามคําบังคับใหจําเลยรื้อถอนชั้นวางของ
ที่กอ สรางรุก ล้ําเข ามาในที่ดิน ของโจทกที่ ๑ ถึง ที่ ๓ ซึ่ง เปน
เจาหนี้ตามคําพิพากษา
คํ า พิ พ ากษาศาลฎี ก าเรื่ อ งหลั ง เป น การวิ นิ จ ฉั ย ใน
ประเด็นโตเถียงในชั้นบังคับคดีวาจําเลยจะตองรื้อชั้นวางของที่
กอสรางขึ้นใหมหลังจากรื้อถอนรั้วกําแพงคอนกรีตออกไปแลว
หรือไม สวนคาเสียหายเนื่องมาจากมูลละเมิดที่จําเลยกอสราง
รั้วกําแพงคอนกรีตรุกล้ําเขาไปในที่ดิน ของโจทกที่ ๑ ถึงที่ ๓
ศาลไดมีคําพิพากษาถึงที่สุดแลวตามคําพิพากษาศาลฎีกาเรื่อ ง
กอนวา ใหจําเลยชดใชคาเสียหายแกโจทกที่ ๑ ถึงที่ ๓ เดือนละ
๒,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันที่
๕ กันยายน ๒๕๓๐ จนกวาจําเลยจะรื้อถอนรั้วกําแพงคอนกรีต
ออกจากที่ดินของโจทกที่ ๑ ถึงที่ ๓ แลวเสร็จ คําบังคับที่ออก
ตามคําพิพากษาใหจําเลยรื้อถอนรั้วกําแพงคอนกรีต จึงเปนการ
ใหรื้อ ถอนสิ่ง ปลูก สรางที่ปรากฏอยูในขณะยื่น ฟอ ง สิ่ง ปลูก
สรางที่มีอ ยูในขณะฟอ งหรือ เกิด ขึ้น ในอนาคตในระหวางคดี
จากการกระทําของจําเลยหรือที่จําเลยยินยอมใหกระทําขึ้น ยอม
ตอ งถูก บังคับใหรื้อ ถอนและขนยายดว ยเชน กัน การที่จําเลย
134
กอสรางชั้นวางของขึ้นใหมหลังจากรื้อถอนรั้วกําแพงคอนกรีต
จึงถือวายังไมไดปฏิบัติตามคําบังคับใหครบถวน จําเลยยังตอง
ชดใชค าเสีย หายเดือ นละ ๒,๐๐๐ บาท ที่ มีอ ยูต อ เนื่อ งตราบ
เทาที่จําเลยยังไมรื้อถอนชั้นวางของออกไป โจทกที่ ๑ ถึงที่ ๓
ไมตองขอใหศาลชั้นตนออกคําบังคับใหม
หมายเหตุ (โดยท า นอาจารย สมชั ย ฑีฆ าอุ ต มากร) ส. ผู ซื้ อ
ตึกแถวพิพาทจากจําเลย แมมิใชลูกหนี้ตามคําพิพากษา แตเมื่อ
จําเลยซึ่งเปนลูกหนี้ตามคําพิพากษาโอนตึกแถวพิพาทที่มีการ
กอสรางชั้น วางของรุกล้ําเขาไปในที่ดินของโจทกแก ส. เพื่อ
หลีกเลี่ยงมิใหจําเลยตองถูกบังคับคดีตามคําพิพากษาที่ใหจําเลย
รื้อ ถอนชั้น วางของที่ รุก ล้ําดัง กลาวเขา ไปในที่ดิน ของโจทก
เทากับฟง ไดวา จําเลยและ ส. มีเ จตนารว มกั น ที่จ ะหลีก เลี่ย ง
ไมปฏิบัติตามคําบังคับที่ออกตามคําพิพากษานั้น กรณีถือไดวา
ส. เป น ตั ว แทนของจํ า เลย จึ ง ต อ งถู ก บั ง คั บ ให ป ฏิ บั ติ ต าม
คําพิ พากษารว มกับ จํา เลยที่ต อ งรื้ อ ถอนชั้ น วางของดัง กลา ว
ออกไปจากที่ดินของโจทก สําหรับคาเสียหายตามคําพิพากษา
นั้ น ส. มิ ใ ช ลู ก หนี้ ต ามคํ า พิ พ ากษา จึ ง ไม มี ค วามรั บ ผิ ด ใน
คา เสีย หายตามคํ า พิพ ากษาร ว มกั บจํ า เลยซึ่ ง เป น ลู ก หนี้ ต าม
คําพิพากษา
135
ชั้นตนมีคําสั่งใหมีหนังสือแจงธนาคาร ก. ถอนเงินฝากมาชําระ
ค า ปรั บ ถื อ ได ว า ศาลชั้ น ต น ได บั ง คั บ เอาแก ท รั พ ย ที่ เ ป น
หลักประกันแลว เพียงแตอยูในขั้นตอนดําเนินการใหธนาคาร
จั ด ส ง เงิ น ตามสมุ ด เงิ น ฝากประจํ า ดั ง กล า วมาชํ า ระค า ปรั บ
เทานั้น แมเจาพนักงานศาลมิไดดําเนินการตามคําสั่งศาลชั้นตน
ก็เปนความบกพรองของเจาพนักงานศาลซึ่งเปนเรื่องทางธุรการ
กรณีไมตอ งบัง คับคดีโดยเจาพนักงานบัง คับคดีที่จ ะตอ งออก
หมายบังคับคดีภายในสิบปนับแตวันมีคําสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา
๒๗๑ ประกอบ ป.วิ . อ. มาตรา ๑๕ อี ก ดัง นี้ แม จ ะล ว งเลย
ระยะเวลามากวา ๑๐ ป ก็ไมตองดวยบทบัญญัติดังกลาว จึงไมมี
เหตุคืนหลักประกันใหผูประกัน
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๕๐๘๘/๒๕๕๔ ฎ.๑๒๙๑ ศาล
จัง หวั ด เชี ย งใหม พิ พ ากษาตามยอมเมื่อ วั น ที่ ๑๐ กรกฎาคม
๒๕๓๘ ใหจําเลยที่ ๒ ซึ่งเปนจําเลยคดีดังกลาวโอนที่ดินพิพาท
ใหผูรองซึ่งเปนโจทกคดีดังกลาวเขาถือกรรมสิทธิ์รวมบางสวน
ซึ่งจําเลยที่ ๒ จะจัดการโอนใหภายใน ๒ เดือน นับแตวันที่ทํา
สัญญา หากไมโอนใหถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
นั้น เปน ขอ ตกลงที่ใหคูความทั้งสองฝายตอ งดําเนิน การโอน
กรรมสิ ท ธิ์ ท างทะเบี ย นกั น เมื่ อ จํ า เลยที่ ๒ ไม ป ฏิ บั ติ ต าม
คําพิพากษา ผูรองตอ งดําเนินการบัง คับคดีภายใน ๑๐ ป ตาม
137
๒๒๔๐๘ ของจําเลยเพิ่มเติมเนื่องจากจําเลยมีหนี้เปนจํานวน
มากและใหรอการขายทอดตลาดที่ดิน ไวกอ น เมื่อ ขายทรัพย
จํานองไดเ งิน ไมพอชําระหนี้ก็ใหขายที่ดิน ตอไป อันเปน การ
ร อ งขอให เ จ า พนั ก งานบั ง คั บ คดี ดํ า เนิ น การบั ง คั บ คดี แ ก
ทรัพยอื่นภายในสิบปนับแตวันมีคําพิพากษา โดยอาศัยและตาม
คํา บัง คับ ที่ อ อกตามคํ าพิ พ ากษาและตามหมายบัง คั บคดี ซึ่ ง
โจทกไดปฏิบัติตามขั้นตอนครบถวนภายในเวลาการบังคับคดี
แลว ดังนั้น แมโจทกจะนํายึดที่ดินดังกลาวเกินสิบปนับแตวัน
มี คํ า พิ พ ากษา ก็ ถื อ ว า โจทก ไ ด ร อ งขอให บั ง คั บ คดี ต าม
คํา พิพ ากษาภายในสิ บป นับ แต วั น มี คํา พิพ ากษาตาม ป.วิ. พ.
มาตรา ๒๗๑ แล ว กรณี จึ ง ไม มี เ หตุ ที่ โ จทก จ ะมาขอขยาย
ระยะเวลาการบังคับคดีออกไปอีก
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๘๗
คําพิพากษาฎีก าที่ ๑๓๕๓/๒๕๕๔ ฎ.๑๘๙ ผูรอ งและ
จําเลยที่ ๒ ไดตกลงแบงแยกการครอบครองที่ดินพิพาทกอนมี
การบัง คับคดี ขอ ตกลงยอ มผูก พัน จําเลยที่ ๒ และผูรอ งตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๔ โจทกซึ่งเปนเจาหนี้สามัญมีสิทธิบังคับ
คดีไ ดเ ทาที่ จํา เลยที่ ๒ มี สิท ธิในที่ดิ น พิพ าท ผูร อ งจึง มี สิท ธิ
140
ขอใหกันที่ดินพิพาทที่ผูรองครอบครองกอนนําที่ดินทั้งแปลง
ออกขายทอดตลาดตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๘๗
หมายเหตุ (โดยท า นอาจารย ส มชั ย ฑี ฆ าอุ ต มากร) ตาม
คําพิพากษาฎีกาฉบับนี้ การแบงที่ดินระหวางเจาของรวมโดย
การแบงแยกการครอบครองที่ดินนั้น มีผลใหความเปนเจาของ-
รวมในที่ดินระหวางผูรองกับจําเลยที่ ๒ สิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๖๔ วรรคหนึ่ง ทํ าใหแ ต ล ะคนได ที่ ดิน สว นที่ ไ ด
แบงแยกการครอบครองแลวนั้น ยอมใชกับโจทกซึ่งเปนเจาหนี้
สามัญตามคําพิพากษาในอันที่จะบังคับคดีแกทรัพยสินไดเพียง
เทาที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาของตนมีสิทธิเทานั้น ไมอาจบังคับ
คดีเอาแกที่ดินสวนที่เปนของผูรอ งซึ่งเปนบุคคลภายนอกได
ทั้งนี้ เพราะการบังคับคดีไมอาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิอื่น ๆ ซึ่ง
บุคคลภายนอกอาจรองขอใหบังคับเหนือทรัพยสินนั้นไดตาม
กฎหมาย ผูรองชอบที่จะรองกันสวนตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๘๗
หรือรองขัดทรัพยตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๘๘
คํ า พิ พ ากษาฎี ก าที่ ๕๐๘๘/๒๕๕๔ ฎ.๑๒๙๑ ศาล
จัง หวั ด เชี ย งใหม พิ พ ากษาตามยอมเมื่อ วั น ที่ ๑๐ กรกฎาคม
๒๕๓๘ ใหจําเลยที่ ๒ ซึ่งเปนจําเลยคดีดังกลาวโอนที่ดินพิพาท
ใหผูรองซึ่งเปนโจทกคดีดังกลาวเขาถือกรรมสิทธิ์รวมบางสวน
ซึ่งจําเลยที่ ๒ จะจัดการโอนใหภายใน ๒ เดือน นับแตวันที่ทํา
141
สัญญา หากไมโอนใหถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
นั้น เปน ขอ ตกลงที่ใหคูความทั้งสองฝายตอ งดําเนิน การโอน
กรรมสิ ท ธิ์ ท างทะเบี ย นกั น เมื่ อ จํ า เลยที่ ๒ ไม ป ฏิ บั ติ ต าม
คําพิพากษา ผูรองตอ งดําเนินการบัง คับคดีภายใน ๑๐ ป ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗๑ การที่ผู รอ งไปดําเนิน การเพีย งขอออก
ใบแทนโฉนดที่ดิน แตขอใหรอเรื่องไวกอนโดยไมยอมชําระ
เงินคาธรรมเนียมในการโอนที่ดินตลอดมา จึงยังถือไมไดวาได
มีการรองขอใหบังคับคดีตามคําพิพากษาแลว เมื่อ ผูรองไมได
ดําเนินการบังคับคดีแกที่ดินพิพาทซึ่งเปนทรัพยสินของลูกหนี้
จนเกิน กํา หนด ๑๐ ป นับ แต วัน ที่ คํา พิพ ากษาถึ ง ที่ สุด ผู รอ ง
จึงสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแกที่ดิน พิพาทและไมมีสิทธิเรี ย ก
ใหจําเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามคําพิพากษาไดอีกตอไป ผูรองจึงไมอยู
ในฐานะอั น จะให จ ดทะเบี ย นสิ ท ธิ ข องตนได อ ยู ก อ นตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๐ และไมใชผูที่อาจรองขอใหบังคับเหนือ
ทรัพยสินนั้นไดตามกฎหมายตามที่บัญญัติไวใน ป.วิ.พ. มาตรา
๒๘๗ จึงไมมีสิทธิยื่น คํารองเพื่อ ขอกันสวนเงิน ที่ไดจากการ
ขายทอดตลาดที่ดินพิพาทได
คําพิพากษาฎีกาที่ ๗๖๐๘/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๙ ทาง
นําสืบของผูรองไมปรากฏขอเท็จจริงวาโจทกไดรูขอเท็จจริงที่
ผูรองอางวาผูรองไมรูเห็นยินยอมในการที่จําเลยนําที่ดินพิพาท
142
ซึ่งเปนสินสมรสระหวางผูรองและจําเลยไปจํานองไวกับโจทก
แตอยางใด เมื่อที่ดินพิพาทมีชื่อจําเลยเปนเจาของแตเพียงผูเดียว
ตองถือวาโจทกรับจํานองไวโดยสุจริต การจํานองจึงสมบูรณ
มีผลผูกพันทรัพยจํานองทั้งหมดทุกสวน เมื่อโจทกฟองบังคับ
จํานองและศาลพิพากษาใหบังคับตามสัญญาจํานองแลวเชนนี้
โจทกย อ มมีสิทธิที่จ ะบังคับคดีใหเ ปน ไปตามคําพิพากษาได
สว นการที่จําเลยนําทรัพยสว นของผูรอ งเขารว มจํานองโดย
ไมไดรับความยินยอมจากผูรองนั้น หากเปนเหตุใหผูรองไดรับ
ความเสียหายอยางไร ผูรองก็ชอบที่จะไปวากลาวเอาแกจําเลย
เปนอีกเรื่องหนึ่งตางหาก จะมารองขอกันสวนใหการบังคับคดี
มีผลผิดไปจากคําพิพากษาหาไดไม
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๓๒๙/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล. ๑๑ น. ๒๐๐
โจทกเ ปน ผูครอบครองโฉนดที่ ดิน พิพาทก็ โ ดยจํา เลยผู เ ป น
ลูกหนี้เงินกูใหยึดถือเปนประกันเงินกูตามหนังสือสัญญากูเงิน
โจทกจึงมีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทไวเปน ประกันการชําระ
หนี้ จนกวาจะไดรับชําระหนี้เงินกูคืน แตสิทธิยึดถือโฉนดที่ดิน
ดั ง กล า วเป น เพี ย งบุ ค คลสิ ท ธิ บั ง คั บ กั น ได ร ะหว า งคู สั ญ ญา
ไมสามารถใชยันแกบุคคลอื่นได สวนผูรองซื้อและจดทะเบียน
รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน พิ พาทพรอ มสิ่ ง ปลูก สรางจากจําเลย
ตั้งแตกอนที่โจทกจะฟองเรียกหนี้เงินกูคืนจากจําเลยโดยไดมี
143
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๘๘
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๒๙/๒๕๕๕ ฎ. ๗๓๖ มูลหนี้คดีนี้
เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากโจทกฟองจําเลยเปนคดีอาญาในความผิด
ฐานฉ อ โกง และเรี ย กให จํ า เลยชดใช เ งิ น ที่ ห ลอกลวงจาก
ผูเ สีย หายคืน ใหแกผูเ สีย หาย จึง เปน มูล หนี้ล ะเมิดอันเกิดจาก
การกระทําของจําเลยซึ่งเปนสามีของผูรองแตฝายเดียว และเปน
การกระทํ า เฉพาะตั ว เมื่ อ ผู ร อ งลงลายมื อ ชื่ อ เป น พยานใน
หนังสือรับสภาพหนี้กอนที่ศาลชั้นตนจะมีคําพิพากษาวาจําเลย
กระทําความผิดในคดีอาญาจึงไมใชการรับรองหรือใหสัตยาบัน
ในมูล ละเมิด ตามคํ าพิ พากษาของศาลชั้น ตน ที่ จ ะทํา ใหเ ป น
หนี้ รว มที่ส ามีภ ริ ย าจะต อ งรั บ ผิด ชอบร ว มกั น ตามประมวล
กฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๑๔๙๐ เมื่อผูเสียหายมิไดฟอง
ใหผูรองรวมรับผิดกับจําเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ ผูรองจึง
144
ไมตองรวมรับผิดกับจําเลยในจํานวนเงินที่จําเลยตองชดใชคืน
แกผูเสียหายตามคําพิพากษาศาลชั้น ตน ดว ย ผูเสียหายจึง ไมมี
สิทธินํายึดที่ดินอันเปนสินสวนตัวของผูรองเพื่อชําระหนี้แกตน
ตามคําพิพากษาศาลชั้นตนได เพราะสินสวนตัวของผูรอ งไมใช
ทรั พ ยสิ น ที่ เ ป น ของภริ ย าซึ่ ง ตามกฎหมายอาจถือ ได วา เป น
ทรัพยสิน ของลูก หนี้ตามคําพิพากษาหรือเปนทรัพยสินที่อาจ
บังคับเอาชําระหนี้ตามคําพิพากษาไดตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพง มาตรา ๒๘๒ วรรคทาย
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๙๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๖๖ ผูรอง
ซื้ อ รถยนต คั น พิ พ าทในระหว า งที่ เ ป น ภริ ย าโดยชอบด ว ย
กฎหมายของจําเลย โดยผูรองรวบรวมเงินมาซื้อโดยไดนําเงิน
บางสวนที่ผูรองเก็บสะสมมาตั้งแตกอนจดทะเบียนสมรสกับ
จําเลย และอีก สวนหนึ่ง เปน เงินกูจ ากสหกรณอ อมทรัพยโดย
เงินกูที่ไดมาเปนเงินที่ผูรองไดมาในระหวางเปนสามีภ ริยาโดย
ชอบดวยกฎหมายกับจําเลย ยอมถือเปนสินสมรสตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๔๗๔ หาใชเปนเงินที่ไดมาจากการเปลี่ยนสินสวนตัว
ของผูรองมาเปนสินสมรสดังเชนที่ผูรองกลาวอาง เมื่อรถยนต
คันพิพาทเปนสินสมรส จําเลยจึงเปนเจาของกรรมสิทธิ์รวมดวย
และตามคํารองของผูรองเปนการรองขอใหปลอยทรัพยที่โจทก
นํ า ยึ ด คื น แก ผู ร อ งตาม ป.วิ . พ. มาตรา ๒๘๘ ดั ง นี้ คดี จึ ง มี
145
ประเด็นวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียววา ทรัพยสินที่เจาพนักงาน
บั ง คั บ คดี ยึ ด ไว เ ป น ของจํ า เลยหรื อ ลู ก หนี้ ต ามคํ า พิ พ ากษา
หรือไม เมื่อจําเลยมีสวนเปนเจาของรวมในรถยนตคัน พิพาท
นั้นดวย ผูรองจึงไมมีสิทธิรองขอใหปลอยทรัพยที่ยึด
คําพิพากษาฎีก าที่ ๔๙๑๓/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๓ น.๑๘๘
หนี้ตามคําพิพากษามีมูล หนี้ม าจากหนี้เ งิน กูที่จําเลยกูไปจาก
โจทกในป ๒๕๔๐ กอนที่จําเลยกับผูรองจะจดทะเบียนหยากัน
ในป ๒๕๔๔ แมผูรองไมไดเกี่ยวของรูเห็นในการกูเงินดังกลาว
ดวย แตจําเลยกูเงินไปทําไรออยรวมกับผูรอง หนี้เงินกูดังกลาว
จึงเปนหนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากการงานซึ่งสามีภริยาทําดวยกัน
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๙๐ (๓) หนี้ตามคําพิพากษาดัง กลาว
จึงเปนหนี้รวมระหวางจําเลยกับผูรอง แมหลังจากนั้นจําเลยกับ
ผูรอ งจะไดหยาและแบง ทรัพยสิน แบง ความรับผิดในหนี้สิน
ตอกันแลว ก็ไมมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจาหนี้ในอัน
ที่จะบังคับชําระหนี้เอาจากสินสมรสและสินสวนตัวของจําเลย
กับผูร อ งทั้ง สองฝ ายตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๘๙ หรือ บัง คั บ
ชํา ระหนี้ เ อาจากคนใดคนหนึ่ ง สิ้ น เชิ ง หรือ แต โ ดยสว นก็ ไ ด
ตามแตจ ะเลือ กตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๙๑ โจทกจึง มีสิทธิยึด
ทรัพยพิพาทเพื่อชําระหนี้ตามคําพิพากษาได
146
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๘๙
คําพิพ ากษาฎีกาที่ ๓๑๒๗–๓๑๒๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๔ น.๙๕
บุ ค คลที่ จ ะขอรั บ ชํ า ระหนี้ จํ า นองก อ นเจ า หนี้ อื่ น ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๒๘๙ วรรคหนึ่ง หมายถึงเจาหนี้จํานองที่ลูกหนี้
ผิดนัดชําระหนี้จํานองซึ่งอาจถูกบังคับจํานองไดแลว หาจําตอง
มี ก ารบอกกล า วบั ง คั บ จํ า นอง ฟ อ งบั ง คั บ จํ า นอง หรื อ มี คํ า
พิ พ ากษาให บั ง คั บ จํ า นองแล ว ไม การขอรั บ ชํ า ระหนี้ ก อ น
เจาหนี้อื่น เปน กระบวนการพิจารณาชั้นบัง คับคดีที่ ก ฎหมาย
มีเจตนารมณใหเจาหนี้จํานองและเจาหนี้บุริมสิทธิเขามาขอรับ
ชําระหนี้กอนเจาหนี้อื่น และเจาหนี้ตามคําพิพากษาในคดีที่มี
การบังคับคดีนั้น เพื่อใหเจาหนี้เหลานั้นไดรับชําระหนี้ตามสิทธิ
ของตนที่ช อบจะได รั บ ชํา ระหนี้ จ ากทรั พย สิ น ของลู ก หนี้ ที่
เจาพนักงานบังคับคดียึดมานั้น กอนหลังกันตามลําดับแหงสิทธิ
จํานองและบุริมสิทธิที่บัญญัติไวใน ป.พ.พ. ใหเสร็จสิ้นไปใน
คราวเดียวกัน ซึ่งจะตองมีการไตสวนพิสูจนสิทธิจํานองรวมทั้ง
บุ ริ ม สิ ท ธิ ว า เป น สิ ท ธิ ที่ ช อบจะขอเข า มารั บ ชํ า ระหนี้ ก อ น
เจาหนี้อื่นหรือไมเพียงใด จนเปนที่ยุติเชนเดียวกับการพิสูจ น
สิทธิจํานองหรือบุริมสิทธิในการฟองเริ่มตนคดีนั้นเอง
148
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๙๐
คําพิพากษาฎีก าที่ ๔๐๒๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๓ น.๑๕๔
ป.วิ. พ มาตรา ๒๙๐ วรรคหนึ่ง บัญญั ติวา “เมื่อ เจาพนั ก งาน
บัง คั บ คดี ได ยึ ด หรื อ อายั ด ทรั พย สิ น อย างใดของลู ก หนี้ ต าม
คํ า พิ พ ากษาไว แ ทนเจ า หนี้ ต ามคํ า พิ พ ากษาแล ว ห า มไม ใ ห
เจาหนี้ตามคําพิพากษาอื่นยึดหรืออายัดทรัพยสินนั้นซ้ําอีก ...”
ดัง นั้น การอายัดซ้ําที่จะเปน การตองหามตามบทบัญญัติแหง
กฎหมายดังกลาวจึงหมายถึงทรัพยสินรายการเดียวกันที่เจาหนี้
ตามคําพิพากษาในคดีอื่น ไดขออายัดไว แลว หามมิใหเ จาหนี้
ตามคําพิพากษาในคดีหลังขออายัดซ้ําอีก แตการอายัดเงินเดือน
ของจําเลยที่โจทกขออายัดในคดีนี้เปนคนละจํานวนกับที่เจาหนี้
ตามคําพิพากษาในคดีอื่น ขออายัดไว แตเปนการอายัดเงินใน
สวนที่เหลือจากที่เจาหนี้ตามคําพิพากษาในคดีอื่นไดขออายัด
ไว แมจ ะเปน เงิ น เดือ นเหมือ นกั น แตก็เ ป น คนละจํ านวนกั น
ไมใชทรัพยสินรายเดียวกัน จึงไมเปนการอายัดซ้ําอันเปนการ
ตองหามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๙๐ วรรคหนึ่ง
ขายทอดตลาด โดยอางวาการขายทอดตลาดมีผูเขาสูราคาเพียง
รายเดีย วและราคาที่ไดจ ากการขายทอดตลาดต่ําเกิน สมควร
อันเกิดจากการคบคิดกันฉอฉลหรือความไมสุจริตหรือประมาท
เลินเลออยางรายแรงของเจาพนักงานบังคับคดีและโจทก เมื่อ
ศาลชั้น ตน มีคําสั่ งยกคํารอ งของจําเลยแลว จําเลยยื่น อุทธรณ
เฉพาะปญหาวาการที่เจาพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย
ไป โดยมีผูเขาสูราคาเพียงรายเดียวชอบหรือไม ซึ่งเปนอุทธรณ
ในประเด็นที่รอ งขอใหเพิก ถอนการขายทอดตลาดโดยอาศัย
เหตุอื่นตามที่บัญญัติไวใน ป.วิ.พ. มาตรา ๒๙๖ วรรคสอง มิใช
ประเด็ น ที่ ร อ งขอให เ พิ ก ถอนการขายทอดตลาดโดยอาศั ย
เหตุ ก ารขายทอดตลาดทรัพ ยสิน ในราคาต่ํา เกิ น สมควรโดย
มิชอบตามที่บัญญัติไวในมาตรา ๓๐๙ ทวิ วรรคสอง อันจะทํา
ใหคําสั่งศาลชั้นตนเปนที่สุดไดตามมาตรา ๓๐๙ ทวิ วรรคสี่
การขายทอดตลาดทรั พย ข องลูก หนี้ ตามคํา พิพ ากษา
กฎหมายมิไดบัญญัติใหตองมีผูเขาแขงขันประมูลราคา แมการ
ขายทอดตลาดทรัพยคดีนี้จะมีโ จทกเขาสูราคาเปนผูซื้อทรัพย
เพียงรายเดียวก็ตาม เจาพนักงานบังคับคดีก็สามารถดําเนินการ
ขายทอดตลาดไปไดโดยไมจําเปนตองมีผูประมูลราคารายอื่น
เข า มาแข ง ขั น ด ว ย ประกอบกั บ ยั ง ได ค วามอี ก ว า การขาย
ทอดตลาดดังกลาวเปนการขายทอดตลาดครั้งที่ ๑๙ ซึ่งการขาย
150
ขอใหเจาพนักงานบังคับคดีดําเนินการขับไลซึ่งไมมีบทบัญญัติ
ของกฎหมายใหอํานาจเจาพนัก งานบัง คับคดีที่จ ะกระทําได
การที่ผูซื้อทรัพยเพิ่งมายื่นคํารองขอใหศาลเพิกถอนการบังคับ
คดีที่ฝาฝนตอกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
แพง มาตรา ๒๙๖ วรรคสอง เมื่อพนกําหนดสิบหาวัน นับแต
ทราบวันที่ทราบพฤติการณอันเปนมูลแหงขออางตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพง มาตรา ๒๙๖ วรรคสาม แลว
จึงเปนคํารองที่ไมชอบ และเปนปญหาขอกฎหมายอันเกี่ยวดวย
ความสงบเรียบรอยของประชาชน ศาลอุทธรณมีอํานาจยกขึ้น
วินิจฉัยไดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา
๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖
เมื่อพนกําหนดเวลาสิบหาวันที่กฎหมายกําหนด ผูรองยอมไมมี
สิทธิรองคัดคานใหเพิกถอนการขายทอดตลาดได
คําพิพากษาฎีกาที่ ๕๗๕๒/๒๕๕๓ ฎ.๒๒๓๙ จําเลยยื่น
คํารอ งขอเพิกถอนหมายบังคับคดีในคดีนี้อางวาจําเลยไมได
ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอม
การที่จําเลยยื่นคําแถลงตอเจาพนักงานบังคับคดีในอีกคดีหนึ่ง
ที่เจาหนี้ตามคําพิพากษาอายัดทรัพยสินของจําเลยวา ทรัพยสิน
ของจํ า เลยถู ก เจ า หนี้ ห ลายรายรวมทั้ ง โจทก อ ายั ด ไว แ ล ว
การอายัดทรัพย สิน ในคดีดัง กล าวจึง เปน การอายัดซ้ํา ขอให
เจาพนักงานบังคับคดีถอนการอายัดและเจาพนั กงานบังคับคดี
ไดถอนการอายัดแลวเปนการดําเนินการในคดีอื่นมิใชในคดีนี้
จึงมิใชกรณีที่จําเลยไดดําเนินการอันใดขึ้นใหมหรือเปนการให
สัตยาบันแกการกระทํานั้น จําเลยจึงมีสิทธิรองขอใหเพิกถอน
หมายบังคับคดีในคดีนี้ไดตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๙๖ วรรคหนึ่ง
และวรรคสาม
วันครบกําหนดชําระหนี้ตรงกับวันเสาร การที่จําเลยนํา
เงินเขาบัญชีของโจทกในธนาคารทันทีในวันแรกที่เปดทําการ
จึงไมถือวาจําเลยผอนชําระหนี้แกโจทกลวงพนกําหนดและตก
เปนผูผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๘ แมธนาคารเปดทําการ
ในวันเสารอาทิตยก็มี ก็ไมอาจเปนขอยกเวนของกฎหมายได
153
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๒๙๘
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๐๘/๒๕๕๔ ฎ.๑๔๘๙ คํารองของ
โจทก มิ ไ ด ข อให ศ าลมี คํ า สั่ ง จั บ กุ ม และกั ก ขั ง จํ า เลยซึ่ ง เป น
ลูกหนี้ตามคําพิพากษา เพียงขอใหศาลมีคําสั่งใหจําเลยปฏิบัติ
ตามคํ า พิ พ ากษาเท า นั้ น จึ ง มิ ใ ช คํ า ขอให จั บ ตั ว ลู ก หนี้ ต าม
คํ า พิ พ ากษาโดยเหตุ จ งใจขั ด ขื น ไม ป ฏิ บั ติ ต ามคํ า บั ง คั บ
ตามประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความแพ ง มาตรา ๒๙๘
วรรคหนึ่ง ศาลจะออกหมายเรียก หมายจับหรือสั่งกักขังลูกหนี้
ตามคําพิพากษาตามวรรคสองของบทบัญญัติดังกลาวไมได
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๓๐๖
คําพิพากษาฎีกาที่ ๖๔๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๕ น.๑๘ ที่ดิน
ที่เ จาพนัก งานบัง คับคดียึดไวมีชื่อ จําเลยที่ ๑ เทานั้นเปนผูถือ
กรรมสิทธิ์ ไมมีชื่อ จําเลยที่ ๒ ปรากฏอยูดว ย ทั้งไมปรากฏวา
จําเลยที่ ๒ มีสวนเปนเจาของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกลาว
รวมกับจําเลยที่ ๑ การที่เจาพนักงานบังคับคดีแจงประกาศขาย
ทอดตลาดแต เ ฉพาะจําเลยที่ ๑ ซึ่ง มีชื่อ ตามโฉนดที่ดิ น เพีย ง
ผูเดียว ถือวาเจาพนักงานบังคับคดีแจงประกาศขายทอดตลาด
ชอบดวย ป.วิ.พ. มาตรา ๓๐๖ แลว
156
ทรัพยสินของลูกหนี้ตามคําพิพากษา อันเปนขั้นตอนการบังคับ
คดีภายหลัง จากโจทกฝายชนะคดีไดดํา เนิน การบัง คับคดีแ ก
ทรั พย สิน ของจํ าเลยฝา ยแพ ค ดีภ ายในระยะเวลา ๑๐ ป ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗๑ แลว จึงมิใชกรณีที่เจาหนี้ตามคําพิพากษา
รองขอใหบังคับคดีแกทรัพยสินของจําเลยเพื่อบังคับชําระหนี้
ตามคําพิพากษาและมิใชการใชสิทธิของโจทกในฐานะที่เปน
เจ า หนี้ ต ามคํ า พิ พ ากษามาบั ง คั บ คดี แ ก ท รั พ ย สิ น ของจํ า เลย
จึง ไมอ าจนําบทบัญญัติเ กี่ย วกับระยะเวลาการบัง คับคดีที่ให
นับแตวันมีคําพิพากษาหรือคําสั่งตามมาตรา ๒๗๑ มาบังคับได
คําพิพากษาฎีกานาสนใจมาตรา ๓๑๒
คําพิ พากษาฎี ก าที่ ๒๒๐๒/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๕ น.๘๒
ป.วิ.พ. มาตรา ๓๑๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติวา ถาบุคคลภายนอก
ที่ไดรับคําสั่งอายัดทรัพยปฏิเสธหรือโตแยงหนี้ที่เรียกรองเอา
แกตน ศาลอาจทําการไตสวน และ (๑) ถาศาลเปนที่พอใจวาหนี้
ที่เ รีย กรอ งนั้น มีอ ยูจริง ก็ใหมีคําสั่ง ใหบุคคลภายนอกปฏิบัติ
ตามคํ า สั่ง อายั ด ดั ง นั้ น การที่ผู ร อ งได มี ห นั ง สื อ ปฏิ เ สธการ
สงเงินตามที่ไดแจงอายัดแกเจาพนักงานบังคับคดีดวยเหตุผลวา
ไดมีการหักเงินประกันผลงานไปแลว และไมมีเงินเหลือที่จะสง
ใหแกเจาพนักงานบังคับคดี จึงถือวาเปนการปฏิเสธหรือโตแยง
160
หนี้ที่เรียกรองเอาแกผูรอง ศาลชั้นตนจึงตองทําการไตสวนให
ไดความวาผูรองยังมีหนี้ที่ตองชําระแกจําเลยอยูหรือไม การที่
ศาลชั้น ตนออกหมายบังคับคดีใหยึดและอายัดทรัพยสินของ
ผูร อ งโดยไมไ ด ทํ า การไตส วนเสีย ก อ น จึ ง เปน การไม ช อบ
การที่ผูรอ งไดโ ตแยง ปฏิเ สธการชําระหนี้ตามที่อ ายัดไวแลว
ไมเปนเหตุที่จะทําใหศาลชั้นตนออกหมายบังคับคดีได
-------------------------