You are on page 1of 3

Doppler effect เกิดจากการที่วัตถุมีความเร็วสัมพันธ์กับเรา ขณะส่งสัญญาณมาให้เราทำให้สัญญาณที่เรา

ได้รับนั้นไม่เท่ากับสัญญาณที่วัตถุปล่อยออกมาจริงๆ

จาก Special relativity พิสูจน์โดยใช้Lorentz transformation (ไม่จำเป็นต้องรู้) ได้ว่าความถี่ที่เราได้รับกับ


ความถี่ที่วัตถุปล่อยออกมากมีความสัมพันธ์ในกรณีทั่วไปดังนี้

𝑉
1− 𝑟
f𝒐𝒃𝒔𝒆𝒓𝒗𝒆 =√ 𝑐f
𝑉𝑟 𝟎
1+
𝑐
โดยที่ f𝒐𝒃𝒔𝒆𝒓𝒗𝒆 ≡ ความถี่ที่ผู้สังเกตได้รับจากแหล่งกำเนิด (observer frequency)
f𝟎 ≡ ความถี่ที่แหล่งกำเนิดปล่อยออกมา(rest frame frequency)
𝑉𝑟 ≡ ความเร็วสัมพัทธ์(ความเร็วในแนวเล็งเทียบผู้สังเกต, Radial velocity)
ให้ 𝑉r เป็นบวกเมื่อวัตถุเคลื่อนที่ออกห่างผู้สังเกต = Redshift
ให้ 𝑉r เป็นลบเมื่อวัตถุเคลื่อนที่เข้าหาผู้สังเกต = Blueshift
C = ความเร็วแสงในสุญญากาศ = 299792458 m/s
𝚫𝒇
เราต้องการทำให้อยู่ในรูป เมื่อ𝚫𝒇 คือ 𝒇𝒐𝒃𝒔𝒆𝒓𝒗𝒆𝒓 − 𝒇𝟎
𝒇𝟎

𝑽
𝚫𝒇 𝟏− 𝒄𝒓
ได้ว่า = (√ 𝑽 − 1)
𝒇𝟎 𝟏+ 𝒄𝒓

𝚫𝝀
แต่เนื่องจาก Z (redshift parameter) นิยามคือ และแหล่งกำเนิดคลื่นที่เราศึกษาเป็นคลื่น
𝝀𝟎
แม่เหล็กไฟฟ้า เขียนความสัมพันธ์ได้ว่า 𝑪 = 𝝀𝒇
𝑉
∆𝝀 1+ 𝑐𝑟
ได้ว่า 𝐙 ≡ =√ 𝑉 −1
𝝀𝟎 1− 𝑟
𝑐

เราเรียกสิ่งนี้ว่าRelativistic Redshift

นอกจากนี้ในกรณีพิเศษ𝑉𝑟 ≪ 𝑐 (𝑅𝑎𝑑𝑖𝑎𝑙 𝑣𝑒𝑙𝑜𝑐𝑖𝑡𝑦 น้อยกว่าความเร็วแสงมากๆ)


ประมาณจากBinomial Expansion ได้ว่า (𝟏 + 𝒙)𝒏 ≈ 𝟏 + 𝒏𝒙 เมื่อ 𝒙 ≪ 𝟏
ได้ว่า Z=Vr/c เราเรียกสิ่งนี้ว่า Non- Relativistic Redshift

โดยที่ปรากฏการณ์Doppler shift แบ่งออกเป็น 2 ประเภท


1.Gravitational redshift (ที่พูดไปด้านบนทั้งหมด)
ใช้กับการเคลื่อนที่ของวัตถุทั่วไปในอวกาศ
ม.ต้น รู้แค่ถึงตรงนี้ก็ได้
2.Cosmological redshift เกิดจากการขยายตัวของเอกภพ
แล้วมันมีความสัมพันธ์กับredshift ยังไง
ให้เอกภพขยายตัวด้วยอัตราเท่ากับscale factor≡ 𝒂(𝒕)
𝒓(𝒕)
โดยที่อย่างที่เราทราบกันดี 𝒂(𝒕) =
𝒓(𝒕𝟎)

ทีนี้เพื่อการที่เราจะพิสูจน์ความสัมพันธ์นี้เราต้องยกตัวอย่างสถานการณ์บางอย่างขึ้นมา เช่น
ให้มีวัตถุอาจจะเป็นgalaxy ปล่อยสัญญาณด้วยความยาวคลื่น= 𝝀𝒆 ออกมาตอนที่เวลา t
และเราได้รับสัญญาณนี้ด้วยความยาวคลื่น= 𝝀𝒐 (observation wavelength) ที่เวลา 𝒕𝟎
หมายความว่าอะไร?
𝝀𝒆
𝒂(𝒕) =
𝝀𝒐
∆𝝀
จากนิยามของredshift parameter 𝐙 ≡
𝝀𝟎
𝟏 𝝀𝒐
ได้ว่า =
𝒂(𝒕) 𝝀𝒆
𝟏 𝝀𝒐
−𝟏= −𝟏
𝒂(𝒕) 𝝀𝒆
𝟏 𝚫𝝀
−𝟏=
𝒂(𝒕) 𝝀𝒆
𝟏
−𝟏=𝒛
𝒂(𝒕)
𝟏
𝒂 (𝒕 ) =
𝒛+𝟏

You might also like